The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฉบับปรับปรุงปี2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by worachot, 2022-06-03 14:08:32

หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฉบับปรับปรุงปี2565

หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฉบับปรับปรุงปี2565

สหวลิทาักรยสะูตากรศสาถาราสเนรตศียึกรษน์แาลรู้ะเทคโนโลยี

ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๕

(ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑)

โรงเรียนวัดเดชานุสรณ์(สาครตาลสุวรรณาคม)

สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต ๒
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ

คำนำ

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดเดชานุสรณ์(สาครตาลสุวรรณาคม) พุทธศักราช 2565
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช
2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2565) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่มนี้
ได้จัดทำขึ้นโดยยึดตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2565) ซึ่งมีรายเอียด
ของหลักสตู ร คือ บทนำ เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์ เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ สาระและมาตรฐานการ
เรียนรู้ คุณภาพผู้เรียน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง โครงสร้างเวลาเรียน คำอธิบายรายวิชา
โครงสรา้ งรายวิชา

หลักสูตรโรงเรียนวัดเดชานุสรณ์(สาครตาลสุวรรณาคม)นี้ มีรายละเอียดและเนื้อหาสาระสำคัญ
เพียงพอท่สี ามารถ จะนำไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการจดั การเรยี นการสอนให้กับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1
ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2565) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พทุ ธศกั ราช 2565) กำหนดไว้

คณะผู้จดั ทำ

สารบญั หน้า

เรื่อง 1
2
คำนำ 3
สารบญั 3
บทนำ 4
เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7
เรียนรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ 15
คุณภาพผ้เู รียน 24
ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 32
42
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ 43
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ 54
สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอากาศ 82
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
โครงสรา้ งเวลาเรยี น ระดบั ประถมศกึ ษา
คำอธบิ ายรายวชิ า
โครงสร้างรายวชิ า
อภิธานศัพท์

1

กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

บทนำ

ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2565) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 นีไ้ ดก้ ำหนด
สาระการเรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยี มีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระ
ชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบ
ของหลักสูตรทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้น
มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มี
ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สำหรับกลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี ด้กำหนดตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่ผู้เรียนจำเป็นต้อง
เรียนเป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพ ที่ต้องใช้
วทิ ยาศาสตร์ได้ โดยจดั เรยี งลำดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับช้นั ให้มี การเชื่อมโยง
ความร้กู บั กระบวนการเรียนรู้ และการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีส่งเสริมให้ผู้เรยี นพัฒนาความคิดทั้งความคิด
เป็นเหตุเปน็ ผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะหว์ ิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่
ตรวจสอบได้สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัดและสาระการ
เรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2565) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอนตลอดจน
หน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครู สื่อประกอบการเรียนการสอน
ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2565) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้อง และเชื่อมโยงกันภายในสาระการ
เรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจน
การเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ี ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความ
ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สรปุ เป็นแผนภาพได้ ดังน้ี

2

กลุ่มสาระ
การเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง
มากที่สุด เพื่อให้ได้ทั้งกระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง
แล้วนำผลทีไ่ ด้มาจัดระบบเปน็ หลกั การ แนวคดิ และองค์ความรู้

การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยจี งึ มีเป้าหมายท่สี ำคญั ดังน้ี
1. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทเ่ี ป็นพื้นฐานในวชิ าวทิ ยาศาสตร์
2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจ ำกัดในการศึกษา
วิชาวทิ ยาศาสตร์
3. เพ่อื ให้มีทักษะท่ีสำคญั ในการศกึ ษาค้นคว้าและคดิ ค้นทางเทคโนโลยี
4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์
และสภาพแวดลอ้ มในเชงิ ทม่ี ีอทิ ธิพลและผลกระทบซึ่งกนั และกนั
5. เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
และการดำรงชีวติ
6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัด
การทักษะในการส่อื สาร และความสามารถในการตดั สินใจ

3

7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์

เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มงุ่ หวงั ใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ท่ีเนน้ การ
เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการใน
การสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำ
กจิ กรรมดว้ ยการลงมือปฏบิ ตั จิ ริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้นั โดยกำหนดสาระสำคญั ดงั นี้

✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ
และววิ ัฒนาการของส่งิ มีชวี ติ

✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร
การเคลอ่ื นท่ี พลงั งาน และคล่นื

✧ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายใน
ระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สิง่ มชี ีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม

✧ เทคโนโลยี
●การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคม

ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์
อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลอื กใช้เทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และส่งิ แวดลอ้ ม

●วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสอื่ สาร ในการแก้ปญั หาท่พี บในชีวติ จรงิ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต

กบั ส่ิงมีชวี ิต และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมชี ีวิตกับสิง่ มีชีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
สิ่งแวดลอ้ มรวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงาน
สมั พันธก์ นั ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ท่ีทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำ
ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

4

มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร
พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ
และวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวติ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ

สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ
สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวตั ถุ ลกั ษณะ
การเคลือ่ นท่แี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์
ท่เี กี่ยวข้องกบั เสียง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ

กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต
และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ัง
ผลต่อส่ิงมีชีวิตและสง่ิ แวดล้อม

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสัง คม

ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์
อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลอื กใช้เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสิ่งแวดล้อม

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น
ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน
และการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ รู้เท่าทนั และมจี รยิ ธรรม

คณุ ภาพผู้เรียน

จบชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3
❖ เข้าใจลักษณะท่วั ไปของส่งิ มีชีวติ และการดำรงชวี ิตของสงิ่ มชี วี ิตรอบตัว
❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุและการเปลี่ยนแปลง
ของวสั ดรุ อบตัว

5

❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่
ของวตั ถุ พลงั งานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟา้ การเกดิ เสยี ง แสงและการมองเห็น

❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์การขึ้นและตก
ของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้
ประโยชน์ ลักษณะและความสำคญั ของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม

❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบด้วย
การเขียนหรือวาดภาพ และสอ่ื สารส่ิงทเี่ รียนรู้ด้วยการเล่าเรอ่ื ง หรือด้วยการแสดงทา่ ทางเพ่อื ให้ผูอ้ น่ื เขา้ ใจ

❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสอื่ สารเบอื้ งตน้ รักษาขอ้ มูลส่วนตวั

❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา
ตามทกี่ ำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ มสี ่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็น และยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ผู้อ่ืน

❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอยา่ งมุ่งมั่น รอบคอบประหยัด ซื่อสัตย์
จนงานลุล่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกบั ผูอ้ น่ื อย่างมคี วามสขุ

❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต
ศึกษาหาความรเู้ พม่ิ เตมิ ทำโครงงานหรือชิ้นงานตามท่ีกำหนดให้หรือตามความสนใจ

จบชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6
❖ เขา้ ใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะการปรับตัวของส่ิงมีชีวิต รวมทง้ั ความสมั พันธ์ของสง่ิ มีชวี ิต ใน
แหลง่ ทีอ่ ยู่ การทำหนา้ ทขี่ องส่วนต่าง ๆ ของพชื และการทำงานของระบบย่อยอาหารของมนุษย์
❖ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสารการละลาย
การเปล่ียนแปลงทางเคมี การเปล่ียนแปลงทผี่ ันกลบั ได้และผนั กลับไมไ่ ด้ และการแยกสารอยา่ งงา่ ย
❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรง
ต่าง ๆ ผลที่เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายปรากฏการณ์
เบือ้ งต้นของเสียง และแสง
❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์
องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์
การขึน้ และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใชแ้ ผนท่ดี าว การเกดิ อุปราคาพฒั นาการและประโยชน์ ของเทคโนโลยี
อวกาศ
❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง
หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิด
ลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัยการเกิดและผลกระทบ
ของปรากฏการณ์เรอื นกระจก
❖ คน้ หาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเช่ือถือ ตดั สนิ ใจเลอื กข้อมูลใช้เหตุผลเชิง
ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกันเข้าใจสิทธิ
และหนา้ ทขี่ องตน เคารพสทิ ธขิ องผู้อ่ืน

6

❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ
คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ
วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลทั้งเชิงปริมาณและคณุ ภาพ

❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสมั พันธ์ของข้อมูลท่ีมาจากการสำรวจตรวจสอบใน
รูปแบบที่เหมาะสม เพ่อื สือ่ สารความรจู้ ากผลการสำรวจตรวจสอบไดอ้ ย่างมเี หตุผลและหลักฐานอ้างอิง

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม
ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ
คดิ เหน็ ผอู้ ืน่

❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอยา่ งมุ่งมัน่ รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์
จนงานลลุ ว่ งเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานรว่ มกบั ผ้อู ื่นอยา่ งสร้างสรรค์

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น
และศึกษาหาความรเู้ พม่ิ เตมิ ทำโครงงานหรือชน้ิ งานตามทีก่ ำหนดใหห้ รือตามความสนใจ

❖ แสดงถงึ ความซาบซ้ึง หว่ งใย แสดงพฤติกรรมเก่ยี วกบั การใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดล้อมอย่างร้คู ุณค่า

7

ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง

สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่งิ ไม่มีชีวติ กับสง่ิ มีชีวิต

และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอด

พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ

ผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์

ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดล้อมรวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป.๑ ๑. ระบุชื่อพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ • บริเวณต่าง ๆ ในท้องถิ่น เช่น สนามหญ้า ใต้
บริเวณต่าง ๆจากข้อมูลที่รวบรวม ต้นไม้สวนหย่อมแหล่งน้ำอาจพบพืชและสัตว์

ได้ หลายชนดิ อาศยั อยู่
๒. บอกสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมกบั • บริเวณที่แตกต่างกันอาจพบพืชและสัตว์

การดำรงชีวิตของสัตว์ในบริเวณท่ี แตกต่างกันเพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละ

อาศัยอยู่ บริเวณจะมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
ของพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแต่ละบริเวณ
เช่น สระน้ำ มนี ำ้ เปน็ ที่อยอู่ าศัยของหอย ปลา

สาหรา่ ย เปน็ ทีห่ ลบภัยและมแี หล่งอาหารของ
หอยและปลา บริเวณต้นมะม่วงมีต้นมะม่วง
เป็นแหล่งที่อยู่และมีอาหารสำหรับกระรอก

และมด
• ถ้าสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พืชและสัตว์

อาศัยอยู่มีการเปลี่ยนแปลง จะมีผลต่อการ

ดำรงชวี ติ ของพชื และสัตว์

ป. ๒ - -

ป. ๓ - -

ป. ๔ - -

ป.5 ๑. บรรยายโครงสร้างและลักษณะ • สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีโครงสร้างและ
ของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับการ ลักษณะที่เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ซึ่ง
ดำรงชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการ เป็นผลมาจากการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต

ปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในแต่ละ เพือ่ ใหด้ ำรงชีวิตและอยู่รอดได้ในแต่ละแหล่ง
แหลง่ ทอ่ี ยู่ ที่อยู่ เช่น ผักตบชวามีช่องอากาศในก้านใบ
ช่วยใหล้ อยน้ำได้ต้นโกงกางท่ขี น้ึ อยูใ่ นป่าชาย

เลนมีรากค้ำจุนทำให้ลำต้นไม่ล้ม ปลามีครีบ
ชว่ ยในการเคล่อื นทีใ่ นน้ำ

8

ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

๒. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • ในแหล่งที่อยู่หนึ่ง ๆ สิ่งมีชีวิตจะมี

สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และ ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและสัมพันธ์กับ

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกับ สิ่งไม่มีชีวิต เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต

สิ่งไม่มีชีวติ เพื่อประโยชน์ต่อการ เช่น ความสัมพันธ์กันด้านการกินกันเป็น

ดำรงชีวติ อาหาร เปน็ แหล่งที่อยู่อาศยั หลบภัยและ

๓. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาท • เลย้ี งดลู ูกออ่ น ใชอ้ ากาศในการหายใจ

หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ผลิต สิ่งมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อ

และผู้บริโภคในโซ่อาหาร กันเปน็ ทอดๆในรปู แบบของโซ่อาหาร ทำให้

4. ตระหนกั ในคุณคา่ ของสิ่งแวดล้อม สามารถระบบุ ทบาทหน้าท่ีของสิ่งมีชีวิตเป็น

ที่มีต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ผู้ผลติ และผบู้ ริโภค

โดยมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา

สิง่ แวดลอ้ ม

ป.6 - -

9

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัติของสง่ิ มีชีวติ หนว่ ยพนื้ ฐานของส่งิ มชี ีวติ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจาก
เซลล์ ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของระบบต่าง ๆของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ี
ทำงานสมั พันธ์กัน ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหนา้ ท่ีของอวยั วะต่าง ๆ ของพืชท่ี
ทำงานสมั พนั ธ์กัน รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป. ๑ ๑. ระบุช่อื บรรยายลกั ษณะและ • มนุษยม์ สี ่วนตา่ ง ๆ ทมี่ ีลกั ษณะและหน้าที่แตกต่าง

บอกหนา้ ที่ของสว่ นต่าง ๆ ของ กัน เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิตเช่น ตามี

รา่ งกายมนุษยส์ ตั วแ์ ละพชื หน้าที่ไว้มองดูโดยมีหนังตาและขนตาเพื่อป้องกัน

รวมท้งั บรรยายการทำหนา้ ท่ี อันตรายให้กับตา หูมีหน้าที่รับฟังเสียงโดยมีใบหู

รว่ มกันของสว่ นตา่ ง ๆ ของ และรูหูเพื่อเป็นทางผ่านของเสียงปากมีหน้าที่พูด

รา่ งกายมนุษยใ์ นการทำ กินอาหาร มีช่องปากและมีริมฝีปากบนล่าง แขน

กิจกรรมตา่ ง ๆ จากข้อมูลท่ี และมือมีหน้าที่ยก หยิบ จับมีท่อนแขนและนิ้วมือ

รวบรวมได้ ที่ขยับได้สมองมีหน้าทีค่ วบคุมการทำงานของส่วน

๒. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของสว่ น ต่าง ๆ ของร่างกายอยู่ในกะโหลกศีรษะ โดยส่วน

ต่าง ๆ ของร่างกายตนเอง โดย ต่างๆของร่างกายจะทำหน้าที่ร่วมกันในการทำ

การดูแลสว่ นตา่ ง ๆ อย่าง กจิ กรรมในชวี ิตประจำวนั

ถูกต้อง ให้ปลอดภยั และรกั ษา • สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีส่วนต่าง ๆ ที่มี

ความสะอาดอยู่เสมอ ลักษณะและหน้าท่แี ตกต่างกนั เพ่อื ให้เหมาะสมใน

การดำรงชีวติ เชน่ ปลามคี รีบเปน็ แผน่ ส่วนกบเต่า

แมว มีขา ๔ ขา และมีเท้าสำหรับใช้ในการ

เคลอื่ นที่

• พืชมีสว่ นต่าง ๆ ทม่ี ีลกั ษณะและหนา้ ทีแ่ ตกต่างกัน

เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิตโดยทั่วไป รากมี

ลักษณะเรยี วยาว และแตกแขนงเปน็ รากเล็ก ๆทํา

หน้าที่ดูดน้ำ ลำต้นมีลักษณะเป็นทรงกระบอกต้ัง

ตรงและมีกิ่งก้าน ทำหน้าที่ชูกิ่งก้าน ใบและดอก

ใบมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ทำหน้าที่สร้างอาหาร

นอกจากนี้พืชหลายชนิด อาจมีดอกที่มีสีรูปร่าง

ต่าง ๆ ทำหน้าที่สืบพันธุ์รวมทั้งมีผลที่มีเปลือก มี

เนื้อห่อหมุ้ เมลด็ และมเี มล็ดซึ่งสามารถงอกเป็นต้น

ใหม่ได้

10

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป.1 • มนุษย์ใชส้ ว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายในการทำ

(ต่อ) กจิ กรรมตา่ ง ๆ เพ่ือการดำรงชีวติ มนุษยจ์ ึงควร

ใช้ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายอย่างถกู ต้อง

ปลอดภัยและรักษาความสะอาดอยูเ่ สมอ เช่น

ใช้ตามองตวั หนงั สือในที่ท่ีมแี สงสวา่ งเพียงพอ

ดแู ลตาใหป้ ลอดภัยจากอนั ตราย และรกั ษา

ความสะอาดตาอย่เู สมอ

ป. ๒ ๑. ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำ • พชื ตอ้ งการนำ้ แสง เพ่ือการเจริญเติบโต
เพื่อการเจริญเติบโต โดยใช้
ข ้ อ ม ู ล จ า ก ห ล ั ก ฐ า น เ ชิ ง
ประจกั ษ์
๒. ตระหนักถึงความจำเป็นที่พืช
ต้องได้รับน้ำและแสงเพื่อการ
เจริญเติบโต โดยดูแลพืชให้
ได้รับสิ่งดังกล่าวอย่าง
เหมาะสม

3. สร้างแบบจำลองทบ่ี รรยาย • พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมีการ

วัฏจกั รชวี ติ ของพืชดอก สืบพันธุ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ด

เมื่อเมล็ดงอก ต้นอ่อนที่อยู่ภายในเมล็ดจะ

เจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ พืชต้นใหม่จะ

เจริญเติบโตออกดอกเพื่อสืบพันธุ์มีผลต่อไปได้อีก

หมุนเวียนต่อเนอ่ื งเป็นวัฏจกั รชีวิตของพืชดอก

ป. ๓ ๑. บรรยายสิ่งที่จำเป็นต่อการ • มนุษย์และสัตวต์ อ้ งการอาหาร น้ำ และอากาศเพื่อ
ดำรงชีวติ และการเจริญเติบโต
ของมนุษย์และสัตว์โดยใช้ การดำรงชีวติ และการเจริญเติบโต
ขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ • อาหารชว่ ยให้รา่ งกายแข็งแรงและเจริญเติบโตน้ำ
๒. ตระหนักถึงประโยชน์ของ
อาหาร น้ำ และอากาศโดยการ ช่วยให้รา่ งกายทำงานได้อย่างปกตอิ ากาศใช้ใน
การหายใจ

ดูแลตนเองและสัตวใ์ ห้ได้รับส่ิง
เหลา่ นอ้ี ย่างเหมาะสม

๓. สรา้ งแบบจำลองที่บรรยายวัฏ • สตั วเ์ ม่ือเปน็ ตัวเตม็ วัยจะสืบพันธมุ์ ลี ูก เมื่อลูก
จกั รชีวิตของสัตวแ์ ละ
เปรยี บเทียบวฏั จกั รชีวิตของ เจรญิ เตบิ โตเป็นตัวเตม็ วยั ก็สืบพนั ธ์มุ ลี กู ต่อไปได้
สตั วบ์ างชนดิ อีก หมุนเวียนต่อเนือ่ งเปน็ วัฏจักรชวี ิตของสตั ว์
๔. ตระหนกั ถึงคุณคา่ ของชวี ิตสตั ว์ ซึง่ สตั วแ์ ต่ละชนดิ เช่น ผเี สือ้ กบ ไก่มนษุ ย์จะ
โดยไมท่ ำใหว้ ัฏจกั รชวี ติ ของ มวี ฏั จักรชีวิตที่เฉพาะและแตกต่างกนั

สตั วเ์ ปลย่ี นแปลง

11

ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๔ ๑. บรรยายหนา้ ท่ขี องราก ลำตน้ • สว่ นต่างๆของพืชดอกทำหน้าท่ีแตกต่างกนั

ใบ และดอกของพืชดอก โดย - รากทำหนา้ ท่ีดดู นำ้ และธาตุอาหารขึ้นไปยงั ลำตน้

ใช้ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ - ลำตน้ ทำหนา้ ทล่ี ำเลยี งนำ้ ต่อไปยงั สว่ นต่าง ๆของ

พชื

- ใบทำหน้าทีส่ รา้ งอาหาร อาหารท่ีพชื สร้างข้นึ คือ

น้ำตาลซ่งึ จะเปลยี่ นเป็นแป้ง

- ดอกทำหน้าทส่ี ืบพนั ธป์ุ ระกอบด้วยส่วนประกอบ

ต่าง ๆ ได้แก่กลีบเลย้ี ง กลบี ดอกเกสรเพศผ้แู ละ

เกสรเพศเมยี ซึง่ ส่วนประกอบแต่ละส่วนของดอก

ทำหน้าท่แี ตกตา่ งกัน

ป.5 - -

ป.6 ๑. ระบสุ ารอาหารและบอก • สารอาหารที่อยู่ในอาหารม๖ี ประเภท ได้แก่

ประโยชนข์ องสารอาหารแต่ละ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลอื แร่ วิตามินและ

ประเภทจากอาหารทต่ี นเอง นำ้

รับประทาน • อาหารแตล่ ะชนดิ ประกอบด้วยสารอาหารที่

๒. บอกแนวทางในการเลอื ก แตกตา่ งกัน อาหารบางอย่างประกอบดว้ ย

รบั ประทานอาหารให้ได้ สารอาหารประเภทเดยี ว อาหารบางอย่าง

สารอาหารครบถ้วน ในสัดส่วน ประกอบด้วยสารอาหารมากกว่าหนึ่งประเภท

ทเ่ี หมาะสมกบั เพศและวัย • สารอาหารแตล่ ะประเภทมีประโยชน์ตอ่ ร่างกาย

รวมทัง้ ความปลอดภยั ตอ่ แตกต่างกัน โดยคารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมัน

สขุ ภาพ เปน็ สารอาหารทีใ่ ห้พลังงานแก่ร่างกายสว่ นเกลือ

๓. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของ แร่วิตามนิ และน้ำ เปน็ สารอาหารทไี่ มใ่ ห้พลังงาน

สารอาหาร โดยการเลือก แกร่ า่ งกาย แตช่ ่วยให้รา่ งกายทำงานได้เป็นปกติ

รบั ประทานอาหารท่ีมี • การรบั ประทานอาหาร เพอื่ ใหร้ ่างกายเจริญเตบิ โต

สารอาหารครบถว้ นในสัดสว่ น มกี ารเปลยี่ นแปลงของร่างกายตามเพศและวยั

ที่เหมาะสมกับเพศและวัย และมีสขุ ภาพดจี ำเป็นต้องรบั ประทานให้ได้

รวมทงั้ ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ พลังงานเพยี งพอกบั ความต้องการของรา่ งกายและ

ใหไ้ ด้สารอาหารครบถว้ น ในสัดสว่ นที่เหมาะสม

กับเพศและวัย รวมทง้ั ต้องคำนงึ ถงึ ชนิดและ

ปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหารเพ่อื ความ

ปลอดภัยต่อสุขภาพ

12

ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ป.6 (ต่อ) 4. สร้างแบบจำลองระบบย่อย • ระบบยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ยอวัยวะต่างๆ ไดแ้ ก่
อาหาร และบรรยายหนา้ ทข่ี อง ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไสเ้ ล็ก
อวยั วะในระบบย่อยอาหาร ลำไสใ้ หญ่ ทวารหนกั ตบั และตบั อ่อน ซง่ึ ทำ
รวมทง้ั อธบิ ายการยอ่ ยอาหาร หน้าท่รี ่วมกันในการยอ่ ยและดดู ซมึ สารอาหาร
และการดูดซมึ สารอาหาร - ปากมีฟันช่วยบดเคีย้ วอาหารให้มขี นาด
เล็กลงและมีล้นิ ชว่ ยคลกุ เคล้าอาหารกับน้ำลาย
๕. ตระหนักถึงความสำคัญของ ในน้ำลายมเี อนไซมย์ ่อยแป้งใหเ้ ปน็ น้ำตาล
ระบบย่อยอาหารโดยการบอก - หลอดอาหารทำหนา้ ที่ลำเลยี งอาหารจาd
แนวทางในการดแู ลรกั ษา ปากไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะ
อวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารให้ อาหารมีการย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ท่ี
ทำงานเป็นปกติ สรา้ งจากกระเพาะอาหาร
- ลำไสเ้ ลก็ มีเอนไซม์ทีส่ รา้ งจากผนังลำไส้เลก็ เอง
และจากตบั อ่อนทช่ี ่วยย่อยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต
และไขมนั โดยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมันที่
ผา่ นการย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอที่จะ
ดดู ซึมได้รวมถึงน้ำ เกลือแรแ่ ละวิตามินจะถกู ดูด
ซึมท่ีผนงั ลำไส้เล็กเขา้ ส่กู ระแสเลอื ดเพ่ือลำเลยี ง
ไปยังสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย ซง่ึ โปรตนี
คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถกู นำไปใช้เปน็
แหลง่ พลังงานสำหรับใช้ในกจิ กรรมต่าง ๆส่วนน้ำ
เกลือแรแ่ ละวิตามิน จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้
เปน็ ปกติ
- ตับสรา้ งน้ำดแี ลว้ ส่งมายงั ลำไส้เลก็ ช่วยใหไ้ ขมนั
แตกตวั
- ลำไสใ้ หญ่ทำหน้าที่ดูดน้ำและเกลือแร่ เปน็
บริเวณทีม่ อี าหารท่ีย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมดเป็น
กากอาหาร ซง่ึ จะถูกกำจดั ออกทางทวารหนัก

• อวยั วะตา่ ง ๆ ในระบบยอ่ ยอาหารมีความสำคัญ
จงึ ควรปฏบิ ตั ิตน ดูแลรักษาอวัยวะใหท้ ำงานเป็น
ปกติ

13

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมสาร

พนั ธกุ รรม การเปลีย่ นแปลงทางพนั ธุกรรมทม่ี ผี ลต่อสง่ิ มชี ีวิต ความหลากหลายทาง
ชวี ภาพและววิ ัฒนาการของส่งิ มีชวี ติ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๑ - -

ป. ๒ ๑. เปรียบเทยี บลักษณะของ • สิ่งที่อยรู่ อบตัวเรามีทงั้ ทเ่ี ป็นส่ิงมชี ีวิตและ
ส่ิงมชี ีวติ และส่งิ ไม่มชี ีวิต จาก สง่ิ ไม่มีชวี ิต สง่ิ มชี วี ิตต้องการอาหาร มกี าร
ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ หายใจเจรญิ เตบิ โตขับถ่ายเคล่ือนไหว
ตอบสนองต่อสงิ่ เร้าและสบื พันธ์ไุ ดล้ กู ท่มี ี
ลักษณะคลา้ ยคลงึ กับพ่อแม่ส่วนสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ
จะไม่มลี กั ษณะดังกลา่ ว

ป.3 - -

ป.4 ๑. จาํ แนกส่ิงมีชีวิตโดยใชค้ วาม • ส่ิงมีชวี ติ มีหลายชนดิ สามารถจดั กลุ่มได้โดย
เหมอื น และความแตกต่างของ ใช้ความเหมือนและความแตกตา่ งของ
ลักษณะของสง่ิ มีชวี ติ ออกเป็น ลกั ษณะตา่ งๆเช่น กลุ่มพชื สร้างอาหารเองได้
กลมุ่ พืช กลมุ่ สตั วแ์ ละกลุ่มท่ี และเคลื่อนทดี่ ว้ ยตนเองไมไ่ ด้กลมุ่ สตั วก์ ิน
ไม่ใช่พืชและสัตว์ สง่ิ มีชวี ิตอื่นเปน็ อาหารและเคลอ่ื นทไี่ ด้กลุ่มท่ี
ไมใ่ ชพ่ ืชและสัตวเ์ ชน่ เห็ด รา จลุ นิ ทรีย์

๒. จำแนกพืชออกเปน็ พืชดอกและ • การจำแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็น
พชื ไม่มีดอกโดยใชก้ ารมดี อก เกณฑ์ในการจำแนก ไดเ้ ปน็ พืชดอกและพืช
เปน็ เกณฑ์โดยใช้ขอ้ มลู ที่ ไม่มีดอก
รวบรวมได้

3. จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มี • การจำแนกสัตว์สามารถใช้การมกี ระดูกสนั
กระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มี หลังเป็นเกณฑ์ในการจำแนกไดเ้ ปน็ สตั ว์มี
กระดูกสันหลัง โดยใช้การมี กระดูกสันหลงั และสตั วไ์ มม่ กี ระดูกสันหลงั
กระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์โดยใช้ • สัตวม์ กี ระดูกสันหลังมหี ลายกลมุ่ ไดแ้ ก่กล่มุ
ข้อมูลท่รี วบรวมได้ ปลากลุ่มสัตวส์ ะเทนิ นำ้ สะเทินบกกลมุ่
4. บรรยายลักษณะเฉพาะท่ีสงั เกต สัตว์เลอื้ ยคลานกลมุ่ นกและกลมุ่ สัตว์เล้ียงลูก
ไดข้ องสตั ว์มีกระดกู สนั หลงั ใน ดว้ ยน้ำนมซึง่ แต่ละกลมุ่ จะมีลักษณะเฉพาะที่
กล่มุ ปลา กลมุ่ สตั ว์สะเทินน้ำ สังเกตได้
สะเทนิ บก กลุ่มสตั ว์เล้อื ยคลาน
กลุม่ นก และกลุ่มสัตว์เลยี้ งลูก
ดว้ ยนำ้ นม และยกตวั อย่าง
สงิ่ มชี ีวิตในแตล่ ะกลุ่ม

14

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.5 ๑. อธิบายลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ี • สิ่งมีชีวติ ทง้ั พชื สัตว์และมนุษย์เมือ่ โตเต็มทจ่ี ะมี

มกี ารถา่ ยทอดจากพอ่ แมส่ ลู่ ูก การสืบพันธเุ์ พ่ือเพมิ่ จำนวนและดำรงพนั ธุ์โดย

ของพชื สัตว์และมนุษย์ ลูกท่ีเกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทาง

๒. แสดงความอยากรู้อยากเห็น พนั ธกุ รรมจากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะทาง

โดยการถามคำถามเก่ยี วกบั พันธกุ รรมทเ่ี ฉพาะแตกต่างจากสงิ่ มีชวี ติ ชนดิ

ลักษณะทค่ี ลา้ ยคลึงกันของ อนื่

ตนเองกับพ่อแม่ • พชื มีการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม เช่น

ลกั ษณะของใบ สีดอก

• สตั ว์มกี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เชน่

สขี น ลกั ษณะของขน ลกั ษณะของหู

• มนษุ ย์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม

เช่นเชงิ ผมทหี่ น้าผากลักย้มิ ลักษณะหนังตาการ

หอ่ ล้นิ ลักษณะของต่ิงหู

ป.6 - -

15

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบตั ิ

ของสสารกับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลักและธรรมชาติ

ของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลายและการเกิดปฏกิ ริ ยิ า

เคมี

ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ป. ๑ ๑. อธิบายสมบตั ิทีส่ งั เกตไดข้ อง • วสั ดทุ ีใ่ ช้ทำวัตถทุ ่เี ป็นของเล่น ของใชม้ ี

วัสดทุ ใี่ ช้ทำวตั ถซุ ่งึ ทำจากวัสดุ หลายชนิดเช่น ผ้า แกว้ พลาสตกิ ยาง ไม้อฐิ
ชนิดเดยี วหรือหลายชนดิ หิน กระดาษโลหะ วัสดุแตล่ ะชนิดมีสมบตั ิที่
ประกอบกนั โดยใชห้ ลักฐานเชิง สงั เกตได้ต่าง ๆเช่น สนี มุ่ แข็ง ขรุขระ เรียบ
ประจกั ษ์ ใส ข่นุ ยดื หดไดบ้ ิดงอได้
๒. ระบชุ นดิ ของวสั ดแุ ละจดั กลุ่ม • สมบัติทีส่ ังเกตได้ของวัสดแุ ต่ละชนดิ อาจ
วัสดุตามสมบัติท่ีสงั เกตได้ เหมือนกนั ซ่ึงสามารถนำมาใช้เป็นเกณฑใ์ น

การจัดกลุ่มวสั ดไุ ด้

• วัสดบุ างอย่างสามารถนำมาประกอบกัน

เพ่อื ทำเปน็ วตั ถุต่าง ๆ เช่น ผา้ และกระดุม

ใชท้ ำเสอื้ ไมแ้ ละโลหะ ใชท้ ำกระทะ

ป. ๒ 1. เปรียบเทยี บสมบัติการดดู ซบั • วัสดแุ ต่ละชนิดมสี มบัตกิ ารดดู ซับนำ้

นำ้ ของวสั ดโุ ดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ แตกต่างกันจึงนำไปทำวตั ถุเพื่อใช้ประโยชน์

ประจักษ์และระบกุ ารนำสมบัติ ไดแ้ ตกต่างกัน เช่นใชผ้ ้าที่ดูดซับน้ำได้มาก
การดดู ซับน้ำของวัสดุไป ทำผ้าเชด็ ตวั ใช้พลาสติกซ่ึงไม่ดูดซับนำ้ ทำ
ประยุกต์ใช้ในการทำวตั ถุใน รม่
ชวี ิตประจำวนั

2. อธิบายสมบัติท่สี งั เกตได้ของ • วัสดบุ างอย่างสามารถนำมาผสมกันซึง่ ทำให้
วสั ดทุ ่เี กดิ จากการนำวสั ดมุ า ได้สมบตั ิที่เหมาะสม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์
ผสมกันโดยใชห้ ลักฐานเชิง ตามต้องการ เชน่ แป้งผสมนำ้ ตาลและกะทิ
ประจกั ษ์ ใช้ทำขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเย่ือ
กระดาษใช้ทำกระปุกออมสนิ ปนู ผสมหิน
ทราย และนำ้ ใช้ทำคอนกรตี

16

ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ป.2 3. เปรยี บเทียบสมบตั ิท่สี ังเกตได้ • การนำวสั ดุมาทำเป็นวัตถใุ นการใช้งานตาม
(ตอ่ ) ของวัสดุ เพ่ือนำมาทำเป็นวตั ถุ วตั ถุประสงค์ขนึ้ อยู่กบั สมบตั ิของวัสดวุ ัสดุที่
ในการใชง้ านตามวตั ถุประสงค์ ใช้แลว้ อาจนำกลบั มาใช้ใหมไ่ ดเ้ ชน่ กระดาษ
และอธบิ ายการนำวสั ดทุ ี่ใช้แล้ว ใช้แลว้ อาจนำมาทำเป็นจรวดกระดาษ
กลับมาใชใ้ หม่โดยใชห้ ลกั ฐาน
เชิงประจักษ์ ดอกไม้ประดิษฐถ์ ุงใสข่ อง

4. ตระหนกั ถึงประโยชน์ของการนำ
วสั ดทุ ใี่ ช้แลว้ กลับมาใช้ใหม่ โดย
การนำวสั ดทุ ีใ่ ช้แล้วกลับมาใช้
ใหม่

ป.3 1. อธบิ ายว่าวตั ถุประกอบข้ึนจาก • วตั ถอุ าจทำจากช้นิ ส่วนยอ่ ย ๆ ซึ่งแต่ละชนิ้
ช้ินสว่ นยอ่ ย ๆซง่ึ สามารถแยก
ออกจากกันได้และประกอบกัน มีลักษณะเหมือนกนั มาประกอบเขา้ ด้วยกัน
เปน็ วตั ถชุ ้ินใหม่ไดโ้ ดยใช้ เมือ่ แยกช้ินสว่ นย่อย ๆ แตล่ ะชิน้ ของวัตถุ
หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ออกจากกนั สามารถนำช้ินสว่ นเหล่านน้ั มา
ประกอบเป็นวตั ถุชน้ิ ใหม่ไดเ้ ช่น กำแพงบ้าน

มกี อ้ นอฐิ หลาย ๆก้อนประกอบเขา้ ด้วยกนั

และสามารถนำก้อนอิฐจากกำแพงบ้านมา

ประกอบเป็นพ้ืนทางเดินได้

2. อธิบายการเปลย่ี นแปลงของวสั ดุ • เม่อื ให้ความรอ้ นหรือทำใหว้ ัสดุรอ้ นข้นึ และ
เม่ือทำให้ร้อนขน้ึ หรอื ทำให้เย็น
ลง โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ เมื่อลดความร้อนหรือทำใหว้ สั ดุเย็นลง วสั ดุ
จะเกดิ การเปล่ยี นแปลงได้เช่น สเี ปล่ียน

รูปรา่ งเปลี่ยน

ป.4 ๑. เปรยี บเทียบสมบัติทางกายภาพ • วัสดแุ ต่ละชนิดมสี มบตั ิทางกายภาพ
ดา้ นความแข็งสภาพยืดหย่นุ
การนำความร้อน และการนำ แตกตา่ งกนั วัสดุทมี่ ีความแข็งจะทนต่อแรง
ไฟฟ้าของวัสดโุ ดยใชห้ ลักฐาน ขูดขดี วัสดุทีม่ สี ภาพยืดหยนุ่ จะ
เชงิ ประจกั ษจ์ ากการทดลองและ เปล่ียนแปลงรูปร่างเมื่อมีแรงมากระทำและ
ระบุการนำสมบัตเิ ร่อื งความแข็ง กลบั สภาพเดิมได้วัสดุทีน่ ำความร้อนจะร้อน
สภาพยืดหยนุ่ การนำความร้อน ไดเ้ รว็ เมอ่ื ได้รับความร้อนและวสั ดุท่นี ำ
และการนำไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ ไฟฟา้ ไดจ้ ะให้กระแสไฟฟ้าผา่ นไดด้ งั นนั้ จึง
ในชีวิตประจำวนั ผา่ นกระบวน อาจนำสมบัตติ า่ ง ๆ มาพิจารณาเพื่อใช้ใน
การออกแบบชิน้ งาน กระบวนการออกแบบช้ินงานเพือ่ ใช้
๒. แลกเปล่ยี นความคิดกับผู้อ่นื โดย ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวัน

การอภปิ รายเกี่ยวกับสมบตั ทิ าง
กายภาพของวัสดุอย่างมเี หตผุ ล
จากการทดลอง

17

ชัน้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.4 ๓. เปรยี บเทียบสมบตั ขิ องสสารทง้ั • วสั ดเุ ปน็ สสารเพราะมีมวลและต้องการท่ีอยู่

(ตอ่ ) ๓ สถานะ จากข้อมลู ท่ีได้จาก สสารมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือ

การสงั เกตมวล การต้องการท่ีอยู่ แกส๊ ของแข็ง มปี รมิ าตรและรูปรา่ งคงท่ี

รปู ร่างและปรมิ าตรของสสาร ของเหลวมปี ริมาตรคงทแ่ี ตม่ ีรูปรา่ งเปลี่ยนไป

๔. ใช้เครือ่ งมือเพอื่ วัดมวล และ ตามภาชนะเฉพาะส่วนที่บรรจขุ องเหลว ส่วน

ปริมาตรของสสารท้ัง ๓ สถานะ แก๊สมีปริมาตรและรปู ร่างเปลี่ยนไปตาม

ภาชนะที่บรรจุ

ป.5 ๑. อธิบายการเปล่ยี นสถานะของ • การเปล่ียนสถานะของสสารเป็นการ

สสาร เม่ือทำใหส้ สารรอ้ นขน้ึ เปลยี่ นแปลงทางกายภาพ เมื่อเพิ่มความร้อน

หรอื เย็นลง โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ใหก้ ับสสารถงึ ระดบั หน่ึงจะทำให้สสารท่ีเปน็

ประจกั ษ์ ของแข็งเปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว เรยี กวา่

การหลอมเหลวและเมือ่ เพมิ่ ความรอ้ นตอ่ ไป

จนถงึ อีกระดับหนึ่งของเหลวจะเปลยี่ นเปน็

แก๊ส เรยี กว่าการกลายเป็นไอแตเ่ มื่อลดความ

รอ้ นลงถึงระดับหนงึ่ แก๊สจะเปลยี่ นสถานะเปน็

ของเหลว เรยี กวา่ การควบแน่น และถ้าลด

ความร้อนต่อไปอีกจนถงึ ระดับหน่งึ ของเหลว

จะเปล่ยี นสถานะเปน็ ของแข็งเรยี กวา่ การ

แข็งตวั สสารบางชนดิ สามารถเปล่ียนสถานะ

จากของแข็งเป็นแกส๊ โดยไม่ผ่านการเป็น

ของเหลว เรียกว่า การระเหิด สว่ นแกส๊ บาง

ชนดิ สามารถเปลยี่ นสถานะเป็นของแขง็ โดย

ไมผ่ า่ นการเปน็ ของเหลวเรียกวา่ การระเหิด

กลบั

๒. อธิบายการละลายของสารในนำ้ • เมื่อใส่สารลงในนำ้ แลว้ สารนน้ั รวมเปน็ เนอื้

โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ เดียวกันกบั นำ้ ทัว่ ทุกสว่ น แสดงวา่ สารเกิด

การละลาย เรียกสารผสมที่ได้ว่าสารละลาย

๓. วเิ คราะหก์ ารเปลีย่ นแปลงของ • เม่ือผสมสาร ๒ ชนดิ ขน้ึ ไปแล้วมีสารใหม่

สารเม่อื เกิดการเปล่ยี นแปลง เกิดขึ้นซง่ึ มสี มบตั ติ ่างจากสารเดิมหรอื เม่ือสาร

ทางเคมโี ดยใช้หลักฐานเชิง ชนดิ เดยี วเกดิ การเปล่ียนแปลงแลว้ มีสารใหม่

ประจกั ษ์ เกดิ ขน้ึ การเปล่ียนแปลงน้ีเรยี กวา่ การ

เปลย่ี นแปลงทางเคมซี ึ่งสังเกตไดจ้ ากมีสีหรอื

กลิ่นต่างจากสารเดิม หรอื มีฟองแก๊ส หรือมี

ตะกอนเกิดขน้ึ หรอื มกี ารเพม่ิ ขน้ึ หรือลดลง

ของอุณหภมู ิ

18

ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.5 ๔. วเิ คราะหแ์ ละระบุการ • เมือ่ สารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สาร

(ต่อ) เปลี่ยนแปลงที่ผนั กลับได้และ สามารถเปล่ยี นกลับเป็นสารเดิมได้เป็นการ

การเปลย่ี นแปลงทผี่ ันกลับไม่ได้ เปล่ียนแปลงทผี่ นั กลบั ได้เชน่ การหลอมเหลว

การกลายเปน็ ไอการละลาย แตส่ ารบางอย่าง

เกดิ การเปลีย่ นแปลงแลว้ ไม่สามารถเปลย่ี น

กลับเป็นสารเดมิ ไดเ้ ปน็ การเปลีย่ นแปลงท่ผี ัน

กลบั ไม่ไดเ้ ชน่ การเผาไหม้การเกดิ สนิม

ป.6 ๑. อธิบายและเปรยี บเทยี บการแยก • สารผสมประกอบด้วยสารต้งั แต่ ๒ ชนิดขึน้ ไป

สารผสมโดยการหยบิ ออก การ ผสมกันเชน่ น้ำมันผสมนำ้ ข้าวสารปนกรวด

รอ่ น การใช้แมเ่ หล็กดึงดดู การ ทราย วิธีการทเ่ี หมาะสมในการแยกสารผสม

รินออก การกรอง และการ ขึน้ อยกู่ ับลักษณะและสมบตั ิของสารทผี่ สมกัน

ตกตะกอนโดยใชห้ ลักฐานเชิง ถ้าองคป์ ระกอบของสารผสมเป็นของแข็งกับ

ประจักษ์รวมทงั้ ระบุวิธแี กป้ ัญหา ของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอยา่ งชดั เจน

ในชวี ิตประจำวนั เกี่ยวกับการ อาจใช้วธิ กี ารหยิบออกหรือการร่อนผา่ นวสั ดุ

แยกสาร ที่มีรูถา้ มสี ารใดสารหน่งึ เปน็ สารแมเ่ หลก็ อาจ

ใช้วิธกี ารใชแ้ ม่เหล็กดงึ ดูดถา้ องคป์ ระกอบ

เป็นของแขง็ ท่ีไมล่ ะลายในของเหลว อาจใช้

วิธกี ารรินออกการกรอง หรือการตกตะกอน

ซึ่งวิธีการแยกสารสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์

ในชีวิตประจำวันได้

19

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลักษณะการ
เคลอ่ื นที่แบบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ช้ัน ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป. ๑ - -

ป. ๒ - -

ป. ๓ ๑. ระบุผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปล•งการกเาครลดื่อึงนหทร่ีือการผลักเป็นการออกแรงกระทำ
ของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ต่อวัตถุแรงมีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุแรง
อาจทำให้วัตถุเกิดการเคลื่อนที่โดยเปลี่ยน
ตำแหน่งจากที่หนึ่งไปยงั อีกที่หน่งึ
• การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุได้แก่
วัตถุที่อยู่นิ่งเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ วัตถุที่กำลัง
เคลื่อนที่เปลี่ยนเป็นเคล่ือนทีเ่ ร็วขึน้ หรือชา้ ลง
หรอื หยุดนิง่ หรอื เปลีย่ นทศิ ทางการเคลอื่ นท่ี
๒. เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรง • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงที่เกิด
สัมผัสและแรงไม่สัมผัสที่มีผลต่อ จากวัตถุหนึ่งกระทำกบั อีกวตั ถหุ นึ่ง โดยวัตถุ
การเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้ ทั้งสองอาจสัมผัสหรือไม่ต้องสัมผัสกัน เช่น
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ การออกแรงโดยใช้มือดึงหรือการผลักโต๊ะให้
เคลือ่ นทเี่ ป็นการออกแรงทวี่ ตั ถุต้องสัมผัสกัน
แรงนี้จึงเป็นแรงสัมผัสส่วนการที่แม่เหล็ก
ดึงดูดหรือผลักระหว่างแม่เหล็กเป็นแรงที่
เกิดขึ้นโดยแม่เหล็กไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน
แรงแมเ่ หลก็ นี้จงึ เปน็ แรงไมส่ มั ผสั
๓. จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับ • แมเ่ หล็กสามารถดึงดดู สารแมเ่ หล็กได้
แม่เหล็กเป็นเกณฑ์จากหลักฐาน • แรงแม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดขึ้นระหว่าง
เชงิ ประจักษ์ แม่เหล็กกับสารแม่เหล็ก หรือแม่เหล็กกับ
๔. ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ผลที่ แม่เหล็กแม่เหล็ก มี๒ ขั้ว คือ ขั้วเหนือและ
เกิดขึ้นระหว่างขั้วแม่เหล็กเมื่อ ขั้วใต้ขั้วแม่เหลก็ ชนิดเดียวกนั จะผลกั กัน ต่าง
นำมาเข้าใกล้กันจากหลักฐานเชิง ชนิดกนั จะดึงดูดกนั
ประจักษ์
ป. ๔ ๑. ระบผุ ลของแรงโนม้ ถ่วงท่ีมตี อ่ • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดดู ทโี่ ลก
วตั ถจุ ากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ กระทำต่อวตั ถุมที ิศทางเขา้ สู่ศูนยก์ ลางโลก
๒. ใชเ้ ครือ่ งชั่งสปรงิ ในการวดั และเป็นแรงไม่สมั ผสั แรงดงึ ดูดที่โลกกระทำ
น้ำหนักของวตั ถุ กับวัตถหุ นงึ่ ๆทำใหว้ ัตถตุ กลงสู่พนื้ โลกและ
ทำใหว้ ัตถุมนี ำ้ หนักวดั น้ำหนกั ของวตั ถุได้
จากเครื่องช่ังสปรงิ นำ้ หนกั ของวัตถขุ ้นึ กับ
มวลของวตั ถโุ ดยวัตถุที่มมี วลมากจะมี
น้ำหนักมากวัตถุทมี่ ีมวลน้อยจะมีน้ำหนัก
นอ้ ย

20

ช้ัน ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป. ๔ ๓. บรรยายมวลของวัตถุทีม่ ผี ลต่อ • มวล คือ ปริมาณเนื้อของสสารท้ังหมดที่
(ต่อ) การเปลย่ี นแปลงการเคล่อื นท่ี ประกอบดว้ ยกนั เป็นวตั ถุ ซึ่งมีผลต่อความ
ยากงา่ ยในการเปล่ียนแปลงการเคล่อื นท่ีของ
ของวัตถุจากหลกั ฐานเชิง วัตถุ วตั ถทุ ีม่ ีมวลมากจะเปล่ียนแปลงการ
ประจกั ษ์ เคล่ือนท่ีได้ยากกวา่ วัตถุที่มมี วลนอ้ ย ดังนนั้
มวลของวัตถนุ อกจากจะหมายถึงเนอ้ื ทั้งหมด
ป. ๕ ๑. อธิบายวิธกี ารหาแรงลัพธ์ของ ของวตั ถนุ ้ันแล้ว ยังหมายถึงการต้านการ
แรงหลายแรงในแนวเดียวกันท่ี เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวตั ถุนนั้ ดว้ ย

• แรงลพั ธ์เป็นผลรวมของแรงท่ีกระทำ20ตอ่
วตั ถุโดยแรงลพั ธข์ องแรง ๒ แรงท่ีกระทำ20

กระทำ20ต่อวตั ถุในกรณที ่ีวัตถุ ตอ่ วัตถุเดียวกนั จะมีขนาดเท่ากบั ผลรวมของ
อย่นู ิ่งจากหลักฐานเชิงประจักษ์ แรงทัง้ สองเม่ือแรงทั้งสองอยู่ในแนวเดยี วกนั
๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงที่กระทำ และมีทิศทางเดียวกนั แต่จะมีขนาดเทา่ กับ

20ต่อวตั ถุท่ีอยู่ในแนวเดียวกัน ผลตา่ งของแรงทงั้ สองเม่ือแรงทัง้ สองอยูใ่ น
และแรงลพั ธท์ ่ีกระทำ20ต่อวัตถุ แนวเดียวกนั แตม่ ีทิศทางตรงข้ามกัน สำ20
๓. ใชเ้ ครอื่ งช่งั สปรงิ ในการวัดแรงท่ี หรับวัตถทุ อ่ี ยู่น่งิ แรงลพั ธ์ท่ีกระทำ20ต่อวัตถุ

กระทำ20ตอ่ วัตถุ มคี า่ เปน็ ศนู ย์
• การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ20ตอ่

วตั ถุสามารถเขียนได้โดยใชล้ ูกศร โดยหวั

ลูกศรแสดงทิศทางของแรง และความยาว
ของลกู ศรแสดงขนาดของแรงทีก่ ระทำ20
ตอ่ วตั ถุ

๔. ระบผุ ลของแรงเสยี ดทานทมี่ ตี ่อ • แรงเสียดทานเป็นแรงทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ ง

การเปล่ยี นแปลงการเคลอื่ นที่ ผวิ สมั ผัสของวัตถุ เพ่ือตา้ นการเคล่ือนท่ีของ

ของวตั ถจุ ากหลักฐานเชิง วตั ถนุ ้นั โดยถา้ ออกแรงกระทำ20ตอ่ วตั ถทุ ี่
ประจกั ษ์ อยนู่ ิง่ บนพน้ื ผิวหนึง่ ใหเ้ คลอื่ นทแ่ี รงเสียดทาน
๕. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียด จากพนื้ ผิวน้ันกจ็ ะต้านการเคลอ่ื นท่ีของวัตถุ

ทานและแรงท่ีอย่ใู นแนวเดยี วกัน แตถ่ า้ วัตถุกำ20ลังเคลื่อนทแ่ี รงเสียดทานก็
ทีก่ ระทำ20ต่อวัตถุ จะทำ20ให้วัตถนุ นั้ เคล่ือนท่ีชา้ ลงหรอื หยุด
นิ่ง

ป. ๖ 1. อธิบายการเกิดและผลของแรง • วัตถุ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำ20เข้า

ไฟฟา้ ซึง่ เกดิ จากวตั ถุที่ผ่านการขัดถู ใกล้กันอาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นน้ี

โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้น
ระหว่างวัตถทุ ี่มีประจุไฟฟ้า ซงึ่ ประจุไฟฟ้ามี๒

ชนิด คือประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ

วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ชนิด
ตรงข้ามกันดงึ ดูดกนั

21

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน

ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวิตประจำวนั ธรรมชาตขิ องคล่ืน
ปรากฏการณ์ท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั เสียง แสง และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นำความร้ไู ป
ใช้ประโยชน์

ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.1 1. บรรยายการเกดิ เสยี งและทิศ • เสยี งเกดิ จากการสั่นของวัตถุวัตถุทท่ี ำให้เกิดเสียง
ทางการเคล่ือนท่ีของเสยี งจาก เปน็ แหล่งกำเนดิ เสียง ซงึ่ มที ัง้ แหลง่ กำเนดิ เสยี ง
หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ตามธรรมชาติและแหล่งกำเนิดเสยี งท่ีมนษุ ย์สรา้ ง

ขน้ึ เสียงเคลือ่ นทอ่ี อกจากแหลง่ กำเนดิ เสียงทุก

ทิศทาง

ป.2 ๑. บรรยายแนวการเคล่อื นทีข่ องแสง • แสงเคลอ่ื นทจ่ี ากแหล่งกำเนิดแสงทุกทิศทางเปน็

จากแหล่งกำเนิดแสง และอธิบาย แนวตรง เม่อื มีแสงจากวัตถุมาเขา้ ตาจะทำให้

การมองเหน็ วตั ถุจากหลักฐานเชิง มองเห็นวัตถุน้ัน การมองเห็นวตั ถทุ ีเ่ ป็น
ประจกั ษ์ แหลง่ กำเนดิ แสงแสงจากวัตถุน้นั จะเข้าสตู่ า
2. ตระหนักในคุณคา่ ของความรู้ของ โดยตรงส่วนการมองเห็นวัตถุที่ไม่ใช่แหล่งกำเนิด
การมองเห็นโดยเสนอแนะแนว แสง ต้องมีแสงจากแหล่งกำเนิดแสงไปกระทบ
ทางการป้องกนั อนั ตรายจากการ วัตถุแล้วสะทอ้ นเขา้ ตา ถ้ามีแสงทีส่ วา่ งมาก ๆ
มองวตั ถุทอี่ ยู่ในบรเิ วณที่มีแสง เขา้ สู่ตาอาจเกิดอันตรายต่อตาไดจ้ งึ ต้องหลีกเลีย่ ง
สวา่ งไม่เหมาะสม การมองหรือใช้แผ่นกรองแสงท่มี คี ุณภาพเมื่อ

จำเปน็ และต้องจดั ความสว่างให้เหมาะสมกับ

การทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ เชน่ การอ่านหนังสือการดู

จอโทรทัศน์การใชโ้ ทรศัพทเ์ คลือ่ นท่ีและแทบ็ เลต็

ป.3 ๑. ยกตัวอย่างการเปลีย่ นพลงั งาน • พลังงานเปน็ ปริมาณที่แสดงถึงความสามารถใน
หนงึ่ ไปเปน็ อีกพลงั งานหน่ึงจาก การทำงาน พลงั งานมีหลายแบบ เชน่ พลังงานกล
หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ พลงั งานไฟฟ้า พลังงานแสงพลงั งานเสยี ง และ

พลังงานความร้อน โดยพลังงานสามารถเปล่ียน

จากพลังงานหน่ึงไปเปน็ อีกพลงั งานหนึ่งได้เช่น

การถมู ือจนรู้สกึ ร้อนเป็นการเปล่ยี นพลังงานกล

เปน็ พลงั งานความร้อนแผงเซลล์สุริยะเปลยี่ น

พลงั งานแสงเปน็ พลงั งานไฟฟ้า หรอื

เคร่ืองใช้ไฟฟ้าเปลีย่ นพลังงานไฟฟ้าเปน็ พลังงาน

อ่ืน

22

ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป.3 (ตอ่ ) ๒. บรรยายการทำงานของเครื่อง • ไฟฟา้ ผลิตจากเคร่ืองกำเนิดไฟฟา้ ซง่ึ ใช้พลงั งาน

กำเนิดไฟฟา้ และระบุแหล่งพลังงาน จากแหล่งพลงั งานธรรมชาติหลายแหลง่ เชน่

ในการผลติ ไฟฟา้ จากข้อมูลที่ พลงั งานจากลม พลงั งานจากนำ้ พลังงานจากแก๊ส

รวบรวมได้ ธรรมชาติ

๓. ตระหนักในประโยชน์และโทษของ • พลังงานไฟฟ้ามีความสำคัญต่อชวี ติ ประจำวนั การ

ไฟฟา้ โดยนำเสนอวิธกี ารใชไ้ ฟฟ้า ใชไ้ ฟฟา้ นอกจากตอ้ งใช้อยา่ งถูกวิธีประหยัดและ

อย่างประหยดั และปลอดภัย ค้มุ ค่าแล้ว ยงั ตอ้ งคำนึงถึงความปลอดภัยดว้ ย

ป.4 1. จำแนกวตั ถเุ ปน็ ตวั กลางโปรง่ ใส • เม่ือมองส่ิงตา่ งๆโดยมีวัตถตุ ่างชนิดกันมากนั้ แสง

ตัวกลางโปร่งแสง และวตั ถุทึบแสง จะทำใหล้ ักษณะการมองเห็นสงิ่ น้นั ๆ ชัดเจน

จากลักษณะการมองเหน็ สิง่ ต่าง ๆ ต่างกนั จึงจำแนกวตั ถุท่ีมากน้ั ออกเป็นตัวกลาง

ผา่ นวตั ถุน้ันเปน็ เกณฑโ์ ดยใช้ โปร่งใสซง่ึ ทำใหม้ องเห็นสิง่ ตา่ งๆไดช้ ัดเจนตวั กลาง

หลักฐานเชิงประจักษ์ โปร่งแสงทำใหม้ องเหน็ สงิ่ ต่าง ๆ ไดไ้ ม่ชัดเจน และ

วตั ถุทบึ แสงทำให้มองไมเ่ ห็นสิง่ ตา่ ง ๆ น้ัน

ป.5 1. อธบิ ายการได้ยินเสียงผ่านตวั กลาง • การได้ยนิ เสยี งต้องอาศยั ตวั กลาง โดยอาจเปน็

จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ของแขง็ ของเหลว หรืออากาศ เสยี งจะส่งผา่ น

ตวั กลางมายงั หู

2. ระบุตวั แปร ทดลอง และอธิบาย • เสยี งทไ่ี ดย้ ินมีระดบั สงู ตำ่ ของเสียงตา่ งกนั ขึ้นกับ

ลักษณะและการเกิดเสียงสงู เสียง ความถ่ขี องการสนั่ ของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเมือ่

ต่ำ แหล่งกำเนิดเสยี งส่ันด้วยความถีต่ ่ำจะเกิดเสียงต่ำ

3. ออกแบบการทดลองและอธิบาย แต่ถ้าสั่นด้วยความถ่ีสูงจะเกิดเสียงสูง ส่วนเสียงดงั

ลักษณะและการเกิดเสียงดงั เสยี ง ค่อยที่ได้ยนิ ข้ึนกบั พลังงานการสนั่ ของ

คอ่ ย แหลง่ กำเนิดเสยี ง โดยเมื่อแหล่งกำเนิดเสยี งสน่ั

4. วัดระดับเสยี งโดยใช้เคร่อื งมอื วดั ด้วยพลงั งานมากจะเกิดเสยี งดงั แตถ่ า้ แหลง่ กำเนดิ

ระดบั เสยี ง เสียงสน่ั ด้วยพลงั งานน้อยจะเกิดเสยี งค่อย

5. ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรู้เร่อื ง • เสียงดังมาก ๆ เป็นอนั ตรายต่อการได้ยนิ และเสยี ง

ระดับเสียงโดยเสนอแนะแนวทางใน ทก่ี ่อให้เกดิ ความรำคาญเปน็ มลพษิ ทางเสียงเดซิ

การหลีกเลย่ี งและลดมลพิษทาง เบลเปน็ หน่วยทบี่ อกถึงความดงั ของเสียง

เสยี ง

ป.6 1. ระบสุ ่วนประกอบและบรรยาย • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหลง่ กำเนดิ

หน้าท่ขี องแตล่ ะส่วนประกอบของ ไฟฟา้ สายไฟฟา้ และเครื่องใชไ้ ฟฟ้าหรืออุปกรณ์

วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ยจากหลักฐาน ไฟฟ้าแหลง่ กำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรอื

เชิงประจกั ษ์ แบตเตอร่ี ทำหน้าท่ีให้พลงั งานไฟฟา้ สายไฟฟ้า

2. เขียนแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟ้า เป็นตวั นำไฟฟ้า ทำหนา้ ทีเ่ ช่อื มต่อระหวา่ ง

อยา่ งงา่ ย แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ และเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าเขา้ ดว้ ยกัน

เครอื่ งใช้ไฟฟา้ มีหน้าท่ีเปล่ียนพลงั งานไฟฟา้ เป็น

พลังงานอนื่

23

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.6 (ตอ่ )
3. ออกแบบการทดลองและทดลอง • เมอ่ื นำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรยี งกนั โดยให้
ดว้ ยวธิ ีทีเ่ หมาะสมในการอธบิ าย ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลลห์ นงึ่ ตอ่ กบั ขวั้ ลบของ
วิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้า อกี เซลลห์ นึง่ เป็นการต่อแบบอนกุ รมทำใหม้ ี
แบบอนกุ รม พลังงานไฟฟา้ เหมาะสมกบั เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าซ่งึ การ
ต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมสามารถนำไปใช้
4. ตระหนักถึงประโยชนข์ องความรู้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การต่อ
ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม เซลลไ์ ฟฟา้ ในไฟฉาย
โดยบอกประโยชน์และการ
ประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวัน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมเมอื่ ถอดหลอด
ไฟฟา้ ดวงใดดวงหนง่ึ ออกทำใหห้ ลอดไฟฟา้ ทีเ่ หลือ
5. ออกแบบการทดลองและทดลอง • ดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน
ด้วยวิธที ี่เหมาะสมในการอธิบายการ เมือ่ ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนงึ่ ออกหลอด
ตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและ ไฟฟา้ ที่เหลือกย็ งั สว่างได้การต่อหลอดไฟฟา้ แตล่ ะ
แบบขนาน แบบสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ไดเ้ ช่น การต่อ
หลอดไฟฟ้าหลายดวงในบา้ นจึงต้องต่อหลอด
6. ตระหนักถึงประโยชนข์ องความรู้ ไฟฟา้ แบบขนาน เพ่ือเลอื กใช้หลอดไฟฟา้ ดวงใด
ของการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รม ดวงหนึ่งไดต้ ามตอ้ งการ
และแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ เมื่อนำวัตถุทึบแสงมากน้ั แสงจะเกดิ เงาบนฉากรบั
ขอ้ จำกดั และการประยุกต์ใช้ใน แสงทอ่ี ยดู่ ้านหลงั วตั ถโุ ดยเงามีรูปร่างคล้ายวตั ถุที่
ชีวิตประจำวนั ทำให้เกิดเงา เงามัวเปน็ บริเวณท่ีมแี สงบางส่วนตก
ลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็นบรเิ วณทไี่ ม่มีแสงตกลง
7. อธบิ ายการเกดิ เงามืดเงามัวจาก • บนฉากเลย
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์

8. เขยี นแผนภาพรังสขี องแสงแสดง
การเกิดเงามืดเงามัว

24

สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพกาแลก็ ซี

ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้ังปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะทสี่ ่งผลตอ่ สงิ่ มชี วี ิต
และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ

ชัน้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๑ ๑. ระบุดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้าใน • บนทอ้ งฟา้ มีดวงอาทิตยด์ วงจันทรแ์ ละดาวซึ่ง

เวลากลางวันและกลางคืนจาก ในเวลากลางวันจะมองเห็นดวงอาทิตย์และ

ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ อาจมองเห็นดวงจันทร์บางเวลาในบางวันแต่

๒. อธิบายสาเหตุที่มองไม่เห็นดาว ไมส่ ามารถมองเหน็ ดาว

ส่วนใหญ่ในเวลากลางวันจาก • ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่

หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เนื่องจากแสงอาทิตย์สว่างกว่าจึงกลบแสง

ของดาว ส่วนในเวลากลางคืนจะมองเห็นดาว

และมองเห็นดวงจนั ทรเ์ กือบทุกคืน

ป.๒ - -

ป.๓ ๑. อธิบายแบบรูปเส้นทางการข้ึน • คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น

และตก ของดวงอาทิตย์โดยใช้ ทางด้านหนึ่งและตกทางอีกด้านหนึ่งทุกวัน

หลักฐานเชิงประจกั ษ์ หมนุ เวียนเปน็ แบบรปู ซำ้ ๆ

๒. อ ธ ิ บ า ย ส า เ ห ต ุ ก า ร เ กิ ด • โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบ

ปรากฏการณ์การขึ้นและตก ดวงอาทิตย์ทำให้บริเวณของโลกได้รับ

ข อ ง ด ว ง อ า ท ิ ต ย ์ ก า ร เ กิ ด แสงอาทิตย์ไม่พร้อมกัน โลกด้านที่ได้รับแสง

กลางวันกลางคืนและการ จากดวงอาทิตย์จะเป็นกลางวันส่วนด้านตรง

กำหนดทศิ โดยใชแ้ บบจำลอง ข้ามทไี่ ม่ไดร้ บั แสงจะเปน็ กลางคนื นอกจากน้ี

๓. ตระหนักถึงความสำคัญของ คนบนโลกจะมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏข้ึน

ด ว ง อ า ท ิ ต ย ์ โ ด ย บ ร ร ย า ย ทางดา้ นหนงึ่ ซ่งึ กำหนดใหเ้ ป็นทิศตะวันออก

ประโยชน์ของดวงอาทิตย์ต่อ และมองเห็นดวงอาทิตย์ตกทางอีกด้านหน่ึง

ส่งิ มีชวี ติ ซง่ึ กำหนดให้เป็นทิศตะวนั ตกและเม่ือให้ด้าน

ขวามืออยู่ทางทิศตะวันออกด้านซ้ายมืออยู่

ทางทิศตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศเหนือ

และด้านหลังจะเปน็ ทิศใต้

• ในเวลากลางวันโลกจะได้รับพลังงานแสง

และพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้

ส่งิ มีชีวติ ดำรงชีวติ อยู่ได้

25

ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป.๔ ๑. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้น • ดวงจนั ทรเ์ ป็นบริวารของโลก โดยดวงจนั ทร์

และตกของดวงจันทร์โดยใช้ หมนุ รอบตวั เองขณะโคจรรอบโลก ขณะทีโ่ ลก

หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ก็หมุนรอบตวั เองดว้ ยเชน่ กนั การหมนุ รอบ

ตัวเองของโลกจากทิศตะวนั ตกไปทิศตะวันออก

ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากขวั้ โลก

เหนือทำให้มองเหน็ ดวงจันทร์ปรากฏข้ึน

ทางด้านทิศตะวนั ออกและตกทางดา้ นทิศ

ตะวนั ตกหมนุ เวยี นเปน็ แบบรูปซำ้ ๆ

๒. สร้างแบบจำลองที่อธิบายแบบ • ดวงจนั ทร์เป็นวตั ถทุ เี่ ป็นทรงกลม แต่รูปร่าง

รูปการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ของดวงจนั ทร์ที่มองเหน็ หรอื รูปร่างปรากฏของ

ปรากฏของดวงจันทร์และ ดวงจนั ทรบ์ นทอ้ งฟา้ แตกต่างกนั ไปในแตล่ ะวนั

พยากรณ์รูปร่างปรากฏของ โดยในแตล่ ะวนั ดวงจนั ทรจ์ ะมีรูปร่างปรากฏ

ดวงจันทร์ เป็นเสีย้ วที่มีขนาดเพมิ่ ขน้ึ อยา่ งตอ่ เน่ืองจนเต็ม

ดวงจากนนั้ รปู รา่ งปรากฏของดวงจันทรจ์ ะ

แหว่งและมขี นาดลดลงอย่างต่อเน่ืองจนมองไม่

เห็นดวงจันทรจ์ ากน้นั รูปรา่ งปรากฏของดวง

จันทร์จะเปน็ เสย้ี วใหญ่ขึ้นจนเต็มดวงอีกครั้ง

การเปลยี่ นแปลงเช่นนเ้ี ป็นแบบรูปซ้ำกนั ทุก

เดอื น
๓ . ส ร ้ า ง แ บ บ จ ำ ล อ ง แ ส ด ง • ระบบสุริยะเปน็ ระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็น
องค์ประกอบของระบบสุริยะ ศูนย์กลางและมีบริวารประกอบด้วย ดาว
เคราะหแ์ ปดดวงและบริวาร ซึ่งดาวเคราะหแ์ ต่
และอธิบายเปรียบเทียบคาบ ละดวงมีขนาดและระยะหา่ งจากดวงอาทิตย์
การโคจรของดาวเคราะห์ต่าง แตกตา่ งกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์
ๆ จากแบบจำลอง แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุ

ขนาดเลก็ อน่ื ๆ โคจรอยรู่ อบดวงอาทติ ย์วัตถุ
ขนาดเลก็ อ่นื ๆ เม่ือเขา้ มาในช้ันบรรยากาศ
เนื่องจากแรงโนม้ ถว่ งของโลกทำให้เกิดเป็นดาว
ตกหรอื ผีพุ่งไต้และอกุ กาบาต
ป.๕ ๑. เปรียบเทียบความแตกต่างของ • ดาวที่มองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในอวกาศซึ่งเป็น
ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์จาก บริเวณที่อยู่นอกบรรยากาศของโลกมีทั้งดาว
ฤกษ์และดาวเคราะหด์ าวฤกษ์เป็นแหล่งกำเนิด
แบบจำลอง แสงจึงสามารถมองเห็นได้ส่วนดาวเคราะห์

ไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสง แต่สามารถมองเห็นได้
เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาว
เคราะหแ์ ล้วสะท้อนเขา้ ส่ตู า

26

ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป.5 (ตอ่ ) ๒. ใช้แผนที่ดาวระบุตำแหน่งและ • การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่างต่าง ๆ เกิด
จากจินตนาการของผู้สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง
เส้นทางการขึ้นและตกของกลุ่ม ๆ ที่ปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์แต่
ดาวฤกษ์บนท้องฟ้า และอธิบาย ละดวงเรียงกันที่ตำแหน่งคงที่และมีเส้นทาง
แบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก การขึ้นและตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซึ่งจะ
ของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้าใน ปรากฏตำแหน่งเดิม การสังเกตตำแหน่งและ
รอบปี การขึ้นและตกของดาวฤกษ์และกลุ่มดาวฤกษ์

สามารถทำได้โดยใช้แผนที่ดาว ซึ่งระบุมุมทิศ
และมุมเงยที่กลุ่มดาวนั้นปรากฏ ผู้สังเกต
สามารถใชม้ อื ในการประมาณค่าของมุมเงยเม่ือ
สังเกตดาวในท้องฟา้

ป.๖ ๑. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการ • เมื่อโลกและดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนว
เ ก ิ ด แ ล ะ เ ป ร ี ย บ เ ท ี ย บ เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางท่ี
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาและ เหมาะสมทำให้ดวงจนั ทร์บังดวงอาทติ ย์เงาของ

จนั ทรุปราคา ดวงจันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตที่อยู่บริเวณ
เงาจะมองเห็นดวงอาทิตย์มืดไป เกิด
ปรากฏการณ์สรุ ยิ ปุ ราคาซ่ึงมที ั้งสรุ ยิ ุปราคาเต็ม

ดวง สุริยุปราคาบางส่วนและสุริยุปราคาวง
แหวน
• หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนว

เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์แล้วดวงจันทร์
เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์
มืดไปเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาซึ่งมีทั้ง

จันทรุปราคาเต็มดวง และจันทรุปราคา
บางสว่ น

๒ . อ ธ ิ บ า ย พ ั ฒ น า ก า ร ข อ ง • เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการของ
เ ท ค โ น โ ล ย ี อ ว ก า ศ แ ล ะ มนุษย์ในการสำรวจวัตถุท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า

ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยี กล้องโทรทรรศน์และได้พัฒนาไปสู่การขนส่ง

อวกาศมาใช้ประโยชน์ใน เพื่อสำรวจอวกาศด้วยจรวดและยานขนส่ง
ชีวิตประจำวัน จากข้อมูลท่ี อวกาศและยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน

รวบรวมได้ มีการนำเทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมา

ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้
ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ

หรือการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติการใช้
อุปกรณ์วัดชีพจรและการเต้นของหัวใจ หมวก
นริ ภยั ชดุ กฬี า

27

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายใน

โลกและบนผิวโลก ธรณีพบิ ตั ิภัย กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและ

ภูมิอากาศโลก รวมท้งั ผลต่อสง่ิ มีชีวติ และสงิ่ แวดล้อม

ชนั้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป. ๑ 1. อธิบายลกั ษณะภายนอกของ • หินท่อี ยู่ในธรรมชาติมลี ักษณะภายนอก

หนิ จากลกั ษณะเฉพาะตวั ท่ี เฉพาะตัวทสี่ ังเกตไดเ้ ชน่ สลี วดลาย น้ำหนัก

สังเกตได้ ความแขง็ และเนื้อหนิ

ป.๒ ๑. ระบุสว่ นประกอบของดิน และ • ดนิ ประกอบด้วยเศษหนิ ซากพืช ซากสตั ว์

จำแนกชนิดของดนิ โดยใช้ ผสมอยใู่ นเนอ้ื ดิน มีอากาศและน้ำแทรกอยู่

ลักษณะเน้ือดนิ และการจับตวั ตามชอ่ งว่างในเนื้อดิน ดนิ จำแนกเปน็ ดนิ

เปน็ เกณฑ์ รว่ น ดนิ เหนียวและดินทราย ตามลักษณะ

๒. อธิบายการใชป้ ระโยชน์จากดิน เน้ือดินและการจบั ตวั ของดินซง่ึ มผี ลต่อการ

จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ อ้มุ น้ำท่ีแตกต่างกนั

• ดนิ แต่ละชนิดนำไปใช้ประโยชน์ไดแ้ ตกตา่ ง

กนั ตามลกั ษณะและสมบตั ิของดนิ
ป.๓ ๑. ระบสุ ่วนประกอบของอากาศ • อากาศโดยท่ัวไปไม่มสี ีไมม่ ีกลิ่น
บรรยายความสำคัญของอากาศ ประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน
แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ก๊สอื่น ๆ รวมท้งั
และผลกระทบของมลพิษทาง ไอน้ำ และฝนุ่ ละออง อากาศมีความสำคญั
อากาศตอ่ สิ่งมชี วี ติ จากข้อมูลที่ ตอ่ ส่งิ มชี วี ติ หากส่วนประกอบของอากาศไม่
รวบรวมได้ เหมาะสม เนื่องจากมีแก๊สบางชนดิ หรอื ฝุน่
๒. ตระหนกั ถึงความสำคัญของ ละอองในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายต่อ
อากาศ โดยนำเสนอแนว สิง่ มีชวี ติ ชนิดต่าง ๆ จดั เป็นมลพิษทาง

ทางการปฏบิ ตั ิตนในการลดการ อากาศ
เกิดมลพิษทางอากาศ • แนวทางการปฏิบตั ิตนเพ่ือลดการปลอ่ ย
มลพษิ ทางอากาศ เชน่ ใช้พาหนะรว่ มกัน
หรือเลอื กใช้เทคโนโลยีท่ลี ดมลพษิ ทาง
อากาศ
๓. อธิบายการเกิดลมจากหลักฐาน • ลมคอื อากาศทีเ่ คลื่อนท่ี เกดิ จากความ
แตกตา่ งกันของอณุ หภูมิอากาศบรเิ วณที่อยู่
เชงิ ประจักษ์ ใกลก้ นั โดยอากาศบรเิ วณทม่ี ีอุณหภูมิสงู จะ

ลอยตัวสูงข้ึน และอากาศบริเวณทม่ี ีอุณหภมู ิ
ตำ่ กว่าจะเคลื่อนเข้าไปแทนท่ี
๔. บรรยายประโยชนแ์ ละโทษของ • ลมสามารถนำมาใชเ้ ป็นแหล่งพลงั งาน
ทดแทนในการผลิตไฟฟ้า และนำไปใช้
ลม จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ประโยชนใ์ นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของ

มนษุ ย์หากลมเคลอ่ื นที่ดว้ ยความเรว็ สูงอาจ
ทำให้เกิดอันตรายและความเสยี หายต่อชีวติ
และทรัพย์สนิ ได้

28

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.๔ - -

ป.๕ ๑. เปรยี บเทยี บปรมิ าณน้ำในแต่ละ • โลกมที ง้ั นำ้ จืดและนำ้ เค็มซ่งึ อยใู่ นแหล่งนำ้ ต่าง

แหล่ง และระบปุ ริมาณนำ้ ที่ ๆท่ีมที งั้ แหล่งน้ำผิวดนิ เช่น ทะเล มหาสมุทร

มนษุ ยส์ ามารถนำมาใช้ บึงแมน่ ำ้ และแหลง่ นำ้ ใตด้ ิน เชน่ นำ้ ในดิน
ประโยชนไ์ ด้จากข้อมูลท่ี และน้ำบาดาล น้ำท้ังหมดของโลกแบ่งเป็น
รวบรวมได้ นำ้ เค็มประมาณร้อยละ ๙๗.๕ ซงึ่ อยูใ่ น

มหาสมุทรและแหลง่ นำ้ อนื่ ๆ และทีเ่ หลืออีก

ประมาณร้อยละ ๒.๕ เป็นนำ้ จดื ถา้ เรยี งลำดบั

ปรมิ าณน้ำจดื จากมากไปน้อยจะอย่ทู ี่ ธาร

น้ำแขง็ และพดื น้ำแข็ง นำ้ ใต้ดิน ชนั้ ดินเยือก

แข็งคงตัวและน้ำแขง็ ใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้น

ในดิน ความช้นื ในบรรยากาศ บงึ แม่น้ำ และ

น้ำในส่ิงมีชีวิต

๒. ตระหนกั ถึงคุณคา่ ของน้ำโดย • นำ้ จดื ที่มนษุ ยน์ ำมาใชไ้ ดม้ ีปริมาณนอ้ ยมากจึง
นำเสนอแนวทางการใชน้ ้ำอย่าง
ประหยัดและการอนรุ กั ษน์ ้ำ ควรใชน้ ำ้ อย่างประหยัดและร่วมกนั อนุรกั ษ์น้ำ

๓. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการ • วฏั จักรน้ำ เป็นการหมนุ เวยี นของน้ำทม่ี ีแบบ

หมนุ เวยี นของนำ้ ในวฏั จกั รนำ้ รปู ซ้ำเดมิ และต่อเน่ืองระหวา่ งน้ำใน

บรรยากาศน้ำผิวดนิ และน้ำใตด้ นิ โดย

พฤติกรรมการดำรงชีวติ ของพืชและสัตว์สง่ ผล

ต่อวฏั จักรนำ้

๔. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด • ไอน้ำในอากาศจะควบแนน่ เป็นละอองน้ำเล็ก
เมฆ หมอก นำ้ ค้างและน้ำคา้ ง ๆโดยมีละอองลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง
แขง็ จากแบบจำลอง ละอองเรณูของดอกไมเ้ ป็นอนุภาคแกนกลาง
เมือ่ ละอองน้ำจำนวนมากเกาะกล่มุ รวมกันลอย
อยสู่ งู จากพืน้ ดนิ มาก เรยี กวา่ เมฆ แต่ละออง
นำ้ ทเี่ กาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พ้นื ดนิ เรยี กว่า
หมอกสว่ นไอน้ำท่ีควบแนน่ เป็นละอองนำ้ เกาะ
อย่บู นพืน้ ผวิ วัตถุใกลพ้ ื้นดนิ เรยี กวา่ นำ้ ค้างถา้
อุณหภูมิใกลพ้ ้ืนดนิ ต่ำกว่าจุดเยอื กแข็งน้ำค้างก็
จะกลายเป็นน้ำคา้ งแข็ง

29

ชนั้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป.5 (ต่อ) ๕. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิด • ฝน หมิ ะ ลกู เหบ็ เปน็ หยาดน้ำฟา้ ซึง่ เปน็ น้ำที่

ฝน หิมะ และลูกเห็บ จาก มีสถานะต่าง ๆ ทีต่ กจากฟา้ ถึงพ้ืนดิน ฝนเกดิ

ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ จากละอองน้ำในเมฆทรี่ วมตวั กนั จนอากาศ

ไมส่ ามารถพยงุ ไวไ้ ด้จึงตกลงมา หมิ ะเกิดจาก

ไอน้ำในอากาศระเหิดกลบั เป็นผลึกนำ้ แขง็

รวมตัวกนั จนมนี ำ้ หนักมากขึน้ จนเกินกว่า

อากาศจะพยุงไวจ้ ึงตกลงมาลกู เหบ็ เกิดจาก

หยดน้ำทเ่ี ปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแขง็ แล้วถูก

พายพุ ดั วนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มี

ขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นกอ้ น

นำ้ แขง็ ขนาดใหญ่ขนึ้ แล้วตกลงมา

ป.6 1. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดหิน • หินเป็นวสั ดแุ ขง็ เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติ

อัคนีหนิ ตะกอน และหินแปร และ ประกอบดว้ ย แรต่ ้งั แต่หน่งึ ชนิดขึ้นไป

อธิบายวฏั จักรหนิ จากแบบจำลอง สามารถจำแนกหินตามกระบวนการเกดิ ได้

เป็น ๓ ประเภทไดแ้ ก่ หินอคั นี หนิ ตะกอน

และหินแปร

• หินอัคนีเกิดจากการเยน็ ตวั ของแมกมา เนื้อ

หินมลี ักษณะเปน็ ผลึก ท้ังผลึกขนาดใหญแ่ ละ

ขนาดเล็ก บางชนิดอาจเป็นเนื้อแกว้ หรอื มีรู

พรุน

• หนิ ตะกอน เกิดจากการทบั ถมของตะกอน

เมื่อถูกแรงกดทบั และมสี ารเช่ือมประสานจึง

เกิดเปน็ หนิ เนื้อหนิ กลุ่มน้สี ่วนใหญม่ ลี กั ษณะ

เปน็ เมด็ ตะกอนมที ง้ั เนื้อหยาบและเนอื้

ละเอียด บางชนดิ เปน็ เน้ือผลึกทยี่ ึดเกาะกนั

เกดิ จากการตกผลึกหรือตกตะกอนจากนำ้

โดยเฉพาะน้ำทะเล บางชนดิ มีลักษณะเปน็

ชนั้ ๆ จงึ เรยี กอีกชื่อว่า หนิ ช้ัน

• หินแปร เกดิ จากการแปรสภาพของหนิ เดิม

ซง่ึ อาจเป็นหนิ อคั นีหินตะกอน หรอื หินแปร

โดยการกระทำของความร้อน ความดัน และ

ปฏกิ ิริยาเคมเี นื้อหนิ ของหินแปรบางชนิด

ผลึกของแร่เรียงตวั ขนานกนั เปน็ แถบ บาง

ชนิดแซะออกเป็นแผ่นได้บางชนดิ เปน็ เนอื้

ผลกึ ที่มคี วามแขง็ มาก

30

ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.6 (ต่อ)
• หนิ ในธรรมชาตทิ ัง้ ๓ ประเภท มีการ
2. บรรยายและยกตวั อย่างการใช้ เปลย่ี นแปลงจากประเภทหนึ่งไปเป็นอีก
ประโยชนข์ องหินและแรใ่ น ประเภทหนง่ึ หรอื ประเภทเดิมได้โดยมแี บบ
ชีวติ ประจำวนั จากขอ้ มลู ท่ี รูปการเปลยี่ นแปลงคงที่และตอ่ เน่อื งเปน็
รวบรวมได้ วัฏจักร

3. สรา้ งแบบจำลองทีอ่ ธิบายการ • หินและแรแ่ ตล่ ะชนดิ มลี ักษณะและสมบัติ
เกิดซากดึกดำบรรพ์และ แตกต่างกัน มนุษย์ใชป้ ระโยชนจ์ ากแร่ใน
คาดคะเนสภาพแวดลอ้ มใน ชีวิตประจำวนั ในลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น นำแร่
อดีตของซากดกึ ดำบรรพ์ มาทำเครื่องสำอาง ยาสีฟนั เครอื่ งประดบั
อุปกรณ์ทางการแพทย์และนำหินมาใช้ใน
4. เปรยี บเทยี บการเกดิ ลมบก ลม งานกอ่ สร้างต่าง ๆ เปน็ ตน้
ทะเล และมรสุมรวมทง้ั อธบิ าย
ผลที่มีต่อสิ่งมชี วี ิตและ • ซากดึกดำบรรพเ์ กิดจากการทับถมหรอื การ
สิ่งแวดลอ้ มจากแบบจำลอง ประทบั รอยของส่งิ มีชีวิตในอดตี จนเกดิ เปน็
โครงสรา้ งของซากหรือร่องรอยของส่ิงมชี ีวิต
ท่ปี รากฏอยู่ในหนิ ในประเทศไทยพบซากดึก
ดำบรรพท์ ีห่ ลากหลาย เชน่ พืช ปะการงั หอย
ปลา เต่า ไดโนเสารแ์ ละรอยตีนสัตว์

• ซากดึกดำบรรพส์ ามารถใชเ้ ป็นหลกั ฐานหน่ึง
ท่ชี ว่ ยอธบิ ายสภาพแวดล้อมของพนื้ ทีใ่ นอดตี
ขณะเกดิ ส่งิ มชี ีวติ นั้น เชน่ หากพบซากดึกดำ
บรรพข์ องหอยนำ้ จืด สภาพแวดล้อมบริเวณ
น้นั อาจเคยเป็นแหลง่ น้ำจดื มาก่อน และหาก
พบซากดึกดำบรรพ์ของพืช สภาพแวดลอ้ ม
บรเิ วณนั้นอาจเคยเป็นปา่ มาก่อน นอกจากนี้
ซากดึกดำบรรพ์ยังสามารถใช้ระบุอายุของ
หิน และเป็นข้อมูลในการศึกษาวิวัฒนาการ
ของส่ิงมชี วี ติ

• ลมบก ลมทะเล และมรสมุ เกิดจากพ้นื ดิน
และพื้นน้ำ ร้อนและเยน็ ไม่เท่ากนั ทำให้
อณุ หภูมิอากาศเหนอื พน้ื ดินและพนื้ นำ้
แตกตา่ งกนั จึงเกดิ การเคลื่อนทข่ี องอากาศ
จากบริเวณทมี่ ีอุณหภมู ติ ่ำไปยังบรเิ วณทม่ี ี
อุณหภูมสิ ูง

• ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถิน่ ที่พบ
บรเิ วณชายฝัง่ โดยลมบกเกดิ ในเวลากลางคืน
ทำใหม้ ีลมพัดจากชายฝ่ังไปสู่ทะเล ส่วนลม
ทะเลเกดิ ในเวลากลางวัน ทาํ ใหม้ ลี มพัดจาก
ทะเลเข้าสชู่ ายฝ่งั

31

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.6 (ต่อ) 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิด • มรสมุ เป็นลมประจำฤดูเกิดบริเวณเขตรอ้ น
ของโลก ซ่งึ เปน็ บริเวณกวา้ งระดบั ภูมภิ าค
ฤดูของประเทศไทยจากข้อมูลท่ี ประเทศไทยไดร้ ับผลจากมรสุม
รวบรวมได้ ตะวันออกเฉียงเหนอื ในชว่ งประมาณ

กลางเดอื นตุลาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ทำ
ให้เกิดฤดหู นาว และไดร้ ับผลจากมรสุม
ตะวนั ตกเฉยี งใตใ้ นชว่ งประมาณกลางเดือน
พฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคมทำให้เกดิ
ฤดฝู น ส่วนชว่ งประมาณกลางเดอื น
กมุ ภาพนั ธจ์ นถงึ กลางเดือนพฤษภาคมเป็น
ชว่ งเปลยี่ นมรสุมและประเทศไทยอยู่ใกล้เส้น
ศนู ย์สูตร แสงอาทิตยเ์ กือบต้งั ตรงและตง้ั ตรง
ประเทศไทยในเวลาเท่ียงวัน ทำใหไ้ ด้รับ
ความร้อนจากดวงอาทติ ยอ์ ย่างเต็มท่ีอากาศ
จึงร้อนอบอา้ วทำให้เกิดฤดูร้อน
6. บรรยายลกั ษณะและผลกระทบ • •น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝ่ัง ดนิ ถลม่
ของนำ้ ท่วมการกดั เซาะชายฝั่ง แผ่นดินไหวและสึนามิมีผลกระทบต่อชีวิต
และสิง่ แวดลอ้ มแตกตา่ งกัน
ดนิ ถลม่ แผ่นดินไหว สนึ ามิ • •มนษุ ย์ควรเรยี นรู้วธิ ีปฏิบัติตนให้ปลอดภยั
7. ตระหนักถึงผลกระทบของภัย เช่นตดิ ตามขา่ วสารอยา่ งสมำ่ เสมอ เตรียมถุง
ยงั ชพี ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏบิ ตั ิตาม
ธรรมชาติและธรณพี ิบตั ิภัย โดย คำสัง่ ของผู้ปกครองและเจา้ หน้าที่อยา่ ง
นำเสนอแนวทางในการเฝา้ เครง่ ครดั เมื่อเกิดภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบตั ิ
ระวังและปฏิบตั ิตนให้ปลอดภัย

จากภยั ธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ัติ ภัย
ภยั ทอ่ี าจเกดิ ในท้องถิน่
8. สรา้ งแบบจำลองทีอ่ ธบิ ายการ • ปรากฏการณเ์ รือนกระจกเกดิ จากแก๊สเรือน
กระจกในชัน้ บรรยากาศของโลกกักเก็บความ
เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ร้อนแลว้ คายความร้อนบางสว่ นกลบั ส่ผู วิ โลก
ทำให้อากาศบนโลกมอี ุณหภูมิเหมาะสมต่อ
และผลของปรากฏการณ์เรือน การดำรงชีวิต
กระจกตอ่ สงิ่ มีชวี ติ • หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากขึน้
9. ตระหนักถึงผลกระทบของ จะมผี ลต่อการเปลีย่ นแปลงภูมอิ ากาศโลก
ปรากฏการณเ์ รือนกระจก โดย มนุษยจ์ ึงควรรว่ มกนั ลดกิจกรรมทีก่ ่อใหเ้ กิด
นำเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ติ น

เพื่อลดกิจกรรมทก่ี ่อให้เกิดแก๊ส แกส๊ เรอื นกระจก
เรือนกระจก

32

สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพอื่ การดำรงชีวิตในสงั คมท่ีมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ ง

รวดเรว็ ใช้ความรแู้ ละทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อ่นื ๆ
เพือ่ แก้ปญั หาหรือพัฒนางานอย่างมีความคดิ สรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ
เชิงวศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชีวติ สงั คม
และสิง่ แวดลอ้ ม

ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
ป.1 - -
ป.2 - -
ป.3 - -
ป.4 - -
ป.5 - -
ป.6 - -

33

สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณในการแก้ปัญหาทพี่ บในชวี ติ จริงอยา่ งเปน็ ขั้นตอนและ

เปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารในการเรยี นรู้การทำงาน และการ
แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธภิ าพ รู้เทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม

ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.1 ๑. แกป้ ัญหาอยา่ งง่ายโดยใช้การ • การแกป้ ัญหาให้ประสบความสำเรจ็ ทำได้โดย

ลองผดิ ลองถูกการเปรยี บเทยี บ ใช้ขัน้ ตอนการแก้ปัญหา

• ปัญหาอยา่ งง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจดุ

แตกต่างของภาพ การจดั หนังสอื ใส่กระเปา๋

๒. แสดงลำดบั ขั้นตอนการทำงาน • การแสดงขน้ั ตอนการแก้ปัญหา ทำไดโ้ ดยการ

หรือการแกป้ ัญหาอย่างง่ายโดย เขียน บอกเลา่ วาดภาพ หรอื ใชส้ ัญลกั ษณ์

ใช้ภาพ สัญลกั ษณห์ รือข้อความ • ปัญหาอย่างง่าย เชน่ เกมเขาวงกต เกมหาจดุ

แตกต่างของภาพ การจดั หนังสือใส่กระเป๋า
๓. เขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย โดยใช้ • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของ
คำสงั่ ใหค้ อมพวิ เตอรท์ ำงาน
ซอฟตแ์ วรห์ รอื สือ่ • ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมส่งั ให้

ตวั ละครย้ายตำแหน่งย่อขยายขนาดเปลี่ยน
รปู รา่ ง
• ซอฟต์แวรห์ รือสือ่ ทใ่ี ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม
เช่นใช้บัตรคำสงั่ แสดงการเขยี นโปรแกรม,
Code.org
• การใชง้ านอุปกรณเ์ ทคโนโลยเี บือ้ งตน้ เช่น
๔. ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง การใชเ้ มาสค์ ีย์บอร์ด จอสัมผัส การเปิด-ปิด
จดั เกบ็ เรยี กใช้ข้อมูลตาม อปุ กรณ์เทคโนโลยี
วตั ถปุ ระสงค์
• การใชง้ านซอฟต์แวรเ์ บื้องต้น เชน่ การเข้า
และออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์การ
จัดเกบ็ การเรียกใช้ไฟล์ทำได้ในโปรแกรม เช่น
โปรแกรมประมวลคำ โปรแกรมกราฟิก
โปรแกรมนำเสนอ
• การสร้างและจัดเกบ็ ไฟล์อยา่ งเป็นระบบจะ
ทำให้เรียกใชค้ ้นหาข้อมลู ได้งา่ ยและรวดเรว็

๕. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ ง • การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั

ปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลง เชน่ รู้จักขอ้ มูลส่วนตัว อันตรายจากการ

ในการใชค้ อมพวิ เตอร์รว่ มกนั เผยแพร่ข้อมูลสว่ นตัว และไม่บอกข้อมูล

ดแู ลรกั ษาอปุ กรณเ์ บอ้ื งต้น ใช้ ส่วนตวั กบั บคุ คลอ่นื ยกเวน้ ผปู้ กครองหรือครู

งานอยา่ งเหมาะสม แจ้งผู้เก่ียวข้องเมื่อตอ้ งการความชว่ ยเหลือ

เกย่ี วกับการใช้งาน

34

ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป.1 (ตอ่ ) • ข้อปฏิบัติในการใชง้ านและการดูแลรกั ษา

อุปกรณ์เชน่ ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณท์ ำความ

สะอาดใชอ้ ปุ กรณ์อย่างถูกวธิ ี

• • การใชง้ านอย่างเหมาะสม เช่น จัดทา่ นงั่ ให้

ถูกต้องการพกั สายตาเมื่อใช้อุปกรณเ์ ป็น

เวลานานระมัดระวังอบุ ัตเิ หตุจากการใชง้ าน

ป.2 ๑. แสดงลำดบั ขัน้ ตอนการทำงาน • การแสดงขน้ั ตอนการแก้ปัญหา ทำไดโ้ ดยการ

หรอื การแกป้ ญั หาอย่างง่ายโดย เขียนบอกเล่า วาดภาพ หรือใช้สัญลักษณ์

ใช้ภาพ สัญลักษณ์หรือข้อความ • ปัญหาอยา่ งง่าย เชน่ เกมตวั ต่อ ๖-๑๒ ช้ินการ

แต่งตวั มาโรงเรยี น

๒. เขียนโปรแกรมอยา่ งง่าย โดยใช้ • ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ เขยี นโปรแกรมส่งั ให้

ซอฟตแ์ วรห์ รือสือ่ และตรวจหา ตัวละครทำงานตามท่ตี ้องการ และตรวจสอบ

ข้อผิดพลาดของโปรแกรม ข้อผดิ พลาด ปรับแก้ไขให้ไดผ้ ลลพั ธต์ ามท่ี

กำหนด

• การตรวจหาข้อผิดพลาด ทำได้โดยตรวจสอบ

คำสั่งท่แี จ้งขอ้ ผดิ พลาด หรอื หากผลลัพธ์ไม่

เปน็ ไปตามท่ตี อ้ งการให้ตรวจสอบการทำงาน

ทลี ะคำสัง่

• ซอฟต์แวร์หรอื ส่อื ทใ่ี ชใ้ นการเขียนโปรแกรม

เชน่ ใช้บตั รคำสั่งแสดงการเขียนโปรแกรม,

Code.org

๓. ใช้เทคโนโลยใี นการสรา้ ง จัด • การใชง้ านซอฟต์แวรเ์ บ้ืองตน้ เช่น การเข้า

หมวดหมคู่ น้ หาจดั เก็บ เรียกใช้ และออกจากโปรแกรม การสรา้ งไฟล์การ

ขอ้ มลู ตามวัตถปุ ระสงค์ จดั เก็บการเรียกใช้ไฟลก์ ารแก้ไขตกแต่ง

เอกสาร ทำได้ในโปรแกรม เช่น โปรแกรม

ประมวลคำโปรแกรมกราฟิก โปรแกรม

นำเสนอ

• การสร้าง คัดลอก ยา้ ย ลบ เปลี่ยนช่อื จดั

หมวดหมไู่ ฟล์และโฟลเดอรอ์ ยา่ งเป็นระบบจะ

ทำใหเ้ รยี กใช้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายและรวดเรว็

๔. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่าง • การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั

ปลอดภยั ปฏบิ ัติตามข้อตกลง เช่นรู้จกั ข้อมูลสว่ นตวั อนั ตรายจากการ

ในการใชค้ อมพิวเตอร์ร่วมกนั เผยแพร่ข้อมูลสว่ นตวั และไม่บอกข้อมลู

ดแู ลรกั ษาอุปกรณเ์ บอื้ งตน้ ใช้ ส่วนตวั กับบุคคลอื่นยกเวน้ ผ้ปู กครองหรือครู

งานอย่างเหมาะสม แจง้ ผูเ้ กีย่ วขอ้ งเมื่อตอ้ งการความช่วยเหลอื

เกีย่ วกบั การใช้งาน

35

ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

• ขอ้ ปฏิบัตใิ นการใช้งานและการดแู ลรักษา

อปุ กรณ์เช่น ไมข่ ดี เขยี นบนอุปกรณท์ ำความ

สะอาดใชอ้ ุปกรณ์อย่างถูกวธิ ี

• การใชง้ านอย่างเหมาะสม เช่น จดั ทา่ นง่ั ให้

ถูกต้องการพักสายตาเมื่อใชอ้ ุปกรณ์เป็น

เวลานานระมัดระวังอุบัตเิ หตุจากการใชง้ าน

ป.3 ๑. แสดงอัลกอรทิ ึมในการทำงาน • อัลกอริทึมเป็นขนั้ ตอนทใี่ ช้ในการแกป้ ัญหา

หรือการแกป้ ญั หาอย่างงา่ ยโดย • การแสดงอัลกอริทึม ทำได้โดยการเขยี น บอก

ใช้ภาพ สัญลักษณ์หรือข้อความ เลา่ วาดภาพ หรือใชส้ ัญลกั ษณ์

• ตวั อย่างปัญหา เช่น เกมเศรษฐีเกมบนั ไดงู

เกม Tetris เกม OX การเดินไปโรงอาหาร

การทำความสะอาดห้องเรียน

๒. เขียนโปรแกรมอยา่ งงา่ ย โดยใช้ • การเขยี นโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของ

ซอฟตแ์ วรห์ รอื สือ่ และตรวจหา คำส่ังใหค้ อมพิวเตอร์ทำงาน

ขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม • ตัวอย่างโปรแกรม เชน่ เขียนโปรแกรมท่สี ่ัง

ให้ตัวละครทำงานซำ้ ไมส่ ิน้ สุด

• การตรวจหาขอ้ ผิดพลาด ทำไดโ้ ดยตรวจสอบ

คำส่งั ท่แี จง้ ขอ้ ผดิ พลาด หรือหากผลลพั ธไ์ ม่

เปน็ ไปตามที่ตอ้ งการให้ตรวจสอบการทำงาน

ทลี ะคำสั่ง

• ซอฟต์แวร์หรือส่อื ทใี่ ช้ในการเขียนโปรแกรม

เช่นใชบ้ ตั รคำสัง่ แสดงการเขยี นโปรแกรม,

Code.org

๓. ใชอ้ ินเทอร์เนต็ คน้ หาความรู้ • • เว็บเบราว์เซอร์เป็นโปรแกรมสำหรบั อา่ น

อนิ เทอร์เน็ตเปน็ เครือขา่ ยขนาด เอกสารบนเว็บเพจ

ใหญช่ ่วยให้การตดิ ต่อสอ่ื สารทำ • การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอรเ์ น็ต ทำไดโ้ ดยใช้

ได้สะดวกและรวดเรว็ และเปน็ เวบ็ ไซตส์ ำหรบั สืบคน้ และต้องกำหนดคาํ คน้

แหล่งขอ้ มลู ความรทู้ ่ีช่วยในการ ท่เี หมาะสมจึงจะไดข้ ้อมลู ตามตอ้ งการ

เรียนและการดำเนนิ ชวี ิต • ข้อมูลความรู้เชน่ วธิ ที ำอาหาร วธิ ีพับ

กระดาษเป็นรูปต่าง ๆ ขอ้ มูลประวัติศาสตร์

ชาตไิ ทย(อาจเป็นความรใู้ นวิชาอื่น ๆ หรือ

เร่ืองทีเ่ ป็นประเด็นที่สนใจในชว่ งเวลาน้ัน)

• การใช้อนิ เทอร์เนต็ อย่างปลอดภัยควรอยู่ใน

การดูแลของครูหรือผู้ปกครอง

36

ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ป.3(ตอ่ ) ๔. รวบรวม ประมวลผล และ • การรวบรวมขอ้ มลู ทำไดโ้ ดยกำหนดหัวข้อท่ี

นำเสนอข้อมูล โดยใชซ้ อฟต์แวร์ ต้องการ เตรยี มอปุ กรณ์ในการจดบนั ทึก

ตามวตั ถปุ ระสงค์ • การประมวลผลอยา่ งงา่ ย เชน่ เปรยี บเทียบ

จัดกลุ่ม เรียงลำดบั

• การนำเสนอข้อมลู ทำไดห้ ลายลักษณะตาม

ความเหมาะสม เช่น การบอกเลา่ การทำ

เอกสารรายงาน การจัดทำป้ายประกาศ

• การใชซ้ อฟต์แวรท์ ำงานตามวัตถุประสงค์เช่น

ใช้ซอฟต์แวรน์ ำเสนอ หรือซอฟตแ์ วร์กราฟกิ

สร้างแผนภูมิรูปภาพ ใช้ซอฟตแ์ วรป์ ระมวล

คำทำปา้ ยประกาศหรือเอกสารรายงาน ใช้

ซอฟต์แวร์ตารางทำงานในการประมวลผล

ขอ้ มูล

๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ ง • การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย

ปลอดภยั ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลงใน เช่นปกปอ้ งข้อมูลสว่ นตัว

การใช้อนิ เทอร์เน็ต • ขอความชว่ ยเหลอื จากครูหรือผปู้ กครอง เม่ือ

เกิดปญั หาจากการใชง้ าน เม่ือพบข้อมูลหรอื

บคุ คลท่ที ำให้ไม่สบายใจ

• การปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้อินเทอรเ์ น็ต

จะทำให้ไมเ่ กิดความเสยี หายต่อตนเองและ

ผู้อื่นเชน่ ไม่ใชค้ ำหยาบ ล้อเลียน ด่าทอ ทำ

ให้ผ้อู นื่ เสยี หายหรอื เสยี ใจ

• ขอ้ ดแี ละข้อเสียในการใชเ้ ทคโนโลยี

สารสนเทศและการสอื่ สาร

ป.4 ๑. ใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการ • การใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์

แกป้ ญั หา การอธิบายการ หรือเง่อื นไขท่คี รอบคลุมทกุ กรณมี าใช้

ทำงาน การคาดการณ์ผลลพั ธ์ พิจารณาในการแกป้ ญั หา การอธิบายการ

จากปัญหาอย่างง่าย ทำงาน หรอื การคาดการณผ์ ลลพั ธ์

• สถานะเรม่ิ ต้นของการทำงานทแี่ ตกต่างกนั จะ

ให้ผลลพั ธท์ ่แี ตกตา่ งกัน

• ตวั อย่างปญั หา เชน่ เกม OX โปรแกรมทีม่ ี

การคำนวณ โปรแกรมที่มตี ัวละครหลายตัว

และมีการสั่งงานท่ีแตกตา่ งหรอื มกี ารสื่อสาร

ระหว่างกัน การเดินทางไปโรงเรียน โดย

วธิ ีการต่าง ๆ

37

ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.4(ต่อ) ๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรม • การออกแบบโปรแกรมอย่างง่ายเชน่ การ

อย่างงา่ ย โดยใช้ซอฟต์แวรห์ รือ ออกแบบโดยใช้storyboard หรือการ

สื่อ และตรวจหาข้อผดิ พลาด ออกแบบอัลกอริทึม

และแก้ไข • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของ

คำสั่งใหค้ อมพวิ เตอร์ทำงาน เพอื่ ให้ไดผ้ ลลัพธ์

ตามความต้องการ หากมีขอ้ ผิดพลาดให้

ตรวจสอบการทำงานทีละคำสั่ง เมือ่ พบจุดที่

ทำใหผ้ ลลัพธ์ไม่ถกู ต้อง ให้ทำการแก้ไข

จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ถกู ต้อง

• ตัวอยา่ งโปรแกรมท่ีมเี รื่องราว เช่น นทิ านท่ีมี

การโต้ตอบกับผ้ใู ช้การ์ตูนสัน้ เลา่ กิจวัตร

ประจำวันภาพเคลื่อนไหว

• การฝึกตรวจหาข้อผดิ พลาดจากโปรแกรม

ของผู้อ่ืนจะช่วยพฒั นาทกั ษะการหาสาเหตุ

ของปัญหาไดด้ ยี ่ิงข้นึ

• ซอฟต์แวรท์ ใี่ ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เช่น

Scratch, logo

๓. ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตค้นหาความรแู้ ละ • การใช้คำค้นทีต่ รงประเดน็ กระชับ จะทำให้

ประเมนิ ความน่าเช่ือถือของ ได้ผลลัพธ์ทีร่ วดเรว็ และตรงตามความ

ขอ้ มลู ตอ้ งการ

• การประเมินความนา่ เช่ือถือของข้อมูล เชน่

พจิ ารณาประเภทของเวบ็ ไซต์(หนว่ ยงาน

ราชการสำนกั ขา่ ว องค์กร) ผูเ้ ขยี น วันที่

เผยแพร่ข้อมูลการอา้ งอิง

• เม่ือได้ข้อมลู ทต่ี ้องการจากเว็บไซต์ตา่ ง ๆ

จะต้องนำเนือ้ หามาพจิ ารณา เปรียบเทยี บ

แล้วเลือกข้อมลู ท่ีมคี วามสอดคล้องและ

สัมพันธ์กนั

• การทำรายงานหรือการนำเสนอข้อมลู จะต้อง

นำขอ้ มลู มาเรียบเรยี ง สรุป เป็นภาษาของ

ตนเองทีเ่ หมาะสมกบั กล่มุ เปา้ หมายและ

วธิ กี ารนำเสนอ(บรู ณาการกับวชิ าภาษาไทย)

38

ชัน้ ตวั ชว้ี ดั • สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
ป.4(ต่อ) •
๔. รวบรวม ประเมิน นำเสนอ • การรวบรวมขอ้ มูล ทำได้โดยกำหนดหัวข้อท่ี
ป.5 ขอ้ มูลและสารสนเทศโดยใช้ • ตอ้ งการ เตรียมอุปกรณ์ในการจดบันทกึ
ซอฟตแ์ วร์ที่หลากหลาย เพ่ือ การประมวลผลอยา่ งงา่ ย เช่น เปรยี บเทียบ
แก้ปัญหาในชีวติ ประจำวัน จัดกลมุ่ เรยี งลำดบั การหาผลรวม
วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลอื กท่เี ปน็ ไปได้
• ประเมินทางเลอื ก (เปรยี บเทียบ ตัดสนิ )
การนำเสนอข้อมลู ทำได้หลายลกั ษณะตาม
๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง • ความเหมาะสม เช่น การบอกเล่า
ปลอดภัย เขา้ ใจสทิ ธิและหน้าที่ เอกสารรายงานโปสเตอร์โปรแกรมนำเสนอ
ของตน เคารพในสิทธขิ องผอู้ ื่น การใช้ซอฟต์แวรเ์ พือ่ แก้ปัญหาใน
แจ้งผเู้ กีย่ วขอ้ งเม่ือพบขอ้ มลู หรอื ชวี ิตประจำวนั เช่น การสำรวจเมนูอาหาร
บคุ คลที่ไมเ่ หมาะสม กลางวนั โดยใชซ้ อฟตแ์ วร์สรา้ งแบบสอบถาม
และเก็บขอ้ มลู ใช้ซอฟตแ์ วรต์ ารางทำงาน
• เพื่อประมวลผลขอ้ มลู รวบรวมขอ้ มูลเกย่ี วกบั
• คุณค่าทางโภชนาการและสรา้ งรายการ
อาหารสำหรบั ๕ วนั ใช้ซอฟตแ์ วรน์ ำเสนอ
๑. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการ • ผลการสำรวจรายการอาหารท่ีเป็นทางเลือก
แก้ปัญหา การอธิบายการ และข้อมูลดา้ นโภชนาการ
ทำงาน การคาดการณ์ผลลัพธ์
จากปญั หาอย่างงา่ ย การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั
เขา้ ใจสทิ ธิและหน้าท่ีของตน เคารพในสิทธิ
ของผู้อื่นเชน่ ไม่สร้างข้อความเท็จและส่งให้
ผูอ้ ่ืน ไม่สรา้ งความเดือดรอ้ นต่อผอู้ ื่นโดยการ
ส่งสแปมขอ้ ความลกู โซ่สง่ ต่อโพสตท์ ม่ี ีขอ้ มูล
สว่ นตัวของผูอ้ ่นื ส่งคำเชญิ เล่นเกม ไม่เข้าถงึ
ขอ้ มูลสว่ นตวั หรอื การบ้านของบุคคลอ่ืนโดย
ไมไ่ ด้รับอนุญาต ไม่ใช้เคร่อื งคอมพิวเตอร์/ช่อื
บัญชขี องผู้อืน่
การส่อื สารอย่างมมี ารยาทและร้กู าลเทศะ
การปกป้องข้อมูลส่วนตวั เชน่ การออกจาก
ระบบเม่ือเลิกใชง้ าน ไม่บอกรหัสผ่าน ไมบ่ อก
เลขประจำตวั ประชาชน

การใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะเป็นการนาํ กฎเกณฑ์
หรือเงอื่ นไขท่ีครอบคลมุ ทกุ กรณมี าใช้
พจิ ารณาในการแกป้ ญั หาการอธิบายการ
ทำงาน หรือการคาดการณ์ผลลัพธ์

39

ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• สถานะเรมิ่ ต้นของการทำงานท่ีแตกตา่ งกนั จะ
ป.5(ต่อ) ใหผ้ ลลพั ธ์ทแี่ ตกตา่ งกนั

• ตัวอย่างปัญหา เชน่ เกม Sudoku โปรแกรม
ทานายตัวเลข โปรแกรมสร้างรูปเรขาคณติ
ตามค่าข้อมลู เขา้ การจัดลำดับการทำงานบ้าน
ในชว่ งวนั หยดุ จดั วางของในครัว
๒. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมที่ • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขยี น
เปน็ ข้อความหรอื ผังงาน
มีการใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะอยา่ ง • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมทม่ี กี าร
งา่ ย ตรวจหาข้อผิดพลาดและ
แกไ้ ข ตรวจสอบเงอื่ นไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีเพ่ือให้
ได้ผลลพั ธ์ทีถ่ ูกตอ้ งตรงตามความต้องการ
• หากมขี ้อผดิ พลาดใหต้ รวจสอบการทำงานทลี ะ
คำสั่ง เมือ่ พบจดุ ท่ีทำให้ผลลัพธไ์ ม่ถูกต้องใหท้ ำ
การแก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธท์ ถ่ี ูกต้อง
• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ
ผอู้ ่ืน จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตขุ อง
ปญั หาได้ดยี ิ่งข้นึ
• ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบ
เลขคูเ่ ลขคี่ โปรแกรมรบั ข้อมูลนำ้ หนักหรอื
สว่ นสูงแลว้ แสดงผลความสมสว่ นของร่างกาย
โปรแกรมสั่งใหต้ วั ละครทำตามเงือ่ นไขที่
กำหนด
• ซอฟต์แวรท์ ่ีใชใ้ นการเขียนโปรแกรม เช่น
Scratch, logo
๓. ใช้อนิ เทอร์เนต็ คน้ หาข้อมูล • การคน้ หาข้อมูลในอินเทอรเ์ น็ต และการ
พิจารณาผลการคน้ หา
ติดต่อส่อื สารและทำงานรว่ มกัน • การตดิ ต่อส่อื สารผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น อเี มล
ประเมินความน่าเช่ือถือของ • บล็อก โปรแกรมสนทนา
ข้อมูล การเขยี นจดหมาย (บูรณาการกับวชิ า

ภาษาไทย)
• การใช้อินเทอรเ์ นต็ ในการตดิ ต่อสอ่ื สารและ
ทำงานร่วมกนั เช่น ใชน้ ดั หมายในการประชุม
กลุ่มประชาสมั พันธ์กจิ กรรมในหอ้ งเรยี น การ
แลกเปล่ยี นความรคู้ วามคิดเห็นในการเรยี น
ภายใต้การดูแลของครู
• การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เชน่
เปรียบเทยี บความสอดคล้อง สมบูรณ์ของ
ขอ้ มลู จากหลายแหล่ง แหล่งตน้ ตอของข้อมูล
ผ้เู ขียนวันทเ่ี ผยแพรข่ ้อมลู
• ข้อมูลที่ดีตอ้ งมรี ายละเอยี ดครบทกุ ด้าน เช่น
ขอ้ ดแี ละข้อเสยี ประโยชน์และโทษ

40

ชน้ั ตัวช้วี ดั • สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
• การรวบรวมขอ้ มูล ประมวลผล สร้างทางเลือก
ป.5 (ตอ่ ) ๔. รวบรวม ประเมิน นำเสนอ ประเมินผล จะทำใหไ้ ด้สารสนเทศเพื่อใช้ในการ
ข้อมูลและสารสนเทศตาม แกป้ ญั หาหรือการตัดสนิ ใจได้อย่างมี
วัตถปุ ระสงคโ์ ดยใชซ้ อฟต์แวร์ ประสทิ ธิภาพ
หรือบรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ น็ตที่ การใช้ซอฟตแ์ วร์หรือบริการบนอนิ เทอร์เน็ตท่ี
หลากหลาย เพ่อื แกป้ ัญหาใน หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้าง
ชวี ิตประจำวัน ทางเลือก ประเมนิ ผล นำเสนอ จะชว่ ยให้การ
แก้ปัญหาทำได้อยา่ งรวดเร็ว ถกู ต้อง และ
• แมน่ ยำ
ตัวอยา่ งปัญหา เช่น ถ่ายภาพ และสำรวจแผนท่ี
๕. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ ง • ในท้องถ่นิ เพ่ือนำเสนอแนวทางในการจัดการ
ปลอดภัยมีมารยาทเขา้ ใจสทิ ธิ พืน้ ทว่ี ่างให้เกิดประโยชนท์ ำแบบสำรวจ
และหน้าทีข่ องตน เคารพในสทิ ธิ • ความคดิ เหน็ ออนไลน์และวิเคราะหข์ ้อมลู
ของผู้อน่ื แจ้งผูเ้ กี่ยวข้องเมื่อพบ นำเสนอข้อมลู โดยการใช้blog หรือ web page
ข้อมูลหรือบคุ คลที่ไม่เหมาะสม อนั ตรายจากการใชง้ านและอาชญากรรมทาง
อนิ เทอร์เน็ต
ป.6 ๑. ใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในการ • มารยาทในการตดิ ต่อสอ่ื สารผ่านอนิ เทอรเ์ นต็
อธิบายและออกแบบวิธีการ (บูรณาการกับวิชาท่ีเก่ียวข้อง)
แก้ปัญหาที่พบในชีวติ ประจำวัน •
การแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ ข้นั ตอนจะช่วยให้
• แกป้ ญั หาได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
• การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์
หรือเง่ือนไขท่คี รอบคลมุ ทุกกรณมี าใช้พิจารณา
• ในการแกป้ ญั หา
แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเง่ือนไข
การพิจารณากระบวนการทำงานท่ีมกี ารทำงาน
แบบวนซำ้ หรือเงื่อนไขเปน็ วิธกี ารทจี่ ะชว่ ยให้
การออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหาเปน็ ไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ
ตวั อย่างปญั หา เชน่ การค้นหาเลขหน้าท่ี
ต้องการใหเ้ ร็วท่ีสดุ การทายเลข ๑-
๑,๐๐๐,๐๐๐ โดยตอบใหถ้ ูกภายใน ๒๐
คำถาม การคำนวณเวลาในการเดินทาง โดย
คำนงึ ถึงระยะทาง เวลาจดุ หยุดพกั

41

ชน้ั ตวั ชวี้ ัด • สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป.6 (ตอ่ ) ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรม • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำไดโ้ ดยเขียน
อยา่ งง่าย เพ่ือแก้ปัญหาใน เป็นข้อความหรอื ผังงาน
ชวี ิตประจำวัน ตรวจหา การออกแบบและเขียนโปรแกรมทมี่ ีการใช้ตวั
ขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรมและ แปรการวนซำ้ การตรวจสอบเงื่อนไข
แก้ไข หากมีข้อผิดพลาดใหต้ รวจสอบการทำงานทลี ะ
คำส่ัง เมอื่ พบจุดที่ทำให้ผลลพั ธไ์ มถ่ ูกตอ้ งใหท้ ำ
• การแก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลพั ธ์ทถี่ กู ต้อง
การฝึกตรวจหาข้อผดิ พลาดจากโปรแกรมของ
๓. ใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตในการคน้ หา • ผูอ้ ืน่ จะชว่ ยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของ
ขอ้ มูลอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ • ปัญหาไดด้ ยี ิ่งขึ้น
• ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม
โปรแกรมหาค่า ค.ร.น. เกมฝึกพิมพ์
• ซอฟตแ์ วรท์ ่ใี ช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่
Scratch, logo

การคน้ หาอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เป็นการคน้ หา
• ข้อมูลที่ได้ตรงตามความต้องการในเวลาท่ี
รวดเร็วจากแหล่งขอ้ มูลท่นี ่าเชอื่ ถือหลายแหลง่
๔. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทำงาน • และข้อมลู มีความสอดคล้องกัน
การใชเ้ ทคนิคการค้นหาขนั้ สูง เช่น การใช้ตัว
ร่วมกนั อย่างปลอดภยั เข้าใจ ดำเนินการ การระบุรปู แบบของข้อมลู หรอื ชนดิ
ของไฟล์
สทิ ธิและหนา้ ท่ขี องตน เคารพใน • การจดั ลำดับผลลพั ธ์จากการค้นหาของ
โปรแกรมค้นหา
สิทธขิ องผู้อื่น แจ้งผเู้ ก่ียวข้อง • การเรียบเรยี ง สรปุ สาระสำคัญ (บูรณาการกับ
วิชาภาษาไทย)
เม่อื พบข้อมูลหรือบุคคลท่ีไม่ •
อนั ตรายจากการใช้งานและอาชญากรรมทาง
เหมาะสม • อนิ เทอร์เน็ต แนวทางในการป้องกัน
วิธกี ำหนดรหสั ผ่าน
การกำหนดสทิ ธิ์การใช้งาน (สิทธ์ใิ นการเข้าถงึ )
แนวทางการตรวจสอบและป้องกนั มลั แวร์
อันตรายจากการติดต้ังซอฟต์แวร์ทอ่ี ยูบ่ น
อินเทอร์เน็ต

42

โครงสร้างเวลาเรียน (หน่วยกติ /ช่ัวโมง)รายวชิ าพ้ืนฐาน
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา

รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 80 ชว่ั โมง 2.0 หน่วยกติ
ว 11101 วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จำนวน 80 ชว่ั โมง 2.0 หนว่ ยกติ
ว 12101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 80 ชั่วโมง 2.0 หนว่ ยกติ
ว 13101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 80 ชวั่ โมง 2.0 หนว่ ยกติ
ว 14101 วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จำนวน 80 ชวั่ โมง 2.0 หนว่ ยกติ
ว 15101 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จำนวน 80 ชั่วโมง 2.0 หน่วยกิต
ว 16101

43

คำอธิบายรายวชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 – 6

44

คำอธิบายรายวิชาพืน้ ฐาน

ว ๑๑๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ เวลา 80 ช่ัวโมง

ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะและหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช

รวมทั้งการทำหน้าที่ร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ความสำคัญของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

ตนเอง และการดูแลส่วนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ชื่อพืชและสัตว์ท่ี

อาศัยอยู่บริเวณต่าง ๆ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในบริเวณที่พืชและสัตว์อาศัยอยู่ สมบัติที่สังเกตได้ของ

วัสดุที่ใช้ทำวัตถุซึ่งทำจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิดประกอบกัน ชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุตาม

สมบัติที่สังเกต การเกิดเสียงและทิศทางการเคลื่อนที่ของเสียง ลักษณะภายนอกของหินจากลักษณะ

เฉพาะตัวที่สังเกต ดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้าในเวลากลางวันและกลางคืน และสาเหตุที่มองไม่เห็นดาวส่วน

ใหญ่ในเวลากลางวัน แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา การแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน

หรือ การแก้ปัญหาโดยใช้ ภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความ ตลอดจนการเขียนโปรแกรมสร้างลำดับของคำสั่ง

ให้คอมพิวเตอรท์ ำงาน ศกึ ษาการใชง้ านอปุ กรณ์เทคโนโลยีเบื้องต้น การใช้ซอฟตแ์ วรเ์ บ้อื งตน้ การสรา้ งและ

จดั เก็บไฟลอ์ ยา่ งเป็นระบบและการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย

โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้อธิบาย แก้ไขปัญหา หรือสร้างสรรค์
พัฒนางานในชีวิตจริงได้ ซึ่งเน้นการเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี กับ
กระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์ และให้มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย คิดเชิงคำนวณและปัญหาเป็นฐาน
(Problem – based Learning) เพื่อเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จากการฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ผ่าน
กระบวนการคิด การปฏิบัติอย่างมีระบบ และสร้างองค์ความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงใน
ชีวิตประจำวนั ได้

เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะการคิด และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน
รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจิตวิทยาศาสตร์และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ มีทักษะการคิดเชิง
คำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้นในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และการ
ดำรงชวี ติ จนสามารถพฒั นากระบวนการคดิ และจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ
ทักษะในการส่ือสาร และความสามารถในการตัดสินใจ และเปน็ ผทู้ ่ีมจี ิตวิทยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จริยธรรม
และค่านยิ มในการใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอย่างสรา้ งสรรค์

ตวั ช้ีวัด

ว1.1 ป.1/1 ป.1/2 ว1.2 ป.1/1 ป.1/2

ว2.1 ป.1/1 ป.1/2 ว2.3 ป.1/1

ว3.1 ป.1/1 ป.1/2 ว3.2 ป.1/1

ว.4.2 ป.1/1 ป.1/2 ป.1/3 ป.1/4 ป.1/5

รวม 15 ตวั ช้ีวดั

45

คำอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน

ว ๑๒๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๒ เวลา 80 ชั่วโมง

ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะสำคัญของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต พืชต้องการแสงและน้ำเพื่อ

การเจริญเตบิ โต ความจำเปน็ ที่พืชต้องได้รับนำ้ และแสงเพ่ือการเจริญเติบโตโดยดูแลพชื ให้ได้รับสิ่งน้ันอย่าง

เหมาะสม วัฏจักรชีวิตของพืชดอก สมบัติการดูดซับน้ำของวัสดุและการนำสมบัติการดูดซับน้ำของวัสดุไป

ประยุกต์ใช้ในการทำวัตถุในชีวิตประจำวัน วัสดุที่เกิดจากการนำวัสดุมาผสมกัน สมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุ

เพื่อนำมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตามวัตถุประสงค์ การนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ประโยชน์ของการ

นำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ แนวการเคลื่อนที่ของแสงจากแหล่งกำเนิดแสงและมองเห็นวัตถุ คุณค่าของ

การมองเห็น แนวทางการป้องกันอันตรายจากการมองวัตถุที่อยู่ในบริเวณที่มีแสงสว่างไม่เหมาะสม

ส่วนประกอบของดินและจำแนกชนิดของดิน โดยใช้ลักษณะเนื้อดินและการจับตัวเป็นเกณฑ์ และการใช้

ประโยชน์จากดิน ลำดับขั้นตอนการทำงานหรือแก้ปัญหาอย่างง่าย โดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความ

ตลอดจนการเขียนโปรแกรมสร้างลำดับของคอมพิวเตอร์ทำงาน และตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม

ศึกษาการใช้งานซอฟต์แวร์เบื้องต้น การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้าง และจัดการกับข้อมูลอย่างเป็น

ระบบ รวมถึงการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั

โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้อธิบาย แก้ไขปัญหา หรือสร้างสรรค์

พัฒนางานในชีวิตจริงได้ ซึ่งเน้นการเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี กับ

กระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์ และให้มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้

กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Base

Learning) เพื่อเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ผ่านกระบวนการคิด การปฏิบัติ

อยา่ งมีระบบ และสร้างองคค์ วามร้ใู หม่จากการใชป้ ัญหาท่เี กิดขึน้ จริงในชวี ิตประจำวนั ได้

เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะการคิด การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและ
เป็นระบบ มีทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้นในการ
แก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และการดำรงชีวิตจนสามารถพัฒนากระบวนการคิดและ
จินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา การจัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ
และเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง
สร้างสรรค์ และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจิตวิทยาศาสตร์และมีเจต
คตทิ ดี่ ตี อ่ การเรียนวิทยาศาสตร์

ตวั ช้ีวัด ว 1.3 ป.2/1
ว 1.2 ป.2/1 ป.2/2 ป.2/3 ว 2.3 ป.2/1 ป.2/2
ว 2.1 ป.2/1 ป.2/2 ป.2/3 ป.2/4
ว 3.2 ป.2/1 ป.2/2
ว 4.2 ป.2/1 ป.2/2 ป.2/3 ป.2/4

รวม 16 ตวั ชว้ี ัด

46

คำอธบิ ายรายวิชาพ้ืนฐาน

ว ๑๓๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ เวลา 80 ช่ัวโมง

ศึกษา วิเคราะห์ สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และการเจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์

ประโยชน์ของอาหาร น้ำ และอากาศ การดแู ลตนเองและสัตว์ให้ไดร้ ับสง่ิ เหลา่ น้ีอย่างเหมาะสม วฏั จักรชีวิต

ของสตั ว์ ส่วนประกอบของวตั ถุ และการเปลย่ี นแปลงของวัสดุเมื่อทำใหร้ ้อนขนึ้ หรือทำให้เยน็ ลง แรงท่ีมีต่อ

การเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนทข่ี องวัตถุ แรงสมั ผัสและแรงไมส่ มั ผัสท่ีมผี ลต่อการเคลือ่ นที่ของวัตถุ การดึงดูด

ระหว่างแม่เหล็กกับวัตถุ ขั้วแม่เหล็ก การเปลี่ยนพลังงาน การทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และแหล่ง

พลังงานในการผลิตไฟฟ้า ประโยชน์และโทษของไฟฟ้า วิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และปลอดภัย

เส้นทางการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน และการกำหนดทิศ ความสำคัญของดวง

อาทติ ยต์ ่อสิ่งมชี ีวติ สว่ นประกอบของอากาศ ความสำคญั ของอากาศ และผลกระทบของมลพิษทางอากาศ

ตอ่ ส่งิ มีชีวิต การปฏบิ ัติตนในการลดการเกดิ มลพษิ ทางอากาศ การเกดิ ลม ประโยชน์และโทษของลม

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจ ตรวจสอบ การสบื ค้นข้อมูล

การเปรียบเทยี บข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภปิ ราย เพือ่ ให้เกดิ ความรู้ ความคดิ ความเข้าใจ

สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ นำความรู้ไปใช้ ในชีวิตประจำวัน มีจิต

วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และคา่ นยิ มทเี่ หมาะสม

ศึกษาขั้นตอนการแสดงอัลกอริทึมในการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างง่าย การเขียนโปรแกรม

อย่างง่ายโดยใช้ซอฟต์แวร์หรือสื่อและตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม การใช้อินเตอร์เน็ตค้นคว้าหา

ความรู้ การรวบรวม ประมวลผลและนำเสนอขอ้ มลู โดยใชซ้ อฟต์แวร์ตามวัตถปุ ระสงค์

ใช้กระบวนการการทำงานอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ คิดในเชิงคำนวณในการแก้ปญั หา ใช้

เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรยี นรู้การทำงาน แสดงอัลกอริทึมเป็นขั้นตอนการทำงานหรอื

การแก้ปัญหาโดยการเขียน บอกเล่า วาดภาพ หรือใช้สัญลักษณ์ การแก้ปัญหาโดยใช้เกม การเขียน

โปรแกรมเพอ่ื ส่ังการให้ตวั ละครทำงานซ้ำไมส่ ิ้นสุด และตรวจสอบข้อผิดพลาด ปรบั แกไ้ ขใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์ตามที่

ต้องการ ถ้าไม่เป็นไปตามที่ต้องการให้ตรวจสอบการทำงานทีละคำสั่ง ใช้ซอฟต์แวร์เขียนโปรแกรม โดยใช้

บัตรคำสั่งแสดงการเขียนโปแกรม,Code.org สามารถสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตโดยใช้เว็บไซต์ในการ

สืบค้น

ตระหนักและเห็นคุณค่าของการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ใช้อินเตอร์เน็ต

เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้อินเตอร์เน็ต ดูแลรักษาอุปกรณ์และใช้

งานเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม รักการทำงาน ทำงานด้วยความกระตือรือร้น และตรงเวลา มี

เจตคติที่ดีต่อการทำงาน มีลักษณะนิสัยการทำงานที่เหมาะสม มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่

เหมาะสม

รหสั ตัวชี้วัด ป.๓/๑ , ป.๓/๒ , ป.๓/๓ , ป.๓/๔
ว ๑.๒ ป.๓/๑ , ป.๓/๒
ว ๒.๑ ป.๓/๑ , ป.๓/๒ , ป.๓/๓ , ป.๓/๔
ว ๒.๒ ป.๓/๑ , ป.๓/๒ , ป.๓/๓
ว ๒.๓ ป.๓/๑ , ป.๓/๒ , ป.๓/๓
ว ๓.๑

47

ว ๓.๒ ป.๓/๑ , ป.๓/๒ , ป.๓/๓ , ป.๓/๔
ว ๔.๒ ป.๓/๑ , ป.๓/๒ , ป.๓/๓ , ป.๓/๔ , ป๓/๕

รวม ๒๕ ตัวช้ีวัด


Click to View FlipBook Version