๙๗
4.กำรจัดกิจกรรมลูกเสอื – เนตรนำรี
กิจกรรมลูกเสือ – เนตรนารี เป็นกจิ กรรมทม่ี ่งุ ปลกู ฝงั ระเบียบวนิ ยั กฎเกณฑ์ เพื่อการอยู่ร่วมกันใน
สภาพชวี ติ ต่าง ๆ นาไปสูพ่ ืน้ ฐานการทาประโยชนใ์ ห้แก่สังคมและวถิ ีชีวติ ในระบอบประชาธปิ ไตย ซงึ่
กระบวนการจัดกจิ กรรมลูกเสือ – เนตรนารีเปน็ ไปตามข้อกาหนดของคณะลูกเสือแห่งชาติ โดยกาหนด
หลักสูตรเปน็ 4 ระดบั ละ 3 ชว่ งชนั้ ดงั นี้
ประเภทลกู เสอื ช้นั เรียน กจิ กรรม วิชาพิเศษ
ลกู เสอื สารอง ป.1 เตรยี มลูกเสอื สารอง ดาวดวงที่ 1 มี 18 วิชา
ป.2 ดาวดวง ใชว้ ิธีบรู ณาการเขา้ กับกลุม่
ป.3 ท่ี 2 สาระการเรยี นรู้
ดาวดวง
ท่ี 3
ลูกเสือสามญั ป.4 ลูกเสือตรี มี 54 วิชา
ป.5 ลกู เสอื โท ใช้วธิ ีบูรณาการเข้ากบั
ป.6 ลกู เสอื เอก กล่มุ สาระการเรียนรู้
ลูกเสือสามญั รนุ่ ใหญ่ ม.1 ลูกเสือโลก มี 76 วิชา
ม.2 ลูกเสอื ชั้นพิเศษ เรียนนอกเวลาหรอื เรียนในเวลา
ม.3 ลูกเสือหลวง ในภาคเรียนที่ 2
ลูกเสอื วสิ ามญั ม.4 เตรยี มลกู เสือวิสามญั มี 11 วิชา
(เป็นกิจกรรมบังคับ)
ม.5 สารวจตนเอง/เขา้ พธิ ปี ระจากอง ใช้เวลาเรียนในเวลา ตามแต่
ม.6 วชิ าพเิ ศษ สถานศึกษาเป็นผู้จัด สัปดาห์
ละ 2 คาบ
5. หลักสตู รกจิ กรรมลกู เสอื – เนตรนำรี ระดับประถมศกึ ษำ
5.1 จุดประสงค์เพือ่ ให้ผู้เรยี นมีพฒั นาทางกาย สติปญั ญา จติ ใจ และศลี ธรรม ใหเ้ ป็นพลเมืองดี
มคี วามรับผิดชอบ ช่วยสรา้ งสรรค์สังคมใหม้ ีความเจรญิ ก้าวหนา้ ความสงบสขุ และความม่นั คงของ
ประเทศชาติ จงึ ต้องปลูกฝงั ใหค้ ุณลักษณะดงั ต่อไปน้ี
5.1.1 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถปฏิบัติตามคาปฏญิ าณ กฎ และคติพจน์ของลูกเสือ
สารอง/สามญั
5.1.2 มที ักษะการสงั เกต จดจา การใช้มอื เครื่องมือ การแกป้ ัญหา และทกั ษะในการ
ทางานร่วมกบั ผู้อ่ื
หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนแก้วอินทรส์ ธุ าอุทศิ ปีการศึกษา 2564
๙๘
5.1.3 มีความซื่อสตั ยส์ จุ รติ มรี ะเบียบวนิ ัย มคี วามสามัคคี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มคี วาม
เสียสละ บาเพ็ญตนเพื่อสาธารณประโยชน์
5.1.4 มกี ารพฒั นาตนเองอยเู่ สมอ สร้างสรรคง์ านฝมี ือ สนใจและพัฒนาเรื่องของ
ธรรมชาติ
1. กำรวดั ประเมินผล
การประเมินผลจากการจดั กิจกรรมลูกเสือ – เนตรนารี เปน็ เง่อื นไขสาคญั ประการหนง่ึ สาหรบั การผา่ น
ช้นั หรอื จบหลักสูตร ผเู้ รียนตอ้ งเขา้ ร่วมและปฏิบัตกิ จิ กรรมตลอดจนผา่ นการประเมนิ ตามเกณฑ์ท่ีกาหนด
ดงั นี้
เกณฑก์ ำรผำ่ นกจิ กรรม
1. ผู้เรยี นเขา้ รว่ มกิจกรรมลูกเสือ – เนตรนารี อย่างน้อย 80%
2. ผู้เรยี นผา่ นจุดประสงคท์ ี่สาคัญของแต่ละกจิ กรรม
3. ผู้เรียนผา่ นการอยู่คา่ ยพักแรมลกู เสือ – เนตรนารี
แนวดำเนนิ กำรประเมินผลกิจกรรมลูกเสือ – เนตรนำรี
1. การประเมนิ ผลระหว่างดาเนินการ ซง่ึ ทาไดท้ กุ ระยะของการปฏบิ ัตงิ านด้วย
การประชุมนิเทศ กากบั ติดตาม ในบรรยากาศการร่วมคิด ร่วมทา ร่วมแกไ้ ขปัญหา อุปสรรคท่เี กิดข้นึ
ระหวา่ งดาเนินงาน โดยใชแ้ บบบันทึก แบบประเมิน
2. การประเมินผลรวบยอด ภาคเรยี นละครงั้ เป็นการประเมนิ เม่ือไดด้ าเนิน
การสนิ้ สุด
หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนแก้วอนิ ทร์สุธาอุทศิ ปกี ารศกึ ษา 2564
๙๙
กิจกรรมตำมควำมถนดั และควำมสนใจของผเู้ รียนโรงเรยี นแก้วอนิ ทรส์ ุธำอุทศิ
กจิ กรรมตามความถนดั และความสนใจของผู้เรียน เป็นกจิ กรรมนกั เรียนกจิ กรรมหนงึ่ ในกิจกรรม
พฒั นาผ้เู รียน ที่มุ่งเนน้ การเติมเต็มความรู้ ความชานาญ และประสบการณข์ องผูเ้ รียนให้กวา้ งขวางขึ้น เพอื่
ค้นพบความถนดั ความสนใจของตนเอง และพฒั นาตนเองใหเ้ ต็มศักยภาพ โดยมขี อบข่ายของกจิ กรรมตาม
ความถนัดและความสนใจของผ้เู รยี น ครอบคลมุ กิจกรรมดังต่อไปน้ี
1. กจิ กรรมตามความสนใจ เช่น ชมุ นมุ ชมรมตา่ งๆ ฯลฯ
2. กิจกรรมสนับสนุน ส่งเสริม การเรยี นการสอนตามกลุ่มสาระการเรยี นรู้ทั้ง 8 กลมุ่ เชน่ โครงงาน
ฯลฯ
3. กิจกรรมทีส่ นองนโยบายรฐั กระทรวง กรม และโรงเรียนเอง เช่น กจิ กรรมวนั แม่ ฯลฯ
4. กจิ กรรมวนั สาคญั ทางศาสนาตา่ งๆ กิจกรรมรณรงค์เรอ่ื ง สารเสพติด เอดส์ เป็นตน้
1. หลกั กำรจดั กิจกรรมตำมควำมถนัดและควำมสนใจของผเู้ รียน
การจัดกิจกรรมตามถนดั และความสนใจของผู้เรียน มีหลักการทส่ี าคัญคือเป็นกิจกรรมท่ีเกิดจากความ
สมัครใจของผู้เรียน โดยมีครูเป็นที่ปรึกษา เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนช่วยกันคิด ช่วยกันทา และช่วยกันแก้ปัญหา
เป็นกิจกรรมที่พัฒนาผู้เรียนตามสาระที่กาหนดนอกเหนือจากการเรียนการสอนเป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริม และ
พฒั นาศกั ยภาพของผูเ้ รียน เป็นกิจกรรมทเี่ หมาะสมกับสภาพของสถานศึกษา หรอื ทอ้ งถิ่น
2. วัตถปุ ระสงค์ของกำรจัดกจิ กรรมตำมควำมถนดั และควำมสนใจของผูเ้ รยี น
การจัดกิจกรรมตามความถนัด และความสนใจ มีวตั ถุประสงค์เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี น
2.1 พัฒนาความรู้ ความสามารถ ด้านการคิด วเิ คราะห์ สังเคราะห์ เพื่อใหเ้ กิดทักษะ ประสบการณ์
ทั้งวิชาการและวชิ าชีพตามศักยภาพ
2.2 มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยม ท่ีพึงประสงค์
2.3 มีสุขภาพและบุคลกิ ภาพทางด้านร่างกายและจติ ใจที่ดี
2.4 ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ
2.5 มีมนษุ ยสัมพนั ธใ์ นการทางานร่วมกับผอู้ นื่ ในระบอบประชาธิปไตย
3. พฤตกิ รรมบ่งชแ้ี ละเปำ้ หมำยกำรจดั กิจกรรมตำมควำมถนดั และควำมสนใจ
จากวตั ถุประสงค์ดงั กล่าว สามารถกาหนดพฤตกิ รรมบ่งชี้หรือตัวชว้ี ัดและเป้าหมายการจัดกจิ กรรมได้
ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้
วตั ถุประสงค์ พฤติกรรมบ่งช้/ี ตวั ชว้ี ัด เปำ้ หมำยกำรจดั กจิ กรรม
1. พัฒนาความรู้ 1.1มีการจัดทาโครงงาน/ผลงาน/ชนิ้ งาน ผู้เรยี นได้พฒั นาความรู้ และ
ความสามารถด้าน 1.2มที กั ษะการคิด การตัดสนิ ใจ และ ทกั ษะจนเกดิ เปน็ โครงงาน
การคิด วิเคราะห์ ผลงาน ช้นิ งาน ตามศกั ยภาพ
เพ่ือใหเ้ กดิ ทักษะ การแก้ปัญหา ของแตล่ ะบคุ คล
ประสบการณ์ ท้งั 1.3มีทักษะการวางแผนและการจัดการ
วิชาการ และวชิ าชพี 1.4ประยกุ ตเ์ ทคโนโลยกี บั ภูมปิ ญั ญาไทย
ตามศักยภาพ 1.5ใช้ภาษาและการสื่อสารได้ถูกตอ้ ง
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นแกว้ อนิ ทร์สธุ าอุทศิ ปีการศกึ ษา 2564
๑๐๐
2. มคี ุณธรรม 1.1รักวัฒนธรรมไทย ใชข้ องไทย ผ้เู รยี นมีคุณธรรม จรยิ ธรรม
จริยธรรม และ 1.2มีกิรยิ ามารยาทท่ดี ี และค่านยิ ม ท่ีพึงประสงค์
คา่ นิยมที่พงึ ประสงค์ 1.3แตง่ กายถูกระเบียบ เป็นแบบอยา่ งให้ผอู้ ่นื ได้
1.4มีความเอ้อื เฟ้ือ เผื่อแผ่
1.5มคี วามซื่อสัตยส์ ุจรติ
1.6มสี มั มาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน
1.7มีน้าใจตอ่ ครู เพ่ือน และผู้อนื่
1.8รบั ผิดชอบตอ่ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
1.9ตรงต่อเวลา
1.10 ร้แู พ้ รู้ชนะ มนี ้าใจนักกีฬา
1.11 เข้าแถว เขา้ ควิ ขนึ้ ลงอาคารอยา่ ง
มรี ะเบียบ
วตั ถุประสงค์ พฤติกรรมบ่งชี/้ ตัวช้ีวดั เปำ้ หมำยกำรจดั กิจกรรม
1.12 รักษาความสะอาดบริเวณโรงเรยี น
1.13 เปิดปิดไฟตามความจาเป็น
1.14 เขา้ ชัน้ เรยี นตามเวลา
2. มสี ุขภาพและ 1.1มีนา้ หนัก ส่วนสงู ตามมาตรฐาน ผู้เรียนเปน็ ผ้มู ีสุขภาพกาย
บคุ ลิกภาพทางกาย 1.2ร่าเริง แจม่ ใส มคี วามม่ันคงทางอารมณ์ และสขุ ภาพจิตดี และ
และทางจติ 1.3อดทน อดกลั้น ต่อสิง่ ย่ัวยุ ดารงชีวติ อย่างมีความสุข
3. ใช้เวลาวา่ งให้เกดิ 1.1บาเพญ็ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรว่ ม ผเู้ รียนใช้เวลาวา่ งให้เกิด
ประโยชนต์ ่อตนเอง 1.2ใช้เวลาทม่ี ใี ห้เกิดประโยชน์ ประโยชนต์ ่อตนเองและ
ชมุ ชน สังคม และ ส่วนรวม
ประเทศชาติ
4. มมี นษุ ยสัมพนั ธ์ใน 4.1มีความเป็นผ้นู าและผู้ตามที่ดี ผู้เรยี นสามารถทางานและอยู่
การทางานร่วมกบั 4.2สามารถทางานรว่ มกบั ผู้อื่นได้ ร่วมกับผอู้ ื่นไดอ้ ยา่ งมีความสุข
ผอู้ ่นื ในระบอบ 4.3เคารพในกฎ กตกิ า ของกลมุ่ และสงั คม
ประชาธปิ ไตย 4.4รบั ฟังและเคารพความคิดเหน็ ของผู้อื่น
ทัง้ น้ี สถานศึกษาสามารถกาหนดวตั ถุประสงค์ พฤติกรรมบง่ ชีแ้ ละเปา้ หมายเพ่มิ เติมใหเ้ หมาะสมกบั
วสิ ัยทัศน์ และสภาพความตอ้ งการของสถานศกึ ษาและท้องถน่ิ
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนแก้วอนิ ทรส์ ุธาอุทิศ ปกี ารศกึ ษา 2564
๑๐๑
กำรประเมินผลกำรจัดกจิ กรรมตำมควำมถนดั โรงเรียนแกว้ อินทรส์ ุธำอุทิศ
เกณฑ์กำรประเมินโรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ุธำอุทิศ
ผเู้ รียนเข้าร่วมกิจกรรมตามความถนดั (ชุมนมุ ) อยา่ งน้อย 80%
1. ผู้เรยี นผ่านจดุ ประสงคท์ ส่ี าคัญของแตล่ ะกจิ กรรม
(กรณีไมผ่ า่ นใหผ้ ้เู รยี นเข้ารบั การซอ่ มเสรมิ หรือให้ทากิจกรรมจนผา่ น)
กำรประเมินผลกิจกรรมตำมควำมถนดั โรงเรียนแก้วอนิ ทรส์ ธุ ำอทุ ศิ
1. ประเมนิ ผลระหวา่ งดาเนินการ ซึง่ ทาไดท้ ุกระบบของการปฏบิ ัติงานด้วยการประชุม
นิเทศ กากับติดตาม ในบรรยากาศการรว่ มมือ รว่ มทา รว่ มกนั แกป้ ญั หา อปุ สรรคท่ีเกิดข้ึนระหวา่ งการ
ดาเนนิ งาน โดยใช้แบบบนั ทึก แบบรายงานการปฏิบัตงิ าน หรือแบบประเมิน
2. การประเมินผลรวบยอด ควรทาอย่างน้อยภาคเรียนละครั้งเป็นการประเมินเม่ือได้ดาเนินงาน
ส้ินสดุ
5. กำรบรหิ ำรงำนกำรจัดกิจกรรมตำมควำมถนดั และควำมสนใจของผู้เรียนโรงเรยี นแก้วอินทร์สธุ ำอุทิศ
การบรหิ ารงานการจัดกจิ กรรมตามความถนดั และความสนใจของผูเ้ รยี น ให้มปี ระสทิ ธิภาพและบรรลุ
เป้าหมายของหลกั สูตร โรงเรียนควรประชาสมั พันธ์ให้นักเรียนไดเ้ ลอื กกิจกรรมตามความสนใจ โดยอาจเลอื ก
กิจกรรมตามทโี่ รงเรยี นเสนอใหน้ กั เรยี นเลือก หรือนกั เรียนท่ีมคี วามสนใจตรงกันรวมกลุ่มกันเสนอขอเปิด
กิจกรรมจากโรงเรียนกไ็ ด้ ซง่ึ อาจเรียกชอ่ื เป็นชมุ นุมหรอื ชมรม แลว้ แต่จะตกลงกนั ในกลุ่มการรวมกลมุ่ ควรเปน็
การจดั ตง้ั อย่างเป็นทางการ มีระเบยี บ ข้อบงั คับ เป็นกฎเกณฑ์ท่ีจะต้องปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างนกั เรียนกับ
ครูท่ีปรกึ ษา และนักเรยี นกับนักเรียน โดยมแี นวทางการดาเนนิ งานดังน้ี
6. ขน้ั ตอนกำรจดั ตัง้ ชุมนมุ โรงเรยี นแกว้ อนิ ทร์สธุ ำอุทิศ
หลงั จากที่โรงเรียนประกาศรับนักเรียนเขา้ ชุมนุมตามความสนใจและ ประกาศกลุ่มสมาชกิ แล้ว เปน็ หน้าที่
ของอาจารยท์ ่ีปรึกษาจะต้องปฐมนเิ ทศนักเรยี น เพ่ือใหท้ ราบจุดประสงค์ ภารกิจการปฏิบัตกิ ิจกรรมและการ
ประเมินผลกิจกรรม ตอ่ จากนั้นการจดั กจิ กรรมกล่มุ สมั พันธ์ เพือ่ ให้นักเรยี นได้คนุ้ เคยและรจู้ ักกนั ยงิ่ ขน้ึ เพื่อ
นาไปสู่การเลือกประธาน รองประธาน หรือตาแหน่งอ่ืนๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เม่ือชมุ นมุ แตล่ ะชุมนมุ ไดเ้ ลอื กต้งั
กรรมการบรหิ ารกลุ่มเสรจ็ แล้ว จงึ จะสง่ ผู้แทนไปเปน็ กรรมการร่างระเบยี บวา่ ด้วยการจดั กจิ กรรมชมุ นุม เพ่ือ
เสนอขออนุมัติจากผู้บรหิ ารโรงเรียนในการรา่ งระเบยี บว่าด้วยการจัดกิจกรรมชุมนุม ควรจะตอ้ งมคี รู-อาจารยท์ ่ี
ปรึกษาเข้าร่วมเป็นกรรมการร่างดว้ ย เม่อื ไดร้ บั อนุมตั จิ ากผู้บรหิ ารโรงเรยี นแล้วจงึ ควรเผยแพรใ่ ห้ครู-อาจารย์
และนกั เรยี นท้ังโรงเรียนไดร้ บั ทราบและถือเป็นแนวปฏบิ ัติ โดยในการจดั ตัง้ ชุมนมุ มขี นั้ ตอนท่สี าคัญ ดังนี้
รับสมคั รสมาชิกชมุ นมุ
ปฐมนิเทศนกั เรียน
เลือกตงั้ กรรมการชมุ นมุ
สง่ ผ้แู ทนร่างระเบียบการจดั ชมุ นมุ
ขออนมุ ตั ิผ้บู ริหาร
ประชาสมั พนั ธ์/เผยแพร่
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนแก้วอนิ ทรส์ ุธาอทุ ิศ ปกี ารศกึ ษา 2564
๑๐๒
7. กิจกรรมชมรม ชุมนมุ โรงเรียนแก้วอนิ ทร์สธุ ำอทุ ิศ
7.1 กจิ กรรมท่ผี ู้เรยี นมบี ทบาทสาคัญ โดยเปน็ ผู้เลือกทากจิ กรรมตามความถนดั ความสนใจ โดยมคี รู
เป็นท่ีปรึกษา
7.2 กิจกรรมทีม่ ่งุ พฒั นาศกั ยภาพของผเู้ รียน มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและลกั ษณะที่พงึ ประสงคต์ ่างๆ
กิจกรรมเพอื่ สังคมเน้นกล่มุ เป้าหมายผ้เู รียนในทกุ ระดับชนั้ และสนบั สนุนให้เกดิ การนาผลการปฏิบัติ กิจกรรม
ไปใชเ้ ป็นส่วนหน่งึ ของการคัดเลือกบคุ คลเขา้ ศึกษาต่อ มกี ารประเมนิ ผลกิจกรรมท่ีเปน็ ระบบเชอ่ื ถือได้ มีการ
ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมที่มคี วามสม่าเสมอและชว่ งระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานพอสมควร ดังน้นั โรงเรยี นแก้วอนิ ทร์สธุ า
อทุ ิศ จึงจดั กจิ กรรมชมรม ชุมนุมขึ้นทุกระดับช้ัน
กจิ กรรมเพ่อื สังคมและสำธำรณะประโยชน์โรงเรยี นแก้วอินทร์สุธำอุทศิ
1. หลกั กำรของกิจกรรมเพื่อสังคม
กิจกรรมเพ่อื สังคมมหี ลักการ ดังตอ่ ไปน้ีเป็นกิจกรรมทีผ่ ูเ้ รยี นทง้ั ท่ีอยู่ในการศึกษาในระบบ การศกึ ษา
นอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย ปฏบิ ตั ิและแสดงออกซึ่งความรับผดิ ชอบต่อสังคม การกระทาความดี
ทาตนใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อครอบครัว สถานศึกษา ชมุ ชน สังคม ซ่ึงผู้เรียนต้องปฏิบตั จิ ริงอยา่ งตอ่ เน่ืองและ
สม่าเสมอเปน็ กิจกรรมทีส่ ง่ เสริมใหท้ ุกฝ่ายที่เกย่ี วข้องรว่ มในการพัฒนาผเู้ รยี น รบั รู้ และช่นื ชมการปฏิบตั ทิ ดี่ ี
ของผู้เรยี นอันจะเปน็ การส่งผลให้การพฒั นาคนดี ควบคู่กบั คนเกง่ เป็นไปในทิศทางท่ีพงึ ประสงค์
2. เปำ้ หมำยของกิจกรรมเพื่อสังคม
กจิ กรรมเพ่อื สงั คมมีเป้าหมายใหผ้ ู้เรียนได้ทาประโยชน์ต่อสังคมเป็นนจิ อย่างต่อเนื่อง เพ่ือเป็น
ประชากรทม่ี ีจิตสานกึ สาธารณะ พฤตกิ รรมเพื่อสังคมสามารถทาประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ
3. ประเภทของกิจกรรมเพ่อื สังคม
3.1 กจิ กรรมเพื่อสังคมจาแนกเปน็ ประเภทใหญๆ่ 3 ประเภท ได้แก่ กจิ กรรมบาเพญ็ ประโยชนแ์ ละ
บรกิ ารสังคม กจิ กรรมพัฒนา นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่ือสังคม และกจิ กรรมดารงรักษาสืบสานศาสนา
ศิลปวัฒนธรรม ทง้ั นี้ ผเู้ รียนสามารถเลอื กปฏบิ ัติกิจกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทก็ได้ ซ่ึงแต่ละ
ประเภทมลี ักษณะดงั น้ี
กิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์และบริการสงั คม เปน็ กจิ กรรมเก่ียวกบั การใหค้ วามชว่ ยเหลอื และหรือ
บรกิ ารแกผ่ ู้อน่ื ชุมชน และสงั คม เช่น รว่ มมอื ทาความสะอาดสถานท่สี าธารณะ งานบริการ ผพู้ ิการ คนชรา
และเดก็ งานบรกิ ารฉุกเฉิน งานบริการกู้ภัย งานบรกิ ารเก่ียวกบั สาธารณปู โภค งานการกศุ ล งานสงเคราะห์ผู้
พิการและผูด้ ้อยโอกาส งานป้องกนั อุบตั ิเหตุ อุบัติภยั ตา่ งๆ เปน็ ต้น ซึง่ ผเู้ รียนได้เรียนร้จู ุดมงุ่ หมายของส่งิ ท่ี
ปฏบิ ตั ิ ข้อกาหนด และการทางานบทบาทภาระหน้าท่ีของผูป้ ฏบิ ตั งิ านและหน่วยงาน และคุณคา่ ของงานต่อ
ชมุ ชน และสังคมกจิ กรรมพฒั นา นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พื่อสังคม เป็นกิจกรรมทเ่ี กี่ยวกับการทดลองศกึ ษา
คน้ คว้า วจิ ัยในสาขาวิชาต่างๆ เชน่ วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การส่อื สาร อตุ สาหกรรม การพลงั งาน ฯลฯ ซง่ึ
ผูเ้ รียนไดเ้ รยี นรูจ้ ุดมงุ่ หมายของสงิ่ ท่ีปฏบิ ัตงิ าน และหน่วยงาน คุณคา่ ของงานตอ่ การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของ
ประชากรในชมุ ชน และการพัฒนาประเทศใหเ้ จริญกา้ วหน้ากจิ กรรมดารงรักษา สืบสานศาสนา ศลิ ปะ และ
วฒั นธรรม เปน็ กจิ กรรมท่ีเกีย่ วกับการสร้างความตระหนัก จิตสานึก ความภาคภูมิใจในวิถชี วี ติ ขนบธรรมเนียม
ประเพณีวฒั นธรรมไทย ซึง่ ปจั จบุ ันไดร้ ับผลกระทบจากความเจรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเรว็ ของวทิ ยาศาสตร์
เทคโนโลยี และการสื่อสารผเู้ รียนมีความตื่นตวั ต่อผลกระทบท่มี ีตอ่ ศาสนา ศลิ ปะและวฒั นธรรม และเข้ารว่ ม
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนแกว้ อินทรส์ ุธาอุทศิ ปีการศกึ ษา 2564
๑๐๓
กิจกรรมซึ่งผู้เรียนไดเ้ รียนรู้จดุ ม่งุ หมายของส่ิงท่ีปฏิบัติ ข้อกาหนด กระบวนการทางาน บทบาทภาระหน้าทีข่ อง
ผปู้ ฏบิ ัติงาน และหน่วยงาน และคณุ คา่ ของงานต่อการบารุงรักษาและพฒั นาคุณภาพชวี ติ ความเป็นไทย
4. กำรจดั กิจกรรมเพื่อสังคมของโรงเรยี นแก้วอนิ ทรส์ ุธำอทุ ศิ
4.1 สถานศกึ ษากาหนดนโยบายกิจกรรมเพ่ือสงั คมของโรงเรยี นแกว้ อินทรส์ ธุ าอุทิศ และจดั ให้มี
คณะกรรมการการรบั ผิดชอบการดาเนินงานทัง้ ในดา้ นการประสานงาน กากับการดาเนินงานและดูแลสวสั ดิ
ภาพผูเ้ รียน
4.2 ประชาสมั พนั ธใ์ ห้ผูเ้ รยี น บดิ า มารดา ผปู้ กครองทราบและเข้าใจจุดมุง่ หมายหลักการ และ
วธิ ีการของกิจกรรมเพือ่ สงั คม ตลอดจนจงู ใจ กระตุ้น ส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นเข้ารว่ มกิจกรรมอย่างทั่วถงึ
4.3 การริเร่มิ กิจกรรมอาจเกิดจากสถานศึกษา ชมุ ชน หรือผเู้ รยี นตดิ ตอ่ ประสานกบั องค์กรเพื่อแจง้
ให้ทราบความต้องการ
4.4 ในการเขา้ ปฏิบตั ิกิจกรรม ผู้เรยี นเขยี นโครงการเสนอสถานศึกษาเพ่ือรับทราบและขอรับความ
เหน็ ชอบ แตท่ ง้ั นี้อาจมผี ู้เรยี นบางคนทมี่ ีความสนใจกิจกรรมใดกจิ กรรมหน่ึงเปน็ อยา่ งมาก เกิดแรงบนั ดาลใจ
เขา้ รว่ มกิจกรรมด้วยตนเองอยา่ งกะทันหัน ก็อาจกระทาได้
4.5 ให้มีการบนั ทึกการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมลงในสมดุ บันทึกกิจกรรมเพ่ือสงั คม เพื่อให้ทราบลกั ษณะของ
กิจกรรม จานวนเวลาท่ปี ฏิบัติในแตล่ ะครั้ง และความสมา่ เสมอของการปฏบิ ัติ
4.6 จัดให้ผูเ้ รยี นได้รบั การประเมินครอบคลุมใน 3 ด้านหลกั ไดแ้ ก่
4.6.1 คุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์
4.6.2 ความสามารถในการทางานอย่างมีคุณภาพ
4.6.3 คณุ ค่าทใี่ ห้ต่อสงั คม
โดยใชเ้ กณฑ์การประเมินท่กี าหนด ทั้งน้ีสถานศึกษาสามารถเพ่ิมใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการจาเปน็
ของสถานศกึ ษาไดก้ รณผี ู้เรียนทป่ี ฏิบัตกิ จิ กรรมโดยมิไดเ้ ขยี นโครงการ เพ่ือขอรบั ความเห็นชอบ ผู้เรยี นตอ้ ง
จดั ทารายงาน และนาเสนอผลการปฏบิ ัตติ อ่ สาธารณชนด้วยวธิ กี ารตา่ งๆ ได้แก่ ประชุมเสวนา จัดนทิ รรศการ
เป็นต้น ท้ังนสี้ ถานศึกษาต้องจัดใหม้ กี ารนาเสนอผลงานต่อสาธารณอย่างน้อยปีการศึกษาละ 1 คร้ัง และ
แต่งตัง้ คณะกรรมการประเมนิ เพอื่ ยนื ยนั ผลการปฏิบตั ิกจิ กรรมเพือ่ สังคมของผูเ้ รียน ครอบคลุมท้งั 3 ดา้ นหลัก
ดงั กล่าวข้างต้น
4.7 ผู้ประเมนิ กจิ กรรมจะต้องเป็นผมู้ ีความรู้ ความชานาญในกิจกรรมนน้ั ๆ ได้รับความเหน็ ชอบจากสาน
ศึกษา
4.8 สถานศึกษาจัดทาแบบบนั ทึกกิจกรรมเพอ่ื สังคม มีสาระอย่างน้อยประกอบด้วย
4.8.1 ส่วนประวัติสว่ นตัวของผู้เรยี น
4.8.2 สว่ นการบันทึกการทากจิ กรรมโดยผ้เู รียน
4.8.3 สว่ นการประเมินผลการทากิจกรรมโดยผเู้ รียน
4.9 สถานศกึ ษาออกหนังสือรับรองการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ให้แกผ่ ู้เรียนควบคู่กับเอกสารแสดงผลการ
เรยี น
5. กจิ กรรมพัฒนำผู้เรียนกับกิจกรรมเพอ่ื สังคมโรงเรยี นแกว้ อนิ ทรส์ ธุ ำอุทศิ
เนอ่ื งจากกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี นมีลักษณะการดาเนินงานคลา้ ยคลงึ กบั กิจกรรมเพื่อสังคม กล่าวคือ
5.1เป็นกจิ กรรมท่ีผเู้ รียนมบี ทบาทสาคญั โดยเป็นผเู้ ลือกทากิจกรรมตามความถนดั ความสนใจ โดยมี
ครูเปน็ ที่ปรกึ ษา
หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนแก้วอินทร์สุธาอุทิศ ปกี ารศกึ ษา 2564
๑๐๔
5.2เปน็ กจิ กรรมที่มุง่ พฒั นาศักยภาพของผูเ้ รยี น มีคุณธรรม จริยธรรมและลักษณะท่พี งึ ประสงคต์ ่างๆ
อย่างไรกต็ ามกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน อาจจะมบี างส่วนท่แี ตกต่างจากกจิ กรรมสรา้ งสรรค์สงั คมอยู่
บ้าง ก็คือ
1) กิจกรรมเพ่อื สงั คมเน้นกลุ่มเป้าหมายผูเ้ รยี นในทุกระดบั ชั้นและสนับสนุนให้เกิดการนาผลการ
ปฏิบตั ิ กิจกรรมไปใชเ้ ปน็ สว่ นหน่งึ ของการคดั เลือกบุคคลเข้าศึกษาตอ่
2) กิจกรรมเพื่อสงั คมเนน้ การประเมนิ ผลกจิ กรรมท่ีเป็นระบบเชอ่ื ถือได้
3) กจิ กรรมเพือ่ สังคมต้องใชเ้ วลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมที่มีความสมา่ เสมอและช่วงระยะเวลาต่อเนื่อง
ยาวนานพอสมควร
ดังนั้นโรงเรียนแกว้ อนิ ทร์สุธาอุทิศ จึงจัดกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น ให้มลี กั ษณะสอดคลอ้ งกับกจิ กรรมเพื่อ
สังคมในสว่ นท่ยี งั มีความแตกตา่ งอยู่ กจ็ ะเปน็ ประโยชน์ต่อสถานศึกษาเองทจี่ ะไม่ยุ่งยากในการต้องดาเนินงาน
ทั้ง 2 กิจกรรม และจะเป็นประโยชนต์ อ่ ผูเ้ รยี นเปน็ อยา่ งมาก
กำรเช่อื มโยงกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รียนกับกิจกรรมเพื่อสังคมของ โรงเรยี นแก้วอนิ ทร์สธุ ำอุทิศดังนี้
1. ส่งเสรมิ การจดั กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนของผเู้ รียนในทุกระดับช้นั เช่น กิจกรรมตามความถนัด และ
สนใจ กจิ กรรมลูกเสือ-เนตรนารี และกจิ กรรมผ้บู าเพ็ญประโยชน์ทม่ี ลี ักษณะสอดคล้องกบั
กจิ กรรมเพื่อสังคม โดยกาหนดให้มีระบบการบันทึกการปฏิบตั ิ และการประเมินผลในแนวทาง
เดยี วกับกจิ กรรมเพ่ือสังคม
2. แนวปฏิบตั ิในการจัดกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนของผู้เรยี นในทุกระดับช้ันให้มแี นวทางเดยี วกับ
กจิ กรรมสร้างสรรค์สงั คม
3. ให้มคี วามต่อเนื่องและสม่าเสมอของการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน เช่น ไม่ควรนอ้ ยกวา่ 6
เดือน เพ่ือประโยชน์ ในการประเมนิ ผลการปฏิบตั ิกิจกรรมได้อยา่ งเท่ียงตรง ยตุ ธิ รรม
6. กำรประเมินผลกำรจดั กิจกรรมเพ่ือสังคมและสำธำรณะประโยชน์โรงเรยี นแก้วอินทรส์ ธุ ำอุทิศ
1. ประเมนิ จากพฤติกรรมความสนใจในการเข้ารว่ มกจิ กรรม ดูจากจานวนคร้งั และเวลา
2. ประเมินจากการปฏิบตั ิกิจกรรมไดต้ รงตามจดุ ประสงค์ของแต่ละกจิ กรรมดจู ากผลงานและการร่วม
กจิ กรรมกบั ผูอ้ ่นื
3. ประเมินพัฒนาการของเยาวชนสมาชกิ ดา้ นตา่ งๆ ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคม จติ ใจ สติปัญญา
และคณุ ธรรม ดูจากผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรมเพ่อื ไดร้ บั เคร่ืองหมายแสดงความสามารถ
4. ประเมินจากการรบั รองผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยการรับรองจากคณะกรรมการสถานศึกษา และ
ผ้นู าท้องถนิ่
หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นแก้วอนิ ทร์สธุ าอุทิศ ปกี ารศกึ ษา 2564
๑๐๕
กจิ กรรมเพ่อื สังคมและสำธำรณประโยชน์โรงเรียนแก้วอินทร์สุธำอุทศิ
กจิ กรรมเพ่อื สังคมและสำธำรณประโยชน์
1. เพือ่ ให้ผ้เู รียนบาเพ็ญตนให้ หลักกำร กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์เป็ นกิจกรรมที่
เป็ นประโยชน์ต่อครอบครัว โรงเรียน ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ วัตถุประสงค์ ต้องสง่ เสริมให้ผ้เู รียนสามารถพฒั นาตนเองตามธรรมชาติ
และเตม็ ตามศกั ยภาพ โดยคานงึ ถึงความแตกตา่ งระหวา่ ง
2. เพ่ือให้ผ้เู รียนออกแบบการจดั กิจกรรม ขอบข่ำย บุคคล และพัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสาคญั ทงั้
เพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์อยา่ งสร้างสรรค์ตามความถนดั และ - กิจกรรมอาสา ความรู้และคุณธรรม จริยธรรม จัดกิจกรรมโดยให้ผ้เู รียน
ความสนใจในลกั ษณะอาสาสมคั ร คิด สร้ างสรรค์ ออกแบบกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์อย่าง
หลากหลายรูปแบบเพ่ือแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสงั คม
3. เพือ่ ให้ผ้เู รียนพฒั นาศกั ยภาพในการจดั ในลกั ษณะจิตอาสา
กิจกรรมเพื่อสงั คม และสาธารณประโยชน์ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
4. เพอ่ื ให้ผ้เู รียนปฏิบตั ิกิจกรรมเพอื่ สงั คม
และสาธารณประโยชน์จนเกิดคณุ ธรรม จริยธรรม ตามคณุ ลกั ษณะอนั พงึ
ประสงค์
5. เพื่อให้ผ้เู รียนมีจิตสาธารณะและใช้
เวลาวา่ งให้เป็ นประโยชน์
่ซ อ ม เ ส ิร ม จดั กจิ กรรม จดั เป็นโครงการ/โครงงาน/ เงือ่ นไข
บรู ณาการในกลมุ่ กิจกรรม 1. จดั กิจกรรมอยา่ งตอ่ เน่ือง
2. มีครูท่ีปรึกษากิจกรรมทกุ
จดั กิจกรรม
- ในโรงเรียน กิจกรรม
3. เน้นผ้เู รียนเป็ นผ้จู ดั กิจกรรม/
จดั กิจกรรมร่วมกบั องค์กร
อ่ืน รายงานตนเอง/มีชนิ ้ งาน
ไม่ผ่ำน ไมต่ ามเกณฑ์ ประเมนิ ผล ตามเกณฑ์ เกณฑ์การประเมิน
1. เวลาเข้าร่วมกิจกรรม
ผ่ำน 2. การปฏบิ ตั ิกิจกรรม
3. ผลงาน/ชนิ ้ งาน/คณุ ลกั ษณะของ
ส่งผลกำรประเมิน
หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนแก้วอินทรส์ ธุ าอทุ ิศ ปกี ารศึกษา 2564
๑๐๖
สว่ นท่ี 4
เกณฑ์การจบการศกึ ษา
หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นแกว้ อินทรส์ ุธาอุทิศ (ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศักราช 2562) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดเกณฑส์ ำหรับการจบการศกึ ษาดังน้ี
เกณฑ์การจบระดบั ประถมศึกษา
๑. ผูเ้ รยี นเรียนรายวิชาพ้ืนฐานและรายวชิ าเพิ่มเตมิ โดยเปน็ รายวชิ าพื้นฐานตามโครงสร้างเวลา
เรียนท่ีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนด และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด
และมผี ลการประเมนิ รายวชิ าผา่ นทกุ รายวิชา
๒. ผู้เรียนตอ้ งมผี ลการประเมินการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียนระดับ “ผ่าน” ขนึ้ ไป
๓. ผ้เู รยี นตอ้ งมผี ลการประเมิน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ระดบั “ผ่าน” ขน้ึ ไป
๔. ผเู้ รียนตอ้ งเขา้ ร่วมกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น และไดร้ บั การตัดสินผลการเรยี น “ผ่าน”ทุก
กจิ กรรม
การจดั การเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสตู รท่ีมมี าตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะสำคัญและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
ของผเู้ รียน เป็นเป้าหมายสำหรบั พฒั นาเด็กและเยาวชน
ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรร
กระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่างๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญ
ใหผ้ ู้เรียนบรรลตุ ามเปา้ หมาย
1. หลกั การจดั การเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้สมรรถนะ
สำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยยึด
หลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญท่ีสุด เช่ือว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ท่ี
เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม
ศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเน้นให้ความสำคัญท้ังความรู้ และ
คณุ ธรรม
2. กระบวนการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ท่ี
หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ท่ีจำเป็นสำหรับ
ผูเ้ รียน อาทิ กระบวนการเรยี นรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรกู้ ระบวนการคิด กระบวนการทาง
สังคม กระบวนการเผชญิ สถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์จริง กระบวนการ
๑๐๗
ปฏิบัติ ลงมือทำจริงกระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง
กระบวนการพัฒนาลกั ษณะนสิ ยั
กระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา
เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังน้ัน ผู้สอน จึง
จำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการ
เรียนรไู้ ด้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
3. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้
ผ้สู อนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศกึ ษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้วี ัด สมรรถนะ
สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรยี น แล้วจึงพิจารณา
ออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดแล ะ
ประเมนิ ผล เพอื่ ให้ผเู้ รยี นไดพ้ ฒั นาเตม็ ตามศกั ยภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
4. บทบาทของผูส้ อนและผ้เู รียน
การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ท้ังผู้สอนและผู้เรียน
ควรมีบทบาท ดงั น้ี
4.1 บทบาทของผสู้ อน
1) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการ
เรียนรู้ ทีท่ า้ ทายความสามารถของผูเ้ รยี น
2) กำหนดเป้าหมายที่ต้องการใหเ้ กดิ ข้ึนกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะกระบวนการ
ทเ่ี ปน็ ความคิดรวบยอด หลกั การ และความสมั พันธ์ รวมทัง้ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
และพฒั นาการทางสมอง เพ่อื นำผเู้ รียนไปสเู่ ป้าหมาย
4) จัดบรรยากาศท่ีเออ้ื ต่อการเรียนรู้ และดแู ลชว่ ยเหลอื ผู้เรียนใหเ้ กดิ การเรียนรู้
5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถ่ิน เทคโนโลยี
ทเี่ หมาะสมมาประยกุ ตใ์ ช้ในการจดั การเรียนการสอน
6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรยี นด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติ
ของวชิ าและระดบั พัฒนาการของผู้เรยี น
7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมท้ังปรับปรุง
การจัดการเรียนการสอนของตนเอง
4.2 บทบาทของผูเ้ รียน
1) กำหนดเป้าหมายวางแผนและรับผิดชอบการเรยี นรู้ของตนเอง
2) เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถึงแหลง่ การเรียนรู้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ขอ้ ความรู้ ตัง้ คำถาม
คดิ หาคำตอบหรอื หาแนวทางแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ ีการต่างๆ
3) ลงมือปฏิบัติจรงิ สรุปส่งิ ทีไ่ ด้เรียนรดู้ ้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้ใน
สถานการณต์ ่างๆ
4) มีปฏสิ ัมพนั ธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมรว่ มกบั กลมุ่ และครู
5) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ของตนเองอย่างตอ่ เนอ่ื ง
หลักสูตรสถานศึกษาฉบบั ปรบั ปรงุ โรงเรียนแก้วอินทรส์ ุธาอทุ ิศ ปกี ารศึกษา 2565
๑๐๘
สื่อการเรียนรู้
ส่ือการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึง
ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพส่ือการ
เรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติส่ือส่งิ พิมพ์ส่ือเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรูต้ ่างๆ ท่ีมีใน
ท้องถ่ินการเลือกใช้ส่ือควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ และลีลาการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ของผเู้ รียน
การจัดหาส่ือการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเองหรือปรับปรุง
เลือกใช้อย่างมีคุณภาพจากส่ือต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพ่ือนำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ท่ีสามารถ
ส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษาเขตพื้นท่ีการศึกษา หน่วยงานที่เก่ียวข้องและผู้มีหน้าท่ีจัด
การศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานควรดำเนินการดังนี้
1.จัดให้มีแหล่งการเรยี นร้ศู ูนยส์ ือ่ การเรียนรรู้ ะบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่าย
การเรียนร้ทู ่มี ปี ระสิทธภิ าพทั้งในสถานศกึ ษาและในชมุ ชนเพอ่ื การศึกษาคน้ คว้าและการแลกเปลย่ี น
ประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศกึ ษาท้องถ่ิน ชุมชน สังคมโลก
2.จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียนเสริมความรู้ให้ผู้สอน
รวมทั้งจดั หาสง่ิ ท่มี ีอยใู่ นทอ้ งถน่ิ มาประยกุ ต์ใชเ้ ป็นสื่อการเรียนรู้
3.เลือกและใช้สือ่ การเรียนรทู้ มี่ คี ุณภาพมคี วามเหมาะสมมีความหลากหลาย สอดคลอ้ งกับ
วิธีการเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรยี นรู้ และความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลของผเู้ รยี น
4.ประเมินคณุ ภาพของสอื่ การเรยี นรู้ท่เี ลอื กใช้อย่างเปน็ ระบบ
5.ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียน
6.จัดให้มีการกำกับติดตามประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับสื่อและการใช้สื่อ
การเรียนร้เู ปน็ ระยะๆ และสม่ำเสมอ
ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษาควร
คำนึงถึงหลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตรวัตถุประสงค์การเรียนรู้การ
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเนื้อหามีความถูกต้องและทันสมัยไม่กระทบ
ความมัน่ คงของชาติ ไมข่ ัดต่อศลี ธรรมมกี ารใชภ้ าษาท่ีถกู ต้องรปู แบบการนำเสนอที่เขา้ ใจงา่ ยและน่าสนใจ
การบริหารจัดการหลกั สตู ร
ในระบบการศึกษาที่มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนา
หลักสูตรนั้น หน่วยงานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับ
สถานศึกษา มีบทบาทหน้าท่ี และความรับผิดชอบในการพัฒนา สนับสนุน ส่งเสริม การใช้และพัฒนา
หลักสูตรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้การดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและ การจัดการ
เรียนการสอนของสถานศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนบรรลุตาม
มาตรฐานการเรยี นรูท้ ีก่ ำหนดไวใ้ นระดับชาติ
หลักสูตรสถานศึกษาฉบบั ปรบั ปรงุ โรงเรยี นแกว้ อนิ ทรส์ ุธาอุทศิ ปกี ารศกึ ษา 2565
๑๐๙
สถานศึกษามีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การวางแผนและดำเนินการใช้
หลักสูตร การเพิ่มพูนคุณภาพการใช้หลักสูตรด้วยการวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
จัดทำระเบียบการวัดและประเมนิ ผล ในการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาตอ้ งพิจารณาใหส้ อดคล้องกับ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และรายละเอียดที่เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือหน่วยงานต้นสังกัด
อ่นื ๆ ในระดับทอ้ งถนิ่ ไดจ้ ดั ทำเพิม่ เติม รวมทั้ง สถานศึกษาสามารถเพิม่ เติมในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพปัญหาใน
ชมุ ชนและสังคม ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ และความต้องการของผู้เรียน โดยทุกภาคสว่ นเขา้ มามีส่วนรว่ มในการ
พฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา
การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือการ
ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสนิ ผลการเรียนในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ประสบ
ผลสำเร็จน้ัน ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวช้ีวัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้
สะท้อนสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นเรียนระดับสถานศึกษาระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา
และระดับชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการ
ประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศท่ีแสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรียนของ
ผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม
ศกั ยภาพ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับ
สถานศึกษา ระดบั เขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา และระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้
1. การประเมินระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการ
เรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่าง
หลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/
ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบฯลฯโดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ประเมินตนเอง เพอื่ นประเมินเพือ่ น ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไมผ่ า่ นตัวชีว้ ดั ให้มีการสอนซอ่ มเสริม
การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการ
เรียนรู้อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีส่ิงที่จะต้องได้รับ
การพัฒนาปรบั ปรุงและสง่ เสรมิ ในด้านใดนอกจากนี้ยงั เป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนของ
ตนด้วย ท้ังน้ีโดยสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชี้วัด
2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินท่ีสถานศึกษาดำเนินการเพ่ือตัดสิน
ผลการเรียนของผู้เรยี นเป็นรายป/ี รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขียนคุณลักษณะอัน
พึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ีเพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับการจัดการศึกษาของ
สถานศึกษา ว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมท้ัง
สามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดับ
สถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการ
เรียนการสอน ตลอดจนเพ่ือการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการ
หลกั สตู รสถานศึกษาฉบับปรบั ปรงุ โรงเรยี นแก้วอินทร์สุธาอุทศิ ปีการศกึ ษา 2565
๑๑๐
ประกันคณุ ภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศกึ ษา สำนักงานเขต
พนื้ ทก่ี ารศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ผปู้ กครองและชมุ ชน
3. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษาเป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขต
พ้ืนที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูล
พ้ืนฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพ้ืนท่ีการศึกษาตามภาระความรับผิดชอบ สามารถ
ดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานท่ีจัดทำและดำเนินการโดยเขต
พ้นื ท่กี ารศึกษา หรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกดั ในการดำเนินการจัดสอบ นอกจากนย้ี ังไดจ้ าก
การตรวจสอบทบทวนขอ้ มูลจากการประเมนิ ระดับสถานศึกษาในเขตพ้ืนที่การศึกษา
4. การประเมนิ ระดับชาติเป็นการประเมนิ คุณภาพผ้เู รยี นในระดับชาติตามมาตรฐานการ
เรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานสถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนท่ีเรียน ในช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี3ชั้นประถมศึกษาปีที่6เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการ
เทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่างๆ เพ่ือนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา
ตลอดจนเปน็ ขอ้ มลู สนับสนุนการตดั สินใจในระดับนโยบายของประเทศ
ข้อมูลการประเมินในระดับต่างๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบ
ทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดระบบดูแล
ช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพ้ืนฐานความ
แตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความตอ้ งการ ไดแ้ ก่ กลุ่มผ้เู รยี นท่วั ไป กลุ่มผเู้ รียนท่มี ี
ความสามารถพเิ ศษกลุ่มผู้เรียนทมี่ ีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นตำ่ กลมุ่ ผเู้ รียนท่ีมีปัญหาด้านวนิ ัยและพฤตกิ รรม
กลุ่มผู้เรียนท่ีปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางร่างกายและ
สตปิ ัญญา เป็นตน้ ขอ้ มูลจากการประเมนิ จึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลอื ผู้เรียนได้
ทนั ทว่ งที ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนได้รับการพฒั นาและประสบความสำเรจ็ ในการเรยี น
สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาจะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและ
ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติท่ีเป็น
ข้อกำหนดของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพื่อใหบ้ คุ ลากรทีเ่ ก่ียวข้องทุกฝา่ ยถือปฏบิ ัติรว่ มกนั
เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรยี น
1. การตดั สิน การใหร้ ะดับและการรายงานผลการเรยี น
1.1 การตดั สนิ ผลการเรยี น
ในการตัดสนิ ผลการเรยี นของกลมุ่ สาระการเรียนรู้ การอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียน
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนน้ัน ผสู้ อนตอ้ งคำนึงถึงการพัฒนาผเู้ รียนแต่ละคนเปน็
หลกั และต้องเก็บข้อมลู ของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อม
เสริมผเู้ รียนให้พัฒนาจนเตม็ ตามศกั ยภาพ
ระดบั ประถมศกึ ษา
(1) ผเู้ รยี นต้องมเี วลาเรียนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนท้ังหมด
(2) ผ้เู รียนต้องได้รับการประเมนิ ทกุ ตวั ชีว้ ัด และผ่านตามเกณฑท์ สี่ ถานศกึ ษากำหนด
(3) ผเู้ รยี นต้องไดร้ บั การตดั สนิ ผลการเรยี นทกุ รายวิชา
หลกั สตู รสถานศึกษาฉบับปรบั ปรุงโรงเรยี นแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ิศ ปกี ารศกึ ษา 2565
๑๑๑
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กำหนด ในการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน
การพิจารณาเลื่อนชั้น ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถานศึกษาพิจารณาเห็น
ว่าสามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดลุ พินิจของสถานศึกษาท่ีจะผ่อนผนั ให้เลื่อนชั้นได้ แต่หาก
ผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับช้ันที่สูงขึ้น
สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำช้ันได้ ทั้งน้ีให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้
ความสามารถของผู้เรียนเปน็ สำคัญ
1.2 การใหร้ ะดับผลการเรียน
ระดับประถมศึกษาในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวชิ าสถานศึกษาสามารถ
ให้ระดับผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษรระบบร้อย
ละ และระบบท่ใี ช้คำสำคญั สะท้อนมาตรฐาน
การตดั สินเพอื่ ให้ระดบั ผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้
ให้ใชร้ ะบบตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนในแต่ละกลมุ่ สาระ เปน็ ๘ ระดบั ดังน้ี
ระดบั ผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ
๔ ดีเยยี่ ม ๘๐ - ๑๐๐
๓.๕ ดมี าก ๗๕ - ๗๙
๓ ดี ๗๐ - ๗๔
๒.๕ คอ่ นข้างดี ๖๕ - ๖๙
๒ ปานกลาง ๖๐ – ๖๔
๑.๕ พอใช้ ๕๕ - ๕๙
๑ ๕๐ – ๕๔
๐ ผลการเรยี นผา่ นเกณฑข์ ั้นตำ่ ๐ - ๔๙
ผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์
การประเมินอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน เป็นการประเมินศักยภาพของผู้เรียนในการอ่าน
การฟงั การดูและการรับรู้ จากหนังสือ เอกสารและสื่อต่างๆ ได้อยา่ งถูกต้อง แล้วนำมาคดิ วิเคราะห์เนื้อหา
สาระที่นำไปสู่การแสดงความคิดเห็น การสังเคราะห์สร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ และถ่ายทอดความคิดนั้น
ด้วยการเขียนซ่ึงสะท้อนถึงสติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและ
สร้างสรรค์จินตนาการอย่างเหมาะสมและมีคุณค่าแก่ตนเอง สังคมและประเทศชาติ พร้อมด้วยประสบการณ์
และทักษะในการเขียนที่มีสำนวนภาษาถูกต้อง มีเหตุผลและลำดับข้ันตอนในการนำเสนอ สามารถสร้าง
ความเขา้ ใจแก่ผู้อ่านไดอ้ ย่างชดั เจนตามระดบั ความสามารถในแต่ละระดับชัน้ การประเมนิ
การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน สรุปผลเป็นรายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมินการเลื่อนชั้น
เรียนและการจบการศึกษา ให้ระดับผลการประเมินเป็นผ่านและไม่ผ่าน กรณีท่ีผ่านให้ระดับผลการเรียน
เปน็ ดเี ยย่ี ม ดี และผ่าน
ดีเยี่ยม หมายถึง สามารถจับใจความสำคญั ได้ครบถ้วน เขยี นวิพากษ์วิจารณ์ เขียน
สร้างสรรค์ แสดงความคิดเหน็ ประกอบอย่างมเี หตผุ ล ไดถ้ ูกตอ้ งและสมบรู ณ์ ใช้ภาษาสภุ าพและเรยี บเรยี งได้
สละสลวย
หลกั สูตรสถานศึกษาฉบับปรบั ปรงุ โรงเรยี นแกว้ อินทรส์ ธุ าอุทิศ ปกี ารศกึ ษา 2565
๑๑๒
ดี หมายถึง สามารถจบั ใจความสำคัญได้ เขยี นวิพากษ์วจิ ารณ์ และเขยี นสรา้ งสรรค์
ไดโ้ ดยใช้ภาษาสภุ าพ
ผ่าน หมายถงึ สามารถจบั ใจความสำคญั และเขยี นวิพากษ์วจิ ารณ์ไดบ้ ้าง
กรณี ไมผ่ า่ น หมายถึง ไม่มีผลงานที่แสดงถงึ ความสามารถและไมป่ ฏิบัตติ ามเงือ่ นไขการ
ประเมินท่ีกำหนด
การประเมนิ การอ่านคิด วเิ คราะห์และเขยี นสรปุ ทุกกลุ่มสาระเพ่ือการเล่ือนช้นั และจบการศึกษา
เปน็ ผา่ นและไม่ผา่ น ถา้ กรณีที่ผา่ น กำหนดเกณฑ์การตดั สนิ เปน็ ดเี ยยี่ ม ดี และผา่ น และความหมายของ
แต่ละระดับ ดงั นี้
ดเี ยย่ี ม หมายถงึ ผู้เรียนมคี วามสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี น โดย
พิจารณาจากผลการประเมนิ ระดบั ดีเยย่ี ม จำนวน ๕ - ๘ กลุม่ สาระ และไมม่ ีกลุ่มสาระใดไดผ้ ลการประเมนิ
ตำ่ กว่าระดับดี
ดี หมายถงึ ผ้เู รียนมคี วามสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี น โดยพิจารณาจาก
๑. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดเี ยย่ี ม จำนวน ๑ - ๔ กลมุ่ สาระ และไมม่ ีกล่มุ
สาระใดได้ผลการประเมินตำ่ กวา่ ระดับดี หรอื
๒. ไดผ้ ลการประเมินระดับดีเยย่ี ม จำนวน ๔ กลมุ่ สาระ และไม่มกี ลุ่มสาระ
ใดไดผ้ ลการประเมินต่ำกวา่ ระดบั ผ่าน หรือ
๓. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดี / ดเี ย่ยี ม จำนวน ๕ - ๘ กลุ่มสาระ และไมม่ ี
กลุ่มสาระใดได้ผลการประเมินตำ่ กวา่ ระดบั ผา่ น
ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนมีความสามารถในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขยี น โดยพิจารณา
จาก
๑. ได้ผลการประเมินระดบั ผา่ นทกุ กลมุ่ สาระ หรอื
๒. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับดี จำนวน ๑ - ๔ กลมุ่ สาระ และไม่มีกลมุ่ สาระ
ใดได้ผลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดบั ผ่าน
ไมผ่ า่ น หมายถึง ผูเ้ รียนมคี วามสามารถในการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี น โดย
พิจารณาจากผลการประเมินระดบั ไมผ่ า่ น ตั้งแต่ ๑ กลุ่มสาระ
หลักการประเมินการอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขียน
๑. เป็นการประเมนิ เพอ่ื การปรับปรุงพฒั นาผเู้ รยี นและประเมินเพื่อการตดั สินการเล่อื น
ชัน้ และจบการศึกษาระดบั ต่าง ๆ
๒. ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย เพือ่ ใหผ้ ้เู รียนมโี อกาสได้แสดงออกซึง่ ความสามารถ
ดังกล่าวอยา่ งเตม็ ตามศกั ยภาพและทำให้ผลการประเมนิ ท่ีได้มีความเช่อื มนั่
๓. การกำหนดภาระงานใหผ้ ูเ้ รียนไดป้ ฏบิ ัติควรสอดคล้องกับขอบเขตและประเด็นการ
ประเมินที่กำหนด
๔. ใชร้ ูปแบบ วธิ กี ารประเมินและเกณฑ์การประเมนิ ท่ีไดจ้ ากการมีส่วนร่วมของ
ผเู้ กี่ยวขอ้ ง
๕. การสรปุ ผลการประเมนิ เพื่อรายงาน เนน้ การรายงานคุณภาพของความสามารถใน
การอา่ น คิดวเิ คราะห์และเขียน เป็น ๔ ระดับ คือ ดเี ย่ยี ม ดี ผ่าน และไมผ่ า่ น
หลกั สูตรสถานศึกษาฉบับปรับปรุงโรงเรียนแก้วอินทร์สุธาอทุ ศิ ปีการศกึ ษา 2565
๑๑๓
แนวดำเนินการพัฒนาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนสถานศึกษาควรดำเนินการ
พัฒนาและประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนเป็นกระบวนการอย่างชัดเจน สามารถ
ตรวจสอบการดำเนินงานได้ การพัฒนาและประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
สถานศกึ ษาอาจดำเนนิ การตามกระบวนการต่อไปน้ี
๑. แต่งตง้ั คณะกรรมการการพฒั นาและประเมนิ ความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์
และเขียนของสถานศึกษา ซ่ึงอาจประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้แทนคณะกรรมการสถานศึกษา
ผู้แทนครูผู้สอน ผู้แทนผู้ปกครองนักเรียน และผู้แทนนักเรียน เพ่ือกำหนดแนวทางในการพัฒนา ประเมิน
ปรับปรุงแก้ไข และตัดสินผลการประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนรายปี และจบ
การศึกษาแตล่ ะระดบั
๒. ศึกษานิยามหรือความหมายของความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
กำหนดขอบเขต และตัวช้ีวัดท่ีแสดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนให้สอดคล้องกับ
บรบิ ท และจุดเนน้ ของสถานศกึ ษาในแต่ละระดบั การศึกษา
๓. ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันศึกษาหลักการประเมิน และพิจารณากำหนดรูปแบบ
วิธีการพัฒนาและประเมินความสามารถในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียนของสถานศึกษา
๔. กำหนดแนวทางการพัฒนาและประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์
และเขียนให้สอดคล้องกับขอบเขตและตวั ชีว้ ดั ทก่ี ำหนดในข้อ ๒ และกำหนดระดับคุณภาพ หรอื เกณฑ์
ในการประเมินเป็น ๔ ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดี ผ่าน และไมผ่ า่ น เพื่อใช้ในการตดั สินผลรายปี และจบการศึกษา
แต่ละระดับ
๕. ดำเนินการพัฒนา ประเมนิ และปรับปรงุ แกไ้ ขความสามารถในการอ่าน คดิ
วิเคราะห์ และเขียนตามรูปแบบและวิธีการท่ีกำหนดอยา่ งต่อเน่ือง
๖. สรุปและตัดสินผลการประเมิน บันทึกและรายงานผลการประเมิน
ความสามารถ
ในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียนตอ่ ผ้เู ก่ยี วข้อง
เพ่ือให้เกิดความชัดเจนต่อผู้ปฏิบัติในการประเมินความสามารถด้านการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียน จึงได้กำหนดความหมาย และขอบเขตการประเมินเป็นระดับช้ันประถมศึกษาให้เป็น
กรอบในการประเมนิ เพ่อื ตัดสินการเลื่อนช้นั และการจบการศกึ ษาแตล่ ะระดับ
ความหมายการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เป็นการประเมินศักยภาพ
ของผู้เรียนในการอ่านจากหนังสือ ตำราเรียนเอกสาร และส่ือต่าง ๆ เพื่อหาและหรือเพ่ิมพูนความรู้
ประสบการณ์ เพ่ือความสุนทรีย์ และประยุกต์ใช้ แล้วนำเน้ือหาสาระที่อ่านมาคิดวิเคราะห์นำไปสู่การแสดง
ความคิดเห็น การสังเคราะห์ สร้างสรรค์ การแก้ปัญหาในเร่ืองต่าง ๆ และถ่ายทอดความคิดน้ันด้วยการ
เขียนที่มีสำนวนภาษาถูกตอ้ ง มีเหตุผลและลำดับขั้นตอนในการนำเสนอ สามารถสร้างความเข้าใจแก่ผอู้ ่าน
ไดอ้ ย่างชดั เจนตามระดบั ความสามารถในแตล่ ะระดบั ชั้น
หลกั สูตรสถานศึกษาฉบับปรับปรุงโรงเรยี นแกว้ อินทรส์ ธุ าอุทิศ ปีการศึกษา 2565
๑๑๔
ขอบเขตการประเมนิ และตัวชี้วัดท่แี สดงถึงความสามารถในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๑-๓
ขอบเขตการประเมนิ
การอ่านจากสือ่ สิ่งพิมพ์ และ/หรอื สื่อประเภทต่าง ๆ ท่ใี ห้ความเพลิดเพลนิ ความรู้
ประสบการณ์ และมีประเด็นใหค้ ดิ และเขียนบรรยายถา่ ยทอดประเดน็ ที่คิดดว้ ยภาษาท่ถี ูกตอ้ งเหมาะสม
เช่น อา่ นสาระความรู้ทีน่ ำเสนออยา่ งสนใจ นิยาย เรือ่ งสั้นนิทาน นิยายปรัมปรา
ตวั ช้ีวัดความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน
๑. สามารถอ่านและหาประสบการณ์จากสอื่ ที่หลากหลาย
๒. สามารถจบั ประเด็นสำคัญ ขอ้ เท็จจรงิ ความคิดเหน็ เร่ืองท่อี ่าน
๓. สามารถเปรียบเทียบแง่มุมตา่ ง ๆ เชน่ ขอ้ ดี ข้อเสยี ประโยชน์ โทษ ความเหมาะสม
ไมเ่ หมาะสม
๔. สามารถแสดงความคิดเหน็ ต่อเร่อื งท่ีอ่าน โดยมีเหตุผลประกอบ
๕. สามารถถ่ายทอดความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ จากเร่ืองที่อ่านโดยการเขียน
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔-๖
ขอบเขตการประเมนิ
การอ่านจากสื่อส่ิงพิมพ์ และ/หรือสื่อประเภทต่าง ๆ ท่ีให้ข้อมูลสารสนเทศ ความรู้
ประสบการณ์ที่เออ้ื ให้ผู้อา่ นนำไปคิดวเิ คราะห์ แสดงความคดิ เห็น ตัดสินใจ แก้ปัญหา และถ่ายทอดโดยการ
เขยี นเป็นความเรียงเชิงสร้างสรรคด์ ้วยถ้อยคำภาษาทถี่ ูกตอ้ งชัดเจน เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือ
เรยี น บทความ สนุ ทรพจน์ คำแนะนำ คำเตือน
ตวั ช้ีวัดความสามารถในการอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขียน
๑. สามารถอา่ นเพื่อหาข้อมูลสารสนเทศเสริมประสบการณ์จากสอื่ ประเภทตา่ ง ๆ
๒. สามารถจบั ประเด็นสำคัญ เปรียบเทียบ เชือ่ มโยงความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลจากเรื่องท่ี
อา่ น
๓. สามารถเชอื่ มโยงความสมั พันธข์ องเรอ่ื งราว เหตุการณ์ของเรอ่ื งที่อา่ น
๔. สามารถแสดงความคิดเห็นต่อเรือ่ งท่อี ่านโดยมีเหตผุ ลสนับสนุน
๕. สามารถถา่ ยทอดความเข้าใจ ความคิดเห็น คุณค่าจากเร่ืองท่ีอา่ นโดยการเขยี น
การประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ให้มีการประเมินตามกรอบทีก่ ำหนดไว้ในหลักสตู ร
สถานศึกษา หรือ สถานศกึ ษาจะใช้กรอบตามที่กำหนดไวใ้ นหลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ดังนี้
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
๒. ซ่ือสตั ย์สุจริต
๓. มีวินยั
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยู่อยา่ งพอเพยี ง
๖. มุง่ ม่นั ในการทำงาน
๗. รักความเป็นไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ
หลักสตู รสถานศกึ ษาฉบับปรับปรงุ โรงเรยี นแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ิศ ปกี ารศึกษา 2565
๑๑๕
ใหร้ ะดับผลการประเมนิ เป็นผ่านและไมผ่ ่าน ตามที่สถานศึกษากำหนดเกณฑ์ กรณที ่ีผา่ น
ให้ระดบั ผลการเรียน เปน็ ดีเย่ียม ดี และผ่าน
ดีเย่ียม หมายถึง ผ้เู รยี นมคี ุณลักษณะในการปฏิบัติจนเป็นนิสัยและนำไปใชใ้ น
ชวี ิตประจำวันเพ่อื ประโยชน์สขุ ของตนเองและสังคม
ดี หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นที่
ยอมรับของสังคม
ผ่าน หมายถึงผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขท่ีสถานศึกษา
กำหนด
การประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ รวมทุกคณุ ลกั ษณะเพื่อการเลื่อนช้นั และจบการศึกษา เป็นผ่านและไม่
ผา่ น ถ้ากรณีที่ผา่ น กำหนดเกณฑ์การตัดสินเป็นดีเยีย่ ม ดี และผ่าน และความหมายของแตล่ ะระดบั ดังนี้
ดีเยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนปฏิบัติตนตามคุณลักษณะจนเป็นนิสัย และนำไปใช้ใน
ชีวติ ประจำวนั เพอ่ื ประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมนิ ระดบั ดีเยีย่ ม
จำนวน ๕ - ๘ คุณลกั ษณะ และไม่มคี ณุ ลกั ษณะใดได้ผลการประเมินตำ่ กวา่ ระดบั ดี
ดี หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เพ่ือให้เป็นการ
ยอมรับของสังคม โดยพิจารณาจาก
๑. ได้ผลการประเมนิ ระดับดเี ยย่ี ม จำนวน ๑ - ๔ คุณลกั ษณะ และไม่มีคุณลกั ษณะใด
ได้ผลการประเมินต่ำกว่าระดับดี หรือ
๒. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับดีเยยี่ ม จำนวน ๔ คณุ ลกั ษณะ และไมม่ คี ุณลกั ษณะใดได้ผล
การประเมนิ ต่ำกวา่ ระดบั ผ่าน หรือ
๓. ไดผ้ ลการประเมินระดับดี จำนวน ๕ - ๘ คณุ ลกั ษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผล
การประเมินตำ่ กว่าระดับผ่าน
ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขที่สถานศกึ ษา
กำหนดโดยพิจารณาจาก
๑. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับผา่ น จำนวน ๕ - ๘ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใด
ไดผ้ ลการประเมินตำ่ กวา่ ระดับผา่ น หรือ
๒. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ดี จำนวน ๔ คุณลักษณะ และไมม่ คี ณุ ลักษณะใดได้ผลการ
ประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดับผ่าน
ไมผ่ า่ น หมายถงึ ผเู้ รียนรับร้แู ละปฏิบตั ิได้ไม่ครบตามกฎเกณฑ์และเงื่อนท่สี ถานศึกษา
กำหนด โดยพิจารณาจากผลการประเมินระดบั ไมผ่ ่าน ตั้งแต่ ๑ คณุ ลักษณะ
การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น จะต้องพิจารณาทง้ั เวลาการเขา้ รว่ มกจิ กรรม
การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและผลงานของผู้เรียนตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษากำหนดและให้ผลการประเมินเปน็ ผ่าน
และไม่ผ่าน
กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน มี ๓ ลักษณะ คือ ๑) กจิ กรรมแนะแนว ๒) กิจกรรมนักเรยี น
ซ่ึงประกอบด้วย (๑) กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บำเพ็ญประโยชน์ โดยผู้เรียนเลือกอย่างใด
อยา่ งหนึ่ง ๑ กิจกรรม (๒) กิจกรรมชมุ นุมหรอื ชมรมอีก ๑ กจิ กรรม ๓) กิจกรรมเพอื่ สงั คม
และสาธารณประโยชน์ ให้ใชต้ ัวอักษรแสดงผลการประเมนิ ดังนี้
หลักสูตรสถานศกึ ษาฉบบั ปรับปรงุ โรงเรียนแกว้ อินทร์สธุ าอุทิศ ปีการศึกษา 2565
๑๑๖
“ผ” หมายถงึ ผ้เู รียนมีเวลาเข้ารว่ มกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติกจิ กรรมและมีผลงาน
ตามเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากำหนด
“มผ” หมายถึง ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติกิจกรรมและมี
ผลงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากำหนดในกรณีท่ีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มผ” สถานศึกษา ต้องจัดซ่อม
เสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมในส่วนที่ผู้เรียนไม่ได้เข้ารว่ มหรือไม่ได้ทำจนครบถ้วน แล้วจึงเปล่ียนผลการเรยี น
จาก “มผ” เป็น “ผ” ได้ ทง้ั นี้ ต้องดำเนินการให้เสรจ็ ส้นิ ภายในปกี ารศกึ ษานน้ั ยกเว้นมเี หตสุ ุดวสิ ยั ให้อย่ใู น
ดลุ ยพนิ ิจของสถานศึกษา
ในกรณที ผ่ี ู้เรยี นได้ผลการเรียน “มผ” สถานศกึ ษาต้องจัดซ่อมเสริมใหผ้ ู้เรยี นทำกิจกรรม
ในส่วนที่ผู้เรียนไม่ได้เข้าร่วมหรือไม่ได้ทำจนครบถ้วน แล้วจึงเปลี่ยนผลการเรียนจาก “มผ” เป็น “ผ” ได้
ทงั้ น้ี ต้องดำเนินการให้เสร็จสน้ิ ภายในปกี ารศกึ ษานน้ั ยกเว้นมเี หตุสดุ วิสยั ใหอ้ ยู่ในดลุ ยพนิ จิ ของสถานศึกษา
1.3 การรายงานผลการเรียน
ก า ร ร า ย ง า น ผ ล ก า ร เรี ย น เป็ น ก า ร สื่ อ ส า ร ใ ห้ ผู้ ป ก ค ร อ ง แ ล ะ ผู้ เรี ย น ท ร า บ
ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผูเ้ รยี น ซ่ึงสถานศึกษาตอ้ งสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงานให้
ผ้ปู กครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครัง้
การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบัตขิ องผู้เรียนท่ี
สะทอ้ นมาตรฐานการเรยี นร้กู ลุม่ สาระการเรยี นรู้
2. เกณฑก์ ารจบการศึกษา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนดเกณฑ์กลางสำหรับการจบการศึกษาเป็น
1ระดับ คอื ระดับประถมศึกษา
2.1 เกณฑ์การจบระดับประถมศกึ ษา
(1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน และรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติมตามโครงสร้างเวลา
เรยี นท่ีหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐานกำหนด
(2) ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพื้นฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ี
สถานศกึ ษากำหนด
(3) ผูเ้ รียนมีผลการประเมนิ การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนในระดบั ผา่ นเกณฑ์การ
ประเมินตามท่สี ถานศึกษากำหนด
(4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การ
ประเมนิ ตามที่สถานศึกษากำหนด
(5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ
ประเมินตามท่ีสถานศึกษากำหนด
สำหรับการจบการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาเฉพาะทาง
การศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพเิ ศษ การศกึ ษาทางเลือก การศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตาม
อัธยาศัยให้คณะกรรมการของสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษาและผู้ที่เก่ียวข้อง ดำเนินการวัดและ
ประเมินผล การเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์ในแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
หลกั สูตรสถานศกึ ษาฉบับปรบั ปรงุ โรงเรียนแกว้ อินทรส์ ุธาอุทศิ ปกี ารศึกษา 2565
๑๑๗
เอกสารหลกั ฐานการศึกษา
เอกสารหลักฐานการศึกษาเป็นเอกสารสำคัญท่ีบันทึกผลการเรียน ข้อมูลและสารสนเทศท่ี
เกี่ยวข้องกบั พฒั นาการของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้
1. เอกสารหลักฐานการศกึ ษาท่กี ระทรวงศึกษาธิการกำหนด
1.1 ระเบียนแสดงผลการเรียน เป็นเอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียน
ของผู้เรียนตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ของสถานศึกษา และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาจะต้องบันทึกข้อมูลและ
ออกเอกสารน้ใี ห้ผเู้ รียนเป็นรายบุคคล เมื่อผู้เรยี นจบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา (ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6)
1.3 แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา เปน็ เอกสารอนมุ ตั ิการจบหลกั สูตรโดยบนั ทกึ รายชื่อ
และขอ้ มูลของผู้จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา (ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6)
2. เอกสารหลกั ฐานการศึกษาท่ีสถานศกึ ษากำหนด
เป็นเอกสารท่ีสถานศึกษาจัดทำขึ้นเพ่ือบันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และข้อมูลสำคัญ
เก่ียวกับผเู้ รียน เช่น แบบรายงานประจำตัวนักเรียน แบบบนั ทกึ ผลการเรยี นประจำรายวิชา ระเบียนสะสม
ใบรับรองผลการเรียน และ เอกสารอ่ืนๆ ตามวัตถุประสงค์ของการนำเอกสารไปใช้
การเทยี บโอนผลการเรียน
สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรียนในกรณีต่างๆได้แก่ การย้ายสถานศึกษา
การเปล่ียนรูปแบบการศึกษา การยา้ ยหลกั สูตร การออกกลางคันและขอกลับเข้ารบั การศึกษาตอ่ การศึกษา
จากต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากนี้ ยังสามารถเทียบโอนความรู้ ทักษะ
ประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ เช่น สถานประกอบการ สถาบันศาสนา สถาบันการฝึกอบรมอาชีพ
การจัดการศึกษาโดยครอบครวั
การเทยี บโอนผลการเรยี นควรดำเนินการในชว่ งก่อนเปิดภาคเรียนแรก หรอื ต้นภาคเรยี นแรก
ทีส่ ถานศึกษารบั ผูข้ อเทียบโอนเปน็ ผู้เรยี น ทงั้ นี้ ผ้เู รียนทไ่ี ด้รบั การเทยี บโอนผลการเรยี นต้องศึกษาต่อเน่ือง
ในสถานศกึ ษาที่รับเทยี บโอนอยา่ งน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศึกษาท่รี ับผเู้ รียนจากการเทยี บโอนควร
กำหนดรายวชิ า/จำนวนหน่วยกติ ทจี่ ะรับเทียบโอนตามความเหมาะสม
การพิจารณาการเทยี บโอน สามารถดำเนนิ การได้ ดังน้ี
1. พจิ ารณาจากหลกั ฐานการศึกษา และเอกสารอืน่ ๆ ที่ใหข้ ้อมูลแสดงความรู้
ความสามารถของผู้เรยี น
2. พิจารณาจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียนโดยการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ ทั้ง
ภาคความรู้และภาคปฏิบตั ิ
3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบัติในสภาพจรงิ
การเทยี บโอนผลการเรยี นให้เปน็ ไปตาม ประกาศ หรือ แนวปฏบิ ัติ ของกระทรวงศึกษาธิการ
การบริหารจดั การหลักสูตร
ในระบบการศึกษาที่มีการกระจายอำนาจให้ท้องถ่ินและสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนา
หลักสูตรนั้น หน่วยงานต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับ
หลกั สตู รสถานศกึ ษาฉบบั ปรับปรุงโรงเรียนแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ศิ ปกี ารศึกษา 2565
๑๑๘
สถานศึกษา มีบทบาทหน้าท่ี และความรับผิดชอบในการพัฒนาสนับสนุนส่งเสริม การใช้และพัฒนา
หลักสูตรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและการจัดการ
เรียนการสอนของสถานศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนบรรลุตาม
มาตรฐานการเรยี นรทู้ ก่ี ำหนดไว้ในระดับชาติ
ระดบั ท้องถ่ิน ได้แก่ สำนักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษา หนว่ ยงานต้นสังกัดอื่น ๆ เป็นหน่วยงานที่มี
บทบาทในการขับเคล่ือนคุณภาพการจดั การศึกษา เป็นตวั กลางท่ีจะเชอื่ มโยงหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษา
ขนั้ พ้นื ฐานที่กำหนดในระดับชาติให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น เพ่ือนำไปสู่การจดั ทำ
หลักสูตรของสถานศึกษา ส่งเสริมการใช้และพัฒนาหลักสูตรในระดับสถานศึกษา ให้ประสบความสำเร็จ
โดยมีภารกิจสำคัญ คือ กำหนดเป้าหมายและจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในระดับท้องถิ่นโดย
พิจารณาให้สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นความต้องการในระดับชาติ พัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นประเมิน
คุณภาพการศึกษาในระดับท้องถ่ิน รวมทั้งเพิ่มพูนคุณภาพการใช้หลักสูตรด้วยการวิจัยและพัฒนาการ
พัฒนาบุคลากร สนับสนนุ ส่งเสรมิ ติดตามผล ประเมนิ ผล วเิ คราะห์ และรายงานผลคุณภาพของผู้เรียน
สถานศึกษามีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาการวางแผนและดำเนินการใช้
หลักสูตร การเพิ่มพูนคุณภาพการใช้หลักสูตรด้วยการวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
จัดทำระเบียบการวัดและประเมินผลในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน และรายละเอียดที่เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือหน่วยงานสังกัดอ่ืนๆ
ในระดับท้องถิ่นได้จัดทำเพิ่มเติม รวมท้ัง สถานศึกษาสามารถเพ่ิมเติมในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพปัญหาใน
ชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถ่ิน และความต้องการของผู้เรียน โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการ
พัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา
หลกั สูตรสถานศึกษาฉบับปรับปรงุ โรงเรียนแกว้ อนิ ทร์สธุ าอทุ ศิ ปกี ารศกึ ษา 2565