จุดตัดสำหรับคะแนนท่ีสงสยั ภำวะสมองเส่อื ม (cognitive impairment)
ระดบั กำรศกึ ษำ คะแนน
จุดตัด เต็ม
ผู้สงู อายปุ กตไิ มไ่ ดเ้ รียนหนงั สือ • 14 23
(อา่ นไมอ่ อก-เขียนไมไ่ ด้) (ไมต่ ้องทา 4, 9, 10)
ผูส้ งู อายปุ กติเรียนระดับประถมศึกษา • 17 30
• 22 30
ผู้สูงอายุปกตเิ รียนระดบั สูงกว่า
ประถมศกึ ษา
2.2 แบบประเมิน TMSE (Thai Mental State Examination)
แบบการตรวจสภาพจิตแบบย่อ ใช้ทดสอบการทางานของสมองดา้ นความรู้ ความเข้าใจ
ซ่ึงใชก้ ันอยา่ งแพรห่ ลายในการคดั กรองคนไข้สมองเสื่อม ในการจาแนกความบกพรอ่ งใน
การทาหน้าทข่ี องสมองดา้ นความร้คู วามเข้าใจ และอาการสมองเสอื่ มในผสู้ ูงอายุไทย
มีคะแนนเต็ม 30 คะแนน การแปลผล คะแนน ≤23 หมายถึง มภี ำวะสมองเส่ือม
2.3 แบบประเมนิ ควำมเครียด ST-5
รายละเอยี ดของแบบประมินความเครียด (ST-5) มีดังน้ี
ข้อ อำกำรหรือควำมรสู้ ึกทเ่ี กดิ แทบ เปน็ บอ่ ยค เป็น
ในระยะ 2-4 สัปดำห์ ไมม่ ี บำงค ร้งั ประ
ร้งั จำ
(0) (1) (2) (3)
1 มีปัญหำกำรนอน นอนไมห่ ลบั หรือ
นอนมำก
2 มีสมำธนิ ้อยลง
3 หงดุ หงิด/กระวนกระวำย/วำ้ ว่นุ ใจ
4 รู้สึกเบื่อ เซง็
5 ไม่อยำกพบปะผูค้ น
คะแนนรวม
หมำยเหตุ
ระดบั อาการแทบไมม่ ี หมายถงึ ไมม่ ีอาการหรอื เกดิ อาการเพียง 1 ครั้ง
ระดับอาการเปน็ บางครัง้ หมายถงึ มีอาการมากกวา่ 1 คร้งั แตไ่ ม่บ่อย
ระดับอาการบอ่ ยคร้งั หมายถึง มอี าการเกดิ ขึน้ เกือบทกุ วัน
ระดับอาการเป็นประจา หมายถงึ มีอาการเกิดข้ึนทุกวัน
กำรแปลผลและกำรให้คำแนะนำ
0 - 4 คะแนน หมายถึง ไม่มีควำมเครียดในระดับที่ก่อให้เกิดปัญหากับตัวเอง
ยงั สามารถจดั การกบั ความเครยี ดทเี่ กิดขึ้นในชีวติ ประจาวนั ได้
5 - 7 คะแนน หมายถึง สงสัยว่ำมีปัญหำควำมเครียด หรือมีเรื่องไม่สบายใจ
และยังไม่ได้คลี่คลาย ต้องใช้เวลาในการปรับตัวหรือแก้ปัญหา *ควรให้คาปรึกษา
หรือคาแนะนาในเรื่องการผ่อนคลายความเครียดด้วยการพูดคุยหรือปรึกษาหารือ
กับคนใกล้ชิด หรืออาจใช้การหายใจเข้าออกหลายครั้ง (ประมาณ 5-10 คร้ัง)
หรอื ใชห้ ลักการทางศาสนา เพอื่ คลายความกังวล*
8 คะแนนขึน้ ไป หมายถงึ มีควำมเครยี ดสงู ในระดับที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย
เช่น ปวดหัว ปวดหลงั นอนไม่หลบั ฯลฯ *ต้องให้คาปรกึ ษาจากบุคลากรสาธารณสขุ
เพื่อค้นหาสาเหตุท่ีทาให้เกิดความเครียดและหาแนวทางแก้ไข และคัดกรองโรค
ซึมเศร้าดว้ ยแบบคดั กรองซึมเศรา้ 2 คาถาม (2Q)
2.4 แบบคัดกรองโรคซึมเศร้ำ 2 คำถำม (2Q)
รายละเอียดของแบบคดั กรองโรคซึมเศร้า 2 คาถาม (2Q) มีดงั นี้
คำถำม มี ไมม่ ี
1 ใน 2 สัปดำหท์ ี่ผ่ำนมำ รวมวันน้ี ท่ำนร้สู กึ หดหู่ เศรำ้
หรือทอ้ แท้ส้ินหวัง
2 ใน 2 สปั ดำห์ทผี่ ำ่ นมำ รวมวนั น้ี ท่ำนรูส้ ึกเบื่อ ทำ
อะไรกไ็ มเ่ พลดิ เพลนิ
กำรแปลผล
ถ้าคาตอบ “ไม่มี” ทง้ั สองขอ้ ถือว่า ปกติ ไม่เป็นโรคซมึ เศรา้
ถ้าคาตอบ “มี” ข้อใดข้อหนึ่งหรือท้ังสองข้อ (มีอาการใดๆในคาถามที่ 1 และ2)
หมายถงึ เป็นผู้มคี วำมเสี่ยงหรือมแี นวโนม้ ที่จะเป็นโรคซึมเศร้ำ
คำแนะนำ
1. กลมุ่ ที่มผี ลปกติจากการคัดกรองดว้ ยแบบคดั กรองโรคซมึ เศรา้ 2 คาถาม (2Q)
1.1 แจง้ ผลการคัดกรองโรคซมึ เศร้า และให้สุขภาพจิตศึกษาเรอื่ งโรคซมึ เศร้า
1.2 แนะนาให้ออกกาลังกาย 30 - 45 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งยกเว้น
ในผูท้ ่ีมขี ้อจากัดหา้ มออกกาลงั กาย
1.3 แนะนาให้สารวจ/ประเมินโรคซึมเศร้าด้วยตนเองด้วยแบบคัดกรองโรค
ซึมเศรา้ 2 คาถาม (2Q)
2. กลุ่มที่มีโอกาสหรือมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจากการคัดกรองด้วยแบบคัด
กรองโรคซึมเศรา้ 2 คาถาม (2Q)
2.1 แจง้ ผลการคดั กรองโรคซมึ เศร้า และใหส้ ขุ ภาพจิตศกึ ษาเร่อื งโรคซมึ เศรา้
2.2 ประเมินว่ามีปัญหาด้านสังคมจิตใจหรือไม่ ถ้ามีควรให้การปรึกษา
และแนะนาทักษะในการแก้ปญั หาด้วยตัวเอง
2.3 แนะนาให้ออกกาลังกาย 30 - 45 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 คร้ัง
ยกเวน้ ในผูท้ ่มี ขี ้อจากดั หา้ มออกกาลังกาย
2.4 แนะนาใหป้ ระเมินโรคซึมเศรา้ ด้วยแบบประเมนิ โรคซมึ เศรา้ 9 คาถาม (9Q)
2.5 แบบประเมนิ โรคซึมเศรำ้ 9 คำ ถำม (9Q)
รายละเอยี ดของแบบประเมินโรคซมึ เศรา้ 9 คาถาม (9Q) มีดงั น้ี
กำรแปลผล กำรแปลผล
คะแนนรวม
< 7 ไมม่ ีอาการของโรคซึมเศรา้ หรอื มีอาการของโรค
ซึมเศร้านอ้ ย
7 - 12 มอี าการของโรคซึมเศรา้ ระดบั น้อย
13 - 18 มีอาการของโรคซึมเศรา้ ระดับปานกลาง
≥ 9 มอี าการของโรคซมึ เศรา้ ระดับรุนแรง
คำแนะนำ
1. กำรดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้ำท่ีไม่มีอำกำรของโรคซึมเศร้ำหรือมีอำกำร
ของโรคซมึ เศรำ้ ระดับนอ้ ยมำก (ผลรวมคะแนน < 7 คะแนน)
1.1 แจง้ ผลการประเมินโรคซมึ เศร้า และใหส้ ุขภาพจิตศกึ ษาเรอื่ งโรคซึมเศร้า
1.2 ประเมินว่ามีปัญหาด้านสังคมจิตใจหรือไม่ ถ้ามีควรให้การปรึกษา
และแนะนาทกั ษะในการแกป้ ัญหาด้วยตวั เอง
1.3 แนะนาให้ออกกาลังกาย 30 - 45 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 คร้ัง
ยกเวน้ ในผู้ทีม่ ขี ้อจากดั หา้ มออกกาลังกาย
1.4 แนะนาให้สารวจ/ประเมินโรคซึมเศร้าด้วยตนเองด้วยแบบคัดกรองโรค
ซึมเศร้า 2 คาถาม (2Q) เมื่อพบว่าผลมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ให้มาพบ
บุคลากรสาธารณสุข เพอื่ ประเมินโรคซึมเศรา้ อกี ครงั้
2. กำรดูแลชว่ ยเหลือผปู้ ่วยโรคซึมเศร้ำท่มี ีควำมรนุ แรงระดบั นอ้ ย
(ผลรวมคะแนน 7 – 12 คะแนน)
2.1 กรณีท่ีรับส่งต่อจากรพ.สต.ให้ประเมินด้วยแบบประเมินโรคซึมเศร้า 9
คาถาม (9Q) ซา้ อีกคร้งั
2.2 แจ้งผลการประเมินโรคซึมเศร้า และให้สขุ ภาพจติ ศกึ ษาเร่อื งโรคซมึ เศร้า
2.3 แพทย์วินิจฉัยโรคทางกาย และประเมินยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ ให้หยุดหรือลดยา
ทีส่ ามารถทาใหเ้ กิดอาการคล้ายโรคซมึ เศร้า
2.4 แจ้งผลการวินิจฉัยแก่ผู้ป่วย และญาติแนะนาวิธีลดอาการ ซึมเศร้า
โดยไมใ่ ชย้ า เชน่ ออกกาลงั กาย 30 - 45 นาที อยา่ งน้อยสปั ดาห์ละ 3 ครั้ง และวธิ ีอ่นื ๆ
ทเี่ หมาะกับผู้ป่วย
2.5 ค้นหา และประเมินปัญหาด้านสังคมจิตใจ ถ้ามีควรให้การปรึกษาผู้ป่วย
ให้สามารถแก้ไขปัญหาที่ทุกข์ใจ
2.6 นัดติดตามประเมินความรุนแรงของอาการซึมเศร้าด้วยแบบประเมินโรค
ซึมเศรา้ 9 คาถาม (9Q)
3. กำรดแู ลช่วยเหลือผปู้ ว่ ยโรคซึมเศร้ำท่ีมคี วำมรุนแรงระดับปำนกลำง
(ผลรวมคะแนน 13 – 18 คะแนน)
3.1 กรณีท่ีรับส่งต่อจากรพ.สต. ให้ประเมินด้วยแบบประเมินโรคซึมเศร้า 9
คาถาม (9Q) ซา้ อกี ครัง้
3.2 แจ้งผลการประเมินโรคซึมเศร้า และใหส้ ุขภาพจติ ศึกษาเรอื่ งโรคซมึ เศร้า
3.3 แพทย์วินิจฉัยโรคทางกาย และประเมินยาท่ีผู้ป่วยใช้อยู่ให้หยุด หรือลดยา
ทส่ี ามารถทาให้เกิดอาการคลา้ ยโรคซึมเศรา้
3.4 คน้ หา และประเมนิ ปัญหาดา้ นสงั คมจิตใจถ้ามคี วรให้การปรึกษาผปู้ ่วย
ให้สามารถแกไ้ ขปัญหาทที่ ุกขใ์ จ
3.5 พจิ ารณาใหย้ าต้านเศรา้ (Antidepressant) ตามแนวทางการรักษาโรค
ซมึ เศรา้ ดว้ ยยาต้าน อารมณ์เศรา้ 16
3.6 พิจารณาส่งต่อเพ่ือดแู ลทางสงั คมจิตใจ (Psychosocial Care) พบแพทย์
หรือบริการอ่นื ๆ เพอื่ รบั การรักษาท่ีเหมาะสมตอ่ ไป
3.7 กรณีทม่ี ีแนวโน้มที่จะฆ่าตวั ตายสูง ให้ส่งต่อโรงพยาบาลจิตเวชเพอื่ ให้การ
ดูแลรกั ษาในมาตรฐานระดบั ตติยภูมิ
4. กำรดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้ำที่มีควำมรุนแรงระดับรุนแรง (ผลรวม
คะแนน ≥ 19 คะแนน)
4.1 กรณีที่รับส่งต่อจากรพ.สต.ให้ประเมินด้วยแบบประเมินโรคซึมเศร้า
9 คาถาม (9Q) ซ้าอีกคร้งั
4.2 แจง้ ผลการประเมนิ โรคซมึ เศร้า และใหส้ ุขภาพจติ ศกึ ษาเร่อื งโรคซมึ เศรา้
4.3 แพทยว์ นิ ิจฉัยโรคทางกายและประเมินยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ ให้หยุดหรือลดยา
ที่สามารถทาให้เกิดอาการคลา้ ยโรคซึมเศร้า
4.4 ค้นหา และประเมินปัญหาด้านสังคมจิตใจ ถ้ามีควรให้การปรึกษาผู้ป่วย
ให้สามารถแก้ไขปญั หาทีท่ ุกข์ใจ
4.5 ให้ยาต้านเศร้า (Antidepressant) ตามแนวทางการรกั ษาโรคซึมเศร้าด้วย
ยาตา้ นอารมณเ์ ศร้า
4.6 ควรส่งตอ่ โรงพยาบาลจติ เวช เพื่อให้การดูแลรักษาในมาตรฐานระดับ
ตติยภมู ิ เชน่ ยาตา้ น อารมณ์เศร้า (Antidepressant) การรักษาดว้ ยไฟฟ้า
4.7 กรณีท่ผี ปู้ ว่ ยไมป่ ระสงคไ์ ปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแพทย์ท่ีโรงพยาบาล
ชุมชนควรนัดติดตาม ประเมินผล 1–2 สัปดาห์ เพ่ือปรับยาให้เร็วข้ึน พร้อมท้ังเฝ้า
ระวงั ประเมินการฆ่าตัวตายในแตล่ ะครง้ั ท่มี าตดิ ตามการรกั ษา
2.5 แบบประเมินภำวะซึมเศร้ำในผู้สงู อำยุไทย (Thai Geriatric
Depression Scale: TGDS)
การประเมินการเปล่ียนแปลงทางดา้ นอารมณไ์ ปส่ภู าวะของจติ ใจที่เศร้าซมึ
หม่นหมองไมม่ คี วามสขุ ซงึ่ เปน็ ความรู้สกึ เกี่ยวกบั ตนเองทางดา้ นร่างกาย จติ ใจ
สังคม
กำรคดิ คะแนน
ขอ้ 1,5,7,9,15,19,21,27,29,30 ถา้ ตอบว่า “ไม่ใช”่ ได้ 1 คะแนน
ขอ้ ทเี่ หลือถา้ ตอบวา่ “ใช่” ได้ 1 คะแนน
กำรแปลผล
คะแนน 0 – 12 คะแนน หมายถงึ ผู้สงู อายปุ กติ
คะแนน 13 – 18 คะแนน หมายถึง ผู้มคี วามเศรา้ เล็กนอ้ ย
(Mild depression)
คะแนน 19 – 24 คะแนน หมายถงึ ผมู้ ีความเศรา้ ปานกลาง
(Moderate depression)
คะแนน 25 – 30 คะแนน หมายถงึ ผมู้ ีความเศรา้ รุนแรง
(Severe depression)
3. กำรประเมินกำรสนับสนุนทำงสงั คม (Evaluation of social support status)
เปน็ การคน้ หาผดู้ แู ล (Care Giver) ทงั้ ผูด้ ูแลหลักและผู้ดแู ลรองการประเมินการ
ดูแลผสู้ ูงอายทุ ี่บา้ น การประเมินส่งิ แวดล้อม ท่อี ยู่อาศัย แสงสวา่ ง สิง่ อานวยความ
สะดวก โดยคานงึ ถงึ มากท่ีสุดคือเรอื่ งความปลอดภัยของผสู้ งู อายุ
กำรประเมินสภำพแวดลอ้ มและควำมปลอดภัยภำยในบำ้ น
1. บริเวณพื้นบ้ำน
พ้นื บา้ นมีพรม เสื่อ ผา้ ยาง หรือผา้ ปูรองพน้ื หรือไม่
แนะนำ ถ้าพรม เสอื่ ผ้ายางปูรองพนื้ หากไมต่ รึงกับพืน้ อย่างแน่นหนา อาจทาให้สะดุด
หกล้มได้ ให้เอาพรม เส่ือ ผา้ ยาง หรอื ผา้ ปูรองพืน้ ออก หรือนาเทป 2 หน้า หรือแผน่
ยางกนั ลื่นติด เพอ่ื ไมใ่ หพ้ รมเลอื่ น
พื้นบา้ นของคณุ มีขา้ วของวางเกะกะหรือไม่
แนะนำ ถา้ มใี ห้จัดเกบ็ ส่งิ ของเหล่านี้ ไมใ่ หม้ สี ิ่งของวางตามพน้ื
บริเวณทางเดนิ มสี ายไฟ สายโทรศัพทห์ รือสายพ่วงตอ่ พาดผ่านหรือไม่
แนะนำ ถ้ามีให้เดนิ สายไฟ สายโทรศัพท์ต่าง ๆ ใหเ้ รียบไปกบั ฝาผนัง อยา่ ปลอ่ ยให้
มสี ายไฟเกะกะตามพนื้ ทต่ี อ้ งเดนิ ผ่าน เพราะอาจทาใหส้ ะดุดหกล้มได้ หากเป็นไปได้
ให้เรยี กช่างไฟฟ้ามาปรบั แก้ และเดินสายไฟให้เป็นระเบยี บ
2. ห้องน้ำ
พน้ื หอ้ งนา้ หรืออา่ งน้าลื่นหรือไม่
แนะนำ ตดิ ผา้ ยางกนั ล่ืนไวบ้ ริเวณพ้นื หอ้ งน้า หรืออ่างอาบนา้ เพื่อกนั ลื่น
คุณตอ้ งมีคนช่วยเวลาเข้าหรอื ออกบรเิ วณอาบน้า หรอื เวลาใชส้ ว้ ม หรือไม่
แนะนำ ให้ชา่ งเพมิ่ ราวจับบริเวณที่อาบน้า และข้างโถส้วม
3. ห้องนอน
สวติ ช์ไฟหัวเตียงเอื้อมถึงยากหรอื ไม่ (เออื้ มไมถ่ งึ หรอื อยใู่ นจดุ ทเ่ี ปดิ -ปดิ ยาก)
แนะนำ เพม่ิ โคมไฟหัวเตยี ง เพือ่ ง่ายต่อการเปดิ - ปดิ ไฟ
ทางเดินจากเตียงไปห้องน้า มีแสงสวา่ งเพียงพอหรอื ไม่
แนะนำ เพิ่มดวงไฟส่งสว่างเวลากลางคืนระหว่างทางเดินไปห้องน้า ปัจจุบันมีไฟ
กลางคืนแบบอตั โนมัติท่ีจะสามารถเปิดเองเวลากลางคนื
4. กำรประเมนิ ด้ำนควำมสำมำรถในกำรประกอบกิจวัตรประจำวนั (Functional
assessment)
4.1 กำรประเมินควำมสำมำรถในกำรปฏิบตั กิ ิจวตั รประจำวัน (Activities of
Daily Living: ADL)
เคร่อื งมือท่ใี ช้ : Barthel ADL Index
1. Feeding (รับประทำนอำหำรเมอ่ื เตรียมสำรับไวใ้ ห้เรียบร้อยตอ่ หนำ้ )
0. ไม่สามารถตกั อาหารเขา้ ปากได้ ต้องมีคนช่วยปอ้ นให้
1. ตกั อาหารเองได้ แตต่ ้องมคี นชว่ ย เช่น ช่วยใช้ช้อนตักเตรียมไว้ให้หรือตดั เปน็
เลก็ ๆ ไวล้ ว่ งหน้า
2. ตกั อาหารและชว่ ยตัวเองไดเ้ ปน็ ปกติ
2. Grooming (ล้ำงหนำ้ หวีผม แปรงฟัน โกนหนวด ในระยะเวลำ 24-28 ชั่วโมง
ที่ผ่ำนมำ)
0. ตอ้ งการความช่วยเหลือ
1. ทาเองได้ (รวมทงั้ ทที่ าไดเ้ องถา้ เตรียมอปุ กรณไ์ ว้ให้)
3. Transfer (ลกุ นัง่ จำกทน่ี อน หรือจำกเตียงไปยังเก้ำอ้ี)
0. ไมส่ ามารถนงั่ ได้ (นั่งแลว้ จะล้มเสมอ) หรอื ต้องใช้คนสองคนช่วยกันยกข้ึน
1. ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจึงจะนง่ั ได้ เชน่ ตอ้ งใชค้ นท่ีแข็งแรงหรอื มี
ทักษะ 1 คน หรอื ใชค้ นทว่ั ไป 2 คนพยุง หรือดันขน้ึ มาจึงจะน่ังอยู่ได้
2. ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื บา้ ง เชน่ บอกให้ทาตาม หรอื ชว่ ยพยุงเล็กน้อย
หรือตอ้ งมคี นดูแล เพอื่ ความปลอดภัย
3. ทาไดเ้ อง
4. Toilet use (ใช้ห้องน้ำ)
0. ชว่ ยตวั เองไมไ่ ด้
1. ทาเองไดบ้ า้ ง (อย่างนอ้ ยทาความสะอาดตัวเองได้ หลังจากเสรจ็ ธุระ)
แตต่ ้องการความช่วยเหลอื ในบางสง่ิ
2. ชว่ ยตัวเองไดด้ ี (ขนึ้ นั่งและลงจากโถสว้ มเองได้ ทาความสะอาดได้เรียบร้อย
หลังจากเสรจ็ ธรุ ะ ถอดใสเ่ ส้อื ผ้าได้เรยี บรอ้ ย)
5. Mobility (กำรเคล่ือนท่ีภำยในห้องหรอื บ้ำน)
0. เคล่อื นท่ไี ปไหนไม่ได้
1. ตอ้ งใชร้ ถเข็นชว่ ยตัวเองให้เคลอื่ นท่ไี ด้เอง (ไมต่ ้องมคี นเข็นให้) และจะต้องเขา้
ออกมุมห้อง หรอื ประตูได้
2. เดนิ หรือเคล่ือนที่โดยมคี นชว่ ย เช่น พยุง หรือบอกใหท้ าตาม หรือตอ้ งให้
ความสนใจดแู ล เพอ่ื ความปลอดภัย
3. เดนิ หรือเคลอื่ นที่ไดเ้ อง
6. Dressing (กำรสวมใสเ่ สื้อผ้ำ)
0. ตอ้ งมีคนสวมใส่ให้ ช่วยตวั เองแทบไม่ไดห้ รือไดน้ ้อย
1. ช่วยตวั เองไดป้ ระมาณรอ้ ยละ 50 ที่เหลอื ตอ้ งมีคนชว่ ย
2. ชว่ ยตัวเองได้ดี (รวมท้งั การติดกระดุม รูดซิป หรือใช้เสื้อผ้าท่ดี ดั แปลงให้
เหมาะสมกไ็ ด้)
7. Stairs (การขึ้นลงบนั ได 1 ชน้ั )
0. ไมส่ ามารถทาได้
1. ต้องการคนชว่ ย
2. ข้ึนลงได้เอง (ถ้าตอ้ งใช้เครอื่ งชว่ ยเดิน เชน่ walker จะตอ้ งเอาขน้ึ ลงไดด้ ้วย)
8. Bathing (กำรอำบน้ำ)
0. ต้องมีคนช่วยหรือทาให้
1. อาบนา้ เองได้
9. Bowels (กำรกลนั้ กำรถ่ำยอุจจำระในระยะ 1 สัปดำห์ทผ่ี ่ำนมำ)
0. กลั้นไมไ่ ด้ หรอื ตอ้ งการการสวนอจุ จาระอยเู่ สมอ
1. กลั้นไมไ่ ดบ้ างคร้ัง (เป็นน้อยกวา่ 1 ครง้ั ตอ่ สัปดาห์)
2. กลั้นได้เปน็ ปกติ
10. Bladder (กำรกลัน้ ปสั สำวะในระยะ 1 สัปดำห์ท่ผี ่ำนมำ)
0. กล้ันไมไ่ ด้ หรอื ใส่สายสวนปสั สาวะแต่ไมส่ ามารถดูแลเองได้
1. กล้นั ไม่ไดบ้ างคร้ัง (เป็นนอ้ ยกว่าวนั ละ 1 ครง้ั )
2. กลน้ั ได้เปน็ ปกติ
เกณฑ์กำรประเมินควำมสำมำรถในกำรดำเนินชีวติ ประจำวัน ซ่ึงมีคะแนนเต็ม 20
คะแนน ดังนี้
คะแนน ADL ตง้ั แต่ 12 คะแนนขนึ้ ไป ผสู้ ูงอายกุ ลมุ่ 1 ผสู้ ูงอายทุ ี่พ่ึงตนเองได้
ชว่ ยเหลอื ผอู้ ื่น ชมุ ชนและสงั คมได้ (กลุม่ ตดิ สงั คม)
คะแนน ADL อยู่ในช่วง 5-11 คะแนน ผสู้ ูงอายุกลุม่ 2 ผสู้ งู อายทุ ดี่ แู ลตนเอง
ไดบ้ ้าง ช่วยเหลือตนเองไดบ้ า้ ง (กลมุ่ ติดบา้ น)
คะแนน ADL อยู่ในช่วง 0-4 คะแนน ผสู้ งู อายุกล่มุ 3 ผ้สู งู อายุที่พ่ึงตนเอง
ไม่ได้ ชว่ ยเหลอื ตนเองไม่ได้ พิการ หรือทุพพลภาพ (กล่มุ ติดเตยี ง)
4.2 ควำมสำมำรถในกำรปฏบิ ัติกิจวตั รประจำวันเชงิ ปฏบิ ตั ิ (Instrumental
Activities of Daily Living: IADL)
เครื่องมือทใ่ี ช้: แบบประเมินควำมสำมำรถเชงิ ปฏบิ ัตดิ ชั นจี ุฬำเอดีแอล
(Chula ADL index Katz Index of Independence in Activities of
Daily Living (ADL))
1. walking outdoor (เดินหรอื เคลอ่ื นทน่ี อกบ้ำน)
0 เดนิ ไมไ่ ด้
1 ใชร้ ถเขน็ และชว่ ยตัวเองได้ หรือตอ้ งการคนประคอง 2 ขา้ ง
2 ตอ้ งการคนช่วยพยงุ หรอื ไปด้วยตลอด
3 เดินไดเ้ อง (รวมทัง้ ทีใ่ ชเ้ ครอ่ื งชว่ ยเดิน เช่น walker)
2. Cooking (ทำหรือเตรยี มอำหำร / หงุ ข้ำว)
0 ทาไม่ได้
1 ต้องการคนชว่ ยในการทา หรือจดั เตรียมบางอย่างไว้ล่วงหนา้ จึงจะทาได้
2 ทาไดเ้ อง
3. Heavy house work (ทำควำมสะอำดถบู ำ้ น / ซักรดี เส้อื ผำ้ )
0 ทาไมไ่ ด้ ต้องมีคนชว่ ย
1 ทาไดเ้ อง
4. Money exchange (ทอนเงิน แลกเงนิ )
0 ทาไมไ่ ด้ ตอ้ งมคี นชว่ ย
1 ทาได้เอง
5. Public transport (เช่น บรกิ ำรใชร้ ถเมล์ รถสองแถว)
0 ไม่สามารถทาได้
1 ทาไดแ้ ตต่ อ้ งมีคนชว่ ยดูแลไปด้วย
2 ไปมาไดเ้ อง
กำรแปลผล
0 - 4 คะแนน หมายถึง ความสามารถในการปฏบิ ัติกิจวัตรประจาวนั น้อย (ติดเตียง)
5-8 คะแนน หมายถงึ ความสามารถในการปฏบิ ตั กิ ิจวัตรประจาวันปานกลาง (ติดบา้ น)
9 คะแนน หมายถึง ความสามารถในการปฏบิ ัติกจิ วัตรประจาวันมาก (ติดสังคม)
อำ้ งองิ
กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณะสุข. (2558). แนวทางการใชเ้ คร่อื งมอื ดา้ นสขุ ภาพจติ
สาํ หรบั บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน (คลนิ กิ โรคเร้อื รงั ) ฉบบั
ปรบั ปรงุ . (พมิ พ์ครงั้ ท่ี2). นนทบุร:ี โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่
ประเทศไทย จากัด.
กลุ่มภารกิจการพยาบาล โรงพยาบาลสวนสราญรมย์. (2563). คมู่ อื แบบประเมินคัด
กรองโรคจิตและปัญหาสขุ ภาพ. สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 10 ตุลาคม 2564. จาก,
http://1.179.139.229/upload/2021-02-17-1010.pdf
กัลยภรณ์ เชยโพธิ์. (2561). การเปรยี บเทยี บแบบประเมนิ ผู้สงู อายใุ นชมุ ชนแบบ
ครอบคลมุ กับแนวปฏบิ ัติ การประเมินสขุ ภาพผู้สงู อายุแบบคลอบคลมุ เป็น
องคร์ วม. Royal Thai Air Force Medical Gazette. 64(3). 85-88.
https://he02.tcithaijo.org/index.php/rtafmg/article/download/1
66255/120171/
ดลนภา สร่างไธสง. (ม.ป.ป.). ความเขา้ ใจเกย่ี วกับการประเมิน ผู้สงู อายแุ บบองคร์ วม
การประเมิน Care Management การประเมินตามบัญชสี ากล ICF:
ICD. สืบคน้ เมือ่ วันท่ี 10 ตลุ าคม 2564. จาก,
https://hpc13.anamai.moph.go.th
ผ่องพรรณ อรุณแสง. (2552). การบนั ทกึ กระบวนการพยาบาลผู้ สูงอายุ: จากแนวคดิ สู่
การปฏบิ ตั .ิ (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4). ขอนกน่ : หจก. โรงพิมพ์คลงั นานาวิทยา.
ยพุ าพิน ศริ โพธิง์ าม. (2539). การประเมินภาวะสขุ ภาพผ้สู งู อายในงานวจิ ัย. Rama
Nurs J. 58-64.
https://med.mahidol.ac.th/nursing/jns/DocumentLink/2539/iss
ue_03/07.pdf
บทท6ี่
กำรพยำบำลเพ่อื กำรสร้ำงเสรมิ สุขภำพผ้สู งู อำยุ
กำรส่งเสริมสุขภำพหรือกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ หมายถึง การส่งเสริมให้
ประชาชนมคี วามสามารถในการดูแลควบคุมและปรับปรุงสุขภาพของตนเองให้มีสุข
ภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ แนวทาง
สังคม ประชาชนสามารถปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ปรับตัวให้เข้ากับ ส่ิงแวดล้อม
และสามารถควบคมุ ปจั จยั ตา่ ง ๆ ทีม่ ผี ลต่อสขุ ภาพได้
6.1 Physical activity/ Exercise (กำรออกกำลังกำย)
กำรเคล่ือนไหวร่ำงกำย (Physical activity) คือ การบริหารกล้ามเน้ือ
และขอ้ ที่สาคัญ เชน่ ขอ้ เขา่ ข้อไหล่ และข้อน้วิ ตา่ ง ๆ
กำรออกกำลังกำย (Exercise) หมายถงึ การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวท่ีเพมิ่ การ
ใชพ้ ลงั งานนอกเหนือจากการคลอ่ื นไหวรา่ งกายในการใชช้ วี ติ ประจาวนั
อตั ราการเต้นสูงสุดของหวั ใจ = 220 – อายุ เช่น ผ้สู งู อายุอายุ 60 ปี
- อัตราการเตน้ ของหัวใจสงู สุดเทา่ กบั 220 - 60 = 160 b/m
- ควรออกกาลังกายใหส้ มดลุ โดยประมาณร้อยละ 70 - 80 คอื 112 - 128 b/m
ควำมจำเป็นของกำรออกกำลังกำยในผูส้ งู อำยุ
1. ความทนทานของร่างกาย (Endurance) ลดลงเน่ืองจากความสามารถของ
ร่างกายในการใชอ้ อกซเิ จนลดลงตามอายุทมี่ ากขึน้
2. ความแข็งแรงของร่างกาย (Strength) ลดลงเนื่องจากมวลกล้ามเน้ือ
และความแขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื ลดลงในวัยสงู อายุ
3. การทรงตัว (Balance) สูญเสียไปการทางานประสานกันระหว่างระบบ
ประสาทและกล้ามเนื้อสูญเสียไป ความเร็วในการตอบสนองต่อกระแสประสาทลดลง
ทาให้เกดิ การสญู เสยี การทรงตัว
4. ความยืดหยุน่ (Flexibility) ลดลงเน่ืองจากเอ็น ขอ้ ต่อ เสยี ความยดื หยุน่
กำรออกกำลงั กำยท่ีอยู่ในผูส้ งู อำยุ
1. การทากายบรหิ าร เช่น การรามวยจีน โยคะ ชว่ ยใหข้ ้อต่อกล้ามเนื้อแข็งแรง
การทรงตวั ดไี มห่ กลม้
2. การฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะสว่ น : ส่งเสรมิ สมรรถภาพของกลา้ มเน้ือบางส่วนเป็น
พเิ ศษ เช่น ผสู้ งู อายทุ ่ีมปี ญั หาขอ้ เขา่ เส่อื มควรบริหารให้กลา้ มเนื้อตน้ ขาแข็งแรง
3. เลือกกเลน่ กีฬาทต่ี นชอบ : ส่งเสริมให้ได้พบปะกับผู้คน แต่ไม่ควรเลือกกีฬา
ท่ีหักโหม
4. การออกกาลังกายแบบแอโรบิก : การเคล่ือนไหวร่างกายต่อเน่ืองนาน 20
ถงึ 30 นาที
ปัจจัยทเี่ กี่ยวข้องกับกำรออกกำลังกำยในผู้สงู อำยุ
1. ปจั จยั ดำ้ นผสู้ งู อำยุ
1.1 อำยุ เมื่ออายุมากข้ึนความสามารถในการออกกาลังกายจะลดลง
เนื่องจากการเปล่ียนแปลงในวัยสูงอายุดังน้ัน รูปแบบการออกกาลังกายสาหรับ
ผสู้ งู อายตุ ้องเหมาะสม เช่น กำรออกกำลงั กำยดว้ ยกำรเดนิ
1.2 เพศ เพศหญิงจะมีความสามารถในการออกกาลังกายนอ้ ยกว่า
เพศชายเพราะมีกล้ามเน้ือน้อยกว่า และความเข้มข้นของเลือดต่ากว่าด้วยการออก
กาลังกายแต่ละคร้ังอาจไม่นานเท่าผู้สูงอายุชาย แต่ใช้รูปแบบการสะสมเวลา คือ
ออกกาลงั กายมากกว่า 1 คร้ังต่อวัน และความหนักของการออกกาลังกายอาจน้อย
กว่าผสู้ งู อายุชาย
1.3 น้ำหนกั ตวั ผ้ทู ่มี ีน้าหนกั ตวั มากควรได้รับการตรวจร่างกายให้แน่ใจว่าไม่
มีโรคประจาตัว ซ่ึงจะเป็นอันตรายถ้าแนะนาให้ออกกาลังกายโดยไม่ตรวจสภาพ
ความพรอ้ มกอ่ น
1.4 กำรทรงตัวและกำรเดิน ถ้ามีปัญหาในเรื่องนี้ควรระมัดระวังมากขึ้น
เพราะอาจเกิดอุบตั เิ หตุได้งา่ ยควรเลอื กรูปแบบการออกกาลังกายทชี่ ่วยให้การทรงตวั
ดขี ึ้น โดยเปน็ รปู แบบการออกกาลังกายที่ทาให้กลา้ มเนอ้ื ขาแข็งแรง
1.5 โรคประจำตัว และยำท่ีรับประทำนเป็นประจำ ยาบางตัวมีผลลดระดับ
น้าตาลในเลือด อาจทาให้ระดับน้าตาลในเลือดต่าขณะออกกาลังกายได้ หรือยา
กล่อมประสาทสาหรับผู้ท่ีมีอาการเครียดอาจทาให้เกิดอาการง่วงนอน จึงควรเพ่ิม
ความระมัดระวังขณะออกกาลงั กายมากข้นึ
2. ปัจจัยภำยนอกอน่ื ๆ
2.1 เครือ่ งแต่งกำย ควรเลือกเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับอุณหภูมิแวดล้อม
เน่ืองจากผู้สูงอายุจะมีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
รา่ งกายไมด่ เี ท่าวัยหนุม่ สาว สาหรับรองเท้ำควรใชร้ องเทำ้ ที่เหมำะกบั เทำ้
2.2 สถำนท่ี เน่ืองจากลักษณะพื้นผิวของสนามความเรียบความสม่าเสมอ
ความหยุ่นของพ้ืนผิวมีผลต่อสมรรถนะของผู้เล่นกีฬาหรือออกกาลังกาย สถานท่ีใน
การออกกาลงั กายจงึ ควรเลือกใหเ้ หมาะสม สถานทค่ี วรมีการระบายอากาศได้ดี
2.3 เวลำ เวลาท่ีเหมาะสมสาหรับการออกกาลังกายอาจขึ้นกับแต่ละบุคคล
แต่ไม่ควรเป็นเวลาหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ หรือช่วงที่ยังมีอาหารอยู่เต็ม
กระเพาะ
2.4 ผ้รู ่วมเล่นกีฬำ หรืออกกำลังกำย การมีผู้ร่วมเล่นกีฬาหรือออกกาลังกาย
ท่ีดจี ะช่วยให้เกิดความสนกุ สนานมคี นพดู คยุ ด้วย
อำกำรและอำกำรแสดงท่ีต้องหยดุ ออกกำลงั กำยทันที
- เจ็บแน่นหน้าอก เวียนศีรษะหรือเปน็ ลม
- คลน่ื ไส้อาเจียน
- หนา้ ซีดหรอื แดงคล้า
- ปวดขาขณะเดนิ
- หายใจลาบากหรือหายใจเร็วเกนิ 10 นาทหี ลังหยุดพกั ใจสัน่ หรอื เต้นเรว็
มากผดิ ปกติ หัวใจเตน้ ผดิ จงั หวะ
- เหน่อื ยหอบตอนกลางคนื นอนราบไม่ได้
ภำวะที่ควรงดออกกำลังกำยเด็ดขำด
- Myocardial infarction (MI) ทเ่ี พิ่งเป็นไมน่ าน
- Unstable Angina
- ภาวะหัวใจเตน้ ผิดจงั หวะทกุ ควบคุมไมไ่ ด้ ภาวะหวั ใจวายท่คี วบคุมไมไ่ ด้
กลา้ มเนือ้ หัวใจหรือเยื่อหุ้มหวั ใจอักเสบ
- Severe Aortic stenosis
- Pulmonary embolism
- Dissection aortic aneurysm
6.2 Fail / Environment ( กำรหกลม้ ในผสู้ งู อำยุ )
ภาวะหกล้ม หมายถึง การท่ีบุคคลลงไปอยู่ในท่าพักโดยไม่ตั้งใจบนพื้น หรือใน
ระดับท่ีต่ากว่าเดิม และจากผลที่ตามมาของการถูกชนหรือตีอย่างแรง การหมดสติ
การเกดิ อัมพาดอย่างทนั ทที ันใด
ปัจจัยส่งเสริมภำวะหกล้มในผสู้ ูงอำยุกำรเกดิ ภำวะหกลม้ ในผสู้ ูงอำยุ
1. ปจั จยั ภำยในบคุ คล
1.1 อายุ
1.2 ภาวะพร่องดา้ นการรับรู้และสตปิ ัญญา (impaired mental status)
1.3 ประวตั กิ ารหกล้ม
1.4 การใช้ยา
1.5 ปจั จยั ดา้ นความสามารถในการทรงตวั และการเดิน
1.6 ปัญหาการขบั ถา่ ยปสั สาวะ
1.7 ปัจจัยอ่ืน ๆ ได้แก่ การได้รับสารละลายทางหลอดเลือดดา ภาวะมึนงง
การใชส้ ารเสพตดิ ภายหลงั การผ่าตัด
1.8 ปัญหาสุขภาพทางอายรุ กรรม เชน่ ความดนั โลหิตตา่
1.9 ปจั จัยอืน่ ๆ เช่น เครื่องแตง่ กายและเครอื่ งช่วยในการเคลื่อนไหวไม่เหมาะสม
2. ปัจจัยภำยนอกบุคคล
2.1 ปจั จัยภายนอก
1) สภาพแวดลอ้ มในโรงพยาบาลท่ีมคี วามเส่ียงต่อการหกลม้ ของผ้ปู ่วย
2) ปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อมที่บา้ นมีดงั นี้
- แสงสว่างและสีทไี่ ม่เหมาะสม
- พนื้ บ้านทเ่ี ปน็ อนั ตรายพนื้ ผิวท่ีไม่เรียบมลี วดลายหลอกตามสี ง่ิ
ปกคลมุ
- ส่ิงกอ่ สรา้ งภายในบ้านทไี่ ม่เหมาะสม เชน่ บันไดไมม่ ีราวยึด
ขั้นบนั ไดท่ีมีความสงู ไมเ่ หมาะสมหรอื สูงไม่สมา่ เสมอ
- เคร่ืองเรอื นทไ่ี ม่เหมาะสม เช่น การจัดวางเครือ่ งเรือนไม่เป็น
ระเบยี บ
กำรปอ้ งกันอุบตั ิเหตแุ ละกำรหกลม้ ในผ้สู ูงอำยุ
1. บอกผู้สูงอายหุ ากเปล่ียนสงิ่ แวดลอ้ มใหม่ จัดเก็บพืน้ ห้องให้เรยี บร้อยไมล่ ่น
ไม่มีสงิ่ กดี ขวาง
2. กระตุน้ ใหผ้ สู้ งู อายสุ วมแว่น หฟู งั และอุปกรณเ์ ทียมเมื่อมีปัญหา
3. หลีกเลี่ยงการใชเ้ ครอื่ งผูกยึด (Physical restraints)
4. เปดิ ไฟให้สวา่ งอยา่ งเพยี งพอ
5. ระมดั ระวังการใช้ยาบางชนิด
6.3 Elder abuse / Elder mistreatment ( กำรทำรุณกรรมในผสู้ งู อำยุ )
หมายถึง การกระทา หรือการละเว้นการกระทาจนเป็นเหตุ ให้ผู้สูงอายุเส่ือมเสีย
เสรีภาพ เกดิ อันตรายแก่รา่ งกายหรอื จิตใจ
ประเภทของกำรทำรุณกรรมผสู้ ูงอำยุ แบง่ ออกเปน็ 5 ประเภท
1. กำรทำรณุ กรรมทำงรำ่ งกำย (physical abuse)
หมายถึง การทาร้ายร่างกายให้เกิดความเจ็บปวดบาดแผลบาดเจ็บ และความ
พิการในรปู แบบต่างๆ เช่น การทบุ ตี ตบ หรอื การกระทาอ่นื ๆ
2. กำรทำรณุ กรรมทำงเพศ (Sexual abuse)
หมายถงึ การลว่ งละเมิดทางเพศ และพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมทางเพศ ท่ีกระทา
ต่อผู้สูงอายุ การใช้กาลังการข่มขู่ล่วงเกินท่ีไม่ได้รับความยินยอมหรือเต็มใจในการมี
เพศสัมพนั ธ์
3. กำรทำรุณกรรมทำงด้ำนอำรมณ์และจิตใจ (psychological emotional
abuse)
หมายถึง การกระทาทางวาจาและท่าทาง ส่งผลทางอารมณ์ที่ทาให้เกิดความ
เจบ็ ปวดทางจติ ใจ ซงึ่ แบ่งไดเ้ ป็น 2 แบบ
3.1 กำรใช้คำพูด (verbal form) เชน่ การพดู เสียงดงั ตวาด ตะคอก
3.2 กำรไมใ่ ช้คำพดู (nonverbal form) เช่น การเพิกเฉย ไม่รู้ไมช่ ี้
4. กำรทำรุณกรรมทำงดำ้ นกำรเงิน และกำรแสวงหำผลประโยชน์
(financial abuse and exploitation)
หมายถงึ การใหท้ รัพยส์ ินแกผ่ ู้สงู อายอุ ย่างไมเ่ หมาะสม หรอื ไมพ่ อเพียงตอ่
การดาเนินชีวติ และยงั รวมถึงการยดึ ครอบครองการนาทรัพยส์ นิ ของ
ผู้สงู อายไุ ปใชโ้ ดยไม่ถูกต้อง
5. กำรถกู ทอดทิ้งจำกผดู้ แู ล (neglect or abandonment by
caregivers)
หมายถึง การละเลยไม่เอาใจใส่ผู้สูงอายุ ซงึ่ การทอดท้งิ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ
5.1. ตงั้ ใจทอดทง้ิ (active neglect) เปน็ การต้งั ใจไมต่ อบสนองความ
ตอ้ งการของผู้สูงอายทุ ัง้ ด้านร่างกายและจิตใจ
5.2. ทอดทง้ิ โดยไมต่ งั้ ใจ (passive neglect) เกิดจากการไมม่ ี
ประสบการณก์ ารดแู ลขาดความรคู้ วามสามารถในการดแู ล
นอกจากการทารุณกรรม 5 ประเภทข้างตน้ แล้ว ในประเทศไทย
คณะกรรมาธิการกจิ การสตรเี ยาวชนและผูส้ งู อายุวุฒิสภายังไดเ้ พ่ิมเตมิ ประเภทของ
ความรุนแรงต่อผ้สู ูงอายุไวด้ ังนี้
1. การรุกลา้ สิทธขิ องผู้สงู อายุ (Violation of rights) หมายถึง การบงั คับให้
ผู้สูงอายุต้องทาในสง่ิ ท่ีไม่อยากกระทาหรือการบังคบั ไม่ให้ผู้สูงอายุทาในสิง่ ท่ี
ต้องการจะทา
2. การทารา้ ยตนเอง (self-abuse) หมายถึง การกระทาทสี่ าเหตุสว่ นใหญ่
มาจากโรคของผสู้ งู อายุเอง
กำรดูแลช่วยเหลอื ผ้สู ูงอำยทุ ถี่ ูกทำรุณกรรม
หลักกำรดูแล คือ เน้นให้ผูส้ งู อายปุ ลอดภัย และตดั วงจรการทารา้ ย
ดว้ ยการลดหรือกาจดั ปจั จยั เสริมต่าง ๆ พยาบาลจงึ เป็นทางผูป้ ระเมนิ
ผู้บันทึกรายงาน ให้คาปรกึ ษา เปน็ พยาน ใหค้ วามรกู้ ับผู้ดแู ล และใหก้ ารพยาบาล
ตามปญั หา ไดป้ ระสานงานกบั หนว่ ยงานต่าง ๆในการเขา้ ช่วยเหลอื
6.4 Nutrition (ภำวะโภชนำกำร)
ปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ ภำวะโภชนำกำรในผสู้ ูงอำยุ
1. ความบกพร่องในการทางานของระบบทางเดนิ อาหาร
2. บกพรอ่ งในการทาหน้าทด่ี ้านร่างกายและความเจ็บปวด
3. ผลจากยา
4. ปจั จยั ด้านแบบแผนการดาเนินชวี ติ
5. ปจั จยั ด้านจติ สังคม
6. ปจั จัยด้านวฒั นธรรมและฐานะทางเศณษฐกจิ
7. ปจั จัยด้านส่งิ แวดลอ้ ม
8. ความเชือ่ ผิดๆ
ภำวะพร่องโภชนำกำรในผู้สูงอำยุ
อาการและอาการแสดง
: ผมรว่ ง แกม้ -ขมับตอบ กล้ามเนื้อลบี ปากนกกระจอก ลน้ิ เลย่ี น บวม
กำรพยำบำล
1. แนะนาเรอ่ื งการรบั ประทานอาหาร
โปรตนี : คารโ์ บไฮเดรต : ไขมัน ให้ไดส้ ดั สว่ น 15% : 75 % : 10 %
2 ทานผักหรือผลไมแ้ ทนขนมหวาน
3 เล่ียงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ทานไข่ท้ังฟองไม่เกิน 2-3 ฟองต่อ
สปั ดาห์ ลดการปรงุ อาหาร หรอื ทานอาหารรสเคม็ เค็ม และลดการด่มื กาแฟ ชา
4 ทานอาหารเสริมระหว่างมื้อ
5. ส่งเสรมิ การรับประทานอาหารร่วมกบั สมาชกิ ในครอบครวั
6.5 Sleep (กำรนอนหลับในผูส้ ูงอำยุ)
กลไกกำรนอน
1. การนอนในชว่ งหลับธรรมดา เรียกวา่ Non-rapid eyes movement (non-
REM)
ระยะที่ 1 (Stage I) ระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition to sleep)
ระยะท่ี 2 (Stage II) ระยะต้นื ( Light sleep)
ระยะที่ 4 (Stage III) ระยะหลบั จริง (So-called true sleep)
ระยะที่ 5 (Stage IV) ระยะหลับลกึ (True sleep)
2. การนอนช่วงหลับฝัน เรยี กว่า Rapid eyes movement (REM)
กำรเปลี่ยนแปลงแบบแผนกำรนอนหลับในผสู้ งู อำยุ
ผสู้ งู อายมุ ชี ่วงหลบั ในระยะที่ 1-2 นานขน้ึ และระยะท่ี 3-4 ลดลง
ช่วงในการนอนหลับของผสู้ ูงอายจุ ะเรว็ ข้ึนผูส้ ูงอายุมกั จะง่วงนอนเรว็ นอน แต่หัวคา่
เนอื่ งจากเมอ่ื พระอาทิตยต์ กดินหรอื เร่ิมมืด วงจรนาฬกิ าชวี ภาพ
(circadian rhythm) ถกู กระตุ้นทาให้งว่ งนอน แต่จะใช้เวลาต้งั แตเ่ ข้านอนจนหลับนาน
และนอนไดไ้ ม่นานจานวนชั่วโมงลดลง บางคนจะต่นื บอ่ ยๆในเวลากลางคืน ผู้สงู อายงุ ่วง
นอนในตอนกลางวันเพือ่ ชดเชยการนอนในระยะสั้นตอนกลางคืน
อำกำรนอนไมห่ ลบั (insomnia)
อาการนอนไมห่ ลบั เป็นภาวะท่ีสญู เสยี ความสามารถในการหลบั
โดยมีความลาบากในการเร่ิมนอนหลับ (difficulties falling sleep)
หลบั ยากใชเ้ วลานานมากกว่า 30 นาทหี ลบั ๆตื่น ๆ ในตอนกลางคืนหรอื ตน่ื บ่อยๆหลังจาก
นนั้ หลบั ยาก (mid-sleep awakening) ตื่นเรว็ หรอื ตืน่ เชา้ (early morning awakening)
ทาให้ต่นื ขึ้นแล้วไมส่ ดชนื่ อาการนอนไมห่ ลับมักจะเป็นชว่ั คราว แตถ่ ้าหากมอี าการเกนิ กวา่
1 เดอื นถอื วา่ เปน็ อาการเรือ้ รงั
ผลกระทบของกำรนอนไมห่ ลบั
การนอนไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุทั้งทางร่างกายจิตใจและการใช้
ชีวิต ได้แก่ การตื่นข้ึนตอนเช้าแล้วไม่สดช่ืน ร่างกายอ่อนล้า และง่วงนอนในเวลา
กลางวัน สมาธิลดลง ความจาไม่มีความสามารถในการตัดสินใจลดลงเสี่ยงต่อการ
เกิดอุบัติเหตุความเครียดอารมณ์หงุดหงิดเส่ียงต่อการเจ็บป่วยง่ายระบบภูมิคุ้มกัน
และระบบต่อมไร้ทอ่ ตา่ ง ๆทางานบกพรอ่ ง
ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ กำรนอนไมห่ ลบั ในผู้สงู อำยุ
1. ปจั จยั ภายใน หมายถึง ปัจจยั ที่เกิดจากตัวผสู้ ูงอายเุ องมดี ังนี้
1.1. ปจั จยั ด้านรา่ งกาย
1) ความเจ็บปวดหรือการอักเสบของเน้ือเย่ือเซลล์ ประสาท
หรืออวยั วะต่างๆ
2) การปสั สาวะบอ่ ย
3) การใชย้ า
4) การหายใจลาบาก
5) การไอ
6) การกระตกุ ของแขนหรือขาขณะหลับ
7) คาเฟอีน
8) เครอ่ื งดมื่ ที่มสี ่วนผสมแอลกอฮอล์
9) บหุ ร่ี
1.2. ปจั จยั ด้านจิตใจและอารมณ์
1) ความวิตกกังวล
2) อารมณ์เศรา้
3) ความเครยี ด
4) การฝันรา้ ย
2. ปัจจัยภายนอก หมายถึง ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับส่ิงแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ
ตวั ผสู้ ูงอายุ ได้แก่ เสียงรบกวนขณะนอนหลบั จะทาให้เวลาก่อนการเคล้ิมหลับนานขึ้น
ระยะเวลาที่ใชใ้ นการหลบั ลดลง จานวนครัง้ ของการสะดุ้งตื่นเพิ่มขึ้น แสงอุณหภูมิกลิ่น
ไม่พงึ ประสงคส์ ตั ว์รบกวนต่างๆ เช่น แมว สุนัข ลกั ษณะทีน่ อน เชน่ หมอนทแ่ี ข็งหรือนุ่ม
เกินไป ทาให้ไมส่ ุขสบายขณะนอน
กำรประเมินคณุ ภำพกำรนอนหลับ
การประเมินคุณภาพการนอนหลับประเมนิ จากลักษณะต่างๆดังน้ี
1. ระยะเวลาตง้ั แต่เข้านอนจนกระทง่ั หลบั (sleep latency)
2. ระยะเวลาการนอนในแตล่ ะคืน (total sleep time)
3. จานวนครง้ั ท่ีถกู รบกวนขณะหลับ (number of disturbance)
4. ประสิทธภิ าพการนอนหลับ (sleep efficiency)
6.6 Sexual relation ( เพศสมั พันธ์ในผสู้ ูงอำยุ)
เมื่ออายมุ ากขน้ึ พบว่ามีการเสื่อมถอยของรา่ งกายท่อี าจสง่ ผลต่อการมี
เพศสัมพันธ์ ดงั นี้
1. การเสื่อมของรา่ งกายเมอ่ื มีอายุสูงขึน้
1.1 เพศชำย เกดิ ปญั หำ Erectile dysfunction (ED)
รูปแบบกำรตอบสนองทำงเพศ กำรเปลี่ยนแปลงจำกกำรสงู อำยุ
1. ระยะตน่ื ตวั - การตอบสนองต่อสง่ิ เร้าใชเ้ วลานาน
ข้ึน
2. ระยะทรงตัว - อวยั วะเพศแข็งตัวนานขนึ้
หลั่งชา้ หรอื ไม่เกิดการหลั่ง
3. ระยะถึงจดุ สุดยอด - หล่งั โดยไมร่ ตู้ ัว นา้ ทีข่ บั ออกมาลดลง
เหลือ 1-3 มลิ ลลิ ติ ร
4. ระยะกลับสูส่ ภาพเดมิ - อวยั วะเพศอ่อนตวั ลงและมีขนาดเล็ก
ลงในช่วงระยะเวลาส้ันมาก ระยะเวลา
พักนาน กวา่ จะตอบสนองต่อสิ่งเรา้ อีก
ครง้ั
1.2 เพศหญิง ความตอ้ งการางเพศลดลง เจบ็ ปวดระหว่างมเี พศสัมพนั ธ์
ช่องคลอดเกรง็ และไม่บรรลุจดุ สดุ ยอดหลงั มเี พศสมั พันธ์ มปี ญั หาระบบทางเดิน
ปสั สาวะ (Yamaratat el, 2014)
รูปแบบกำรตอบสนองทำงเพศ กำรเปลี่ยนแปลงจำกกำรสูงอำยุ
1. ระยะต่ืนตัว
- นา้ หล่อล่นื ชอ่ งคลอดหลง่ั ชา้ การ
2. ระยะทรงตัว ตอบสนองการกระตุน้ ช้า
3. ระยะถึงจุดสุดยอด
- ไมป่ รากฏเดน่ ชดั
4. ระยะกลบั สู่สภาพเดิม
- ใชร้ ะยะเวลาสั้น มดลกู บีบรดั แบบ
Spasm มากกวา่ บีบเป็นจังหวะ
- จะเกดิ ขึน้ อย่างรวดเรว็ อาจมี Orgasm
หลายครง้ั
2. ความต้องการทางเพศ
3. หารใช้ยา
4. การมีโรค เช่น เบาหวาน ความดันโลหติ สูง
5. การลดลงของฮอรโ์ มน
ในเพศชำย ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
ในเพศหญิง ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ลดลง
6. ภาวะทางอารมณ์ จติ ใจ
7. ทัศนคตติ อ่ การแสดงออกทางเพศสัมพนั ธ์
ปัญหำเพศสัมพนั ธใ์ นผู้สูงอำยุ
1. ปัญหาดา้ นเพศสัมพนั ธท์ ่ีพบในหญงิ สงู อายุ ไดแ้ ก่
1.1 ความสขุ ในการมีเพศสมั พันธ์ลดลง
1.1.1 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากการเปล่ยี นแปลงสภาพร่างกาย
1.1.2 ความตอ้ งการทางเพศทลี ดลง
1.2 การเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ (dyspareunia)
1.2.1 การเปล่ียนแปลงสภาพของชอ่ งคลอด
1.2.2 การหลอ่ ลนื่ ในช่องคลอดไม่เพียงพอ
1.2.3 การบาดเจ็บหรอื การระคายเคืองในช่องคลอด
1.2.4 การอกั เสบหรือการติดเชอื้ ในชอ่ งคลอด
1.2.5 ความเครียดและความวิตกกังวล
2. ปญั หาด้านเพศสัมพนั ธข์ องสงู อายุเพศชาย
การเสอ่ื มสมรรถภาพทางเพศ (Impotence) หมายถึง การสญู เสยี ความสามารถ
ทจี่ ะมี และการคงไว้ซ่ึงการแข็งตัวของอวัยวะสืบพันธุ์ใหต้ ลอดช่วงเวลาทมี่ เี พศสมั พนั ธ์
ปญั หาท่ีพบเกย่ี วกับการมีเพศสมั พนั ธ์ มดี ังนี้
1. การมีกิจกรรมทางเพศไมน่ านเหนื่อยง่าย
2. อวัยวะเพศชายไมแ่ ขง็ ตวั หรอื ออ่ นตวั เรว็ หรือแขง็ ตวั ไดไ้ ม่นาน
3. อาการทฝ่ี า่ ยชายถงึ จดุ สดุ ยอดเรว็ หรอื หล่งั เรว็ (Priapism)
4. การหล่ังชา้ (Delayed ejaculation)
6.7 Stress management ( กำรจัดกำรควำมเครียด )
ปจั จัยทีเ่ กยี่ วข้องกับปัญหำสุขภำพจิตในผ้สู งู อำยุ
1. การเปล่ียนแปลงตามระยะพฒั นาการเมอ่ื เขา้ สูว่ ยั สงู อายมุ ีการเปลย่ี นแปลงท่ี
อาจเกยี่ วข้องกับ ปัญหาสขุ ภาพจติ ดังน้ี
1.1 การเกษียณอายุราชการ
1.1.1 การสญู เสียรายได้
1.1.2 การสญู เสียจุดมุ่งหมายในชีวติ
1.1.3 ปฏสิ ัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและการได้รบั การสนับสนนุ ชว่ ยเหลอื
จากเพ่ือนรว่ มงานลดลง
1.1.4 การสญู เสียบทบาททางสงั คม
2. ปจั จัยด้านความเจ็บป่วย การเจ็บป่วยดว้ ยโรคเร้ือรงั สง่ ผลใหเ้ กิดปัญหาสุขภาพจติ
ในผ้สู งู อายเุ นื่องจากผลทต่ี ามมาจากการเจ็บปว่ ยเรอื้ รงั มีดังน้ี
2.1 การทาหน้าที่ด้านรา่ งกายลดลง
2.2 การรับความรูส้ กึ ลดลง
2.3 การพง่ึ พา
3. การเผชิญกับเหตุการณส์ าคญั ดว้ ยระยะเวลาท่ใี ช้ชีวติ มานานทาให้
ผูส้ งู อายมุ ีโอกาสเผชิญกับเหตกุ ารณส์ าคัญ ๆ หลายเหตุการณ์ เช่น
การจากไปของคู่สมรส เพ่อื น ซง่ึ ส่งผลให้เกดิ ปญั หาด้านจิตใจ ดงั นี้
3.1 สูญเสยี เพือ่ นร่วมกิจกรรม
3.2 คกุ คามต่อการสูญเสยี ชีวิตตนเอง
3.3 การสญู เสียค่สู มรสสง่ ผลให้เกิดปญั หาดา้ นจติ ใจในผู้สงู อายุ
ด้วยเหตุผลดงั นี้
3.3.1 สูญเสยี ผูช้ ว่ ยเหลือดแู ล
3.3.2 สูญเสียคนู่ อน
3.3.3 รู้สึกโดดเด่ยี ว
3.3.4 เปล่ยี นแปลงความรบั ผิดชอบ
3.3.5 พ่งึ พาบุคคลอ่นื
4. ตราบาปกีดกันหรือแบ่งแยก
4.1 การลดคุณค่าผู้สงู อายุเนอ่ื งจากผสู้ งู
4.2 ทศั นคติดา้ นลบตอ่ การสงู อายุ
4.3 ตราบาป
5. การย้ายถนิ่ ทาใหเ้ กดิ ปัญหาตามมาดงั นี้
5.1 สญู เสยี สถานท่ที ่คี ุน้ เคย
5.2 เปล่ยี นแปลงเพอ่ื นบ้าน
5.3 แยกจากเพื่อนรวมถงึ เพอื่ นบา้ น
การปรับตัวตอ่ ความเครยี ด
- การเผชิญกับสาเหตขุ องความเครียดตามความจริง
- การทาสมาธกิ าญจนาการ การนอนหลบั การออกกาลังกาย การฝกึ เกร็ง
และคลายกล้ามเนอ้ื นันทนาการและการปล่อยวาง
6.8 Social participation / Recreation (สงั คมในผูส้ ูงอำยุ)
ประเภทของกจิ กรรมทำงสังคม
กิจกรรมทางสังคมแบง่ ออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. กิจกรรมท่ีมีรปู แบบ (formal activity)
2. กิจกรรมทไี่ มม่ ีรูปแบบ
3. กจิ กรรมนันทนาการ
อย่างไรกต็ ามกิจกรรมทางสังคมอาจสามารถแบ่งตามรูปแบบกิจกรรมออกเป็นหลากหลาย
กิจกรรมดังน้ี
1. กจิ กรรมอาชวี บาบดั
2. กจิ กรรมดนตรี
3. กิจกรรมดา้ นอาชพี
4. กิจกรรมด้านการศึกษา
5. กจิ กรรมทเี่ ก่ียวขอ้ งกับสุขภาพ
6. กิจกรรมตามวฒั นธรรมประเพณีประจาท้องถนิ่
7. กิจกรรมดา้ นศาสนา
8. กิจกรรมด้านการเมือง
9. กจิ กรรมการเผยแพร่ความรู้
10. กจิ กรรมการพัฒนาสังคม
11. กจิ กรรมทศั นศึกษา
12. กิจกรรมอ่ืน ๆ เชน่ กิจกรรมทผี่ ูส้ งู อายมุ คี วามชานาญเป็นพิเศษ และถา่ ยทอดให้
บคุ คลอ่ืน
ปัจจยั ที่เกย่ี วขอ้ งกับกำรเข้ำร่วมกิจกรรมทำงสังคมในผู้สงู อำยุ
1. ขอ้ จากัดสว่ นบคุ คล
- การเปลย่ี นแปลงดา้ นร่างกาย
- ภาวะพึ่งพงิ ผอู้ ื่นมากข้ึน
- ความบกพรอ่ งในด้านการรับรู้
- ขอ้ จากดั ด้านร่างกายหรอื ด้านเศรษฐกิจ
2. ปัจจัยด้านสงั คม
การเปลี่ยนแปลงของสังคมอยา่ งรวดเรว็ เข้าสู่สงั คมเทคโนโลยี
3. ปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่ สภาพบ้าน และส่งิ แวดล้อมมผี ลต่อการมสี ่วนร่วมทาง
สงั คมของผสู้ ูงอายุ
การส่งเสรมิ สุขภาวะด้านสงั คมในผู้สูงอายมุ ีความสาคญั ไม่นอ้ ยไปกวา่ การส่งเสรมิ
สุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ ซง่ึ ทกุ ฝา่ ยทเ่ี กย่ี วขอ้ งจาเปน็ ต้องมกี ารประสานความรว่ มมือ
กันในการดาเนนิ งานเพือ่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย
อ้ำงองิ
ศริ ิรัตน์ ปานอทุ ัย. (2561). การพยาบาลผสู้ งู อายุ เล่มท่ี 1.(พมิ พ์ครง้ั ที่ 2).
เชยี งใหม่: บรษิ ทั สมารท์ โคตติ้งแอนด์ เซอร์วิส.
ศริ ิรัตน์ ปานอทุ ัย. (2560). การพยาบาลผูส้ งู อายุ เล่มท่ี 2.
(พิมพค์ รง้ั ที่ 2). เชียงใหม่: บรษิ ัท สมารท์ โคตติ้งแอนด์ เซอรว์ สิ .
ผอ่ งพรรณ อรุณแสง. (2550). การบนั ทกึ กระบวนการพยาบาลผู้สูงอายุ:
จากแนวคิดสู่การปฏิบตั ิ. ขอนแก่น:โรงพิมพค์ ลงั นานาวิทยา.
ประเสริฐ อสั สนั ตชยั และคณะ. (2552). การเปล่ยี นแปลงทางสรีรวิทยา
เนอื่ งจากความชรา. ตาราอายุรศาสตร:์ โรคตามระบบ I. กรงุ เทพฯ:
หมอชาวบ้าน
อรวรรณ แผนคง. (2553). การพยาบาลผู้สงู อายุ. กรุงเทพฯ: ยุทธรินทร์การพมิ พ.์
Miller, C. A. (2009). Nursing for Wellness in Older Adult (5th ed.).
St. Louis: Mosby.
บทท่ี 7
กำรพยำบำลผสู้ งู อำยทุ มี่ ปี ญั หำทำงสขุ ภำพ
7.1 ปญั หำสขุ ภำพที่พบบอ่ ยและกำรพยำบำล
ปจั จุบันประเทศไทยก้าวเขา้ สสู่ ังคมผสู้ งู อายุเนอื่ งจากมีประชากรท่มี อี ายุต้ังแต่
60 หรือ 65 ปี ขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 และ 7 ตามลาดับของประชากรท้ังหมด
และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ ปรากฎการณ์ที่ผู้สูงอายุมีสัดส่วนสูงมาก เมื่อเทียบ
กับประชากรทั้งหมด อีกท้ังความเข้มข้นของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุยังแบ่งออกเป็น
หลายระดับอีกด้วย
จากสถติ ิจะเหน็ ไดว้ ่าจานวนผู้สูงอายเุ พิ่มมากข้ึนทุกปี และในเดือนธันวาคมปี
2559 มีผู้สูงอายุประมาณ 9.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 15.22 ของประชากรทั้ง
ประเทศซึ่งมีการคาดคะเนในอีก 5 ปี ข้างหน้า (พ.ศ.2564) จะมีประชากรผู้สูงอายุ
เพ่ิมมากขึน้ ถงึ 12 ล้านคน และจากการเก็บสถิติของกรมอนามัยปี 2556 พบปัญหา
สขุ ภาพโรคในผู้สูงอายุบอ่ ยมากท่ีสุด
ดงั น้ันควรศึกษาเกี่ยวกบั โรคภยั ไข้เจ็บและวิธกี ารป้องกัน ดแู ลสุขภาพร่างกาย
และจิตใจต้ังแต่ก่อนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและในสังคมผู้สูงอายุของ ตนเอง
และครอบครวั
7.1.1 ประสำท (Dementia / Delirium / Alzheimer / Parkinson)
โรคสมองเส่ือม (Dementia)
เกดิ จากความผดิ ปกตขิ องเปลือกสมองหรือวถิ ีประสาท ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ทาให้สมอง
ส่วนทที่ าหนา้ ท่ีเกี่ยวกบั สตปิ ัญญาทวั่ ๆไป (Global Cognitive impairment) เชน่
ความคดิ ความจา การรบั รู้ และความผิดปกติทางจติ และพฤติกรรมเปลีย่ นแปลง
สำเหตุ ท่พี บบ่อยมี 2 ประการ
1. ภำวะสมองเสือ่ มจำกโรคอลั ไซเมอร์ (Dementia of Alzheimer type)
พบมากท่ีสุด ของผู้ปว่ ยสมองเสอ่ื มในผู้สงู อายภุ าวะโรคอลั ไซเมอร์จะทาใหม้ ีระดับของ
เอนไซม์ Choline acetytran ferase ซง่ึ เป็นเอนไซมท์ ใี่ ช้ในการสังเคราะห์
Acetylcholine (Ach) ลดลงในส่วนของ Cerebral Cortex และ Hippocampus
Acetylcholine เปน็ สารส่อื ประสาททที่มคี วามสาคญั ในกระบวนการเกบ็ ความจา
2. ภำวะสมองเสื่อมจำกโรคหลอดเลือดสมอง (Vascular dementia) โรค
หลอดเลือดสมอง (Stroke หรือ Cerebrovascular disease) พบว่าเป็นสาเหตุ ลาดับ 2
ของภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ร้อยละ 20 มีสาหตุจากการตีบหรืออุดตันของหลอด
เลือดและร้อยละ 80 จากภาวะทม่ี กี ารแตกของหลอดเลอื ด
อำกำรและอำกำรแสดง
อาการแสดงทางคลนิ กิ แบง่ เป็น 4 ระยะ
กำรวินิจฉยั
เกณฑท์ ี่นิยมใช้มากทสี่ ดุ ในการวินิจฉัยภาวะสมองเสอ่ื ม คือ เกณฑข์ อง DSM IV
ซง่ึ มเี นอ้ื หาดงั น้ี คอื
1. มีความผดิ ปกติของความจา (memory impairment)
2. มีความผดิ ปกตอิ ยา่ งนอ้ ย 1 ขอ้ ในสงิ่ เหล่านี้ คอื
2.1 ความผิดปกติของการใชภ้ าษา (aphasia) เช่น นึกคาพดู ไมอ่ อก
2.2 การสูญเสียทักษะในการทากิจกรรม (apraxia) เช่น ไม่สามารถแปรงฟัน
หวีผมได้ เป็นต้น โดย ท่ีไม่ได้เกิดจา กคว ามผิดป กติของ motor system
และ extrapyramidal system
2.3 การไม่รับรู้ในสิ่งท่ีเคยรู้มาก่อน (agnosia) เช่น เห็นส่ิงของแล้วไม่รู้ว่า
คอื อะไร ไม่รู้ว่าใช้สาหรบั ทาอะไร
2.4 ความผิดปกติในการบริหารจัดการ (disturbance of executive
function) เช่น ความผดิ ปกตใิ นการวางแผนงาน (planning) การตดั สินใจ
(judgement) จัดระบบงาน (organizing) เรียงลาดบั งาน (sequencing) และคดิ
อยา่ งเป็นนามธรรม (abstract thinking)
3. ความผิดปกตทิ เ่ี กิดขนึ้ ในข้อ 1 และ 2 มีมากถึงกบั สง่ ผลกระทบตอ่ ความสามารถ
ทางสังคม และอาชีพ และมรี ะดบั ความสามารถทลี่ ดลงจากเดิม
4. ความผิดปกติท่ีเกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในช่วงท่ีกาลังมีภาวะซึมสับสนเฉียบพลัน
(delirium)
5. ความผดิ ปกติที่เกิดข้ึนน้ีไม่สามารถอธิบายไดด้ ้วยสาเหตุอื่น ๆ
(วรี ศักดิ์ เมืองไพศาล,ม.ป.ป.)
กำรรักษำ
1. กำรบำบดั รักษำที่ไม่ใชย้ ำ แบ่งตามวัตประสงคก์ ารบาบัดได้ 3 วธิ ี ดังนี้
1) เพื่อให้รับรู้ความเป็นปัจจุบันของวัน เวลา สถานท่ี บุคคล
และเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน กิจกรรมที่สอดคล้อง ได้แก่ กำรอ่ำนหนังสือพิมพ์
กำรเลำ่ รำยกำรทีวี /ละคร ฝกึ จำหน้ำคน เป็นตน้
2) เพ่อื ชว่ ยกระตุ้นพฤตกิ รรมด้านอารมณ์ให้เกิดความจาดีข้ึน เน้นปฏิบัติ
กิจกรรมท่ีสะท้อนประสบการณ์ชีวิตท่ีผ่านมาของผู้สูงอายุ เช่น ดูภำพบุคคลท่ี
เกีย่ วข้องกบั ผสู้ งู อำยุในอดตี เป็นตน้
3) เพื่อปรบั อารมณแ์ ละความคิดด้วยกจิ กรรมนนั ทนาการ เช่น การเล่น
เกมส์จากคอมพิวเตอร์ เกมส์ไพ่ เกมส์กระดาน ทางานฝีมือ งานศิลปะ และฟัง
ดนตรี ให้เขยี นบันทึกการดาเนินชวี ติ ประจาวันของตน เปน็ ตน้
2. กำรรักษำด้วยยำ ซึ่งยาที่ได้รับความนิยมแพร่หลายได้รับการรับรอง
จากองค์การอาหารและยาของหลายประเทศ ได้แก่ ยากลุ่ม cholinesterase
inhibitors และ NMDA receptor antagonist ยาเหลา่ นสี้ ามารถชว่ ยชะลอการ
เส่ือมของเซลล์สมองมีผลประคับประคองความจา การรู้คิดและความสามารถใน
การดูแลตนเอง ซ่ึงยากลุ่ม Cholinesterase inhibitors ให้ผลการรักษาที่ดีกับ
ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเส่ือมระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนยากลุ่ม NMDA
receptor antagonist ใ ห้ ผ ล ก า ร รั ก ษ า ที่ ดี ใ น ผู้ ที่ มี อ า ก า ร รุ น แ ร ง ม า ก
(ชชั วาล วงคส์ ารและคณะ,2561)
ภำวะสับสนเฉยี บพลนั ในผสู้ ูงอำยุ (Delirium)
Delirium คือ อาการความคดิ ความจา และพฤตกิ รรมทผ่ี ดิ ปกตทิ ่เี กิดข้ึนอย่าง
เฉียบพลนั ภายในระยะเวลาเป็นชั่วโมงหรือเปน็ วัน (กลุ ธิดา เมธาวศนิ ,2561)
พยำธสิ รรี วทิ ยำของ delirium
1. การอยใู่ นภาวะตนื่ และรู้ตัวซงึ่ ควบคุมโดย reticular activating system
(RAS) ทอี่ ยบู่ รเิ วณกา้ นสมอง
2. การมีสมาธิรับรู้รับทราบตอ่ สภาพแวดล้อม และสง่ิ เร้ารวมท้งั มคี วามคดิ
ความจา รวู้ ิธีตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้า ที่เขา้ มาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมซ่งึ ควบคุมโดยcerebral
cortex หากมีพยาธิสภาพเกดิ ขึ้นกบั กา้ นสมองจะมผี ลทาใหผ้ ปู้ ่วยซึม และcoma
อำกำรและอำกำรแสดง
1. อาการเกิดขน้ึ แบบเฉยี บพลันและมกี ารเปล่ียนแปลงระหวา่ งวนั (acute onset
with fluctuating course) โดยอาการคงอย่ไู ดน้ านเปน็ ชั่วโมงหรอื เปน็ วนั
2. อาการขาดสมาธิ (attention deficits)
3. สญู เสียกระบวนการคดิ แบบเปน็ ระบบ (disorganized thinking)
4. สญู เสียการรับทราบสภาวะแวดลอ้ ม (perceptual disturbances)
5. ความผิดปกตขิ องวงจรการหลบั -ตื่น (disturbed sleep-wake cycle) รบั รู้
ชว่ งกลางวัน และกลางคนื ทผ่ี ดิ ปกตทิ าให้งว่ งนอนและหลับมากในช่วงกลางวนั
แต่จะตื่นสบั สนในชว่ งค่า
6. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมดา้ นการเคลือ่ นไหว
(alteredpsychomotoractivity)
7. สญู เสียการรับร้เู วลา สถานท่ี บุคคล และสูญเสียความจาระยะสน้ั
(disorientation and memory impairment)
8. ความผดิ ปกตดิ า้ นความคิดความจาอนื่ ๆ ได้แก่ ไม่สามารถจดจาวตั ถุสง่ิ ของได้
9. ความผิดปกติด้านอารมณ์ และพฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ หลงผิดหวาดระแวง
และบุคลิก เปลยี่ นแปลง เช่น จากปกติเรียบร้อย เปลีย่ นเป็นกา้ วรา้ ว ด่าทอ พดู มาก
พูดหยาบคาย หยาบโลน อารมณ์เปลี่ยนแปลงสลับกันระหว่างกระวนกระวายอาละวาด
และซึมเศรา้
กำรรักษำภำวะ delirium
หลักสาคัญในการรกั ษาภาวะdelirium คือ แกไ้ ขความผิดปกติทเี่ ปน็ สาเหตุ
หลักอื่นๆ ในการดูแลรักษา ไดแ้ ก่
1. หากผปู้ ว่ ยมอี าการปวด พจิ ารณาให้ยาบรรเทาอาการปวดเทำ่ ทจ่ี ำเปน็
2. พดู คยุ และแจ้งใหผ้ ู้ปว่ ยทราบเกย่ี วกบั วนั เวลาสถานที่ และสภาพแวดล้อม หรือจดั
สถาน ที่พักให้เปน็ สภาพทีผ่ ู้ป่วยคุ้นเคย
3. การรกั ษาดว้ ยยา
3.1 ยาทต่ี ้องหลกี เล่ยี ง เพราะจะให้ delirium รนุ แรงข้นึ ได้แก่
- Benzodiazepines โดยเฉพาะdiazepamทง้ั ยาฉดี และยารบั ประทาน
- ยารักษาสมองเสือ่ ม rivastigmine
- ยารักษาอาการทางจิตประสาทท่ีมีความเสี่ยงตอ่ การเกดิ หวั ใจเต้นผิดจงั หวะ
3.2 ยาท่ีใชใ้ นการสงบระงบั อาการกระสบั กระสา่ ย และอาละวาดกา้ วร้าว
ท่ีใช้บอ่ ยไดแ้ ก่ haloperidol
4. การปอ้ งกันภาวะdelirium ดงั ต่อไปน้ี
4.1 ค้นหาหรือคัดกรองผู้ป่วยท่ีมีความ เสยี่ งในการเกิด delirium
4.2 สรา้ งสุขลักษณะทดี่ ีสาหรบั การนอน เพ่อื ให้ผูป้ ว่ ยนอนหลับได้ดี
ยิง่ ขึ้น เช่นจากัด จานวนผเู้ ข้าเยยี่ มปรบั แสงสว่างให้พอเหมาะ และปราศจาก
เสียงรบกวน
4.3 หากผูป้ ว่ ยมีปัญหาทางจติ เวชควร ประเมนิ และเร่มิ ยารักษาท่ี
เหมาะสม
4.4 การป้องกนั การเกดิ ภาวะ delirium ดว้ ยยายังมีกาหนดไวใ้ นแนว
ทางการรักษา
โรคพำรก์ ินสัน (Parkinson’s disease)
Parkinson คอื โรคทางสมองทีเ่ กดิ จากเซลลป์ ระสาทในบางตาแหน่งเกิด
มกี ารตายโดยทาให้สารสื่อประสาทในสมองทีช่ อ่ื วา่ โดปามีน (Dopamine)
มปี รมิ ำณลดลง
พยำธิสภำพ
เกิดจากการเส่ือมตายของเซลล์ในส่วนทเี่ รียกว่า Substantia nigra
โดยเฉพาะในสว่ นของ Substantia nigra pars compacta (SNc) สาเหตทุ ี่เป็น
ตน้ เหตใุ ห้เกิดการเสือ่ มของสว่ น SNc ยังไม่เปน็ ท่ีทราบแน่นอน การเสือ่ มของสมอง
ในส่วนน้ี สง่ ผลต่อการทางานท่ตี ่อเนอ่ื งของสมอง ในส่วนของ Basal ganglia
ท่เี รยี กวา่ Striatum เสียไป ส่งผลใหเ้ กดิ การทางานทไี่ ม่สมดลุ ในสว่ นของ Direct
และ Indirect pathway ใน Basal ganglia ทาใหเ้ กดิ อาการสนั่ และเคล่ือนไหวช้า
อาการสว่ นใหญ่จะแสดงใหเ้ หน็ ชัดเจนเมือ่ จานวนเซลล์ (Dopaminergic cells)
ในสว่ นของ SNc ลดน้อยลงไปเป็นอย่างน้อย 60% จากปกติ
สำเหตุ
1. Primary parkinsonism
2. พันธกุ รรม
3. การบาดเจบ็ การตดิ เช้ือ และเนอื้ งอกที่สมอง
4. ไดย้ าทม่ี ีฤทธติ์ อ่ สมอง การดืม่ สรุ า
อำกำรและอำกำรแสดง
1. อำกำรสนั่ (Tremor)
2. อำกำรแขง็ เกรง็ (Rigidity)
3. อำกำรเคล่ือนไหวชำ้ (Bradykinesia)
4. อำกำรทรงตวั ไม่สม่ำเสมอ (Postural instability)
(ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทยโ์ รคพาร์กินสัน,2560)
กำรวินจิ ฉัย
การวินจิ ฉยั จากอาการและอาการแสดง ประกอบดว้ ยอาการอย่างนอ้ ย 2 ใน 4
อาการดังตอ่ ไปนี้
- อาการเคล่อื นไหวช้า (Bradykinesia)
- อาการสน่ั ขณะอยเู่ ฉย (Rest tremor)
- อาการแขง็ เกร็ง (Rigidity)
- ปญั หาในเรื่องการทรงตวั (Postural instability)
กำรรกั ษำ มดี งั น้ี
1. การรกั ษาดว้ ยยา
2. การรกั ษาโดยการผา่ ตัดกระตุ้นสมองส่วนลกึ (deep brain
stimulation) เป็นวธิ ีการรกั ษาด้วยการผ่าตดั ฝังขั้วไฟฟา้ เพื่อไปกระต้นุ สมองใช้
สาหรับรกั ษาผ้ปู ว่ ยโรคพารก์ ินสนั ซึง่ เคยไดร้ ับการรกั ษาดว้ ยยา แตม่ ีอาการมากขนึ้
จนการรักษาด้วยยาไมใ่ ห้ผลดเี ทา่ ทค่ี วร
โรคอลั ไซเมอร์ (Alzheimer's diseased or AD)
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's diseased or AD) เป็นโรคที่เกิดจากความ
เสื่อมถอยของการทางานของสมองซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติของของโครงสร้าง
ของเน้ือเย่ือของสมอง ความผิดปกติดังกล่าวเกิดจากการสะสมของโปรตีน
ที่ผิดปกติ โปรตีนสาคัญท่ีผิดปกติในโรคนี้ คือ เบต้ำ-อะไมลอยด์ (Beta-
amyloid) และทำว (Tau) ส่งผลให้เซลล์สมองเส่ือมฝ่อ และเสียการทางานทา
ใหเ้ กิดกล่มุ อาการสมองเสื่อม (กรมสขุ ภาพจิต,2562)
กำรวินิจฉยั
1. การตรวจวเิ คราะห์นา้ ไขสนั หลงั ชว่ ยในการวินิจฉยั โรคอลั ไซเมอร์ในระยะ
เบื้องต้นก่อนอาการจะปรากฎ โดยการตรวจหา Biomarkers ไดแ้ ก่ Total-Tau,
Phospho Tau, β-amyloid 1-40 และ β-amyloid 1-42
2. การตรวจวิเคราะหท์ างพันธุกรรมจากตัวอย่างเลือด
• ตรวจหำกำรกลำยพันธ์ุ (Mutation)
• ตรวจหำรูปแบบ (Genotype) ของยีน Apo E เพอ่ื ประเมนิ ความเส่ียง
ทางพนั ธุกรรมต่อโรคอัลไซเมอร์