The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือกฎกระทรวงเครื่องจักร ปั้นจั่นและหม้อน้ำ2564 (ใหม่)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-12-22 23:11:49

คู่มือกฎกระทรวงเครื่องจักร ปั้นจั่นและหม้อน้ำ2564 (ใหม่)

คู่มือกฎกระทรวงเครื่องจักร ปั้นจั่นและหม้อน้ำ2564 (ใหม่)

42การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ข้นั ที่ 1 พิจารณาข้อมลู รายละเอยี ดจากคู่มอื ของผู้ผลติ เครน

รูปท่ี 41 แสดงขอ้ มลู เครน HIAB 1165 ทม่ี า [6]

ข้อมูลจากผผู้ ลิตทำใหท้ ราบ
- นำ้ หนกั ของ loader โดยไมม่ ขี าช้าง 1535 kg
- ระยะห่างจากศนู ยก์ ลางการแกวง่ ถึงจดุ ศูนยถ์ ว่ งที่ความยาวบมู มาตรฐานสูงสดุ มรี ะยะ 0.95 m
- น้ำหนกั สงู สดุ ท่สี ามารถยกได้ทร่ี ะยะกางแขนสงู สดุ (maximum lifting capacity) 1750 kg
- ระยะห่างจากศนู ย์กลางการแกวง่ ถึงจดุ ศนู ย์ถ่วงสำหรบั นำ้ หนักบรรทุกสงู สุดท่คี วามยาวบมู สงู สดุ มี
ระยะ 6.4 เมตร
- นำ้ หนักรวมของคานท้ังสองขา้ งโดยไม่มขี าชา้ ง 270 kg
- ระยะห่างจาก slewing center ถึงจดุ ศูนยก์ ลางระหว่างขาชา้ งท่ียดื ออกสุดความยาว 2.2 m

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

43การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ข้นั ที่ 2 พิจารณาข้อมลู รายละเอียดจากคู่มือของตัวรถ

ทำเครื่องหมาย x สำหรบั
กำหนดตำแหนง่ slewing
center ของ loader

รูปที่ 42 แสดงขอ้ มูลรถที่ใช้ตดิ เครน ที่มา [6]

จากการพจิ ารณาข้อมูลจากรูปท่ี 47 จะทราบขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตัวรถว่า
- ระยะของโครงรถ 3.8m * 1.9m
- น้ำหนักของรถโดยไม่มีโหลดท่แี กนหน้า (front axle) 4,450 kg และแกนหลงั (rear axle) 2,040
kg

ขนั้ ท่ี 3 ใชข้ อ้ มูลทห่ี าได้ขา้ งต้นวาดภาพร่างแสดงตวั รถและ loader
ทำการกำหนดระยะของโครงรถตามลำดบั 1 ,2
กำหนดจดุ กง่ึ กลางของแกนหน้าและหลังตามลำดบั 3 ,4
ระยะยดื ของขาช้างต้องยืดออกสุดตามตำแหนง่ ที่ 5
ดงั ตวั อยา่ งในรูปที่ 48

รปู ที่ 43 แสดงตวั อย่างภาพร่างตัวรถและ loader ทม่ี า [6]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จั่น และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

44การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ทำการกำหนดจุดกงึ่ กลางระหวา่ งขาชา้ งทงั้ สองขา้ งท่ตี ำแหน่งที่ 6
ขดี เสน้ tilting line ผ่านแกนหลงั และจุดกึ่งกลางแกนหลัง (4) เป็นตำแหน่งท่ี 7
วาดแขนเครนที่ระยะกางแขนสงู สดุ ท่ีตำแหนง่ ที่ 8 ดงั ตัวอย่างในรปู ท่ี 49 และ ทำการกำหนดจุด
ศนู ยก์ ลางแรงโน้มถว่ งของ loader และ ศนู ย์กลางแรงโนม้ ถว่ งของโหลด ท่ีตำแหนง่ ที่ 9 และ 10
ตามลำดับ ดงั รปู ที่ 50

รปู ที่ 44 แสดงตัวอยา่ งภาพร่างตัวรถและ loader ทม่ี า [6]

รูปที่ 50 แสดงตัวอยา่ งภาพรา่ งตัวรถและ loader ทมี่ า [6]

ข้ันท่ี 4 คำนวณหาโมเมนต์
เม่ือทำการร่างภาพโรงรถและ loader แล้ว จะอาศัยอัตราส่วนภาพ 1:100 เม่ือทำการวัด

ขนาดจากภาพรา่ ง จะทำให้ทราบระยะตา่ ง ๆ ดงั รูปท่ี 51 โดยเมื่อรวมกบั ข้อมลู นำ้ หนกั ขา้ งตน้ แล้วจะ
สามารถทำการคำนวณหา stabilizing moment และ tilting moment ได้ โดยการแบ่งตาราง
คำนวณออกเป็นสองตาราง ดงั รปู ที่ 52 และ 53 เพอื่ ความง่ายต่อการคำนวณและพิจารณาค่าต่าง ๆ

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

45การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รปู ที่ 51 แสดงระยะทีว่ ัดไดแ้ ละนำ้ หนกั โหลดที่กระทำ ทม่ี า [6]

โดยที่น้ำหนกั ที่กระทำด้านโครงรถจะเปน็ นำ้ หนักทที่ ำใหเ้ กิด stabilizing moment และสำหรบั โหลด
ทีก่ ระทำลงอีกฝ่ังของ tilting line จะเปน็ นำ้ หนักทท่ี ำใหเ้ กดิ tilting moment

รปู ท่ี 5 แสดงตารางการคำนวณ stabilizing moment ทมี่ า [6]

รปู ที่ 6 แสดงตารางการคำนวณ tilting moment ที่มา [6]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

46การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ข้นั ท่ี 5 คำนวณอตั ราส่วน stabilizing moment ต่อ tilting moment
เม่ือนำโมเมนต์รวมฝั่ง stabilizing หารกับโมเมนต์รวมของฝั่ง tilting moment จะได้ค่า stability
factor = 1.6 ซ่ึงถือว่าเป็นค่าที่ยอมรับได้ เนื่องจาก stability factor ควรมีค่าอยา่ งน้อย 1.2 ตามที่
กลา่ วมาข้างต้น
3.) การคำนวณโหลดทก่ี ระทำบนเพลาและนำ้ หนักบรรทกุ (axle load and payload)

โหลดที่ถูกบรรทุกจะต้องอยู่ภายใต้น้ำหนักสูงสุดที่เพลาจะสามารถรับได้และเป็นไปตาม
กฎหมายกำหนด โดยน้ำหนักสูงสุดของโหลดท่ีเพลาสามารถรับได้ น้ันสามารถสร้างได้โดยการ
ปรับเปล่ียนจุดศูนย์ถ่วงของน้ำหนักบรรทุก หากมีการกำหนดขอบด้านหน้าของแท่นวางมา (front
edge) จะสามารถเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของโหลดได้โดย การเปลยี่ นความยาวของแท่น หากแท่นสั้นลง
จะไดน้ ำ้ หนักบรรทุกทเี่ พลาล้อหลงั น้อยลง หากแทน่ มคี วามยาวเพิ่มขนึ้ นำ้ หนกั บรรทุกทีเ่ พลาล้อหลัง
ก็จะมากข้ึน โดยสามารถคำนวณน้ำหนักท่ีแนวแกนสามารถรับได้และน้ำหนักบรรทุกได้ดงั ตัวอย่าง
ต่อไปน้ี

รูปท่ี 7 แสดงตวั อยา่ งการคำนวณ axle load and payload ทม่ี า [6]

กำหนด
- นำ้ หนกั ของคนขับ + เครื่องมือตา่ ง ๆ หนกั 100kg: load on the front axle only
- มกี ารตดิ เครน HIAB 650 ดา้ นหลงั (mounted behind cab) โดยมีน้ำหนัก 1,100 kg
- น้ำมัน ปั๊ม และอปุ กรณ์ต่าง ๆ หนกั 100 kg โดยไมม่ กี ารใช้ถังน้ำมนั สำรอง
- ฐานลอ้ (wheel base) กว้าง 3,800 mm และระยะระหว่างจดุ ศนู ย์กลางถึงจุดศูนยก์ ลางของล้อ

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกี่ยวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

47การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

หลงั เทา่ กับ 1,300 mm. ระยะฐานล้อทางทฤษฎี (theoretical wheel base) ท่ีใชค้ ำนวณจึงมีคา่
เทา่ กบั 3,800 + 650 = 4,450 mm.
ทำการคำนวณโหลดในแตล่ ะเพลา(หน้า-หลัง) โดยการแบง่ ตามโหลดทก่ี ระทำบนรถ ณ ตำแหน่งต่างๆ
โดยแบ่งเป็นโหลดจาก chassis (โครงรถ), loader (เครน), driver+tools (คนขบั และเคร่อื งมอื ) และ
Oil+pump+etc. (นำ้ มัน ปม๊ั และ อุปกรณต์ ่าง ๆ)
- โหลดทก่ี ระทำบนเพลา จาก Chassis
ขอ้ มูลจากผผู้ ลติ โหลดที่ front axle = 3,850 kg และ rear axle = 3,300 kg โหลดรวมจึงเทา่ กบั
7,150 kg
- โหลดทก่ี ระทำบนเพลาจาก Loader
สามารถคำนวณโหลดที่กระทำบนเพลาหลงั ไดจ้ าก การแทนสมการดว้ ยระยะหา่ งและน้ำหนกั ที่
กำหนดดังรูปที่ 55

รูปท่ี 8 แสดงระยะและนำ้ หนกั ของ loader ท่ีมา [6]

Weight of loader × distance to front axle (สมการท่ี 1)
wheel base

= 1100 × 910 = 225 kg
4450

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

48การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

เมื่อทราบค่าน้ำหนกั ที่กระทำบนเพลาหลงั ของ loader แล้ว จะสามารถหาน้ำหนักท่ี loader กระทำ

บนเพลาหน้า ไดโ้ ดยการนำน้ำหนักท้ังหมดลบกับน้ำหนักท่ีกระทำลงบนเพลาหลัง จะได้ค่าน้ำหนัก

เปน็ 1,100 – 225 = 875 kg. -

โหลดท่กี ระทำบนเพลาจาก คนขับและเคร่ืองมอื ต่าง ๆ

โจทยก์ ำหนดให้ นำ้ หนักของคนขบั + เครอื่ งมือตา่ ง ๆ หนัก 100 kg. โดยกระทำบนเพลาหนา้ เท่าน้ัน

- โหลดทกี่ ระทำบนเพลา จาก นำ้ มัน ปัม๊ และ อุปกรณ์ตา่ ง ๆ

- สามารถคำนวณโหลดทีก่ ระทำบนเพลาหลัง ได้จาก การแทนสมการท่ี 1 ดว้ ยระยะห่างและน้ำหนัก

ทกี่ ำหนดดังรูปท่ี 56

รูปท่ี 9 แสดงระยะและนำ้ หนกั ของ oil, pumps and etc. ทมี่ า [6]

แทนคา่ ในสมการที่ 1 = 100 × 2250 = 51 kg.
4450

เม่ือทราบค่าน้ำหนักท่ีกระทำบนเพลาหลังของ น้ำมัน ป๊ัม และอุปกรณ์อื่น ๆ แล้ว จะสามารถหา
นำ้ หนักท่กี ระทำบนเพลาหนา้ ได้โดยการนำนำ้ หนักทงั้ หมดลบกับน้ำหนกั ท่ีกระทำลงบนเพลาหลังจะ
ไดค้ ่านำ้ หนกั เปน็ 100 – 51 = 49 kg.
เม่ือได้โหลดที่กระทำบนเพลาครบทุกค่า จะสามารถนำมาแจกแจงลงตารางกระจายโหลดเพื่อหา
โหลดโดยรวมในแตล่ ะเพลา ดงั แสดงในรูปท่ี 57

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

49การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รูปที่ 10 แสดงตารางการกระจายโหลดบนเพลา ทมี่ า [6]

โดยท่ี permissible axle loads หรือ โหลดท่ีแต่ละเพลาสามารถรับได้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ
ผู้ผลติ คือ front = 6,500 kg. และ rear= 16,000 kg. ดงั น้ันเราจะทราบวา่ น้ำหนักรวมทั้งหมดของรถ
มีค่าเท่ากับ 6,500 + 16,000 = 22,500 kg. ดังนั้น น้ำหนักของแท่นรับโหลดจะเท่ากับ 22,500 –
8,450 = 14,050 kg. โดยแบง่ เป็น front = 1,626 kg. และ rear = 12,424 kg. ดังแสดงในรปู ท่ี 58

รูปที่ 11 แสดงโหลดจากแท่นวาง ทม่ี า [6]

เมอื่ คำนวณโหลดท่ีกระทำโดยแทน่ รบั โหลดได้ จะสามารถหาขนาดของแทน่ รับโหลดตอ่ ไปได้ โดย เริ่ม
จากการหาระยะจากเพลาหนา้ (front axle) ถึงจดุ กง่ึ กลางของแท่น หรอื ระยะ A ในรปู ที่ 59

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

50การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รปู ที่ 12 แสดงระยะ A ทีม่ า [6]
จะสามารถหาระยะ A ไดจ้ ากโหลดของแท่นทีก่ ระทำบนเพลาหลงั
12,424 = × 14,050 ; A = 3,935 mm.

4450

เมือ่ ไดร้ ะยะ A กจ็ ะสามารถหาความยาวของแท่น (L) ได้ จาก (A – 1250)*2 ตามรูปที่ 60
และจะได้ความยาวแทน่ = 5,370 mm = 5.37m

รูปที่ 60 แสดงระยะ A และ L ทม่ี า [6]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

51การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

กำหนดใหแ้ ทน่ หนัก 400 kg/ m ดงั น้นั น้ำของแท่นรบั โหลดรวมหนกั 2,148 kg.
ท้ายทสี่ ุดจะสามารถคำนวณนำ้ หนกั ทบ่ี รรทกุ ได้ โดยนำคา่ นำ้ หนกั โหลด 14,050 kg. ลบกบั น้ำหนกั
ของแทน่ รบั โหลด 2,148 kg. ไดน้ ้ำหนกั บรรทุกเท่ากบั 11,902 kg.

➢ การคำนวณหาแรงกดที่ขาเครน
การคำนวณหาแรงกดที่ขาเครนแต่ละข้างไดร้ ับน้ันมคี วามสำคญั ในการพิจารณา วา่ ที่แรงกด

ขนาดนนั้ ๆ พนื้ ดนิ บริเวณทต่ี ั้งเครนจะสามารถรองรบั แรงทก่ี ดทบั ลงมาไดห้ รอื ไม่ เน่ืองจากหากพน้ื
ไมม่ คี วามแข็งแรงเพียงพอที่จะสามารถรองรบั แรงกดขนาดนน้ั ๆ ได้ อาจทำใหเ้ กิดดนิ ทรดุ พน้ื ทรุด
และอุบัติเหตุต่างๆ ได้ ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน ผู้คนโดยรอบ และตัวทรัพย์สินเองเช่นกัน
โดยการคำนวณแรงกดทขี่ าเครนสามารถทำได้ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี

รปู ที่ 13 แสดงโจทยก์ ารคำนวณแรงกดทข่ี าเครน ทม่ี า [9]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

52การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

โจทยก์ ำหนดมนี ำ้ หนกั รวมของเครน 11 ตัน และน้ำหนกั จากโหลดทีย่ ก อีก 1 ตนั
วธิ ีทำ : กำหนดจดุ ที่ขาเครนเกิดแรงปฏกิ ริ ิยาทงั้ สองขา้ งเป็นจุด A และ B ดงั แสดงในรปู ท่ี 61 และทำ
การคำนวณโดยเร่ิมจากการวาด free body diagram ของเครนและแขนทีย่ กวัตถุ เพือ่ แสดงแรงที่
กระทำต่อตัวเครนและแรงปฏกิ ริ ยิ าทีเ่ ครนกระทำกลบั ดงั แสดงในรูปท่ี 62

รปู ท่ี 14 แสดง free body diagram ทม่ี า [9]

เม่ือได้ free body diagram ของเครนดังรูปท่ี 62 แล้ว จะสามารถหาแรงที่ขาเครนกระทำ
กลบั ไดโ้ ดยการแทนสมการสภาพสมดลุ สองมิติของวตั ถุ โดยกำหนดให้ขาดา้ นใดด้านหนงึ่ เป็นจดุ หมุน
ซงึ่ ในท่ีน้ีจะกำหนดให้จดุ B เป็นจุดหมนุ และทิศทางทวนเข็มนาฬกิ ามีค่าเป็นบวก จะสามารถแทนค่า
สมการโมเมนต์ได้ โดยมีโมเมนต์ท่กี ระทำตอ่ จุด B จาก น้ำหนกั 11 ตัน ทีร่ ะยะ 2.6m ในทิศตามเข็ม
นาฬิกา โมเมนต์จากแรงปฏิกิรยิ าท่ีจดุ A เป็นระยะ 5.2 m ในทิศทวนเข็มนาฬิกา และ โมเมนต์จาก
โหลดที่ถกู ยกหนัก 1 ตนั ทร่ี ะยะ 8.6 m ในทศิ ตามเข็มนาฬิกา ดงั ภาพท่ี 63

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

53การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รปู ที่ 15 แสดงการแทนคา่ สมการสมดุลโมเมนต์ของวตั ถุ ทม่ี า [9]
เมอ่ื แทนค่าสมการ จะสามารถแกส้ มการหาแรงที่จุด A ได้ 7.154 ตนั โดยสามารถนำไปพจิ ารณาต่อ
ว่าพื้นที่บรเิ วณนนั้ ๆ สามารถรองรบั แรงกระทำ 7.145 ตนั ไดห้ รอื ไม่

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

54การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

➢ การพิจารณา Load Chart

Crane’s load chart หรือ ตารางแสดงน้ำหนักท่ีเครนสามารถรับได้ คือตารางที่แสดงขีด
ความสามารถสงู สุด (max capacity) ของเครอื่ งจกั รทจ่ี ะสามารถดำเนินการภายใตเ้ ง่อื นไขตา่ ง ๆ ได้
อยา่ งปลอดภัย ดังนัน้ ความสามารถในการพิจารณา load chart ไดอ้ ย่างถกู ต้องจึงมีความสำคัญเป็น
อย่างมากสำหรับความปลอดภยั ในการใชง้ านเครน เน่อื งจากผู้ใช้งานไม่สามารถคาดการณ์อุบัติเหตุที่
อาจเกดิ ขนึ้ ได้จากสัญญาณทางกายภาพในกรณที ีเ่ ครนจะล้มหรอื เกดิ ความเสยี หาย
1.) ตัวแปรภายใน load chart

ตาราง load chart จะพิจารณาตวั แปรท่ีสง่ ผลต่อความสามารถในการยกวัตถขุ องเครนได้แก่
- Crane base คอื วธิ ียึดรถเครน
- Quadrant (s) of operation คอื ทศิ ทางการทำงานของเครน
- Boom length คอื ความยาวของแขนทย่ี ่นื ไปเพ่อื ยกวัตถุ
- Boom angle คอื มมุ ที่แขนกระทำกับพื้น
- Load radius คอื ระยะห่างในแนวระดบั จากจดุ หมุนของเครนไปยงั วัตถุ

1.1) Main Boom Load Chart Crane base กรณีไม่มี
outriggers (ขา
3 1. ช้าง) ในการเพ่มิ
. ความม่ันคงในการ
2 ค้ำยัน
4 .
.

Strength

5
.

Stability

รูปท่ี 16 แสดงตัวอยา่ ง load chart ทมี่ า [7]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

55การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ตวั อยา่ งตารางแสดงการรับน้ำหนกั ของเครน รนุ่ P&H/T-750 กรณีไมม่ ีการตอ่ จ๊บิ มรี ายละเอียด
ดงั ต่อไปนี้

1.) คือการบอกทิศทางการยกวัตถุเครนและวธิ ยี ึดเครน
- 360 rotation คือ สามารถหมุนไดร้ อบทิศทาง, Over front (ดา้ นหนา้ ), Over side (ดา้ นขา้ ง) และ
Over rear (ดา้ นหลงั ) On rubber stationary (ยึดด้วยล้อยาง-อยู่นง่ิ ), On rubber creep (ยึดด้วย
ล้อยาง-เคลอื่ นท)่ี , On outriggers extended (กางขาช้าง *โดยทั่วไปจะตอ้ งกาง 100% นอกจากมี

ความจำเป็น*)
1.Boom length
2.Loading Radius

3.Boom Angle
4.เสน้ แบง่ ลกั ษณะความเสียหาย

เน่ืองจากหากมีการทำงานเกินขดี จำกัดความสามารถของเครนไมว่ ่าจะเป็นการยกวัตถุทีม่ ี
น้ำหนักเกนิ น้ำหนักสงู สุดทเี่ ครนสามารถยกได้ หรือ การท่ีมรี ัศมกี ารยกโหลดกวา้ งเกินกวา่ ทเ่ี ครนจะ
สามารถรกั ษาสมดุลได้ จะทำใหเ้ ครนเกดิ ความเสยี หายไดส้ องรปู แบบคอื สญู เสยี เสถียรภาพในการ
ทรงตัวทำให้เครนลม้ (stability failure) และ สญู เสยี ความแขง็ แรงสง่ ผลให้มกี ารพงั เสยี หายของ

ชน้ิ ส่วน (strength failure) โดยมลี ักษณะดงั ตัวอยา่ งรปู ท่ี 65 และรปู ที่ 66

รูปที่ 17 แสดงตวั อยา่ งการเสยี หายของเครน ท่ีมา [7]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

56การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รปู ที่ 18 แสดงตัวอย่างการเสยี หายของเครน ที่มา [7]

จากรปู ที่ 65 เป็นการแสดงลักษณะความเสียหายที่สามารถเกิดขึน้ ได้หาก โดยจะเห็นได้ว่าสามารถ
เกดิ ลกั ษณะการเสยี หายได้ท้งั สองรปู แบบ โดยฝ่ังซา้ ยแสดงกรณีท่ีเครนมีการยกนำ้ หนักโหลดท่ีหนัก
กวา่ น้ำหนักสงู สดุ ที่เครนสามารถรับได้ และฝั่งขวาแสดงกรณีท่ีเครนลดแขนลง (มุมระหว่างแขนเครน
ที่กระทำกับพื้นเปลี่ยนไป) และเพ่ิมรัศมีการยกโหลด และรูปที่ 66 เป็นการแสดงลักษณะความ
เสียหายในกรณีที่เครนยืดแขนออกและเพิ่มรัศมีการยกโหลดเกินกว่าขีดจำกัด สามารถทำให้เกิด
เสยี หายไดท้ ง้ั สองแบบทง้ั stability failure หรอื strength failure
ดังนั้นจึงมกี ารกำหนดเส้นแบ่งความเสียหายว่าเครนจะเสียหายในลักษณะใด ในตาราง load chart
โดยที่
5.1) หากยกเครนในองศาที่มีค่าสูงกว่าเส้นแบ่ง และใช้โหลดเกินจากค่าสูง เครนจะเสียหายแบบมี
ชิน้ สว่ นหักพงั ลงมา (Strength failure; over stressed/ break)

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกย่ี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

57การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

5.2) หากยกเครนในองศาทม่ี ีค่าต่ำกว่าเส้นแบง่ และใชโ้ หลดเกินจากค่าสงู สดุ เครนจะ เสยี หายด้วย

การลม้ ลงมา (Stability failure; overturn) เช่น รูปท่ี 1 หากรัศมมี รี ะยะ 30 ft และแขนมคี วามยาว

45 ft หากยกแขนท่ี 50 องศา และใช้โหลด 50,000 Lbs. เครนจะพงั แบบมชี ิ้นสว่ นหกั พังลงมา แต่

หากยกแขนท่ี 40 องศาและใชโ้ หลดเทา่ เดิม เครนจะล้มลงมา

วิธกี ารพจิ ารณาลักษณะความเสียหายน้ัน นอกจากการแสดงโดยการแบ่งเสน้ ในตารางแล้วยงั มีการ

แสดงในลกั ษณะอ่นื ไดแ้ ก่

- การพิมพต์ ัวหนา โดยคา่ ท่ีถูกพมิ พเ์ ปน็ ตวั หนาจะถอื เปน็ การเสียหายจาก Strength failure และ

คา่ ทไ่ี ม่ถกู พมิ พ์เป็นตัวหนาจะแสดงถึงความเสยี หายจาก Stability failure --

- การใช้เครอื่ งหมาย * กำกบั โดยค่าท่ีมี * กำกับจะถือเปน็ การเสียหายจาก Strength failure และ

ค่าท่ีไมม่ ี * กำกบั จะแสดงถึงความเสยี หายจาก Stability failure ดงั ตัวอยา่ งรปู ที่ 67 และรปู ที่ 68

รปู ที่ 19 แสดงลกั ษณะการเสยี หายดว้ ยตัวหนา ทมี่ า [7]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จั่น และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

58การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รูปท่ี 20 แสดงลกั ษณะการเสียหายด้วย * ทมี่ า [7]
1.2) Jib Load Chart

3. 1.
2.

รปู ท่ี 21 แสดงตาราง load chart ของ jib ทมี่ า [7]

ตวั อยา่ งตารางแสดงการรบั นำ้ หนักของเครน รนุ่ P&H/T-750 กรณที เี่ ครนมีการตอ่ จิบ๊ (Fly Jib
Boom) ซึง่ เป็นอปุ กรณใ์ นการเพมิ่ ความยาวของแขนเครน มักใช้ในกรณที ี่ตอ้ งการเพ่ิมความสูงในการ

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

59การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ยกวัตถุ โดยมรี ายละเอียดตารางดงั น้ี
1.) คอื ความยาวของจบ๊ิ มีสองขนาดคือ 8 เมตร และ 13 เมตร (Jib length)
2.) คอื องศาของจบ๊ิ ทกี่ ระทำกบั แขนเครน โดยจะทำมมุ 30 องศา หรือ 8 องศา (Jib Offset)
3.) คือ มมุ ของของแขนเครนทก่ี ระทำกับพื้น (Boom angle)
จากตัวอยา่ ง Load Chart ในรปู ท่ี 64 และรปู ที่ 69 เปน็ การแสดงขีดจำกดั ความสามารถในการรบั
โหลดแยกกันระหว่าง Jib Chart (Strength limits) และ Main Boom (Stability limits) แต่
โดยท่ัวไปตาราง Load Chart ของเครนมกั แสดงขอ้ มลู ทง้ั สองตารางรวมกันในตารางเดยี วเพือ่ ความ
สะดวกในการใชง้ าน ดังรปู ท่ี 70

รูปที่ 22 แสดง load chart กรณมี ี jib ทม่ี า [10]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

60การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

จากรปู แสดงให้เหน็ load chart ของเครน โดยแบง่ คร่ึงซา้ ย ขวา ตามกรอบสเี ขยี วและสสี ม้ โดย
ตารางฝง่ั ซา้ ยจะแสดง load chart ของ main boom และฝั่งขวาแสดง load chart ของ jib มี
รายละเอยี ดดงั นี้
1.) With outriggers set fully extended (มขี าช้างกางออก 100%)
2.) 360 deg (สามารถหมนุ ได้ทุกทิศทาง)
3.) A = Boom length (ความยาวแขน)
4.) B = Load Radius (ระยะห่างระหว่างจุดหมุนเครนถึงวัตถ)ุ
5.) C = Jib length (ความยาวจิ๊บ)
6.) D = Jib offset (มมุ ทจ่ี ๊ิบกระทำกบั แขนเครน)
7.) E = Boom angle (มมุ ที่แขนเครนกระทำกบั พื้น)

1.3) Sling Load Chart
เน่ืองจากความแขง็ แรงของลวดสลงิ และอปุ กรณเ์ กี่ยวนั้นไมไ่ ดถ้ ูกคำนวณร่วมด้วยใน load

chart ดงั นั้นผใู้ ช้งานจะตอ้ งคำนงึ ถงึ ความสามารถในการยกวตั ถขุ องอปุ กรณส์ ลงิ ด้วยเช่นกนั โดยทำ
การพจิ ารณา 2 สว่ นคอื

1.3.1) Parts of line หรือจำนวนเสน้ เชือกทส่ี ามารถรองรับโหลดได้ ซึง่ พิจารณาโดยการ
คำนวณดว้ ยสมการที่ 2

(สมการท่ี 2)

Suspended load = Load weight (น้ำหนกั วตั ถุ) + Weight of Hook Block (น้ำหนกั บลอ็ คขอ
เก่ยี ว) + Weight of Slings and Rigging (นำ้ หนกั สลงิ )

Safe Working Load of Hoist Rope = นำ้ หนกั ของเชือกทปี่ ลอดภัยในการใชง้ าน

เน่ืองจากในการยกวตั ถจุ ะมีแรงเสยี ดทานสูงเกิดข้นึ บรเิ วณขอเก่ียวและลวดสลิงทำใหม้ ีความ
จำเปน็ ตอ้ งเพม่ิ จำนวนลวดสลิงในการคำนวณหาโหลดสงู สุดท่ีสลิงจะรบั ได้ เพ่ือเพิ่มความปลอดภยั ใน
การใช้งาน ดังแสดงในตารางรปู ท่ี 71

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จั่น และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

61การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

รปู ที่ 23 ตารางแสดงจำนวน Part of lines ทม่ี า [7]
1.3.2) Load chart ของสลงิ โดยมวี ิธกี ารพิจารณาเหมือน load chart ของแขนเครน

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกี่ยวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

62การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

1.

2. 3.

รูปท่ี 24 แสดง load chart ของสลงิ ทม่ี า [8]

มรี ายละเอยี ดดงั นี้
1. ประเภทของสลิงท่ีใช้ยก; ลวดสลิง (Wire Rope Slings), โซ่ (Chain Slings), สลงิ ออ่ น (Nylon
Web Slings)
2. ขนาดสลงิ บอกเป็นขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง
3. วิธีการยดึ สลิง
3.1 Single Vertical Hitch คอื ปลายสลงิ ยดึ ตรงระหว่างเครนและโหลดในแนวดิง่
3.2 Single Choker Hitch คือ สลงิ คลอ้ งโหลดแบบห่วง ปลายฝงั่ เครนยดื ตรงในแนวดิง่
3.3 Single Basket Hitch (Vertical Legs) คือ สลงิ คลอ้ งโหลดแบบกระเช้า ปลายทั้งสองข้างยดื ตรง
ในแนวดิ่ง
3.4 2- Leg Briddle Hitch คอื สลงิ 2 เสน้ ปลายยืดตรงระหว่างเครน-โหลด โดยทำมมุ เอยี ง

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกย่ี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

63การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.5 2-Leg Briffle in a Choker Hitch คือ สลงิ 2 เสน้ คลอ้ งกันแบบห่วงทำมุมเอียงกัน **การ
ยึดสลงิ ด้วยวธิ นี ี้จะต้องนำคา่ capacity คณู ดว้ ย 0.75**
3.6 Double Basket Hitch คือ สลงิ คล้องโหลดแบบกระเชา้ ปลายทัง้ สองยดื ตรงทำมุมเอยี งกนั **
การยดึ สลงิ ดว้ ยวธิ นี จ้ี ะต้องนำคา่ capacity คูณด้วย 2**

3.2 การพจิ ารณาตาราง load chart เมือ่ ข้อมลู ไม่ตรงกบั ขอ้ มลู ในตาราง
3.2.1) กรณีที่ความยาวแขนของเครนมคี ่าอยู่ระหว่างค่าในตารางให้เลือกน้ำหนกั สูงสุดจากความยาว
แขนเครนที่ยาวกว่า **ยกเวน้ ในกรณีท่ีน้ำหนกั สูงสุดของความยาวแขนช่องท่ยี าวกว่าน้นั มคี ่ามากกว่า
น้ำหนักสูงสุดของแขนเครนที่มีความยาวสั้นกว่า ให้เลือกใช้น้ำหนักสูงสุดจากแขนเครนที่ส้ันกว่า**
3.2.2) กรณที ่ีมุมของแขน (Boom angle) มีค่าอยู่ระหวา่ งคา่ ในตารางใหเ้ ลือกน้ำหนกั สูงสุดจากมุมท่ี
มคี า่ นอ้ ยกว่า
3.2.3) กรณที ่ีระยะห่างระหวา่ งจุดหมนุ ของเครนถึงวัตถุ (Load radius) มีค่าอยู่ระหว่างค่าในตาราง
ใหเ้ ลอื กที่ระยะห่างท่ีมากกว่า
3.2.4) กรณีท่ีท้ัง boom length boom angle และ load radius ไม่ตรงกับค่าในตารางเลย ต้อง
พิจารณาเทยี บน้ำหนักสงู สุดของสามกรณีคอื

3.2.4.1) ที่ boom length และ load radius ทยี่ าวกว่า
3.2.4.2) ที่ boom length และ load radius ทส่ี นั้ กวา่
3.2.4.3) ที่ load radius ที่สน้ั กวา่ และ boom angle ที่นอ้ ยกว่าโดยให้เลอื กใช้คา่ นำ้ หนกั ที่
ตำ่ ท่สี ุดจากการเปรยี บเทยี บกันทง้ั สามกรณี

3.3 วธิ กี ารคำนวณขดี จำกดั การใชง้ านเครน
นำ้ หนกั สงู สดุ ซึง่ แสดงในตาราง load chart ของเครนน้นั คอื gross capacities (มกี ารคดิ

รวมนำ้ หนักของชน้ิ สว่ นเครนสว่ นทเ่ี กยี่ วขอ้ ง) ซงึ่ ไม่ใชน่ ้ำหนกั ของวตั ถุท่ีเครนจะสามารถยกได้ หรือ
net capacity ดังน้นั ในการหานำ้ หนกั ของวัตถทุ เ่ี ครนจะสามารถยกไดน้ ั้นสามารถทำได้โดยการแทน
ค่าในสมการท่ี 3

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

64การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

NET CAPACITY = GROSS CAPACITY – CAPACITY DEDUCTIONS (สมการที่ 3)
Capacity deductions คอื นำ้ หนักของช้นิ ส่วนของเครนส่วนท่เี กีย่ วขอ้ งโดยจะมชี ้ินสว่ นแตกตา่ งกัน
ไปตามแต่ละชนดิ และรูปแบบการใช้งาน ซึง่ หลกั ๆ จะมี ขอเกยี่ วสลงิ เชอื กสลงิ เป็นต้น ดงั แสดงใน
รูปภาพที่ 70 และรปู ภาพท่ี 71

รปู ท่ี 25 แสดงตวั อย่างการนบั deductions ท่มี า [7]

รูปท่ี 26 แสดงตวั อย่างการนบั deductions ท่ีมา [7]

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

65การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.4 ตัวอยา่ งโจทย์การคำนวณ
3.4.1)

3.4.1.1) โจทย์ต้องการทราบวา่ เครนสามารถทำงานไดห้ รอื ไม่ หากรัศมกี ารทำงานมรี ะยะ
70’ และมที ศิ การยกแบบ over side

วิธี: พิจารณาตาราง load chart ของเครนรุ่น 77H Hammerhead ที่ load
radius = 70’ และ boom length = 120’ Outriggers Extended and Set;
Over Side

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

66การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

Gross capacity =
58,130 Ibs.

Net capacity = Gross capacity – deduction capacity
= 58130 – (rigging) – (load block)

= 58130 – 520 – 1950
= 55,660 Ibs. (net capacity จาก load chart)

ในการพิจารณาวา่ เครนสามารถทำงานไดห้ รอื ไม่ จะตอ้ งเทยี บกบั suspended
load (โหลดทเ่ี ครนได้รบั จรงิ ) คอื

Load + Rigging + Load block = 50,000 + 520 + 1950
Suspended load = 52,470 Ibs.

เมื่อพจิ ารณาโหลดท่ีเครนสามารถรบั ได้ (net capacity) และโหลดทีไ่ ดร้ บั จริง
(suspended -load) จะพบว่า Net capacity (55,660 Ibs.) > Suspended
load (52,470 Ibs.)
ตอบ: เครนสามารถยกวตั ถไุ ด้ภายใตเ้ ง่ือนไขทก่ี ำหนด

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกี่ยวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

67การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.4.1.2) โจทยต์ อ้ งการทราบวา่ ค่า gross capacity ทีไ่ ด้มาเป็นตวั กำหนดการเสียหาย
แบบใด (strength/ stability)
ตอบ: เนื่องจากค่าในตารางเป็นสว่ นทีไ่ มไ่ ด้พิมพต์ ัวหนา ดังนนั้ จึงเปน็ การบง่ บอกการ
เสียหายดว้ ย stability factors (หากเกินเครนจะล้ม)
3.4.1.3) หากเปล่ียนทิศทางการยกเป็น over the rear และเพิม่ ระยะรศั มีการยกเปน็
85’ เครนจะยงั ทำงานได้หรอื ไม่

วิธี: พจิ ารณาตาราง load chart ที่ load radius= 85’ และ boom length=
120’

เน่ืองจาก load radius
ที่ 85’ ไมม่ คี า่ ในตาราง
จงึ พิจารณาตาม
หลักการพิจารณาใน
หัวขอ้ 2.2 ท่ี load
radius = 90’ และได้คา่

gross capacity =
50,910 Ibs.

Net capacity = Gross capacity – deduction capacity
= 50910 – (rigging) – (load block)
= 50910 – 520 – 1950

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

68การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

= 48,440 Ibs. (net capacity จาก load chart) และ Suspended load =
52,470 Ibs.

เม่อื พจิ ารณาโหลดที่เครนสามารถรบั ได้ (net capacity) และโหลดทไี่ ดร้ บั จรงิ
(suspended-load) จะพบว่า Net capacity (48,440 Ibs.) < Suspended
load (52,470 Ibs.)
ตอบ: เครนไมส่ ามารถรับโหลดภายใต้เงือ่ นไขน้ีได้
3.4.1.4) โจทยต์ อ้ งการทราบว่าค่า gross capacity ทีไ่ ดม้ าเปน็ ตัวกำหนดการเสียหาย
แบบใด (strength/ stability)
ตอบ: เน่ืองจากค่าในตารางเป็นส่วนทีพ่ มิ พต์ วั หนา ดังนั้นจงึ เปน็ การบง่ บอกการ
เสยี หายด้วย strength factors (หากเกนิ ชน้ิ สว่ นเครนจะพงั เสียหาย)
3.4.1.5) โจทย์ต้องการทราบค่า net capacity ในกรณีทเี่ ครนทำงานภายใตเ้ งอื่ นไข on
rubber, over the side, load radius = 30’
วิธี: พจิ ารณา load chart ภายใตเ้ งอ่ื นไขทกี่ ำหนด

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

69การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

Crane base: On
rubber =
outriggers free

จะเหน็ ว่าในตาราง load chart ไม่มคี ่า gross capacity แสดงสำหรบั เงอื่ นไข
ดังกล่าว หมายความวา่ เครนไมส่ ามารถทำงานไดใ้ นสภาวะดงั กล่าว
3.4.1.6) โจทยต์ ้องการทราบโหลดสงู สุดทส่ี ามารถยกไดโ้ ดยมี 6 parts reeving บน
main blockและ rigging หนกั 500Ibs.
วิธี: พจิ ารณาตาราง parts of line ที่ 6 ชิน้ เพอ่ื นำจำนวน parts of line ทแี่ ทจ้ รงิ
ไปคูณกบั นำ้ หนักของเชือกทโ่ี จทยก์ ำหนดมาคอื 37,140 Ibs จะได้เปน็ ค่า gross
capacity ทสี่ ลงิ สามารถรบั ได้

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

70การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

Gross rope capacity
= 37140 * 5.43
= 201,670 Ibs.

Net capacity = gross capacity – deductions capacity
= 201,670 – (main block) – (Rigging)
= 201,670 – 1950 – 500
= 199,220 Ibs.

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

71การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.4.2)

3.4.2.1) โจทยต์ ้องการทราบจำนวน parts of line และขนาดของบลอ็ คขอเกี่ยวที่
เครนจะสามารถรองรบั โหลดสูงสุดได้ภายใตเ้ งื่อนไขท่กี ำหนด

วธิ ี: หา maximum load จากตาราง load chart ที่ boom length = 180’

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

72การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

Maximum load @
boom length= 180’
= 57,200 Ibs.

คำนวณจำนวน parts of line ดว้ ยการแทนสมการที่ 1 ท่ี maximum load
Parts of line =



= 57,200 = 3.16

16,500

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกี่ยวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

73การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

เทยี บจำนวน Parts of line

จำนวน parts of line ท่ี
ใช้ = 4 เส้น

เม่อื ใช้จำนวน parts of line 4 เสน้ ดังนั้นบลอ็ คขอเกีย่ วจะต้องรบั นำ้ หนกั เชือกสลงิ
ได้ 4 * น้ำหนกั เชอื ก (16,500) = 66,000 Ibs = 33 ton

เลือกบล็อกขอเกย่ี วแบบ 60 ton triple sheave non-swivel shackle block

3.4.2.2) หากเครนมรี ศั มกี ารยกโหลดเท่ากับ 58’ เครนจะมี net capacity เท่ากบั
เท่าใด

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกี่ยวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

74การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

วิธี: พจิ ารณา load chart ที่ boom length = 180’ load radius = 58’

เน่ืองจาก 58’ ไมม่ ีคา่ ใน
ตารางจงึ พิจารณาตามหลัก
ที่ load radius = 60’ ได้
คา่ gross capacity =
27,400 Ibs.

Deductions capacity = hook block + rigging load
= 500 + 175
= 675 Ibs.

Net capacity = Gross capacity – deductions capacity
= 27,400 – 675
= 26,725 Ibs.

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกย่ี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

75การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.4.2.3) โจทยต์ อ้ งการทราบวา่ หากเครนรบั โหลดทมี่ ากกว่าโหลดสูงสดุ ทรี่ บั ได้
ภายใตร้ ศั มีการยกโหลดที่กำหนดน้ีนน้ั เครนจะลม้ หรือจะพงั เสียหาย
ตอบ: เครนจะล้ม เนอื่ งจากที่ gross capacity ไมม่ กี ารกำหนดการดว้ ยเครอ่ื งหมาย
*

3.4.2.4) โจทยต์ อ้ งการทราบจำนวน parts of line และขนาดของบลอ็ คขอเกย่ี วที่
เครนจะสามารถรองรบั โหลดไดท้ ุกรปู แบบ ภายใต้เงื่อนไขทก่ี ำหนด

วธิ ี: หา maximum load จากตาราง load chart ท่ี boom length = 90’

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จั่น และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

76การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

Maximum capacity ที่
boom length= 90’
= 143,000 Ibs.

เนื่องจากเครนมกี ารต่อจบ๊ิ ดว้ ย ดงั นั้นในการคำนวณหา parts of line จำเปน็ ตอ้ ง
รวมนำ้ หนกั ของขอเกย่ี วจบิ๊ และนำ้ หนกั จิ๊บด้วย
Maximum suspended load = 143,000 + hook (370) + jibs’ load (2,100)

= 140,530 Ibs.
Parts of line = 140,530 = 8.5

16,500

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

77การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

จำนวน parts of line ทีใ่ ช้
= 11 เสน้

เมอ่ื ใชจ้ ำนวน parts of line 11 เสน้ ดังนั้นบลอ็ คขอเกี่ยวจะตอ้ งรบั น้ำหนกั เชอื กส
ลงิ ได้ 11 * น้ำหนกั เชอื ก (16,500) = 181,500 Ibs = 90.75 ton

เลอื กบล็อกขอเกีย่ วแบบ 110 ton six sheaves non-swivel shackle block

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

78การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.4.2.5) โจทย์ต้องการทราบวา่ เครนภายใตเ้ งอ่ื นไขท่กี ำหนดนน้ี นั้ สามารถยกโหลด
หนัก 55 tons ทรี่ ัศมกี ารยก 23’ ได้หรอื ไม่
วธิ ี: พิจารณา load chart ที่ boom length = 90’ load radius = 23’
โดย จะพจิ ารณาท่ี load radius = 25’ เนือ่ งจากไม่มคี ่า 23’

Gross capacity =
117,200 Ibs.

Deductions capacity = hook block + rigging + jib hook + jib load
= 1,250 + 275 + 370 + 2100
= 3,995 Ibs.

Net Capacity = gross capacity - deductions capacity
= 117,200 – 3,995
= 113,205 Ibs.

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกย่ี วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

79การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

= 56 tons
พิจารณาเทียบระหวา่ ง net capacity (56 tons) > load (55 tons) ดงั นั้นเครน
สามารถทำงานได้ ภายใตเ้ ง่อื นไขท่ีกำหนด
3.4.2.6) โจทย์ต้องการทราบวา่ หากเครนรบั โหลดทม่ี ากกวา่ โหลดสูงสุดทรี่ บั ได้ภายใต้
รศั มีการยกโหลดทกี่ ำหนดนี้นั้น เครนจะลม้ หรอื จะพงั เสียหาย
ตอบ: เครนจะพงั เนอ่ื งจากที่ gross capacity มกี ารกำหนดการเสียหายด้วย
เครื่องหมาย * เปน็ การกำหนดด้วย strength failure
3.4.2.7) โจทย์ต้องการทราบคา่ net capacity ของเครนหากขาช้างมขี อ้ จำกัดทำให้
กางไมไ่ ด้หนงึ่ ข้าง
วธิ ี: กรณที ่ขี าชา้ งกางไม่ได้หน่ึงขา้ ง load chart จะถกู พจิ ารณา crane base ให้
เปน็ แบบ on rubber

Gross capacity =
46,300 Ibs.

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกย่ี วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จั่น และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

80การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

Net Capacity = gross capacity - deductions capacity
= 46,300 – 3,995
= 42,305 Ibs.

3.4.2.8) โจทย์ตอ้ งการทราบว่าจ๊บิ จะสามารถยกโหลดสงู สุดได้เทา่ ไหร่
หากรศั มกี ารยก = 81’

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

81การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

พจิ ารณาทจี่ ิ๊บยาว 40’ และทำมมุ 30 องศา จะทราบคา่ gross capacity = 9,000
Ibs. เมื่อพจิ ารณาเทยี บกับ gross capacity ของ main boom = 14,600 Ibs.
แล้ว คา่ gross capacity ของจบิ๊ มคี ่านอ้ ยกว่า ดังนั้นคา่ gross capacity ของเครน
จงึ มีค่าเทา่ กบั 9,000 Ibs.

Net capacity = gross capacity – deductions capacity

= 9,000 – rigging (75) – jib hook (370) – main hook (500)

= 8,055 Ibs.

3.4.2.9) โจทยต์ ้องการทราบวา่ เครนจะลม้ หรอื พงั เสยี หายหากเครนรับน้ำหนกั เกินจาก
ขีดความสามารถ ท่ีรศั มกี ารทำงานทก่ี ำหนด

ตอบ: เนื่องจากค่า net capacity ของ jib < main boom ทำให้เครนจะพงั
เสียหายกอ่ น

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกีย่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

82การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

3.4.2.10) โจทยต์ ้องการทราบวา่ ทีร่ ศั มีการทำงานเท่าใด เครนจงึ จะเรมิ่ ลม้
ตอบ: เน่อื งจาก jibs กำหนด capacity การพงั เสียหายไว้ท่ี 9,000 Ibs. จงึ พจิ ารณา
การลม้ ท่ีตาราง main boom load chart ที่ capacity 9,000 Ibs.

Load radius= 110’-120’

สำหรบั รัศมกี ารทำงานทม่ี ากกว่า 110’ จะเปน็ ถกู กำหนดความเสยี หายด้าน stability ดว้ ย
น้ำหนักโหลดจากตาราง load chart ของ main boom และสำหรบั รัศมีการทำงานท่ีนอ้ ยกว่าหรอื
เท่ากบั 110’ จะถูกกำหนดความเสยี หายจากการพงั ของชนิ้ ส่วน (strength) ดว้ ยน้ำหนกั โหลดจาก
ตาราง load chart ของ jib

3.4.2.11) โจทยต์ อ้ งการทราบว่าจ๊ิบและแขนเครนภายใตเ้ งอื่ นไขนีจ้ ะสามารถถกู ยกได้
หรอื ไมห่ ากไมม่ อี ุปกรณเ์ สรมิ

วธิ ี: พจิ ารณาจากตารางความยาวสูงสุดของแขนเครนและจบิ๊ ทส่ี ามารถถูกยกได้

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

83การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

a) มขี าชา้ ง
จะสามารถยกไดห้ ากความยาวแขน +
จิ๊บ ไมเ่ กิน 170 + 50 ซ่ึง แขน + จบิ๊ ที่
โจทย์กำหนดคอื
160 + 40 ดังนนั้ จงึ สามารถยกได้

b) ไมม่ ขี าช้าง
จะสามารถยกไดห้ ากความยาวแขน +
จิบ๊ ไม่เกนิ 120 + 50 ซ่ึง แขน + จบิ๊ ที่
โจทย์กำหนดคือ 160 + 40 ดังนัน้ จงึ
ไม่สามารถยกได้

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

84การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

➢ การบำรงุ และดูแลรกั ษารถป้ันจน่ั ใหพ้ ร้อมใช้งานอยูเ่ สมอ

1. ตรวจสอบสภาพสายสลิงของรถเครนใหพ้ ร้อมใช้งานอยเู่ สมอ โดยทส่ี ายสลงิ จะตอ้ งไมข่ าด, งอ,
แตกหรอื เป็นสนมิ เนอื่ งจากจะทำใหเ้ กิดอันตรายในระหวา่ งการใช้งานได้
2. ตรวจสอบสภาพของแกนม้วนสายสลงิ ภายในรถเครน โดยที่แกนม้วนต้องอยู่ในสภาพสมบรู ณ์ ไม่
แตกหรอื มีสงิ่ แปลกปลอมตดิ คา้ งอยภู่ ายใน
3. ตรวจสอบสภาพตะขอทเ่ี กย่ี วระหว่างสายสลงิ วา่ มีรอยแตกร้าวหรอื เกดิ การสกึ หรอหรอื ไม่ โดยควร
ใช้สารหลอ่ ลนื่ ใสล่ งในตะขอทกุ ครงั้ เพอ่ื เพ่ิมความคลอ่ งตัวในระหวา่ งการใช้งานสายสลิง
4. ตรวจสอบสภาพมอเตอร์ของรถเครน ทง้ั การยกขนึ้ -ลง, การบดิ ไปทางซา้ ย-ขวา, การเดนิ หน้า-ถอย
หลงั โดยจะตอ้ งมีการใชท้ ่เี ป็นปกติ
5. ตรวจสอบสภาพสวติ ซ์ไฟในทุกระบบของรถเครน ทงั้ ระบบการยกขน้ึ -ลง, ระบบการบิดไปทางซ้าย-
ขวา, ระบบการเดนิ หน้า-ถอยหลงั โดยให้คุณลองกดสวติ ซไ์ ฟคา้ งไว้ จนกว่าระบบจะตดั การทำงาน
6. ตรวจสอบการทำงานของระบบเบรกในทุกๆ ฟังก์ชนั่ ของรถเครน วา่ สามารถเบรกได้อย่างมี
ประสิทธิภาพหรือไม่ และควรเปลี่ยนถา่ ยนำ้ มันเบรกและผา้ เบรกทุกครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปีในการ
ใช้งาน
7. ตรวจสอบชุดลูกยางกันชนในรถเครนใหม้ สี ภาพสมบรู ณอ์ ยูเ่ สมอ โดยท่ีจะตอ้ งไม่มรี อยแตก, หัก
หรอื บิ่นปรากฏใหเ้ ห็น หากมกี ารชำรดุ ควรเปลย่ี นใหมใ่ นทนั ที
8. ตรวจสอบสภาพสายไฟในทุกระบบการทำงาน โดยทสี่ ายไฟจะตอ้ งอยูใ่ นสภาพสมบรู ณ์ ไมม่ รี อย
ถลอกหรือฉีกขาด หากมรี อยชำรุดควรซอ่ มหรือเปลยี่ นให้เรยี บร้อย
9. ตรวจสอบสญั ญาณเสยี ง, สัญญาณแสงภายในรถเครน ใหม้ กี ารทำงานทเ่ี ป็นปกติ
10. ตรวจสอบอุปกรณ์เสรมิ ทกุ ชนดิ ในรถเครน ทัง้ Shackle, ลวดสลงิ ฯลฯ ใหอ้ ยู่ในสภาพสมบูรณ์
และพรอ้ มใช้งานอยเู่ สมอ

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จน่ั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเครื่องกล

85การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

➢ การใช้อปุ กรณค์ ุม้ ครองความปลอดภัยสว่ นบคุ คล

อุปกรณ์ปอ้ งกนั อนั ตรายส่วนบคุ คล[5] หมายถงึ สิง่ หรืออุปกรณ์ใดๆ ท่สี วมลงบนอวยั วะของ
ร่างกาย หรอื สว่ น ของร่างกาย เพือ่ ป้องกันอนั ตรายจากอุบตั เิ หตุจากการทำงานและสภาพแวดลอ้ มใน
การทำงาน มี 7 ประเภทตง้ั แต่ ศีรษะจรดเท้า ไดแ้ กอ่ ุปกรณ์ปอ้ งกนั ศีรษะ อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและ
ใบหนา้ อปุ กรณ์ป้องกนั ระบบทางเดินหายใจ อปุ กรณป์ ้องกนั ระบบการไดย้ ิน อุปกรณ์ปอ้ งกนั มอื และ
ผวิ หนัง อปุ กรณป์ อ้ งกนั เท้าและ อุปกรณป์ ้องกนั การตก

วิธกี ารเลือกใช้อปุ กรณ์ป้องกันอนั ตรายสว่ นบคุ คล
ปัจจุบนั อปุ กรณป์ ้องกันอนั ตรายสว่ นบคุ คลมหี ลากหลายชนดิ ขนึ้ อย่กู ับวัตถุประสงค์การใช้

งาน รวมทัง้ สามารถหาซื้อไดง้ ่าย ดังน้นั ผใู้ ชง้ านต้องเลอื กใชอ้ ปุ กรณป์ อ้ งกันอนั ตรายสว่ นบุคคลให้
เหมาะสมกับอนั ตรายทผ่ี ปู้ ฏบิ ัตงิ านสมั ผสั รวมทง้ั อุปกรณน์ น้ั จะตอ้ งได้มาตรฐาน ดงั นน้ั
วธิ กี ารเลือกใชอ้ ุปกรณป์ อ้ งกันอันตรายส่วนบคุ คล ควรพจิ ารณาตามเกณฑต์ อ่ ไปน้ี
1. เลือกอปุ กรณ์ป้องกนั อันตรายสว่ นบุคคล ใหต้ รงกับอันตรายท่ผี ู้ปฏิบัตงิ านอาจไดร้ ับสมั ผัส
2. ตรวจสอบประสทิ ธภิ าพในการปกป้องและมาตรฐานรับรอง เป็นตามขอ้ กำหนดของสถาบนั ที่
เช่ือถอื ได้
3. เลอื กอปุ กรณ์ป้องกนั อันตรำยสว่ นบุคคลที่มีขนาดพอดกี บั ผสู้ วมใส่ เพอ่ื ใหเ้ กิดความสบายตอ่ การ
สวมใส่
4. อปุ กรณ์ปอ้ งกันอนั ตรายสว่ นบคุ คลจะตอ้ งไมเ่ ปน็ อปุ สรรคตอ่ การปฏิบตั งิ าน
5. อุปกรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คลมีวธิ ีการใช้งานง่าย
6. มีอายกุ ารใช้งานยาวนาน บำรงุ รกั ษางา่ ย ซ่อมแซมหรอื เปลีย่ นอะไหลไ่ ดง้ ่าย
7. หาซ้ือง่ายและราคาถกู

ชนดิ ประเภท ของอปุ กรณป์ ้องกนั อนั ตรายสว่ นบุคคล
1.อุปกรณ์ปอ้ งกนั อันตรายทศ่ี ีรษะ (Head Protection Devices)
หมวกนิรภัย (Safety Helmet) หมายถึง หมวกทอ่ี อกแบบมาเพือ่ ปอ้ งกนั ศีรษะของผ้สู วมใสจ่ ากการ
ตก กระแทก อันตรายจากไฟฟ้า อันตรายจากความร้อน และอันตรายจากสารเคมี โดยอาจเพม่ิ ส่วน

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ยี วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เคร่ืองจักร ป้นั จั่น และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

86การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ป้องกันอ่นื กไ็ ด้
ตวั อยา่ งมาตรฐานของหมวกนริ ภยั
• ANSI Z89.1-2003
• EN 397 -1995
• มาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม มอก. 368-2554

ชนิดของหมวกนิรภัย
ในอดีต มอก. 368-2538 ได้กำหนดชนิดของหมวกนริ ภัยออกเปน็ 4 ชนิด คอื หมวกนิภัย

ชนิด A หมวกนิภยั ชนิด B หมวกนภิ ยั ชนดิ C และหมวกนิรภยั ชนดิ D แตป่ จั จบุ ันประเทศไทยได้
ปรบั ปรงุ มาตรฐานหมวกนิรภัยในปี พ.ศ. 2554 จึงประกาศยกเลกิ มาตรฐานของหมวกนิรภยั มอก.
368-2538 เป็นมอก.368-2554 ให้มีความทนั สมยั มากขน้ึ โดยได้แบ่งชนดิ ของหมวกนริ ภัยออกเป็น 3
ชนิด ไดแ้ ก่
1. หมวกนริ ภัยชนดิ E (Electrical) เป็นหมวกนริ ภัยทส่ี ามารถลดแรงกระแทกของวัตถุ และสามารถ
ลดอนั ตรายทีเ่ กดิ จากการสมั ผสั ตัวนำไฟฟ้า สามารถทนแรงดนั ไฟฟ้าทดสอบได้ 20,000 โวลต์
2. หมวกนริ ภยั ชนิด G (General) เปน็ หมวกนริ ภัยทสี่ ามารถลดแรงกระแทกของวตั ถุ และสามารถลด
อนั ตรายทเ่ี กิดจากการสัมผัสตัวนำไฟฟ้า สามารถทนแรงตนั ไฟฟ้าทดสอบได้ 2,200 โวลต์
3. หมวกนิรภัยชนดิ C (Conductive) เปน็ หมวกนริ ภยั ท่สี ามารถลดแรงกระแทกของวตั ถุเท่าน้ัน

รปู ท่ี 75 แสดงส่วนประกอบตา่ งๆ ของหมวกนิรภยั
(ทม่ี า : http://courseware.npru.ac.th/admin/files/20180108125953_6707)

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกี่ยวกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

87การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

1. เปลือกหมวก มีคณุ สมบัติในการป้องกันการกระแทกทกุ ทศิ ทางทุกทางของศรี ษะ
2. สายรัดคาง สามารถปรบั ได้ปอ้ งกนั มใิ หห้ มวกหล่นขณะสวมใส่
3. กระบงั หมวก ปอ้ งกันอนั ตรายจากสง่ิ ของทต่ี กลงมาตรงหน้าของผู้ปฏบิ ัตงิ าน
4. สายรดั ศรี ษะ สามารถปรบั ไดต้ ามขนาดศีรษะ เพ่ิมความกระชบั ขณะสวมใส่
5. รองในหมวก มีคณุ สมบตั ิในการกระจายแรง เพอื่ ป้องกันหมวกแตกเมือ่ ส่ิงของตกใส่
6. ป้องกนั มใิ หเ้ หง่ือไหลเขา้ ตาผปู้ ฏบิ ัติงานขณะปฏบิ ตั งิ าน

วธิ กี ารใช้งานหมวกนิภยั
หมวกนริ ภัยใช้สวมใส่เพอ่ื ป้องกนั อนั ตรายที่อาจเกิดขึ้นกับศรี ษะของผปู้ ฏิบตั งิ าน ก่อนใชง้ าน

ตอ้ งตรวจสอบ หมวกนิรภัยได้มาตรฐานตามข้อกำหนดหรอื ไม่ เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรม
มอก. 368-2554 หลังจากนั้น ตรวจสอบลกั ษณะทางกายภาพภายนอก เช่น รอยแตกร้าว เม่อื สวมใส่
ตอ้ งปรบั ให้สายรัดศรี ษะและสายรัดคาง ให้มีความกระพบพอดีกับผู้ใชง้ าน การทดสอบความกระซับ
ของหมวกสามารถทำได้โดย เมื่อสวมหมวกเสร็จให้ก้มลงคำนับตัวเอง ถ้าหมวกตกแสดงว่าหมวกไม่
กระซบั ตอ้ งทำการปรบั สายรดั ศรี ษะและสายรัดคางใหม่
การดูแลรกั ษาหมวกนิรภัย

โดยการทำความสะอาดทัง้ ตวั หมวกและอปุ กรณ์ โดยใช้นำ้ สบู่ หรอื ด้วยน้ำยาฆา่ เชือ้ โรค เช่น
แอลกอฮอล์ทีเ่ หมาะสมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครงั้ ถ้าทำได้ควรทำความสะอาดทุกรนั โดยเฉพาะ
บรเิ วณ แถบซับเหงอื่ เพราะเป็นจุดท่ีมีความสกปรกมาก ถ้าการใชง้ านของหมวกท่ีมกี ารผลดั เปล่ียน
กันใช้ ต้องทำความ สะอาดเป็นพิเศษ พรอ้ มทั้งการตรวจสอบดูแลถ้ามีการชำรุดให้เปล่ียนอุปกรณ์
หรือถ้าไม่สามารถเปล่ยี นแปลงแกไ้ ขใหเ้ ปลย่ี นหมวกนิรภัยอนั ใหม่

2. อุปกรณ์ป้องกันอนั ตรายใบหนา้ และดวงตา (Eyes and Face Protection Devices)

เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลท่ีสามารถป้องกันอนั ตรายจากการกระเดน็ ของวัตถุ
แสงแดดจ้า หรือสารเคมีที่จะกระเด็นเข้าดวงตาหรือใบหน้าของผู้ปฏิบัติงาน นิยมใช้ในการป้องกัน
อันตรายจากการปฏิบัติงานกับเคร่ืองจักร เช่น งานเจียร งานเชื่อม งานตัด งานเจาะ รวมท้ังการ
ปฏิบตั ิงานกับสารเคมีและปอ้ งกันแสงแดดทจี่ ้าทำอันตรายกับดวงตา

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จ่นั และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

88การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

ตัวอย่างมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายใบหนา้ และดวงตา
• ANSI Z87.1-2003
• EN 166-2001

รปู ท่ี 76 แสดงลกั ษณะของอปุ กรณป์ อ้ งกันอันตรายใบหนา้ และดวงตาต่างๆ
(ทมี่ า : http://courseware.npru.ac.th/admin/files/20180108125953_6707)

ประเภทของอุปกรณป์ ้องกันอันตรายใบหนา้ และดวงตา

ในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดข้ึนกับใบหน้าและดวงตาน้ัน ต้องเลือกอุปกรณ์ในการ
ปอ้ งกันอันตรายให้เหมาะสมกับการปฏบิ ัติงาน เพ่ือให้มีประสิทธภิ าพในการป้องกันอันตรายไดม้ าก
ทีส่ ดุ อปุ กรณป์ ้องกันอันตราย ส่วนบคุ คลสำหรับใบหน้าและดวงตาสามารถแบง่ ออกเป็น 4 ชนิดดงั น้ี
1) แว่นตา (spectacles or Glasses) สามารถปอ้ งกันอนั ตรายกบั การทำงานที่มีเศษวัสดกุ ระเด็นเข้า
ตา แว่นตาแบ่งเปน็ 2 ประเภทดงั นี้
• แบบไม่มกี ระบังข้าง สามารถปอ้ งกนั การกระเดน็ จากดา้ นหนา้
• แบบมกี ระบังข้างสามารถป้องกนั การกระเด็นจากดา้ นหนา้ และดา้ นช้าง
2) แว่นครอบตา (Goggles) สามารถป้องกันอันตรายจากกระแทกของวัตถุ ป้องกันสารเคมี และ
ปอ้ งกันอนั ตรายจากแสงท่ีเกดิ จากการทำงานเชอ่ื มโลหะแต่ตอ้ งมเี ลนส์กรองแสงชนิดพิเศษ แว่นครอบ
ตามปี ระสิทธภิ าพ ในการป้องกนั อนั ตรายได้ดกี ว่าแว่นตา แวน่ ครอบตา
3) กระบังปอ้ งกันใบหน้า (Face Shield) สามารถป้องกันอันตรายต่อใบหน้า ดวงตารวมไปถึงลำคอ
จากการกระเด็น กระแทกของวัตถุ หรือส ารเคมี บางรุ่นสามารถใช้ร่วมกับท่ีครอบหูได้

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกย่ี วกับ ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จัน่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

89การไฟฟ้าส่วนภูมภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

4) หน้ากากสำหรับเช่ือม (Welding Shields) เป็นอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและดวงตา ซ่ึงใช้ในงาน
เช่ือมสามารถปอ้ งกนั อันตรายจากการกระเด็นของเศษโลหะ ความรอ้ น แสงจำ้ และรงั สีจากการเช่อื ม

การใชง้ านอุปกรณป์ ้องกันอันตรายใบหนา้ และดวงตา
ควรเลือกอปุ กรณป์ ้องกันอนั ตรายอยา่ งเหมาะสม ตามลักษณะงานหรืออันตรายท่อี าจเกิดข้ึน

จากการทำงาน พรอ้ มทัง้ ตรวจสอบสภาพโดยทว่ั ไป เชน่ เลนส์ ขาแว่น สายรัด กรอบแวน่ กระบังหน้า
หรอื กระบังข้าง ต้องอยู่ในสภาพท่ีดีไม่มีรอยร้าว รอยแตก หรือมีการพรำ่ มัวของเลนส์ ขณะสวมใส่
อุปกรณต์ ้องมีความกระซบั แนน่ ไมห่ ลวม หรอื หลดุ ขณะปฏบิ ตั ิงาน สำหรบั ผ้ใู ชง้ านทีม่ ปี ัญหาสายตา
จะตอ้ งสวมแวน่ ตาหรือคอนแทคเลนสก์ ่อนใส่อุปกรณ์ เพื่อการมองเห็นท่ีซัดเจนขณะปฏิบัติงานของ
ผู้ปฏิบัติงาน หรือถ้าสถานประกอบการมงี บประมาณเพยี งพอตอ้ งจัดอุปกรณ์ปอ้ งกันอันตรายทเ่ี ลนส์
ตามีความเหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน

การบำรุงรกั ษาอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายใบหน้าและดวงตา
ทำความสะอาดทุกคร้ังหลังจากใช้งาน โดยใช้นำสบู่เข็ดทำความสะอาด แล้วผ่ึงแดดให้แห้ง

พร้อมท้ังการตรวจสอบดูแลถ้าอุปกรณ์ถ้ามีการชำรุดให้เปลี่ยนอุปกรณ์ หรือถ้าไม่สามารถ
เปลีย่ นแปลงได้ ใหเ้ ปลย่ี นอุปกรณ์ ป้องกนั ใบหน้าและดวงตาอันใหม่ใหก้ บั ผปู้ ฏบิ ัติงาน

3.อปุ กรณ์ปอ้ งกนั อนั ตรายระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Protection Devices)
เป็นอปุ กรณ์ชว่ ยป้องกันอันตรายจากมลพิษหรอื สารพิษกอ่ นเข้าสรู่ ่างกายผ่านการหายใจเข้า

สู่ปอด ได้แก่ อนุภาค ฝุ่น ก๊าซ ฟูม เส้นใย ไอระเหยสารเคมี และบรรยากาศท่ีอาจเป็นอันตรายต่อ
ชีวิตและสุขภาพ อย่างเฉียบพลัน (Immediately dangerous to life and health : IDLH) เช่น
กรณีการเกดิ เหตเุ พลงิ ไหม้ หรอื สารเคมีรว่ั ไหลรนุ แรง รวมถึงการปฏบิ ัติงานในพ้ืนทป่ี ริมาณออกซเิ จน
ในอากาศไม่เพยี งพอ

ตวั อยา่ งมาตรฐานอปุ กรณป์ อ้ งกนั อันตรายระบบทางเดินหายใจ
• NIOSH respiratory regulations 42 CFR Part 84
• AS/NZS 1716:2012
• ANSI Z88.2-1992

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลิต
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

90การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

• EN 137 , EN 145 สำหรับ SCBA self-contained breathing apparatus
• EN149 Respiratory protective devices
• EN 405, EN 140 สำหรบั ตวั หน้ากากแบบครงึ่ หน้า
• EN 141, EN 143, EN 371, EN 372 สำหรับไสก้ รองของหน้ากากแบบครง่ึ หน้า
• EN 136 สำหรบั ไส้กรอง (filters) ของหน้ากากแบบเต็มหน้า

ประเภทของอปุ กรณ์ป้องกนั อันตรายระบบทางเดินหายใจ
1. หน้ากากชนิดกรองอากาศ (Air-Purifying) ใชใ้ นงานทอ่ี อกซิเจนในบรรยากาศการทำงานมี

เพียงพอ ตอ่ การหายใจ หรอื บรรยากาศการทำงานน้ันยังสามารถหายใจเข้าไปได้ แต่มีการปนเป้ือน
ของสารเคมใี นสภาพ แวดลอ้ มในการทำงานทอ่ี ยใู่ นระดับท่ีหน้ากากชนดิ นส้ี ามารถกำจัดหรอื ดดู ซบั ไว
ได้ เช่น สภาพแวดล้อมในการ ทำงานทมี่ ฝี ุน่ ฟมู ละออง แตไ่ มส่ ามารถใชใ้ นบรรยากาศทีเ่ ป็นอนั ตราย
ตอ่ ชวี ติ และสขุ ภาพอยา่ งเฉียบพลนั (IDLH) หรอื สารเคมที ่มี ีความเปน็ พิษและอันตรายสูง หรือสารพษิ
ความเข้มข้นสูงได้ ตัวอย่างเช่น หน้ากากชนิด N95 และหน้ากากกรองสารเคมี ชนิด Chemical
Cartridge Respirator หนา้ กากกรองฝ่นุ หรอื สารเคมีชนิดอน่ื ๆ

หน้ากากชนิด N95 หมายถึง หน้ากากท่ีสามารถกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอน ด้วย
ประสิทธิภาพ ของการกรอง 95% นอกจากนี้แล้วยังต้องแนบกับใบหน้าไม่ให้มีอากาศร่ัวเข้าออก
ทางด้านข้างไมเ่ กนิ 10% ตามมาตรฐานของ NIOSH ป้องกันอนุภาคอนั ตรายทั้งฝุ่น สารเคมี ละออง
ฟมู ไอ ทปี่ นเปอื้ นอยู่ในบรรยากาศ การทำงานได้ มคี วามสามารถในการปอ้ งกนั อนภุ าคของฝุน่ ได้ดี

รูปท่ี 77 แสดงลักษณะของหน้ากากกรองอนุภาคแบบต่างๆ
(ทม่ี า : http://courseware.npru.ac.th/admin/files/20180108125953_6707)

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเกยี่ วกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เคร่ืองจักร ป้นั จนั่ และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล

91การไฟฟ้าส่วนภมู ภิ าค

คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual )

หน้ากากกรองสารเคมีชนิด Chemical Cartridge Respirator นิยมใช้ในการป้องกัน
อันตรายจากก๊าซ หรอื ไอของสารเคมี โดยหน้ากากชนิดน้ีจะมีไสก้ รองสารเคมที ีเ่ รยี กว่า Cartridge ทำ
หน้าท่ีดูดซับสารเคมีท่ีอยู่ในบรรยากาศการทำงาน โดยสามารถเลือก Cartridge ให้เหมาะสมกับ
ลักษณะอันตรายนั้นๆ และสามารถถอดเปลีย่ นได้ ตามอายกุ ารใช้งาน

รูปที่ 78 แสดงลักษณะของหน้ากากกรองสารเคมี
(ท่มี า : http://courseware.npru.ac.th/admin/files/20180108125953_6707)

2. หนา้ กากชนิดสง่ อากาศจากภายนอกเขา้ ไป (Supplied-Air) นิยมใช้กับลักษณะการปฏิบัตงิ านทไี่ ม่
สามารถหายใจโดยใช้อากาศในบริเวณนั้นได้ โดยอากาศบริเวณนั้นมีก๊าซออกซิเจนต่ำกว่า 16
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยากต่อการหายใจของมนุษย์ รวมถึงลักษณะบรรยากาศที่เป็นอันตรายอื่นๆ เช่น
ลกั ษณะการทำงานท่ีเป็นอันตรายต่อชีวติ และสุขภาพอย่างเฉียบพลัน (IDLH) หรือสารเคมีท่ีมีความ
เป็นพิษและอันตรายสูง หรือสารพิษท่ีมีความเข้มข้นสูงได้ รวมถึงการใช้งานลักษณะสภาวะฉุกเฉิน
ต่างๆ เช่น สารเคมีร่วั ไหล เพลิงไหม้ โดยการส่ง อากาศบริสทุ ธิ์จากภายนอกเข้าไปตามสายส่งอากาศ
หรือถงั บรรจุอากาศก็ได้ เช่น ชุด SCBA (Self Contained Breathing Apparatus) โดยความดนั ใน
หนา้ กากชนิด SCBA นจี้ ะตอ้ งเปน็ บวกเสมอ เพ่อื ไม่ใหอ้ ากาศทีเ่ ปน็ อันตรายจากภายนอกหน้ากากไหล
เข้ามาในหนา้ กากซ่งึ จะทำใหผ้ ู้ใช้งานเกิดอนั ตรายได้

ค่มู ือกฎกระทรวงว่าด้วยการทางานเก่ียวกบั ฝ่ ายบารุงรักษาระบบผลติ
เครื่องจักร ป้นั จ่ัน และหม้อน้า พ.ศ. 2564 กองบริการและบารุงรักษาเคร่ืองกล


Click to View FlipBook Version