The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sukanya Thabkasem, 2023-03-03 02:51:06

การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจำปูน เทศบ้านเกาะ

การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว

การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวเหนียวของ นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ้งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จัดท าโดย นางสาวฐาปนี มีรินทร์ นางสาวณัฏฐณิชา ทองเพิ่ม นางสาวปิยวรรณ จันทร์ทิม นางสาวสุกัญญา ทับเกษม รายงานโครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวเหนียวของ นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ้งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวฐาปนี มีรินทร์ นางสาวณัฏฐณิชา ทองเพิ่ม นางสาวปิยวรรณ จันทร์ทิม นางสาวสุกัญญา ทับเกษม โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


กิตติกรรมประกาศ การศึกษาโครงงานการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาว จ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ส าเร็จได้โดยความกรุณา จากครูเบญจพร อ่ าแจ้ง ซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาในการท าโครงงานวิชาชีพ สาขาวิชาการบัญชีวิทยาลัย อาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ ที่ได้กรุณาให้ความรู้ ค าปรึกษา ค าแนะน าการจัดท า และให้แนวคิดที่ชัดเจน ในการศึกษา ให้ความกรุณาสละเวลาในการตรวจสอบแก้ไขโครงงานจนส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี คณะผู้ศึกษาขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ เจ้าของไร่ข้าวโพดข้าวเหนียว บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ต้นทุนและผลตอบแทนการ ปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือด้านข้อมูล เพื่อน ามาใช้ในการด าเนินโครงงาน หากคุณความดีและประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการด าเนินโครงงานในครั้งนี้ คณะผู้ศึกษา ขอมอบให้ผู้มีพระคุณทุกท่านดังกล่าวไว้นี้ คณะผู้ศึกษา


ชื่อ : นางสาวฐาปนี มีรินทร์ : นางสาวณัฏฐณิชา ทองเพิ่ม : นางสาวปิยวรรณ จันทร์ทิม : นางสาวสุกัญญา ทับเกษม ชื่อโครงงาน : การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของ นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ สาขาวิชา : การบัญชี ที่ปรึกษาโครงงาน : ครูเบญจพร อ่ าแจ้ง ปีการศึกษา : 2565 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของ นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 2) เพื่อศึกษา ต้นทุนและผลตอบแทน การปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ประชากรเป้าหมาย ได้แก่ นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์มีโครงสร้างที่ได้ออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับ วัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยใช้วิธีการวิเคราะห์สถิติ ร้อยละ วิเคราะห์ต้นทุน วัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการผลิต ยอดขายสุทธิและอัตราก าไรขั้นต้น จากการศึกษา พบว่า การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของ นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ มีข้อมูลเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มแรก ประกอบไปด้วยที่ดิน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรเท่ากับ 157,923 บาท มีค่าเสื่อมราคาต่อปีอยู่ที่ 1,337 บาท วัตถุดิบทางตรงต่อ 1 ไร่ เท่ากับ 870 บาท ร้อยละ 6.87 ค่าแรงงานทางตรงต่อ 1 ไร่ เท่ากับ 3,494.18 บาท ร้อยละ 27.58 ค่าใช้จ่ายในการผลิต ต่อ 1 ไร่ เท่ากับ 8,307.18 บาท ร้อยละ 65.66 ผลตอบแทนที่ได้จากการจ าหน่ายข้าวโพดข้าวเหนียว ต่อ 1 ไร่ เท่ากับ 20,250 บาท ซึ่งมีก าไรขั้นต้น ต่อ 1 ไร่ 7,578.64 บาท อัตราก าไรขั้นต้นร้อยละ 37.43


สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง สารบัญภาพ จ บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของป ญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 2 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 2 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงงาน 2 1.5 นิยามศัพท์เ พาะ 3 บทที่ 2 แนวคิด ท ษ ี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข้าวโพด 4 2.2 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข้าวโพดข้าวเหนียว 30 2.3 วิธีการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 31 2.4 ท ษ ีต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน 35 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 40 บทที่ 3 วิธีด าเนินโครงงาน 3.1 ขั้นตอนการด าเนินโครงงาน 42 3.2 ก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 44 3.3 ออกแบบและสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการด าเนินโครงงาน 45 3.4 ด าเนินการและเก็บรวบรวมข้อมูล 48 3.5 วิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 48 บทที่ 4 ผลของการวิจัย 4.1 ผลการศึกษาข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 49 4.2 ผลการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 52 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 59 5.2 อภิปรายผล 59 5.3 ข้อเสนอแนะ 60


สารบัญ ( ต่อ ) หน้า บรรณานุกรม 61 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาพถ่ายการด าเนินโครงงาน 63 ภาคผนวก ข แบบเสนอโครงงาน 68 ภาคผนวก ค แบบสัมภาษณ์ 95 ภาคผนวก ง ประวัติผู้ท าการศึกษาโครงงาน 98


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4-1 แสดงต้นทุนเริ่มแรกในส่วนสินทรัพย์ 50 4-2 แสดงการแบ่งประเภทต้นทุน 52 4-3 แสดงต้นทุนวัตถุดิบในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 53 4-4 แสดงรายละเอียดค่าแรงงานทางตรงในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวพื้นที่ 1 ไร่ ตั้งแต่เดือน พ ศจิกายน 2565 ถึง มกราคม 2566 53 4-5 แสดงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการผลิตในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวพื้นที่ 1 ไร่ ตั้งแต่เดือน พ ศจิกายน 2565 ถึง มกราคม 2566 54 4-6 แสดงต้นทุนในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 54 4-7 แสดงต้นทุนการผลิตในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวพื้นที่ 1 ไร่ ตั้งแต่เดือน พ ศจิกายน 2565 ถึง มกราคม 2566 55 4-8 แสดงรายได้จากการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 55 4-9 แสดงอัตราก าไรขั้นต้นจากการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 56 4-10 แสดงการเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 57 4-11 แสดงอัตราก าไรขั้นต้น จากการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 57 4-12 ตารางแสดงการเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 58


สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2-1 แผนที่แสดงแหล่งผลิตข้าวโพดในประเทศไทย 7 2-2 ลักษณะรากของข้าวโพด 8 2-3 ลักษณะล าต้นของข้าวโพด 9 2-4 ลักษณะใบของข้าวโพด 9 2-5 ลักษณะผลและเมล็ดของข้าวโพด 10 2-6 ลักษณะของข้าวโพดป่า (Pod corn) 11 2-7 ลักษณะของข้าวโพดคั่ว (Pop corn) 11 2-8 ลักษณะของข้าวโพดหัวแข็ง (Flint corn) 12 2-9 ลักษณะของข้าวโพดหัวบุบ (Dent corn) 12 2-10 ลักษณะของข้าวโพดแป้ง (Flour corn) 13 2-11 ลักษณะของข้าวโพดหวาน (Sweet corn) 13 2-12 ลักษณะของข้าวโพดข้าวเหนียว 14 2-13 ลักษณะของข้าวโพดที่ใช้ฝ กส าหรับประดับ 16 2-14 ข้าวโพดฝ กอ่อน 16 2-15 ข้าวโพดฝ กสด 17 2-16 ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวโพด 18 2-17 ตารางคุณค่าทางโภชนาการของข้าวโพดหวาน หนัก 100 กรัม 19 2-18 ข้าวโพดใช้เป็นอาหารมนุษย์ 20 2-19 ข้าวโพดใช้เป็นอาหารสัตว์ 20 2-20 ข้าวโพดใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ 21 2-21 โรคราน้ าค้าง 25 2-22 โรคเชื้อราในต้นข้าวโพด 26 2-23 โรคใบไหม้แผลเล็ก 27 2-24 โรคใบไหม้แผลใหญ่ 28 3-1 แสดงขั้นตอนการด าเนินโครงงาน 34 4-1 แสดงการสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน 51 เทศบ้านเกาะ 4-2 แสดงการลงพื้นที่สัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน 51 เทศบ้านเกาะ


บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่มีความส าคัญเป็นอันดับสามของโลก รองมาจากข้าวสาลี และข้าว สามารถปลูกได้ทั่วไปในเขตภูมิอากาศอบอุ่น เขตกึ่งร้อนชื้น และพื้นที่ราบเขตร้อน (คณาจารย์ภาควิชา พืชไร่นา, 2547) โดยแหล่งปลูกมักกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก จีน รวมทั้งในทวีปแอฟริกาใต้ ส าหรับประเทศไทยข้าวโพดถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญ เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกครอบคลุมอยู่ทั่วทุกภาค ท าให้สามารถสร้างรายได้เป็นจ านวนมากให้กับ ประเทศ ข้าวโพดที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ข้าวโพดฝ กสด และข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ โดยข้าวโพดฝ กสดปลูกเพื่อใช้ส าหรับบริโภคเป็นอาหาร และส่งออก เนื่องจากผู้บริโภคนิยม รับประทาน และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่มีความส าคัญต่ออุตสาหกรรม อาหารสัตว์ ปลูกเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์(โชคชัย และเกตุอร, 2561) ซึ่งข้าวโพดข้าว เหนียวเป็นข้าวโพดที่รับประทานฝ กสด และมีการใช้ประโยชน์จากแป้ง ในประเทศไทย มีการเพาะปลูกในหลายพื้นที่ทั่วทั้ง 4 ภาค เช่น ภาคเหนือ จังหวัดตาก ล าพูน เชียงใหม่และ อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่าง พื้นที่บางส่วนเป็นที่ราบลุ่มมีแม่น้ าน่านไหล ผ่าน เหมาะกับการท าเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่ในอ าเภอน้ าปาด ทองแสนขัน บ้านโคก พิชัย เมืองอุตรดิตถ์ ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ซึ่งในพื้นที่บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์(ส านักงานเกษตรอุตรดิตถ์, 2562 ) มีการเพาะปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกข้าวนาปี มันส าปะหลัง ภายหลัง ดูเก็บเกี่ยวเกษตรกรจะปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว เพื่อความหลากหลายทาง ชีวภาพในดิน และระบบนิเวศต่าง ๆ เข้าสู่ความสมดุลและสมบูรณ์แบบอีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้เสริม ให้เกษตรกร ( ส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร,2561 ) ซึ่งนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ เป็น ประชากรในพื้นที่บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ประกอบอาชีพด้าน การเกษตรปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวเพื่อจ าหน่ายหลัง ดูท านา จ านวน 1 ไร่ คณะผู้ศึกษาได้สอบถาม ข้อมูลแล้วทราบว่า นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในการคิดต้นทุนและ ผลตอบแทนท าให้ไม่ทราบต้นทุนและผลตอบแทนในการปลูกข้าวโพดข้าวที่แท้จริงในแต่ละ ดูกาล จากเหตุผลดังกล่าว คณะผู้ศึกษาจึงมีความสนใจที่จะศึกษาตุ้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพด ข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้วต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อศึกษา ตุ้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ท าให้เกษตรกรทราบถึงต้นทุนและผลตอบแทนในการปลูก


ข้าวโพดข้าวเหนียวแต่ละครั้ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ที่มีความสนใจในการปลูก ข้าวโพดข้าวเหนียวต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1.2.1 เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 1.2.2 เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 1.3.2 ขอบเขตด้านประชากร เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว นางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 1.3.3 ขอบเขตด้านระยะเวลา ระยะเวลาในการด าเนินงาน ตั้งแต่เดือน พ ศจิกายน 2565 ถึงเดือน มกราคม 2566 1.3.4 ขอบเขตด้านสถานที่ 1.3.4.1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ เลขที่ 9 ถนนแปดวา ต าบลท่าอิฐ อ าเภอเมือง จังหวัด อุตรดิตถ์ 1.3.4.2 บ้านเลขที่ 128 หมู่ที่ 1 บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัด อุตรดิตถ์ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการโครงงาน 1.4.1 ทราบวิธีการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 1.4.2 ทราบปริมาณผลผลิตและปริมาณการจ าหน่ายในแต่ละ ดูกาล 1.4.3 น าความรู้ทางวิชาชีพบัญชีมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ ต้นทุน (Cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการลงทุน การด าเนินกิจการ เช่น ค่าใช้จ่ายในการ ซื้อวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการผลิต ค่ายา ค่าปุ๋ย ผลตอบแทน คือ รายได้สุทธิหรือผลก าไรจากการขายสินค้าหลังจากห ักค่าใช้จ่ายทั้งหมด


บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การจัดท าโครงงานเรื่องการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน เทศบ้าน เกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 2. เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทน การปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัด อุตรดิตถ์คณะผู้ศึกษาโครงงานได้ศึกษาแนวคิด ท ษ ี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งหัวข้อ ดังนี้ 2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข้าวโพด 2.2 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข้าวโพดข้าวเหนียว 2.3 วิธีการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว 2.4 ท ษ ีต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข้าวโพด (คณาจารย์ภาควิชาพืชไร่นา, 2547) กล่าวว่า ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่มีความส าคัญเป็นอันดับ สามของโลกรองมาจากข้าวสาลี และข้าว สามารถปลูก ได้ทั่วไปในเขตภูมิอากาศอบอุ่น เขตกึ่งร้อนชื้น และพื้นที่ราบเขตร้อน (โชคชัย และเกตุอร, 2561) กล่าวว่า โดยแหล่งปลูกมักกระจายอยู่ตามภูมิภาค ต่าง ๆ ของโลก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก จีน รวมทั้งในทวีปแอฟริกาใต้ ส าหรับ ประเทศไทยข้าวโพดถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ส าคัญเนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกครอบคลุม อยู่ทั่วทุกภาค ท าให้สามารถสร้างรายได้เป็นจ านวนมากให้กับประเทศ ข้าวโพดที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ข้าวโพดฝ กสด และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยข้าวโพดฝ กสดปลูกเพื่อใช้บริโภคเป็นอาหารและส่งออก เนื่องจากผู้บริโภคนิยมรับประทานและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่มีความส าคัญต่อ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปลูกเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจังหวัดที่ เป็นแหล่งปลูกข้าวโพดที่ ส าคัญของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี และ นครสวรรค์ ประโยชน์ของข้าวโพดมีมากมายนอกจากใช้เป็นอาหารโดยตรงของมนุษย์ และสัตว์แล้ว ยังสามารถ นํามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากข้าวโพดได้ หลายชนิด ทั้งในระดับครัวเรือนและในระดับอุตสาหกรรม เพื่อช่วยถนอม อาหารเพิ่มความหลากหลายให้กบผลิตภัณฑ์ ทําให้สินค้าเป็นที่ต้องการของ


ผู้บริโภคทั้งในประเทศและ ต่างประเทศเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรส่งเสริมการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสามารถลดป ญหาขยะจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทาง การเกษตรได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 2 . 1 . 1 ถิ่น ก า เนิ ด แ ล ะ ก า ร แพ ร่ ก ร ะ จ า ย ข อง ข้ า วโพ ด ( ส ถ า บั น วิ จั ย แ ล ะ พัฒ น า แห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , 2560 ) กล่าวว่า นักภูมิศาสตร์และนักโบราณคดีหลายท่านสันนิษฐานว่า มนุษย์รู้จักปลูกข้าวโพดกันมานานกว่า 4,500 ปี ซึ่งจากการศึกษาข้อสันนิษฐานต่าง ๆ พบว่าข้าวโพด อาจมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ 2 แหล่ง โดยอาศัยหลักฐานของการเพาะปลูก คือ 1) พื้นที่แถบที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศเปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ ชิลี อาร์เจนตินา และ บราซิล ในทวีป่พบข้าวโพดบางชนิดมีลักษณะคล้ายข้าวโพดป่าที่ขึ้นอยู่ในแถบนั้นด้วย 2) พื้นที่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาแถบอเมริกากลาง ประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา โคลัมโบ และเวเนซูเอลา เนื่องจากมีหญ้าพื้นเมืองของบริเวณนี้ 2 ชนิด คือ หญ้าทริพซาคัม (Trip sacum) และหญ้าทิโอซินเท (Teosinte) ซึ่งมีลักษณะทางพ กษศาสตร์หลายประการคล้ายคลึงกับข้าวโพด อีกทั้งนักโบราณคดีได้ขุดพบซากซังของข้าวโพดปนอยูกับซากของโบราณวัตถุต่าง ๆ ซึ่งฝ งอยู่ใต้ดินลึก ถึง 28 เมตร ภายในถ้ าและสุสานหลายแห่งบริเวณเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก จากการพิสูจน์ตาม หลักวิทยาศาสตร์ท าให้ทราบว่า ซากสิ่งของเหล่านี้มีอายุนานกว่า 4,000 ปี ซึ่งแสดงว่ามีข้าวโพดปลูก อยู่ในแถบนี้เป็นเวลานานนับพันปีมาแล้ว อีกทั้งยังมีบางท่านสันนิษฐานว่า ข้าวโพดอาจมีถิ่นฐาน ดั้งเดิมอยู่ในเอเชีย เนื่องจากพืชพื้นเมืองหลายชนิดในแถบนี้มีลักษณะทางพ กษศาสตร์คล้ายกับ ข้าวโพด เช่น ลูกเดือย และอ้อน ้า อย่างไรก็ตามรายละเอียดเหล่านี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เพราะ ป จจุบันยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับถิ่นฐานดั้งเดิมของข้าวโพด นอกจากนี้นักพ กษศาสตร์และ นักพันธุศาสตร์ได้ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกบพืชดั้งเดิมของข้าวโพดไว้หลากหลาย โดยบางท่านเชื่อวาหญ้า ทริพซาคัม และหญ้าทิโอซินเท เป็นบรรพบุรุษของข้าวโพดเนื่องจากมีส่วนใกล้เคียงกัน และบางท่าน เชื่อว่าหญ้าทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้เป็นพืชดั้งเดิมของข้าวโพด แต่ข้าวโพดที่ปลูกคงวิวัฒนาการมาจาก ข้าวโพดพันธุ์ป่า และหญ้าทั้งสองชนิดก็ควรเป็นพืชดั้งเดิมเดียวกับข้าวโพด แต่ข้าวโพดที่ปลูกได้ วิวัฒนาการมาคนละสาย จึงท าให้มีลักษณะแตกต่างกันในป จจุบัน ส าหรับการแพร่กระจายของ ข้าวโพดไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก คาดว่าเกิดจากชาวอินเดียนแดงเจ้าถิ่น เดิมของทวีปอเมริกาเป็น ผู้น าจากอเมริกากลางไปปลูกในส่วนต่าง ๆ ของทวีปอเมริกาและหมู่เกาะแคริบเบียน ซึ่งชาว อินเดียนแดงเป็นชนชาติที่มีส่วนส าคัญในด้านวิวัฒนาการเกี่ยวกับการปลูกข้าวโพด ในปี พ.ศ. 2035 เมื่อโคลัสบัสเดินทางมาพบทวีปอเมริกา ก็พบว่ามีการปลูกข้าวโพดอยู่ทั่วไปในบริเวณนี้ และปี พ.ศ. 2036 ได้ลองน าเมล็ดกลับไปปลูกในประเทศสเปน ทวีปยุโรป หลังจากนั้นจึงแพร่กระจายไปสู่ส่วน อื่น ๆ ของทวีป แอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย


2.1.2 ข้าวโพดในไทย (วัชรินทร์, 2558) กล่าวว่า การน าข้าวโพดเข้ามาในประเทศไทยเกิดขึ้น ประมาณปี พ.ศ. 2223 ซึ่งตรงกบรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่เป็นพันธุ์ใดไม่ปรากฏ จากหลักฐานพบว่าในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การผลิตข้าวโพดเพื่อการค้ามีอยู่อย่าง จ ากัด พันธุ์ที่เริ่มทดลองปลูกมีอยู่ 4 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์พื้นเมืองของไทย พันธุ์เม็กซิกนจูน พันธุ์นิโคลสัน เยลโล่ เด้นท์ และพันธุ์อินโดจีน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวโพดเริ่มขยายการปลูกเพิ่มขึ้น แต่ ไม่ได้เพิ่มมากนัก จนกระทังหลังจากที่มีการน าข้าวโพดพันธุ์ทิกิเสท โกลเดน เยลโลว์ (Tiquisate golden yellow) จากประเทศกัวเตมาลาเข้ามาทดสอบปลูกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2496 โดย เรียกชื่อพันธุ์นี้ว่า พันธุ์กัวเตมาลา ข้าวโพดพันธุ์นี้ปรับตัวเข้ากบสภาพแวดล้อมของประเทศได้ดี และ ให้ผลผลิตสูงกวาพันธุ์เดิม ส่งผลให้มีการปลูกข้าวโพดในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ในปี พ.ศ. 2508 เกิด การระบาด ของโรคราน ้าค้างท าให้การผลิตข้าวโพดในประเทศไทยประสบป ญหา กรมกสิกรรม (ป จจุบันคือ กรมวิชาการเกษตร) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมูลนิธิรอกกีเพลเลอร์ (Rockefeller foundation) จึงได้ร่วมมือกันจัดประสานงานการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพด โดยมีสถานีทดลองกสิกรรม กรมพระพุทธบาท ในอ าเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เป็นสถานีวิจัย และเริ่มพัฒนาไร่ สุวรรณในอ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งต่อมาได้จัดตั้งศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่าง แห่งชาติ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ไร่สุวรรณ ในปี พ.ศ. 2512-2513 และที่ศูนย์แห่งนี้ โดย การน าของ ดร.สุจินต์ จินายน ได้เริ่มพัฒนาข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ต้านทานโรคราน ้า ค้าง และได้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์กัวเตมาลา โดยในปี พ.ศ. 2518 ทางราชการได้ให้ การรับรองพันธุ์ สุวรรณ 1 อย่าง เป็นทางการ และเริ่มผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรได้ปลูกกันในปีถัดไป (โชคชัย และเกตุอร, 2561) กล่าวว่า ป จจุบันข้าวโพดที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ข้าวโพด ฝ กสด และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยข้าวโพดฝ กสดปลูกเพื่อใช้ส าหรับบริโภค และส่งออก ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชที่มีความส าคัญต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากใช้ เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจังหวัดที่ เป็นแหล่งปลูกข้าวโพดที่ส าคัญของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี และ นครสวรรค์


ภาพที่ 2-1 แผนที่แสดงแหล่งผลิตข้าวโพดในประเทศไทย ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=3&chap=2&page=t3- 2-infodetail03.html) 2.1.3 ลักษณะทางพ ษศาสตร์ของข้าวโพด ( คณาจารย์ภาควิชาพืชไร่นา, 2547 ) กล่าวว่าข้าวโพดเป็นพืชล้มลุกจ าพวกหญ้า ปลูกง่าย อายุสั้น สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกภาคของ ประเทศไทย จัดอยูในวงศ์ ่Gramineae มีชื่อ วิทยาศาสตร์วา ่Zea mays L. และมีชื่อสามัญว่า Corn หรือ Maize โดยข้าวโพดมีลักษณะทาง พ กษศาสตร์ที่ส าคัญ ดังนี้ 1) ราก ข้าวโพดมีระบบรากแบบรากฝอย (Fibrous root system) ประกอบด้วยรากที่ พัฒนามาจากส่วน แรดิเคิล (Radicle) เรียกวา ่Primary root หรือ First seedling root และรากที่ แตกแขนงออกมาเรียกวา ่Secondary root หรือ lateral root (ภาพที่ 2A) นอกจากนี้ยังมีรากที่ เกิดขึ้นที่ Scutellar node เรียกว่า Seminal root ทั้งหมดนี้มีการเจริญเติบโตในระยะเวลาสั้น ๆ ขณะข้าวโพดเป็นต้นกล้า และจะตายเมื่อต้นข้าวโพดโตขึ้น รากส่วนที่สองคือรากที่เจริญมาจากล าต้น เรียกว่า Adventitious root ซึ่งเกิดจากข้อส่วนล่างของล าต้นข้อแรกที่เกิดรากชนิดนี้คือ Coleoptilar node รากเหล่านี้จะเจริญเติบโตอยู่ตลอดชีวิตของข้าวโพด สามารถเจริญ แผ่กระจาย รอบล าต้นมีรัศมีประมาณ 1 เมตร และหยั่งลึกลงไปในดินได้ 2.1-2.4 เมตร


ภาพที่ 2-2 ลักษณะรากของข้าวโพด ที่มา : http://agron.agri.kps.ku.ac.th/index.php/th/2015-04 -20-02-02-25/30-economiccrops/70-economic-crops-corn) 2) ล าต้น (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คณะเกษตร ก าแพงแสน ภาควิชาพืชไร่นา, 2558) กล่าวว่า ล า ต้นข้าวโพดเรียกว่า Culm หรือ Stalk มีลักษณะตั้งตรง และค่อนข้างกลม ประกอบด้วยข้อ (Node) และปล้อง (Internode) บริเวณข้อมีเนื้อเยื่อเจริญ (Growth ring) จุดก าเนิดราก (Root primordia) ตา (Bud) และรอยกาบใบ (Leaf scar) ปล้องที่อยู่เหนือตามักพบร่องตา (Bud groove) นอกจากนี้ (บรรหาร และกองบรรณาธิการ, 2554) กล่าวว่า โดยล าต้นมีความสูงตั้งแต่30 เซนติเมตร ขึ้นไป ขนาดเส้นผาศูนย์กลางของล าต้นประมาณ 2.5-5.0 เซนติเมตร และล าต้นสดมักมีสีเขียวแต่บาง พันธุ์มีสีม่วง


ภาพที่ 2-3 ลักษณะล าต้นของข้าวโพด ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book. php?book=3&chap=2&page=t3- 2-detail.html) 3) ใบ ใบของข้าวโพดเป็นใบเดี่ยว (Simple leaf) ประกอบด้วย กาบใบ (Leaf sheath) และ แผนใบ ( ่Leaf blade) กาบใบจะหุ้มล าต้นส่วนแผนใบแผ่กางออก มีเส้นกลางใบเรียกว่า Mid rib ข้าวโพดที่ ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้ทนต่ออัตราการปลูกสูง มักมีลักษณะใบตั้งแผ่นใบด้านบนมีขนเพื่อเพิ่มพื้นที่ ในการรับแสง ส่วนแผนใบด้านล่างจะเรียบ และมีปากใบจ านวนมาก ภาพที่ 2-4 ลักษณะใบของข้าวโพด ที่มา : https://medthai.com/ข้าวโพด/


(4) ดอก ข้าวโพดเป็นพืชที่มีช่อดอกตัวผู้เรียกว่า Tassel และช่อดอกตัวเมียเรียกว่า Ear อยู่บนต้น เดียวกันแต่แยกกันอยู่คนละต าแหน่ง (Monoecious plant) 5) ผลและเมล็ด ผลของข้าวโพดเป็นแบบ Caryopsis ที่มีเยื้อหุ้มผล (Pericarp) ติดอยู่กับเยื่อหุ้ม เมล็ด (Seed coat) มีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ ใสไม่มีสีเยื่อหุ้มผลและเยื่อหุ้มเมล็ดรวม เรียกว่า Hull เมล็ด ประกอบด้วยคัพภะ (Embryo) เอนโดสเปิร์ม (Endosperm) ภาพที่ 2-5 ลักษณะผลและเมล็ดของข้าวโพด ที่มา : http://alangcity.blogspot.com/2012/ 08/blog-post 8265.html 2.1.4 ชนิดของข้าวโพด (คณาจารย์ภาควิชา พืชไร่นา, 2547) กล่าวว่า การจ าแนกชนิดของข้าวโพด สามารถจ าแนกได้หลายชนิดตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ 2.1.4.1 จ าแนกตามคุณสมบัติของแป้งในเมล็ด ในเมล็ดข้าวโพดประกอบด้วยแป้ง 2 ชนิด คือ แป้งแข็ง (Hard starch) และแป้งอ่อน (Soft starch) ท าให้สามารถจ าแนกโดยอาศัยต าแหน่งของ แป้งแต่ละชนิดและลักษณะของเปลือกหุ้มเมล็ดได้ 7 ชนิด คือ 1) ข้าวโพดป่า (Pod corn) เป็นข้าวโพดที่ใช้ในการศึกษาแหล่งกาเนิดข้าวโพดซึ่ง ปลูกในบริเวณแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เมล็ดข้าวโพดป่าทุกเมล็ดจะมีเปลือกหุ้มเมล็ดอย่าง มิดชิดเหมือนกับเมล็ดหญ้า และยังมีเปลือกหุ้มฝ กหุ้มอีกชั้นหนึ่ง เมล็ดมีสีต่าง ๆ หรือเป็นลาย


ภาพที่ 2-6 ลักษณะของข้าวโพดป่า (Pod corn) ที่มา : http://www.doa.go.th/pibai/ pibai/n14/v_11-dec/rai.html 2) ข้าวโพดคั่ว ( Pop corn) เป็นข้าวโพดที่เมล็ดมีแป้งแข็งอัดกันแน่น มีแป้ง อ่อนเป็นองค์ประกอบ เล็กน้อย ลักษณะรูปร่างของเมล็ดแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีรูปร่างเรียว แหลมคล้ายเมล็ดข้าว เรียกว่า Rice pop corn และชนิดที่มีลักษณะเมล็ดกลมเรียกวา ่Pearl pop corn เมื่อเมล็ดข้าวโพดชนิดนี้ได้รับความร้อนระดับหนึ่งแป้งจะขยายตัวสร้างความดันขึ้นภายในจน กระทังเปลือกหุ้มเมล็ดที่หนาแตกออก ภาพที่ 2-7 ลักษณะของข้าวโพดคั่ว (Pop corn) ที่มา : : http://www.doa.go.th/pibai/ pibai/n14/v_11-dec/rai.html


3) ข้าวโพดหัวแข็ง (Flint corn) เป็นข้าวโพดที่ด้านบนของเมล็ดมีแป้งแข็งเป็น องค์ประกอบ ส่วนแป้งอ่อนจะอยูภายในตรงกลางเมล็ดหรืออาจไม่มีเลย เมล็ดค่อนข้างกล เมื่อเมล็ด แห้งจะไม่มีรอยบุบด้านบน เมล็ดมีสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง สีเหลืองส้ม สีขาว หรือสีอื่นแล้วแต่สายพันธุ์ ปลูกกันมากในแถบเอเชีย และอเมริกาใต้ ข้าวโพดไร่ของประเทศไทยที่นิยมปลูกกนเป็นชนิดนี้ทั้งสิ้น ภาพที่ 2-8 ลักษณะของข้าวโพดหัวแข็ง (Flint corn) ที่มา : http://www3.rdi.ku.ac.th/?p=8879 4) ข้าวโพดหัวบุบ (Dent corn) เป็นข้าวโพดที่มีส่วนของแป้งอ่อนอยู่ด้านบนส่วนแป้ง แข็งจะอยู่ ด้านล่างและด้านข้างเมื่อข้าวโพดแก่เมล็ดสูญเสียความชื้น ท าให้แป้งอ่อนด้านบนหดตัว เมล็ดจึงเกิดรอยบุบ สีของเมล็ดอาจเป็นสีขาว สีเหลือง หรือสีอื่นแล้วแต่สายพันธุ์ โดยนิยมปลูกกัน มากในประเทศ สหรัฐอเมริกา ภาพที่ 2-9 ลักษณะของข้าวโพดหัวบุบ (Dent corn) ที่มา : http://www.doa.go.th/pibai/ pibai/n14/v_11-dec/rai.html


5) ข้าวโพดแป้ง (Flour corn) เป็นข้าวโพดที่มีองค์ประกอบเป็นแป้งอ่อนเกือบทั้งหมด มี แป้งแข็งเป็นชั้นบาง ๆ อยู่ด้านในเมล็ด เมื่อข้าวโพดแก่การหดตัวของแป้งในเมล็ดจะเท่าๆ กันท าให้ เมล็ดมีรูปร่างเหมือนข้าวโพดหัวแข็ง แต่มีลักษณะทึบแสงโดยนิยมปลูกในแถบอเมริกาใต้ อเมริกา กลาง และประเทศ สหรัฐอเมริกา ภาพที่ 2-10 ลักษณะของข้าวโพดแป้ง (Flour corn) ที่มา : http://www.doa.go.th/pibai/ pibai/n14/v_11-dec/rai.html 6) ข้าวโพดหวาน (Sweet corn) เป็นข้าวโพดที่น ้าตาลในเมล็ดเปลี่ยนไปเป็นแป้ง ไม่สมบูรณ์ ท าให้เมล็ดมีความหวานมากกว่าข้าวโพดชนิดอื่น ซึ่งมักน าฝ กสดมาใช้รับประทาน เมื่อ เมล็ดแก่เต็มที่จะหดตัว เหี่ยวย่น) ข้าวโพดชนิดนี้นิยมปลูกกนอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาค ภาพที่ 2-11 ลักษณะของข้าวโพดหวาน (Sweet corn) ที่มา : http://www.thaismescenter.com/ การปลูก-ข้าวโพดหวาน


7) ข้าวโพดข้าวเหนียว หรือข้าวโพดเทียน (Waxy corn) เมล็ดประกอบด้วยแป้งอ่อน ที่มีความเหนียว เนื่องจากองค์ประกอบของแป้งส่วนใหญ่เป็นอะไมโลเพกติน (Amylopectin) ในขณะ ที่ข้าวโพดชนิดอื่นมี อะไมโลส (Amylose) เป็นองค์ประกอบด้วยท าให้นิยมปลูกข้าวโพดชนิดนี้ เพื่อ รับประทานฝ กสดคล้ายกับ ข้าวโพดหวาน เมล็ดมีสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง สีขาว สีม่วง หรือมีหลายสีใน ฝ กเดียวกัน ภาพที่ 2-12 ลักษณะของข้าวโพดข้าวเหนียว ที่มา : http://www.doa.go.th/pibai/ pibai/n14/v_11-dec/rai.htm 2.1.4.2 จ าแนกตามองค์ประกอบทางเคมีในเมล็ด สามารถจ าแนกได้ 3 ชนิด คือ 1) ข้าวโพดแป้ง (Field corn หรือ Starchy corn) เป็นข้าวโพดที่ใช้ประโยชน์จากแป้งในเมล็ด ได้แก่ ข้าวโพดหัวแข็ง ข้าวโพดหัวบุบ และข้าวโพดแป้ ซึ่งมักน ามาใช้เป็นอาหารมนุษย์ และเลี้ยงสัตว์ 2) ข้าวโพดน ้ามันสูง (High oil corn) เป็นข้าวโพดที่มีปริมาณน้ ามันในส่วนของคัพภะ (Embryo) สูง ปกติเมล็ดข้าวโพดมีปริมาณน ้ามันอยู่ร้อยละ 1.2-5.0 ซึ่งหากพันธุ์ที่มีปริมาณน ้ามันในเมล็ดสูงกวานี้ก็ จัดเป็นข้าวโพดน ้ามันสูง 3) ข้าวโพดคุณภาพโปรตีนสูง (High lysine corn) เป็นข้าวโพดที่มีปริมาณโปรตีนในเมล็ดสูง ปกติ เมล็ดข้าวโพดมีปริมาณโปรตีนร้อยละ 7-10 โดยเมล็ดข้าวโพดเป็นแป้งอ่อนและทึบแสงน ้าหนักเมล็ด เบาเชื้อรา และแมลงเข้าท าลายเมล็ดได้ง่าย


2.1.4.3 จ าแนกตามเขตภูมิอากาศ สามารถจ าแนกได้ 3 ชนิด คือ 1) ข้าวโพดในเขตอบอุ่น (Temperate maize) ข้าวโพดชนิดนี้เจริญเติบได้ดีในเขตเส้นรุ้งที่สูง กว่า 30 องศาเหนือและใต้อุณหภูมิอากาศใน ดูปลูกค่อนข้างต ่า และได้รับแสงช่วงยาว ข้าวโพดใน กลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าวโพดที่ปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน 2) ข้าวโพดในเขตกึ่งร้อนชื้น (Subtropical maize) เป็นข้าวโพดที่ปลูกในระหว่างเส้นรุ้ง 20-30 องศาเหนือและใต้ อุณหภูมิของอากาศไม่สูงมากนัก 3) ข้าวโพดในเขตร้อน (Tropical maize) เป็นข้าวโพดที่ปลูกบริเวณตั้งแต่ เส้นศูนย์สูตร จนถึงเส้นรุ้งที่ 20 องศาเหนือและใต้ บริเวณที่ปลูกข้าวโพดชนิดนี้ ได้แก่ ทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชีย 2.1.4.4 จ าแนกตามอายุการเก็บเกี่ยวข้าวโพดในเขตร้อนโดยเ พาะที่ปลูกในพื้นที่ราบ สามารถจ าแนก ตาม อายุการเก็บเกี่ยวได้ 4 ชนิด คือ 1) พันธุ์อายุสั้นมาก (Extremely early variety) เก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 80-90 วัน 2) พันธุ์อายุสั้น (Early variety) เก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 90-100 วัน 3) พันธุ์อายุปานกลาง (Intermediate variety) เก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 100-110 วัน 4) พันธุ์อายุยาว (Late variety) เก็บเกี่่ยวเมื่ออายุมากกว่า 110 วัน 2.1.4.5 จ าแนกตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ สามารถจ าแนกได้ 4 ชนิด คือ 1) ใช้เมล็ดสุกแก่ เป็นข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวเมล็ดแก่มาใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภคทั้งมนุษย์และ สัตว์ หรือใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตแป้ งหรือน้ ามัน 2) ใช้บริโภคฝ กสด เป็นข้าวโพดที่ปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวฝ กที่ยังอ่อนไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้แก่ ข้าวโพด ฝ กอ่อน ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดข้าวเหนียว 3) ใช้เป็นพืชอาหารสัตว์ เป็นข้าวโพดที่ปลูกแล้วตัดต้นในระยะก่อนแก่เพื่อน าข้าวโพดทั้งต้น ไปท าหญ้าสด (Fodder) หญ้าหมัก (Silage) หรือหญ้าแห้ง (Hay) 4) ใช้ฝ กส าหรับประดับ เป็นข้าวโพดที่เมล็ดบนฝ กเดียวกันมีหลายสี เนื่องจากการสะสมสารสี (Pigment) ที่แตกต่างกน สามารถน าฝ กไปประดับตกแต่งได้


ภาพที่ 2-13 ลักษณะของข้าวโพดที่ใช้ฝ กส าหรับประดับ ที่มา : https://www.bansuanporpeang.com/node/25234 2.1.4.6 คุณค่าทางโภชนาการของข้าวโพด ข้าวโพดนับเป็นอาหารที่ส าคัญส าหรับมนุษย์และสัตว์มา ยาวนาน โดยเ พาะเมล็ดเป็นส่วนที่มีคุณค่า ทางโภชนาการสูงท าให้ผู้บริโภคนิยมน ามารับประทานกัน อย่างแพร่หลาย ทั้งเป็นอาหารหลัก อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารคาว 2.1.4.7 การบริโภคข้าวโพด (บรรหาร และกองบรรณาธิการ, 2554) กล่าวว่า ผู้บริโภคสามารถ รับประทานข้าวโพดเป็นอาหารได้ในหลายลักษณะ คือ 1) ข้าวโพดฝ กอ่อน คือ ฝ กข้าวโพดที่มีอายุ 60-75 วัน นับตั้งแต่วันปลูก หรือฝ กอ่อนของ ข้าวโพดที่ไข่ (Ovules) ไม่ได้รับการผสมเกสร ซึ่งมีขนาดเล็กเท่านิ้วก้อย คนไทยนิยมน าข้าวโพดฝ กอ่อนมา ประกอบอาหารบริ โภคในรูปฝ กสด เช่น ผัดผัก แกงเลียง ชุบแป้งทอด ลวกจิ้มน ้าพริกเป็นต้น ส่วนต่างประเทศ นิยมบริโภคในรูปข้าวโพดฝ กอ่อนบรรจุกระป๋อง ซึ่งมีหลายประเทศในยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และฮ่องกง ที่ซื้อ ข้าวโพดฝ กอ่อนบรรจุกระป๋องจากประเทศไทย ภาพที่ 2-14 ข้าวโพดฝ กอ่อน ที่มา : http://www.farmkaset.org/ html5/contents.aspx?con_id=881


2) ข้าวโพดฝ กสด คือ ข้าวโพดที่ยังไม่แก่จัด สามารถน ามาบริโภคในรูปอาหารหวาน หรือ อาหารวางระหว่างมื้ออาหาร โดยน าข้าวโพดฝ กสดมาต้ม นึ่ง หรือปิ้งให้สุก อาจใส่น ้าเกลือ หรือใส่เนยให้มีรส เค็ม ๆ และอาจน าข้าวโพดที่ต้มแล้วไปท าข้าวโพดคลุกใส่มะพร้าวขูด แล้วโรยด้วยน ้าตาล นอกจากนี้ ยังสามารถ น ามาประกอบอาหารได้อีกหลายรูปแบบ เช่น ซุปข้าวโพด สาคูเปียกข้าวโพด ขนมรังผึ้ง เป็นต้น ซึ่งป จจุบัน ข้าวโพดที่นิยมน าฝ กสดมารับประทาน ได้แก่ ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดข้าวเหนียว ภาพที่ 2-15 ข้าวโพดฝ กสด ที่มา : http://www.sator4u.com/paper/1826 3) ข้าวโพดที่รับประทานเมล็ดแห้ง ข้าวโพดชนิดนี้มีคุณสมบัติแตกฟูได้เมื่อถูกความร้อน นิยมน ามาบริโภคในรูปข้าวโพดคั่ว ( Popcorn) โดยน าเมล็ดที่แก่แห้งแล้วมาคัวให้แตกด้วยหม้ออบ เครื่อง คั่วไฟฟ้า หรือ เตาไมโครเวฟ เมื่อเมล็ดข้าวโพดถูกความร้อนก็จะแตกออกมาเป็นเม็ดใหญ่สีขาว กรอบ และอาจราดด้วยน้ าตาล หรือเนยจะท าให้มีรสหวานอร่อย น่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งข้าวโพด ชนิดนี้ส่วนใหญ่ต้องน าเข้ามาจากต่างประเทศ 4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวโพด เกิดจากการน าข้าวโพดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาหารประเภทต่าง ๆ ได้แก่ แป้งข้าวโพด เกิดจากการสกดเอาแป้งจากเมล็ดข้าวโพดที่แก่นและแห้ง โดยการโม่แป้งข้าวโพดที่ได้มี 3 ลักษณะ คือ ชนิดหยาบ เรียกวา คอร์นกริท ( ่Corn grit) ชนิด ค่อนข้างละเอียดเรียกวา คอร์นมิล ( Corn meal) และชนิดละเอียดเรียกว่า แป้งข้าวโพด (Corn flour) ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารจากแป้งข้าวโพด ได้แก่ ขนมป งข้าวโพด และอาหารเช้าจากธัญพืช (Breakfast cereal) น้ ามันข้าวโพด ข้าวโพดจัดเป็นพืชน้ ามันชนิดหนึ่ง ได้จากการสะกดจากเมล็ด ข้าวโพดแก่่และ แห้ง โดยน ้ามันข้าวโพดประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันที่จ าเป็นต่อ ร่างกายอยู่มาก นับเป็นน้ ามันที่มีคุณภาพเหมาะส าหรับการน ามาบริโภค สามารถใช้ในการประกอบ อาหารได้หลายชนิด ได้แก่ น้ าสลัด ท าขนม และใช้ทอดอาหารต่าง ๆ น้ าเชื่อมข้าวโพด เป็นน้ าเชื่อมที่


ได้จากการยอยสลายแป้ งข้าวโพด มักใช้ในอุตสาหกรรม ่เครื่องดื่มประเภทน้ าอัดลม และขนมหวาน ต่าง ๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ตกผลึก และคงรูป ภาพที่ 2-16 ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวโพด ที่มา : https://shoponline.tescolotus.com/ groceries/th-TH/products/6000055514 2.1.6 คุณค่าทางโภชนาการของข้าวโพด ข้าวโพดเป็นอาหารจ าพวกแป้งชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยสารอาหารที่ส าคัญ ดังนี้ 1) คาร์โบไฮเดรต พบว่าในเมล็ดข้าวโพดที่แก่จัดมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตอยู่ ประมาณ ร้อยละ 72 ข้าวโพดจึงจัดเป็นอาหารจ าพวกแป้งที่ให้พลังงาน โดย 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี 2) ไขมัน เมล็ดข้าวโพดที่แก่จัดมีไขมันอยู่ประมาณร้อยละ 4 สามารถน ามาสกัดเป็นน้ ามันใช้ ประกอบ อาหารน้ ามันข้าวโพดมีกรดไขมันไม่อิ่ม โดยเ พาะกรดไลโนเลอิกมีถึงร้อยละ 40 และกรด โอเลอิกร้อยละ 3 3) โปรตีน ข้าวโพดมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 4 โดยโปรตีนในข้าวโพดมี ประโยชน์ต่อร่างกายน้อย เนื่องจากขาดกรดอะมิโนที่จ าเป็นต่อร่างกาย คือ ไลซีน และ ทริปโตเฟน ผู้บริ โภคจึงควร รับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการยิ่งขึ้น 4) วิตามิน ข้าวโพดมีวิตามินบี1 และวิตามินบี 2 ในปริมาณ 0.08-0.18 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มี ไนอาซีนในปริมาณน้อย คือ 1.1-1.5 มิลลิกรัม ท าให้ประเทศที่มีการบริโภคข้าวโพดเป็น อาหารหลักมักเกิด โรคเพลลากรา (Pellagra) กนมาก เนื่องจากขาดสารไนอาซีน ส่วนวิตามินเอพบ เ พาะในข้าวโพดสีเหลือง


5) เกลือแร่ ข้าวโพดมีส่วนประกอบของเกลือแร่ที่มีความส าคัญต่อการเจริญเติบโตของ ร่างกาย ได้แก่ แคลเซียม และเหล็ก แต่พบในปริมาณน้อย 6) เส้นใยอาหาร พบในปริมาณน้อย แต่มีประโยชน์ช่วยในการขับถ่าย ภาพที่ 2-17 ตารางคุณค่าทางโภชาการของข้าวโพดหวาน หนัก 100 กรัม ที่มา : บรรหาร และกองบรรณาธิการ, 2554 2.1.6.1 ประโยชน์ของข้าวโพด ข้าวโพดนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถน ามาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน แต่ส่วนใหญ่มักน าเมล็ดมาใช้ ประโยชน์ เนื่องจากภายในเมล็ดมีองค์ประกอบทางเคมีที่ส าคัญ ส่งผล ให้มีการน าข้าวโพดมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง (คณาจารย์ภาควิชาพืชไร่นา, 2547) 1) ใช้เป็นอาหารมนุษย์ ในประเทศไทยผู้บริโภคนิยมรับประทานฝ กสดของข้าวโพดโดยการ ต้ม หรือ เผาให้สุกและฝ กอ่อนของข้าวโพดนิยมน ามาปรุงเป็นอาหารซึ่งนอกจากจะรับประทานใน ประเทศ แล้ว ยังบรรจุกระป๋องส่งไปจ าหน่ายยังต่างประเทศด้วย ส่วนในต่างประเทศนิยมน าเมล็ด ข้าวโพดมาบดให้แตก หรือละเอียด แล้วน ามาหุง หรือต้มเป็นอาหาร หรือใช้ท าขนมป ง ใช้เป็นอาหาร หลักของมนุษย์ในหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก สเปน อิตาลี แอฟริกาใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย


ภาพที่ 2-18 ข้าวโพดใช้เป็นอาหารมนุษย์ ที่มา : https://kasetlibrary.com/ 2018/04/12/ปรับนาเปลี่ยนมาปลูกข้าว/ 2) ใช้เป็นอาหารสัตว์เนื่องจากองค์ประกอบของส่วนใหญ่ของเมล็ดข้าวโพดเป็นแป้ง และ โปรตีนจึงเหมาะส าหรับน ามาใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพและราคาถูก ซึ่งพบว่าผลผลิตเมล็ด ข้าวโพดจ านวนมาก ถูกน าไปใช้ในการผลิตอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู เป็ด และโคนม ทั้งนี้ บาง ประเทศโดยเ พาะ ประเทศในแถบยุโรปจะปลูกข้าวโพดแล้วตัดข้าวโพดทั้งต้นเพื่อน าไปท าหญ้าหมัก (Silage) ส าหรับเลี้ยงสัตว์ ภาพที่ 2-19 ข้าวโพดใช้เป็นอาหารสัตว์ ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/ knowledge/content/59483/-agrliv-agr-


3) ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เมล็ดข้าวโพดสามารถน าไปใช้ในอุตสาหกรรมได้ หลาย ประเภท ทั้งอุตสาหกรรมอาหาร เช่น แป้ง น ้ามัน น ้าเชื่อม น ้าตาล น ้าส้ม อาหารกระป๋องเป็น ต้น รวมถึง อุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น พลาสติก ฟิล์ม เชื้อเพลิง สิ่งทอ เป็นต้น) ซึ่งนอกจากเมล็ดแล้ว ส่วนของฝ ก ใบ และล าต้น อาจน าไปใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น กระดาษ ปุย และ นวนไฟฟ้า ภาพที่ 2-20 ข้าวโพดใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มา : http://biology.ipst.ac.th/?p=927) 2.1.7 สภาพดินฟ้าอากาศที่ปลูกข้าวโพด ( สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทลัย เกษตรศาสตร์ , 2558 ) กล่าวว่า เนื่องจากข้าวโพดมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงมาก จึงพบว่า ข้าวโพดสามารถปลูกได้ในส่วนต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมีสภาพดินฟ้าอากาศแตกต่างกันมาก ตั้งแต่เส้นรุ้งที่ 50 องศาเหนือ ไปจนถึงเส้นรุ้ง 50 องศาใต้ และที่ต่ ากว่าระดับน้ าทะเลไปจนถึงที่สูงจากระดับน้ าทะเล มากกว่า 1,000 เมตร ข้าวโพดเป็นพืชวันสั้น ปลูกในสภาพวันยาว จะใช้เวลาในการออกดอกและแก่ยาวขึ้น และมีจ านวนใบ เพิ่มขึ้น แม้ว่าข้าวโพดเป็นพืชที่มีความสามารถปรับตัวได้กว้าง แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ ระหว่าง 24-30 องศาเซนเซียล และอุณหภูมิต่ าสุด ส าหรับการงอกที่ 10 องศาเซนเซียล ขณะที่ต้น ยังเล็กอยู่ (สูงราว 15 เซนติเมตร) ข้าวโพดสามารถทนทานต่ออากาศหนาวเย็นได้ดี แต่เมื่อโตขึ้นจะไม่ ทนทานต่อสภาพอากาศดังกล่าว ข้าวโพดเป็นพืชที่ต้องการไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม สูง ดินที่เหมาะส าหรับการปลูกข้าวโพดควรมี pH ระหว่าง 5.5-8


2.1.8 ดูที่ปลูกข้าวโพด ส าหรับประเทศไทย การปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่เป็นข้าวโพดไร่ปลูกแบบอาศัย น้ าฝน ซึ่งป จจัยที่มีผลกระทบต่อการปลูกและการให้ผลผลิต ของข้าวโพดจึงขึ้นอยู่กับปริมาณน้ าฝน และการกระจายของฝนที่ตกตลอด ดูปลูก ส าหรับเขตชลประทาน สามารถปลูกข้าวโพด ได้ตลอดปี โดยทั่วไปการปลูกต้น ดูฝน (เมษายน – พ ษภาคม) มักจะได้ผลผลิตดีกว่า ไม่มีโรคราน้ าค้างระบาด และป ญหาวัชพืช น้อยกว่าปลูกปลาย ดูฝน (กรก าคม – สิงหาคม) แต่มีข้อเสียคือ ในระยะเก็บเกี่ยว จะมีฝนชุก ท าให้ข้าวโพดชื้น จะเกิดป ญหา สารอะฟลาทอกซิน เพราะตากข้าวโพดไม่แห้ง แต่ปลูก ปลาย ดูฝน จะมีป ญหาเตรียมดินไม่สะดวก เพราะฝนชุกและโรคต้นกล้าเน่า 2.1.9 การเตรียมดิน ในการเตรียมดินแบบเต็มรูปแบบ ต้องไถดะครั้งแรกเพื่อเปิดหน้าดิน ซึ่งส่วนใหญ่ จะใช้รถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ติดผาน 3 หรือ 4 หรือไถหัวหมู เพื่อพลิกหน้าดินและกลบเศษพืชและ วัชพืช โดยทั่วไปจะไถที่ความลึกประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วตากดินไว้ 7-10 วัน หลังจากนั้นจึงไถ แปรและไถพรวนเพื่อย่อยดินให้แตกและคลุกเคล้าเศษซากพืชและอินทรีย์วัตถุให้สม่ าเสมอ และหาก ไถแปรแล้วดินยังไม่ละเอียดเพียงพอควรจะมีการพรวนอีก 1 ครั้ง 2.1.10 การปลูกข้าวโพดที่ปฏิบัติกันสามารถท าได้ 3 วิธี 1) การขุดหลุมปลูก เป็นวิธีการปฏิบัติแบบเก่า โดยใช้จอบ เสียม หรือไม้ปลายแหลมขุดเป็น หลุม การปลูกวิธีนี้ท าให้ระยะระหว่างต้น ระหว่างหลุม และความลึกของเมล็ดที่ปลูกไม่สม่ าเสมอ ป จจุบันได้มีเครื่องมือปลูกเรียกว่า corn jab ที่สามารถก าหนดระยะปลูกและความลึกในการปลูกได้ 2) การปลูกแบบชักร่อง ใช้ไถหัวหมูติดรถแทรกเตอร์หรือรถไถเดินตาม หรือใช้แรงงานสัตว์ ท าร่อง ปลูกเป็นแถว ใช้แรงงานคนในการหยอดเมล็ดปลูกในร่องแล้วใช้เท้าปาดผิวดินกลบ การปลูก วิธีนี้จะได้ระยะระหว่างแถวสม่ าเสมอ แต่ระยะระหว่างหลุมและความลึกในการปลูกไม่สม่ าเสมอ 3) การปลูกโดยใช้เครื่องปลูก (planter) โดยใช้เครื่องปลูกติดท้ายรถแทรกเตอร์ ปลูกเป็น แถว สามารถก าหนดระยะระหว่างแถว ระหว่างหลุม และความลึกในการปลูกได้ค่อนข้างสม่ าเสมอ อัตราปลูกเป็นป จจัยหนึ่งที่เป็นตัวก าหนดผลผลิตต่อพื้นที่ ดังนั้นในการปลูกข้าวโพดจึงควรจัดระยะ ปลูกระหว่างแถว และระหว่างหลุมให้เหมาะสม โดยระยะที่แนะน าคือ ระยะระหว่างแถว 75 เซนติเมตร และระหว่างหลุม 25 เซนติเมตร จะใช้จ านวนต้นต่อหลุม 1 ต้น 2.1.11 การให้ปุ๋ย ควรมีการใส่ปุ๋ยให้ต้นข้าวโพด เพื่อให้มีธาตุอาหารใช้ในการสร้างผลผลิตให้เพิ่มขึ้น ซึ่งการใส่ปุ๋ยควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง


1) ปุ๋ยรองพื้น ควรใส่รองก้นหลุมหรือโรยเป็นแถวแล้วกลบพร้อมปลูก ถ้าใช้เครื่องปลูกจะมีถัง ส าหรับใส่ปุ๋ยพร้อมอยู่แล้ว ถ้าปลูกด้วยมือ ควรหยอดปุ๋ยที่ก้นหลุมแล้วกลบดินบาง ๆ ก่อนหยอดเมล็ด ไม่ควรให้ปุ๋ยสัมผัสกับเมล็ดโดยตรง เพราะอาจท าให้เมล็ดเน่าได้ ปุ๋ยรองพื้นที่ใช้ อาจใช้สูตร 16 – 20 – 0, 15 – 15 – 15 , 20 – 20 – 0 หรือสูตรอื่น ๆ ตามความเหมาะสมถ้าเป็นไปได้ ควรมีการ วิเคราะห์ดิน เพื่อหาสูตรปุ๋ยที่เหมาะกับพื้นที่ โดยปุ๋ยรองพื้น ควรใส่อัตราประมาณ 25 – 30 กิโลกรัม/ ไร่ 2) ปุ๋ยแต่งหน้า หลังจากปลูกประมาณ 25 – 30 วัน ควรมีการใส่ปุ๋ยอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ปุ๋ยยู เรีย (46 – 0 – 0) โรยข้างต้นในอัตรา 20 – 25 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ขณะดินมีความชื้นหรือใส่แล้วกลบด้วย เครื่องท ารุ่นพูนโคน 2.1.12 การป้องกันและการก าจัดวัชพืช 1) หลังจากปลูกข้าวโพด ก่อนข้าวโพดงอก (และก่อนหญ้างอกหรือหญ้างอกต้นเล็กไม่เกิน 3 ใบ) ให้พ่นสารควบคุมวัชพืชขณะดินชื้น โดยใช้สารอาทราซิน อัตรา 500 กรัม / ไร่ หรืออะลาคลอร์ อัตรา 600 ซีซี / ไร่ หรือใช้ทั้งสองอย่างรวมกันโดยใช้อาทราซีน 350 กรัม + อะลาคลอร์ 500 กรัม / ไร่ 2) ควรมีการท ารุ่นพูนโคน เมื่อข้าวโพดอายุประมาณ 25 – 30 วัน เพื่อเป็นการก าจัดวัชพืชที่ งอกใหม่ โดยการใช้ผานหัวหมู หรือใช้จอบถาก 3) การก าจัดวัชพืช ถ้ามีวัชพืชในแปลงข้าวโพดมากอาจใช้สารพาราควอท(กรัมม็อกโซน) ีด พ่นเพื่อฆ่าหญ้า โดยใช้อัตรา 80 ซีซี / น้ า 20 ลิตร ( 8 ช้อนแกง / น้ า 1 ปี๊บ ) ทั้งนี้การ ีดพ่นจะต้อง ใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้สารโดนต้นข้าวโพดเพราะจะท าให้ข้าวโพดไหม้ตายได้ 2.1.13 ความต้องการนเของข้าวโพด ข้าวโพดมีความต้องการใช้น้ าตลอด ดูปลูก ประมาณ 500 – 600 มิลลิเมตร หรือประมาณ 800 – 900 ลูกบาศก์เมตร/ ไร่ แต่ไม่ชอบน้ าท่วมขัง การปลูกข้าวโพดในสภาพไร่ โดยทั่วไปจะปลูก ในช่วง ดูฝน แต่บางครั้งให้น้ าได้ถ้าฝนทิ้งช่วงหรือกรณีปลูกข้าวโพดในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งจ าเป็นต้องให้ น้ า มีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1) การให้น้ าครั้งแรกเมื่อปลูก ในการปลูกข้าวโพด หลังจากไถพรวนเตรียมแปลงเสร็จแล้ว ควรให้น้ าก่อนปลูกข้าวโพดโดยให้น้ า 50 – 65 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ แล้วจึงหยอดข้าวโพดขณะดินมี ความชื้นพอเหมาะ ถ้าจ าเป็นต้องหยอดข้าวโพดก่อนให้น้ า ควรให้น้ าประมาณ 35 – 50 ลูกบาศก์ เมตร/ไร่ ถ้าให้น้ ามากกว่านี้ จะต้องรีบระบายน้ าออกจากแปลงทันที


2) การให้น้ าในช่วงระยะการเจริญเติบโตของข้าวโพด หลังจากข้าวโพดงอกแล้วควรให้น้ า 65 – 80ลูกบาศก์เมตร /ไร่ / สัปดาห์ โดยให้อีก 11-12 ครั้ง (สัปดาห์) การให้น้ าแต่ละครั้งไม่ควรให้ น้ าท่วมขัง หรือดินชื้นแ ะเป็นเวลานาน ถ้าให้น้ ามากเกินไป ควรรีบระบายน้ าออกจากแปลงทันที 2.1.14 การให้น้ าข้าวโพดมี 3 วิธี ดังนี้ 1) การให้น้ าแบบตักรด เป็นแบบที่ใช้ในสวนผักทั่วไป วิธีนี้เปลืองแรงงาน แต่ประหยัดน้ า ค่า ลงทุนและค่าใช้จ่ายต่ า เหมาะกับการปลูกในเนื้อที่ไม่มาก 2) การให้น้ าแบบฝนเทียม (sprinkler irrigation) เป็นการลงทุนและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ เหมาะกับการปลูกพืชที่มีราคาแพง เช่น ข้าวโพดหวาน 3) การให้น้ าแบบร่องลูกฟูก (furrow irrigation) ค่าใช้จ่ายต่ า และสะดวกต่อการปฏิบัติ ข้อ ส าคัญอยู่ที่การปรับระดับพื้นดินในระยะแรก พื้นที่ต้องราบเรียบและอยู่ในระดับที่ถูกต้อง คือลาด เอียงเล็กน้อย 2.1.15 โรคที่ส าคัญและการป้องกันก าจัด โรคที่สามารถท าความเสียหายให้กับข้าวโพดมีหลายชนิดด้วยกัน และเกิดที่ส่วนต่าง ๆ ทั้งที่ใบ ล าต้น กาบใบ เมล็ด และอื่น ๆ แตกต่างกัน นอกจากนั้นอาจเกิดที่ระยะการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันอีกด้วย ความเสียหายของพืชจากโรค นอกจากจะขึ้นกับชนิดของโรคที่เป็นแล้ว ยังขึ้นกับความรุนแรงของการ เป็นโรคด้วย โรคข้าวโพดที่ส าคัญมีดังนี้ 1) โรคราน้ าค้าง (Downy mildew) เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Peronosclerospora sorghi อาการ : เชื้อโรคสามารถเข้าท าลายข้าวโพดได้ตั้งแต่ยังเป็นต้นกล้าจนถึงออกดอก อาการในระยะแรก เมื่อ ข้าวโพดยังเป็นต้นกล้า จะเกิดจุดสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนบนใบเลี้ยงและใบจริงสองสามใบแรก ต่อจากนั้นจุดนี้จะขยายออกเป็นทางสีขาวลามไปยังฐานใบ ต่อมาในระยะที่สอง ใบที่ผลิออกมาใหม่จะ มีทางสีขาว เขียวอ่อน หรือเหลืองอ่อนเกิดขึ้นจากฐานใบถึงปลายใบ ระยะนี้เป็นระยะที่ข้าวโพด เสียหายอย่างมาก ต้นที่เป็นโรคอาจแห้งตายก่อนออกดอกหรือฝ ก หรือถึงมีฝ ก ฝ กจะไม่สมบูรณ์ มี เมล็ดจ านวนน้อย อาการผิดปกติอีกอย่างที่พบ คือ ส่วนยอดและดอกแตกเป็นพุ่มหรือก้านฝ กยาวและ มีฝ กหลายฝ กเป็นกระจุก การแพร่ระบาด : โรคจะเริ่มระบาดต้น ดูฝน ประมาณเดือนพ ษภาคมไปจนสิ้น ดูฝน สภาพอุณหภูมิ ที่เหมาะแก่เชื้อโรคคือ 20-26 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูง โดยการระบาดสามารถระบาด โดยตรงจากต้นข้าวโพด และยังสามารถติดไปกับเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในดิน หรืออาศัยอยู่ในพืชชนิดอื่น


การป้องกันก าจัด : ใช้พันธุ์ต้านทานโรคราน้ าค้าง หลีกเลี่ยงการปลูกก่อนฝนตกชุก ก าจัดพืชอาศัย ใช้ เมล็ดพันธุ์ที่ไม่เป็นโรค ภาพที่ 2-21 โรคราน้ าค้าง ที่มา : http://phraphutthabat.saraburi.doae.go.th/?p=2052 2) โรคสนิมเชื้อสาเหตุ: Puccinia sorghi (common rust), P. polysora (southern rust), Physopella zeae (tropical rust) อาการ : เกิดโรคได้แทบทุกส่วนของต้นข้าวโพด โดยแสดงอาการเป็นจุดนูนเล็ก ๆ ขนาดแผลประมาณ 0.2-2.0 มิลลิเมตร แผลจะเกิดด้านบนใบมากกว่าด้านล่างใบ เมื่อเป็นโรคในระยะแรก ๆ จะพบเป็นจุด นูนเล็ก ต่อมาแผลจะแตกออกเห็นเป็นผงสีสนิมเหล็ก ในกรณีที่เป็นโรครุนแรงจะท าให้ใบแห้ง ตาย การแพร่ระบาด : ระบาดปลาย ดูฝนต้น ดูหนาว ในขณะที่มีความชื้นในอากาศสูง และมีอุณหภูมิ ค่อนข้างเย็น การแพร่ระบาดจะแพร่ออกไปจากแผลที่ใบ กาบใบ และเปลือกหุ้มฝ ก เมื่อปลิวไปตกที่มี สภาพแวดล้อมเหมาะสมจะท าให้เกิดโรคกับข้าวโพด


การป้องกันก าจัด : ใช้พันธุ์ต้านทานโรค ก าจัดวัชพืชและท าลายต้นพืชที่เป็นโรคโดยการเผา ใช้ สารเคมีไดฟิโนโคนาโซล 250 อีซี ในอัตรา 20 ซีซี หรือแมนโคเซบ 80% WP อัตรา 40 กรัมต่อน้ า 20 ลิตร พ่นทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง ภาพที่ 2-22 โรคเชื้อราในต้นข้าวโพด ที่มา : https://www.unilife.co.th/?agricultural 3) โรคใบไหม้แผลเล็ก (Southern corn leaf bligt) เชื้อสาเหตุ : Bipolaris maydis (Nisik) Shoemaker อาการ : ระยะแรกเกิดจุดเล็ก ๆ สีเขียวอ่อน ่ าน้ า ต่อมาจุดจะขยายออกตามความยาวของใบโดย จ ากัดด้านกว้างของแผลขนานไปตามเส้นใบ ตรงกลางแผลมีสีเทา ขอบแผลมีสีน้ าตาล ในกรณีที่เป็น โรครุนแรงแผลจะขยายรวมตัวกันเป็นแผลใหญ่และท าให้ใบแห้งตาย ถ้าเกิดกับต้นกล้าจะเกิดขึ้น พร้อมกันทุกใบ และจะแห้งตายภายใน 3-4 สัปดาห์หลังปลูก แต่ถ้าเกิดกับต้นแก่อาการจะเกิดกับใบ ล่างก่อน การแพร่ระบาด : เชื้อโรคระบาดติดไปกับเมล็ดที่เป็นโรค และโดยทางลมหรือฝน เข้าท าลายข้าวโพด แล้วสร้างสปอร์อีกจ านวนมากแพร่กระจายในแหล่งปลูก เชื้อราสามารถเข้าท าลายได้หลายครั้งในแต่ ละ ดูปลูก การป้องกันก าจัด : ใช้พันธุ์ต้านทาน และใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากโรค หมั่นตรวจแปลงอยู่เสมอ เมื่อ พบโรคเริ่มระบาดให้ถอนแล้วเผาท าลาย จากนั้นพ่นด้วยสารไตรโฟรีน 20 อัตรา 60 ซีซี ต่อน้ า 20 ลิตร


ภาพที่ 2-23 โรคใบไหม้แผลเล็ก ที่มา: https://www.doa.go.th/fc/nakhonsawan/?p=3793 4) โรคใบไหม้แผลใหญ่ (Northern corn leaf blight) เชื้อสาเหตุ : Helminthosporium turcicum Pass. อาการ : เกิดโรคได้ทุกส่วนโดยเ พาะบนใบ แผลมีขนาดใหญ่สีเทาหรือสีน้ าตาล มีลักษณะยาวตามใบ หัวท้ายเรียวคล้ายรูปกระสวย อาการจะเกิดกับใบล่างก่อน ใบที่มีอาการรุนแรงแผลจะขยายรวมกัน เป็นแผลใหญ่ท าให้ใบแห้งและตายในที่สุด การแพร่ระบาด : เชื้อราจะสร้างสปอร์บนแผล และแพร่ไปโดยลม ฝน เมื่อมีความชื้นสปอร์จะงอกเข้า ท าลายใบข้าวโพดและแสดงอาการของโรคในส่วนอื่นต่อไป เชื้อจะสร้างสปอร์จ านวนมากในสภาพ ความชื้นสูง และมีอุณหภูมิระหว่าง 18-27 องศาเซลเซียส การป้องกันก าจัด : เช่นเดียวกับโรคใบไหม้แผลเล็ก


ภาพที่ 2-24 โรคใบไหม้แผลใหญ่ ที่มา : http://nsfcrc-news.blogspot.com/2015/11/blog-post_13.html 5) โรคใบจุด (Leaf spot) เชื้อสาเหตุ : Curvularia lunara (Wakker) Bord. Var. aeria อาการ : อาการส่วนใหญ่แสดงให้เป็นบนใบ ระยะแรกเกิดเป็นจุดเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวเข็มหมุดสีเขียว อ่อน ต่อมาตรงกลางจุดจะแห้งมีสีเทาหรือน้ าตาลอ่อน ขอบแผลสีน้ าตาลแดง ในที่สุดเปลี่ยนเป็นสี น้ าตาลไหม้ และจะมีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง การแพร่ระบาด : แพร่ระบาดโดยทางลม ฝน หรือติดไปกับเมล็ด การป้องกันก าจัด : ใช้พันธุ์ต้านทาน และใช้เมล็ดที่ปราศจากโรค ท าลายแหล่งพืชอาศัย เช่น หญ้า เดือย หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนปริมาณสูง และปลูกพืชหนาแน่น 2.1.16 แมลงและศัตรูอื่น ๆของข้าวโพด แมลงและศัตรูอื่น ๆ ที่ท าความเสียหายให้กับข้าวโพดมีหลายชนิดด้วยกัน ในแต่ละระยะการ เจริญเติบโตของข้าวโพด


1) หนอนเจาะล าต้น (corn stem borer; Ostrinia furnacalis Guenee) เป็นหนอนผีเสื้อกลางคืน หนอนเจาะกินภายในล าต้น ท าให้ต้นข้าวโพดหักล้มง่าย เมื่อถูกลมพัดแรง นอกจากนี้ยังกัดกินฝ กด้วย พบการระบาดมากในไร่ที่มีการปลูกข้าวโพดมานาน หรือในแหล่งที่มีการใช้สารฆ่าแมลงมาก เพราะจะไปท าลายแมลงศัตรูธรรมชาติ การป้องกันก าจัด : ในสภาพธรรมชาติมีแมลงที่คอยท าลายหนอนเจาะล าต้นข้าวโพดให้มีปริมาณ ลดลง ได้แก่ แตนเบียน แมลงหางหนีบ แมลงช้าง เป็นต้น นอกจากนี้ให้เลือกพันธุ์ที่ต้านทานต่อหนอน เจาะล าต้น และถ้ามีการระบาดมากให้ใช้สารฆ่าแมลงก าจัด ได้แก่ triflumuron (Alsystin 25% WP) ในอัตรา 30 กรัม หรือ teflubenzuron (Z-Killer 5% EC) ในอัตรา 20 มิลลิลิตร หรือ chlorfluazuron (Atabron 5% EC) ในอัตรา 20 มิลลิลิตร เป็นต้น 2) หนอนกระทู้ข้าวโพด (Corn armyworn; Mythimna separate Walker) พบการเข้าท าลายตั้งแต่ข้าวโพดอายุประมาณ 20 วัน ไปจนกระทั่งข้าวโพดออกฝ ก การ ระบาดมักรุนแรงในระยะที่ใบใกล้คลี่ และในระยะที่ก าลังออกไหม โดยหนอนกัดกินใบ ถ้าระบาด รุนแรงจะเหลือที่ก้านใบ การป้องกันก าจัด : ในสภาพธรรมชาติมีตัวเบียนที่คอยท าลายในระยะตัวหนอน คือ แมลงวันก้นขน แตนเบียน และแมลงหางหนีบ โดยทั่วไปหนอนกระทู้ไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตมากนัก แต่ถ้าพบมีการ ระบาดมากให้ใช้สารฆ่าแมลง carbaryl (Sevin 85% WP) อัตรา 45 กรัม ต่อน้ า 20 ลิตร 3) หนอนเจาะฝ กข้าวโพด (Corn earworm; Helicoverpa armigera Hubner) พบการกัดกินบริเวณช่อดอกตัวผู้และเส้นไหมที่ออกใหม่ เมื่อเส้นไหมที่ปลายฝ กถูกกัดกิน หมด หนอนจะเข้าไปกัดกินปลายฝ กต่อไป ถ้ามีการระบาดในระยะที่ยังไม่ได้รับการผสมเกสรเต็มที่จะ ท าให้การติดเมล็ดไม่สมบูรณ์ ถ้ามีการกัดกินในระยะที่ติดเมล็ดแล้ว ปลายฝ กอาจถูกกัดกินบ้างได้ไม่ กระทบต่อผลผลิต การป้องกันก าจัด : แมลงศัตรูธรรมชาติ ได้แก่ แตนเบียนไข่ แมลงวันก้นขน แตนเบียนหนอน และ แมลงช้าง ในสภาพทั่วไปไม่มีความจ าเป็นต้องใช้สารฆ่าแมลง โดยในระยะออกไหมควรหมั่นตรวจ แปลงว่ามีหนอนระบากหรือไม่ หากจ าเป็นต้องใช้สารฆ่าแมลงควรใช้ในระยะที่หนอนยังเล็กอยู่ สารฆ่า แมลงได้แก่ fipronil (Ascend 5% SC) อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ bifenthrin (Talstar 10%EC) อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ า 20 ลิตร


4) มอดดิน (Ground weevil; Calomycterus sp.) กัดกินใบและยอดอ่อนที่เพิ่งงอกจากเมล็ดข้าวโพด ท าให้ต้นกล้าเสียหายถึงตายได้ ต้นที่ รอดจากการท าลายจะแตกแขนง ชะงักการเจริญเติบโต ฝ กลีบเล็กหรือไม่ติดเมล็ด แมลงชนิดนี้จะ ท าลายข้าวโพดในระยะตัวเต็มวัยเท่านั้น การป้องกันก าจัด : แมลงศัตรูธรรมชาติ คือ แมลงหางหนีบจะกัดกินไข่และหนอนของมอด ดิน วิธีการป้องกันที่ดีคือใช้สารฆ่าแมลงชนิดคลุกเมล็ดก่อนปลูก ได้แก่ imidacloprid (Guacho 70% WS) อัตรา 5 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ carbosulfan (Posse 25 ST) อัตรา 20 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม 2.2 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข้าวโพดข้าวเหนียว จอม กรณ์เบอร์เกอร์, (2559) กล่าวว่า ข้าวโพดข้าวเหนียว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zea mays ceratina อยู่ในวงศ์ : Poaceae หรือเรียกว่าข้าวโพดเทียน เป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้นเพียง ดูเดียว เจริญเติบโตได้ ง่าย ล าต้นตั้งตรงแข็งแรงมีลักษณะอวบกลม มีแก่นเนื้อคล้ายฟองน้ า มีข้อและปล้อง มีขนหยาบๆปก คลุม ต้นมีสีเขียว ใบมีลักษณะยาวรี ก้านใบออกหุ้มรอบ ๆ ล าต้น มีขนเล็ก ๆ ปกคลุม มีสีเขียว ออกเป็นช่อดอก ดอกตัวเมีย มีลักษณะทรงกรวยยาว มีกาบบาง ๆ มีสีเขียวหลายชั้นล้อมรอบ มีเส้น คล้ายเส้นไหมยาว มีสีน้ าตาลม่วงอ่อนหรือสีเหลืองส้ม ออกอยู่ด้านบนเป็นกระจุก ก้านช่อดอกสั้นดอก ออกตามกาบของใบและล าต้น ดอกตัวผู้ออกปลายยอด มีดอกย่อยเล็ก ๆ มีเกสรสีเหลืองเบาปลิว กระจายได้ ผลเป็นฝ ก มีลักษณะทรงกระบอก หุ้มด้วยกาบบาง ๆ หลายชั้นรอบฝ ก ฝ กอ่อนมีสีเขียว ฝ กแก่กาบจะแห้ง มีสีน้ าตาลนวล ข้างในมีเส้นคล้ายเส้นไหมยาว หุ้มเมล็ดอยู่ประปราย และมีเมล็ด เรียงอยู่สม่ าเสมอในฝ ก เมล็ดมีลักษณะทรงกลมแบนเล็ก ๆ มีเยื่อหุ้มเมล็ดผิวเรียบบางใส มีสีเหลือง มี สีขาว สีขาวนวล สีส้ม สีม่วง หรือมีหลายสีในฝ กเดียวกัน มีรสชาติหวานมัน เมล็ดอ่อนมีเนื้อเหนียวนุ่ม ่ าน้ า เหนียวคล้ายขี้ผึ้ง เมล็ดแก่จะแข็งมาก ข้าวโพดข้าวเหนียวน ามาท าเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ น ามา ประกอบอาหารต่าง ๆ หลายเมนู ในประเทศไทยมีปลูกหลายสายพันธุ์ ล าต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุ ดูเดียว ล าต้นตั้งตรงแข็งแรงมีลักษณะอวบกลม มีแก่นเนื้อคล้าย ฟองน้ า มีข้อและปล้อง โคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่าและเริ่มยาวขึ้นเรื่อย ๆ มีเปลือกต้นหนา มีขน หยาบ ๆ ปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ขอบใบเรียบ ก้านใบออกหุ้มรอบ ๆ ล าต้น มีขนเล็ก ๆ ปกคลุมมีสีเขียว


ราก เป็นรากฝอย มีลักษณะกลมเล็ก ๆ แทงลงในดินมีรากออกที่ข้อล าต้นที่อยู่ใต้ดินออกบริเวณรอบ ๆ ล าต้น มีสีน้ าตาล ดอก ออกเป็นช่อดอกตัวเมีย มีลักษณะทรงกรวยยาว มีกาบบาง ๆ มีสีเขียว หลายชั้นล้อมรอบ มีเส้น คล้ายเส้นไหมยาว มีสีน้ าตาลม่วงอ่อน หรือสีเหลืองส้ม ออกอยู่ด้านบนเป็นกระจุก ผล เป็นฝ กมีลักษณะทรงกระบอก หุ้มด้วยกาบบาง ๆ หลายชั้นรอบฝ ก ฝ กอ่อนมีสีเขียว ฝ กแก่กาบจะ แห้ง มีสีน้ าตาล ข้างในมีเส้นคล้ายเส้นไหมยาว หุ้มเมล็ดอยู่ประปราย และมีเมล็ดเรียงอยู่สม่ าเสมอ โดยรอบแกนกลางของฝ ก เมล็ด อยู่ในฝ กเมล็ดจะเรียงอยู่สม่ าเสมอโดยรอบแกนกลางของฝ ก เมล็ดมีลักษณะทรงกลมแบนเล็ก ๆ มีเยื่อหุ้มเมล็ดผิวเรียบบางใส มีสีเหลือง สีขาว สีขาวนวล สีส้ม สีม่วง หรือมีหลายสีในฝ กเดียวกัน มี รสชาติหวานมัน เมล็ดอ่อนมีเนื้อเหนียวนุ่ม ่ าน้ า เหนียวคล้ายขี้ผึ้ง เมล็ดแก่จะแข็งมาก 2.2.1 ประโยชน์และสรรพคุณข้าวโพดข้าวเหนียว ช่วยบ ารุงปอด ช่วยบ ารุงหัวใจ ช่วยบ ารุงตับ ช่วยรักษาตับอักเสบ ช่วยรักษาไตอักเสบ ช่วย ระบบทางเดินป สสาวะ ช่วยขับป สสาวะ แก้ท้องร่วง แก้บิด ช่วยบ ารุงกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาไข้ ทับระดู ช่วยรักษาปอดอักเสบ แก้คลื่นไส้อาเจียน ช่วยบ ารุงร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร ช่วยรักษาความ ดันโลหิตสูง ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วย ป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยย่อยอาหารในล าไส้ มีอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอชรา ช่วยบ ารุงผิวพรรณ ช่วยบ ารุง สายตา แก้ไข้ แก้หวัด ช่วยบ ารุงความจ า ช่วยรักษาแผลอักเสบ ช่วยรักษาแผลสด นอกจากนี้ ทิพ ธัญญา , (2565) ได้กล่าวถึงสารอาหารและสรรพคุณข้าวโพดข้าวเหนียวไว้ดังนี้ สารอาหารในข้าวโพด ข้าวเหนียวประกอบด้วย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน A E C B1 B2 B3 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก ไขมัน สังกะสี สรรพคุณ ช่วยบ ารุงตับ ปอด หัวใจ รักษาตับอักเสบ ไตอักเสบ ช่วยระบบทางเดินป สสาวะ การขับ ป สสาวะ แก้ท้องร่วง แก้บิด บ ารุงกระเพาะอาหาร รักษาไข้ทับระดู ปอดอักเสบ แก้คลื่นไส้อาเจียน บ ารุงร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหาร รักษาความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคเบาหวาน ลดคอเรสเตอรอลใน เลือด ป้องกันโรคมะเร็ง ความงาม มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ บ ารุงผิวพรรณ สายตา แก้ไข้ แก้หวัด บ ารุงความจ า ช่วยรักษาแผลอักเสบและแผลสดได้อีกด้วย


2.3 วิธีการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว มูลนิธิสุขภาพไทย, (2562) กล่าวว่า เกษตรกรสามารถปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวได้ 2 วิธีคือ ปลูกแบบ แถวเดี่ยว เว้นระยะระหว่างแถว 75 ซม. ระยะห่างระหว่างต้น 20-25 ซม. ปลูกหลุมละ 1 ต้น ปลูกแบบแถวคู่ ต้องยกร่องสูง ระยะห่างระหว่างร่อง 120 ซม. ปลูกเป็น 2 แถวข้างร่องห่างกัน 30 ซม. และระยะห่างระหว่างต้น 25-30 ซม. หลุมละ 1 ต้น ทั้ง 2 วิธีจะได้ประมาณ 7,000-8,000 ต้น ต่อไร่ เมื่อปลูกได้ 7 วัน ข้าวโพดอยู่ในระยะก าลังงอก ต้องระวังเรื่องการให้น้ า เพราะหากขาดน้ าใน ระยะนี้จะงอกไม่ดี จ านวนต้นต่อพื้นที่จะน้อยลง ส่งผลต่อผลผลิตไม่เต็มที่ เมื่อข้าวโพดอายุ 40-45 วัน ถ้ามีอาการเหลืองไม่สมบูรณ์ ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 อัตรา 25 กก.ต่อไร่ โรยข้างต้นในขณะที่ดินมีความชื้นหรือให้น้ าตามเพื่อบ ารุงต้น โดยปกติแล้วจะเก็บเกี่ยวข้าวโพดเมื่อมี อายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก แต่ระยะการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมที่สุดคือ ระยะ 18-20 วันหลัง ข้าวโพดออกไหม 50% หมายถึงข้าวโพด 100 ต้น ออกไหม 50 ต้น แต่หากปลูกในช่วงอากาศหนาว เย็นอายุการเก็บเกี่ยวก็จะยืดออกไปอีก การดูแลรักษา หากแปลงปลูกมีวัชพืชมากจะส่งผลให้ข้าวโพดไม่สมบูรณ์ ผลผลิตลดลง ควรก าจัด วัชพืชในแปลง โดยใช้อลาคลอร์ ีดพ่นลงดินหลังการปลูกก่อนที่วัชพืชจะงอก ขณะที่ดินมีความชื้น ส าหรับช่วงฝนตกชุก ต้นข้าวโพดจะเสี่ยงต่อโรคราน้ าค้างได้ง่าย ควรใช้สารเคมีป้องกัน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง การเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดข้าวเหนียวมีอายุประมาณ 55-65 วัน หลังปลูกลงใน แปลง จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ฝ กมีสีเขียว สีเส้นไหมมีสีน้ าตาล บีบที่ปลายฝ กจะยุบ ใช้มีดหรือกรรไกร ตัด ให้มีข้อติดมาด้วย ตัดเบามือให้ระวังผลช้ าเสียหายง่าย และเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้ อย่าให้โดน แสงแดด และมีอายุการเก็บได้ไม่เกิน 2 วัน ถ้าเกินความหวานสดจะลดลง การนึ่งข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงให้อร่อย เริ่มจากเตรียมหม้อนึ่ง ต้มน้ าให้เดือด ระหว่างนี้ปอกเปลือก ข้าวโพดออก โดยปอกให้เหลือเปลือกหุ้มฝ ก 2-3 ชั้น เพื่อเป็นการรักษาสารแอนโทไซยานินให้อยู่ใน เมล็ด ท าให้เมล็ดเต่งตึงน่ารับประทาน จากนั้นน าฝ กข้าวโพดที่ปอกแล้ววางเรียงลงในหม้อนึ่งที่น้ า เดือดแล้วปิดฝา ใช้เวลาในการนึ่งประมาณ 25-30 นาที ควรปล่อยให้ฝ กข้าวโพดเย็นลงจนอยู่ในระดับ อุ่นๆ จึงรับประทาน จะท าให้สีม่วงไม่ติดมือเวลารับประทาน รวมถึงรสชาติคุณค่าทางอาหารยังคงเดิม ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่นิยมน ามาแปรรูปเป็นอาหารนานาชนิด เนื่องจากให้พลังงานสูง ในเมล็ด 100 กรัมนั้นประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม โปรตีน 11.1 กรัม เกลือแร่ 1.7 กรัม ไขมัน 4.9 กรัม และเส้นใยหยาบอีก 2.1 กรัม และยังมีวิตามินที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย เช่น วิตามินซีเอในรูปเบต้า


แคโรทีน วิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ รวมถึงลูทีนและซีแซนทิน ซึ่งเป็นสารคาโรคีนอยด์ ช่วยป้องกันตาเสื่อม สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว สภาพแวดล้อมการปลูกข้าวโพดข้าวโพดเป็นพืชไร่ที่ค่อนข้างทนทานปลูกง่ายในสภาพดินฟ้า อากาศของเมืองไทย ถ้ามีน้ าเพียงพอจะสามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี การปลูกส่วนใหญ่อาศัยน้ า จากน้ าฝนธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ดูปลูกข้าวโพดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับจ านวนน้ าฝน และการ กระจายตัวของฝนในแต่ละเดือนนั่นเอง ปกติเ ลี่ยโดยทั่วๆ ไป ฝนจะเริ่มตกมากตั้งแต่เดือนมีนาคม พ ศจิกายน และระหว่างสิงหาคม-กันยายน เป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุด พันธุ์ข้าวโพดที่นิยมปลูกกันอยู่ ในป จจุบันมีอายุปานกลาง คือ ประมาณ ๑๑๐-๑๒๐ วัน ดังนั้น จึงอาจเลือกปลูกข้าวโพดได้ตามความ เหมาะสม ถ้าปีใดมีฝนตกสม่ าเสมอแต่ต้นปี อาจปลูกข้าวโพดได้ ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกปลูกในระหว่าง เดือนกรก าคม กลางเดือนสิงหาคม พวกที่ปลูกต้น ดูฝนโดยทั่วๆ ไป มักได้ผลิตผลสูงกว่าพวกที่ปลูก ปลาย ดูฝน ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณน้ าฝนก าลังพอเหมาะ และโรคแมลงรบกวนน้อย แต่มีข้อยุ่งยากใน การเก็บเกี่ยว ไม่สะดวกแก่การตากข้าวโพด เนื่องจากฝนตกชุก ประโยชน์ของข้าวโพดข้าวเหนียว บ ารุงผม น้ ามันข้าวโพดมีประโยชน์ต่อเส้นผมและหนังศีรษะอย่างมาก เพราะมีกรดไขมันและวิตามิน อี ที่ช่วยให้ผมอิ่มน้ า นุ่มลื่น เงางาม ไม่แห้งเสีย แถมยังท าให้เส้นผมแข็งแรงมากขึ้น บ ารุงผิว ข้าวโพดสีเหลืองมีเบต้า-แคโรทีน วิตามินซี และไลโคปีน ที่ช่วยซ่อมบ ารุงให้ผิวแข็งแรง ป้องกันการถูกท าร้ายจากรังสียูวี ช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน และยังสามารถน าแป้งข้าวโพด ไปท าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยแก้อาการระคายเคืองตามผิวหนังได้ ข้าวโพดสีม่วงเข้มก็ยังมีสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งสารชนิดนี้จัดเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มฟลาโว นอยด์ มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งได้ ดูแลหัวใจ ในน้ ามันข้าวโพดมี ทธิ์ต้านการออกซิเดชั่นของไขมัน (Antiatherogenic effect) นั่น หมายความว่าร่างกายจะดูดซึมไขมันเลวได้น้อยลง ในขณะที่ไขมันดีก็จะถูกดูดซึมได้มากขึ้น ส่งผลให้ ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจลดลงไปด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ น้ ามันข้าวโพดยังมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัว


ที่พอเหมาะต่อความต้องการของร่างกาย แถมยังประกอบไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีสรรพคุณ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นไขมันชนิดดีที่สามารถแย่งพื้นที่ไขมันเลวในร่างกายได้ จึงถือว่า น้ ามันข้าวโพดมีสรรพคุณช่วยลดโอกาสเกิดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดระดับความดัน โลหิต และลดความเสี่ยงโรคหัวใจวายได้อีกต่างหาก ควบคุมเบาหวานและความดัน การทานข้าวโพดช่วยให้อาการของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (ชนิดที่ 2) ดีขึ้น และ ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพราะในข้าวโพดมีสารฟีนอลิก ซึ่งจะไปควบคุมกระบวนการดูดซึมอินซูลิน และขับออกจากร่างกาย ส่งผลให้ระดับน้ าตาลในเลือดคงที่ อีกทั้งข้าวโพดยังมีแพนโทเทนิก ซึ่งเป็น วิตามินที่ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ท าให้ต่อมหมวกไตท างานได้อย่างปกติ ส่งผล ดีต่อการหลั่งฮอร์โมนในร่างกายให้มีความสมดุล จึงช่วยป้องกันภาวะเครียดได้ด้วย ลดคอเลสเตอรอล วารสารชีวเคมีทางโภชนาการ (Journal of Nutritional Biochemistry) ระบุว่า น้ ามัน ข้าวโพดช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในร่างกายได้ เนื่องจากน้ ามันข้าวโพดมี ทธิ์ต้านการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อระดับคอเลสเตอรอล โดยช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอื่นพบว่า ข้าวโพดหวาน ก็สามารถควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายให้เป็นไปอย่างปกติด้วยสารอาหารอย่างวิตามินซี แคโรทีนอยด์ และฟลาโวนอยด์ ลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์ ข้าวโพดมีไทอะมีน (วิตามินบี 1) อยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งการที่ร่างกายเราได้รับไทอะมีนเป็นประจ า จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงได้ เพราะไทอะมีนมีส่วนส าคัญต่อความจ า โดยเป็น สารประกอบส าคัญต่อเอนไซม์ที่มีผลต่อการเสริมสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทส่วนกลาง ช่วย กระตุ้นเซลล์ประสาทด้านการเรียนรู้และจดจ า อีกทั้งไทอะมีนยังเป็นสารที่จ าเป็นต่อการสังเคราะห์ สารสื่อประสาทในสมอง กระตุ้นให้สารสื่อประสาทในสมองผลิตได้เป็นปกติ จึงช่วยลดความเสี่ยง โรคอัลไซเมอร์ได้ โดยเ พาะในกลุ่มผู้สูงวัยที่สารสื่อประสาทจะถูกผลิตลดน้อยลง ป้องกันโลหิตจาง แม้ข้าวโพดในปริมาณ 100 กรัม จะมีธาตุเหล็กอยู่ราว ๆ 0.52 มิลลิกรัม แต่นั่นก็นับว่า ข้าวโพดเป็นธัญพืชอีกชนิดที่มีธาตุเหล็กที่ส าคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดอยู่พอสมควรเลยทีเดียวเพิ่ม พลังงาน


ข้าวโพดเป็นพืชที่ให้คาร์โบไฮเดรตสูงมาก เพียงแค่เราทานข้าวโพด 1 ฝ ก ก็เท่ากับเราทาน ข้าว 1 จานแล้ว ะนั้นนักกีฬาที่ต้องการพลังงานเสริมหรือหนุ่มสาวที่ผอมแห้งแรงน้อย เราขอแนะน า ให้ทานข้าวโพดเป็นประจ า เพื่อช่วยให้มีพลังเต็มที่และมีน้ าหนักเพิ่มขึ้นได้ ที่ส าคัญ คาร์โบไฮเดรตที่มี อยู่ในข้าวโพดยังเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งย่อยสลายช้า ท าให้ร่างกายเราได้รับพลังงานต่อเนื่อง อิ่มนาน แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดให้คงที่ด้วย ช่วยในการเจริญเติบโต ข้าวโพดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินบีหลายชนิด โดยเ พาะไทอะมีน (วิตามินบี 1) กับไนอะซิน (วิตามินบี 2) ซึ่งวิตามินทั้งสองเป็นสารอาหารส าคัญที่ช่วยบ ารุงระบบประสาทและสมอง ความคิด และสติป ญญา อีกทังยังมีกรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5) ที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างมี ประสิทธิภาพ บ ารุงสายตา คนที่ใช้สายตาเยอะ ๆ หรือต้องนั่งท างานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ควรทานข้าวโพด อย่างยิ่งเลย เพราะในข้าวโพดสีเหลืองมีแคโรทีนอยด์ที่โดดเด่นอย่างลูทีนและซีแซนทีน ดีต่อระบบย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูก ไฟเบอร์แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ไฟเบอร์ที่ละลายน้ าได้ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอลและน้ าตาลในเลือด กับไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายในน้ า ซึ่งจะช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย และการท างานของล าไส้ดีขึ้น โดยในข้าวโพดมีไฟเบอร์ทั้งสองชนิดนี้ประกอบอยู่ 2.4 ท ษ ีต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน ธนยา พร้อมมูล , (2559) กล่าวว่า กล่าวว่าต้นทุนการผลิตเป็นป จจัยส าคัญที่จะก าหนดสินค้าว่ามี ราคาถูกหรือราคาแพง เพราะต้นทุนการผลิตมีส่วนประกอบหลายอย่างที่เป็นป จจัยหลักในการผลิตทั้ง วัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าสาธารณูปโภค ต่าง ๆ ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของผู้ผลิตทุกคน คือ ต้องการที่จะ ด าเนินการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตมากที่สุด หรือด าเนินการผลิตสินค้าโดยเสียต้นทุนต่ าที่สุด เพราะการผลิตมี ความสัมพันธ์โดยตรงกับต้นทุนการผลิต การใช้ป จจัยไม่มีประสิทธิภาพจะมีผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ผู้ผลิตจึง ต้องใช้ป จจัยการผลิตที่มีคุณภาพ เพื่อเสียต้นทุนการผลิตต่ าสุด ซึ่งจะมีผลท าให้ผู้ผลิตได้รับก าไรสูงสุด คุณภาพ ของสินค้าเป็นสิ่งที่มีความส าคัญเป็นอย่างมากในการแข่งขันทางการค้าในโลกป จจุบัน ขบวนการผลิตที่ดีย่อมเป็น เครื่องรับประกันว่าสินค้าที่ผลิตมีคุณภาพที่ดีและสม่ าเสมอตามมาตรฐานที่ก าหนดไว้ สินค้าที่บกพร่อง อาจพบ ได้บ้าง แต่มีปริมาณเพียงเล็กน้อยโดยจะถูกคัดออกในขั้นตอนหลังการผลิตก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค ดังนั้น การลดต้นทุนการผลิต จึงส าคัญอย่างมากในการท าให้สินค้ามีต้นทุนต่ าลงหรือก าไรเพิ่มขึ้นซึ่ง


ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการแข่งขันในตลาดการผลิตทางการเกษตรที่ถูกต้อง และเหมาะสมคือ แนวทางในการท าการเกษตรกรรมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี 2.4.1 ท ษฏีต้นทุนการผลิต เป็นหลักการบัญชีที่เกี่ยวกับการสะสมและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการ ตัดสินใจของฝ่าบริหาร ทั้งเพื่อการวางแผนควบคุมและการตัดสินในเรื่องอื่น ๆ โดยปกติแล้วการบัญชี ต้นทุนจะท าหน้าที่หลักในการสะสมข้อมูลทางด้านบัญชีต้นทุนที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตเพื่อค านวณหา ต้นทุนของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งใช้งบประมาณมูลค่าของสินค้าคงเหลือ การจ าแนกต้นทุนตามลักษณะ ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบของต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด (Cost of a Manufactured Product) ประกอบด้วยวัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง และ ค่าใช้จ่ายการผลิต ซึ่งถ้าพิจารณาในด้านทรัพยากรที่เป็นส่วนประกอบของสินค้ามีสูตรในการค านวณ ดังนี้ สูตรการค านวณต้นทุนการผลิต ต้นทุนการผลิต = วัตถุดิบทางตรง + ค่าแรงงานทางตรง + ค่าใช้จ่ายในการผลิต 2.4.1.1 วัตถุดิบ (Materials) วัตถุดิบนับว่าเป็นส่วนประกอบส าคัญของการผลิตสินค้าหรือ ผลิตภัณฑ์ส าเร็จรูปโดยทั่วไปซึ่งต้นทุนที่เกี่ยวกับการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าอาจจะถูกแบ่ง ออกเป็น 2 ลักษณะคือ 2.4.1.2 วัตถุดิบทางตรง (Direct Materials) หมายถึง วัตถุดิบหลักที่ใช้ ในการ ผลิต และสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าใช้ในการผลิตสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ในปริมาณและต้นทุน เท่าใด รวมทั้งจัดเป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ใช้ในการผลิตสินค้าชนิดนั้น ๆ 2.4.1.3 วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect Materials) หมายถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดย อ้อมกับการผลิตสินค้าแต่ไม่ใช้วัตถุดิบหลัก หรือวัตถุดิบส่วนใหญ่ 2.4.2 ค่าแรงงาน (Labor) หมายถึง ค่าจ้างหรือผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือคนงานที่ ท าหน้าที่ เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า โดยปกติแล้วค่าแรงงานจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) และค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect Labor) 2.4.2.1 ค่าแรงงานทางตรง (Direct Labor) หมายถึง ค่าแรงงานต่าง ๆ ที่จ่ายให้แก่ คนงานหรือลูกจ้างที่ท าหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าส าเร็จรูปโดยตรง รวมทั้งเป็นค่าแรงงานที่มี จ านวนมาก เมื่อเทียบกับค่าแรงงานทางอ้อมในการผลิตสินค้าหน่วยหนึ่ง ๆ และจัดเป็นค่าแรงงาน ส่วน ส าคัญในการแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสินค้าส าเร็จรูป


2.4.2.2 ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect Labor) หมายถึง ค่าแรงงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ค่าแรงงานทางตรง ที่ใช้ในการผลิตสินค้า เช่น เงินเดือนผู้ควบคุมโรงงาน เงินเดือนพนักงานท าความ สะอาด เครื่องจักรและโรงงาน พนักงานตรวจสอบคุณภาพ ช่างซ่อมบ ารุงตลอด จนต้นทุนที่เกี่ยวข้อง กับคนงาน 2.4.2.3 ค่าใช้จ่ายการผลิต (Manufacturing Overhead) หมายถึง แหล่งรวบรวม ค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าซึ่งนอกเหนือจากวัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง เช่น วัตถุดิบ 6 ทางอ้อมค่าแรงงานทางอ้อม ค่าใช้จ่ายในการผลิตทางอ้อมอื่น ๆ ได้แก่ ค่าน้ า ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าเสื่อม ราคา ค่าประกันภัย ค่าภาษี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ก็จะต้องเป็น ค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวกับการด าเนินการผลิตในโรงงานเท่านั้น ไม่รวมถึง เงินเดือน ค่าเช่า ค่าไฟฟ้า ค่าเสื่อมราคา ที่ เกิดขึ้นจาก การด าเนินงานในส านักงาน ดังนั้น ค่าใช้จ่ายการผลิต จึงถือเป็นที่รวมของค่าใช้จ่ายในการ ผลิต ทางอ้อมต่าง ๆ (Cost pool of indirect manufacturing costs) นอกจากนี้ ยังจะพบว่าในบาง กรณีก็มีการ เรียกค่าใช้จ่ายการผลิตในชื่ออื่น ๆ เช่นค่าใช้จ่ายโรงงาน (Factory Overhead) โสหุ้ยการ ผลิต (Manufacturing Burden) ต้นทุนผลิตทางอ้อม (Indirect Costs) เป็นต้น 2.4.2.4 ต้นทุนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ในการศึกษาต้นทุนการปลูกข้าวโพดข้าว เหนียวเพื่อให้ทราบถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จะใช้การแบ่งต้นทุนแบบพ ติกรรมเป็น 2 ประเภทคือ ต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร 2.4.2.5 ต้นทุนคงที่ จะแบ่งออกเป็นต้นทุนคงที่ที่เป็นเงินสดและไม่เป็นเงินสด 1) ต้นทุนคงที่ที่เป็นเงินสด คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตต้องจ่ายในรูปแบบเงินสด ในจ านวนคงที่ต่อปี เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าภาษีที่ดิน 2) ต้นทุนคงที่ที่ไม่เป็นเงินสด คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตไม่ได้จ่ายออกไปจริงใน รูปเงินสด เช่น ค่า เสื่อมราคาของอุปกรณ์การเกษตร ค่าเสียโอกาสของเงินทุนในการซื้ออุปกรณ์ การเกษตร โดยต้นทุน คงที่ทั้งสองแบบจ าแนกได้ดังนี้ 2.1) ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การเกษตร คือ ค่าใช้จ่ายในการซ่อม บ ารุงเครื่องมือและอุปกรณ์ การเกษตรที่ช ารุดเสียหาย เช่น เครื่องสูบน้ า เครื่อง ีดพ้นยา เป็นต้น โดย ค านวณจากสูตรค่าเสื่อม ราคา = มูลค่าสินทรัพย์ – มูลค่าซาก / อายุการใช้งาน (ปี) 2.2) ค่าใช้ที่ดิน คือ เป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสด จะประเมินค่าการใช้ที่ดินเท่ากับ อัตราค่าเช่าในท้องถิ่นนั้น หากเกษตรกรใช้ที่ดินของตนเองไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ แต่กรณีที่เกษตรกรไม่


มีที่ดินของตนเองเกษตรกรต้องเสียค่าเช่าที่ดิน ค านวณโดยใช้ค่าเช่าที่ดินทั้งหมดต่อปี หาร ด้วย จ านวนไร่ที่ท าการเพาะปลูกบนที่ดินเช่านั้น 3) ต้นทุนผันแปร จะแบ่งออกเป็นต้นทุนผันแปรเป็นเงินสดและไม่เป็นเงินสด 3.1) ต้นทุนผันแปรเป็นเงินสด ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตต้องจ่ายในรูปแบบเงินสดจากการ ใช้ป จจัยผันแปรต่าง ๆ เช่น ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ค่าแรงงาน ตลอดจนค่าซ่อมแซม อุปกรณ์การเกษตรต่าง ๆ เป็นต้น 3.2) ต้นทุนผันแปรไม่เป็นเงินสด คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตไม่ได้จ่ายในรูปเงินสดเป็น ค่าใช้จ่ายที่คิดให้กับป จจัยการผลิตผันแปรต่าง ๆ เช่นค่าแรงงานของบุคคลในครอบครัว ค่าวัสดุ อุปกรณ์ที่เกษตรน ามาใช้ เป็นต้น โดยต้นทุนผันแปรทั้งสองแบบจ าแนกได้ดังนี้ ค่าแรงงาน คือ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้างแรงงานที่จ่ายไปส าหรับเปลี่ยนสภาพวัตถุดิบให้เป็นผลผลิต ซึ่งจะ รวมถึง ค่าแรงงานในครอบครัวที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด นับว่าเป็นต้นทุนค่าแรงงานด้วย ซึ่งค่าแรงงาน จะแยก ตามลักษณะและขั้นตอน ได้แก่ ค่าแรงงานในการปลูก และค่าแรงงานในการดูแลรักษา 3.3) ก าไรขั้นต้น คือรายได้ของบริษัทจากการด าเนินงานไม่ว่าจากการขายสินค้า หรือ บริการ และน ามาหักด้วยต้นทุนการผลิตสินค้า หรือบริการนั้น มีสูตรการค านวณ ดังนี้ สูตรการค านวณก าไรขั้นต้น ก าไรขั้นต้น = รายได้จากการขาย – ต้นทุนการผลิต 3.4) อัตราก าไรขั้นต้น เป็นตัวชี้วัดอัตราส่วนเปรียบเทียบผลก าไรขั้นต้นกับยอดขาย ซึ่งอัตราส่วนก าไรขั้นต้น นั้นจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการท าก าไรขั้นพื้นฐานของบริษัท ซึ่ง ถ้าหากกิจการใดสามารถควบคุมอัตราก าไรขั้นต้นให้คงที่ได้ แสดงว่ากิจการนั้นเป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีสูตรการค านวณ ดังนี้ สูตรการค านวณอัตราก าไรขั้นต้น อัตราก าไรขั้นต้น = ก าไรขั้นต้น ก าไรขั้นต้น ยอดขาย ×100 4) ท ษ ีผลตอบแทน


(ธนยา พร้อมมูล,2559) กล่าวว่าผลตอบแทน สิ่งที่ผู้ลงทุนมุ่งหวังจะได้จากการลงทุน ไม่ว่า จะเป็นการลงทุนในธุรกิจในหลักทรัพย์หรือใน อสังหาริมทรัพย์ ก็คือผลตอบแทนหรืออัตรา ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ซึ่งค าว่าอัตราผลตอบแทน นี้มีความหมายกว้างขวางมาก อาจหมายถึง อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนระยะยาว อัตราผลตอบแทนจาก ส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ และอัตราผลตอบแทนที่กินความหมายแคบลงไปอีก ก็คืออัตราผลตอบแทน จากโครงการลงทุนเ พาะโครงการ ฯลฯ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีรูปแบบการวัดที่แตกต่างกันไปบ้าง และ การใช้ประโยชน์ก็แตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์เป็นส าคัญ อัตราส่วน ผลตอบแทนนอกจากใช้ประโยชน์ในการประเมินผลของโครงการยังใช้ประโยชน์ช่วยในการตัดสินใจ ลงทุนวางแผนควบคุม และปรับปรุงการ ด าเนินงาน ท ษ ีผลตอบแทน ผลผลิต หมายถึง จ านวนผลผลิตทั้งหมดที่ผู้ลิตผลิตได้ต่อหนึ่งรอบการผลิต ผลผลิตต่อไร่ หมายถึง จ านวนผลผลิตทั้งหมดที่ผู้ผลิตผลิตได้ต่อหนึ่งรอบการผลิตคิดเ ลี่ยต่อพื้นที่ผลิต ราคาของผลผลิต หมายถึง ราคาที่ผู้ผลิตขายได้หรือได้รับจากการขายผลผลิตรายได้ หมายถึง รายได้ ทั้งหมดที่ ผู้ผลิตได้รับจากการผลิตต่อหนึ่งรอบการผลิตซึ่งเท่ากับจ านวนผลผลิตทั้งหมด คูณด้วยราคา ของผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ รายได้ต่อไร่ หมายถึง รายได้ทั้งหมดที่ผู้ผลิตได้รับจากการผลิตต่อหนึ่ง รอบ การผลิต คิดเ ลี่ยต่อพื้นที่ผลิตหนึ่งไร่ ผลตอบแทนสุทธิ (Net Return) หมายถึง รายได้ทั้งหมด ลบ ด้วยต้นทุนทั้งหมด ผลตอบแทนเหนือต้นทุนที่เป็นเงินสด หมายถึง ผลต่างระหว่างรายได้ทั้งหมด กับ ต้นทุนทั้งหมดที่เป็นเงินสดนอกจากการค านวณผลตอบแทนจากการผลิตแล้วยังสามารถวิเคราะห์ จุดคุ้มทุนของการผลิตโดยใช้การวิเคราะห์ระดับราคาคุ้มทุน (Break-Even Price Analysis) หมายถึง ราคาผลผลิตเกษตรที่เกษตรกรขายได้โดยท าให้เกษตรกรได้รับรายได้เท่ากับค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการ ผลิตของผลผลิตดังกล่าว ณ ระดับผลผลิตเ ลี่ยต่อไร่และต้นทุนการผลิตที่ก าหนดให้ระดับหนึ่ง การค านวณหาระดับราคาคุ้มทุน จึงช่วยให้เกษตรกรทราบว่าราคาคุ้มทุนของผลผลิตเกษตรที่ ตนเอง ผลิตอยู่ตรงไหน เมื่อน ามาเปรียบเทียบกับราคาผลผลิตที่ขายได้ หรือคาดว่าจะขายได้ จะท าให้ เกษตรกรทราบได้ทันทีว่าตนเองขาดทุนหรือได้ก าไรในการขาย ณ ระดับราคาตลาดที่เป็นอยู่ หรือคาด ว่าจะขายได้โดยมีสูตรในการค านวณดังนี้ จุดคุ้มทุน (จ านวนหน่วย) = ค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งสิ้น ราคาขายต่อหน่วย-ค่าใช้จ่ายผันแปรต่อหน่วย 2.4.3 แนวคิดเกี่ยวกับผลตอบแทนจากโครงการลงทุน 2.4.3.1 ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period : PB) หมายถึง ระยะเวลาที่ท าให้ผลรวมของ กระแสเงินสดรับสุทธิจากการด าเนินโครงการเท่ากับเงินสดจ่ายลงทุนสุทธิหรือก็คือจ านวนปีในการ


ด าเนิน ซึ่งท าให้ได้รับก าไรในแต่ละปีรวมกันแล้วมีค่าเท่ากับจ านวนเงินลงทุนเริ่มแรก ลักษณะเด่นของ วิธีระยะเวลาคืนทุน คือ เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับกันว่าเป็นวิธีที่ง่ายต่อการท าความเข้าใจ และเน้นใน เรื่องของความมีสภาพคล่องคือเน้นการยอมรับโครงการที่ให้ระยะเวลาคืนทุนเร็วเป็นส าคัญเป็นการ ช่วยขจัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากกระแสเงินสดที่จะได้รับจากโครงการให้ปีหลัง ๆ วิธีระยะเวลาคืน ทุนเป็นการ วัด “จุดคุ้มทุน”(Break-even) อย่างหนึ่งเนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ได้น าเรื่องค่าของเงินตาม เวลามาคิดโดย ส่วนใหญ่แล้วเป็นแนวคิดทางการบัญชี ระยะเวลาคืนทุน = เงินทุนเริ่มแรก + เงินทุนหมุนเวียนส าหรับต้นทุนการผลิต + ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กระแสเงินสดรับสุทธิ (เ ลี่ยต่อเดือน) 2.4.3.2 มูลค่าป จจุบันสุทธิ (Net Present Value) มักจะมีแนวทางในการพิจารณา เพื่อให้ ผู้ลงทุนทราบล่วงหน้าว่าควรจะลงทุนในโครงการหรือไม่ และมีเหตุผลมาสนับสนุนว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงตัดสินใจเช่นนั้นหนึ่งในเหตุผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะยอมรับโครงการหรือไม่ก็คือการพิจารณา จากผลต่างที่เกิดจากการเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าที่ได้รับจากการลงทุนในโครงการกับต้นทุนในการ ท าโครงการซึ่งเรียกว่าเป็นมูลค่าป จจุบันสุทธิถ้าโครงการนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือมีมูลค่าที่ ได้รับจาก การลงทุนสูงกว่าต้นทุนหรือมีค่า NPV เป็นบวกก็ยอมรับได้ว่าโครงการนั้นสามารถด าเนินการได้ สูตร ในการค านวณดังนี้ มูลค่าป จจุบันสุทธิ = กระแสเงินสดรับสุทธิ – (เงินลงทุนเริ่มแรก + เงินทุน หมุนเวียนส าหรับต้นทุนการผลิต + ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 2.4.3.3 แนวคิดเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนการลงทุน อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนคือ อัตราส่วนระหว่างก าไรสุทธิและต้นทุนการลงทุน ROI สูง หมายถึงผลก าไรจากการลงทุนเปรียบเทียบ ได้ดีกับค่าใช้จ่าย ในฐานะตัววัดประสิทธิภาพ ROI ใช้เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนหรือเพื่อ เปรียบเทียบประสิทธิภาพของการลงทุนที่หลากหลาย ใน แง่เศรษฐกิจเป็นวิธีการหนึ่งที่เกี่ยวกับผล ก าไรในการลงทุน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ก ตวิชญ์ สุขอึ้ง . 2564) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ในบ้านปางปุก ต าบลนาไร่หลวง อ าเภอสองแคว จังหวัดน่าน โดย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมด 78 ครัวเรือน จากนั้นวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยใช้สถิติ เชิงปริมาณโดยใช้ค่าร้อยละ ผลจากการศึกษา พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนน้อยกว่า 50,000 บาท/ปี และ


มีรายได้น้อยกว่า 50,000 บาท/ปี ส่วนผลตอบแทน ที่เกษตรได้รับทั้งหมดเท่ากับ 10,599.94 บาท/ไร่ แต่มีต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 6,850.96 บาท/ไร่ ท าให้ เกษตรกรมีก าไรสุทธิที่ค่อนข้างต่ า เท่ากับ 3,748.98 บาท/ไร่ ดังนั้น การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพทางเลือก เพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกรจึงเป็น แนวทางในการลดต้นทุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกร ค าส าคัญ: ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้นทุน ผลตอบแทน จังหวัดน่าน (ประสงค์ อุทัย , 2563) ต้นทุนและผลตอบแทนในการลงทุนปลูกบัวของเกษตรกรในจังหวัดชลบุรการ วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาป จจัยส่วนบุคคลต้นทุนและผลตอบแทนในการลงทุนปลูกบัวและ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนของเกษตรกรในจังหวัดชลบุรี ระเบียบวิธีการศึกษาใช้วิธีวิจัย เชิงพรรณนา โดยใช้เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ประชากรโดยใช้เกษตรกรที่ปลูกบัวใน อ าเภอพนัสนิคม จ านวน 124,125 ราย และเลือกกลุ่มตัวอย่างจ านวน 400 ราย วิธีการการสุ่ม ตัวอย่างแบบชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเ ลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความแปรปรวน ทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า ในการปลูกบัวนั้นมีต้นทุนรวมเ ลี่ย 8,175 บาทต่อไร่ มีก าไรสุทธิเ ลี่ย 9,749 บาทต่อไร่ อัตราก าไรสุทธิ ต่อต้นทุน 1.312 เท่า อัตราก าไรต่อยอดขาย 0.62 เท่า อัตรา ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) 0.93 เท่า และ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) 3.352 เท่า และมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 38 ก า ต้นทุนการท านาบัวประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ต้นทุนค่าวัตถุดิบร้อยละ 1.95 ต้นทุนค่าแรงงานร้อยละ 38.03 และต้นทุนค่าใช้จ่ายการผลิตร้อยละ 67.07 ผลการทดสอบหา ความสัมพันธ์ระหว่างป จจัยคุณลักษณะของประชากรกับการวิเคราะห์การลงทุนและ ผลตอบแทนใน การปลูกบัวของเกษตรกร พบว่ามีความแตกต่างกันในที่ระดับนัยส าคัญทางสถิติ 0.05 (อภิญญา เชื้อช่างเขียน , 2561) ต้นทุนและผลตอบแทนในการเพาะปลูกข้าวโพดหวานฝ กสด ของ เกษตรกรภายใต้ระบบพันธะสัญญากับศูนย์วิจัยข้าวโพดและ ข้าวฟ่างแห่งชาติการศึกษาต้นทุนและ ผลตอบแทนในการผลิตข้าวโพดหวานฝ กสดของเกษตรกรภายใต้ระบบพันธะสัญญากับ ศูนย์วิจัย ข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ(ไร่สุวรรณ) ได้ท าการศึกษากับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหวานฝ กสด ใน ดูแล้ง (เดือนพ ศจิกายน-กุมภาพันธ์) ในปีเพาะปลูก 2558/2559 จ านวนทั้งสิ้น 76 ราย ท าการ เก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิด้วย แบบสอบถามจากกลุ่มเกษตรกรในสามพื้นที่ คือ สระบุรี ลพบุรี และ นครราชสีมา จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย เชิงพรรณนาเกี่ยวกับสภาพทั่วไปทางสังคม เศรษฐกิจ และวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนของต้นทุนและผลตอบแทนของเกษตรกร ที่ได้รับในรูปของ ข้อมูลปริมาณเชิงร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรภายใต้ระบบพันธะสัญญาทั้งหมด 76 ราย มี ต้นทุน รวมเท่ากับ 12,111.91 บาทต่อไร่ แบ่งเป็นต้นทุนคงที่ 1,259.39 บาทต่อไร่ และต้นทุนผัน แปร 10,852.52 บาทต่อไร่ซึ่ง มากกว่ามูลค่าของต้นทุนคงที่ เพราะมีมูลค่าของวัสดุสิ้นเปลือง ซึ่งเป็น ต้นทุนผันแปรที่มากที่สุด จ านวน 4,897.11 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 40.43) รองลงมาคือมูลค่าดูแลรักษา หลังการปลูก จ านวน 2,469.30 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 20.39) และมูลค่าการเต รียมพื้นที่และการ


เตรียมดินเป็นจ านวน 1,730.79 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 14.29) ส่วนต้นทุนที่ต่ าที่สุดคือค่าภาษีที่ดิน จ านวน 5.7 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 0.05) เพราะพื้นที่ที่ท าการเกษตรจะเสียอัตราภาษีที่ต่ า ในส่วนของ ผลตอบแทนที่เกษตรกรภายใต้ ระบบพันธะสัญญาได้รับทั้งหมด พบว่า มีรายได้ทั้งหมดเท่ากับ 14,516.04 บาทต่อไร่ โดยมีปริมาณผลผลิตของเกษตรกร ที่ขายฝ กสดโดยเ ลี่ย ประมาณ 1,657 กิโลกรัมต่อไร่ มีรายได้จากการขายฝ กสดเท่ากับ 13,842.15 บาท ซึ่งเป็นรายได้ หลักจากการขาย ปริมาณฝ กสดให้กับทางไร่สุวรรณ นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายล าต้นและส่วนอื่น ๆ คิดเป็น มูลค่า 673. 89 บาทต่อไร่ ซึ่งเป็นรายได้เหนือต้นทุนผันแปรและรายได้เหนือต้นทุนเงินสดเท่ากับ 3,663.52 และ 7,075.80 บาท ต่อไร่ตามล าดับ และเมื่อน ารายได้ทั้งหมดหักลบกับต้นทุนทั้งหมด พบว่าเกษตรกรภายใต้ระบบพันธะสัญญา มีก าไรสุทธิ ที่ค่อนข้างน้อย เท่ากับ 2,404.14 บาทต่อไร่


บทที่ 3 วิธีการด าเนินโครงงาน การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปในการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้าน เกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 2) เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทน การปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยคณะผู้ศึกษาได้ด าเนินงานอย่างเป็นระบบ ดังนี้ 3.1 ขั้นตอนการด าเนินโครงงาน 3.2 ก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการด าเนินโครงงาน 3.4 ด าเนินงานและเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 วิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ขั้นตอนการด าเนินโครงงาน การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ บ้านบุ่งวังงิ้ว ต าบลป่าเซ่า อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ แสดงการด าเนินโครงงานตามขั้นตอน โดยคณะผู้ศึกษาได้วางแผนการด าเนินงาน โดยการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั่วไปของการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวของนางสาวจ าปูน เทศบ้านเกาะ เป็นการแสดงในส่วนของการด าเนินโครงงานการที่น าแนวคิดและท ษ ีที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาชีพ ศึกษาการเขียนหัวข้อการด าเนินโครงงานเพื่อศึกษาสภาพป ญหา ส ารวจข้อมูลพื้นฐานทั่วไปวิเคราะห์ และออกแบบเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง (แบบสัมภาษณ์) ทดสอบ แก้ไขเครื่องมือโดยมีผู้เชียวชาญตรวจสอบ เพื่อน าไปเก็บรวมรวบข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลจึงน ามาวิเคราะห์และสรุปผลการด าเนินโครงงาน และจัดท ารูปเล่ม มีขั้นตอนในการด าเนินโครงงาน แสดงดังภาพที่ 3-1 ดังนี้


Click to View FlipBook Version