บทที่ 7
ศิลปะกบั วฒั นธรรม
รายการเรียนการสอน
1.ความหมายของวฒั นธรรม
2.ปัจจยั ที่ทาใหว้ ฒั นธรรมแตกต่างกนั
3.วฒั นธรรมภาคเหนือ
4.วฒั นธรรมภาคกลาง
5.วฒั นธรรมภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
6.วฒั นธรรมภาคใต้
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.รู้ความหมายของวฒั นธรรม
2.วเิ คราะห์ปัจจยั ท่ีทาใหว้ ฒั นธรรมแตกต่างกนั
3.รู้และเขา้ ใจวฒั นธรรมภาคเหนือ
4.รู้และเขา้ ใจวฒั นธรรมภาคกลาง
5.รู้และเขา้ ใจวฒั นธรรมภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
6.รู้และเขา้ ใจวฒั นธรรมภาคใต้
สาระสาคญั
วฒั นธรรมเป็ นเรื่องที่สาคญั ยิ่งในความเป็ นชาติ ชาติใดที่ไร้เสียซ่ึงวฒั นธรรมอนั เป็ นของ
ตนเองแลว้ ชาติน้นั จะคงความเป็ นชาติอยไู่ ม่ได้ ชาติที่ไร้วฒั นธรรม แมจ้ ะเป็ นผพู้ ิชิตในการสงคราม แต่
ในที่สุดกจ็ ะเป็ นผถู้ ูกพิชิตในดา้ นวฒั นธรรม ซ่ึงนบั วา่ เป็ นการถูกพิชิตอยา่ งราบคาบและสิ้นเชิงจะเห็นได้
วา่ ผสู้ ร้างวฒั นธรรมคือมนุษย์ และสงั คมเกิดข้ึนกเ็ พราะ มนุษย์ วฒั นธรรมกบั สังคมจึงเป็นสิ่งคู่กนั โดยแต่
ละสังคมยอ่ มมีวฒั นธรรมและหากสังคมมีขนาดใหญ่หรือมีความซบั ซอ้ น มากเพียงใด ความหลากหลาย
ทางวฒั นธรรมมกั จะมีมากข้ึนเพียงใดน้ันวฒั นธรรมต่างๆของแต่ละสังคมอาจเหมือนหรือต่างกนั สืบ
เน่ืองมาจากความแตกต่างทางดา้ นความเชื่อ เช้ือชาติ ศาสนาและถิ่นที่อยู่ เป็นตน้
51
ความหมายของวฒั นธรรม
วฒั นธรรม หมายถึง วิถีการดาเนินชีวติ ที่มนุษยส์ ร้างข้ึนมานน่ั เอง ไมว่ า่ จะเป็นการละเล่น การ
แสดง การร้องเพลง พฤติกรรม และบรรดาผลงานท้งั มวลท่ีมนุษยไ์ ดส้ ร้างสรรคข์ ้ึน ไม่วา่ จะเป็นงานดา้ น
จิตกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนความคิด ความเชื่อ ความรู้ ลกั ษณะท่ีแสดงความเจริญ
งอกงาม ความเป็นระเบียบความรู้สึก ความประพฤติและกิริยาอาการ หรือการกระทาใดๆ ของมนุษยใ์ น
ส่วนรวม ใหป้ รากฏเป็นภาษา เป็นศิลปะ ความเช่ือถือ ระเบียบ ประเพณี ความกลมเกลียว ความกา้ วหนา้
ของชาติและศีลธรรมอนั ดีงามของประชาชน ซ่ึงวฒั นธรรมของคนแต่ละภาคในประเทศไทยกม็ ีความ
เหมือนและแตกต่างกนั บา้ งตามแต่ละพ้ืนที่ของประเทศไทย รวมท้งั การสืบทอดหรืออาจมีการดดั แปลง
บา้ งเพื่อใหม้ ีความเป็นสมยั นิยมมากข้ึน รวมท้งั สามารถประพฤติปฏิบตั ิกนั ไดอ้ ยา่ งทว่ั ถึงดว้ ยน้นั เอง
ปัจจยั ทที่ าให้วฒั นธรรมแตกต่างกนั
– ส่ิงแวดลอ้ มทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากสังคมไทยมีลกั ษณะทางดา้ นภูมิศาสตร์ของแต่ละภาค
แตกต่างกนั
– ระบบการเกษตรกรรม คนไทยส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตผกู พนั กบั ระบบการเกษตรกรรม และระบบ
การเกษตรกรรมน้ีเอง ไดเ้ ป็น ที่มาของวฒั นธรรมไทยหลายประการ เช่น ประเพณีขอฝน ประเพณีลงแขก
และการละเล่น เตน้ การาเคียว เป็นตน้
– ค่านิยม มีความเกี่ยวพนั กบั วฒั นธรรมอยา่ งใกลช้ ิด และค่านิยม บางอยา่ งไดก้ ลายมาเป็ นแกน
ของวฒั นธรรมไทย กล่าวคือวิถีชีวิตของคนไทยโดยส่วนรวมมีเอกลกั ษณ์ซ่ึงแสดงออกถึงอิสรภาพและ
เสรีภาพ
– การเผยแพร่วฒั นธรรมหน่ึง ไปสู่วฒั นธรรมทางสงั คมอื่นๆ โดยนกั ท่องเท่ียว พ่อคา้ ทหาร หมอ
สอนศาสนา และผอู้ พยพยงั คง ซ่ึงยา้ ยถ่ินที่อยจู่ ากแห่งหน่ึงไปยงั แห่งอ่ืนๆ เขาเหล่าน้นั มกั นาวฒั นธรรม
ของพวกเขาติดตวั ไปดว้ ย เสมอ ซ่ึงถือไดว้ ่า เป็ นการเผยแพร่ทางวฒั นธรรม เป็ นไปไดอ้ ย่างสะดวก
รวดเร็วและกวา้ งขวาง ประจักษ์ พยานในเร่ืองน้ีจะเห็นได้ว่าน้าอัดลมชื่อต่างๆ มีอยู่ทวั่ ทุกมุมโลก
วฒั นธรรมของสงั คมอื่น ซ่ึงไดเ้ ผยแพร่เขา้ มาในสงั คมไทย
52
– พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา มีประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ศาสนาอีกเป็ น
จานวนมาก เช่น การทอดกฐิน การทอดผา้ ป่ า การบวชเพื่อสืบทอดศาสนาเราจะพูดถึงวฒั นธรรม 4 ภาค
โดยสรุป
วฒั นธรรมภาคเหนือ
ภาคเหนือมีลกั ษณะเป็นเทือกเขา สลบั กบั ท่ี ราบ ผคู้ นจะกระจายตวั อยเู่ ป็ นกลุ่ม มีวิถีชีวิต และ
ขนบธรรมเนียมเป็ นของตนเอง แต่ก็มีการ ติดต่อระหว่างกนั วฒั นธรรมของภาคเหนือหรือ อาจเรียกว่า
"กลุ่มวฒั นธรรมลา้ นนา" ซ่ึงเป็ น วฒั นธรรมเก่าแก่และมีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ท้งั สาเนียงการพูด การขบั
ร้อง ฟ้อนรา หรือการจดั งานฉลองสถานท่ีสาคญั ท่ีมีมาแต่โบราณ เช่น พระธาตุดอยสุเทพ วดั เจดียห์ ลวง
ความเชื่อเกี่ยวกบั การนบั ถือผี ชาวเหนือหรือที่เรียกกนั ว่า "ชาวลา้ นนา" มีความเชื่อในเรื่องการนบั ถือผี
ต้งั แต่เดิมเชื่อว่าสถานท่ีแทบทุกแห่ง มีผใี หค้ วามคุม้ ครองรักษาอยู่ ความเช่ือน้ีจึงมีอิทธิพลต่อการดาเนิน
ชีวิตประจาวนั เห็นไดจ้ ากขนบธรรมเนียมประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ ของชาวเหนือ เช่น ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ชาว
เหนือ (พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย) เม่ือไปวดั ฟังธรรมก็จะประกอบพิธีเล้ียงผี คือ จดั หาอาหารคาว-หวานเซ่น สังเวยผี
ป่ ูยา่ ดว้ ย
ผที ี่มีความสาคญั ต่อวถิ ีชีวิตของชาวลา้ นนา เช่น
- ผบี รรพบุรุษ มีหนา้ ท่ีคุม้ ครองเครือญาติและครอบครัว
- ผอี ารักษ์ หรือผเี จา้ ที่เจา้ ทาง มีหนา้ ท่ีคุม้ ครองบา้ นเมืองและชุมชน
- ผขี นุ น้า มีหนา้ ท่ีใหน้ ้าแก่ไร่นา
- ผฝี าย มีหนา้ ที่คุม้ ครองเมืองฝาย
- ผสี บน้า หรือผปี ากน้า มีหนา้ ที่คุม้ ครองบริเวณที่แมน่ ้าสองสายมาบรรจบกนั
- ผวี ิญญาณประจาขา้ ว เรียกวา่ เจา้ แม่โพสพ
- ผวี ิญญาณประจาแผน่ ดิน เรียกวา่ เจา้ แม่ธรณี
คนล้านนามีความผูกพนั เก่ียวเนื่องอยู่กับการนับถือผี สามารถพบเห็น ได้จากการดาเนิน
ชีวิตประจาวนั ของคนเมืองเอง เช่น เมื่อเวลาท่ีตอ้ งเขา้ ป่ าไปหาอาหารหรือตอ้ งคา้ งพกั แรมอยใู่ นป่ า มกั จะ
ตอ้ งบอกกล่าวเจา้ ท่ี เจา้ ทางเสมอ และเมื่อเวลาที่กินขา้ วในป่ าก็มกั จะแบ่งอาหารให้เจา้ ที่ดว้ ยเช่นกัน
นอกจากน้นั เม่ือเวลาจะอย่ทู ี่ไหนก็ตามไม่ว่าจะอยูใ่ นเมืองหรือในป่ าเม่ือเวลาที่ตอ้ งถ่ายหรือปัสสาวะ ก็
มกั จะตอ้ งขออนุญาตจากเจา้ ท่ีก่อนอยเู่ สมอ เหล่าน้ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ วิถีชีวิตของคนเมืองผกู ผนั อยกู่ บั การนบั
ถือผีการเล้ียงผีของคนลา้ นนาจะอยู่ในช่วงระหว่างเดือน 4 เหนือจนถึงเดือน 8 เหนือ ช่วงเวลาน้ีเราจะ
53
พบว่าตามหมู่บา้ นต่างๆ ในภาคเหนือจะมีการเล้ียงผีบรรพบุรุษกนั อย่างมากมาย เช่น ที่อาเภอเชียงคา
จงั หวดั พะเยา กจ็ ะมีการเล้ียงผเี ส้ือบา้ นเส้ือเมืองซ่ึงเป็นผบี รรพบุรุษของชาวไทล้ือพอหลงั จากน้ีอีกไม่นาน
ก็จะมีการเล้ียงผีลวั ะ หรือ ประเพณีบูชาเสาอินทขิล ซ่ึงเป็ นประเพณีเก่าแก่ของคนเมือง และยงั ไม่นับ
รวมถึงการเล้ียงผมี ด ผเี มง็ และการเล้ียงผปี ่ ูแสะยา่ แสะของ ชาวลวั ะ ซ่ึงจะทยอยทากนั ต่อจากน้ี
ในช่วงกลางฤดูร้อนจะมีการลงเจา้ เขา้ ทรงตามหมู่บา้ นต่างๆ ท้งั น้ีอาจเป็ นเพราะความเช่ือของ
ชาวบา้ นท่ีว่า การลงเจา้ เป็ นการพบปะพูดคุยกบั ผบี รรพบุรุษ ซ่ึงในปี หน่ึงจะมีการลงเจา้ หน่ึงคร้ัง และใน
การลงเจา้ คร้ังน้ีจะถือโอกาสทาพธิ ีรดน้าดาหวั ผบี รรพบุรุษไปดว้ ย ยงั มีพธิ ีเล้ียงผอี ยพู่ ิธีหน่ึงท่ีมกั จะกระทา
กนั ในช่วงเวลาน้ีและที่สาคญั ในปี หน่ึงจะทาพิธีน้ีเพียงคร้ังเดียวเท่าน้ัน น่ันก็คือ "การเล้ียงผีมดผีเม็ง"
ชาวบา้ นท่ีประ กอบพิธีน้ีข้ึนบอกว่า การเล้ียงผีมดผีเมง็ จะเล้ียงอยู่ 2 กรณี คือ เมื่อเวลามีคนเจ็บป่ วย ไม่
สบายในหมู่บา้ น จะ ทาพิธีบนผเี มง็ เพอ่ื ขอใชช้ ่วยรักษา เมื่อเวลาท่ีหายแลว้ จะตอ้ งทาพธิ ีเชิญวิญญาณผเี มง็
มาลง และจดั หา ดนตรีมาเล่น เพื่อเพมิ่ ความสนุกสนานแก่ผมี ด ผเี มง็ ดว้ ย อีกกรณีหน่ึงเมื่อไม่มีคนเจบ็ ป่ วย
ในหมู่บา้ นจะตอ้ ง ทาพิธีเล้ียงผีมดผีเม็งทุกปี โดยจะตอ้ งหาฤกษ์ยามท่ีเหมาะสม และจะตอ้ งกระทา
ระหว่างช่วงเวลาเดือน 4 เหนือ ถึงเดือน 8 เหนือ ก่อนเขา้ พรรษา เพราะถา้ ไม่ทาพิธีผีมดผีเม็งอาจจะไม่
คุม้ ครองคนในหมู่บา้ นก็ได้ ดงั น้นั เม่ือใกลถ้ ึงช่วงเวลาดงั กล่าว เรามกั จะพบภาพพิธีเหล่าน้ีตามหมู่บา้ น
ต่างๆ
ประเพณีสงกรานต์
ชาวเหนือมีประเพณีสงกรานต์ที่เหมือนกับชาวไทยภาคอ่ืน คือ มี การทรงน้าพระพุทธรูป มี
ประเพณีขนทรายเขา้ วดั ประเพณีรดน้าดารงขอพรจากผูห้ ลกั ผใู้ หญ่ ส่ิงที่เป็ นประเพณีทอ้ งถ่ิน คือ มีการ
ทาบุญถวายขนั ขา้ วท่ีถวายตุง และไมค้ ้าสะหลีหรือไมค้ ้าโพธ์ิ เพ่ืออุทิศ ส่วนกุศลให้แก่วิญญาณผีบรรพ
บุรุษ และเป็นผลบุญสาหรับตนเอง
ประเพณีสืบชะตา
ชาวลา้ นนามีความเช่ือว่า การทาพิธีสืบชะตาจะช่วยต่ออายใุ หต้ น เอง ญาติพ่ีนอ้ ง และบา้ นเมือง
ใหย้ นื ยาว ทาใหเ้ กิดความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นสิริมงคล โดยแบ่งการสืบชะตาเป็น 3 ประเภท คือ
- การสืบชะตาคน นิยมทากนั หลายโอกาส เช่น วนั เกิด วนั ที่
- ไดร้ ับยศตาแหน่ง วนั ข้ึนบา้ นเมือง
54
- การสืบชะตาบา้ น เป็ นการสืบชะตาชุมชนหรือหมู่บา้ น เพื่อให้เกิดสิริมงคลปัดเป่ าทุกภยั
ต่างๆ นิยมจดั เม่ือผ่านช่วงสงกรานต์ไปแลว้ การสืบชะตาเมือง เป็ นพิธีกรรมที่จดั ข้ึนดว้ ยความเชื่อว่า
เทวดาจะช่วยอานวยความสุขใหบ้ า้ นเมือง
เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ ในสมยั โบราณพระเจา้ แผ่นดินเป็ นประธานในพิธีสืบชะตาเมืองในทุกวนั น้ี
เร่ืองในการนบั ถือผแี ละประเพณีที่เกี่ยวขอ้ ง มีการเปล่ียนแปลงและเหลือนอ้ ยลง โดยเฉพาะใน เขตเมือง
แต่ในชนบทยงั คงมีการปฏิบตั ิกนั อยู่
ประเพณีปอยนอ้ ย
เป็ นประเพณีบวช หรือการบรรพชาของชาวเหนือจะมีช่ือเรียกต่างกนั ในบางทอ้ งถิ่น เช่น ปอย
นอ้ ย ปอยบวช ปอยลูกแกว้ ปอยส่างลอง นิยมจดั ภายในเดือนกุมภาพนั ธ์หรือมีนาคม ซ่ึงเก็บเกี่ยวพืชผล
เสร็จแลว้ ในพธิ ีบวชจะมีการจดั งานเฉลิมฉลองอยา่ งยง่ิ ใหญ่ มีการแห่งลูกแกว้ หรือผบู้ วชที่จะแต่งตวั อยา่ ง
สวยงามแบบกษตั ริยห์ รือเจา้ ชายเพราะถือคตินิยมว่าเจา้ ชายสิทธตั ถะไดเ้ สด็จออกบวชจนตรัสรู้ การแห่
นิยมให้ลูกแกว้ ข่ีมา้ หรือขี่ขอคน มีการร้องรากันอย่างสนุก สนาน ในงานน้ีจะทาให้เด็กชายธรรมดา
กลายเป็ น “ลูกแกว้ ” หรือ“เด็กมีค่าเหมือนแกว้ ” บางทอ้ งถ่ินการบวชลูกแกว้ เป็ นการเปิ ด โอกาสใหผ้ ทู้ ี่
ไม่ใช่พ่อแม่หรือเครือญาติร่วมกนั เป็ นเจา้ ภาพดว้ ย เพื่อ เป็ นการแบ่งบุญและช่วยสนบั สนุนค่าใช่จ่ายใน
การจดั งาน เจา้ ภาพ จะเรียกวา่ "พอ่ ออก หรือบิดาแห่งการจากไป" จากชีวิตทางโลก ของผบู้ วช และผบู้ วช
จะปฏิบตั ิตนต่อพ่อออกเหมือนเป็นพ่อแม่จริงๆ พอ่ ออกและลูกแกว้ จึงเกิดความผกู พนั กนั กล่าวไดว้ า่ เป็ น
การสร้าง ความสมั พนั ธ์ที่ดีต่อกนั ระหวา่ งคนในสงั คม
ภาพท่ี 7.2 ประเพณีปอยนอ้ ย ภาพจากhttp://nakronmaesot.blogspot.com
55
ภาพที่ 7.3ปอยนอ้ ย ภาพจากg.blogspot.com
วฒั นธรรมภาคกลาง
เพลงพ้ืนบา้ นเป็นร้อยกรองท่ีนามาจดั จงั หวะของคา และใส่ทานองเพ่ือขบั ร้องในทอ้ งถ่ินสืบทอด
ต่อกนั มาดว้ ยวิธีจดจา ท่ีมาของเพลงพ้ืนบา้ น เกิดจากนิสัยชอบบทกลอน หรือท่ีเรียกว่า “ความเป็นเจา้ บท
เจา้ กลอน” ของคนไทย ในทอ้ งถ่ินต่างๆ ที่เรียงร้อยถอ้ ยคามีสัมผสั คลอ้ งจอง และประดิษฐท์ านองที่ร้อง
ง่ายแลว้ นามาร้องเล่นในยาม ว่าง หรือระหว่างทางานร่วมกนั เช่น ลงแขกเกี่ยวขา้ ว นวดขา้ ว เพ่ือผ่อน
คลายความเหน็ดเหนื่อยจากการทา งาน เพื่อความสนุกสนาน และเพ่ือความสามคั คีในกลุ่มชน การใช้
ถอ้ ยคาในเพลงพ้ืนบา้ นน้นั มีลกั ษณะตรง ไปตรงมา นิยมใชภ้ าษาพูดมากกว่าภาษาเขียน บางคร้ังก็แฝงนยั
ใหค้ ิดในเชิงสองแง่สองง่าม บางเพลงก็ ร้องซ้าไปมาชวนใหข้ บั ขนั
คุณค่าของเพลงพ้นื บา้ นเพลงพ้นื เมืองเป็นมรดกทางวรรณกรรม ชาวบา้ นนิรนามไดแ้ ต่งเพลงของ
เขาข้ึน บทเพลงน้ีอาจจะมา จากความเป็ นคนเจา้ บทเจา้ กลอน และความอยไู่ ม่สุขของปาก แต่บงั เอิญหรือ
บางทีไม่ใช่บงั เอิญ เพลงของ เขาไพเราะและกินใจชาวบา้ นคนอ่ืนๆ ด้วย ดังน้ันเพลงดังกล่าวจึงได้
แพร่กระจายออกไปเร่ือยๆ และในท่ีสุด ไม่มีใครรู้วา่ ใครเป็นคนแต่งเพลงบทน้นั และแต่งเม่ือใด
ประเพณีรับบวั
ประเพณีรับบวั เป็นประเพณีของชาวอาเภอบางพลี จงั หวดั สมุทรปราการ จดั ข้ึนในวนั ข้ึน 15 ค่า
เดือน 11 ของทุกปี ในเทศกาลออกพรรษา ตานานของประเพณี รับบวั ตานานหน่ึงเล่าวา่ ในสมยั ก่อนน้นั
อาเภอบางพลี เป็นแหล่งท่ีมีดอกบวั หลวงมาก เม่ือถึงช่วงออกพรรษา ชาวบา้ นที่อยใู่ กลอ้ าเภอบางพลี โดย
56
เฉพาะที่อาเภอเมือง และอาเภอพระประแดง จะเดินทางไปเกบ็ ดอกบวั ท่ีอาเภอบางพลี เพ่ือนามาประกอบ
พิธีทาบุญในวนั ออกพรรษา ต่อมาชาวบางพลีเป็ นผูเ้ ก็บดอกบวั ไวแ้ จกให้ ชาวบา้ นต่างถิ่น เพื่อเป็ นการ
ทาบุญร่วมกนั รุ่งเชา้ ของวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 11 ชาวบา้ นต่างถ่ิน จะพายเรือไปรับดอกบวั จากชาวบางพลี
เพื่อนาดอกบวั ไปนมสั การหลวงพ่อโต ท่ีวดั บางพลีใหญ่ ในการให้ และรับดอกบวั กระทากนั อยา่ งสุภาพ
รับส่งกนั มือต่อมือ ผใู้ หจ้ ะอธิฐานก่อน ส่วนผรู้ ับกจ็ ะพนมมือไหวข้ อบคุณ แต่ถา้ เป็นผสู้ นิทสนมกนั กอ็ าจ
โดยดอกบวั ให้โดยไม่มีพิธีรีตอง เม่ือเวลาผ่านไปการโยนดอกบวั ให้กนั ก็ กลายเป็ นความนิยมแทนการ
รับส่งมือต่อมือ จนชื่อประเพณีถูกเรียกว่า "โยนบวั " แทน "รับบวั เมื่อรับดอก บวั แลว้ ชาวบา้ นต่างถ่ินก็
พายเรือกลบั โดยมีการพายแข่งกนั จนต่อมาจดั เป็ นการแข่งขนั ดว้ ย เมื่อสภาพการดารงชีวิตเปลี่ยนไป มี
โรงงานอุตสาหกรรม มีบา้ นจดั สรรเกิดข้ึนที่อาเภอบางพลีมากข้ึน แหล่งน้าท่ีมีดอกบวั นอ้ ยลง หน่ายงาน
ราชการจึงคิดจดั งานรับบวั ข้ึนมา เพ่ืออนุรักษป์ ระเพณีไว้ โดยจดั ใหม้ ี การประกวดเรือสวยงาม และนาไม้
ไผม่ าสานเป็ นโครงรูปองคพ์ ระพุทธรูป ปิ ดดว้ ยกระดาษสีทอง สมมุติวา่ เป็นหลวงพ่อโต วดั บางพลีใหญ่
ใน นามาต้งั บนเรือแห่ไปตามลาคลองสาโรง อาเภอบางพลี จงั หวดั สมุทร ปราการ ชาวบา้ นที่อยู่ริมฝั่ง
คลองและชาวบา้ นท่ีนาเรือมาจอดอยรู่ ิมคลอง จะนาดอกบวั โยนถวายหลวงพ่อ โต ซ่ึงปฏิบตั ิต่อกนั มาจน
กลายเป็นประเพณีโยนบวั ที่แตกต่างจากประเพณีรับบวั แต่เดิม
ภาพที่ 7.4 ประเพณีรับบวั ชาวอาเภอบางพลี จงั หวดั สมุทรปราการ ภาพจากLINE Today
57
ประเพณีว่งิ ควาย
ประเพณีวิ่งควาย เป็ นประเพณีที่จดั เป็ นประจาทุกปี ในวนั ข้ึน 14 ค่า เดือน 11 ก่อนออกพรรษา 1
วนั เป็นประเพณีที่เป็นมรดกตกทอดมา แต่บรรพชนถึงปัจจุบนั เพ่ือเป็นการทาขวญั ควายและใหค้ วายได้
พกั ผอ่ น จากงานในทอ้ งนา เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเช่ือท่ีวา่ หากปี ใดไม่มีการ วิง่ ควายปี น้นั ควายจะเป็น
โรคระบาดกนั มาก เพื่อแสดงรู้คุณต่อควายซ่ึงเป็ นสัตวท์ ี่จาเป็ นในการประกอบอาชีพทานา และเพื่อให้
ชาวบา้ นมาพบปะสงั สรรคก์ นั ส่วนใหญ่จดั งานในเขตเทศบาลเมืองชลบุรี และอาเภอบา้ นบึง เดิมมีแต่คน
ใน ทอ้ งถ่ินรู้จกั แต่ในปัจจุบนั ประเพณีวงิ่ ควายเป็นประเพณีประจาจงั หวงั ชลบุรี ท่ีโด่งดงั เป็นท่ีรู้จกั กนั ไป
ทว่ั ท้งั ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในอดีตประเพณีวิ่งควาย เป็นประเพณีว่ิงควายท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ความเช่ือ
ทางไสยศาสตร์ท่ีวา่ ถา้ ควายของใครเจบ็ ป่ วย เจา้ ของควายควรจะนาควายของตน ไปบนกบั เทพารักษ์ และ
เม่ือหายเป็นปกติแลว้ จะตอ้ งนาความมาว่ิงแกบ้ น ฉะน้นั ในปี ต่อ ๆ มาชาวบา้ นก็นาควายของตนมาว่ิงเพื่อ
ป้องกนั การเจบ็ ป่ วยเสียแต่เน่ิน ๆ
ภาพท่ี 7.5 ประเพณีว่งิ ควาย ภาพจากtrekkingthai
ส่วนความเชื่อในทางศาสนาพุทธน้ัน เกิดจากการท่ีชาวบา้ นมาชุมนุมกนั ที่วดั ใหญ่อินทาราม
จงั หวดั ชลบุรี เพ่ือนาเคร่ืองกณั ฑ์ใส่ควายเทียมเกียวนมาพกั ท่ีวดั เพ่ือจะรอการติดกนั เทศน์ในเทศกาล
เทศน์มหาชาติ ขณะที่รอเดก็ เล้ียงควายต่างก็ นาควายของตนไปอาบน้าที่สระบริเวณวดั เมื่อต่างคนต่างพา
ควายของตนไปก็เกิดมี การประลองฝี เทา้ ควายเกิดข้ึน เพื่อทดสอบสุขภาพความแขง็ แรงกนั การแข่งขนั
ใน ระยะแรก ๆ จึงเป็นเพียงการบงั คบั ควายขณะว่ิงในระยะที่กาหนดและห้ามตก จากหลงั ควาย ต่อมาจึง
เชื่อว่าการวิ่งควายไดม้ ีการพฒั นาข้ึนเรื่อย ๆ มีการวิ่งรอบตลาด เมื่อถึงเทศกาลก่อนออกพรรษา 1 วนั
ชาวบา้ นร้านตลาดต่างก็จะรอดูควายที่มาว่ิงมีการ ตกแต่งควาย ให้สวยงามและวิจิตรบรรจงมากข้ึนจน
กลายเป็ นประเพณีว่ิงควาย ข้นั ตอนการว่ิงควายในปัจจุบนั เจา้ ของควาย จะตกแต่งควายอยา่ งงดงาม ดว้ ย
58
ผา้ แพรพรรณ ดอกไมห้ ลากสี ตวั เจา้ ของควายก็แต่งตวั อย่างงดงามแปลกตา เช่น แต่งเป็ นชาวเขา ชาว
อินเดียแดงหรือตกแต่งดว้ ยเครื่องทองประดบั เพชรเหมือนเจา้ ชาย ในลิเก ละครท่ีแปลกตา แลว้ นาควายมา
วิ่งแข่งกนั โดยเจา้ ของเป็นผทู้ ่ีข่ีหลงั ควายไปดว้ ย ความ สนุกอยทู่ ี่ท่าทางว่ิงควายท่ีแปลกบางคนข่ีกล็ ื่นไหล
ตกลงมาจากหลงั ควายและคนดู จานวนมากจะส่งเสียงกนั ดงั อย่างอ้ืออึง และมีการเพ่ิมประกวดสุขภาพ
ควาย ประกวด การตกแต่งควายท้ังสวยงาม และตลกขบขนั มีการประกวดน้องนางบ้านนา ทาให้
ประเพณีวงิ่ ควายมีกิจกรรมมากข้ึน ชาวเกษตรกรรมต่างกพ็ อใจกนั พืชพนั ธุ์ธญั ญาหาร ในไร่กาลงั ตกดอก
ออกรวง จึงคานึงถึงสัตว์ เช่น ววั ควาย ที่ไดใ้ ชง้ านไถนาเป็ นเวลา หลายเดือน ควรจะไดร้ ับความสุขตาม
สภาพบา้ ง จึงต่างตกแต่งววั ควายของตนให้สวยงาม บรรดาเกษตรกรมีการสังสรรคแ์ ลกเปล่ียนความ
คิดเห็น ตลอดจนมีการประกวดความสมบูรณ์ของววั และควายที่เล้ียงกนั เหตุท่ีเลือกเอาวนั น้ีเพราะเป็นวนั
พระ ทุกคนจะตอ้ ง หยุดงานไปวดั ในวนั พระ ประเพณีว่ิงควายไม่ใช่เรื่องไร้สาระเป็ นเรื่องที่แฝงไวด้ ว้ ย
ความสามคั คีธรรม คนโบราณของเราเป็ นคนท่ีตระหนกั ในความกตญั ญูกตเวทิตาคุณ และมีความเมตตา
ธรรมสูง เห็นววั ควายทางานใหก้ บั คน เป็นสตั วท์ ี่มีคุณแก่ชีวติ จึง สืบทอดประเพณีน้ีตลอดมา
วฒั นธรรมภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอสี าน)
ประเพณีบุญบ้งั ไฟ เป็นประเพณีท่ีชาวอีสานจดั ข้ึนในเดือน 6 เรียกกนั วา่ "บุญเดือนหก" มีจุดมงุ่
หมายเพอ่ื เป็นงานร่ืนเริงคร้ังใหญ่ก่อนการเร่ิมทานา และเป็นการสร้างกาลงั ใจวา่ การทานาในปี น้นั จะ
ไดผ้ ลดี โดยมีความเชื่อวา่ เทวดาคือ "พระยาแถน" สามารถบลั ดาลใหพ้ ชื ผลในทอ้ งนาอุดมสมบูรณ์ หาก
บูชาเซ่นสรวงให้ พระยาแถนพอใจกจ็ ะช่วยใหฝ้ นตกตามฤดูกาล การทานาไดผ้ ลธญั ญาหารบริบูรณ์
โดยเฉพาะถา้ หมู่บา้ นใครทาบุญบ้งั ไฟติดต่อกนั ทุก 3 ปี
ภาพท่ี 7.6 ประเพณีบุญบ้งั ไฟ ภาพจากhttps://hilight.kapook.com
59
ประเพณีบุญบ้งั ไฟตามตานานเล่าว่า เม่ือคร้ังพระพุทธเจา้ ถือชาติกาเนิดเป็ นพญาคางคกไดอ้ าศยั
อยใู่ ต้ ร่มโพธ์ิใหญ่ในเมืองพนั ทุมวดี ดว้ ยเหตุใดไม่แจง้ พญาแถนเทพเจา้ แห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษยม์ าก
จึง แกลง้ ไม่ให้ฝนตกนานถึง 7 เดือน ทาให้เกิดความลาบากยากแคน้ อยา่ งแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์
และ พืช จนกระทงั่ พากนั ลม้ ตายเป็ นจานวนมากพวกที่แขง็ แรงก็รอดตายและไดพ้ ากนั มารวมกลุ่มใตต้ น้
โพธ์ิใหญ่ กบั พญาคางคก สรรพสัตวท์ ้งั หลายจึงไดห้ ารือกนั เพ่ือจะหาวิธีการปราบพญาแถนที่ประชุมได้
ตกลงกนั ให้ พญานาคยกทพั ไปรบกบั พญาแถน แต่ก็ตอ้ งพ่ายแพจ้ ากน้นั จึงใหพ้ ญาต่อแตนยกทพั ไปปราบ
แต่ก็ตอ้ งพ่าย แพอ้ ีกเช่นกนั ทาใหพ้ วกสรรพสัตวท์ ้งั หลายเกิดความทอ้ ถอย หมดกาลงั ใจและสิ้นหวงั ได้
แต่รอวนั ตาย ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาท่ีจะไปรบกบั พญาแถน จึงไดว้ างแผนในการรบโดยปลวก
ท้งั หลายก่อ จอมปลวกข้ึนไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็ นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตวท์ ้งั หลายได้
เดินทางไปสู่เมือง พญาแถน ซ่ึงมีมอด แมลงป่ อง ตะขาบ สาหรับมอดไดร้ ับหนา้ ที่ใหท้ าการกดั เจาะ ดา้ ม
อาวธุ ท่ีทาดว้ ยไมท้ ุก ชนิด ส่วนแมลงป่ องและตะขาบให้ซ่อนตวั อยตู่ ามกองฟื นที่ใชห้ ุงตม้ อาหาร และอยู่
ตามเส้ือผา้ ของไพร่พล พญาแถนทาหน้าท่ีกัดต่อย หลงั จากวางแผนเรียบร้อย กองทพั พญาคางคกก็
เดินทางเพ่ือปฏิบตั ิหนา้ ท่ีการ รบ มอดทาหนา้ ท่ีกดั เจาะดา้ มอาวุธ แมลงป่ องและตะขาบกดั ต่อยไพร่พล
ของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทพั ระส่าระสาย ในท่ีสุดพญาแถนจึงไดย้ อมแพแ้ ละตกลงทา
สัญญาสงบศึกกบั พญาคางคก ดงั น้ีถา้ มวลมนุษยจ์ ุดบ้งั ไฟข้ึนสู่ทอ้ งฟ้าเม่ือใด ใหพ้ ญาแถนส่งั ให้ฝนตกใน
โลกมนุษยถ์ า้ ไดย้ ินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนไดต้ กลงมาแลว้ ถา้ ไดย้ ินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของ
วา่ ว) หรือเสียงโหวด ใหฝ้ นหยดุ ตก เพราะจะเขา้ สู่ฤดูเกบ็ เก่ียว ขา้ ว หลงั จากท่ีไดส้ ญั ญากนั แลว้ พญาแถน
จึงไดถ้ ูกปล่อยตวั ไปและไดป้ ฏิบตั ิตามสญั ญามาจนบดั น้ี
ในการทาบ้งั ไฟน้นั ชาวบา้ นท้งั ในหมู่บา้ นเดียวกนั และหมู่บา้ นใกลเ้ คียง จะมารวมกนั แลว้
แบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 5-10 ครัวเรือน ทาบ้งั ไฟ 1 กระบอก บ้งั ไฟ คือกระบอกไมไ้ ผบ่ รรจุดินปื น สาหรับจุด
ใหต้ ิดไฟพงุ่ ข้นึ ไป บนทอ้ งฟ้า ชาวบา้ นจะตกแต่งบ้งั ไฟใหส้ วยงามดว้ ยการแกะรูปลายเป็นรูปลายไทย
หรือสุพรรณหงส์ หรือนา ผา้ ไหมมาทอลายต่างๆ มาประดบั ในงานบุญบ้งั ไฟ ในพธิ ีต่างๆ เช่น วนั แรก
ของงานแรกวา่ "วนั โฮม" หรือวนั รวมชาวบา้ นจะมาทาบุญท่ีวดั มีการแห่และประกวดบ้งั ไฟ วนั ที่สอง
แรกวนั จุดหรือวนั จุดบ้งั ไฟ โดยแห่บ้งั ไฟ ออกไปกลางทงุ่ นา วางบ้งั ไฟไวบ้ นก่ิงไมท้ ่ีใหญ่และแขง็ แรง
จากน้นั กจ็ ุดบ้งั ไฟ ถา้ บ้งั ไฟของใครจุดติดและ พงุ่ ข้ึนสูง นายช่างผทู้ าบ้งั ไฟจะไดร้ ับการรดน้าจากชาวบา้ น
เป็นการแสดงความยนิ ดี ถา้ บ้งั ไฟใครจุดไม่ติด หรือพงุ่ ไม่สูง นายช่างกจ็ ะถูกจบั โยนลงในน้าขนุ่ ที่มีโคลน
เลน หลงั จากเทศกาลบุญบ้งั ไฟผา่ นไปแลว้ ชาว บา้ นกจ็ ะเร่ิมลงมือทานา ประเพณีบุญบ้งั ไฟที่มีชื่อเสียง
มาก คือที่จงั หวดั ยโสธร
60
ภาพที่ 7.7 การทาบ้งั ไฟ ภาพจากhttp://fireballsyasothon.blogspot.com
ภาพท่ี 7.7 การทาบ้งั ไฟ ภาพจากhttp://fireballsyasothon.blogspot.com
61
ประเพณีแห่ผตี าโขน
ประเพณีแห่ผีตาโขนจดั เป็ นส่วนหน่ึงในงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า "งานบุญหลวง"
หรือ "บุญผะเหวด" ซ่ึงตรงกบั เดือน 7 มีข้ึนที่อาเภอด่านซา้ ย จงั หวดั เลย และจดั เป็นการละเล่นท่ีถือเป็ น
ประเพณีทุกปี เก่ียวโยงกบั งานบุญพระเวสหรือเทศน์ มหาชาติ ประจาปี กบั พระธาตุศรีสองรัก ปูชนีย
สถานสาคญั ของชาวด่านซา้ ย เป็ นอีกหน่ึงประเพณีท่ีมีชื่อเสียงและข้ึนช่ือของจงั หวดั เลย โดยมีกระบวน
แห่ผีตาโขนโดยแต่งกายคลา้ ยผีและปี ศาจใส่หน้ากากขนาดใหญ่ที่เป็ นเอกลกั ษณ์มีลวดลายที่งดงาม
แตกต่างกนั ไป แสดงการละเล่นเตน้ รากนั อยา่ งสนุกสนานในขบวนแห่งท่ีแห่ยาวไปตามทอ้ งถนน
ภาพที่ 7.8ประเพณีแห่ผตี าโขน ภาพจากthainews.prd.go.th
การแห่ผีตาโขนเกิดข้ึนเมื่อคร้ังที่พระเวสสันดรและนางมทั รีจะเดินทางออกจากป่ ากลบั สู่เมือง
บรรดา ผปี ่ าหลายตน และสตั วน์ านาชนิดอาลยั รักจึงพาแห่แหนแฝงตวั แฝงตน มากบั ชาวบา้ นเพ่ือมาส่งท้งั
สอง พระองค์ กลบั เมือง "ผตี ามคน" หรือ "ผตี าขน" จนกลายมาเป็น "ผตี าโขน" อยา่ งในปัจจุบนั
ชนิดของผตี าโขน
- ผตี าโขน ในขบวนแห่จะแยกเป็น 2 ชนิดคือ ผตี าโขนใหญ่และผตี าโขนเลก็
- ผตี าโขนใหญ่ ทาเป็นหุ่นรูปผที าจากไมไ้ ผส่ านมีขนาดใหญ่กวา่ คนธรรมดาประมาณ 2 เท่า
ประดบั ตกแตง่ รูปร่าง
62
- ผีตาโขนเล็ก ผีตาโขนเลก็ เป็ นการละเล่นของเด็ก ไม่ว่าเด็กเลก็ เด็กวยั รุ่นหรือผูใ้ หญ่ ท้งั ผหู้ ญิง
ชาย มีสิทธ์ิทา และเขา้ ร่วมสนุก ไดท้ ุกคน แต่ผูห้ ญิงไม่ค่อยเขา้ ร่วมเพราะเป็ นการเล่นค่อนขา้ ง
ผาดโผนและซุกซน
ภาพท่ี 7.9 ประเพณีแห่ผตี าโขน ภาพจากamazingthaitour.com
การละเล่นผตี าโขน
เน่ืองจากงานประเพณีผตี าโขนเป็นงานบุญใหญ่ซ่ึงเรียกกนั วา่ งานบุญหลวง จดั ข้ึนท่ีวดั โพนชยั อ.
ด่านซา้ ย โดยมี การละเล่นผตี าโขน มีการเทศน์มหาชาติมีการทาบุญพระธาตุศรีสองรักและงานบุญต่างๆ
เขา้ มาผสมอยรู่ วมๆกนั จึงมีการจดั งานกนั 3 วนั
วนั แรก เร่ิมพธิ ีตอนเชา้ 04.00-05.00 น. คณะแสนหรือขา้ ทาสบริวารของเจา้ พอ่ กวนจะนาอุปกรณ์
มีด ดาบ หอก ฉตั ร พานดอกไม้ ธูปเทียน ขนั หา้ ขนั แปด(พานดอกไม้ 5 คู่ หรือ 8 คู่) ถือเดินนาขบวนไปท่ี
ริมแม่น้าหมนั เพ่ือนิมนตพ์ ระอุปคุตต์ พระผมู้ ีฤทธานุภาพมาก และมกั เนรมิตกายอยูใ่ นมหาสมุทร เพ่ือ
ป้องกนั ภยั อนั ตราย และให้ เกิดความสุข สวสั ดี เม่ือถึงแลว้ ผอู้ นั เชิญตอ้ งกล่าวพระคาถา และใหอ้ ีกคนลง
ไปในน้างมกอ้ นหินใตน้ ้าข้ึนมาถาม ว่า "ใช่พระอุปคุตตห์ รือไม่" ผทู้ ่ียนื อยบู่ นฝ่ังตอบวา่ "ไม่ใช่" พอกอ้ น
หินกอ้ นที่ 3 ใหต้ อบว่า "ใช่ นน่ั แหละ พระอุปคุตตท์ ่ีแทจ้ ริง" เม่ือไดพ้ ระอุปคุตตม์ าแลว้ ก็นาใส่พานแลว้
นาขบวนกลบั ที่หอพระอุปคุตต์ ทาการ ทกั ขิณาวฏั 3 รอบ มีการยิงปื นและจุดประทดั ซ่ึงช่วงเวลาน้ัน
บรรดาผตี าโขนท่ีนอนหลบั หรือ อยตู่ ามท่ีต่างๆก็จะมาร่วมขบวนดว้ ย ความยนิ ดีปรีดา เตน้ รา เขา้ จงั หวะ
กบั เสียงหมากกระแร่ง ซ่ึงเป็นกระดิ่งผกู คอววั หรือกระดิ่งใหเ้ สียงดงั
63
วนั ท่ีสอง เป็นพิธีแห่พระเวส ในขบวนประกอบดว้ ย พระพทุ ธรูป 1 องค์ พระสงฆ์ 4 รูป นง่ั บน
แคร่หามตามดว้ ย เจา้ พอ่ กวนนง่ั อยบู่ น กระบอกบ้งั ไฟ ทา้ ยขบวนเป็นเจา้ แม่นางเทียม กบั บริวาร ชาวบา้ น
และเหล่าผตี าโขน เดินตามเสด็จไปรอบ เมือง ก่อนตะวนั ตกดิน สาหรับคนที่เล่นเป็ นผีตาโขนใหญ่ ตอ้ ง
ถอดเคร่ืองแต่งกายผีตาโขนใหญ่ออก ให้หมดและนาไปทิ้งในแม่น้าหมนั ห้ามนาเขา้ บา้ น เป็ นการทิ้ง
ความทุกขย์ ากและสิ่งเลวร้ายไป รอจนปี หนา้ ฟ้าใหม่ แลว้ ค่อยทาเล่นกนั ใหม่
วนั ที่สาม เป็นการรวมเอางานบุญประเพณีประจาเดือนต่างๆของปี มารวมกนั จดั ในงานบุญหลวง
ประชาชนจะมานงั่ ฟังเทศน์ มหาชาติ 13 กณั ฑ์ ท่ีวดั โพนชยั เพ่อื เป็นการสร้างกศุ ลและเป็นมงคลแก่ชีวติ แก่
ชีวิต
วฒั นธรรมภาคใต้
ภูมิประเทศของภาคใตม้ ีเอกลกั ษณ์เฉพาะ คือมีชายฝ่ังประกบเทือกเขาสูงที่อยูต่ รงกลาง ซ่ึงไม่มี
ภูมิภาคอ่ืนๆ ภูมิประเทศหลกั จึงเป็ นเทือกเขาและชายฝ่ัง เป็ นที่ราบจะมีอยู่เป็ นแนวแคบๆ แถบชายฝ่ัง
ทะเล และสองฝั่งลาน้า การต้งั ถิ่นฐานจะอยู่บริเวณชายฝ่ังทะเลท้งั ด้านตะวนั ออกและตะวนั ตก จาก
ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ของภาคใต้ทาให้มีคนท่ีต่างภาษาต่างวฒั นธรรมอย่างหลากหลายเดินทางเขา้ มา
ภาคใตม้ ีท้งั ชาว พุทธ ชาวมุสลิม ต่างเช้ือชาติกนั เช่น คนไทย คนจีน และผูท้ ่ีมีเช้ือสายมาเลย์ รวมท้งั
ชาวเมือง เช่น ชาวเล อาศยั อยกู่ นั วฒั นธรรมภาคใตจ้ ึงมีรูปแบบอนั เป็ นเอกลกั ษณ์ท่ีแตกต่างกนั ในแต่ละ
พ้ืนที่ ดงั น้ันภาคใตจ้ ึง เป็ นสถานท่ีท่องเที่ยวที่น่าสนใจเพราะมีภูมิศาสตร์ท่ีงดงาม มีชายฝ้ังทะเลและมี
วฒั นธรรมหรือการดารงชีวิต ที่เป็นเอกลกั ษณ์
ประเพณีชกั พระ
ประเพณีชักพระเป็ นประเพณีทาบุญในวันออกพรรษาปฏิบัติตามความเชื่อว่าเม่ือคร้ังที่
พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปจาพรรษา ณ สวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จกลบั มา
ยงั โลกมนุษย์ พทุ ธศาสนิกชนไปรับเสด็จ แลว้ อญั เชิญพระพทุ ธเจา้ ประทบั บนบุษบกแลว้ แห่แหน
พิธีกรรม
1. การแต่งนมพระ
นมพระ หมายถึงพนมพระเป็นพาหนะที่ใชบ้ รรทุกพระลาก นิยมทา 2 แบบ คือ ลากพระทางบก
เรียกว่า นมพระ ลากพระทางน้า เรียกว่า "เรือพระ" นมพระสร้างเป็ นร้านมา้ มีไมส้ องท่อนรองรับขา้ งล่าง
ทาเป็ นรูปพญานาค มีลอ้ ๔ ลอ้ อยใู่ ตต้ วั พญานาค ร้านมา้ ใชไ้ มไ้ ผส่ านทาฝาผนงั ตกแต่งลวดลายระบายสี
สวย รอบ ๆ ประดบั ดว้ ยผา้ แพรสี ธงริ้ว ธงสามชาย ธงราว ธงยนื หอ้ ยระยาง ประดบั ตน้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย
64
ภาพท่ี 7.10 ประเพณีชกั พระ ภาพจากhttps://culture55520521.wordpress.com
ภาพที่ 7.10 ประเพณีชกั พระ ภาพจากhttps://culture55520521.wordpress.com
ทางมะพร้าว ดอกไมส้ ดทาอุบะห้อยระยา้ มีตม้ ห่อดว้ ยใบพอ้ แขวนหน้านมพระ ตวั พญานาค
ประดบั กระจกแวววาวสีสวย ขา้ ง ๆ นมพระแขวนโพน กลอง ระฆงั ฆอ้ ง ดา้ นหลงั นมพระวางเกา้ อ้ี เป็นท่ี
65
นง่ั ของพระสงฆ์ ยอดนมอยบู่ นสุดของนมพระ ไดร้ ับการแต่งอยา่ งบรรจงดูแลเป็ นพิเศษ เพราะความสง่า
ไดส้ ดั ส่วนของนมพระข้ึนอยกู่ บั ยอดนม
2. การอญั เชิญพระลากข้ึนประดิษฐานบนนมพระ
พระลาก คือพระพุทธรูปยนื แต่ที่นิยมคือ พระพทุ ธรูปปางอุม้ บาตร เมื่อถึงวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 11
พทุ ธบริษทั จะสรงน้าพระลากเปล่ียนจีวร แลว้ อญั เชิญข้ึนประดิษฐานบนนมพระ แลว้ พระสงฆจ์ ะเทศนา
เร่ืองการเสด็จไปดาวดึงส์ของพระพุทธเจา้ ตอนเชา้ มืดในวนั แรม 1 ค่าเดือน 11 ชาวบา้ นจะมาตกั บาตร
หนา้ นมพระ เรียกว่า ตกั บาตรหนา้ ลอ้ เสร็จแลว้ จึงอญั เชิญพระลากข้ึนประดิษฐานบนนมพระ ในตอนน้ี
บางวดั จะทาพิธีทางไสยศาสตร์เพอ่ื ใหก้ ารลากพระราบร่ืน ปลอดภยั
3. การลากพระ
ใชเ้ ชือกแบ่งผกู เป็ น 2 สาย เป็ นสายผหู้ ญิงและสายผชู้ าย โดยใชโ้ พน ( ปื ด ) ฆอ้ ง ระฆงั เป็ น
เคร่ืองตีใหจ้ งั หวะเร้าใจในการลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกนั สนุกสนานและประสานเสียงร้องบทลาก
พระเพื่อผอ่ นแรง
ตวั อยา่ ง บทร้องท่ีใชล้ ากพระสร้อย :
อ้ีสาระพา เฮโล เฮโล
ไอไ้ หรกลมกลม หวั นมสาวสาว
ไอไ้ หรยาวยาว สาวสาวชอบใจ
66
บทท่ี 8
ศิลปะกบั ทอี่ ยู่อาศัยประจาถ่นิ
รายการเรียนการสอน
1.ศิลปะกบั ท่ีอยอู่ าศยั
2.วตั ถุประสงคข์ องหอ้ งหรือสถานท่ี
3.เรือนไทยภาคอีสาน
4.เรือนไทยภาคเหนือ
5.เรือนไทยภาคใต้
6.เรือนไทยภาคกลาง
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
สาระสาคญั
สิ่งสาคญั ในการดารงชีวิตของมนุษย์ ท่ีอยู่บนโลกใบน้ี คือ ปัจจยั สี่ ประกอบไปดว้ ย ที่อยู่อาศยั
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ตอ้ งการที่อยอู่ าศยั เพื่อป้องกนั อนั ตรายจากภายนอก ตอ้ งการอาหาร
เพื่อให้ร่างกายแขง็ แรง เจริญเติบโต ตอ้ งการเส้ือผา้ หรือเครื่องนุ่งห่มไวป้ กปิ ดร่างกายป้องกนั ความร้อน
ความหนาวเยน็ ตอ้ งการยารักษาโรคเพื่อรักษาโรคภยั ต่างๆ ส่ิงต่างๆ เหล่าน้ีมีความสาคญั และจาเป็ น
สาหรับชีวิตมนุษย์ ซ่ึงจะขาดส่ิงใดส่ิงหน่ึงมิได้ และจะตอ้ งให้ความสนใจ เอาใจใส่ในการดูแลเรื่อง
ดงั กล่าวเหล่าน้ีเม่ือมนุษยต์ ระหนกั ถึงความสาคญั จึงตอ้ งใหค้ วามสนใจและเอาใจใส่ดูแลในเรื่องดงั กล่าว
นอกจากน้ีการเขา้ ถึงศิลปะจะทาให้มนุษย์มีรสนิยมท่ีดี การมีรสนิยมจะเก่ียวขอ้ งกับศิลปะและการ
ออกแบบ รสนิยมเป็นความพอใจของมนุษยท์ ี่นาหลกั การทางศิลปะมาผสมผสานใหเ้ กิดความพอดี ดงั น้นั
ศิลปะจึงมีประโยชนต์ ่อมนุษยแ์ ละต่อการดารงชีวิตในปัจจุบนั
67
ศิลปะกบั ทอี่ ยู่อาศัย
มนุษยเ์ หมือนสัตวท์ ว่ั ไปที่ตอ้ งการสถานที่ปกป้อง คุม้ ครองจากส่ิงแวดลอ้ มรอบกาย ไม่วา่ มนุษย์
จะอยแู่ ห่งใด สถานที่อยา่ งไร ท่ีอยอู่ าศยั จะสร้างข้ึน เพ่ือป้องกนั ภยั อนั ตรายจากสิ่งแวดลอ้ มภายนอกที่อยู่
อาศยั เป็นหน่ึงในปัจจยั ท่ีมีความสาคญั และจาเป็นสาหรับการดารงชีวิตของมนุษย์ มนุษยจ์ ึงมีการพฒั นาท่ี
อยอู่ าศยั เพื่อสนองความตอ้ งการและความพอใจของแต่ละบุคคลมนุษยท์ ุกคนมีการพฒั นาชีวิตของตนเอง
มนุษยจ์ ึงนาการพฒั นาเหล่าน้ีมาใชใ้ ห้เป็ นประโยชน์ ดา้ นที่อยู่อาศยั จึงเป็ นหน่ึงในปัจจยั ท่ีสาคญั สาหรับ
มนุษยท์ ี่อยู่อาศยั ในปัจจุบนั ถูกพฒั นาให้ทนั สมยั กว่าในอดีตเนื่องจากตอ้ งปรับปรุงให้เหมาะสมกับ
สภาพการณ์และส่ิงแวดลอ้ มของโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่ในการปรับปรุงน้ัน ควรคานึงถึงสภาพทาง
ภูมิศาสตร์และวฒั นธรรมทอ้ งถิ่นควบคู่กนั ไปการพฒั นาที่อยู่อาศยั น้ันจึงจะเหมาะสมและสนองความ
ตอ้ งการอย่างแทจ้ ริง ท่ีอยู่อาศยั โดยเฉพาะบา้ นในปัจจุบนั จะมีรูปแบบที่เรียบง่ายใกลช้ ิดธรรมชาติและ
คานึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็ นหลัก และเน้นในเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ เพ่ิมมากข้ึน เพราะเกิดการ
เปล่ียนแปลงตามรสนิยมการบริโภค นอกจากน้ีในการจดั ตกแต่งภายในจะมีการผสมผสานการตกแต่ง
แบบตะวนั ตกและตะวนั ออกเขา้ ดว้ ยกนั ทาให้เกิดผลงานการตกแต่งในรูปแบบ Contemporary และ
Oriental ที่ใชง้ านไดส้ ะดวกตามรูปแบบตะวนั ตก
ปัจจยั อีกประการหน่ึงในการจดั ตกแต่งภายในบา้ นคือการนาหลกั การทางศิลปะมาผสมผสานเขา้ กบั การ
ตกแต่ง เพื่อใหก้ ารดารงชีวิตภายในบา้ นสะดวกท้งั กายและใจ และแสดงออกถึงความงดงาม และมีรสนิยม
ของผเู้ ป็นเจา้ ของบา้ น องคป์ ระกอบทางศิลปะจึงถูกนามาเก่ียวขอ้ ง ในการจดั ตกแต่งท่ีอยอู่ าศยั ไดแ้ ก่
1. ขนาดและสดั ส่วน (Size and Proportion) ขนาดและสดั ส่วนนามาใชใ้ นการจดั ที่อยอู่ าศยั ไดแ้ ก่
1.1 ขนาดของห้อง ในการกาหนดขนาดของห้องต่าง ๆ จะข้ึนอยกู่ บั กิจกรรมที่ทา หาก
เป็นหอ้ งท่ีใชก้ ิจกรรมมาก เช่น หอ้ งอาหาร หอ้ งครัว หรือหอ้ งรับแขก ควรกาหนดขนาดของหอ้ ง
ให้มีพ้ืนท่ีรองรับกิจกรรมน้ัน ๆ ให้เหมาะสม ไม่เล็กจนเกินไป เพราะจะทาให้คบั แคบและไม่
สะดวกต่อการทากิจกรรม
1.2 จานวนของสมาชิกในครอบครัว ในการกาหนดขนาดของห้องต่าง ๆ ควรคานึงถึง
จานวนของสมาชิกวา่ มีมากนอ้ ยเพียงใด เพอื่ จะไดก้ าหนดขนาดของหอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั สมาชิก
1.3 เคร่ืองเรือน ในการกาหนดขนาดของเคร่ืองเรือน ควรกาหนดใหม้ ีขนาดพอดีกบั หอ้ ง
และสมาชิก หรือขนาดพอเหมาะกบั สมาชิกไม่สูงหรือเต้ียจนใชง้ านไม่สะดวก
2. ความกลมกลืน (Harmony) ความกลมกลืนของศิลปะท่ีนามาใชใ้ นการจดั ตกแต่งท่ีอยไู่ ดแ้ ก่
ความกลมกลืนของการตกแต่งที่อยู่อาศยั การนาธรรมชาติมาผสมผสานในการตกแต่ง จะทาให้เกิด
ความสัมพนั ธ์ท่ีงดงามการใชต้ น้ ไมต้ กแต่งภายในอาคารจะทาใหเ้ กิดบรรยากาศท่ีร่มรื่น เบิกบานและเป็ น
68
ธรรมชาติความกลมกลืนของเครื่องเรือนในการตกแต่งภายในการเลือกเคร่ืองเรือนเคร่ืองใชท้ ี่เหมาะสม
และสอดคลอ้ งกบั การใชส้ อย จะทาให้เกิดความสัมพนั ธ์ในการใชง้ าน การเลือกวสั ดุท่ีใชป้ ระกอบเคร่ือง
เรือนภายในครัว ควรเป็ นวสั ดุที่แขง็ แรง ทนทาน ทนร้อนและทนรอยขดู ขีดไดด้ ี เช่น ฟอร์ไมกา้ แกรนิต
หรือกระเบ้ืองเคลือบต่าง ๆ ความกลมกลืนของสี ในการตกแต่ง ซ่ึงตอ้ งใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั เพราะหาก
ใชไ้ ม่ถูกตอ้ งแลว้ จะทาให้ความกลมกลืนกลายเป็ นความขดั แยง้ การใชส้ ีกลมกลืนภายในอาคาร ควร
คานึงถึงวตั ถุประสงคข์ องหอ้ งผใู้ ช้ เครื่องเรือนและการตกแต่ง การใชส้ ีกลมกลืนควรใชว้ ิจารณญาณ เลือก
สีใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถุประสงคข์ องการใช้
3. การตดั กนั (Contrast)ในการตดั กนั โดยทวั่ ไปของการจดั ตกแต่งที่อยอู่ าศยั นิยมทาในรูปแบบ
ของการขดั กนั ในการใชเ้ ครื่องเรือนในการตกแต่ง เพื่อสร้างจุดเด่นหรือจุดสนใจในการตกแต่งไม่ใหเ้ กิด
ความกลมกลืนมากเกินไป การออกแบบเคร่ืองเรือนแบบร่วมสมยั จึงไดร้ ับความนิยมเนื่องจากสร้างความ
โดดเด่นของการตกแต่งไดเ้ ป็นอยา่ งดี
4. เอกภาพ (Unity)ในการตกแต่งส่ิงต่าง ๆ หากขาดเอกภาพงานที่สาเร็จจะขาดความสมบูรณ์ใน
การตกแต่งภายใน การรวมกลุ่มกิจกรรมเขา้ ดว้ ยกนั การรวมพ้ืนที่ในหอ้ งต่าง ๆ ให้เหมาะสมกบั กิจกรรม
จึงเป็นการใชเ้ อกภาพในการจดั พ้นื ที่ที่ชดั เจน การจดั เอกภาพของเคร่ืองเรือนเครื่องใชก้ เ็ ป็นส่ิงสาคญั หาก
เคร่ืองเรือนจดั ไม่เป็ นระเบียบย่อมทาให้ผูอ้ าศยั ขาดการใชส้ อยท่ีดีและขาดประสิทธิภาพในการทางาน
5. การซ้า (Repetition) การซ้าและจงั หวะเป็ นสิ่งท่ีสัมพนั ธ์กนั การซ้าสามารถนามาใชใ้ นงาน
ตกแต่งไดห้ ลายประเภทเพราะการซ้าทาให้เกิดความสอดคลอ้ งของการออกแบบการออกแบบตกแต่ง
ภายในการซ้าอาจนามาใชใ้ นการเช่ือสายตา เช่น การปูกระเบ้ืองปูพ้ืนที่เป็ นลวดลายต่อเน่ือง หรือการติด
ภาพประดบั ผนงั ถึงแมก้ ารซ้าจะทาใหง้ านสอดคลอ้ ง หรือต่อเนื่อง แต่กไ็ ม่ควรใชใ้ นปริมาณที่มากเพราะ
จะทาใหด้ ูสับสน
6. จงั หวะ (Rhythm) การจดั จงั หวะของท่ีอยอู่ าศยั ทาไดห้ ลายลกั ษณะ เช่น การวางผงั บริเวณหรือ
การจดั แปลนบา้ นให้มีลกั ษณะที่เช่ือมพ้ืนที่ต่อเน่ืองกนั เป็ นระยะ หรือจงั หวะ นอกจากน้ีการจดั พ้ืนที่ใช้
สอยภายในอาคารนบั เป็ นสิ่งสาคญั เพราะจะทาให้เกิดระเบียบและสะดวกต่อการทางาน และทาให้การ
ทางานและทาให้การทางานมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน การจดั พ้ืนท่ีใชส้ อยภายในอาคารท่ีนิยมไดแ้ ก่ การจดั
พ้ืนที่การทางานของหอ้ งครัว โดยแบ่งพ้ืนท่ีการทางานใหเ้ ป็ นจงั หวะต่อเน่ืองกนั ไดแ้ ก่ พ้ืนท่ีของการเก็บ
การปรุงอาหาร การลา้ ง การทาอาหาร และการเสิร์ฟอาหาร เป็นตน้
7. การเนน้ (Emphasis)ศิลปะของการเนน้ ท่ีนามาใชใ้ นท่ีอยอู่ าศยั ไดแ้ ก่
การเนน้ ดว้ ยสีการเนน้ ดว้ ยสีไดแ้ ก่ การตกแต่งภายในหรือภายนอกอาคารดว้ ยการใชส้ ีตกแต่งที่กลมกลืน
หรือโดดเด่น เพื่อใหส้ ะดุดตาหรือสดชื่นสบายตา ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ องการจดั น้นั
69
การเนน้ ดว้ ยแสงการเนน้ ดว้ ยแสงไดแ้ ก่ การใชแ้ สงสวา่ งเนน้ ความงามของการตกแต่ง และ
เครื่องเรือนภายในบา้ นให้ดูโดดเด่น การใชโ้ คมไฟหรือแสงสว่างต่าง ๆ สามารถสร้างความงามและให้
บรรยากาศที่สดชื่น หรือสุนทรียไ์ ดอ้ ยา่ งดี ในการใชแ้ สงไฟควรคานึงถึงรูปแบบของโคมไฟ ที่ถูกตอ้ งและ
เหมาะสมกบั ขนาดและสถานท่ี ตลอดจนความกลมกลืนของโคมไฟและขนาดของหอ้ ง
เนน้ ดว้ ยการตกแต่งการเนน้ ดว้ ยการตกแต่งไดแ้ ก่ การใชว้ สั ดุ เคร่ืองเรือน เคร่ืองใชห้ รือของตกแต่งต่าง ๆ
ตกแต่งใหส้ อดคลอ้ งสวยงามเหมาะสมกบั รูปแบบและสถานที่ตกแต่งน้นั ๆ
8. ความสมดุล (Balance)การใชค้ วามสมดุลในการจดั อาศยั ไดแ้ ก่ จดั ตกแต่งเคร่ืองเรือน หรือวสั ดุ
ต่าง ๆ ใหม้ ีความสมดุลต่อการใชง้ าน หรือเหมาะสมกบั สถานที่ เช่น การกาหนดพ้ืนที่ใชส้ อยท่ีสะดวกต่อ
การทางาน หรือการจดั ทิศทางของเคร่ืองเรือนให้เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม และการทางาน โดยเฉลี่ย
กิจกรรมใหเ้ หมาะสมและสมดุล
9. สี (Color)สีมีความสัมพนั ธ์กบั งานศิลปะ และการตกแต่งสถานที่ เพราะสีมีผลต่อสภาพจิตใจ
และอารมณ์ของมนุษย์ สีใหผ้ อู้ ยอู่ าศยั อยอู่ ยา่ งมีความสุข เบิกบานและร่ืนรมย์ ดงั น้นั สีจึงเป็นปัจจยั สาคญั
ของการจัดตกแต่งท่ีอยู่อาศัยในการใช้สี ตกแต่งภายใน ควรคานึ งถึงสิ่ งต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี
วตั ถุประสงค์ของห้องหรือสถานที่
ในการใชส้ ีตกแต่งภายใน ควรคานึงถึงวตั ถุประสงคข์ องหอ้ งหรือสถานท่ีตกแต่ง เพื่อจะไดใ้ ชส้ ี
ไดอ้ ย่างเหมาะสม การใชส้ ีตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ ภายในบา้ น แบ่งออกเป็ นห้องต่างๆ ดงั น้ีห้องรับแขก
เป็ นห้องที่ใชใ้ นการสนทนา หรือตอ้ นรับผมู้ าเยือน ดงั น้นั ห้องรับแขก ควรใชส้ ีอบอุ่น เช่น สีครีม สีส้ม
อ่อน หรือสีเหลืองอ่อน เพ่ือกระตุน้ ใหเ้ บิกบาน หอ้ งอาหารควรมีสีที่ดูสบายตาเพ่ือเพ่ิมรสชาติอาหารอาจ
ใชส้ ีท่ีกลมกลืนนุ่มนวลเพราะสีนุ่มนวลจะทาให้เกิดความสบายใจ ห้องครัวควรใชส้ ีท่ีดูสะอาดตา และ
รักษาความสะอาดง่าย ห้องควรเป็ นห้องที่ใชท้ ากิจกรรมจึงควรใชส้ ีกระตุน้ ใหเ้ กิดความสนใจในการทา
กิจกรรมห้องนอน ห้องนอนเป็ นห้องท่ีพกั ผ่อน ควรใชส้ ีท่ีสบายตา อบอุ่น หรือนุ่มนวล แต่การใช้ใน
หอ้ งนอนควรคานึงถึงผใู้ ชด้ ว้ ย ห้องน้าเป็ นหอ้ งที่ใชท้ ากิจกรรมส่วนตวั และตอ้ งการความสบาย จึงควร
ใชส้ ีที่สบายตาเป็ นธรรมชาติ และสดช่ืน เช่น สีฟ้า สีเขียว หรือสีขาว และควรเป็ นห้องที่ควรทาความ
สะอาดไดง้ ่าย การใชส้ ีตกแต่งภายในควรคานึงถึงทิศทางของห้อง ห้องท่ีถูกแสงแดดส่องควรใชส้ ีอ่อน
เพื่อสะทอ้ นแสง ส่วนห้องท่ีอยู่ในที่มืด หรืออบั ควรใชส้ ีอ่อนเพ่ือความสว่างเช่นกนั เพศและวยั เพศชาย
หรือหญิง จะใชส้ ีในการตกแต่งไม่เหมือนกนั เพศชายจะใชส้ ีเขม้ กวา่ เพศหญิงเช่นสีเขียวเขม้ สีฟ้า หรือเทา
ส่วนเพศหญิงจะใช้สีท่ีอ่อน และนุ่มนวลกว่า เช่น สีครีม สีเหลือง เป็ นตน้ วยั ในแต่ละวยั จะใช้สีไม่
เหมือนกัน เช่น ห้องเด็กจะใช้สีอ่อนหวานนุ่มนวล ห้องผูใ้ หญ่จะมีสีท่ีอบอุ่น ห้องผูส้ ูงอายุจะใช้สีที่
70
นุ่มนวลศิลปะไม่ไดเ้ ก่ียวขอ้ งกบั การจดั ตกแต่งที่อยู่อาศยั เพียงอย่างเดียว แต่ศิลปะยงั ช่วยจรรโลงใจให้
สมาชิกในครอบครัวอย่อู ยา่ งมีความสุข หากตอ้ งการความสุขในครอบครัว ปัจจยั หน่ึงท่ีควรคานึงถึงส่ิง
น้นั คือ “ศิลปะ”
เรือนไทยภาคอสี าน
เอกลกั ษณ์ของเรือนไทยภาคอีสานมีลกั ษณะเด่นอยู่ 3 ประเภท คือ
1.ไม่นิยมทาหนา้ ต่างทางดา้ นหลงั ตวั เรือน ถา้ จะทาจะเจาะเป็ นช่องเลก็ ๆ พอใหย้ นี่ ศีรษะออกไป
ไดเ้ ท่า น้นั
2.ไม่นิยมต่อยอดป้านลมใหส้ ูงข้ึนไป เหมือนเรือนของชาวไทยลา้ นนาท่ีเรียกวา่ 'กาแล'
3.ไม่นิยมต้งั เสาเรือนบนตอม่อ เหมือนเรือนของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้ ดว้ ยเหตุที่ชาวไทยภาค
อีสานปลูกเรือนดว้ ยการฝังเสา จึงไม่มีการต้งั บนตอม่อ
องคป์ ระกอบของเรือนไทยภาคอีสาน
เรือนนอนใหญ่ จะวางดา้ นจวั่ รับทิศตะวนั ออก-ตะวนั ตก ส่วนมากจะมีความยาว 3 ช่วงเสา เรียกว่า"
เรือนสามหอ้ ง" ใตถ้ ุนโล่ง ช้นั บนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.หอ้ งเปิ ง เป็นหอ้ งนอนของลูกชาย มกั ไม่มีการก้นั หอ้ ง
2.หอ้ งพอ่ -แม่ อาจก้นั เป็นหอ้ งหรือปล่อยโล่ง
3.ห้องนอนลูกสาว มีประตูเขา้ มีฝาก้นั มิดชิด หากมีลูกเขยจะให้นอนในห้องน้ีส่วนช้นั ล่างของ
เรือนนอนใหญ่ อาจใชส้ อยไดอ้ ีก เช่น ก้นั เป็นคอกววั ควาย ฯลฯ
เกย คือบริเวณชานโล่งที่มีหลงั คาคลุม เป็ นพ้ืนที่ลดระดบั ลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มกั ใชเ้ ป็ นที่รับ
แขก หรือที่รับประทานอาหาร ส่วนของใตถ้ ุนจะเต้ียกวา่ ปกติ อาจไวใ้ ชเ้ ป็นที่เกบ็ ฟื น
เรือนแฝด เป็ นเรือนทรงจว่ั แฝด เช่นเดียวกบั เรือนนอน โครงสร้างท้งั คานพ้ืนและขื่อหลงั คา จะฝาก
ไวก้ บั เรือนนอน แต่หากเป็ นเรือนแฝดลดพ้ืนลงมากกว่าเรือนนอน ก็มกั เสริมเสาเหล็กมารับคานไวอ้ ีก
แถวหน่ึงต่างหาก
เรือนโข่ง มีลกั ษณะเป็ นเรือนทรงจว่ั เช่นเดียวกบั เรือนนอนใหญ่ แต่ต่างจากเรือนแฝดตรงท่ีโครง
สร้างของเรือนโข่งจะแยกออกจากเรือนนอนโดยสิ้นเชิง สามารถร้ือถอนออกไปปลูกใหม่ได้ โดยไม่
กระทบกระเทือนต่อเรือนนอน
71
เรือนไฟ (เรือนครัว) ส่วนมากจะเป็ นเรือน 2 ช่วงเสา มีจวั่ โปร่งเพื่อระบายควนั ไฟ ฝานิยมใชไ้ มไ้ ผ่
สานลายทแยงหรือลายขดั
ชานแดด เป็นบริเวณนอกชานเช่ือมระหวา่ งเกยเรือนแฝดกบั เรือนไฟ มีบนั ไดข้ึนดา้ นหนา้ เรือน มี"ฮา้ งแอ่ง
น้า" อยตู่ รงขอบของชานแดด บางเรือนที่มีบนั ไดข้ึนลงทางดา้ นหลงั จะมี "ชานมน" ลด ระดบั ลงเลก็ นอ้ ย
โดยอยดู่ า้ นหนา้ ของเรือนไฟ
ลกั ษณะชวั่ คราว
สร้างไวใ้ ชเ้ ฉพาะบางฤดูกาล เช่น "เถียงนา" หรือ "เถียงไฮ่" ทา ยกพ้ืนสูง เสาไมจ้ ริง โครงไมไ้ ผ่
หลงั คามุงหญา้ หรือแป้นไมท้ ่ีร้ือมา จากเรือนเก่า พ้ืนไมไ้ ผส่ ับฟาก ทาฝาโล่ง หากไร่นาไม่ไกลสามารถ
ไปกลบั ได้ มีอายใุ ชง้ าน 1-2 ปี สามารถร้ือซ่อมใหม่ไดง้ ่าย
ลกั ษณะก่ึงถาวร
กค็ ือจะเป็นแบบกระตอ๊ บกระท่อม หรือเรือนเลก็ จะไม่มนั่ คงแขง็ แรงนกั มีชื่อเรียก "เรือนเหยา้ "
หรือ "เฮือนยา้ ว" หรือ "เยา่ เรือน"อาจเป็นแบบเรือนเคร่ืองผกู หรือเป็นแบบเรือนเคร่ืองสบั กไ็ ด้ เรือน เหยา้
ก่ึงถาวรยงั มี "ตูบต่อเลา้ " ซ่ึงเป็นเพิงท่ีสร้างอิงกบั ตวั เลา้ ขา้ ว และ "ด้งั ต่อดิน" ซ่ึงเป็นเรือนท่ีตวั เสาด้งั จะฝัง
ถึงดิน และใชไ้ มท้ ่อน เดียวตลอดสูงข้ึนไปรับอกไก่ เป็นเรือนพกั อาศยั ที่แยกมาจากเรือน ใหญ่ เรือนเหยา้
ก่ึงถาวรอีกประเภทหน่ึงคือ "ด้งั ต้งั คาน" หรือ "ด้งั ต้งั ข่ือ" ลกั ษณะคลา้ ยเรือนเกยทว่ั ไป แต่พิถีพถิ นั นอ้ ย
กวา่ อยใู่ นประเภท ของเรือนเครื่องผกู แตกต่างจากเรือนด้งั ต่อดิน ตรงท่ีเสาด้งั ตน้ กลางจะลงมาพกั บน
คานของดา้ นสะกดั ไม่ต่อถึงดิน
ลกั ษณะถาวร
เป็นเรือนเคร่ืองสบั หรือเรือนไมก้ ระดานอาจจาแนกไดเ้ ป็น 3 ชนิด คือ เฮือนเกย เฮือนแฝด
เฮือนโขง่ ลกั ษณะใตถ้ ุนสูงเช่นเดียวกบั ภาคอ่ืนๆ เรือนเครื่องสบั เหล่าน้ี ไม่นิยมเจาะช่องหนา้ ต่าง มกั ทา
หนา้ ต่างเป็น ช่องแคบๆ ส่วนประตูเรือนทาเป็นช่อง ออกทางดา้ นหนา้ เรือนเพยี งประตูเดียว ภายในเรือน
จึงค่อนขา้ งมืด เพราะในฤดูหนาวมีลมพดั จดั และอากาศหนาวจดั จึงตอ้ งทาเรือนใหท้ ึบ และกนั ลมได้
หลงั คาเรือนทาเป็น ทรงจวั่ อยา่ งเรือนไทยภาคกลาง มุงดว้ ยกระเบ้ืองดินเผาหรือกระเบ้ืองไมส้ กั จวั่ กรุดว้ ย
ไมต้ ีเกลด็ เป็นรูปรัศมี ของอาทิตยท์ ้งั สองดา้ น รอบหลงั คาไม่มีชายคา หรือปี กนกยนื่ คลุมตวั บา้ นเหมือน
อยา่ งเรือนไทยภาคกลาง
72
ภาพท่ี 8.1เรือนไทยภาคอีสานลกั ษณะชว่ั คราว ภาพจาก https://sites.google.co
ภาพท่ี 8.2 เรือนไทยภาคอีสานลกั ษณะก่ึงถาวร ภาพจากstudent.nu.ac.th
73
ภาพท่ี 8.3 เรือนไทยภาคอีสานลกั ษณะถาวร ภาพจากstudent.nu.ac.th
เรือนไทยภาคเหนือ
ลกั ษณะเด่นชดั ในทางสังคมและวฒั นธรรมอย่างหน่ึงของชุมชนในภาคเหนือ ท่ีไม่เหมือนกบั ภาค
อื่นๆ ก็ คือ บรรดาชุมชนหมู่บา้ นต่างๆ ท่ีอยู่ในหุบเขาเดียวกนั น้นั จะตอ้ งมี ความสัมพนั ธ์กนั ทางสังคม
เศรษฐกิจและวฒั นธรรมอยา่ งใกลช้ ิด จึง จะอยรู่ ่วมกนั ได้ สิ่งน้ีแลเห็นไดจ้ ากการร่วมมือกนั ในการทาใหม้ ี
การ ชลประทาน เหมืองฝายข้ึน นัน่ ก็คือแต่ละชุมชนจะตอ้ งมาร่วมกนั ทา ฝายหรือเข่ือนก้นั น้า และขุด
ลอกลาเหมืองเพ่ือระบาย น้าจากฝายที่ ก้นั ลาน้าไปเล้ียงท่ีนาของแต่ละชุมชน ท้งั น้ีเป็ นเพราะในแต่ละหุบ
เขาน้นั ลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นท่ีลาดลงสู่บริเวณท่ีเป็ นแอ่งตอน กลางที่มีลาน้าไหลผา่ น ลาน้าดงั กล่าวน้ี
เกิดจากลาธาร หรือลาน้า สาขาที่ไหลลงจากที่สูงท้งั สองขา้ งหุบเขามาสมทบดว้ ย จานวนลา น้าเหล่าน้ีมี
จากดั ไม่เพียงพอแก่การเพาะปลูกของผคู้ นทวั่ ไป จึงจา เป็นตอ้ งทาฝายทดน้าและขดุ เหมืองจากบริเวณลา
น้าหรือธารน้าน้ัน เขา้ ไปเล้ียงที่นาและเพ่ือการใช้น้าของ ชุมชน จึงตอ้ งมีการออกแรงร่วมกนั เกิดมี
กฎเกณฑแ์ ละแบบแผนในการร่วมแรงกนั ทาเหมืองฝายมาแต่ โบราณ จึงเป็ นกิจกรรมที่กษตั ริยเ์ จา้ เมือง
หรือนายบา้ น จะตอ้ งคอยควบคุมดูแลใหม้ ีการร่วมมือกนั และลง โทษผทู้ ่ีไม่ร่วมมือแต่ทว่าลกั น้าขโมยน้า
จากผูอ้ ่ืน จึงเกิดมีกฎหมายโบราณข้ึนท่ีเรียกว่า "กฎหมายมงั ราย"เช่ือว่าพญามงั รายผูส้ ร้างแควน้ ลา้ นนา
เป็ นผูบ้ ญั ญตั ิข้ึนที่อยอู่ าศยั วฒั นธรรมประเพณี สภาพดินฟ้าอากาศ มีส่วนกาหนดลกั ษณะท่ีอยอู่ าศยั ของ
ผคู้ น บา้ นเรือน ในภาคเหนือ นิยมสร้างดว้ ยวสั ดุธรรมชาติท่ีมีอยใู่ นทอ้ งถิ่นสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิต ตวั เรือน
74
มีขนาดเลก็ ใตถ้ ุน สูง หลงั คาทรงจวั่ ประดบั ยอดหลงั คาดว้ ยไมแ้ กะสลกั ไขวก้ นั เรียกวา่ "กาแล" ชาวเหนือ
ท่ีมีฐานะดีจะอยู่ เรือนที่ค่อนขา้ งมีขนาดใหญ่และประณีตมากข้ึน กาแล คือ ไมป้ ระดบั ยอดจว่ั หลงั คาของ
บา้ นลา้ นนาภาคเหนือ ของเรา มีประวตั ิและความเป็นมาหลาก หลายอยา่ ง แต่หากพิจาร ณาในเชิงช่างแลว้
กาแลน้ีเป็นตวั กนั ไม่ ให้ “อีกา” หรือนกทวั่ ไปมาเกาะที่กลางจว่ั หนา้ บา้ น (กลางป้ันลม) ทาใหน้ กเหล่าน้นั
ไม่มา ถ่ายมูลรดหลงั คาบา้ นให้เป็ นคราบน่าเกลียดจะทาความสะอาดก็ยากเยน็ ซ่ึงชาวบา้ นถือว่าเป็ นสิ่ง
อปั มงคล
เรือนไทยภาคเหนือ เรือนกาแลคาวา่ “กาแล” อาจจะเพ้ียนมาจากคา “กะแลง” ซ่ึงมีความหมายว่า
ไขวก้ นั อยู่เป็ นเรือนพกั อาศยั ของผูม้ ีอนั จะกินและผูน้ าชุมชน หรือเป็ นเรือนของบุคคลช้ันสูงในสังคม
เรือนประเภทน้ีมีลกั ษณะพิเศษคือมียอดจว่ั ประดบั กาแลไมส้ ลกั อย่างงดงาม นิยมมุงกระเบ้ืองไมเ้ รียก
“แป้นเกลด็ ” แต่ปัจจุบนั ไมเ้ ป็ นวสั ดุหายากมีราคาแพงจึงเปลี่ยนมาใช้ “ดินขอ” มุงหลงั คาแทน ใชว้ สั ดุ
อย่างดี การช่างฝี มือสูงประณีต แต่มีแบบค่อนข้างตายตัว ส่วนใหญ่เป็ นเรือนแฝด มีขนาดต้ังแต่ 1
ห้องนอนข้ึนไป เรือนกาแลจะมีแผนผงั 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบเอาบนั ไดข้ึนตรงติดชานนอกโดดๆ กบั
แบบเอาบนั ไดอิงชิดแนบฝาใตช้ ายคาคลุม แต่ท้งั สองแบบจะใชร้ ้านน้าต้งั เป็ นหน่วยโดดๆ มีโครงสร้าง
ของตนเองไม่นิยมตีฝ้าเพดาน หรือบางกลุ่มประกอบดว้ ยเรือนหลายหลงั เป็นกลุ่มใหญ่
ภาพที่ 8.4 เรือนไทยภาคเหนือ ภาพจาก https://th.wikipedia.org
75
ภาพท่ี 8.5 กาแลลกั ษณะหลงั คาแบบภาคเหนือ ภาพจาก https://th.wikipedia.org
เรือนไทยภาคใต้
เรือนไทยภาคใต้ ที่พบเห็นทวั่ ไปในภาคใตแ้ บ่งออกเป็ น เรือนเครื่องผกู เรือนเครื่องสับ เรือนก่อ
อิฐฉาบปูน โดยเอกลักษณ์ของเรือนภาคใตอ้ ยู่ท่ีหลังคาเรือนและ เสาเรือนจะเป็ นเสาไมต้ ้งั บนฐาน
คอนกรีตเหตุเพราะสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติเกิดพายุไตฝ้ ่ ุน พายุฝน ลมแรงเสมอ จาเป็ นตอ้ งมี
โครงสร้างท่ีแขง็ แรง ลกั ษณะเรือนไทยเป็นเรือนยกพ้ืนสูง แต่วา่ ไม่สูงจนเกินไป พอท่ีจะเดินลอดได้
ภาพที่ 8.6 เรือนไทยภาคใต้ ภาพจาก https://th.wikipedia.org
76
เรือนไทยภาคใต้ แบ่งเป็ น 2 บริเวณ คือ แถบชายทะเลดา้ นใน คือ ชายทะเลฝ่ังตะวนั ออกซ่ึงติดกบั อ่าว
ไทย และแถบชายทะเลดา้ นนอก คือ ชายทะเลฝั่งตะวนั ตกซ่ึงติดกบั ทะเลอนั ดามนั โดยท่ีพ้ืนที่ทางฝ่ัง
ตะวนั ออกดา้ นอ่าวไทยเป็ นชุมชนที่เก่าแก่มากกว่าฝั่งตะวนั ตก บา้ นเรือนแถบชายฝั่งทะเลตะวนั ออก มกั
เป็นเรือนหลงั คาหนา้ จว่ั ทรงสูงแบบเรือนไทยภาคกลาง แต่ไม่นิยมทาป้ันลมและตวั เหงา
เรือนไทยภาคกลาง
เรือนไทยภาคกลาง เป็ นเรือนไทยที่สร้างข้ึนในภาคกลางของประเทศไทย มีลกั ษณะแบบ แผน
ของแต่ละหลงั ท่ีแน่นอน และคลา้ ยคลึงกนั เป็ นส่วนใหญ่ มีอายุประมาณ ๑๐๐-๑๕๐ ปี มาแลว้ ลกั ษณะ
หลงั คาทรงมนิลาสูง มีป้ันลม กนั สาด และใตถ้ ุนสูง เน่ืองจากเรือนไทยในภาคกลาง มีลกั ษณะเฉพาะอยา่ ง
น้ี คนทวั่ ไปจึงเรียกวา่ เรือนไทยเดิมภาคกลาง ซ่ึงประกอบดว้ ยเรือนลกั ษณะต่างๆ ดงั น้ี
เรือนครอบครัวเด่ียว
เป็นเรือนหอของครอบครัวที่สร้างใหม่ สาหรับสามี ภรรยา และลูกเลก็ ๆ ประกอบดว้ ยเรือนนอน
ซ่ึงมีหอ้ งนอน กบั ห้องโถง ๑ หลงั เรือนนอนมี ๓ ช่วงเสา สร้างเป็ นห้องนอน ๒ ช่วงเสา และหอ้ งโถง ๑
ช่วงเสา หอ้ งโถงน้ีมีไวส้ าหรับเล้ียงพระ และต้งั แท่นบูชา เรือนครัวใชเ้ ป็ นท่ีสาหรับปรุงอาหาร และอาจ
นง่ั รับประทานอาหารในครัวไดเ้ ลย เรือนครัวมี ๒ ขนาด ขนาดเลก็ ๒ ช่วงเสา และขนาดใหญ่ ๓ ช่วงเสา
ส่วนหน่ึงเป็ นครัวไฟ อีกส่วนหน่ึง เป็ นที่รับประทานอาหารดา้ นหน้าของเรือนนอน มีระเบียงเชื่อมต่อ
ระหวา่ งท้งั สองหลงั ดว้ ยชาน
เรือนครอบครัวขยาย
ในครอบครัวหน่ึง เมื่อลูกเลก็ ๆ เจริญเติบโตข้ึนเป็นผใู้ หญ่แลว้ มีสามี หรือภรรยา จาเป็นตอ้ งแยก
ครอบครัวออกไป ลูกชายแต่งงานแลว้ ไปอยู่บา้ นฝ่ ายผูห้ ญิง ส่วนลูกผูห้ ญิงแต่งงานแลว้ พ่อแม่จะปลูก
เรือนให้อยู่อีกหลงั หน่ึงต่างหาก อาจสร้างข้ึนใหม่ ให้อยู่ตรงขา้ มกับเรือนของพ่อแม่ โดยใชช้ านเป็ น
ตวั เช่ือม ถา้ มีลูกสาวหลายคนก็ปลูกเพ่ิมข้ึนไปเร่ือยๆ โดยสรุปแลว้ ผงั ของเรือนครอบครัวขยาย มี 3 แบบ
คือ
1. ปลูกเรียงเป็นแถวไปตามยาวต่อจากเรือนของพอ่ แม่
2. จดั วางตวั เรือนเป็นกลุ่ม มีชานเชื่อม ตรงกลาง ชานเชื่อมน้ีเปิ ดโล่งไม่มีหลงั คาคลุม
3. ปลูกเรือนข้ึนใหม่อยบู่ ริเวณใกลๆ้ เป็นหลงั ๆ ไม่มีชานเช่ือม
77
เรือนคหบดี
เป็นเรือนของผมู้ ีฐานะ เจา้ ของต้งั ใจสร้างข้ึนใหม้ ีขนาดใหญ่โตหรูหรา เห็นไดช้ ดั เจนจากการวาง
ผงั เรือนหมู่น้ีประกอบดว้ ย
1. เรือนนอน เป็นเรือนประธาน มี ๓ ช่วงเสา
2. เรือนสาหรับลูก มีขนาดเท่ากนั หรือยอ่ มลงมา อยตู่ รงขา้ มกบั เรือนพอ่ แม่ เรียกวา่ เรือน "รี" หนั
หนา้ จว่ั ไปทางเดียวกนั
3. เรือนขวาง มีลกั ษณะเป็ นเรือนโปร่ง มี ๓ ช่วงเสา สาหรับเป็ นที่พกั ผ่อน รับแขก รับประทาน
อาหาร เล้ียงพระ และใชจ้ ดั งานประเพณี ต่างๆ เช่น โกนจุก แต่งงาน ฯลฯ
4. เรือนครัว ต้งั อยทู่ างดา้ นหลงั มีขนาด เลก็ ๒ ช่วงเสา ฝาขดั แตะโปร่ง มีช่องระบายควนั ไฟบน
หนา้ จวั่ ทาเป็ นรูปพระอาทิตย์ มีรัศมีบา้ ง เป็ นไมเ้ วน้ ช่องบา้ ง ครัวของเรือนคหบดีน้ัน มกั มี ๒ หลงั ใช้
ทาอาหารคาว ๑ หลงั ทาอาหารหวานอีก ๑ หลงั
5. หอนก คหบดีผูม้ ีฐานะมกั จะมีงาน อดิเรกคือ เล้ียงนกไวด้ ูเล่น และฟังเสียงร้อง เพ่ือนาไป
ประกวดกนั นอกจากเล้ียงนกแลว้ ยงั เล้ียงปลากดั ปลูกบอน ว่าว ตะโกดดั ข่อยดดั บวั ใส่ตุ่ม ฉะน้นั เราจะ
เห็นมีเรือนหลงั เล็กๆ ขนาด ๒ ช่วงเสา มีฝา ๓ ดา้ น แขวนกรงนกเขา หรือนกอ่ืนๆ ไวเ้ ป็ นแถว เรือน
ท้งั หมดเชื่อมดว้ ยชานเปิ ดโล่ง เช่นเดียวกบั เรือนประเภทอ่ืนๆ แต่บนชานจะเจาะทะลุลงไปช้นั ล่าง เพื่อ
ปลูกตน้ ไมใ้ หญ่ไวต้ รงกลาง มีตน้ จาปี จาปา ขนุน มะม่วง เป็นตน้ เพ่ืออาศยั ร่มเงา และเพือ่ ใหเ้ รือนมีความ
กลมกลืนกบั ธรรมชาติไดด้ ียงิ่ ข้ึน
ภาพท่ี 8.7 เรือนคหบดี ภาพจาก http://kanchanapisek.or.th
78
เรือนร้านคา้ ริมน้า
เป็ นเรือนที่สร้างข้ึน เพื่อเป็ นร้านคา้ ขาย รวมท้งั กินอยหู่ ลบั นอน ฉะน้นั ประโยชน์ใชส้ อยจึงต่าง
กบั เรือนพกั อาศยั ทว่ั ไป เรือนแบ่งเป็ น ๒ ส่วน ส่วนหนา้ เปิ ดเป็ นร้านคา้ มีท่ีสาหรับวางสินคา้ ส่วนหลงั
เป็ นที่อยอู่ าศยั มีห้องโถง ห้องนอน เรือนครัว และที่รับประทานอาหาร ส่วนการอาบน้าน้นั อาบท่ีคลอง
หรือ แม่น้าร้านคา้ ขายจะมีสะพานทางเดินทาดว้ ยไม้ ยาวตลอดติดต่อถึงกนั ทุกหลงั คาเรือน ถดั จากสะพาน
ออกไป ทาท่าน้าลดระดบั ให้ใกลร้ ะดบั น้า เพ่ือเป็ นท่ีเทียบเรือขนสินคา้ ข้ึนลงไดส้ ะดวก ดา้ นหน้าของ
เรือนใชฝ้ าหนา้ ถงั สามารถยกถอดออกเป็นแผน่ ๆ นาไปเก็บไวท้ ่ีอื่นได้ ดา้ นหนา้ เปิ ดโล่งไว้ สาหรับแสดง
สินคา้ ไดต้ ลอด บางหลงั ทาเป็นฝาบานกระทุง้ เวลาเปิ ดยกฝาบาน กระทุง้ ข้ึนท้งั แผง ฝาน้ีทาดว้ ยวสั ดุเบาๆ
เช่น จาก แฝก หรือขดั แตะ ปัจจุบนั เปล่ียนแปลงเป็ นฝาหนา้ ถงั และฝากระทุง้ ทาดว้ ยสังกะสี ซ่ึงพอหาดู
ไดจ้ ากร้านคา้ ริมน้า อาเภอดาเนินสะดวก จงั หวดั ราชบุรี ร้านคา้ ริมน้าตลาดบางล่ี อาเภอสองพ่ีนอ้ ง จงั หวดั
สุพรรณบุรี และร้านคา้ ริมน้าหวั ตะเข้ เขตลาดกระบงั กรุงเทพมหานคร เป็นตน้
เรือนแพ
เรือนแพคือ ร้านคา้ ริมน้าที่ลอยน้าเคลื่อนที่ไปมาได้ รวมท้งั เป็ นที่อยู่อาศยั หลบั นอน มีลกั ษณะ
เหมือนเรือนไทยแฝด หลงั ในเป็ นที่พกั ผ่อนหลบั นอน ส่วนหลงั นอกเป็ นร้านคา้ มีฝาหน้าถงั ปิ ดเปิ ด
ดา้ นหนา้ เป็ นระเบียงติดกบั น้า บางหลงั มีระเบียงรอบ ช่วงเรือนยาว มี ๓ ห้อง ดา้ นหลงั เป็ นครัว หลงั คา
ครัวมีขนาดเลก็ กวา่ หลงั คาเรือนใหญ่ ดา้ นล่างซ่ึงเป็นแพรองรับ ตวั เรือน มี ๒ ชนิด คือ
ภาพที่ 8.8 เรือนโป๊ ะ ภาพจาก MThai Talk
ภาพท่ี 8.9 เรือนแพลูกบวบ ภาพจาก MThai Talk
79
1. ใชไ้ มไ้ ผผ่ กู รวมกนั เป็นแพ เรียกวา่ แพลูกบวบ
2. ใชไ้ มจ้ ริงต่อเป็นแพสี่เหล่ียมยาว เรียกวา่ โป๊ ะ มีโครงอยภู่ ายใน ลกั ษณะคลา้ ยเรือ อุดยาดว้ ยชนั
ผสมน้ามนั ยาง ติดต่อกนั 3-4 โป๊ ะ ต่อเรือน 1 หลงั แพท้งั สองแบบน้ี ตอ้ งซ่อมแซม ทุกปี
ลกั ษณะของเรือนไทยภาคกลาง
1. เป็ นเรือนยกใตถ้ ุนสูง สูงจากพ้ืนดิน ประมาณพน้ ศีรษะ รวมท้งั ระเบียงและชานก็ยกสูงดว้ ย
การยกใตถ้ ุนสูงน้ีมีระดับลดหลนั่ กัน พ้ืนระเบียงลดจากพ้ืนห้องนอน 40 เซนติเมตร พ้ืนชานลดจาก
ระเบียงอีก 40 เซนติเมตร และปิ ดดว้ ยไมร้ ะแนงตีเวน้ ช่องโปร่ง การลดระดบั พ้ืน ทาใหไ้ ดป้ ระโยชน์ ดงั น้ี
คือช่วยให้ลมพดั ผ่าน จากใตถ้ ุนข้ึนมาขา้ งบน สามารถมองลงมายงั ใตถ้ ุนช้นั ล่างได้ และใชร้ ะดบั ลด 40
เซนติเมตร ไวเ้ ป็นท่ีนง่ั หอ้ ยเทา้ การยกพ้ืนเรือนใหส้ ูงข้ึนน้นั มีเหตุผลหลายประการ คือ
ก. เพ่ือใหม้ ีความปลอดภยั จากสตั วร์ ้าย หรือคนร้ายในเวลาค่าคืน ภาคกลางของประเทศ อยใู่ นเขต
พ้ืนที่ลุ่ม น้าท่วมถึง ฝนตกชุก มีตน้ ไม้ หนาทึบ เตม็ ไปดว้ ยสัตวร์ ้ายนานาชนิด เช่น งูพิษ ตะขาบ แมงป่ อง
ถา้ บา้ นเรือนต้งั อยู่ใกลป้ ่ า ก็ตอ้ งระวงั สัตวป์ ่ าอีกดว้ ย ฉะน้ัน การยกท่ีนอนให้สูงจากพ้ืนดินจึงเป็ นการ
ปลอดภยั
ข. เพื่อป้องกนั น้าท่วมถึง ในทุกภาคของประเทศจะเกิดน้าท่วมเป็นบางเดือนเกือบทุกปี ภาคเหนือ
และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จะเกิดน้าท่วม เพราะมีพายฝุ นตกหนกั ส่วนภาคกลางน้นั น้าท่วม เพราะน้า
เหนือไหลบ่าลงมา รวมท้งั น้าทะเลข้ึนหนุน ประมาณเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธนั วาคมเกือบทุกปี ถา้
เกิดน้าท่วมกจ็ ะไดย้ า้ ยส่ิงของ และเคร่ืองใชต้ ่างๆ จากใตถ้ ุน ข้ึนไวบ้ นเรือน
ค. ใชใ้ ตถ้ ุนเป็นท่ีเกบ็ ของ และเคร่ืองใชเ้ ก่ียวกบั การเกษตร เช่น เคร่ืองมือทานาทาสวน เกวียน ไม้
กระดาน เรือบด คนั ไถ กระทะเค่ียว น้าตาล เป็นตน้
ง. ใชใ้ ตถ้ ุนเป็ นท่ีประกอบอุตสาหกรรม ในครัวเรือน ไดแ้ ก่ ทาร่ม ทอผา้ ทอเสื่อ ป่ันฝ้าย ตาขา้ ว
(ดว้ ยครกกระเดื่อง) และใชเ้ ป็ นท่ีพกั ผอ่ น โดยต้งั แคร่นงั่ เล่นในเวลากลางวนั ชาวบา้ นบางแห่ง แบ่งส่วน
ใตถ้ ุนไวเ้ ล้ียงสัตว์ เช่น เป็ ด ไก่ หมู ววั ควาย ฯลฯ การเล้ียงสัตวไ์ วใ้ ตถ้ ุน จะทาใหส้ กปรก ส่งกลิ่นเหม็น
และเกิดผลเสียต่อสุขภาพอยา่ งมาก บางทอ้ งที่แยกสัตวไ์ วใ้ นคอกต่างหาก ซ่ึงอยใู่ กลๆ้ กบั เรือน แต่ไม่ควร
อยเู่ หนือลม (ทางทิศใต)้ การเล้ียงสัตวไ์ วใ้ นคอกต่างหากน้ี ดีกว่าการเล้ียงสัตวไ์ วใ้ ตถ้ ุน นอกจากน้ี ยงั ใช้
ใต้ถุนเป็ นท่ีจัดงานประเพณีต่างๆ เช่น งาน ประเพณีสงกรานต์ ที่อาเภอพระประแดง จังหวัด
สมุทรปราการ มีการจดั พ้ืนใตถ้ ุนตกแต่งอยา่ งสวยงามไวเ้ ล่นสะบา้ ใตถ้ ุนยงั มีประโยชน์อื่นๆ อีกมาก แต่
ตอ้ งเป็นฤดูท่ีน้าไม่ท่วมถึง การใชใ้ ตถ้ ุนเรือนเป็นสถานท่ีประกอบอุตสาหกรรมในครอบครัวการใชใ้ ตถ้ ุน
เรื อนเป็ นสถานที่ประกอบอุตสาหกรรมในครอบครัว
80
ตอ้ งเป็นฤดูท่ีน้าไม่ท่วมถึง การใชใ้ ตถ้ ุนเรือนเป็นสถานที่ประกอบอุตสาหกรรมในครอบครัวการ
ใชใ้ ตถ้ ุนเรือนเป็นสถานที่ประกอบอุตสาหกรรมในครอบครัว
ภาพที่ 8.10 เรือนสภาพน้าทว่ มใตถ้ ุนเรือนในหนา้ น้า ภาพจาก MThai Talk
ภาพท่ี 8.11 เรือนการใชใ้ ตถ้ นุ เรือนเป็นสถานท่ีประกอบอุตสาหกรรมในครอบครัว
ภาพจาก MThai Talk
81
2. หลงั คาทรงจวั่ สูงชายคาย่ืนยาว หลงั คาของเรือนไทยเป็ น แบบทรงมนิลา ใชไ้ มท้ าโครง และใชจ้ าก
แฝก หรือกระเบ้ืองดินเผา เป็ นวสั ดุมุงหลงั คา วสั ดุเหล่าน้ีตอ้ งใชว้ ิธีมุงตามระดบั องศาที่สูงชนั มาก น้าฝน
จึงจะไหลไดเ้ ร็ว ไม่รั่ว การทาหลงั คาทรงสูงน้ี มีผลช่วยบรรเทาความร้อน ที่จะถ่ายเทลงมายงั ส่วนล่าง ทา
ให้ท่ีพกั อาศยั หลบั นอนเยน็ สบาย สาหรับเรือนครัวทว่ั ไป ตรงส่วนบนของหน้าจวั่ ท้งั ๒ ดา้ น ทาช่อง
ระบายอากาศ โดยใชไ้ มต้ ีเวน้ ช่อง หรือทาเป็นรูปรัศมี พระอาทิตย์ เพื่อถ่ายเทควนั ไฟออกจากเรือนครัวได้
สะดวก ไดก้ ล่าวมาแลว้ ว่า ดินฟ้าอากาศของภาคกลาง แดดแรงจดั อุณหภูมิบางเดือนสูงถึง ๓๙.๙ องศา
เซลเซียส ฝนชุก จึงจาเป็นตอ้ งต่อเติม กนั สาดใหย้ น่ื ออกจากตวั เรือนมาก เพอ่ื กนั แดดส่อง และฝนสาด
3. ชานกวา้ ง เมื่อมองดูแปลนของเรือน ไทยทว่ั ไป จะเห็นพ้ืนท่ีของชานกวา้ งมาก มีปริมาณถึงร้อยละ ๔๐
ของพ้ืนท่ีท้งั หมด (ห้อง ระเบียง ชาน) ถา้ รวมพ้ืนที่ของระเบียงเขา้ ไปดว้ ยจะมีปริมาณถึงร้อยละ ๖๐ พ้ืนท่ี
น้ีเป็ นส่วนอาศยั ภายนอก ส่วนที่อาศยั หลบั นอนมีฝาก้นั เป็ นห้อง มีเน้ือท่ีเพียงร้อยละ ๔๐ ของพ้ืนท่ี
ท้งั หมด สาเหตุท่ีพ้ืนท่ีอยอู่ าศยั ภายนอกมีปริมาณมาก เพราะดินฟ้าอากาศร้อนอบอา้ วนน่ั เอง
82
บทที่ 9
ศิลปะของไทย
รายการเรียนการสอน
1.ศิลปะของไทยเอกลกั ษณ์ของชาติไทย
2.ประวตั ิศาสตร์ศิลปะไทย
จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.รู้และเขา้ ใจศิลปะอนั เป็นเอกลกั ษณ์ประจาชาติไทย
2.รู้และเขา้ ใจในประวตั ิศาสตร์ศิลปะไทย
สาระสาคญั
การศึกษาศิลปะวฒั นธรรมประจาชาติ ที่มีประวตั ิศาสตร์อนั ยาวนาน มีการสร้างสรรคส์ ะสมภูมิ
ปัญญา ศิลปวฒั นธรรมที่มีเอกลกั ษณ์เป็ นของตนเองสืบเน่ืองกนั ยาวนาน ศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตวั แบบ
ไทย มวยไทยและกระบี่กระบองน้นั เป็นมรดกทางวฒั นธรรมไทยมาชา้ นานคู่กบั ประวตั ิศาสตร์ไทย เป็ น
วิถีชีวิตของคนไทยความงดงามท่ีสืบทอดอนั ยาวนานมาต้งั แต่อดีตบ่งบอกถึงวฒั นธรรมที่เกิดข้ึน โดยมี
พฒั นาการบนพ้นื ฐานของความเป็นไทย ลกั ษณะนิสัยท่ีอ่อนหวาน ละมุนละไม สวยงาม ทาใหศ้ ิลปะไทย
มีความประณีตอ่อนหวาน เป็ นความงามอย่างวิจิตรอลงั การท่ีทุกคนไดเ้ ห็น ลกั ษณะความงามน้ีจึงได้
กลายเป็ นความรู้สึกทางสุนทรี ยภาพโดยเฉพาะของคนไทยและกลายเป็ นศิลปะไทย
ศิลปะไทย
ศิลปะไทย เป็นเอกลกั ษณ์ของชาติไทย ซ่ึงคนไทยท้งั ชาติต่างภาคภูมิใจอยา่ งยง่ิ ความงดงามท่ีสืบ
ทอดอนั ยาวนานมาต้งั แต่อดีต บ่งบอกถึงวฒั นธรรมท่ีเกิดข้ึน โดยมีพฒั นาการบนพ้ืนฐานของความเป็ น
ไทย ลกั ษณะนิสัยที่อ่อนหวาน ละมุนละไม รักสวยรักงาม ที่มีมานานของสังคมไทย ทาให้ศิลปะไทยมี
ความประณีตอ่อนหวาน เป็นความงามอยา่ งวิจิตรอลงั การที่ทุกคนไดเ้ ห็นตอ้ งต่ืนตาต่ืนใจอยา่ งบอกไม่ถูก
ลกั ษณะความงามน้ีจึงไดก้ ลายเป็ นความรู้สึกทางสุนทรียภาพโดยเฉพาะคนไทยและศิลปะไทยยงั ตดั เส้น
ดว้ ยสีดาและสีน้าตาลเท่าน้นั เมื่อเราไดส้ ืบคน้ ความเป็ นมาของสังคมไทยพบว่าวิถีชีวิตอย่กู นั อย่างเรียบ
ง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็ นเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจ สังคมไทยเป็ นสังคมเกษตรกรรมมาก่อน ดงั น้ัน
ความผูกพนั ของจิตใจจึงอยู่ท่ีธรรมชาติแม่น้าและพ้ืนดิน ส่ิงหล่อหลอมเหล่าน้ีจึงเกิดบูรณาการเป็ น
ความคิด ความเช่ือและประเพณีในท้องถ่ิน แล้วถ่ายทอดเป็ นวฒั นธรรมไทยอย่างงดงาม ที่สาคัญ
วฒั นธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอนั เป็ นที่ยอมรับในสังคมหน่ึงๆ ใหค้ นในสงั คมน้นั ไดร้ ับรู้
83
แลว้ ขยายไปในขอบเขตที่กวา้ งข้ึน ซ่ึงส่วนใหญ่การสื่อสารทางวฒั นธรรมน้นั กระทาโดยผา่ นสัญลกั ษณ์
และสญั ลกั ษณ์น้ีคือผลงานของมนุษยน์ ้นั เองท่ีเรียกวา่ ศิลปะไทย
ปัจจุบนั คาวา่ "ศิลปะไทย" กาลงั จะถูกลืมเมื่ออิทธิพลทางเทคโนโลยสี มยั ใหม่เขา้ มาแทนที่สังคม
เก่าของไทย โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงโลกแห่งการส่ือสารไดก้ า้ วไปล้ายคุ มาก จนเกิดความแตกต่างอยา่ งเห็นได้
ชดั เม่ือเปรียบเทียบกบั สมยั อดีต โลกใหม่ยุคปัจจุบนั ทาให้คนไทยมีความคิดห่างไกลตวั เองมากข้ึน และ
อิทธิพลดงั กล่าวน้ีทาใหค้ นไทยลืมตวั เราเองมากข้ึนจนกลายเป็นส่ิงสบั สนอยกู่ บั สงั คมใหม่อยา่ งไม่รู้ตวั มี
ความวุ่นวายดว้ ยอานาจแห่งวฒั นธรรมส่ือสารที่รีบเร่งรวดเร็วจนลืมความเป็ นเอกลกั ษณ์ของชาติเมื่อเรา
หนั กลบั มามองตวั เราเองใหม่ทาใหด้ ูห่างไกลเกินกวา่ จะกลบั มาเรียนรู้วา่ พ้ืนฐานของชาติบา้ นเมืองเดิมเรา
น้นั มีความเป็ นมาหรือมีวฒั นธรรมอยา่ งไร ความรู้สึกเช่นน้ี ทาใหเ้ ราลืมมองอดีตตวั เอง การมีวิถีชีวิตกบั
สงั คมปัจจุบนั จาเป็นตอ้ งดิ้นรนต่อสูก้ บั ปัญหาต่าง ๆ ท่ีวิ่งไปขา้ งหนา้ อยา่ งรวดเร็ว ถา้ เรามีปัจจุบนั โดยไม่มี
อดีต เราก็จะมีอนาคตที่คลอนแคลนไม่มน่ั คง การดาเนินการนาเสนอแนวคิดในการจดั การเรียนการสอน
ศิลปะในคร้ังน้ี จึงเป็ นเสมือนการค้นหาอดีต โดยเราชาวศิลปะต้องการให้อนุชนได้มองเห็นถึง
ความสาคญั ของบรรพบุรุษ ผสู้ ร้างสรรคศ์ ิลปะไทย ใหเ้ ราทาหนา้ ที่สืบสานต่อไปในอนาคต
ความเป็ นมาของศิลปะไทย
ไทยเป็นชาติท่ีมีศิลปะและวฒั นธรรมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมาชา้ นานแลว้
เร่ิมต้งั แต่ก่อนประวตั ิศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวฒั นาการและสืบเน่ืองเป็ นตวั ของตวั เองในที่สุด เท่าที่เรา
ทราบราว พ.ศ. 300 จนถึง พ.ศ. 1800 พระพุทธศาสนานาเขา้ มาโดยชาวอินเดี ย คร้ังน้ันแสดงให้เห็น
อิทธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทยในทุก ๆ ดา้ นรวมท้งั ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดยกระจายเป็นกลุ่ม
ศิลปะสมยั ต่างๆ เริ่มต้งั แต่สมยั ทวาราวดี ศรีวิชยั ลพบุรี เมื่อกลุ่มคนไทยต้งั ตวั เป็ นปึ กแผ่นแลว้ ศิลปะ
ดงั กล่าวจะตกทอดกลายเป็นศิลปะไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรคใ์ หม้ ีลกั ษณะพิเศษกวา่ งานศิลปะของ
ชาติอื่น ๆ คือ จะมีลวดลายไทยเป็ นเคร่ืองตกแต่ง ซ่ึงทาใหล้ กั ษณะของศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะมีความ
อ่อนหวาน ละมุนละไม และไดส้ อดแทรกวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้สึกของคนไทย
ไวใ้ นงานอยา่ งลงตวั ดงั จะเห็นไดจ้ ากภาพฝาผนงั ตามวดั วาอารามต่างๆปราสาทราชวงั ตลอดเคร่ืองประดบั
และเครื่องใชท้ วั่ ไป
ลกั ษณะของศิลปะไทย
ศิลปะไทยไดร้ ับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มในสังคมไทยซ่ึงมีลกั ษณะเด่น คือ ความ
เป็นอยแู่ ละการดารงชีวิตของคนไทยที่ไดส้ อดแทรกไวใ้ นผลงานท่ีสร้างสรรคข์ ้ึน โดยเฉพาะศิลปกรรมที่
84
เก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนาซ่ึงเป็นศาสนาประจาชาติของไทยอาจกล่าวไดว้ ่าศิลปะไทยสร้างข้ึนเพ่ือส่งเสริม
พุทธศาสนา เป็ นการเชื่อมโยงและโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธ
ศาสนา ภาพไทยหรือ จิตรกรรมไทย จดั เป็นภาพเล่าเร่ืองท่ีเขียนข้ึนดว้ ยความคิดจินตนาการของคนไทย มี
ลกั ษณะตามอุดมคติของกระบวนงานช่างไทย คือ
1.เขียนสีแบนไม่คานึงถึงแสงและเงานิยมตดั เส้นให้เห็นชดั เจนและเส้นที่ใชจ้ ะแสดงความรู้สึก
เคล่ือนไหวนุ่มนวล
2.เขียนตวั พระ-นางเป็ นแบบละครมีลีลาท่าทางเหมือนกนั ผิดแผกแตกต่างกนั ดว้ ยสีร่างกายและ
เครื่องประดบั
3.เขียนแบบตานกมอง หรือเป็ นภาพต่ากว่าสายตา โดยมุมมองจากท่ีสูงลงสู่ ล่าง จะเห็นเป็ นรูป
เรื่องราวไดต้ ลอดภาพ
4.เขียนติดต่อกนั เป็ นตอนๆ สามารถดูจากซา้ ยไปขวาหรือล่างและบนไดท้ วั่ ภาพ โดยข้นั ตอน
ภาพดว้ ยโขดหิน ตน้ ไม้ กาแพงเมือง และเสน้ สินเทาหรือ คชกริด เป็นตน้
5. เขียนประดบั ตกแต่งดว้ ยลวดลายไทย มีสีทองสร้างภาพให้เด่นเกิดบรรยากาศ สุขสว่างและมี
คุณคา่ มากข้ึน
ภาพลายไทย เป็ นลายท่ีประดิษฐ์ข้ึนโดยมีธรรมชาติมาเป็ นแรงดลบันดาลใจโดยดัดแปลง
ธรรมชาติให้เป็ นลวดลายใหม่อย่างสวยงาม เช่น ตาออ้ ย กา้ มปู เปลวไฟ รวงขา้ ว และดอกบวั ฯลฯ ลาย
ไทยเดิมทีเดียวเรียกกนั ว่า "กระหนก" หมายถึงลวดลาย เช่น กระหนกลาย กระหนกกา้ นขด ต่อมามีคาใช้
ว่า "กนก" หมายถึง ทอง กนกปิ ดทอง กนกตูล้ ายทอง แต่จะมีใชเ้ มื่อใดยงั ไม่มีหลกั ฐานแน่ชดั ซ่ึงคาเดิม
"กระหนก" น้ีเขา้ ใจเป็ นคาแต่สมยั โบราณท่ีมีมาต้งั แต่สมยั ทวาราวดีโดยเรียกติดต่อกนั จนเป็ นคาเฉพาะ
หมายถึงลวดลายกา้ นขด ลายกา้ นปู ลายกา้ งปลา ลายกระหนกเปลว เป็นตน้ การเขียนลายไทย ไดจ้ ดั แบ่ง
ตามลกั ษณะที่จดั เป็ นแม่บทใชใ้ นการเขียนภาพมี 4 ลาย ดว้ ยกนั คือลายกระหนก ลายนารี ลายกระบ่ีและ
ลายคชะ เป็นตน้
สืบสานความเป็นมาของศิลปิ นไทย
ช่างไทยสมยั โบราณมกั จะเขียนภาพ โดยไม่บอกนามให้ปรากฏ การสืบคน้ ศิลปิ นไทยที่เป็ นครู
ช่างจึงยาก ลาบาก เท่าท่ีบอกเล่าจากปากต่อปากพอ จะจากล่าวขานไดบ้ า้ งกค็ ือ ครู คงแป๊ ะกบั ครูทองอยทู่ ่ี
เขียนภาพ ไทยอยา่ งวิจิตรภายในพระอุโบสถว์ ดั สุวรรณาราม บางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร ก่อน หนา้
ครูท้งั สองคิดวา่ ช่างไทย เขียนดว้ ย ความศรัทธาทางศาสนา อุทิศเวลาความสามารถ เพื่อผลกรรมดีของตน
ที่สร้าง ไวเ้ พื่อบุญในภพหนา้ ถึงแมจ้ ะเขียน ในท่ีเลก็ ๆ แคบ ๆ มืด ๆ โดยใชค้ บไฟส่องเขียน ก็ยงั อดทน
85
พยายามอุทิศเวลาเขียน ไดจ้ นสาเร็จ เช่น ภายในกรุ พระปรางค์ พระเจดีย์ ในโบสถแ์ ละวิหารขนาดเล็ก
เป็ นตน้ สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวตั ิวงศ์ ขณะพระองคย์ งั ทรงพระเยาว์ ชอบเดินดูภาพเขียนเรื่อง
รามเกียรต์ิท่ีผนงั ระเบียงคดวดั พระแกว้ เมื่อกลบั ถึงพระตาหนกั ก็ทรงใชด้ ินสอขาวเขียนภาพท่ี ทรงจาได้
เหล่าน้นั มาเขียนไวบ้ น บานตูไ้ ม้ และคร้ังหน่ึงพระองคย์ งั ทรง พระเยาวเ์ ช่นกนั ไดต้ ามเสดจ็ ประพาสตน้
ของพระปิ ยะมหาราชไปยงั หวั เมือง ต่าง ๆ อยา่ งใกลช้ ิด และเม่ือเสด็จไปถึงจงั หวดั กาญจนบุรี คร้ังน้นั คง
เป็ นป่ าท่ีสมบูรณ์ มี พนั ธุ์ไม้ มีสัตวป์ ่ าชุกชุม มีธรรมชาติสวย งาม ณ น้าตกบริเวณพลบั พลาที่พกั ใกล้
น้าตกไทรโยคน้นั เป็ นท่ีรับแรง บนั ดาลใจจากธรรมชาติที่ร่มรื่น น้า ตกที่ไหลลงกระแทกกบั โขดผาดา้ น
ล่าง เสียงร้องของสัตวน์ านาชนิด ๆ ไม่ว่าจะ เป็ นนกยงู หรือสัตวอ์ ่ืน ๆ ผสมผสานกบั แรง ของน้าตกและ
ธรรมชาติงาม ทาให้ พระองคท์ ่าน แต่งเพลงเขมรไทรโยคข้ึน สาเร็จ เป็ นเพลงไทยท่ีมีเน้ือร้อง ทานอง
จงั หวะลีลา ขบั ร้องฟังแลว้ กินใจประทบั ใจ มิรู้ ลืมจนกลายเป็นเพลงไทยอมตะมาจน ถึงปัจจุบนั ต่อมาเม่ือ
พระองค์เจริญพระชันษา พระองค์ก็ยงั ทรงใฝ่ หาความรู้ ลกั ษณะเช่นน้ีตลอดมาจนมีฝี มือ สูงส่งระดบั
อจั ฉริยะ พระองคไ์ ดค้ ิดออก แบบพระอุโบสถวดั เบญจม-บพิธ โดยนาเอาศิลปะ ไทยเขา้ ประยุกต์กับ
ปัจจุบนั โดยมีหิน อ่อน กระจกสีและกระเบ้ืองเคลือบผสมผสานอยา่ ง งามลงตวั จนโครงสร้างพระอุโบสถ
หลงั น้ีเป็นท่ีแปลกตาแปลกใจสวย งามอยา่ งมหศั จรรย์ ปัจจุบนั เป็นท่ียกยอ่ งว่า เป็นสมเด็จครูแห่งการช่าง
ไทย บรรดาช่างไทยต่อมาไดค้ ิดเพยี ร พยายามสร้างตาราเกี่ยวกบั ลายไทยฉบบั สาคญั ๆ ที่ยดึ ถือในปัจจุบนั
ขอกล่าวไวส้ ้นั ๆ ดงั ต่อไปน้ี
1.พระเทวาภินิมมิต เขียน "สมุดตาราลายไทย"
2.ช่วง เสลานนท์ เขียน "ศิลปไทย"
3.พระพรหมพจิ ิตร เขียน "พทุ ธศิลปสถาปัตยกรรมภาคตน้ "
4.โพธ์ิ ใจอ่อนนอ้ ม เขียน "คูม่ ือลายไทย"
5.คณะช่างจากดั เขียน "ตาราภาพลายไทย"
6.เลิศ พว่ งพระเดช เขียน "ตาราสถาปัตยกรรมและลาย ไทย"
ประวตั ศิ าสตร์ศิลปะไทย
ประวตั ิศาสตร์ศิลปะไทย สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ไดด้ งั น้ี
1.จิตรกรรมไทย
2.ประติมากรรมไทย
3.สถาปัตยกรรมไทย
จิตรกรรมไทย Thai Painting
86
จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพเขียนที่มีลกั ษณะเป็นแบบอยา่ งของไทยท่ีแตกต่างจากศิลปะของชน
ชาติอื่นอย่างชดั เจน ถึงแมจ้ ะมีอิทธิพลศิลปะของชาติอื่นอยู่บา้ งแต่ก็สามารถ ดดั แปลงคลี่คลายตดั ทอน
หรือเพิ่มเติมจนเป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะของตนเองไดอ้ ย่างสวยงาม ลงตวั น่าภาคภูมิใจ และมีวิวฒั นาการ
ทางดา้ นดา้ นรูปแบบวิธีการมาตลอดจนถึงปัจจุบนั ซ่ึงสามารถพฒั นาต่อไปอีกในอนาคตลายไทย เป็ ส่วน
ประกอบของภาพเขียนไทยใชต้ กแต่งอาคารส่ิงของเคร่ืองใชต้ ่างๆเคร่ืองประดบั ฯลฯ เป็ นลวดลายที่มี
ชื่อเรียกต่างๆ กนั ซ่ึงนาเอารูปร่างจากธรรมชาติมาประกอบ เช่น ลายกนก ลายกระจงั ลายประจายาม
ลายเครือเถา เป็นตน้ หรือเป็นรูปท่ีมาจากความเชื่อและคตินิยม เช่น รูปคน รูปเทวดา รูปสัตว์ รูปยกั ษ์ เป็น
ตน้
จิตรกรรมไทยเป็ นวิจิตรศิลป์ อย่างหน่ึงซ่ึงส่งผลสะทอ้ นให้เห็นวฒั นธรรมอนั ดีงามของชาติมีคุณค่าทาง
ศิลปะและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาคน้ ควา้ เรื่องท่ีเก่ียวกบั ศาสนา ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความ
เป็ นอยู่วฒั นธรรมการแต่งกาย ตลอดจนการแสดงการละเล่นพ้ืนเมืองต่างๆของแต่ละยคุ สมยั และสาระ
อื่นๆที่ประกอบกนั เป็ นภาพจิตรกรรไทย งานจิตรกรรมให้ความรู้สึกในความงามอนั บริสุทธ์ิน่าช่ืนชม
เสริมสร้างสุนทรียภาพข้ึนในจิตใจมวลมนุษยชาติไดโ้ ดยทว่ั ไป วิวฒั นาการของงานจิตรกรรมไทยแบ่ง
ออกตามลกั ษณะรูปแบบทางศิลปกรรมที่ปรากฏในปัจจุบนั มีอยู่ 2 แบบ คือ
1. จิตรกรรมไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Painting) เป็นศิลปะท่ีมีความประณีตสวยงาม
แสดงความรู้สึกชีวิติจิตใจและความเป็ นไทยที่มีความอ่อนโยนละมุนละไมสร้างสรรคส์ ืบต่อกนั มาต้งั แต่
อดีตจนไดล้ กั ษณะประจาชาติ มีลกั ษณะประจาชาติที่มีลกั ษณะและรูปแบบเป็ นพิเศษ นิยมเขียนบนฝา
ผนงั ภายในอาคารท่ีเกี่ยวกบั พทุ ธศาสนาและอาคารที่เก่ียวกบั บุคคลช้นั สูงเช่น โบสถ์ วิหาร พระท่ีนงั่ วงั
บนผนื ผา้ บนกระดาษ และบนส่ิงของเครื่องใชต้ ่าง ๆ โดยเขียนดว้ ยสีฝ่ นุ ตามกรรมวิธีของช่างเขียนไทย
แต่โบราณ เน้ือหาท่ีเขียนมกั เป็นเร่ืองราวเกี่ยวกบั อดีตพทุ ธ พทุ ธประวตั ิ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ วรรณคดี
และชีวติ ไทย พงศาวดารต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมเขียนประดบั ผนงั พระอุโบสถวหิ ารอนั เป็นสถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ
ประกอบพิธีทางศาสนา ลกั ษณะจิตรกรรมไทยแบบประเพณีเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic)ผนวกเขา้
กบั เร่ืองราวที่ก่ึงลึกลบั มหัศจรรย์ ซ่ึงคลา้ ยกบั งานจิตรกรรมในประเทศแถบตะวนั ออกหลาย ๆ ประเทศ
เช่น อินเดีย ศรีลงั กา จีน และญี่ป่ ุน เป็ นตน้ เป็ นภาพที่ระบายสีแบนเรียบดว้ ยสีค่อนขา้ งสดใสและมีการ
ตดั เส้นเป็นภาพ2มิติ ใหค้ วามรู้สึกเพียงดา้ นกวา้ งและยาว ไม่มีความลึก ไม่มีการใชแ้ สงและเงามาประกอบ
จิตรกรรมไทยแบบประเพณีมีลกั ษณะพิเศษในการจดั วางภาพแบบเล่าเร่ืองเป็นตอนๆตามผนงั ช่องหนา้
ต่างโดยรอบโบสถว์ ิหารและผนงั ดา้ นหนา้ และหลงั พระประธานภาพจิตรกรรมไทยมีการใชส้ ีแตกต่างกนั
ออกไปตามยุคสมยั ท้งั เอกรงค์ และพหุรงค์ โดยเฉพาะการใชส้ ีหลายๆสีแบบพหุรงคน์ ิยมมากในสมยั
รัตนโกสินทร์เพราะไดส้ ีจากต่างประเทศที่เขา้ มาติดต่อคา้ ขายดว้ ยทาใหภ้ าพจิตรกรรมไทยมีความสวยงาม
87
และสีสันท่ีหลากหลายมากข้ึนรูปแบบลกั ษณะตวั ภาพในจิตรกรรมไทยซ่ึงจิตรกรไทยได้สร้างสรรค์
ออกแบบไวเ้ ป็นรูปแบบอุดมคติท่ีแสดงออกทางความคิดใหส้ มั พนั ธ์กบั เน้ือเรื่องและความสาคญั ของภาพ
เช่น รูปเทวดา นางฟ้า กษตั ริย์ นางพญา นางรา จะมีลกั ษณะเด่นงามสง่าดว้ ยลีลาอนั ชดชอ้ ยแสดงอารมณ์
ความรู้สึกปิ ติยนิ ดี หรือเศร้าโศกเสียใจดว้ ยอากปั กิริยาท่าทาง ถา้ เป็นรูปยกั ษ์ มาร ก็แสดงออกดว้ ยท่าทาง
ที่บึกบึน แขง็ ขนั ส่วนพวกวานรแสดงความลิงโลด คล่องแคล่วว่องไวดว้ ยลีลาท่วงท่าและหนา้ ตาสาหรับ
พวกชาวบา้ นธรรมดาสามญั ก็จะเน้นความตลกขบขนั สนุกสนานร่าเริงหรือเศร้าเสียใจออกทางใบหน้า
ส่วนชา้ งมา้ เหล่าสตั วท์ ้งั หลายกม็ ีรูปแบบแสดงชีวติ เป็นธรรมชาติซ่ึงจิตรกรไทยไดพ้ ยายามศึกษา ถ่ายทอด
อารมณ์ สอดแทรกความรู้สึกในรูปแบบไดอ้ ย่างลึกซ้ึง เหมาะสม สวยงาม เป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะของชน
ชาติไทยท่ีน่าภาคภูมิใจ สมควรจะไดอ้ นุรักษส์ ืบทอดใหเ้ ป็นมรดกของชาติสืบไป
ภาพที่ 9.1 จิตกรรมไทยประเพณี ภาพจากhttp://www.youtube.com/watch?v=UukBRgq7Mcs
88
ภาพที่ 9.2 จิตกรรมไทยประเพณี ภาพจากhttp://www.youtube.com/watch?v=UukBRgq7Mcs
ภาพที่ 9.3 จิตกรรมไทยประเพณี ภาพจาก thai-finearts.blogspot.com
89
2. จิตรกรรมไทยแบบร่วมสมยั (Thai Contempolary Painting)จิตรกรรมไทยร่วมสมยั เป็นผล
มาจากความเจริญกา้ วหนา้ ทางวิทยาการของโลกความเจริญทางการศึกษา การคมนาคม การพาณิชย์ การ
ปกครอง การรับรู้ข่าวสารความเป็ นไปของโลกท่ีอยู่ห่างไกล ฯลฯ เหล่าน้ีลว้ นมีผลต่อความรู้สึกนึกคิด
และแนวทางการแสดงออกของศิลปิ นในยคุ ต่อๆมาซ่ึงไดพ้ ฒั นาไปตามสภาพแวดลอ้ ม ความเปล่ียนแปลง
ของชีวิตความเป็ นอยู่ความรู้สึกนึกคิดและความนิยมในสังคมสะทอ้ นให้เห็นถึงเอกลกั ษณ์ใหม่ของ
วฒั นธรรมไทยอีกรูปแบบหน่ึงอยา่ งมีคุณค่าเช่นเดียวกนั อน่ึงสาหรับลกั ษณะเกี่ยวกบั จิตรกรรมไทยร่วม
สมยั น้นั ส่วนใหญ่เป็นแนวทางเดียวกนั กบั ลกั ษณะศิลปะแบบตะวนั ตกในลทั ธิต่าง ๆ ตามความนิยมของ
ศิลปิ นแต่ละคน
ภาพท่ี 9.4 จิตกรรมไทยร่วมสมยั ของปัญญา วิจินธนสาร ภาพจาก http://oknation.nationtv.tv
90
ภาพที่ 9.5 จิตกรรมไทยร่วมสมยั ของอาจารยถ์ วลั ย์ ดชั นี ภาพจากclub.sanook.com
ความสาคญั ของจิตรกรรมไทย
จิตรกรรมไทยเป็นแหล่งรวบรวมขอ้ มูลแบบสหวิทยาการ ถือไดว้ า่ เป็นแหล่งขมุ ความรู้โดยเฉพาะ
เร่ืองราวจากอดีตท่ีสาคญั ยงิ่ แสดงให้เห็นถึงความเป็นชนชาติท่ีมีอารยธรรมอนั เก่าแก่ยาวนาน ประโยชน์
ของงานจิตรกรรมไทย นอกจากจะใหค้ วาม สาคญั ในเรื่องคุณค่าของงานศิลปะแลว้ ยงั มีคุณค่าในดา้ นอื่น
ๆ อีกมาก ดงั น้ี
1.คุณค่าในทางประวตั ิศาสตร์
2.คุณคา่ ในทางศิลปะ
3.คุณคา่ ในเร่ืองเช้ือชาติ
4.คุณค่าในทางสถาปัตยกรรม
5.คุณค่าในเชิงสงั คมวิทยา
6.คุณคา่ ในดา้ นโบราณคดี
7.คุณคา่ ในการศึกษาประเพณีและวฒั นธรรม
8.คุณคา่ ในการศึกษาเรื่องทศั นคติคา่ นิยม
9.คุณค่าในการศึกษานิเวศวทิ ยา
10.คุณค่าในการศึกษาเร่ืองราวทางพทุ ธศาสนา
11.คุณคา่ ในทางเศรษฐกิจการท่องเท่ียว
91
ประติมากรรมไทย Thai Sculpture
หมายถึง ผลงานศิลปะท่ีแสดงออกโดยกรรมวิธีการป้ัน การแกะสลกั การหล่อ หรือการประกอบเขา้
เป็นรูปทรง 3 มิติ ซ่ึงมีแบบอยา่ งเป็นของไทยโดยเฉพาะ วสั ดุท่ีใชใ้ นการสร้างมกั จะเป็นดิน ปูน หิน อิฐ
โลหะ ไม้ งาชา้ ง เขาสัตวก์ ระดูก ฯลฯ ผลงานประติมากรรมไทย มีท้งั แบบนูนต่า นูนสูง และลอยตวั
งานประติมากรรมนูนต่าและนูนสูงมกั ทาเป็ นลวดลายประกอบกบั สถาปัตยกรรม เช่นลวดลายปูนป้ัน
ลวดลายแกะสลกั ประดบั ตามอาคารบา้ นเรือนโบสถว์ ิหาร พระราชวงั นอกจาก น้ียงั อาจเป็ นลวดลายตก
แต่งงานประติมากรรม แบบลอยตวั ดว้ ย สาหรับงานประติมากรรมแบบลอยตวั มกั ทาเป็ นพระพุทธรูป
เทวรูป รูปเคารพต่างๆ ตุก๊ ตา ภาชนะดินเผา ตลอดจนถึงเครื่องใชต้ ่าง ๆ ซ่ึงมีลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ออกไป
ตามสกุลช่างของแต่ละทอ้ งถิ่น หรือแตกต่างกนั ไป ตามคตินิยมในแต่ละยุคสมยั โดยทว่ั ไปแลว้ เรามกั
ศึกษาลกั ษณะของสกุลช่างท่ีเป็นรูปแบบของศิลปะสมยั ต่างๆในประเทศไทยจากลกั ษณะของพระพทุ ธรูป
เน่ืองจากเป็นงานที่มีววิ ฒั นาการมาอยา่ งต่อเนื่องยาวนานจดั สร้างอยา่ งปราณีตบรรจงผสู้ ร้างมกั เป็นช่าง
ฝี มือท่ีเชี่ยวชาญที่สุดในทอ้ งถิ่นหรือยคุ สมยั น้นั และเป็นประติมากรรมท่ีมีวิธีการจดั สร้างอยา่ งศกั ด์ิเป่ี ยม
ศรัทธา ลกั ษณะของประติมากรรมของไทยในสมยั ต่าง ๆ สามารถลาดบั ไดด้ งั น้ี
ศิลปะทวารวดี พทุ ธศตวรรษที่ 11-16
ศูนยก์ ลางของอาณาจกั รทวาราวดีของชนชาติมอญละวา้ อยแู่ ถบนครปฐม ราชบุรีอู่ทอง และกิน
พ้ืนท่ีไปจนถึงภาคตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือแถบบุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และข้ึนมาทางเหนือ
แถบลาพนู ลกั ษณะสาคญั ของพระพทุ ธรูปสมยั ทวาราวดี คือพระเกตุมาลาเป็นต่อมนูน และส้ัน พระพกั ตร์
แบนกวา้ ง พระหนุป้าน พระนาฏแคบ พระนาสิกป้านใหญ่พระโอษฐห์ นา พระหตั ถแ์ ละพระบาทใหญ่
ศิลปะศรีวชิ ยั พทุ ธศตวรรษท่ี 13 - 18
อาณาจกั รศรีวิชยั อยทู่ างภาคใตม้ ีศูนยก์ ลางอยทู่ ี่ชวาภาคกลาง และมีอาณาเขตมาถึงทางภาคใตข้ อง
ไทย มีการขดุ คน้ พบโบราณวตั ถุ สมยั ศรีวิชยั อยมุ่ ากมายทว่ั ไปโดยเฉพาะที่เมืองไชยา จ.สุราษฎร์ธานี นิยม
สร้างรูปพระโพธิสัตวม์ ากกว่าพระพุทธรูปเนื่องจากสร้างตามลทั ธิมหายานพระพุทธรูปสมยั ศรีวิชยั มี
ลกั ษณะสาคญั คือพระวรกายอวบอว้ นไดส้ ่วนสดั พระโอษฐเ์ ลก็ ไดส้ ดั ส่วน พระพกั ตร์คลา้ ยพระพุทธรูป
เชียงแสน
92
ภาพท่ี 9.6 แผน่ หินสลกั รองรับธรรมจกั ร อยทู่ ี่พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์
ศิลปะทวารวดี ภาพจากhttps://www.scribd.com
ภาพที่ 9.7 พระโพธิสตั วอ์ วโลกิเตศวร พระโพธิสตั วใ์ นพทุ ธศาสนา ศิลปะศรีวชิ ยั
ภาพจาก http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.oknation.net/blog/home/...
93
ศิลปะลพบุรี พทุ ธศตวรรษท่ี 16 - 18
ศิลปะลพบุรีพบที่ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ตลอดจนในประเทศ
กมั พชู า ซ่ึงเป็นของชนชาติขอม แต่เดิมเป็นศิลปะขอม แต่เมื่อชนชาติไทยเขา้ มาครอบดินแดนแถบน้ี และ
มีการผสมผสานศิลปะขอมกบั ศิลปะไทย จึงเรียกว่า ศิลปะลพบุรีลกั ษณะท่ีสาคญั ของพระพุทธรูปแบบ
ลพบุรีคือ พระพกั ตร์น้นั ออกเป็นรูปส่ีเหล่ียม มีพระเนตรโปน พระโอษฐแ์ บะกวา้ ง พระเกตุมาลาทาเป็น
ต่อมพูน บางองคเ์ ป็ นแบบฝาชีครอบ พระนาสิกใหญ่ พระขนงต่อกนั เป็ นรูปปี กกา พระกรรณยาวยอ้ ยลง
มาและมีกณุ ฑลประดบั ดว้ ยเสมอ
ภาพท่ี 9.8 ทบั หลงั ประติมากรรมสมยั ลพบุรีแกะสลกั ดว้ ยหิน เป็นส่วนหน่ึงของสถาปัตยกรรม
ลพบุรี ภาพจากhttp://dsk2013.blogspot.com
ศิลปะลา้ นนา พทุ ธศตวรรษท่ี 16 – 21
ศิลปะลา้ นนา หรือศิลปะเชียงแสนอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยและมีลกั ษณะเก่าแก่มาก
คาดวา่ มีการสืบทอดต่อเน่ืองของศิลปะทวาราวดีและลพบุรีในดินแดนแถบน้ีมาต้งั แต่สมยั หริภุญชยั ศูนย์
กลางของศิลปะลา้ นนาเดิมอยทู่ ่ีเชียงแสนเรียกวา่ อาณาจกั รโยนก ต่อมาเมื่อพญามงั รายไดย้ า้ ยมาสร้างเมือง
เชียงใหม่ศูนยก์ ลางของของอาณาจกั รลา้ นนากอ็ ยทู่ ่ีเมืองเชียงใหม่สืบต่อมาอีกเป็นเวลานานลกั ษณะสาคญั
ของพระพุทธรูปศิลปะลา้ นนาซ่ึงมกั เรียกวา่ แบบเชียงแสน คือพระวรกายอวบอูมพระพกั ตร์อิ่มยมิ้ สารวม
กระเกตุมาลาเป็ นรูปต่อมกลม และดอกบวั ตูม ไม่มีไรพระศกพระศกเป็ นแบบกน้ หอย พระขนงโก่งรับ
พระนาสิกงุม้ เลก็ นอ้ ยชายสงั ฆาฏิส้นั เหนือพระถนั พระอุระนูนดงั ราชสีห์ท่าขดั สมาธิเพชรศิลปะสุโขทยั
94
ภาพที่ 9.9 พระพทุ ธสิหิงค์ วหิ ารลายคา วดั พระสิงห์ เมืองเชียงใหม่ ศิลปะลา้ นนา
ภาพจากhttps://www.silpa-mag.com
ศิลปะ สุโขทยั พทุ ธศตวรรษที่ 17 – 20
อาณาจกั รสุโขทยั นบั เป็นอาณาจกั รแรกของคนไทย ศิลปะสุโขทยั จึงนบั เป็ นสกุลศิลปะแบบแรกของ
ชนชาติไทยที่ผา่ นการคิดคน้ สร้างสรรคค์ ลี่คลายสงั เคราะห์ บนแผน่ ดินท่ีเป็นปึ กแผน่ มนั่ คง จนไดร้ ูปแบบ
ที่งดงามพระพทุ ธรูปสุโขทยั ถือวา่ มีความงามตามอุดมคติไทยอยา่ งแทจ้ ริง ลกั ษณะสาคญั ของพระพทุ ธรูป
สุโขทยั คือ พระวรกายโปร่ง เสน้ รอบนอกโคง้ งามไดจ้ งั หวะ พระพกั ตร์รูปไข่ยาวสมส่วน ยมิ้ พองาม
พระขนงโก่ง รับกบั พระนาสิกที่งุม้ เลก็ นอ้ ย พระโอษฐแ์ ยม้ อิ่ม ดูสารวม มีเมตตา พระเกตุมาลารูปเปลว
เพลิง พระสงั ฆาฏิยาวจรดพระนาภี พระศกแบบกน้ หอยไม่มีไร พระศก พระพทุ ธรูปศิลปะสุโขทยั มีความ
งดงามมาก ท่ีมีช่ือเสียงมากไดแ้ ก่พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศาสดา พระพุทธไตรรัตนายก
และพระพทุ ธรูปปางลีลา นอกจากพระพุทธรูปแลว้ ในสมยั สุโขทยั ยงั มีงานประติมากรรมท่ีมีช่ือเสียงอีก
อยา่ งหน่ึงคือเคร่ืองสังคโลก ซ่ึงเป็ นเคร่ืองป้ันดินเผาสมยั สุโขทยั ที่มีลกั ษณะเฉพาะ มีชื่อเสียงไปทวั่ โลก
เครื่องป้ันดินเผาสังคโลก เป็ นเครื่องป้ันดินเผาเคลือบ สีเขียวไข่กา สีน้าตาล สีใส เขียนทบั ลายเขียนรูป
95
ต่างๆ มีผิวเคลือบแตกราน สังคโลกเป็ นสินคา้ ออกที่สาคญั ของอาณาจกั รสุโขทยั ท่ีส่งไปจาหน่ายนอก
อาณาเขต จนถึงฟิ ลิปปิ นส์ อินโดนีเซีย และญ่ีป่ ุน
ภาพท่ี 9.10 พระพทุ ธรูปวดั ศรีชุม หมวดใหญ่ ศิลปะสุโขทยั
ภาพจาก http://www.palungdham.com/t256.html
ศิลปะอู่ทอง พทุ ธศตวรรษท่ี 17 – 20
อาณาจกั รอู่ทอง เป็นอาณาจกั รเก่าแก่ก่อนอาณาจกั รอยธุ ยา ซ่ึงมีความสัมพนั ธ์กบั อาณาจกั รต่าง
ไดแ้ ก่ ทวารวดี ศรีวิชยั ลพบุรี รวมท้งั สุโขทยั ดงั น้ันรูปแบบศิลปะจึงไดร้ ับอิทธิพลของสกุลช่างต่างๆ
ดงั ท่ีกล่าวมาแลว้ ลกั ษณะสาคญั ของพระพุทธรูปอู่ทอง คือ พระวรกายดูสง่า พระพกั ตร์ขรึม ดูเป็ นรูป
เหล่ียมคิว้ ต่อกนั ไม่โก่งอยา่ งสุโขทยั หรือเชียงแสนพระศกนิยมทาเป็นแบบหนามขนุนมีไรพระศก สังฆาฏิ
ยาวจรดพระนาภี ปลายตดั ตรง พระเกตุมาลาทาเป็นทรงแบบฝาชี รับอิทธิพลศิลปะลพบุรี แต่ยคุ ต่อมาเป็น
แบบเปลวเพลิงตามแบบศิลปะสุโขทยั
ศิลปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษท่ี 19 – 24
อาณาจกั รอยุธยา เป็ นอาณาจกั รที่ยิ่งใหญ่และมีอายุยาวนานถึง 417 ปี ต้งั แต่ พ.ศ. 1893 - 2310
ศิลปะอยุธยาท่ีเจริญรุ่งเรืองมีหลายแขนง ไดแ้ ก่ การประดบั มุก การเขียนลายรดน้า ลวดลายปูนป้ัน การ
96
แกะสลกั ไม้ และ เคร่ืองป้ันดินเผาลายเบญจรงค์ ฯลฯศิลปะการสร้างพระพุทธรูปในสมยั อยุธยาไม่ค่อย
รุ่งเรืองนกั ไม่มีลกั ษณะเฉพาะที่เด่นชดั ลกั ษณะทว่ั ไปจะเป็นการผสมผสานศิลปะแบบอื่น ๆมีพระวรกาย
คลา้ ยกบั พระพทุ ธรูปอู่ทองพระพกั ตร์ยาวแบบสุโขทยั พระเกตุมาลาเป็นหยกั แหลมสูงรูปเปลวเพลิง พระ
ขนงโก่งแบบสุโขทยั สังฆาฏิใหญ่ปลายตดั ตรงหรือสองแฉกแต่ไม่เป็ นเข้ียวตะขาบแบบเชียงแสนหรือ
สุโขทยั ตอนหลงั นิยมสร้างพระพทุ ธรูปทรงเครื่องแบบกษตั ราชาธิราช
ภาพที่ 9.11 พระพทุ ธรูปสาริดปางมารวชิ ยั ศิลปะสมยั อู่ทอง ภาพจากhttp://outong.blogspot.com
97
ภาพที่ 9.12 พระพทุ ธนิมิตฯ พระพทุ ธรูปทรงเครื่องใหญ่ ศิลปะอยธุ ยา
ภาพจากhttp://images.palungjit.org
ศิลปะรัตนโกสินทร์พทุ ธศตวรรษท่ี 25 – ปัจจุบนั
ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนตน้ เป็นการสืบทอดมาจากสกุลช่างอยธุ ยา ไม่วา่ จะเป็นการเขียนลายรด
น้า ลวดลายปูนป้ัน การแกะสลกั ไม้ เครื่องเงิน เครื่องทอง การสร้างพระพุทธรูป ลว้ นแต่สืบทอดความ
งามและวธิ ีการของศิลปะอยธุ ยาท้งั สิ้นต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี4มีการติดต่อกบั ชาวต่างชาติมากข้ึนโดย
เฉพาะชาติตะวนั ตก ทาให้ลกั ษณะศิลปะตะวนั ตกหลง่ั ไหลเขา้ สู่ประเทศไทยและมีอิทธิพลต่อศิลปะไทย
ในสมยั ต่อมา หลงั จากการเสด็จประพาสยุโรปท้งั 2 คร้ังของ พระเจา้ อยู่หัวรัชกาลท่ี 5 ไดม้ ีการนาเอา
แบบอยา่ งของศิลปะตะวนั ตกเขา้ มาผสมผสานกบั ศิลปะไทย ทาให้ศิลปะไทยแบบประเพณี ซ่ึงเป็ นแบบ
ด้งั เดิม มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็ นศิลปะไทยแบบร่วมสมยั ในท่ีสุดลกั ษณะของพระพุทธรูปเน้น
ความเหมือนจริงมากข้ึน เช่น พระศรีศากยทศพลญา ฯ พระประธานพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม เป็น
พระพุทธรูปปางลีลาโดยการผสมผสานความงามแบบสุโขทยั เขา้ กบั ความเหมือนจริง เกิดเป็ นศิลปะการ
สร้างพระพทุ ธรูปในสมยั รัตนโกสินทร์
98
ภาพท่ี 9.13 พระสยามเทวาธิราชประดิษฐานอยใู่ นพระพมิ าน ภายในพระท่ีนงั่ ไพศาลทกั ษิณ
พระบรมมหาราชวงั ภาพจากbloggang.com
สถาปัตยกรรมไทย Thai Architecture
สถาปัตยกรรมไทยหมายถึงศิลปะการก่อสร้างของไทย อนั ไดแ้ ก่อาคาร บา้ นเรือน โบสถ์ วิหาร
วงั สถูป และสิ่งก่อสร้างอ่ืนๆท่ีมีมูลเหตุท่ีมาของการก่อสร้าง การก่อสร้างอาคารบา้ นเรือนในแต่ละ
ทอ้ งถิ่น จะมีลกั ษณะผดิ แผกแตกต่างกนั ไปบา้ งตามสภาพทางภูมิศาสตร์และคตินิยมของแต่ละทอ้ งถิ่นแต่
สิ่งก่อสร้างทางศาสนาพุทธมกั จะมีลกั ษณะท่ีไม่แตกต่างกนั มากนัก เพราะมีความเช่ือความศรัทธาและ
แบบแผนพิธีกรรมท่ีเหมือน ๆ กัน สถาปัตยกรรมท่ีมกั นิยมนามาเป็ นขอ้ ศึกษา มกั เป็ น สถูป เจดีย์
โบสถ์ วิหาร หรือพระราชวงั เนื่องจากเป็ นส่ิงก่อสร้างท่ีคงทน มีการพฒั นารูปแบบมาอย่างต่อเน่ือง
ยาวนาน และได้รับการสรรค์สร้างจากช่างฝี มือท่ีเชี่ยวชาญ พร้อมท้งั มีความเป็ นมาที่สาคญั ควรแก่
การศึกษาอีกประการหน่ึงก็คือ สิ่งก่อสร้างเหล่าน้ี ลว้ นมีความทนทาน มีอายยุ าวนานปรากฏเป็นอนุสรณ์
ใหเ้ ราไดศ้ ึกษาเป็นอยา่ งดี สถาปัตยกรรมไทย สามารถจดั หมวดหมู่ตามลกั ษณะการใชง้ านได้ 2 ประเภท
คือ
1.สถาปัตยกรรมท่ีใชเ้ ป็ นที่อยอู่ าศยั ไดแ้ ก่ บา้ นเรือน ตาหนกั วงั และพระราชวงั เป็นตน้ บา้ นหรือ
เรือนเป็ นที่อยู่อาศยั ของสามญั ชนธรรมดาทวั่ ไปซ่ึงมีท้งั เรือนไมแ้ ละเรือนปูน เรือนไมม้ ีอยู่ 2 ชนิด คือ
99
เรือนเครื่องผกู เป็นเรือนไมไ้ ผ่ ปูดว้ ยฟากไมไ้ ผ่ หลงั คามุงดว้ ยใบจาก หญา้ คาหรือใบไม้ อีกอยา่ งหน่ึง
เรียกวา่ เรือนเคร่ืองสบั เป็นไมจ้ ริงท้งั เน้ืออ่อนและเน้ือแขง็ ตามแต่ละทอ้ งถิ่น หลงั คามุงดว้ ยกระเบ้ืองดิน
เผา พ้ืนและฝาเป็นไมจ้ ริงท้งั หมด ลกั ษณะเรือน
ไมข้ องไทยในแต่ละทอ้ งถิ่นแตกต่างกนั และโดยทว่ั ไปแลว้ จะมีลกั ษณะสาคญั ร่วมกนั คือ เป็นเรือนไม้
ช้นั เดียว ใตถ้ ุนสูง หลงั คาทรงจวั่ เอียงลาดชนั ตาหนกั และวงั เป็ นเรือนที่อยขู่ องชนช้นั สูง พระราชวงศ์
หรือ ใชเ้ รียกที่ประทบั ช้นั รองของพระมหากษตั ริย์ สาหรับระราชวงั เป็ นท่ีประทบั ของพระมหากษตั ิรย์
พระท่ีนงั่ เป็นอาคารที่มีทอ้ งพระโรงซ่ึงมีท่ีประทบั สาหรับออกวา่ ราชการหรือกิจการอ่ืน
2. สถาปัตยกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งศาสนา ซ่ึงส่วนใหญ่อยใู่ นบิรเวณสงฆ์ ท่ีเรียกวา่ วดั ซ่ึงประกอบไปดว้ ย
สถาปัตยกรรมหลายอยา่ งไดแ้ ก่โบสถเ์ ป็นที่กระทาสงั ฆกรรมของพระภิกษุวหิ ารใชป้ ระดิษฐานพระพทุ ธ
รูปสาคญั และกระทาสงั ฆกรรมดว้ ยเหมือนกนั กุฎิ เป็ นที่อยขู่ องพระภิกษุ สามเณร หอไตร เป็ นที่เก็บ
รักษาพระไตรปิ ฎกและคมั ภีร์สาคญั ทางศาสนา หอระฆงั และหอกลอง เป็นที่ใชเ้ กบ็ ระฆงั หรือกลองเพื่อตี
บอกโมงยามหรือเรียกชุมนุมชาวบา้ น สถูป เป็นที่ฝังศพ เจดีย์ เป็นท่ีระลึกอนั เก่ียวเน่ืองกบั ศาสนา ซ่ึงแบ่ง
ได4้ ประเภท คือ
1.ธาตุเจดีย์ หมายถึงพระบรมธาตุและเจดียท์ ่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจา้
2. ธรรมเจดีย์ หมายถึง พระธรรม พระวนิ ยั คาสงั่ สอนทุกอยา่ งของพระพทุ ธเจา้
3. บริโภคเจดีย์ หมายถึง สิ่งของเคร่ืองใชข้ องพระพุทธเจา้ หรือของพระภิกษุสงฆไ์ ดแ้ ก่ เครื่องอฐั บริขาร
ท้งั หลาย
4. อุเทสิกเจดีย์ หมายถึง ส่ิงท่ีสร้างข้ึน เพ่ือเป็นท่ีระลึกถึงองคพ์ ระพทุ ธเจา้ เช่น สถูปเจดีย์ ณ สถานท่ีทรง
ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพาน และรวมถึงสัญลกั ษณ์อยา่ งอื่น เช่น พระพทุ ธรูป ธรรมจกั ร
ตน้ โพธ์ิ เป็นตน้
100