บทที่ 1
ความรู้พืน้ ฐานของศิลปนิยม ศิลปะทว่ั ไป และอทิ ธิพลท่ีทาให้ศิลปะมีความแตกต่างกนั
รายการเรียนการสอน
1.ความรู้พ้นื ฐานของศิลปนิยม
2.ความรู้พ้นื ฐานของศิลปะทวั่ ไป
3.อิทธิพลท่ีทาใหศ้ ิลปะมีความแตกต่างกนั
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.อธิบายความรู้พ้นื ฐานของศิลปนิยมได้
2.อธิบายความรู้พ้นื ฐานของศิลปะทว่ั ไปได้
3.สามารถวเิ คราะห์ถึงอิทธิพลที่ทาใหศ้ ิลปะมีความแตกต่างกนั ได้
สาระสาคญั
การศึกษาศิลปะและวิวฒั นาการทางดา้ นศิลปะของมนุษยชาติ ต้งั แต่ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์จนถึง
ยคุ ปัจจุบนั เราไดศ้ ึกษาแบบอยา่ งงานศิลปะ ความเคลื่อนไหว ความเพียรพยายามในการสร้างสรรค์ และ
ความเปลี่ยนแปลงของศิลปกรรมแต่ละยคุ เป็ นแบบอยา่ งเพื่อการพฒั นานาไปสู่การยกระดบั คุณภาพของ
งานศิลปะในยคุ ปัจจุบนั ศิลปนิยมจึงเป็นวชิ าท่ีวา่ ดว้ ยหลกั การทางสุนทรียศาสตร์เป็นหลกั การสร้างสรรค์
งานศิลปะและความเป็ นมาเป็ นไปของศิลปะแขนงต่างๆเพ่ือให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจที่ดี มีทศั นคติ
ถูกตอ้ งต่องานศิลปะร่วมกนั ตามท่ีมนุษยใ์ นสังคมให้ค่านิยมว่าดีหรือว่าไม่ดีเป็ นส่ิงท่ีตอ้ งการหรือไม่
ตอ้ งการในสังคม ค่านิยมในสังคมจึงมีอิทธิพลต่อการตดั สินใจของมนุษยใ์ นการเลือกสิ่งท่ีมองเห็นและ
เขา้ ใจคา่ นิยมจึงเปรียบเสมือนกรอบความคิดของสงั คม งานศิลปะใดถูกสร้างข้ึนมาอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
กบั หลกั เกณฑแ์ ละคา่ นิยมของสงั คม งานศิลปะน้นั กจ็ ะมีคา่ เป็นศิลปะนิยมควรคู่กบั สงั คมน้นั
1
ศิลปนิยม (Art Appreciation)
ศิลปนิยม (Art Appreciation) เป็นความซาบซ้ึงในงานศิลปะแบ่งตามยคุ สมยั ต่างๆ ใหศ้ ึกษาในแง่
ของคตินิยมความเช่ือสติปัญญาภูมิปัญญา ดงั น้ี
- ศิลปนิยมบ่งบอกสภาพเศรษฐกิจสงั คมและการเมือง
- ศิลปนิยมส่ือใหเ้ ห็นถึงการถ่ายทอดความรู้ความคิดจากคนยคุ หน่ึงไปสู่คนอีกยคุ หน่ึงอยา่ ง
ต่อเน่ือง
- ศิลปะนิยมแสดงใหเ้ ห็นถึงพฒั นาการดา้ นเอกลกั ษณ์ ซ่ึงเป็นค่านิยมของคนในสงั คมยคุ สมยั ต่างๆ
- ศิลปนิยมเป็นแบบแผนของการคิดริเริ่มสร้างสรรคแ์ ละแสดงออกอยา่ งชดั แจง้ หรือแอบแฝง
- ศิลปนิยมเป็นผลผลิตอนั เกิดจากการอยรู่ ่วมกนั ของมนุษยใ์ นสงั คมท่ีมีความคิดและยดึ ถือกนั มา
จนเป็น ประเพณีและคา่ นิยมซ่ึงรวมอยใู่ นความคิดสร้างสรรคน์ ้นั
- ศิลปนิยมเป็นผลงานที่มนุษยส์ ร้างข้ึนจนมีความผกู พนั และมีอิทธิพลต่อการคิดสร้างสรรคศ์ ิลปะ
ความหมายของศิลปนิยม
ศิลปะนิยมหมายถึงการนิยมชมชอบงานศิลปะอนั เป็นผลงานท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนดว้ ยฝี มือและเป็นที่
นิยมกนั ว่ามีคุณค่าทางศิลปะภายในขอบเขตของคติความเช่ือแห่งยุคสมยั น้ันๆศิลปะเป็ นสิ่งท่ีมนุษย์
สร้างสรรคข์ ้ึนตามประสบการณ์การรับรู้และถ่ายทอดเป็นผลงานศิลปะประเภทต่างๆโดยไม่จาเป็นตอ้ งมี
รูปแบบตายตวั ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไดต้ ามสภาพการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงตลอดจนวิวฒั นาการดา้ นวสั ดุและ
เทคโนโลยศี ิลปะจึงเป็นส่ิงที่สะทอ้ นความนึกคิดจินตนาการของมนุษยแ์ ต่ละยคุ สมยั ศิลปนิยมจึงเป็นวิชา
ท่ีวา่ ดว้ ยหลกั การทางสุนทรียศาสตร์เป็นหลกั การสร้างสรรคง์ านศิลปะและความเป็นมาเป็นไปของศิลปะ
แขนงต่างๆเพื่อใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจที่ดี มีทศั นคติถูกตอ้ งต่องานศิลปะร่วมกนั ตามท่ีมนุษยใ์ นสังคม
ให้ค่านิยมว่าดีหรือว่าไม่ดีเป็ นส่ิงท่ีตอ้ งการหรือไม่ตอ้ งการในสังคม ค่านิยมในสังคมจึงมีอิทธิพลต่อการ
ตดั สินใจของมนุษยใ์ นการเลือกส่ิงท่ีมองเห็นและเขา้ ใจค่านิยมจึงเปรียบเสมือนกรอบความคิดของสงั คม
งานศิลปะใดถูกสร้างข้ึนมาอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมกบั หลกั เกณฑแ์ ละค่านิยมของสงั คม งานศิลปะน้นั ก็จะ
มีคา่ เป็นศิลปะนิยมควรคู่กบั สงั คมน้นั
ความหมายของศิลปะโดยทวั่ ไป
ศิลปะเป็นคาที่มีความหมายท้งั กวา้ งและจาเพาะเจาะจง ท้งั น้ียอ่ มแลว้ แต่ทศั นะของนกั ปราชญแ์ ต่
ละคน รวมท้งั ความเช่ือแนวคิดในแต่ละยคุ แต่ละสมยั มีความแตกต่างกนั หรือแลว้ แต่วา่ จะนาศิลปะไปใช้
2
ในแวดวงที่กวา้ งขวางหรือจากัดอย่างไร แต่จากทัศนะของนักปราชญ์ท้ังหลายจะเห็นว่าศิลปะมี
คุณลกั ษณะท่ีเป็นตวั ร่วม สาคญั ที่สุด
ศิลปะ คือ สิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนเพ่ือแสดงออกซ่ึงอารมณ์, ความรู้สึก, ปัญญา, ความคิดและความ
งามท้งั น้ีจะกล่าวโดยรวมกค็ ือ ศิลปะ จะประกอบไปดว้ ยส่วนประกอบ 3 ประการ คือ
1. มีความงาม
2. มีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอน
3. มีความคิดสร้างสรรค์
เหตุท่ีจากดั วงอยเู่ ฉพาะผลิตผลของมนุษยอ์ าจเป็ นเพราะวา่ ในบรรดาสัตวโ์ ลกดว้ ยกนั มนุษยเ์ ป็น
สตั วป์ ระเภทเดียวที่สามารถสร้างสื่อในการทาความเขา้ ใจร่วมกนั ดีท่ีสุด และการดาเนินชีวิตก็มีการพฒั นา
ไปเป็ นระบบส่ิงเหล่าน้ีนับเป็ นสาเหตุหน่ึงท่ีมนุษยย์ กย่องความเป็ นสัตวโ์ ลกของตนว่าเป็ นประเภทที่
เหนือกวา่ สตั วโ์ ลกประเภทใด ดงั น้นั รูปร่างลกั ษณะหรือผลงานสร้างสรรคจ์ ากสิ่งต่างๆ ที่มิใช่ผลงานของ
มนุษยร์ วมท้งั ปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีมีความสลบั ซบั ซอ้ นมีความสวยงามมีรูปทรงแปลกตา แมม้ นุษยจ์ ะ
มีความช่ืนชมแต่ก็ไม่ยอมรับว่าเป็ นผลงานศิลปะ แต่หากมนุษย์ ใชค้ วามบนั ดาลใจ จากส่ิงเหล่าน้นั มา
สร้างสรรคข์ ้ึนมาใหม่ ถือวา่ เป็นศิลปะ พจนานุกรมศพั ทศ์ ิลปะ ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พุทธศกั ราช 2530
นิยามความหมายของศิลปะว่า ศิลปะ คือ ผลแห่งพลงั ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยท์ ่ีแสดงออกใน
รูปลกั ษณ์ต่างๆ ให้ปรากฏซ่ึงสุนทรียภาพความประทบั ใจหรือความสะเทือนอารมณ์ ตามอจั ฉริยภาพ
พุทธิปัญญาประสบการณ์รสนิยมและทกั ษะของแต่ละคน เพ่ือความพอใจความร่ืนรมยข์ นบธรรมเนียม
จารีตประเพณีหรือความเช่ือในลทั ธิศาสนา และกล่าวว่า ศิลปะแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ วิจิตร
ศิลป์ (Fine Art) กบั ประยกุ ตศ์ ิลป์ (Applied Art)
ภาพที่ 1.1 อริสโตเติล (Aristotle) ภาพจาTha Prachan Interdisciplinary Review
3
-อริสโตเติล (Aristotle) ปราชญใ์ นยคุ กรีกโบราณนิยามความหมายของศิลปะว่า ศิลปะ
คือการเลียนแบบธรรมชาติ (Art is the imitation of nature) การตีความจากคานิยามน้ี ธรรมชาติ
ถือเป็ นปัจจยั สาคญั ท่ีก่อให้เกิดแรงบนั ดาลใจให้แก่ศิลปิ นในการสร้างงานศิลปะ คานิยามว่า
ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ เป็ นคานิยามท่ีถือกนั ว่าเก่าแก่ท่ีสุดซ่ึง อริสโตเติล (Aristotle
384-322 B.C.) นกั ปราชญช์ าวกรีก เป็ นผตู้ ้งั ข้ึนเป็ นการช้ีให้เห็นว่าธรรมชาติอาจเปรียบไดด้ งั
แม่บทสาคญั ท่ีมีต่อศิลปะ ดว้ ยศิลปะเป็ นสิ่งสร้างโดยมนุษย์ และมนุษยก์ ็ถือกาเนิดมาท่ามกลาง
ธรรมชาติอีกท้งั บนเส้นทางการดาเนินชีวิตมนุษยก์ ็ผูกพนั ธ์อยู่กบั ธรรมชาติ จนไม่สามารถแยก
ออกจากกนั ไดใ้ นทางศิลปะมิใช่เป็นการบนั ทึกเลียนแบบเหมือนกระจกเงาหรือภาพถ่ายซ่ึงบนั ทึก
สะทอ้ นทุกส่วนที่อยตู่ รงหนา้ แต่อาจจะเพ่ิมเติม ตดั ทอน หรืออาจจะใส่อารมณ์ความรู้สึกเขา้ ไป
ดว้ ย ธรรมชาติเป็ นแหล่งบนั ดาลใจที่สาคญั ในการสร้างงานศิลปะของมนุษยธ์ รรมชาติ จึงอาจ
คลา้ ยแหล่งวิทยาการที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยใ์ นการศึกษา คน้ ควา้ ลอกเลียนและท่ีสาคญั คือ
มนุษยต์ อ้ งเรียนรู้ธรรมชาติเพื่อการดารงชีวิตอยา่ งมีประสิทธิภาพ และจากการสงั เกต มนุษยอ์ าจ
ได้พบกับความพึงพอใจในลักษณะที่ซ่อนเร้นอยู่กับธรรมชาติไม่ว่าจะเป็ นสีสัน รูปร่าง
บรรยากาศ ความแปลก ความงาม ฯลฯ และบางคร้ังสังเกตเห็น ความเปลี่ยนแปลง ของ
ธรรมชาติ ก่อใหเ้ กิดความประทบั ใจ สะเทือนใจ เสียดายและความรู้สึกอ่ืนๆ จนถึงความตอ้ งการ
เป็ นเจา้ ของจากความรู้สึกที่เกิดข้ึนน้ีเป็ นแรงกระตุน้ ให้มนุษยพ์ ยายามท่ีจะรักษาสภาพการณ์น้นั
ไวใ้ ห้คงอยู่ อาจดว้ ยความทรงจาและถ่ายทอดความทรงจาน้นั ดว้ ยสื่อและรูปแบบต่างๆ ในคา
นิยามน้ีศิลปะกเ็ ปรียบไดด้ งั เครื่องมือของศิลปิ นท่ีใชบ้ นั ทึกเลียนแบบธรรมชาติไว้
ภาพที่ 1.2 ตอลสตอย (Leo Tolstoi) ภาพจาก http://www.newheartawaken.com
4
-ตอลสตอย (Leo Tolstoi) นกั ประพนั ธท์ ี่มีช่ือเสียงชาวรัสเซียนิยามความหมายของศิลปะ
ว่า ศิลปะคือการถ่ายทอดความรู้สึกของมนุษย์ออกมา การถ่ายทอดความรู้สึกหรือแสดง
ความรู้สึก เป็นรูปทรง (Art is the transformation of Feelinginto form) รูปทรงในที่น้ีคือรูปธรรม
ที่สามารถสัมผสั ไดแ้ ละตีความหมายได้ซ่ึง หมายถึง ผลงานศิลปะที่เร่ิมมาจากความคิดท่ีเป็ น
ลกั ษณะนามธรรมภายในตวั ศิลปิ นเองท่ีคนทว่ั ไปไม่สามารถสัมผสั ไดโ้ ดยตรง นอกจากเจา้ ของ
ความรู้สึกน้นั จะถ่ายทอดหรือสะทอ้ นออกมาเป็นรูปทรงท่ีสมั ผสั ได้ ตามความหมายของนิยามน้ี
ศิลปะอาจเปรียบเสมือนส่ือหรือเครื่องมือที่ผูถ้ ่ายทอดใชเ้ ป็ นตวั กลางเพื่อโยงความรู้สึกของตน
แสดงให้ผอู้ ื่นไดร้ ับรู้ ไดเ้ ขา้ ใจในส่ิงท่ีตอ้ งการแสดง หรืออาจกล่าวไดว้ ่าเป็ นการแปลลกั ษณะ
นามธรรมมาเป็ นรูปธรรมนน่ั เอง แต่รูปธรรมที่แสดงออกน้ี อาจจะมีลกั ษณะเป็ นรูปทรงท่ีระบุ
เป็ นตวั ตนได้ว่าเป็ นรูปอะไร ท่ีเรียกว่าศิลปะก่ึงนามธรรมหรือระบุเป็ นตวั ตนไม่ไดท้ ี่เรียกว่า
ศิลปะนามธรรมส่วนความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนน้นั ก็เนื่องมาจากส่ิงเร้า 2 ประการ คือ สิ่งเร้าภายนอก
และส่ิงเร้าภายใน จากส่ิงเร้าทางใดทางหน่ึงน้ีมีอิทธิพลต่อการถ่ายทอดรูปแบบเป็นอนั มาก คือ ถา้
เป็ นความ รู้สึกท่ีเกิดข้ึน จากสิ่งเร้าภายนอก การถ่ายทอด มกั จะเป็ นรูปแบบ ในลกั ษณะเรื่องราว
รายละเอียดของสิ่งเร้าน้นั เช่น การดูการแสดงในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงแลว้ เกิดความรู้สึกสนุกสนาน
กบั บทบาทของตวั แสดงที่เห็นไดจ้ ากภายนอก ซ่ึงถือเป็ นส่ิงเร้าภายนอกเม่ือถ่ายทอดโดยการเล่า
ให้ผูอ้ ื่นฟังมกั จะเล่าเรื่องราว รายละเอียดของผูแ้ สดงและบทบาทการแสดงน้ัน แต่ถา้ เป็ น
ความรู้สึกที่เกิดข้ึนจากสิ่งเร้าภายในของการแสดงน้ันก็คือการเขา้ ใจ ซาบซ้ึงในเน้ือหาสื่อเป็ น
ความรู้สึกออกมา เช่นโศกเศร้า ดีใจ สนุกสนาน เป็นตน้
-ศิลปะ คือ ส่ือภาษาชนิดหน่ึง (Art is The Language) เป็ นตวั กลางท่ีสามารถชกั นา
เช่ือมโยงให้ถึงกนั หรือสามารถทาการติดต่อกนั ไดภ้ าษาหมายถึง เสียงหรือสื่อท่ีสามารถเขา้ ใจ
ซ่ึงกนั และกนั ได้ สรุปรวม แลว้ ท้งั ส่ือและภาษาเป็นพฤติกรรมท่ีแสดงออกเพ่ือชกั นา เพื่อติดต่อ
ให้ถึงกนั และเมื่อตีความหมายของคานิยามที่ว่าศิลปะ เป็นสื่อหรือภาษาไดอ้ ยา่ งไรโดยนาศิลปะ
ไปเปรียบเทียบกบั ส่ือท่ีเป็ นภาษาพูด และภาษาเขียน ในภาษาพูดเป็นลกั ษณะถ่ายทอดโดยใชส้ ่ือ
ประเภทเสียงเปล่งออกมาเป็นคาหรือประโยค เพอ่ื ส่ือความหมายในสิ่งที่ผพู้ ดู ตอ้ งการถ่ายทอดให้
ผฟู้ ังไดร้ ับรู้ ส่วนภาษาเขียนเป็นลกั ษณะการสื่อความหมาย โดยอาศยั สระ พยญั ชนะ วรรณยกุ ต์
ฯลฯ เพื่อโยง ให้เกิดความเขา้ ใจร่วมกนั ระหว่างผเู้ ขียนกบั ผอู้ ่าน การส่ือความหมายโดยใชภ้ าษา
เขียนและภาษาภาพ เป็ นลกั ษณะการถ่ายทอดส่ิงท่ีตอ้ งการให้ผูอ้ ื่นรับรู้ ให้ปรากฎในรูป แบบ
ศิลปะอนั อาจเป็นลกั ษณะของ เส้น, รูปร่าง, รูปทรง, ทิศทาง, แสงเงา, สีและอื่นๆ ท้งั ในลกั ษณะที่
เป็ นรูปธรรมและนามธรรม ตวั อยา่ งเช่น ในภาษาพูดสื่อความหมายโดยกล่าวคาว่า ผเี ส้ือ ผฟู้ ัง
5
ย่อมสามารถรู้ความหมายด้วยการระลึกถึงลักษณะรูปร่าง สีสัน รายละเอียดของผีเส้ือ จาก
ประสบการณ์เดิม ส่วนในภาษาเขียนกเ็ ช่นเดียวกนั เขียนคาวา่ ผเี ส้ือ ผอู้ ่านกต็ อ้ งระลึกถึงประสบ
การณ์เดิมมาประกอบในการแปลความเหมือนกนั และในทางศิลปะอาจถ่ายทอดโดยการวาดภาพ
ผีเส้ือข้ึน ผูด้ ูสามารถรับรู้และตีความไดท้ นั ทีโดยมิตอ้ งใช้ความคิดจินตนาการในรูปแบบมา
ประกอบการตีความยอ่ มแสดงไดว้ ่าศิลปะสามารถจดั เขา้ ลกั ษณะสื่อ หรือภาษา ไดเ้ ช่นเดียวกนั
และสื่อภาษาที่ชัดเจน กว่าสื่อตวั อกั ษรคือคาพูด ดงั คากล่าวของนักปรัชญาจีนที่เคยกล่าวว่า
รูปภาพ 1 รูปสามารถใชแ้ ทนคาพูด ไดน้ บั พนั คาการที่จะเขา้ ใจการสื่อความหมาย ไม่ว่าจะสื่อ
ภาษาชนิดใดก็ตามท้งั ภาษาพูด, ภาษาเขียน, หรือภาษาภาพ ผูท้ ี่สามารถตีความหมายทาความ
เข้าใจได้ย่อมต้องอาศัย การศึกษาเรี ยนรู้ใหลักการของภาษาน้ัน รวมท้ังการฝึ กฝนหา
ประสบการณ์เกี่ยวกับสื่อภาษาชนิดน้ันๆ มาเป็ นพ้ืนฐานไวโ้ ยงตีความหมาย ยิ่งมีพ้ืนฐาน
ประสบการณ์มากเท่าไรกย็ ง่ิ สามารถเขา้ ใจในสื่อภาษาน้นั เป็นอยา่ งดี
-ศิลปะ คือ การแสดงบุคลิกลกั ษณะของศิลปิ น (Art is the The Expression of Great
Personallity)บุคลิกภาพเป็ นลกั ษณะคงที่ของบุคคล หรือแนวโน้มท่ีแสดงให้เห็นถึงลกั ษณะท่ี
เหมือน หรือแตกต่างกนั ของพฤติกรรมทางจิตวิทยา เช่น ความนึกคิด ความรู้สึก และการกระทา
ในช่วงเวลาหน่ึง และบุคลิกภาพเป็นแบบแผนที่เป็นเอกลกั ษณ์ (Unique) ที่ประกอบกนั ข้ึนของ
บุคคล เป็ นเอกลักษณ์ประจาตวั ของมนุษยท์ ุกคนและไม่มีใครเหมือนใครได้เลยเป็ นความ
แตกต่างระหว่างบุคคลจากคาจากดั ความของนกั จิตวิทยาที่ให้ความหมายเก่ียวกบั บุคลิกภาพน้นั
พอท่ีจะสรุปได้ว่า บุคลิกภาพเป็ นลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ดังน้ัน
พฤติกรรมที่ปรากฏในแต่ละบุคคลยอ่ มไม่เหมือนกนั ศิลปะอาจนบั ไดว้ ่าเป็นเครื่องมือ หรือสื่อ ท่ี
ใชถ้ ่ายทอดและบนั ทึกพฤติกรรมของศิลปิ น ดงั น้นั ผลงานศิลปะกค็ ือ เคร่ืองบนั ทึกพฤติกรรมอนั
เป็นบุคลิกภาพเฉพาะของศิลปิ นนน่ั เอง
ภาพที่ 1.3 ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พรี ศรี (C. Feroci ) ภาพจาก http://www.siamrath.co.th
6
-ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีรศรี (C. Feroci) ศิลปิ นชาวอิตาเลียนผมู้ าวางรากฐาน การศึกษา
ศิลปะสมยั ใหม่ในประเทศไทย ได้นิยามความหมายของศิลปะว่า ศิลปะคืองานอนั เป็ นความ
พากเพยี รของมนุษย์ ซ่ึงจะตอ้ งใชค้ วามพยายามดว้ ยมือและความคิด
อทิ ธิพลทที่ าให้ศิลปะมคี วามแตกต่างกนั
การสร้างงานศิลปกรรมของมนุษยแ์ ต่ละชาติแตล่ ะกลุ่ม มีความแตกต่างกนั ออกไป ท้งั น้ีเพราะ
อิทธิพลต่าง ๆ ดงั น้ี
1.สภาพทางภูมิศาสตร์
2.สภาพทางประวตั ิศาสตร์
3.สภาพทางสงั คม
4.ปรัชญา และศาสนา
5.วสั ดุก่อสร้าง
6.สกุลศิลปะ
1.สภาพทางภูมิศาสตร์
กลุ่มชนใดต้งั ถ่ินฐานในทาเลท่ีเหมาะสม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุและน้า ก็ย่อมทาให้มี
เศรษฐกิจดี มีวสั ดุมากพอท่ีจะสร้างสรรคส์ ่ิงต่าง ๆ ได้ ในทางตรงขา้ มกลุ่มชนใดอยใู่ นแหล่งทุรกนั ดาร
ภาพท่ี 1.4 หมู่พรี ะมิดแห่งกีซาในประเทศอียปิ ต์ ภาพจากhttps://sites.google.com
7
ภูมิอากาศรุนแรง ร้อนจดั หนาวจดั น้าท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การดาเนินชีวิตก็จะ
เป็นไปไดย้ ากทาใหเ้ ศรษฐกิจไม่ดี จึงไม่มีเวลาสร้างสรรคศ์ ิลปกรรมที่ดีงามได้ และศิลปกรรมของคนสอง
กลุ่มน้ีก็จะแตกต่างออกไป ฉะน้นั ดินฟ้าอากาศก็มีส่วนในการสร้างสรรคง์ านศิลปกรรม ในประเทศเขต
ร้อนศิลปกรรมจะแตกต่างจากประเทศในเขตหนาว เช่น การสร้างบา้ นเรือนของพวกในเขตร้อนจะมี
ลกั ษณะโปร่งหลงั คาสูงข้ึน ชายคายนื่ ออกมากเพื่อใหฝ้ นไหลเทลงมาสะดวก ถา้ แหล่งใดมีน้าท่วมเสมอก็
นิยมยกพ้ืนใหส้ ูงข้ึน ลกั ษณะเช่นน้ีแตกต่างจากประเทศเมืองหนาวท่ีสร้างบา้ นเรือนมิดชิดแขง็ แรง เพราะ
ป้องกนั ความหนาวเยน็ การสร้างพ้ืนบา้ นไม่นิยมยกสูง และหลงั คาไม่สูงข้ึนอีกเช่นกนั แมแ้ ต่ในเรื่องการ
ใชส้ ีกน็ ิยมสีอ่อนไม่ตดั กนั รุนแรงดงั เช่นประเทศร้อน
2.สภาพทางประวตั ิศาสตร์
ชนชาติต่างๆ มีเร่ืองราวทางประวตั ิศาสตร์ไม่เหมือนกนั บางชาติเคยทาการศึกสงครามอยเู่ สมอ
บางชาติก็ถูกรุกรานโดยชาติมหาอานาจ ทาให้มีการอพยพเคลื่อนยา้ ยเสมอมา ชาติใดมีการต้งั บา้ นเมือง
เป็นปึ กแผน่ มน่ั คง มีการจดั สงั คมอยา่ งมีระเบียบเรียบร้อยกจ็ ะมีเวลาสร้างศิลปกรรมให้ใหญ่โตแลละเอียด
ประณีตได้ ตรงขา้ มกบั ชาติท่ีอพยพเคล่ือนยา้ ยอยเู่ สมอ ความประณีตทางศิลปกรรมจะลดนอ้ ยลงไปคุณค่า
ทางความงามต่าลง ศิลปะทุกแขนงมีความเป็ นไปตามความกา้ วหนา้ และความสามารถของกลุ่มชนในแต่
ละยคุ สมยั เช่น รูปป้ัน รูปเขียน รูปแกะสลกั อนุสาวรีย์ และป้อมปราการต่าง ๆ เกิดข้ึนมา เพราะอานาจ
ของกษตั ริย์ หรือศรัทธาของประชาชน
ภาพที่ 1.5 ภาพวาดยทุ ธหตั ถีบนผนงั พระอุโบสถวดั สุวรรณดาราม ภาพจากhttp://www.sookjai.com
8
3.สภาพทางสงั คม
สังคมใดที่มีการติดต่อกนั อย่างกวา้ งขวางจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวฒั นธรรม อารยะ
ธรรมและศิลปะต่างๆ รูปลกั ษณะของศิลปกรรมกจ็ ะมีรูปแบบเฉพาะที่แตกต่างจากสังคมปิ ด ฉะน้นั สงั คม
ที่มีการติดต่อกบั สงั คมอื่นอยเู่ สมอวิวฒั นาการทางศิลปกรรมจะเจริญข้ึนอยา่ งรวดเร็ว เพราะมีการลอก
เลียนแบบและนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั สังคมของตนเอง ยง่ิ มนุษยม์ ีความกวา้ งขวางในทางสงั คม
มากเท่าใด อิทธิพลทางสงั คมจะทาใหศ้ ิลปกรรมมีความแปลกแตกต่างออกไปมากเท่าน้นั
ภาพที่1.6 ภาพวาดของขรัวอินโขง่ ภาพจากนิตยสาร สกลุ ไทย
4.ปรัชญาและศาสนา
เป็ นส่วนท่ีมีอิทธิพลต่อความคิดในการสร้างศิลปกรรมเพราะเป็ นสิ่งแวดลอ้ มทางจิวิญญาณของ
มนุษยม์ าต้งั แต่สมยั ดึกดาบรรพ์ ท่ีโนม้ น้าวจิตใจให้คนแต่ละคนเป็ นผูก้ ลา้ หาญ อดทนอ่อนโยน เมตตา
ปราณี หรือเกิดศรัทธาแรงกล้า ศิลปกรรมต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนมาน้ันล้วนเป็ นไปตามวตั ถุประสงค์ของ
ส่ิงแวดลอ้ มทางจิตใจน้ี ศิลปิ นมีส่วนสาคญั ที่จะช่วยให้คาสอนของลทั ธิและปรัชญาเด่นชดั ข้ึน โดยสร้าง
สัญลกั ษณ์ออกมาเป็ นภาพเขียน ภาพป้ัน งานแกะสลกั โบสถว์ ิหาร และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพ่ือให้ชุมชน
กราบไหวย้ ดึ ถือ อีกท้งั เป็นส่ือชกั นาบุคคลเขา้ สู่ปรัชญาหรือศาสนา
9
5.วสั ดุก่อสร้าง
ในทอ้ งถิ่นแต่ละแห่งต่างมีทรัพยากรไม่เหมือนกนั ฉะน้นั วสั ดุที่จะนามาสร้างสรรคศ์ ิลปกรรมน้นั
ยอ่ มแตกต่างหลากหลายกนั ออกไป เช่นพวกเมโสโปเตเมียนิยมสร้างศิลปกรรมดว้ ยวสั ดุประเภทอิฐเพราะ
ดินหาง่ายกวา่ หิน แต่กท็ าใหซ้ ากศิลปกรรมหลงเหลือมาในยคุ ปัจจุบนั น้ีนอ้ ยมากต่างจากอียปิ ตท์ ี่นิยมสร้าง
ศิลปกรรมดว้ ยหิน จึงสามารถเหลือตกทอดมาจนถึงยคุ ปัจจุบนั ใหเ้ ราไดศ้ ึกษาความเป็นมาของมนุษยชาติ
ไดก้ ารที่แห่งหน่ึงมีวสั ดุอยา่ งหน่ึง แต่กลบั จะไปใชว้ สั ดุท่ีห่างไกลออกไปจะทาให้ยงุ่ ยากและติดขดั ดว้ ย
เรื่องการขนส่ง ค่าใชจ้ ่ายจึงสูงมาก และถา้ ศิลปิ นไม่มีความเขา้ ใจในธรรมชาติของวสั ดุท่ีห่างไกลจากถิ่น
เดิมของตนแลว้ อาจทาใหเ้ กิดความสูญเสีย หรือใชว้ สั ดุน้นั ๆ ไม่ถูกตอ้ งเหมาะสมกบั สภาพของมนั
ภาพท่ี1.7 ภาพปราสาทหินพมิ าย จงั หวดั นครราชสีมา ภาพจาก http://www.manager.co.th
อิทธิพลทางสกลุ ศิลปะ
สกลุ ศิลปะ หมายถึง ตระกลู หรือกลุ่มศิลปิ นท่ีประกอบงานศิลปะอยา่ งมีหลกั เกณฑ์ เทคนิคและ
อุดมคติในความงามทางศิลปะที่ต่อเนื่องกนั มาหลายชวั่ คน เมื่อศิลปะวตั ถุเหล่าน้ีตกอยใู่ นถ่ินฐานอ่ืนๆ เรา
กส็ ามารถตรวจสอบรูปแบบของมนั ไดใ้ นสมยั โบราณศิลปิ นท่ีมีชื่อเสียงต่าง ๆ ไดร้ ับการชุบเล้ียงอยา่ งดี
จากพระมหากษตั ริย์ ทาใหเ้ กิดเป็นศิลปิ นประจาราชสานกั ข้ึนมา ซ่ึงมีโอกาสที่จะสร้างสรรคง์ านสาคญั
ของประเทศไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง เป็นเหตุใหม้ ีผนู้ ิยมมาศึกษาเล่าเรียนกนั อยา่ งแพร่หลาย เกิดเป็นสกลุ ศิลปะ
แต่ละสกลุ ท่ีมีการสืบทอดต่อเนื่องกนั มาอยา่ งยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแปลง ทาใหส้ งั เกตไดง้ ่ายสาหรับผู้
ศึกษาในช้นั หลงั ๆ
10
ภาพที่1.8 ภาพลายรดน้าศิลปะสกลุ ช่างวดั เชิงหวายจงั หวดั อยธุ ยา ภาพจากBlogGang.com
ภาพท่ี1.9 ภาพลายรดน้าศิลปะสมยั รัตนโกสินทร์ภาพจากBlogGang.com
ฉะน้นั ผลงานศิลปิ นต่างสกุลกนั จึงมีความแตกต่างกนั ย่ิงกว่าน้นั ความรุนแรงทางจิตใจและเช้ือ
ชาติกจ็ ะแสดงออกมาอยา่ งชดั เจน ไม่วา่ ศิลปิ นสกลุ ใดจะตกไปอยใู่ นภูมิประเทศ และสิ่งแวดลอ้ มใดกต็ าม
11
บทท่ี 2
ประเภทของศิลปนิยม
รายการเรียนการสอน
1.วจิ ิตรศิลป์ (Fine art)
2.ประยกุ ตศ์ ิลป์ (Applied art)
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.มีความรู้ความเขา้ ใจและอธิบายผลงานดา้ นวจิ ิตรศิลป์ ใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจได้
2.มีความรู้ความเขา้ ใจและอธิบายผลงานดา้ นประยกุ ตศ์ ิลป์ ใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจได้
สาระสาคญั
การทางานศิลปะโดยทวั่ ไปแลว้ จะหมายถึงการกระทาหรือข้นั ตอนของการสร้างชิ้นงานศิลปะ
โดยมนุษยเ์ ป็นผสู้ ร้างสรรค์ ซ้ึงเป็นคาที่มีความหมายกวา้ งแต่ส่วนใหญแ่ ลว้ จะมีความหมายเกี่ยวกบั การ
สร้างสรรค,์ สุนทรียภาพ, หรือการสร้างอารมณ์ แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ประเภทหลกั ๆ
วจิ ิตรศิลป์ (Fine Arts) คืองานศิลปะที่ถูกสร้างข้ึนโดยมีจุดมุ่งหมายเพือ่ ความงามเป็นคุณค่าสาคญั
อาจเพื่อใชป้ ระโยชน์บา้ ง แต่เนน้ ความประณีตในการสร้างสรรคใ์ หว้ จิ ิตรพสิ ดารหรูหราเกินประโยชน์ใช้
สอย บางคร้ังอาจเรียกวา่ ประณีตศิลป์
ประยกุ ตศ์ ิลป์ (Applied Arts) เป็นศิลปะที่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือประโยชน์ใชส้ อยเป็นอนั ดบั แรก และ
คานึงถึงความงามเป็นลาดบั รอง
วจิ ิตรศิลป์
งานท่ีสร้างสรรคข์ ้ึนเพ่ือความงดงาม แสดงสุนทรียภาพมากกว่าประโยชน์ใชส้ อย โดยผลงานจะ
เนน้ อารมณ์ความรู้สึก ความละเอียดอ่อน ซ่ึงอาจเรียกงานประเภทน้ีว่า "ศิลปะบริสุทธ์ิ"(pure art)เน่ืองจาก
มีจุดประสงคเ์ พ่ือถ่ายทอดคุณคา่ ความงามเป็นหลกั
แบ่งออกไดเ้ ป็น 5 แขนง คือ
1.จิตรกรรม หมายถึง การวาดภาพโดยใชว้ สั ดุการเขียนลงบนพ้นื ระนาบ
2.ประติมากรรม หมายถึง การป้ัน การแกะสลกั และการหล่อ
3.สถาปัตยกรรม หมายถึง การออกแบบส่ิงก่อสร้างและท่ีอยอู่ าศยั
12
4.วรรณกรรม หมายถึงการประพนั ธ์ต่างๆ
5.นาฏศิลป์ และดุริยางคศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่แสดงออกทางท่าทางและทางเสียงที่มีจงั หวะ
ทศั นศิลป์ (visual art) เป็ นส่วนหน่ึงของวิจิตรศิลป์ ซ่ึงเป็ นศิลปะท่ีเนน้ คุณค่าทางดา้ นจิตใจและ
อารมณ์เป็ นสาคญั โดยความหมายของทศั นศิลป์ คือ ศิลปะท่ีมองเห็น หรื อศิลปะท่ีสามารถสัมผสั รับรู้
ชื่นชมด้วยประสาทตาและสัมผสั จับต้องได้ ทัศนศิลป์ แบ่งออกเป็ นประเภทต่างๆ เช่น จิตรกรรม
ประติมากรรม สถาปัตยกรรม
จิตรกรรม (painting)
หมายถึง ผลงานศิลปะที่เกิดจากการขีดเขียน ระบายสี โดยถ่ายทอดความงาม อารมณ์ความรู้สึก
และสร้างสรรค์ลงบนพ้ืนระนาบรองรับ เช่น กระดาษ แผ่นไม้ ผา้ ใบ ฝาผนัง เป็ นต้น ลักษณะของ
จิตรกรรม เป็ นแบบงาน 2 มิติ คือ มีความกวา้ งและความยาว ส่วนความรู้สึกว่าภาพมีความต้ืนลึก
ระยะใกลไ้ กลน้นั เกิดจากความสามารถของผเู้ ขียนภาพในการใชก้ ลวิธีนาทศั นธาตุทางศิลปะและเทคนิค
อื่นๆมาสร้างสรรคใ์ หเ้ กิดภาพลวงตา มองเห็นเป็นภาพสามมิติเราเรียกผสู้ ร้างสรรค์ผลงานประเภทน้ีว่า
"จิตรกร" เน่ืองจากจิตรกรรมมีลกั ษณะสองมิติ จึงรวม "การวาดเสน้ " (drawing) ซ่ึงเป็นงาน 2 มิติ มาอยู่
ในประเภทจิตรกรรมดว้ ย เพราะการวาดเสน้ เป็นพ้นื ฐานของการสร้างสรรคง์ านจิตรกรรม ดว้ ยเหตุผลที่วา่
งานจิตรกรรมส่วนมากจะตอ้ งผา่ นการร่างภาพมาก่อนแลว้ จึงระบายสี
งานจิตรกรรม แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
1. การวาดเส้น (Drawing) เป็ นการวาดภาพโดยใชป้ ากกา หรือดินสอ ขีดเขียนลงไป แปลก กิจ
เฟื่ องฟู 2539บนพ้ืนผิววสั ดุรองรับเพ่ือให้เกิดภาพ การวาดเส้น คือ การขีดเขียนให้เป็ นเส้นไม่ว่าจะเป็ น
เส้นเลก็ หรือเส้นใหญ่ ๆ มกั มีสีเดียวแต่ การวาดเส้นไม่ไดจ้ ากดั ที่จะตอ้ งมีสีเดียว อาจมีสีหลาย ๆ สีก็ได้
การวาดเส้น จดั เป็นพ้ืนฐานที่สาคญั ของงานศิลปะแทบทุกชนิด อยา่ งนอ้ ย ผฝู้ ึ กฝนงานศิลปะควรไดม้ ีการ
ฝึกฝนงานวาดเส้นใหเ้ ชี่ยวชาญเสียก่อน ก่อนท่ีจะไปทางานดา้ นอื่น ๆ ต่อไป
2. การระบายสี (Painting) เป็นการวาดภาพโดยการใชพ้ กู่ นั หรือแปรง หรือวสั ดุอยา่ งอ่ืนมา
ระบายใหเ้ กิดเป็นภาพ การระบายสี ตอ้ งใชท้ กั ษะการควบคุมสีและเคร่ืองมือมากกวา่ การวาด เส้น ผลงาน
การระบายสีจะสวยงาม เหมือนจริง และสมบูรณ์แบบมากกวา่ การวาดเสน้
ลกั ษณะของภาพจิตรกรรม
งานจิตรกรรม ท่ีนิยมสร้างสรรค์ ข้ึนมีหลายลกั ษณะ ดงั น้ี คือ
1. ภาพหุ่นน่ิง (Sill life) เป็นภาพวาดเก่ียวกบั สิ่งของเคร่ืองใช้ หรือ วสั ดุต่าง ๆ ท่ีไม่มีการ
เคล่ือนไหว เป็นส่ิงที่อยกู่ บั ที่
2. ภาพคนทว่ั ไป แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
13
2.1 ภาพคน (Figure) เป็นภาพท่ีแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยไม่เนน้ แสดง
ความ เหมือนของใบหนา้
2.2 ภาพคนเหมือน (Potrait) เป็นภาพท่ีแสดงความเหมือนของใบหนา้ ของคน ๆ ใดคน
หน่ึง
3. ภาพสตั ว์ ( Animals Figure) แสดงกิริยาท่าทางของสตั วท์ ้งั หลาย ในลกั ษณะต่าง ๆ
4. ภาพทิวทศั น์ (Landscape) เป็นภาพท่ีแสดงความงาม หรือความประทบั ใจในความงาม ของ
ธรรมชาติ หรือสิ่งแวดลอ้ ม ของศิลปิ นผวู้ าด ภาพทิวทศั นย์ งั แบ่งเป็นลกั ษณะต่าง ๆ ไดอ้ ีก คือ
4.1 ภาพทิวทศั นผ์ นื น้า หรือ ทะเล (Seascape )
4.2 ภาพทิวทศั น์พ้ืนดิน (Landscape)
4.3 ภาพทิวทศั นข์ องชุมชนหรือเมือง (Cityscape)
5. ภาพประกอบเร่ือง (Illustration) เป็ นภาพท่ีเขียนข้ึนเพ่ือบอกเล่าเรื่องราว หรือถ่ายทอด
เหตุการณ์ ต่าง ๆ ใหผ้ อู้ ื่นไดร้ ับรู้ โดยอาจเป็ นท้งั ภาพประกอบเร่ืองในหนงั สือ พระคมั ภีร์ หรือภาพเขียน
บนฝาผนงั อาคาร สถาปัตยกรรมต่าง ๆ และรวมถึงภาพโฆษณาต่าง ๆ ดว้ ย
6. ภาพองคป์ ระกอบ (Composition) เป็ นภาพที่แสดงความสัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบของศิลปะ
และ ลกั ษณะในการจดั องคป์ ระกอบ เพื่อใหเ้ กิดความรู้สึกต่าง ๆ ตามความตอ้ งการของผสู้ ร้าง โดยที่อาจ
ไม่เนน้ แสดงเน้ือหาเรื่องราวของภาพ หรือ แสดงเรื่องราวที่มาจากความประทบั ใจ โดยไม่ยดึ ติดกบั ความ
เป็นจริง ตามธรรมชาตินาๆ ชนิดน้ี ปรากฏมากในงานจิตรกรรมสมยั ใหม่
7. ภาพลวดลายตกแต่ง (Decorative painting) เป็นภาพวาดลวดลายประกอบเพ่ือตกแต่งส่ิงต่าง ๆ
ให้ เกิดความสวยงามมากข้ึน เช่น การวาดลวดลายประดบั อาคาร สิ่งของเคร่ืองใช้ ลวดลายสกั
ประติมากรรม (Sculpture)
เป็ นผลงานศิลปะที่แสดงออกดว้ ยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้าหนกั และกินเน้ือท่ีใน
อากาศ โดยการใชว้ สั ดุชนิดต่าง ๆ วสั ดุที่ใชส้ ร้างสรรคง์ านประติมากรรม จะเป็ นตวั กาหนด วิธีการสร้าง
ผลงาน ความงามของงานประติมากรรม เกิดจากการแสงและเงา ที่ เกิดข้ึนในผลงานการสร้างงาน
ประติมากรรมทาได้ 4 วธิ ี คือ
1. การป้ัน (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุ ทีเหนียว อ่อนตวั และยดึ จบั ตวั กนั ไดด้ ี
วสั ดุที่นิยมนามาใชป้ ้ัน ไดแ้ ก่ ดินเหนียว ดินน้ามนั ปูน แป้ง ข้ีผ้งึ กระดาษ หรือ ข้ีเลื่อยผสมกาว เป็นตน้
2. การแกะสลกั (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุที่ แขง็ เปราะ โดยอาศยั เครื่องมือ
วสั ดุที่นิยมนามาแกะ ไดแ้ ก่ ไม้ หิน กระจก แกว้ ปูนปลาสเตอร์ เป็นตน้
14
3. การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุท่ีหลอมตวั ไดแ้ ละกลบั แขง็ ตวั ได้ โดย
อาศยั แม่พิมพ์ ซ่ึงสามารถทาใหเ้ กิดผลงานที่เหมือนกนั ทุกประการต้งั แต่ 2 ชิ้น ข้ึนไป วสั ดุท่ีนิยมนามาใช้
หล่อ ไดแ้ ก่ โลหะ ปูน แป้ง แกว้ ข้ีผ้งึ ดิน เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ รามะนา
4. การประกอบข้ึนรูป (Construction) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ โดยนาวสั ดุต่าง ๆ มา ประกอบ
เขา้ ดว้ ยกนั และยึดติดกนั ดว้ ยวสั ดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรคง์ านประติมากรรม ข้ึนอยกู่ บั วสั ดุท่ี
ตอ้ งการใช้ ประติมากรรม ไม่ว่าจะสร้างข้ึนโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลกั ษณะ คือ แบบนูนต่า แบบนูนสูง และ
แบบลอยตวั ผสู้ ร้างสรรคง์ านประติมากรรม เรียกวา่ ประติมากร
ประเภทของงานประติมากรรม
1.ประติมากรรมแบบนูนต่า ( Bas Relief ) เป็นรูปท่ีเป็นนูนข้ึนมาจากพ้ืนหรือมีพ้ืนหลงั รองรับ
มองเห็นไดช้ ดั เจนเพียงดา้ นเดียว คือดา้ นหนา้ มีความสูงจากพ้ืนไม่ถึงคร่ึงหน่ึงของรูป จริง ไดแ้ ก่รูปนูน
แบบเหรียญ รูปนูนท่ีใชป้ ระดบั ตกแต่งภาชนะ หรือประดบั ตกแต่งอาคารทาง สถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหาร
ต่างๆ พระเคร่ืองบางชนิด
2.ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ในลกั ษณะเช่นเดียวกบั แบบ นูนต่า แต่
มีความสูงจากพ้ืนต้งั แต่คร่ึงหน่ึงของรูปจริงข้ึนไป ทาให้เห็นลวดลายที่ลึก ชดั เจน และ และเหมือนจริง
มากกวา่ แบบนูนต่าและใชง้ านแบบเดียวกบั แบบนูนต่า
3.ประติมากรรมแบบลอยตวั ( Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ท่ีมองเห็นไดร้ อบดา้ นหรือ ต้งั แต่ 4
ดา้ นข้ึนไป ไดแ้ ก่ ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพทุ ธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสาคญั รูป
สัตว์ ฯลฯ
สถาปัตยกรรม (architecture)
สถาปัตยกรรม (architecture) หมายถึง ผลงานศิลปะท่ีแสดงออกส่ิงก่อสร้าง รวมถึงสิ่งแวดลอ้ มท่ี
เก่ียวขอ้ งท้งั ภายในและภายนอกสิ่งปลูกสร้างน้นั ที่มาจากการออกแบบของมนุษยด์ ว้ ยศาสตร์ทางดา้ น
ศิลปะ การจดั วางที่วา่ ง ทศั นศิลป์ และวิศวกรรมการก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ใชส้ อย สถาปัตยกรรมยงั เป็น
ส่ือความคิด และสญั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมของสงั คมในยคุ น้นั ๆ ดว้ ย
สถาปัตยกรรมเปิ ด (Open Architecture) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ประชาชนสามารถเขา้ ไปใชป้ ระโยชน์
ได้ เช่น อาคารบา้ นเรือน โรงแรม โบสถ์ ฯลฯ จึงตอ้ งจดั สภาพต่าง ๆ ให้เอ้ืออานวยต่อการอยอู่ าศยั ของ
มนุษย์ เช่น แสงสวา่ ง และการระบายอากาศ
15
สถาปัตยกรรมปิ ด (Closing Architecture) เป็นส่ิงก่อสร้างอนั เนื่องมาจากความเชื่อถือต่าง ๆ จึงไม่
ตอ้ งการให้คนเขา้ ไปอาศยั อยู่ เช่น สุสาน อนุสาวรีย์ เจดียต์ ่าง ๆ ส่ิงก่อสร้างแบบน้ีจะประดบั ประดาให้มี
ความงามมากนอ้ ยตามความศรัทธาเช่ือถือ สถาปัตยกรรมเป็นงานทศั นศิลป์ ที่คงสภาพอยไู่ ดน้ านที่สุด
ประยกุ ตศ์ ิลป์ (Applied Art)
ประยกุ ตศ์ ิลป์ เป็ นศิลปะท่ีสร้างข้ึนเพ่ือใชป้ ระโยชน์อยา่ งอื่นนอกเหนือจากความชื่นชมในคุณค่า
ของศิลปะโดยตรง เช่น ภาพหรือลดลายท่ีใช้ตกแต่งอาคาร หรื อเครื่ องเรือน รูปทรง สีสัน ของ
ผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรมที่ออกแบบให้เป็ นที่พอใจของผู้ บริโภค หรือเคร่ืองใชไ้ ม่สอยที่ทาข้ึนดว้ ยฝี มือ
ประณีต ศิลปะที่ประยุกตเ์ ขา้ ไปในสิ่งที่ใชป้ ระโยชน์เหล่าน้ี จะให้ความพอใจอนั เกิดจากความประณีต
สวยงาม ความกลมกลืน แก่ประสาทสมั ผสั ควบคูไ่ ปกบั ประโยชน์ใชส้ อย
งานประยุกต์ศิลป์ ส่วนใหญ่คืองานศิลปะที่สนองประโยชน์ใชส้ อย ในที่น้ีจะกล่าวเฉพาะงาน
ประณีตศิลป์ และ หตั ถกรรม เท่าน้นั เพราะท้งั สองประเภทน้ีส่วนใหญ่จะเป็นส่งของเครื่องใช้ นบั ต้งั แต่
ส่ิงจาเป็นในชีวิตประจาวนั ข้ึนไปจนถึงส่ิงฟ่ มุ เฟื อยซ่ึงสนองตอบในทาง ตกแต่งประดบั ประดามากกว่าจะ
มีความจาเป็ นจริงๆ ในเรื่องน้ีถา้ เราหันกลบั ไปดูในยุคโบราณก็จะเห็นได้ว่ามนุษยด์ ึกดาบรรพ์มี ท้งั
เครื่องมือหิน หนงั สตั ว์ และเคร่ืองประดบั ประดาที่เป็นลูกปัดร้อยเป็นพวงแขวนคอ ดงั น้นั เครื่องประดบั
อาจใชแ้ ทน เคร่ืองหมายหรือสญั ลกั ษณ์กไ็ ด้
ประยกุ ตศ์ ิลป์ (Applied Art) แบ่งออกเป็น 5 แขนง คือ
1. พาณิชยศ์ ิลป์ (Commercial Art) เป็ นงานศิลปะท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การออกแบบเพ่ือสนบั สนุน
กิจการคา้ และการบริการ เพื่อ ใหป้ ระสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายไดแ้ ก่ การออกแบบเครื่องหมายการคา้
การออกแบบส่ิงพิมพ์ การออกแบบโฆษณา การออก แบบฉลากสินคา้ การออกแบบจดั แสดงสินคา้ ฯลฯ
ผสู้ ร้างสรรคง์ านพาณิชยศ์ ิลป์ เรียกวา่ นกั ออกแบบ (Designer)
2. มณั ฑนศิลป์ (Decorative Art) เป็นงานศิลปะท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การออกแบบเพ่อื การตกแต่ง ส่ิงต่าง
ๆ ให้เกิดความสวยงาม และเหมาะสมกบั ประโยชน์ใช้สอยมากข้ึน ได้แก่ การจดั ตกแต่งภายในบา้ น
อาคาร สถานท่ีต่าง ๆ การตกแต่งภายนอก การจดั สวน การจดั นิทรรศการ การจดั บอร์ด ป้ายนิเทศ การจดั
แสดงสินคา้ การแต่งกาย การแต่งหนา้ การตกแต่งร้านคา้ เป็ นตน้ ผสู้ ร้าง สรรคง์ านมณั ฑนศิลป์ เรียกว่า
มณั ฑนากร (Decorator)
3. อุตสาหกรรมศิลป์ (Industrial Art) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ท้งั สิ่งก่อสร้างท่ีคน
ทวั่ ไปอยู่อาศยั ได้ เช่น สถูป เจดีย์ อนุสาวรีย์ เป็ นตน้ นอกจากน้ียงั รวมถึงการกาหนดผงั บริเวณต่าง ๆ
16
เพื่อใหเ้ กิดความสวยงามและเป็ นประโยชน์แก่การ ใชส้ อยตามตอ้ งการ งานสถาปัตยกรรมเป็ นแหล่งรวม
ของงานศิลปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมกั มีรูปแบบแสดงเอกลกั ษณ์ของสงั คมน้นั ๆ ในช่วงเวลาน้นั
4.การออกแบบ (Design) การออกแบบ หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็ น
ผลงาน ท่ีผอู้ ื่นสามารถมอง เห็น รับรู้ หรือสมั ผสั ได้ เพ่ือใหม้ ีความเขา้ ใจในผลงานร่วมกนั การออกแบบมี
3 ประเภท คือ การออกแบบสถาปัตยกรรม การ ออกแบบผลิตภณั ฑ์ และการออกแบบทางวิศวกรรม
5.หัตถศิลป์ (Craft)งานศิลปะที่นาไปใชใ้ นงานหัตถกรรม โดยใชม้ ือทาเป็ นส่วนใหญ่ มีมาต้งั แต่
ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ เช่น เคร่ืองป้ันดินเผา งานแกะสลกั ไม้ งานถกั ทอ งานหวาย รวมถึงงานช่าง 10 หมู่
ของไทย
17
บทที่ 3
รูปแบบของศิลปนิยม
รายการเรียนการสอน
1.รูปแบบเหมือนจริง ( Realistic )
2.รูปแบบก่ึงนามธรรม ( Se mi Abstract )
3.รูปแบบนามธรรม ( Abstract Art )
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.รู้และเขา้ ใจวธิ ีการสร้างสรรคผ์ ลงานในรูปแบบเหมือนจริง
2.รู้และเขา้ ใจวธิ ีการสร้างสรรคผ์ ลงานในรูปแบบก่ึงนามธรรม
3.รูปและเขา้ ใจวธิ ีการสร้างสรรคผ์ ลงงานรูปแบบนามธรรม
สาระสาคญั
ศิลปะเป็ นภาษาชนิดหน่ึงท่ีใชก้ ารสื่อความหมายดว้ ย จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง พ้ืนผิว น้าหนกั สี
สามารถรับรู้ไดโ้ ดยการมองและเกิดแรงกระตุน้ และตอบสนองทางดา้ นจิตใจพร้อมกนั น้นั จิตใจของมนุษย์
ก็เป็ นตวั แปรค่าและกาหนดความงาม ความประณีต เร่ืองราวและประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ การรับรู้
คุณค่าของสิ่งเหล่าน้ี รับรู้ไดด้ ว้ ยอารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ความงามและเรื่องราวจะเกิดมีคุณคา่ ก็
เพราะการรับรู้ทางการมองเห็น เกิดความรู้สึกประทบั ใจ มีความอ่ิมเอิบใจในคุณค่าน้นั ๆ สาหรับรูปแบบ
ของการสร้างงานศิลปะน้ันมีหลากหลายรูปแบบแต่จะนาเสนอในส่วนน้ีเพียง 3 รูปแบบ 1.รูปแบบ
เหมือนจริง ( Realistic ) 2.รูปแบบก่ึงนามธรรม ( Se mi Abstract ) 3.รูปแบบนามธรรม ( Abstract Art )
1.รูปแบบเหมือนจริง (Realistic)
หมายถึงการสร้างงานที่เหมือนจริงดงั ที่ปรากฏอยใู่ นธรรมชาติ โดยยดึ หลกั การสร้างสรรค์ และ
การนาเสนอดงั ที่ตามองเห็น เช่น การเขียนภาพคนเหมือน ภาพสัตว์ ภาพทิวทศั น์ ภาพหุ่นน่ิงในงาน
จิตรกรรม การป้ัน การแกะสลกั และการหล่อรูปบุคคลสาคญั ที่ทาเป็ นอนุสาวรียใ์ นงานประติมากรรม
เป็ นตน้
ภาพเหมือน ในสมยั แรกที่พบเป็ นภาพเขียนสาหรับปิ ดศพท่ีรู้จกั กนั ว่า“เฟยุมมมั ม่ี”( Fayum
mummy) ในประเทศอียปิ ตท์ ี่ถูกรักษาไวเ้ ป็นอยา่ งดีเพราะความแหง้ ของอากาศในทะเลทราย“เฟยมุ มมั มี่”
เป็นภาพเขียนจากสมยั จกั รวรรดิโรมนั อยา่ งเดียวที่พบนอกไปจากจิตรกรรมฝาผนงั ในสมยั โรมนั ศิลปะ
18
ภาพท่ี3.1 ภาพเหมือนเดก็ ชายชาวโรมนั -อียปิ ตเ์ ป็นภาพเหมือนท่ีใชป้ ิ ดหนา้ ศพของผตู้ าย
ภาพจาก https://th.wikipedia.org
ภาพเหมือนนิยมกนั ในการทาประติมากรรมซ่ึงผเู้ ป็นแบบตอ้ งการใหเ้ หมือนตนเองจริงๆ ถึงแมว้ า่
บางคร้ังผเู้ ป็นแบบอาจจะมีรูปร่างลกั ษณะท่ีไม่เรียกวา่ สวย ระหว่างคริสตศ์ ตวรรษท่ี 4 ภาพเหมือนเร่ิมละ
ทิ้งความเป็ นจริงมาหาความเป็ นจิตนิยมเป็ นภาพเหมือนท่ีผเู้ ป็นแบบตอ้ งการให้จิตรกรสร้างภาพที่ “ควร
จะ” มีหนา้ ตาอยา่ งที่ตอ้ งการ ซ่ึงจะเห็นไดจ้ ากประติมากรรมเหมือนของจกั พรรดิคอนสแตนตินและ
จกั รพรรดิทีโอโดเซียสในยุโรปการเขียนภาพแบบเหมือนจริงมานิยมกนั อีกคร้ังในสมยั ปลายยคุ กลางใน
บริเวณเบอร์กนั ดีในประเทศฝรั่งเศส งานภาพเหมือนท่ีมีช่ือท่ีสุดที่เป็ นที่รู้จกั นั ทวั่ โลกคือภาพ “โมนาลิ
ซา” โดย เลโอนาร์โด ดา วินชีเป็ นภาพสตรีที่ไม่ทราบชื่อที่มีรอยยมิ้ ปริศนา ภาพเหมือนที่เก่าที่สุดเท่าที่
ทราบพบเม่ือปี ค.ศ. 2006 โดย เจอราร์ด โจดีย์ นกั โทษทอ้ งถ่ินในถ้าวิลโอเนอร์ไม่ไกลจากองั โจเลม ที่เชื่อ
วา่ มีอายถุ ึง 27,000 ปี
ภาพวาดเหมือนตนเอง เม่ือจิตรกรวาดภาพเหมือนของตนเองภาพน้ีก็จะเรียกว่า “ภาพเหมือน
ตนเอง” (self-portrait) ซ่ึงเป็ นท่ีนิยมกนั ในสมยั ปลายยคุ กลาง การสร้างภาพเหมือนตนเองอาจจะเริ่มมา
ต้งั แต่สมยั อียปิ ตโ์ บราณเม่ือประติมากรแบค็ ของฟาโรห์อเคนาเตนแกะรูปของตนเองและภรรยาเม่ือ หรือ
อาจจะเริ่มมาต้งั แต่สมยั ที่มนุษยย์ งั อยใู่ นถ้ากไ็ ดต้ ามหลกั ฐานท่ีปัจจุบนั สูญหายไป
19
ภาพท่ี3.2 “ภาพเหมือนตนเอง”โดย วินเซนต์ แวน โก๊ะ ภาพจาก Minimore Makers
ภาพถ่ายภาพเหมือน เป็นที่นิยมกนั ทวั่ ไปในโลก บางคร้ังลูกคา้ กจ็ ะตอ้ งการภาพเหมือนของ
ตนเองและครอบครัว หรือภาพเหมือนในโอกาสพิเศษเช่นงานแต่งงานหรืองานจบปริญญา ภาพถ่าย
ภาพเหมือนเร่ิมพร้อมกบั การเริ่มตน้ การถ่ายภาพ ความตอ้ งการเป็นท่ีนิยมกนั มากเพราะผตู้ อ้ งการสามารถ
เป็นเจา้ ของภาพเหมือนไดโ้ ดยไม่ตอ้ งใชเ้ งินเป็นจานวนมาก กิจการร้านถ่ายรูปกร็ ุ่งเรืองตามไปดว้ ย ภาพที่
3.3 ภาพถ่ายภาพเหมือนของทอมสั ดิลวาร์ด โดยแมท็ ธิว เบรดี
ภาพจากhttps://th.wikipedia.org
20
ศิลปะกง่ึ นามธรรม (Semi Abstract)
ศิลปะก่ึงนามธรรม (Semi Abstract) เป็นศิลปะท่ีเร่ิมบิดเบือนไปจากศิลปะแบบเหมือนจริง ดว้ ย
การตดั ทอน รูปทรงของจริงให้อยใู่ นรูปแบบเรียบง่าย แต่ยงั มีเคา้ โครงท่ีเหมือนจริงหลงเหลือ อยใู่ หร้ ู้ว่า
เป็ นรูปอะไร การสร้างศิลปะก่ึงนามธรรมน้ีจะตอ้ งมีจินตนาการในการสร้างสรรคง์ านเพ่ือให้ผลงานมี
รูปแบบท่ีแลดูแปลก น่าสนใจ รวมท้งั ให้อารมณ์และความรู้สึก ไม่จาเจท้งั เน้ือเร่ืองและรูปแบบจะได้
ชดั เจนเหมือนศิลปะแบบเหมือนจริง ดงั น้นั ผชู้ มงานศิลปะประเภทน้ีจาเป็นจะตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจใน
ลกั ษณะงาน แบบก่ึงนามธรรมดว้ ยคุณค่าของงานจะเน้นโครงสร้างองคป์ ระกอบสีที่แปลก น่าสนใจ
ตื่นเตน้ และแนวความคิดหลายดา้ น หลายทางท่ีผชู้ มตอ้ งจินตนาการดว้ ย
ภาพที่3.4 สาวงามแห่งเมืองอาวยิ อง ผลงานของปิ กสั โซ่ ภาพจาก BlogGang.com
21
ภาพที่3.5 สาวนอ้ ยกบั แมนโดลิน ผลงานของปิ กสั โซ่ ภาพจาก BlogGang.com
ศิลปะนามธรรม (องั กฤษ: Abstract Art)
ศิลปะนามธรรม (องั กฤษ: Abstract Art) ใชภ้ าษาภาพในการสื่อความหมายดว้ ย สี และลายเส้น
เพ่ือสร้างสัดส่วนซ่ึงอาจจะประกอบข้ึนในระดบั ความเป็ นนามธรรมที่แตกต่างกนั ไป ต้งั แต่ยุคฟ้ื นฟู
ศิลปวิทยาไปจนถึงช่วงกลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 ศิลปะตะวนั ตกรับอิทธิพลในการใชท้ ศั นมิติและความ
พยายามในการทาให้สมจริงมากท่ีสุด ขณะที่ศิลปะของวฒั นธรรมนอกทวีปยโุ รปถูกเขา้ ถึงและแสดงให้
เห็นแนวทางอนั หลากหลายในการอธิบายทศั นประสบการณ์ของตวั ศิลปิ น จนถึงปลายคริสตศ์ ตวรรษที่
19 ศิลปิ นหลายคนรู้สึกถึงความตอ้ งการที่จะสร้างสรรคศ์ ิลปะแนวใหม่ ซ่ึงสามารถท่ีจะถ่ายทอดการ
เปล่ียนแปลงพ้นื ฐานของเทคโนโลย,ี วิทยาศาสตร์ และปรัชญา ตน้ ตอท่ีทาใหศ้ ิลปิ นสร้างสรรคง์ านศิลปะ
ของตวั เองน้นั มีหลากหลาย และสะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพก่อนการเปล่ียนแปลงท้งั ทางสงั คมและปัญญาในทกุ
แง่มุมของวฒั นธรรมยโุ รปในขณะน้นั
22
ศิลปะนามธรรม ศิลปะไร้รูปแบบตายตวั ศิลปะไร้รูปธรรม และศิลปะไม่แสดงลกั ษณ์ คือศิลปะท่ี
เกี่ยวขอ้ งกนั อยา่ งหลวมๆ แมใ้ นความหมายเชิงลึกอาจมีความแตกต่างกนั กต็ ามศิลปะนามธรรมช้ีใหเ้ ห็น
การละทิ้งค่านิยมในการสร้างสรรคภ์ าพใหม้ ีความสมจริงของวงการศิลปะ การวาดภาพโดยท่ีไม่เนน้ ความ
สมจริงน้ีอาจแสดงไวเ้ พยี งเลก็ นอ้ ย, บางส่วน หรืออาจจะแสดงไวโ้ ดยสมบูรณ์ท้งั ชิ้นงาน ศิลปะนามธรรม
คงอยตู่ ่อเน่ืองเร่ือยมา แมแ้ ตศ่ ิลปะที่พยามยามจะทาใหม้ ีองศามากท่ีสุดกอ็ าจจะเรียกไดว้ า่ เป็นศิลปะ
นามธรรม และต้งั แตก่ ารแสดงภาพอยา่ งสมบูรณ์แบบเริ่มมีความยงุ่ ยากที่จะเขา้ ถึงแก่นแท้ งานศิลปะที่ใช้
ความเป็นอิสระและแตกต่างไปจากเดิมท้งั รูปแบบและการใชส้ ีซ่ึงมีความเด่นสะดุดตากอ็ าจถูกเรียกวา่ เป็น
ศิลปะนามธรรมไดด้ ว้ ยเช่นกนั ศิลปะนามธรรมโดยสมบูรณ์คือศิลปะท่ีไม่สามารถโยงเขา้ กบั แหล่งอา้ งอิง
รูปธรรมใดไดเ้ ลย ตวั อยา่ งเช่น ในศิลปะนามธรรมทรงเรขาคณิตนอ้ ยคร้ังท่ีจะพบแหล่งตน้ ตอของแนวคดิ
หรือรูปทรงที่ปรากฏเป็นรูปธรรมในธรรมชาติ ซ่ึงท้งั ศิลปะรูปแบบตายตวั และศิลปะนามธรรมโดย
สมบูรณ์ต่างกม็ ีความเฉพาะตวั ที่เหมือน แต่ศิลปะรูปแบบตายตวั และศิลปะเสมือนจริง (หรือศิลปะสัจ
นิยม) มกั จะมีบางส่วนท่ีเป็นนามธรรมปรากฏดว้ ยอยบู่ ่อยคร้ัง
ภาพท่ี3.6 ฟิ ลลิป กสั ตนั : Zone (1953 – 1954) ภาพจาก https://goo.gl/nKu5HA
23
ภาพที่3.7 แจค็ สนั พอลลอ็ ค : Number 1 (Lavender Mist) (1950) ภาพจาก https://goo.gl/SPn77A
ภาพท่ี3.8 มาร์ค รอธโก : No. 16 (1961) ภาพจาก https://goo.gl/PggbYB
ท้งั ศิลปะนามธรรมทรงเรขาคณิตและศิลปะนามธรรมแบบพลิ้วไหวมกั จะมีความเป็ นนามธรรม
โดยสมบูรณ์อย่บู ่อยคร้ัง และหน่ึงในพฒั นาการอนั หลากหลายของศิลปะที่กลายมาเป็ นศิลปะนามธรรม
บางส่วน เช่น ศิลปะคติโฟวิสตท์ ่ีเนน้ การใชส้ ีแบบผดิ แปลกอยา่ งจงใจและเด่นชดั หรือลทั ธิคิวบิสมท์ ่ีเนน้
การทาใหร้ ูปแบบการวาดภาพสิ่งต่างๆ ในชีวิตจริงผดิ แผกไปจากเดิมอยา่ งเห็นไดช้ ดั
24
บทท่ี 4
คุณค่าของศิลปะนิยม
รายการเรียนการสอน
1. คุณค่าทางความงาม
2. คุณคา่ ทางเร่ืองราว
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.ผเู้ รียนสามารถรับรู้คุณคา่ ทางความงามในงานศิลปะได้
2.ผเู้ รียนสามารถรับรู้คุณคา่ ทางเร่ืองราวในงานศิลปะและนามาสร้างสรรคผ์ ลงานได้
สาระสาคญั
ความงามเป็ นส่ิงท่ีทุกคนสามารถรับรู้และสัมผสั ได้ มนุษยเ์ ราต่างก็พึงพอใจในความงาม และมี
ความสุขเมื่อไดส้ ัมผสั กบั ความงาม สามารถแบ่งการรับรู้ความงามออกเป็ น 2 ลกั ษณะ คือ 1.คุณค่าทาง
ความงาม เป็นการรวบรวมในเร่ืองของความประณีต ความละเอียด มีระเบียบ น่าท่ึง มโหฬาร ประหลาด
แปลกหูแปลกตา และเป็ นส่ิงที่มีคุณงามความดี 2.คุณค่าทางเรื่องราว เป็ นการแสดงลกั ษณะบ่งบอกถึง
ความหมายเรื่องราวความเก่ียวขอ้ งและจุดประสงคแ์ ฝงอยใู่ นผลงาน
คุณค่าของศิลปนิยม
ทัศนศิลป์ เป็ นศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยสายตา การรับรู้ทางการมองเห็นในแขนงจิตรกรรม
ประติมากรรมและสถาปัตยกรรม ทาให้เกิดแรงกระตุน้ และตอบสนองทางดา้ นจิตใจพร้อมกนั น้นั จิตใจ
ของมนุษยก์ ็เป็ นตวั แปรค่าและกาหนดความงาม ความประณีต เรื่องราว และประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์
การรับรู้คุณค่าของสิ่งเหล่าน้ี รับรู้ไดด้ ว้ ยอารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ความงามและเรื่องราวจะเกิด
มีคุณค่ากเ็ พราะการรับรู้ทางการมองเห็น เกิดความรู้สึกประทบั ใจ มีความอิ่มเอิบใจในคุณค่าน้นั ๆ สาหรับ
งานทศั นศิลป์ ไม่ว่ารูปแบบใดย่อมมีคุณค่าในตวั ของผลงานเอง ผลงานทศั นศิลป์ สามารถแบ่งการรับรู้
คุณคา่ ได้ 2 คุณค่าคือ
25
1.คุณค่าทางความงาม (Aesthetic Value)
เป็ นการรวบรวมในเร่ืองของความประณีต ความละเอียด มีระเบียบ น่าท่ึง มโหฬาร ประหลาด
แปลกหูแปลกตา และเป็นส่ิงที่มีคุณงามความดี ทาให้ผเู้ ห็นเกิดความประทบั ใจไปอีกนาน ส่ิงเหล่าน้ีรวม
เรียกว่าคุณค่าทางความงาม โดยเกณฑข์ องความงามท่ีอยใู่ นงานทศั นศิลป์ ซ่ึงสามารถรับรู้และยอมรับได้
โดยทวั่ ไป เป็ นการประสานกนั ของส่วนประกอบต่างๆของความงาม เช่นจุด เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสง
เงา พ้ืนผิว ความกลมกลืน และการจดั ภาพ เป็ นตน้ โดยผูส้ ร้างสรรค์งานทศั นศิลป์ จะแสดงออกตาม
ความรู้สึกในแต่ละเหตุการณ์แต่ละสังคม เพราะความงามของแต่ละสังคมยอ่ มมีความแตกต่างข้ึนอยู่กบั
สภาพของสังคม และวฒั นธรรม การจะเขา้ ใจถึงธรรมชาติและความหมายของความงามน้ัน จาเป็ นที่
จะตอ้ งเขา้ ใจถึงหลกั ปรัชญาของสุนทรียศาสตร์ ในสุนทรียศาสตร์น้นั มีนกั ปรัชญาหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่ม
ท่ีเช่ือวา่ ความงามน้นั เป็นสิ่งที่ข้ึนอยกู่ บั ผรู้ ับรู้ (subjective) และอีกกลุ่มท่ีเชื่อว่าความงามน้นั มีค่าที่เท่ียงแท้
(absolute, objective) นอกจากน้นั ยงั มีนกั ปรัชญา เช่น โรเบิร์ต ชูมนั น์ (Robert Schumann) ที่เป็นท้งั คีตกวี
และนกั วิจารณ์ ท่ีมีความเห็นว่าความงามน้นั จดั ไดเ้ ป็นสองประเภท คือความงามโดยธรรมชาติ และความ
งามที่เกิดโดยมนุษย.์ ความงามที่เกิดโดยธรรมชาติคือการสัมผสั และรับรู้ถึงสิ่งงามที่ปรากฏในธรรมชาติ
แต่ความงามท่ีเกิดโดยมนุษยค์ ือสิ่งที่มนุษยส์ ร้างสรรคแ์ ละเขา้ ไปเก่ียวขอ้ งในธรรมชาติ ชูมนั น์ยงั บอกอีก
ว่าในศิลปะ มีความงามท้งั สองชนิดปรากฏอยู่ เพียงแต่ความงามโดยธรรมชาติคือความสุนทรียท์ าง
อารมณ์ และความงามท่ีเกิดโดยมนุษยค์ ือความเขา้ ใจในผลงานศิลปะชิ้นน้นั
1 ความงามทางกาย (Physical Beauty) เป็นความงามของรูปทรงที่กาหนดเรื่องราว หรือเกิดจาก
การ ประสานกลมกลืนกนั ของทศั นธาตุ เป็นผลจากการจดั องคป์ ระกอบทางศิลปะ
2 ความงามทางใจ (Moral Beauty) ไดแ้ ก่ ความรู้สึก หรืออารมณ์ท่ีแสดงออกมาจากงานศิลปะ
หรือ ที่ผชู้ มสมั ผสั ไดจ้ ากงานศิลปะน้นั ๆ
ในงานศิลปะชิ้นหน่ึงๆ มีความงามท้งั 2 ประเภทอย่รู ่วมกนั แต่อาจแสดงออกอยา่ งใดอย่างหน่ึง
มากนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ประเภทของงาน เจตนาของผูส้ ร้างและการรับรู้ของผชู้ มดว้ ย ความงามในศิลปะ เป็ น
การสร้างสรรคล์ ว้ นๆ ไม่เก่ียวขอ้ งกบั ความงามวตั ถุในธรรมชาติ เป็นความงามท่ีแสดงออกได้ แมใ้ นสิ่งที่
น่าเกลียด หัวขอ้ เร่ืองราว หรือเน้ือหาท่ีใชส้ ร้างงานน้นั อาจน่าเกลียด แต่เม่ือเสร็จแลว้ ก็ยงั ปรากฎความ
งามท่ีเกิดจากอารมณ์ที่ศิลปิ นแสดงออก ดงั น้นั ความงามจึงเป็ นศาสตร์อย่างหน่ึง ท่ีว่าดว้ ยความงามที่
ศิลปิ นแสดงออกในงาน ศิลปะ ซ่ึงเรียกว่า "สุนทรียศาสตร์" มีขอ้ ความท่ีใชก้ นั มาต้งั แต่สมยั เรอเนซองค์
จนถึงทุกวนั น้ีว่า "ศิลปะมิไดจ้ าลองความงาม แต่สร้างความงามข้ึน" ดงั น้นั จึงอาจสรุปไดว้ า่ "ศิลปะเป็ น
ส่ิงที่มนุษยส์ ร้างข้ึนจากความคิดสร้างสรรคเ์ พื่อใหเ้ กิดความงาม และความพึงพอใจ"
26
ท่ีมนุษยไ์ ดส้ ร้างสรรคส์ ืบเนื่องกนั มาต้งั แต่อดีตอนั ยาวนานจนถึงปัจจุบนั และจะสร้างสรรคส์ ืบต่อไปใน
อนาคตใหอ้ ยคู่ ู่กบั เผา่ พนั ธุม์ นุษยไ์ ปตราบนานเท่านาน โดยมีการสร้างสรรคพ์ ฒั นารูปแบบต่างๆ ออกไป
อยา่ งมากมายไม่มีที่สิ้นสุดในสงั คมน้นั ๆ
ภาพที่ 4.1 ความรักของแม่ ผลงานอาจารยก์ ิตติคุณประหยดั พงษด์ า ภาพจาก BlogGang.com
ภาพที่ 4.2 ยามเชา้ ผลงานอาจารยก์ ิตติคุณประหยดั พงษด์ า ภาพจาก BlogGang.com
2. คุณค่าทางเรื่องราว (Content Value)
เป็ นการแสดงลกั ษณะบ่งบอกถึงความหมายเร่ืองราวความเกี่ยวขอ้ งและจุดประสงคแ์ ฝงอยู่ใน
ผลงาน สามารถบอกเน้ือหาสาระสาคญั วา่ มีอะไร จะต่อไปอยา่ งไร เพราะทศั นศิลป์ แต่ละชิ้นบอกเรื่องราว
ต่างๆอยใู่ นตวั เอง จึงมองเห็นและเขา้ ใจไดง้ ่ายกวา่ คุณคา่ ทางดา้ นความงาม
2.1. คุณคา่ เรื่องราวเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์
เป็นเรื่องราวที่นาเสนอเหตุการณ์สาคญั ของคนแต่ละเช้ือชาติท่ีน่าสนใจ ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นเร่ืองของอดีต
อาจเป็นเรื่องของการต่อสูเ้ พื่ออิสรภาพ การเรียกร้องสิทธิต่างๆ และพงศาวดารในแต่ละสมยั เร่ืองราวที่
27
นามาถ่ายทอดสามารถปลุกเร้าอารมณ์ ความรู้สึก ใหเ้ กิดการกระตุน้ เตือน และคลอ้ ยตามถึงความรักชาติ
รักถิ่นตนเสียสละในดา้ นต่าง ๆ เช่น อนุสาวรีย์ และจิตรกรรมฝาผนงั เป็นตน้
ภาพท่ี 4.3 อนุสาวรียท์ า้ วสุรนารี ผลงานศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรีภาพจาก https://th.wikipedia.org
ภาพท่ี 4.4 พระบรมราชานุสาวรียส์ มเดจ็ พระเจา้ ตากสิน ภาพจาก https://th.wikipedia.org
2.2. คุณค่าเรื่องราวเก่ียวกบั ความเช่ือในส่ิงเร้นลบั
มนุษยไ์ ม่ว่าชาติใดย่อมมีความกลวั ดว้ ยกนั ท้งั สิ้น เม่ือมนุษยเ์ กิดความกลวั มนุษยจ์ ะหาสิ่งท่ีมา
คล่ีคลายดบั ความกลวั ให้เบาบางลง เช่น ความเช่ือในสิ่งเร้นลบั เทพเจา้ พระเจา้ นรกสวรรค์ ภูตผี ปี ศาจ
ไสยศาสตร์ ดวงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์ หรือวิญญาณ ก่อเกิดเทวรูป รูปป้ัน และอาคารประกอบพิธีกรรมต่างๆ
เป็ นตน้
2.3. คุณคา่ เรื่องราวเก่ียวกบั ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี
มนุษยท์ ุกชนยอ่ มมีศาสนาวฒั นธรรมและประเพณีของตนเอง และดว้ ยความรักความศรัทธา ทา
ใหเ้ กิดพลงั และแรงบนั ดาลใจอนั มหาศาลที่จะถ่ายทอดความเช่ือ ความศรัทธาให้ผอู้ ่ืนไดร้ ับรู้ เรื่องราวท่ี
เก่ียวกบั ศาสนาและวฒั นธรรม จึงถูกสะทอ้ นผา่ นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ออกมาทางรูปแบบ
28
งานทศั นศิลป์ ในหลากหลายประเภทตลอดทุกยุคทุกสมยั เปรียบเสมือนภาพจาลองเหตุการณ์ เช่น ภาพ
จิตรกรรมไทย ชาดก พทุ ธประวตั ิ เป็นตน้
ภาพที่ 4.5 หินต้งั สโตนเฮนจ์ บริเวณตอนใตข้ องเกาะองั กฤษ ภาพจากTurismojustoi
ภาพท่ี 4.6 มหาเจดียพ์ ทุ ธคยา สถานท่ีตรัสรู้ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ที่อินเดีย
แสดงความศรัทธาเก่ียวเนื่องกบั พทุ ธศาสนา ภาพจากhttps://th.wikipedia.org
29
2.4. คุณคา่ เรื่องราวเก่ียวกบั การเมือง การปกครอง
การสร้างประติมากรรมอนุสาวรียบ์ ุคคลสาคญั ๆ เพอื่ เป็นอนุสรณ์แสดงวา่ บุคคลผนู้ ้นั เป็นผมู้ ี
ความสามารถในการเมืองการปกครอง
ภาพที่ 4.7 อนุสาวรียป์ ระชาธิปไตย ภาพจากhttps://th.wikipedia.org
2.5. คุณค่าเร่ืองราวเก่ียวกบั ชีวติ ประจาวนั ของคนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ส่ิงต่างๆ
เป็นการถ่ายทอดเกี่ยวกบั การเผชิญในสิ่งที่มนุษยไ์ ดก้ ระทาอยใู่ นแต่ละวนั เพราะการดารงชีวิตอยู่
ของมนุษยใ์ นสังคมตอ้ งการความสุข โดยอาศยั ปัจจยั สาคญั ที่ทาให้เกิดความสุขในแต่ละวนั ไดแ้ ก่ ทาง
ร่างกาย จิตใจอารมณ์ และทางดา้ นสังคม ดงั น้นั เร่ืองราวที่นาเสนอเพ่ือใหเ้ กิดคุณค่า เช่นเรื่องราวของที่อยู่
อาศยั อาคาร ยารักษาโรค การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ ความปลอดภยั ความกา้ วหนา้ ทางการศึกษาและอาชีพเป็น
ตน้
ภาพท่ี4.8 บา้ นดา หรือ พพิ ธิ ภณั ฑบ์ า้ นดาสร้างข้ึนโดย อ.ถวลั ย์ ดชั นี
ภาพจาก http://astoriabelgrade.com
30
2.6. คุณค่าเร่ืองราวเก่ียวกบั ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม
คุณค่าของเร่ืองราวลกั ษณะน้ีเป็ นการนาเสนอ ในเรื่องของความงามของธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม
และการพ่ึงพาอาศยั กนั ระหวา่ งมนุษยก์ บั ธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม พร้อมท้งั เสนอแง่คิดวา่ ทาไมมนุษยจ์ ึง
ทาลายธรรมชาติกับสิ่งแวดลอ้ ม และทาไมเราตอ้ งรณรงค์ต่อตา้ นการทาลายธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม
สมควรท่ีจะอนุรักษใ์ หอ้ ยคู่ ู่มนุษยส์ ืบไป รูปแบบเร่ืองราว ไดแ้ ก่ การปลูกป่ า มลพษิ จากโรงงาน น้าเน่าเสีย
ภาพท่ี 4.9 ศิลปะบนนาขา้ วเกษตรอินทรียโ์ ดยกรีนพซี ภาพจาก Greenpeace USA
2.7. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกบั วรรณคดี นิทานพ้นื บา้ น สานวน คาพงั เพย สุภาษิต
เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจากหนงั สือ นิทานพ้นื บา้ น สานวน คาพงั เพย สุภาษิต ตานานพงศวดาร
ท่ีสามารถบรรยายเน้ือหาเรื่องราว ให้ผดู้ ูไดร้ ู้อยา่ งชดั เจน โดยแสดงเป็ นภาพเล่าเร่ือง เช่น ภาพจิตรกรรม
ไทย สงั ขท์ อง และรามเกียรต์ิ เป็นตน้
ภาพท่ี 4.10 นิทานพ้นื บา้ น สินไซ หรือ สงั ขศ์ ิลป์ ชยั “ฮูปแตม้ ” หรือรูปแตม้ คือจิตรกรรมฝาผนงั
ของชาวอีสาน ภาพจาก http://budaskornpraw25381995.blogspot.com
31
2.8. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกบั ความเจริญกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เป็ นการนาเสนอเรื่องของความเจริญกา้ วหน้าในดา้ นวิทยาการต่างๆ ที่นาพาให้ประเทศน้ันๆ
เจริญรุ่งเรือง คุณค่าของเร่ืองราวประเภทน้ีสามารถโนม้ นา้ วใหผ้ ชู้ มเห็นความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยที ่ีทนั สมยั เช่น เร่ืองราวเก่ียวกบั อุตสาหกรรม ยานอวกาศ วงการแพทย์ เครื่องมือเครื่องใชต้ ่างๆ
และการส่ือสาร เป็นตน้
ภาพที่ 4.11 ประติมากรรมบรอนซ์ Unique Forms of Continuity in Space (1913) ของอุมแบร์โต โบชชิ
โอนี (Umberto Boccioni) ภาพจาก https://goo.gl/9BgkcZ
ภาพที่ 4.12 The City Rises (La città che sale) (1910) ของ อุมแบร์โต โบชชิโอนี (Umberto Boccioni), สี
น้ามนั บนผา้ ใบ ภาพจาก https://goo.gl/CpfLes
32
บทที่ 5
ศิลปะลทั ธิประทับใจในธรรมชาติ
รายการเรียนการสอน
1.ลทั ธิอิมเพรสชนั่ นิสม์ ( Impressionism )
2.ลทั ธินีโออิมเพลสชนั่ นิสม์ ( Neo- Impressionism )
3.ลทั ธิโพสต-์ อิมเพรสชนั นิสม์ ( Post-Impressionism )
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.รู้และเขา้ ใจศิลปะลทั ธิอิมเพรสชน่ั นิสมส์ ามารถนาไปใชใ้ นการสร้างงานศิลปะได้
2.รู้และเขา้ ใจศิลปะลทั ธินีโอเพรสชน่ั นิสมส์ ามารถนาไปใชใ้ นการสร้างงานศิลปะได้
3.รู้และเขา้ ใจศิลปะลทั ธิโพสตอ์ ิมเพรสชน่ั นิสมส์ ามารถนาไปใชใ้ นการสร้างงานศิลปะได้
สาระสาคญั
ทุกสิ่งทุกอยางย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็ นไปตามกฎวิวฒั นาการของธรรมชาติจากสภาพหน่ึงสู่
สภาพหน่ึง ไม่สามารถหยุดอยู่กบั ท่ี ศิลปะลทั ธิแห่งความประทบั ใจจะมุ่งเน้นถึงการวาดภาพที่จบั ซ่ึง
สายตาสัมผสั รับรู้ในช่วงเวลาน้นั และเป็ นช่วงเวลาท่ีฉับพลนั จะมีการแยกแยะสีที่จะเขา้ มาประกอบกนั
เป็ นแสงท่ีส่องตอ้ งสิ่งต่างๆ ทาให้เกิดพ้ืนผิวภาพท่ีเต็มไปดว้ ยสีสันที่แปรเปลี่ยนเป็ นภาพที่เต็มไปดว้ ย
ความเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ลทั ธิแห่งความประทบั ใจจึงมีคุณค่าแก่การศึกษาทาให้ศิลปิ นมีทรรศนะ
กวา้ งขวาง มีความเขา้ ใจต่อโลกภายนอกมากยง่ิ ข้ึน
ศิลปะอมิ เพรสช่ันนิสม์ (Impressionism )
ศิลปะอิมเพรสชน่ั นิสม์ (Impressionism ) เป็นขบวนการศิลปะท่ีเกิดข้ึนในศตวรรษที่สิบเกา้ ซ่ึงเริ่มตน้
จากการรวมตวั กนั อย่างหลวมๆ ของจิตรกรท้งั หลายที่มีนิวาสถานอยู่ในกรุงปารีส พวกเขาเริ่มจดั แสดง
งานศิลปะในช่วง ทศวรรษที่ 1860 ชื่อของขบวนการน้ีมีที่มาจากภาพวาดของโคลด โมเนท์ท่ีมีช่ือว่า
Impression , Sunrise และนกั วิจารณ์ศิลปะนามวา่ Louis Leroy กไ็ ดใ้ หก้ าเนิดคา ๆน้ีข้ึนมาอยา่ งไม่ต้งั ใจ
ในบทวจิ ารณ์ศิลปะเชิงเสียดสีซ่ึง ตีพิมพใ์ นหนงั สือพมิ พ์ Le Charivari อิทธิพลของอิมเพรสชนั่ นิสม์ ยงั แผ่
ออกจากวงการศิลปะไปยงั ดนตรีและ วรรณกรรมลกั ษณะของภาพวาดแบบอิมเพรสชนั่ นิสม์ คือ การใช้
พู่กนั ตระหวดั สีอย่างเขม้ ๆ ใชส้ ีสว่างๆ มีส่วนประกอบของภาพที่ไม่ถูกบีบ เน้นไปยงั คุณภาพท่ีแปรผนั
33
ของแสง (มกั จะเนน้ ไปยงั ผลลพั ธ์ที่เกิดจากการเปล่ียนแปลงของเวลา) เน้ือหาของภาพเป็นเรื่องธรรมดาๆ
และมีมุมมองท่ีพิเศษจิตรกรแนวอิมเพรสชนั่ นิสม์ ไดฉ้ ีกกรอบการวาดที่มาต้งั แต่อดีต พวกเขาจึงไดช้ ่ือว่า
เป็ นพวกขบถ พวกเขาไดว้ าดภาพจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบนั ให้ดูประหลาดและไม่สิ้นสุดสาหรับ
สาธารณชนที่มาดูงานของพวกเขานกั วาดแนวน้ีปฏิเสธที่จะนาเสนอความงามในอุดมคติ และมองไปยงั
ความงามท่ีเกิดจากส่ิงสามญั แทน พวกเขามกั จะวาดภาพกลางแจง้ มากกว่าในหอ้ งสตูดิโอ อยา่ งท่ีศิลปิ น
ทวั่ ไปนิยมกนั เพ่ือท่ีจะลอกเลียนแสงท่ีแปร เปล่ียนอยเู่ สมอในมุมมองต่างๆภาพวาดแบบอิมเพรสชนั่ นิสม์
ประกอบดว้ ยการตวดั พ่กู นั แบบเป็นเสน้ ส้ันๆ ของสีซ่ึงไม่ไดผ้ สมหรือแยกเป็นสีใดสีหน่ึง ซ่ึงไดใ้ หภ้ าพท่ี
เกิดข้ึนตามธรรมชาติและมีชีวติ ชีวา พ้นื ผวิ ของภาพวาดน้นั มกั จะเกิดจากการระบายสีแบบหนาๆ ซ่ึงทาให้
พวกเขาแตกต่างจากนกั เขียนยุคเก่าท่ีจะเน้นการผสมผสานสีอย่างกลมกลืนเพื่อให้ผูอ้ ่ืนคิดว่ากาลงั มอง
ภาพวาดบนแผ่นแฟรมให้น้อยที่สุด องคป์ ระกอบของอิมเพรสชน่ั นิสม์ ยงั ถูกทาให้ง่ายและแปลกใหม่
และจะเนน้ ไปยงั มุมมองแบบกวา้ งๆ มากกวา่ รายละเอียด
ภาพที่ 5.1 อาหารกลางวนั บนสนามหญา้ ของมาเนต์ ภาพจากUnionunderoath
34
ภาพที่ 5.2 สะพานขา้ มสระบวั ของโมเนตภ์ าพจาก My.iD - Dek-D.com
ภาพท่ี 5.3 กองฟางของโมเนต์ ภาพจาก Great Stars Arts Show
นีโออมิ เพลสช่ันนิสม์ (Neo- Impressionism)
นีโออิมเพลสชน่ั นิสม์ (Neo- Impressionism) เร่ิมมีบทบาทหลงั จากท่ีศิลปะแบบอิมเพลสชน่ั
นิสมล์ ดบทบาทลง โดยผนู้ าของลทั ธิน้ีคือเซอราทก์ บั ซียคั แนวคิดในการสร้างศิลปะแบบนีโออิมเพลสชน่ั
นิสมม์ าจากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกบั เรื่องแสง (ซ่ึงเป็นอนุภาค) เป็นท่ีมาของงานเขียนในลกั ษณะ
การแตม้ เป็นจุด โดยการใชส้ ีในการเขียนงานจิตรกรรมจะไม่ใชว้ ิธีการผสมสีบนจานสี แต่จะใชว้ ิธีแตม้ สี
35
ที่ปลายพู่กนั สีหน่ึงแลว้ ไปแตม้ กบั สีอีกสีหน่ึง แลว้ จะไดส้ ีที่ผสมกนั ในสายตาของผดู้ ู วิธีการดงั กล่าวเกิด
จากแนวคิดท่ีวา่ การผสมสีในดวงตาจะไดค้ วามสวา่ งสดใสมากกวา่ การผสมสีบนจานสี ลกั ษณะของวิธี
การเขียนงานจิตรกรรมจะเขียนโดยการแตม้ เป็ นจุดขนาดเลก็ ดว้ ยสีท่ีสดใสและไม่มีการเกลี่ยสีน้นั ทาให้
ลกั ษณะการเขียนงานจิตรกรรมเช่นน้ีถูกเรียกวา่ ลทั ธิจุดสี หรือ Pointillism หรือ Divisionism
ภาพที่ 5.4 บ่ายวนั อาทิตยท์ ี่เกาะลา กร็องด์ จตั ต์ ผลงานของเซอราต์ ภาพจาก https://th.wikipedia.org
ภาพที่ 5.5 Paul Signac Un Dimanche โดยพอล เซยคั ภาพจาก Nilraya Bundasak
36
การเขียนงานจิตรกรรมในลทั ธิจุดสีน้ีต่างจากการเขยี นงานจิตรกรรมของลทั ธิอิมเพลสชน่ั นิสม์ ดงั น้ี
1.ในการเขียนงานจิตรกรรมของลทั ธิจุดสีจะใชพ้ ู่กนั แตม้ สีให้เป็ นจุดซ่ึงจะไดส้ ีที่มีความสว่าง
ชดั เจน ส่วนลทั ธิอิมเพลสชน่ั นิสมจ์ ะใชร้ อยพกู่ นั ฝีแปรงหยาบ และไม่มีการเกล่ียสี
2.ลทั ธิจุดสีจะเน้นรูปทรงวตั ถุบนพ้ืนภาพ มากกว่าลทั ธิอิมเพลสชน่ั นิสม์ การปรับรูปทรงของ
ลทั ธิจุดสีเป็ นการปรับรูปทรงที่มองเห็นตามธรรมชาติใหเ้ ป็ นโครงสร้างที่ง่ายข้ึน โดยมีการนาโครงสร้าง
เรขาคณิตมาช่วยดว้ ยเลก็ นอ้ ย การปรับโครงสร้างดงั กล่าวจึงช่วยให้การระบายสีแบบแตม้ จุดง่ายข้ึน หรือ
อาจจะช่วยใหภ้ าพมีความซบั ซอ้ นข้ึนได้
ลทั ธิโพสต์-อมิ เพรสชันนิสม์ ( Post-Impressionism )
โพสต-์ อิมเพรสชนั นิสม์ คือกระแสศิลปะท่ีเกิดข้ึนในประเทศฝร่ังเศส มีศิลปิ นท้งั หมด 4 คน ดงั น้ี
พอล เซซาน (Paul Cezanne) พอล โกแกง (Paul Gauguin) วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh) และ
จอร์จ เซอราต์ (Georges Seurat) ช่ือโพสตอ์ ิมเพรสชนั นิสมเ์ กิดข้ึนเม่ือปี 1910เม่ือนกั วิจารณ์ฟอร์มอลลิสม์
ชาวองั กฤษช่ือโรเจอร์ ฟราย (Roger Fry) จดั งานช่ือ “มาเนต์ แอนด์ เดอะ โพสต์-อิมเพรสชนั นิสต์”
(Manet and the Post-Impressionist) ที่ ลอนดอนส์ กราฟตนั แกลเลอรีส์ (London’s Grafton Galleries) ชื่อ
ลทั ธิเกิดข้ึนหลงั จากท่ีศิลปิ นในกลุ่มน้ีตายหมดแลว้ (ไม่ใครมีชีวิตอยู่เกินปี 1906)เช่นเดียวกบั ศพั ทผ์ สม
ทางศิลปะอ่ืนๆท่ีมีคาว่า “โพสต-์ ” หรือ “นีโอ-” นาหนา้ คาว่า “โพสต-์ อิมเพรสชนั นิสม”์ ไดบ้ อกเราว่า
กลุ่มน้ีมาหลงั “อิมเพรสชนั นิสม”์ (Impressionism) นอกจากน้ี คาว่า “โพสต-์ ” ยงั บ่งบอกดว้ ยวา่ มนั คือ
ปฏิกริยาต่อตา้ นส่ิงที่มาก่อนมนั ในขณะที่คาว่า “นีโอ-” จะใหค้ วามหมายในเชิงบวก เช่น การฟ้ื นฟู หรือ
การยอมรับกระแสศิลปะที่เกิดข้ึนมาก่อน
โพสต-์ อิมเพรสชนั นิสต์ ท้งั 4 คนน้ี ต่างมีความไม่พอใจแนวทางการเขียนรูปของ อิมเพรสชนั นิสม์
ที่ไม่ค่อยจะมีรูปทรงชดั เจนเท่าไร เพราะพยายามถ่ายทอดบรรยากาศของสีและแสงดว้ ยฝี แปรง จนทาให้
รูปทรงไม่กระจ่างชดั แต่อยา่ งไรก็ตามท้งั สี่คนน้ี (ยกเวน้ เซอราต์ ท่ีคิดคน้ “นีโอ-อิมเพรสชนั นิสม”์ ) ได้
เคยทดลองเทคนิคแบบ อิมเพรสชนั นิสม์ มาแลว้ ท้งั สิ้นการแสดงทางอารมณ์และความรู้สึกในงานของ โก
แกง และ แวน โก๊ะ มีลกั ษณะที่เป็ นสัญลกั ษณ์ส่วนตวั มีการใชส้ ีที่บิดเบือนผิดเพ้ียนไปจากธรรมชาติ
(เช่น มีการใช้สีที่สดดิบมากเกินของจริ ง) ได้เป็ นแรงบันดาลใจให้แก่ ลัทธิ เอ็กซ์เพรสชันนิสม์
(Expressionism) และ ซิมโบลิสม์ (Symbolism) เทคนิคการสร้างจุดจนคลา้ ยการเรียงหินโมเสคของ
เซอราต์ ไดใ้ หอ้ ิทธิพลแก่ อาร์ต นูโว (Art Nouveau) และ โฟวิสม์ (Fauvism)
37
เซซาน ทดลองเขียนภาพทิวทศั น์และหุ่นนิ่ง โดยการสังเคราะห์ให้เป็ นโครงสร้าง ซ่ึงต่อมาไดเ้ ป็ นแรง
บนั ดาลใจใหแ้ ก่ “คิวบิสม”์ (Cubism) ในการสร้างภาพธรรมชาติใหเ้ ป็นโครงสร้างแบบเรขาคณิต
ภาพท่ี 5.6 The Card Players โดยพอล เซซานน์ ภาพจาก https://th.wikipedia.org
ภาพที่ 5.7 The Starry Night วินเซนต์ แวนโกะ ภาพจากhttps://www.manager.co.th
38
ภาพท่ี 5.8 พอล โกแกง ภาพจากภาพจาก https://th.wikipedia.org
ภาพที่ 5.9 ทูลูส โลเทรค Henri de ภาพจากภาพจาก https://th.wikipedia.org
39
ภาพที่ 5.10 ภาพเหมือนตวั เอง (ค.ศ. 1875) โดย พอล เซซานน์ ภาพจาก BlogGang.com
ภาพท่ี 5.11 “มาดามเซซานนใ์ นเรือนกระจก”โดย พอล เซซานน์ ภาพจาก BlogGang.com
40
บทที่ 6
ศิลปะกบั ศาสนา
รายการเรียนการสอน
1.พระพทุ ธศาสนากบั พทุ ธศิลป์ ท่ีเกี่ยวเน่ืองสมั พนั ธก์ นั
2.ขอ้ คิดเกี่ยวกบั งานดา้ นพทุ ธศิลป์
3.ศิลปะกบั ความเป็นสากล
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.รู้และเขา้ ใจความสาคญั ของพทุ ธศาสนาที่มีผลต่อการสร้างสรรคง์ านพทุ ธศิลป์
2.วิเคราะห์แนวคิดท่ีมีต่อการสร้างสรรคง์ านพทุ ธศิลป์
3.รู้ความหมายของศิลปะกบั การแสดงออกที่เป็นสากล
สาระสาคญั
ศิลปะเป็นเรื่องของความงาม ซ่ึงสามารถสร้างความต่ืนตาต่ืนใจจนเกิดอาการตะลึงงนั หรือสะกด
ใจใหเ้ กิดความลุ่มหลง อยากชิดใกลใ้ คร่ครอบครอง (พทุ ธศาสนาเรียกว่าราคะ) แต่ในอีกดา้ นหน่ึง ศิลปะ
สามารถเป็ นส่ือให้เราเขา้ ถึงความดีและความจริงได้ กล่าวคือบนั ดาลใจให้เกิดศรัทธาในส่ิงดีงาม หรือ
นอ้ มใจให้เกิดความสงบ เกิดกาลงั ใจใฝ่ ฝันอย่างมน่ั คงในอุดมคติ อีกท้งั สามารถเปิ ดเผยความจริงของ
ชีวติ ใหเ้ ราไดป้ ระจกั ษ์ รู้เท่าทนั มายาจนละวางได้
พระพุทธศาสนากบั พุทธศิลป์ ทเ่ี กย่ี วเน่ืองสัมพนั ธ์กนั
บ่อเกิดของศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือศาสนา เพราะเมื่อคนเรามีความศรัทธาในศาสนา ก็จะ
ทุ่มเทอุทิศตนเพื่อให้สิ่งดีๆ บงั เกิดข้ึนแก่ศาสนาที่ตนนบั ถือ ฉะน้นั ศาสนสถานแต่ละแห่งจึงเกิดข้ึนจาก
พลงั ศรัทธาของคนในชุมชนรวมกนั หาช่างที่ฝี มือดีท่ีสุด ทาอยา่ งต้งั ใจที่สุด ช่างท่ีเราจา้ งมาสร้างบา้ น เขา
มาทาดว้ ยค่าจา้ ง แต่ถา้ ทาเพ่ือศาสนา คนทามีแรงจูงใจหลกั ไม่ใช่ค่าจา้ ง แต่เป็นความศรัทธา จึงตอ้ งทาให้
สุดฝี มือของตวั เอง ศาสนาจึงเป็นส่ิงท่ียกระดบั ศิลปะของชุมชนข้ึนมา เมื่อมีความพร้อมท้งั ทุนและฝี มือ ก็
มีการยกระดบั ข้ึนเรื่อย ๆ ทาให้ศิลปะท้งั หลายมีการพฒั นา ไม่เฉพาะสิ่งปลูกสร้างอยา่ งเดียว แต่รวมถึง
ศิลปะที่เน่ืองดว้ ยศาสนาท้งั หมด ขนาดจารึกคาสอนคมั ภีร์ใบลานยงั ตอ้ งมีการพฒั นา สมยั ก่อนยงั ไม่มี
กระดาษ กแ็ สวงหาวา่ อะไรใชจ้ ารึกคาสอนไดด้ ีที่สุด ช่วงแรกๆ กเ็ อาไหบา้ ง หลงั เต่าบา้ ง มาจารึก แต่จะหา
หลงั เต่าเยอะๆ มาจากไหน ไหกเ็ ขียนไดไ้ ม่กี่ตวั สุดทา้ ยกเ็ จอว่าเขียนบนใบลานดีกว่า เพราะใบลานที่ผา่ น
41
กรรมวิธีแลว้ มีความทนทานหลายร้อยปี และตอ้ งหาวิธีจารอีกวา่ ทาอยา่ งไรจึงจะมีตวั หนงั สือที่ชดั และอยู่
ไดน้ านที่สุด และยงั หาวิธีเขา้ เล่มอีก แค่ตวั คมั ภีร์อย่างเดียวก็ผ่านศิลปะต้งั มากมาย แลว้ เรียนรู้กนั จาก
ทอ้ งถิ่นสู่ทอ้ งถิ่น จากรุ่นสู่รุ่น ศาสนาสอนใหค้ นสมถะ แต่เวลาสร้างศาสนสถาน ศาสนวตั ถุ บางทีใชท้ อง
แท้ ใช้เพชรนิลจินดา ตรงน้ีมีความขดั แยง้ กนั หรือไม่ เรื่องส่วนตวั เราเรียบง่าย แต่ถา้ เร่ืองส่วนรวมท่ี
แสดงออกถึงความเคารพบูชาแลว้ จะเอาส่ิงท่ีดีที่สุดท่ีตนมีอยไู่ ปบูชาสิ่งที่เนื่องดว้ ยพระรัตนตรัย น้ีเป็ น
ธรรมเนียมต้งั แต่คร้ังพุทธกาล อยา่ งอนาถบิณฑิกเศรษฐีจะสร้างวดั ถวายพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ยงั ตอ้ งไป
เลือกทาเลท่ีเหมาะท่ีสุด มาเจอสวนเจา้ เชต ทาเลเหมาะสม บรรยากาศดี แต่เจา้ ของไม่ขายตอ้ งเอาเงินมาปู
ให้เตม็ ที่ดินถึงจะยอมขายให้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่ต่อสักคา ขนเงินมาปูเรียงเคียงกนั จนเตม็ ผืนแผน่ ดิน
น้นั เลย ศรัทธาขนาดน้ี ถามวา่ ทาเกินไปหรือเปล่า เปล่าเลย ทาไมไม่ไปหาท่ีไกลๆ จะไดร้ าคาถูกๆ ท่านไม่
หา เพราะตอ้ งการท่ีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ตวั ท่านเองอยู่ง่าย ๆ แต่ถา้ ทาเพื่อ
พระพุทธศาสนา เพ่ือส่วนรวม ก็จะทาส่ิงที่ดีที่สุดให้แลว้ ดูสิว่าผลท่ีเกิดข้ึนเป็ นอย่างไรบา้ ง เชตวนั มหา
วหิ ารกลายเป็นศูนยก์ ลางของการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในคร้ังพทุ ธกาล พระภิกษุจากทว่ั ทุกสารทิศจาริก
มาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ท่ีนี่ ชาวเมืองสาวตั ถีเองก็มาเฝ้าพระพทุ ธเจา้ ที่นี่ ถา้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปหา
ท่ีดินสร้างวดั นอกเมือง เวลาพระมาเฝ้าพระสมั มาสมั พุทธเจา้ แต่ละคร้ังเป็นพนั เป็นหมื่นรูป ถามวา่ ใครจะ
มาใส่บาตร ไม่สะดวก แต่พอยอมตดั ใจซ้ือท่ีแพงที่มีทาเลเหมาะเท่าน้ัน ประโยชน์เกิดข้ึนมหาศาล ท่ี
พระพุทธศาสนาเป็ นปึ กแผ่นถึงปัจจุบนั น้ีได้ ทาเลท่ีต้งั ของเชตวนั มหาวิหารมีส่วนอย่างย่ิงเลย เป็ น
ศูนยก์ ลางในการประมวลคาสอน ประมวลพระวินยั ในพระพทุ ธศาสนา ตกทอดมาถึงเราในยคุ ปัจจุบนั
เมื่อเอาส่ิงที่เยยี่ มที่สุดบูชาพระรัตนตรัยแลว้ เกิดอะไรข้ึน เราตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาติมนุษยอ์ ยา่ งหน่ึง
ว่า คนทุกคนไม่ไดพ้ ร้อมท่ีจะเขา้ ถึงธรรมในทนั ทีทนั ใด มีท้งั คนพร้อมและไม่พร้อม พระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าเปรียบคนเหมือนบัว ๔ เหล่าใช่ไหม กลุ่มคนส่วนใหญ่คือคนท่ียงั ไม่ค่อยรู้เร่ืองรู้ราว ศรัทธาก็มี
พอประมาณ คนเหล่าน้ีน่ีแหละท่ีเราตอ้ งทอดบนั ไดลงไปรับเขาข้ึนมา อยา่ ไปทิ้งเขา คนกลุ่มน้ีพอมาถึงวดั
เห็นอารามสะอาดสะอา้ นวิจิตรงดงาม ส่ิงต่าง ๆ ลว้ นเน่ืองดว้ ยพระรัตนตรัย จะดูอะไรก็เจริญหูเจริญตา
เจริญใจไปหมด รู้สึกวา่ สร้างดีอยา่ งน้ีแสดงวา่ ตอ้ งมีดีจริง มิฉะน้นั ทาไมจะตอ้ งสร้างดีขนาดน้ี ใจเขาจะเริ่ม
เกิดความเล่ือมใสศรัทธา พอใจเร่ิมเปิ ด พระเทศน์สอนหน่อยกเ็ ขา้ ใจไดง้ ่าย น้ีเป็นเคร่ืองช่วยเขา ดงั น้นั สิ่ง
ที่เนื่องดว้ ยพระรัตนตรัยทาให้ดีและประณีตเถิด เป็ นบุญเป็ นกุศลต่อตวั ผทู้ าเองดว้ ย แลว้ ก็เป็ นประโยชน์
ต่อมหาชนดว้ ย แต่ตวั เราให้อยอู่ ยา่ งเรียบง่าย กินใชอ้ ยา่ งพอดี ๆ ตามอตั ภาพของเราในแต่ละประเทศและ
แต่ละยคุ มีศิลปะท่ีเกี่ยวเน่ืองดว้ ยพระพุทธศาสนาต่างกนั ไป สังเกตไหมว่า วดั จีน วดั ญ่ีป่ ุน วดั ไทย หรือ
แมแ้ ต่วดั พม่าก็ตาม ลกั ษณะพระพุทธรูปมีเอกลกั ษณ์บางอยา่ งต่างกนั ไป แต่เราดูออกว่าเป็ นพระพุทธรูป
เพราะมีลกั ษณะบางอยา่ งร่วมกนั เป็นลกั ษณะที่สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะมหาบุรุษ เช่น เสน้ พระเกศาขดเป็น
42
ภาพที่ 6.1 วดั พระศรีรัตนศาสดาราม หรือวดั พระแกว้ ภาพจาก https://dhamma.mthai.com
ภาพที่ 6.2 พระแกว้ มรกต วดั พระศรีรัตนศาสดาราม ภาพจาก https://dhamma.mthai.com
กน้ หอย พระเนตรเรียวยาวโคง้ เป็ นตน้ แลว้ ทาไมถึงมีลกั ษณะบางอย่างที่แตกต่างกนั เราตอ้ ง
เขา้ ใจว่า ในคร้ังพุทธกาลหรือหลงั พุทธกาลใหม่ ๆ ยงั ไม่มีการป้ันพระพุทธรูป เพราะว่าผูค้ นต่างเคารพ
ศรัทธาพระสัมมาสัมพุทธเจา้ สุดหัวใจ แลว้ ลกั ษณะมหาบุรุษก็สมบูรณ์มาก จนกระทง่ั ไม่มีใครอาจหาญ
ป้ัน เพราะเกรงวา่ จะไม่เหมือน พลาดไปสกั นิดกร็ ู้สึกวา่ เป็นการลบหลู่ ดงั น้นั พอมีอะไรเนื่องดว้ ย
43
ภาพท่ี 6.3 วดั ร่องขนุ่ โดย เฉลิมชยั โฆษิตพิพฒั น์ภาพจากhttps://www.tvpoolonline.com
พระสัมมาสัมพุทธเจา้ เขาจะทาเป็ นรูปธรรมจกั รบา้ ง วาดเป็ นรูปตน้ โพธ์ิบา้ ง อยา่ งมากก็ทาเป็ น
รูปคลา้ ย ๆ เห็นจากขา้ งหลงั บา้ ง การป้ันพระพุทธรูปเริ่มมีตอนที่ชาวกรีกเขา้ มาในอินเดีย และในประเทศ
กรีซมีการป้ันรูปป้ันต่าง ๆ เยอะ ก็เลยเอาศิลปะอยา่ งน้นั เขา้ มาประยกุ ตก์ บั พุทธศิลป์ คือ เอาลกั ษณะมหา
บุรุษ ๓๒ ประการ อนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการ ท่ีมีการกล่าวไวใ้ นพระไตรปิ ฎกออกมาเป็ นลกั ษณะ
พระพุทธรูป ต่อมามีการพฒั นาไปตามประเทศต่าง ๆ เขา้ ประเทศไหนก็มีการปรับลกั ษณะพระพกั ตร์
คลา้ ยคนของชาติน้นั แต่กม็ ีลกั ษณะร่วมจากลกั ษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ อนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการ ทา
ใหเ้ ราดูออกความแตกต่างเหล่าน้ีเป็นเร่ืองของพทุ ธศิลป์ แต่สาระสาคญั คือเป็นองคแ์ ทนของพระสัมมาสมั
พทุ ธเจา้ เมื่อกราบแลว้ ใหร้ ะลึกนึกถึงพระคุณของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ คือ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิ
คุณ พระกรุณาธิคุณ แลว้ ต้งั ใจฝึ กตวั เองให้ทาความดีตามแบบอยา่ งพระสัมมาสัมพุทธเจา้ อยา่ งน้ีเป็นการ
บูชาที่ถูกหลกั ถือวา่ เป็นการปฏิบตั ิบูชา ซ่ึงพระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ งวา่ เป็นการบูชาท่ีสูงสุด
ข้อคดิ เกย่ี วกบั งานด้านพทุ ธศิลป์
1. ทางดา้ นของผูส้ ร้างสรรคง์ านพุทธศิลป์ ขอฝากไวว้ ่า อย่าทาดว้ ยความสนุก คึกคะนอง หรือ
แบบลวกๆ ผ่านๆ แต่ให้ทาตามแบบอย่างด้งั เดิม คือทาดว้ ยความเล่ือมใสศรัทธาจากหัวใจอย่างแทจ้ ริง
แลว้ ทาใหส้ ุดฝีมือ ใหด้ ีท่ีสุด และประณีตท่ีสุด โบราณท่านถือ คนที่จะป้ันพระ จะมาสร้างโบสถ์ เขาจะไม่
44
ดื่มเหลา้ ตอ้ งรักษาศีล ตอ้ งต้งั ใจสวดมนตท์ าภาวนา เม่ือใจละเอียดอยู่ในบุญ มีศีลมีธรรมแลว้ ผลงานท่ี
ออกมาจึงจะดี ถา้ ดื่มเหลา้ ไปดว้ ยป้ันไปดว้ ย ไม่ไดเ้ ร่ืองหรอก เพราะหยอ่ นดว้ ยศรัทธา
2. ทางดา้ นของประชาชนทว่ั ไปที่มาสักการบูชา เม่ือกราบพระแลว้ ใหเ้ นน้ การปฏิบตั ิบูชา ไม่ใช่
ไปกราบเพื่อขอหวย แต่กราบเพื่อต้งั ใจปฏิบตั ิตามส่ิงที่พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ปฏิบตั ิเป็ นแบบอยา่ งให้เรา
ขณะเดียวกนั ให้มองไปถึงใจผูส้ ร้างพุทธศิลป์ น้ันว่าเขาทาดว้ ยความเลื่อมใสศรัทธา ให้เรามองในเชิง
สร้างสรรค์ มองดว้ ยความกตญั ญูรู้คุณของผสู้ ร้างสรรคง์ านพุทธศิลป์ น้นั ข้ึนมา จะเป็นพระไทย พระพม่า
พระจีน พระเกาหลี พระญี่ป่ ุนกแ็ ลว้ แต่ เราไปถึงที่ไหนกก็ ราบได้ ไม่ใช่ไปเห็นไม่เหมือนพระพุทธรูปของ
ไทยก็ไปวิพากษว์ ิจารณ์ ทาไมพระจีนเป็ นอย่างน้ี พระญ่ีป่ ุนเป็ นอยา่ งน้ี ถา้ ทาอยา่ งน้นั เราจะเสียสิริมงคล
เพราะท่ีเรากราบน้ันคือองคแ์ ทนพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ให้เรามองพุทธศิลป์ ทุกอย่างว่าคือภาพสะทอ้ น
เป็ นองคแ์ ทนของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ให้มองไปที่แก่นของการเคารพบชูา คือ ปฏิบตั ิบูชา ถา้ ใครเห็น
พุทธศิลป์ แลว้ ไม่ตรงกบั ความชอบ ไม่ตรงกบั ความคุน้ เคยของตวั แลว้ วิพากษว์ ิจารณ์ ตอ้ งบอกว่าน่าเป็ น
ห่วงจริง ๆ ว่าผวู้ ิจารณ์น้นั จะแบกบาปไปมหาศาลโดยไม่รู้ตวั อนั น้ีขอฝากเป็ นขอ้ คิดเอาไว้ แลว้ จากน้ีไป
ให้เรามองศิลปะที่เน่ืองดว้ ยพุทธศิลป์ ในเชิงสร้างสรรค์ แลว้ รังสรรคส์ ่ิงท่ีดีงามให้บงั เกิดข้ึนมาเยอะๆเถิด
เพื่อยงั ใจของสาธุชนท้งั หลายใหส้ ูงข้ึน แลว้ กน็ อ้ มมาสู่พระรัตนตรัยศิลปะเป็นเรื่องของความงาม ซ่ึง
ภาพที่ 6.3 ขณิกะสมาธิ อุปปจาระสมาธิ อปั ปนาสมาธิ (ปูนพลาสเตอร์ พ.ศ. ๒๕๔๖)
อ.นนทิวรรธน์ จนั ทนะผะลิน ภาพจาก Yai's Weblog - WordPress.com
45
ภาพที่ 6.4 พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพทุ ธมณฑลสุทรรศน์
ภาพจาก https://praputtaroop.wordpress.com
สามารถสร้างความตื่นตาต่ืนใจจนเกิดอาการตะลึงงนั หรือสะกดใจใหเ้ กิดความลุ่มหลง อยากชิด
ใกลใ้ คร่ครอบครอง (พุทธศาสนาเรียกว่าราคะ) แต่ในอีกดา้ นหน่ึง ศิลปะสามารถเป็ นสื่อให้เราเขา้ ถึง
ความดีและความจริงได้ กล่าวคือบนั ดาลใจใหเ้ กิดศรัทธาในสิ่งดีงาม หรือนอ้ มใจใหเ้ กิดความสงบ เกิด
กาลงั ใจใฝ่ ฝันอยา่ งมน่ั คงในอุดมคติ อีกท้งั สามารถเปิ ดเผยความจริงของชีวิตใหเ้ ราไดป้ ระจกั ษ์ รู้เท่าทนั
มายาจนละวางได้ ศิลปะช้นั ครูยงั สามารถยกจิตสู่สภาวะเหนือโลกเหนือสามญั (transcendence) คือ
สภาวะที่จิตไดส้ ัมผสั กบั ความจริงข้นั สูงสุดหรือปรมตั ถ์ เช่น ความรู้สึกเป็ นหน่ึงเดียวกบั ธรรมชาติและ
จกั รวาล สภาวะที่อตั ตาตวั ตนไดเ้ ลือนหาย ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฉนั กบั โลกอีกต่อไป อยู่เหนือสมมติ
บญั ญตั ิหรือความจริงแบบทวินิยม (dualism) เป็ นสภาวะท่ีจิตเปี่ ยมดว้ ยเมตตากรุณาอยา่ งไม่มีประมาณ
มองในแง่น้ีศิลปะมิใช่ส่ิงตรงขา้ มกบั ศาสนา แต่สามารถเป็นส่ือนาผคู้ นเขา้ ถึงมิติที่ลึกซ้ึงสูงสุดในทาง
46
ศาสนธรรมไดแ้ มจ้ ะเป็ นแค่ประพิมพป์ ระพายก็ตาม ตรงน้ีเองคือจุดบรรจบระหว่างศิลปะกบั พุทธ
ศาสนา และเป็นที่มาของพทุ ธศิลป์ ท้งั ปวง เม่ือคนๆ หน่ึงซ่ึงมีความทุกขใ์ จ ทอ้ แทใ้ นชีวิต ไดม้ านง่ั อยู่
ภาพที่ 6.5 พระพทุ ธชินราช ภาพจาก https://th.wikipedia.org
เบ้ืองหน้าพระพุทธรูปในวิหาร เพียงแค่ไดเ้ ห็นพระพกั ตร์อนั สงบนิ่ง เปล่งประกายแห่งความ
เมตตา ท่ามกลางความเงียบ ความรุ่มร้อนใจก็พลนั หาย ราวกบั มีน้าเยน็ มาชโลมใจ เกิดความสงบ น้ีคือ
อานุภาพแห่งพทุ ธศิลป์ ท่ีสามารถเสริมสร้างพลงั ดา้ นบวกในใจเราได้
ศิลปะกบั ความเป็ นสากล
ศิลปะท่ีแทย้ ่อมเป็ นสากล สามารถสื่อตรงถึงใจของคนทุกยุคทุกสมัยและทุกวฒั นธรรมได้
บาทหลวงโทมสั เมอร์ตนั เมื่อไดม้ าถึง “คลั วิหาร”หรือวิหารหินท่ีเมืองโปลนนารุวะ ประเทศศรีลงั กา
ท่านถึงกบั ตะลึงราวถูกตรึงใจใหแ้ น่น่ิง เพราะเบ้ืองหนา้ ของท่านคือพระพุทธรูปท่ีสลกั จากหินผาสี่องคใ์ น
ปางต่างๆ โดยเฉพาะปางราพึงซ่ึงสูงเจ็ดเมตร พระหัตถท์ ้งั สองยกข้ึนประสานท่ีพระอุระ และมีรอยยิ้ม
นอ้ ยๆ บนพระพกั ตร์ที่อ่ิมเอิบสงบน่ิง บาทหลวงเมอร์ตนั พูดถึงพระพกั ตร์เหล่าน้นั ว่า “เตม็ เปี่ ยมไปดว้ ย
ทุกอยา่ งท่ีจะเป็นไปไดไ้ ม่สงสยั สิ่งใด หยง่ั รู้ทุกส่ิงสรรพ์ ไม่ปฏิเสธผลกั ไสอะไรเลย” ทนั ทีท่ีไดเ้ ห็นท่านก็
รู้สึกถึงความกระจ่างแจง้ ภายในใจ ไม่มีความฉงนสงสัยหลงเหลือ “ปัญหาท้งั หลายไดร้ ับการเฉลย ทุก
47
อย่างแจ่มชดั ทุกอย่างคือความว่าง และทุกอยา่ งคือการุณยธรรม ผมไม่รู้ว่าในชีวิตน้ีเคยประสบสัมผสั
ความงดงามและความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณท่ีผสานกนั อยา่ งลงตวั แนบแน่นในนฤตมิตกรรมอนั บรรเจิด
เพียงชิ้นเดียวหรือไม่”ศิลปะที่สุดยอดน้นั คือความงดงามที่กล่อมเกลาจิตใหส้ งบ นิ่ง และเยน็ เขา้ ถึงภาวะท่ี
โปร่งเบา และสัมผสั กบั มิติอนั ลึกซ้ึงภายใน รองลงมาก็คือศิลปะที่ถ่ายทอดเร่ืองราวต่างๆ เพ่ือส่งเสริม
คุณธรรมความดี เช่น ชาดกหรือนิทานตามจิตรกรรมฝาผนงั แต่คุณค่าของศิลปะมิไดม้ ีเพียงเท่าน้นั หาก
ยงั สามารถนาพาใหผ้ คู้ นซาบซ้ึงถึงสจั ธรรมของชีวิตดว้ ย สัจธรรมหรือความจริงน้นั มีสองระดบั คือ ความ
จริงแบบสมมติ (สมมติสัจจะ) กบั ความจริงแบบปรมตั ถ์ (ปรมตั ถสัจจะ) นาย ก. เป็ นรัฐมนตรี นาย ข.
เป็นชาวนา นี่เป็ นความจริงแบบสมมติ แต่เมื่อพูดถึงความจริงระดบั ปรมตั ถแ์ ลว้ ท้งั สองคนไม่ไดต้ ่างกนั
เลย เพราะตอ้ งเกิด แก่ เจบ็ ตาย และเป็นการก่อรูปจากขนั ธห์ า้ เช่นเดียวกนั หนา้ ท่ีอยา่ งหน่ึงของศิลปะคือ
การเปิ ดใจใหค้ นเห็นความจริงข้นั ปรมตั ถ์ ไม่หลงติดอยกู่ บั สมมติความจริงยงั สามารถแบ่งออกเป็น ความ
จริงแบบเฉพาะ และความจริงที่เป็ นสากล งานศิลปะหลายชิ้นมีชื่อเสียง เป็ นท่ียกย่องเพราะเปิ ดเผย
สภาวะทางจิตของคนร่วมสมยั เช่น ความทุกข์ ความเหงา ความโดดเดี่ยว อยา่ งมีพลงั ชนิดท่ีสมั ผสั ไดด้ ว้ ย
ใจ ทาใหเ้ กิดอารมณ์สะเทือนไหวหรือรู้สึกเหงาและหนาวเหน็บไปถึงหวั ใจ
แต่มีงานศิลปะอีกหลายชิ้นที่ถ่ายทอดความจริงท่ีเป็ นสากล เป็ นอกาลิโก เช่น ความไม่เที่ยง
ความพลดั พราก ท่ีมนุษยท์ ุกคนตอ้ งประสบ หรือพลงั แห่งความกรุณาปราณีที่โอบอุม้ มนุษยชาติ
เอาไว้ บา้ งกเ็ ปิ ดใจใหเ้ ราเห็นอานุภาพแห่งธรรมะหรือสิ่งสูงสุด ท่ีทาให้เรามีความหวงั แมใ้ นยามมืดมิด
ท่ีสุดของชีวิตงานศิลปะช้นั ครู เม่ือเปิ ดเผยความจริงให้เราสัมผสั ไม่ว่าความจริงเฉพาะหรือความจริงอนั
สากล มกั ก่อให้เกิดแรงบนั ดาลใจในอนั ที่จะทาสิ่งดีงาม งานบางชิ้นถ่ายทอดโศกนาฏกรรมของเพื่อน
มนุษยไ์ ดอ้ ยา่ งสะเทือนใจ จนเราไม่อาจอยนู่ ิ่งเฉยได้ เพราะรู้สึกถึงแรงผลกั จากมโนธรรมภายในใหอ้ ยาก
ทาบางอยา่ งเพ่ือช่วยเหลือเขาดงั น้นั นอกจากความงามและความจริงแลว้ ศิลปะยงั สามารถเป็นส่ือกระตุน้
ใหเ้ กิดความดีข้ึนได้ ความงาม ความจริง และความดีจึงมิใช่สิ่งที่แยกจากกนั กล่าวไดว้ ่าหนา้ ท่ีสูงสุดของ
ศิลปะก็คือ ประสานความงาม ความดี และความจริงให้เป็ นหน่ึงเดียวกนั นน่ั เองความดีสูงสุดน้นั เรียกอีก
อยา่ งวา่ อุดมคติ พุทธศิลป์ ช้นั เลิศน้นั สามารถถ่ายทอดอุดมคติลงไปในใจของผคู้ นเพ่ือยดึ ถือเป็นจุดหมาย
สูงส่งของชีวิต สาหรับพทุ ธศาสนาชีวิตท่ีสูงส่งคือชีวิตท่ีกอปรดว้ ยปัญญาและกรุณา ปัญญาคือความรู้
ความเขา้ ใจความจริงของชีวติ จะเป็นอิสระจากความผนั ผวนปรวนแปรของโลกได้ ส่วนกรุณาคือความรัก
ความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต โดยไม่เลือกที่รักมกั ที่ชงั และไม่คานึงถึงประโยชน์ส่วนตน อุดมคติ
ดังกล่าวมกั ถ่ายทอดผ่านพระพุทธรูปซ่ึงเป็ นตวั แทนของบุคคลที่พฒั นาตนจนถึงอุตมภาวะอย่างเต็ม
ศักยภาพแห่งความเป็ นมนุษย์ วิหารอานันทะในเมืองพุกาม ประเทศพม่า เป็ นท่ีประดิษฐานของ
พระพุทธรูปเก่าแก่ที่มีอายุนานนับพนั ปี หน่ึงในสององคน์ ้ันนกั ท่องเท่ียวชาวไทยเรียกว่า “พระยิ้ม-
48
บ้ึง” เน่ืองจากหากมองไกลจะเห็นพระพกั ตร์แยม้ ยิ้ม แต่ถา้ เดินเขา้ ไปใกลๆ้ จะพบว่ารอยยิ้มแปร
เปล่ียนไป ตามสายตาของคนส่วนใหญ่ ภาพท่ีเห็นคือพระพกั ตร์ที่ “บ้ึง”
ภาพที่ 6.6 การถอดภาพกระทิงของปิ กสั โซ่ ภาพจาก http://zpore.com
แทจ้ ริงหากมองอยา่ งพินิจ พระพกั ตร์ท่ีมองจากมุมใกลน้ ้นั หามีอาการบ้ึงไม่ หากเป็นพระพกั ตร์
ท่ีสงบต่างหาก จะถูกตอ้ งกวา่ หากเรียกพระพทุ ธรูปองคน์ ้ีวา่ “พระยมิ้ -สงบ” เหตุใดพระพุทธรูปองคเ์ ดียว
จึงมีสองลกั ษณะเมื่อมองจากต่างมุม คาตอบน่าจะเป็นเพราะช่างโบราณน้นั ประสงคท์ ี่จะแสดงพทุ ธคุณ
สองประการอันเป็ นอุดมคติของมนุษย์ ได้แก่ พระกรุณาคุณ และพระปัญญาคุณพระกรุณาคุณน้ัน
แสดงออกดว้ ยพระพกั ตร์ที่แยม้ ยิม้ เป่ี ยมดว้ ยความรักต่อสรรพชีวิต ใครที่รอนแรมจากท่ีไกลเมื่อไดเ้ ห็น
ยอ่ มรู้สึกอบอุ่นใจ ใครที่มีความทุกขใ์ จ ยอ่ มมีความหวงั ว่าจะไดร้ ับการปกปักรักษาจากพระองคส์ ่วน
พระปัญญาคุณน้นั แสดงออกดว้ ยพระพกั ตร์ท่ีสงบน่ิงเมื่อมองจากมุมใกล้ เป็นอาการของผรู้ ู้แจง้ ความ
เป็ นไปของโลก จึงไม่หวนั่ ไหวในสุขหรือทุกข์ โลกธรรมไม่ว่าบวกหรือลบจึงไม่สามารถทาอะไร
พระองคไ์ ด้ ผใู้ ดท่ีพินิจพระพุทธรูปพระองคน์ ้ีดว้ ยใจท่ีใคร่ครวญ ยอ่ มตระหนกั ชดั ว่า ส่ิงที่พึงยึดถือเป็ น
อุดมคติของชีวิตน้ีกค็ ือการบ่มเพาะปัญญาและกรุณาใหเ้ จริญมนั่ คงในใจ เพราะเราจะพน้ ทุกขไ์ ดก้ ต็ ่อเมื่อ
มีปัญญารู้แจง้ ความจริงของชีวิตว่าไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนตั ตา จึงไม่ยึดติดในโลกหรือสังขารท้งั ปวง
และเมื่อพน้ ทุกข์ ละวางตวั ตน ไร้ซ่ึงความเห็นแก่ตวั ท้งั ปวง จึงมีจิตกรุณาต่อสรรพสตั วไ์ ม่มีท่ีสุดประมาณ
49
ปรารถนาช่วยเหลือสรรพสัตวใ์ ห้พน้ ทุกข์ อย่างไรก็ตาม ศิลปะมิไดน้ ้อมนาจิตใจให้เขา้ ถึงความดีและ
ความจริงโดยผา่ นการเสพเท่าน้นั การสร้างสรรคศ์ ิลปะก็เป็นอีกหนทางหน่ึงที่นาพาผคู้ นบรรลุถึงความดี
และความจริงได้ มองในมุมของพุทธศาสนา การสร้างสรรคศ์ ิลปะมิควรเป็นไปเพื่อประกาศตวั ตน หรือ
เพื่อแสวงหาลาภสักการะ หรือชื่อเสียงเกียรติยศ หากควรมุ่งประโยชน์ส่วนรวม หรือเพ่ือความเจริญ
มนั่ คงแห่งพระศาสนา ดงั น้นั ช่างที่สรรคส์ ร้างพุทธศิลป์ ในอดีตจึงอุทิศตนใหก้ บั งานของตนอยา่ งเตม็ ท่ี
โดยไม่คิดจะจารึกช่ือไวใ้ นนฤมิตกรรมเหล่าน้นั เพ่ือให้โลกหรือคนรุ่นหลงั รู้จกั เลยนอกจากการบาเพญ็
ประโยชน์เพอ่ื ส่วนรวมแลว้ การสร้างสรรคศ์ ิลปะยงั เป็นวิถีแห่งการฝึกฝนพฒั นาตนดว้ ย ช่างสมยั ก่อนไม่
เพียงถือศีล บาเพญ็ พรต และเจริญสมาธิก่อนสร้างสรรคผ์ ลงานท่ีเป็นพุทธศิลป์ เท่าน้นั หากยงั อาศยั งาน
ศิลปะน้นั เป็ นเครื่องฝึ กจิตไปดว้ ย เช่น นอ้ มใจให้มีสมาธิ หรือฝึ กจิตใหเ้ ป็ นหน่ึงเดียวกบั ธรรมชาติ ใน
พุทธศาสนาแบบเซน นกั ปฏิบตั ิบางคนวาดตน้ ไผน่ านนบั สิบปี เพื่อเป็ นหน่ึงเดียวกบั ตน้ ไผ่ และในที่สุดก็
ไม่มีแมก้ ระทง่ั ความสานึกว่าตนเป็ นหน่ึงเดียวกบั ตน้ ไผ่ ถึงตรงน้ีผลงานจะเป็นอยา่ งไรไม่สาคญั เท่ากบั
สภาวะหรือภูมิจิตของผวู้ าดมองในแง่น้ีการทางานศิลปะจึงมิใช่อะไรอื่น หากคือการปฏิบตั ิธรรมนนั่ เอง
บทสรุป
ชีวติ น้นั มีหลายมิติ เราแต่ละคนมีสมั พนั ธภาพท่ีหลากหลาย ในฐานะปัจเจกบุคคล เราตอ้ งสัมพนั ธ์
กบั ส่ิงรอบตวั อาทิ ผคู้ น สังคม และธรรมชาติ ขณะเดียวกนั เรากต็ อ้ งไม่ละเลยชีวิตดา้ นในจนแปลกแยก
กบั ตวั เอง จะทาเช่นน้นั ได้ เราตอ้ งสมั พนั ธ์กบั สิ่งสูงสุดดว้ ย สาหรับชาวพทุ ธ สิ่งสูงสุดดงั กล่าวไดแ้ ก่เป็น
ปรมตั ถสจั จะ และนิพพานหากสมั พนั ธภาพกบั ผคู้ น สังคม และธรรมชาติ เป็นสมั พนั ธภาพแนวนอน
สัมพนั ธภาพแนวต้งั เบ้ืองล่างคือสัมพนั ธภาพกบั ชีวิตดา้ นใน เบ้ืองบนคือสัมพนั ธภาพกบั สิ่งสูงสุดใน
ฐานะที่เป็ นสะพานพาเราให้เขา้ ถึงความงาม ความจริง และความดี ศิลปะคือส่ิงสาคญั ท่ีจะช่วยใหเ้ รามี
สมั พนั ธภาพกบั สรรพส่ิงอยา่ งรอบดา้ น ทาให้เราเห็นคุณค่าของธรรมชาติ เห็นมนุษยท์ ุกคนเป็นพี่นอ้ ง
กนั หยง่ั ลึกถึงจิตวิญญาณของตน และเขา้ ถึงส่ิงสูงสุดได้ ศาสนามีความหมายกบั ชีวิตอย่างไรศิลปะก็มี
ความหมายอยา่ งน้นั กบั เรา ชีวิตท่ีดีงามกบั ศิลปะจึงไม่อาจแยกจากกนั ได้ ศิลปะช่วยใหค้ วามเป็นมนุษย์
ของเราสมบูรณ์และงดงามได้
50