The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Rawinipa Srimoon, 2020-06-22 00:02:28

หนังสือปฏิบัติการเคมีวิเคระาห์ทั่วไป

Analytical chemistry laboratory handbook

Keywords: เคม,ี

-1-

เอกสารคาสอน

เคมีวิเคราะหท์ วั ่ ไป (General Analytical Chemistry)
รหสั วิชา 03-02-280 (ภาคปฏิบตั ิการ)

ผชู้ ่วยศาสตราจารยร์ วินิภา ศรีมลู

สาขาวิชาวิทยาศาสตรป์ ระยกุ ตแ์ ละเทคโนโลยีชีวภาพ
คณะเทคโนโลยีอตุ สาหกรรมการเกษตร
มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลตะวนั ออก วิทยาเขตจนั ทบรุ ี 2563

-2-

คำนำ

เอกสารคำสอน รายวิชาเคมีวิเคราะห์ทั่วไป รหัสวิชา 03-02-280 (ภาคปฏิบัติการ) น้ี เป็น
การทดลองที่สอดคล้องกับบทเรียนในแต่ละสัปดาห์ ใช้คู่กับเอกสารคำสอนรายวิชาเคมีวิเคราะห์ทั่วไป
รหัสวิชา 03-02-280 (ภาคทฤษฎี) โดยแบ่งบทปฏิบัติการทั้งหมดไว้ 15 สัปดาห์ ครอบคลุมเนื้อหา
หลักทัว่ ไปของเคมีวิเคราะห์ สมดลุ ไอออนิก สมดลุ ตะกอนในสารละลายน้ำและการวิเคราะห์ไอออน
เชิงคุณภาพ การวิเคราะห์โดยน้ำหนัก สมดุลกรด-เบส การวิเคราะห์โดยปริมาตร การไทเทรตกรด-
เบส การไทเทรตแบบตกตะกอน การไทเทรตแบบสารประกอบเชิงซ้อน เคมีไฟฟา้ การไทเทรตแบบ
ปฏิกิริยารีดอกซ์ และความรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ด้วยสเปกโทรเมตรีซึ่งเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ท่ี
นักศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เทคนิคการวิเคราะห์บางส่วนนักศึกษาสามารถ
เรียนรู้ก่อนทำปฏิบัติการหรือทบทวนหลังจากเรียนไปแล้ว ได้จากบทเรียนออนไลน์ผ่านโปรแกรม
Google classroom หวังว่าเอกสารคำสอนน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในรายวิชาเคมี
วเิ คราะหท์ ่ัวไป หากทา่ นทนี่ ำไปใชม้ ีขอ้ เสนอแนะ ผเู้ ขียนยินดีรับฟังข้อคิดเหน็ ต่าง ๆ และขอขอบคุณ
มา ณ โอกาสน้ี

ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์รวินิภา ศรีมูล
มถิ นุ ายน 2563

-3-

สารบัญ

หน้า

คำนำ………………………………………………………………………………………………………………………. (1)
สารบญั ……………………………………………………………………………………………………………………. (3)
สารบัญภาพ…………………………………………………………………………………………………………….. (5)
สารบัญตาราง………………………………………………………………………………………………………….. (6)
แผนบริหารการสอนประจำรายวิชา……………………………………………………………………………. (7)

รายวิชา-รหัสวิชา…………………………………………………………………….…………………………… (7)
จำนวนหนว่ ยกติ -ชว่ั โมง ……………………………………………………………………………………….. (7)
สถานภาพรายวชิ า……………………………………………………………………………………………….. (7)
ระดับรายวิชา/พน้ื ฐาน…………………………………………………………………………………………. (7)
เวลาเรยี น…………………………………………………………………………………………………………… (7)
คำอธบิ ายรายวิชา………………………………………………………………………………………………… (7)
จุดมุง่ หมายรายวชิ า……………………………………………………………………………………………… (7)
เน้ือหา (ภาคปฏบิ ตั ิการ)……………………………………………………………………………………….. (8)
วธิ ีการสอนและกจิ กรรม……………………………………………………………………………………….. (9)
สื่อการเรยี นการสอน……………………………………………………………………………………………. (10)
งานที่มอบหมาย………………………………………………………………………………………………….. (12)
การวัดผลและประเมินผล……………………………………………………………………………………… (12)
แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………… (13)
เอกสารและหนงั สือประกอบการสอน………………………………………………..…………………… (15)
บทนำ อุปกรณ์และเทคนคิ พนื้ ฐานในปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์……………………………………. 1
บทปฏิบตั ิการที่ 1 การตรวจสอบความถกู ต้องของเครอื่ งแก้ววัดปรมิ าตร……………………. 17
บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 2 การวเิ คราะหไ์ อออนเชงิ คุณภาพ………………………………………………….. 23
บทปฏบิ ัติการที่ 3 การหาปรมิ าณซัลเฟตโดยการตกตะกอนในรูปของแบเรียมซัลเฟต….. 37
บทปฏิบตั กิ ารท่ี 4 การเตรยี มและเทียบมาตรฐานสารละลายมาตรฐานเบส…………......... 41
บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 5 การหาปรมิ าณกรดแอซตี ิกในน้ำส้มสายชู………………………………......... 45
บทปฏบิ ตั ิการท่ี 6 การเตรยี มและเทยี บมาตรฐานสารละลายมาตรฐานกรด………………… 47
บทปฏิบตั ิการที่ 7 การหาความแรงของยาลดกรด (antacid) ในกระเพาะอาหาร………… 53
บทปฏบิ ตั ิการที่ 8 การหาค่า Ka และความเขม้ ขน้ ของกรดอ่อน........................................ 57
บทปฏบิ ตั ิการท่ี 9 การหาอัลคาลินติ ี (alkalinity) ของนำ้ ................................................ 63

-4-

สารบญั

หนา้

บทปฏิบัติการที่ 10 การเตรียมและการเทียบมาตรฐานสารละลายมาตรฐานซิลเวอร์ไน
เตรตโดยวธิ ขี องโมฮร์……………………………………………………………….. 69

บทปฏิบตั กิ ารท่ี 11 การหาปรมิ าณคลอไรด์ในเครื่องด่ืมเกลือแรโ่ ดยวิธีของโวลฮารด์ ……. 73
บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 12 การเตรยี มและการเทยี บมาตรฐานสารละลายมาตรฐาน EDTA........ 79
บทปฏิบัติการที่ 13 การหาความกระดา้ งของนำ้ โดยการไทเทรตแบบสารประกอบ

เชิงซอ้ นกบั EDTA............................................................................ 83
บทปฏบิ ัตกิ ารที่ 14 การหาปรมิ าณแคลเซยี มในนำ้ นม...................................................... 87
บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 15 การเตรียมและเทยี บมาตรฐานสารละลายโซเดยี มไธโอซลั เฟต

(Na2S2O3) ...................................................................................... 91
บทปฏิบตั ิการที่ 16 การหาปริมาณโซเดยี มไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) ในสารฟอกส.ี ............ 95
บทปฏิบตั กิ ารท่ี 17 การหาปรมิ าณแก๊สออกซเิ จนละลายนำ้ ............................................. 99
บทปฏิบตั ิการท่ี 18 กฎของเบียร์-แลมเบริ ์ต...................................................................... 105
บทปฏิบตั ิการท่ี 19 การหาปริมาณเหลก็ ในน้ำด้วยวธิ ีสเปกโทรเมตรี................................ 111
บทปฏิบัติการท่ี 20 การวเิ คราะหป์ รมิ าณสารประกอบฟนี อลคิ รวมในน้ำชา.................... 117
เอกสารอ้างองิ ......................................................................................................................... 121

-5-

สารบัญภาพ

ภาพท่ี หนา้

1.1 อปุ กรณพ์ น้ื ฐานในห้องปฏบิ ัตกิ าร ……………………………………………………………… 2
1.2 ลกั ษณะการอ่านปรมิ าตรท่ถี กู ตอ้ ง ……………………………………………………………. 5
1.3 ปิเปตตแ์ บบต่างๆ …………………………………………………………………………………….. 6
1.4 เทคนิคการใชป้ เิ ปตต์ …………………………………………………………………………..…… 7
1.5 บวิ เรตตแ์ ละเทคนคิ การใชบ้ ิวเรตต์ …………………………………………………………….. 7
1.6 เครอ่ื งชัง่ ชนิดตา่ งๆ ………………………………………………………………………………….. 9
1.7 การกรองดว้ ยแรงดึงดดู ของโลก ………………………………………………………………… 10
1.8 การกรองด้วยแรงสญุ ญากาศโดยใชก้ รวยบุชเนอร์ ……………………………………….. 11
1.9 อุปกรณ์การกรองประเภทอืน่ ๆ ………………………………..……………………………….. 11
1.10 การถ่ายสารเคมีทีเ่ ปน็ ของเหลว........................................................................... 12
8.1 การจดั เครื่องมอื สำหรับหาจุดยุตดิ ้วยวธิ ีโพเทนชิโอเมตริก …………………………….. 58
8.2 การหาจดุ ยตุ จิ ากวิธโี พเทนชโิ อเมตริก …………………………………………………………. 59
18.1 กราฟมาตรฐาน (calibration curve) ………………………………………………………… 106
19.1 ปฏกิ ริ ยิ าการเกิดสารเชงิ ซอ้ นของ Fe2+ กบั 1,10-phenanthroline (O-phen).. 111
19.2 กราฟมาตรฐาน standard addition………………………………………………………….. 112

-6-

สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หน้า

1.1 ปรมิ าตรของนำ้ (mL) ตอ่ 1 กรมั ของนำ้ เมือ่ ชั่งในอากาศ…………………………….. 18

2.1 การทำคุณภาพวิเคราะห์ไอออนหมู่ต่างๆ โดยการตกตะกอนของโลหะกับรีเอ

เจนท์เฉพาะ......................................................................................................... 24

9.1 สรุปปรมิ าตรกรดและองค์ประกอบของอลั คาลนิ ิต.ี ............................................. 64

-7-

แผนบรหิ ารการสอนประจำรายวิชา (ตาม มคอ.3)

รายวชิ า เคมีวเิ คราะห์ทวั่ ไป รหัสวิชา 03-02-280

General Analytical Chemistry

จำนวนหน่วยกิต – ชวั่ โมง 3 (2-3-5)

เวลาเรียน 15 สปั ดาห์/ภาคเรียน

บรรยาย 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ (30 ชวั่ โมง/ภาคเรียน)

ฝึกปฏิบัตกิ ารทดลอง 3 ช่วั โมง/สัปดาห์ (45 ชวั่ โมง/ภาคเรยี น)

ศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง 5 ชัว่ โมง/สปั ดาห์ (75 ช่วั โมง/ภาคเรยี น)

คำอธบิ ายรายวชิ า

หลักทั่วไปของเคมีวิเคราะห์ หน่วยทางเคมี สมดุลไอออนิกในสารละลายน้ำ เคมีไฟฟ้า การ
ไทเทรตกรด – เบส การไทเทรตสารประกอบเชิงซ้อน การไทเทรตแบบตกตะกอน การไทเทรตแบบ
ปฏิกิริยารีดอกซ์ และการวเิ คราะหไ์ อออน พรอ้ มทั้งการทดลองในห้องปฏิบัติการ

จดุ ม่งุ หมายรายวชิ า

1. รแู้ ละเข้าใจหลักทวั่ ไปของเคมวี เิ คราะห์ หนว่ ยทางเคมี
2. รู้และเข้าใจสมดุลไอออนในสารละลายน้ำ ผลคูณการละลาย และผลของไอออนร่วมบาง

ชนดิ
3. รู้และเข้าใจทฤษฎีออกซเิ ดชนั -รีดกั ชัน เคมีไฟฟ้า
4. รู้และเข้าใจหลักการ วิธกี ารไทเทรต และการวิเคราะห์ไอออน
5. มที กั ษะและจิตพิสยั ในการปฏบิ ัตงิ านดา้ นการทดลองอยา่ งเป็นระบบ
6. สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นวชิ าชีพได้

-8-

เนื้อหา (ภาคปฏบิ ตั กิ าร) เวลาท่ใี ช้สอน
3 ชั่วโมง
เน้อื หาตามแผนการสอนประจำสัปดาห์ 3 ชว่ั โมง
แผนการสอนประจำสัปดาห์ที่ 1 3 ช่ัวโมง
บทนำ สาธิตการใช้อุปกรณ์ ฝึกใชอ้ ปุ กรณ์ แบ่งกลมุ่ ปฏบิ ัตกิ ารและข้อตกลงต่างๆ 3 ชั่วโมง
แผนการสอนประจำสปั ดาห์ท่ี 2 3 ชั่วโมง
บทปฏบิ ตั ิการท่ี 1 การตรวจสอบความถกู ตอ้ งของเครือ่ งแกว้ วัดปริมาตร
แผนการสอนประจำสัปดาหท์ ี่ 3 3 ชั่วโมง
บทปฏบิ ตั ิการที่ 2 การวเิ คราะห์ไอออนเชงิ คณุ ภาพ
แผนการสอนประจำสปั ดาหท์ ี่ 4 3 ชั่วโมง
บทปฏบิ ตั ิการที่ 2 การวิเคราะห์ไอออนเชงิ คณุ ภาพ (ต่อ)
แผนการสอนประจำสัปดาห์ที่ 5 3 ช่ัวโมง
บทปฏิบัติการท่ี 3 การหาปริมาณซัลเฟตโดยการตกตะกอนในรูปของแบเรียม 3 ชว่ั โมง
3 ชั่วโมง
ซลั เฟต
แผนการสอนประจำสปั ดาหท์ ี่ 6 3 ชั่วโมง
บทปฏิบตั ิการที่ 4 การเตรยี มและเทยี บมาตรฐานสารละลายมาตรฐานเบส
บทปฏบิ ตั ิการท่ี 5 การหาปรมิ าณกรดแอซีตกิ ในนำ้ ส้มสายชู
แผนการสอนประจำสปั ดาห์ท่ี 7
บทปฏิบตั ิการที่ 6 การเตรียมและเทยี บมาตรฐานสารละลายมาตรฐานกรด
บทปฏิบตั ิการที่ 7 การหาความแรงของยาลดกรด (antacid) ในกระเพาะอาหาร
แผนการสอนประจำสปั ดาห์ท่ี 8
บทปฏิบตั ิการที่ 8 การหาคา่ Ka และความเขม้ ขน้ ของกรดออ่ น
แผนการสอนประจำสปั ดาห์ที่ 9
บทปฏบิ ัติการที่ 9 การหาอัลคาลินติ ี (alkalinity) ของน้ำ
แผนการสอนประจำสัปดาห์ท่ี 10
บทปฏิบัติการที่ 10 การเตรียมและการเทียบมาตรฐานสารละลายมาตรฐาน

ซิลเวอร์ไนเตรตโดยวธิ ีของโมฮร์
บทปฏิบัติการที่ 11 การหาปริมาณคลอไรด์ในเครื่องดื่มเกลือแร่โดยวิธีของ

โวลฮาร์ด
แผนการสอนประจำสปั ดาห์ท่ี 11
บทปฏิบัติการที่ 12 การเตรียมและการเทียบมาตรฐานสารละลายมาตรฐาน

EDTA

-9-

เนื้อหาตามแผนการสอนประจำสัปดาห์ เวลาท่ีใชส้ อน
บทปฏิบัติการที่ 13 การหาความกระด้างของน้ำโดยการไทเทรตแบบ
3 ชั่วโมง
สารประกอบเชิงซ้อนกบั EDTA
บทปฏบิ ตั ิการท่ี 14 การหาปริมาณแคลเซยี มในน้ำนม 3 ชว่ั โมง
แผนการสอนประจำสัปดาห์ที่ 12 3 ชวั่ โมง
บทปฏิบัติการที่ 15 การเตรียมและเทียบมาตรฐานสารละลายโซเดียมไธโอ 3 ชว่ั โมง

ซลั เฟต (Na2S2O3)
บทปฏิบัตกิ ารที่ 16 การหาปริมาณโซเดยี มไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) ในสารฟอกสี
แผนการสอนประจำสัปดาห์ที่ 13
บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 17 การหาปริมาณแก๊สออกซเิ จนละลายนำ้
แผนการสอนประจำสัปดาห์ท่ี 14
บทปฏบิ ตั ิการท่ี 18 กฎของเบยี ร์-แลมเบริ ์ต
บทปฏบิ ัติการที่ 19 การหาปริมาณเหลก็ ในน้ำด้วยวิธีสเปกโทรเมตรี
แผนการสอนประจำสัปดาหท์ ี่ 15
บทปฏิบตั กิ ารที่ 20 การวเิ คราะห์ปริมาณสารประกอบฟนี อลคิ รวมในนำ้ ชา

วธิ กี ารสอนและกิจกรรม (ตาม มคอ.3)

1. ผู้สอนบรรยายเนื้อหาในบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับหลักทั่วไปของเคมีวิเคราะห์ หน่วยทาง
เคมี สมดุลไอออนิกในสารละลายน้ำ เคมีไฟฟ้า การไทเทรตกรด – เบส การไทเทรตสารประกอบ
เชิงซ้อน การไทเทรตแบบตกตะกอน การไทเทรตแบบปฏิกิริยารีดอกซ์ และการวิเคราะห์ไอออน
เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหา มีทักษะ และนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนขั้นสูงข้ึน
หรอื ใช้ในวชิ าชพี ของตนเองได้

2. มีการสอดแทรกและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่นักศึกษาพึงมีในระหว่างเรียนและฝึก
ปฏิบัติให้เกิดความเคยชิน เช่น ความซื่อสัตย์ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ และการมีจิตสาธารณะ
เปน็ ตน้

3. เมื่อขึ้นบทเรียนใหม่มีการทดสอบก่อนเรียน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักศึกษาอ่าน
บทเรยี นมาก่อน และทำใหเ้ ขา้ ใจบทเรียนไดด้ ีขนึ้ เมื่อเรียนบทเรยี นตอ่ เนอื่ งจากสัปดาห์กอ่ นจะมีการ
ทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนไปก่อนหน้า ตั้งหัวข้อซักถามเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักศึกษาฝึกการใช้
ความคิดและสามารถแสดงแนวคดิ ออกมาได้อย่างสร้างสรรค์

4. ตงั้ หวั ขอ้ อภปิ รายทเ่ี ก่ียวข้องเพื่อใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และความคดิ เห็นระหว่าง
กัน ฝึกให้นักศึกษารู้จักแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และ
หลงั จากการอภิปราย ผสู้ อนจะทำการสรุปบทเรียนอกี ครงั้

-10-

5. มอบหมายให้นักศึกษาไปค้นคว้าข้อมูลเพื่อทำรายงานหรืออภิปรายในหัวข้อ ข่าวหรือ
เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน สอดแทรก ตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดแนวคิด
และฝึกฝนการค้นคว้าเพิ่มเติมในแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ จากนั้นนำเสนอเป็นรูปเล่มรายงาน
หรอื นำเสนอหนา้ ชั้นเรยี นด้วยโปรแกรมการนำเสนอทเ่ี หมาะสม

6. ทำปฏิบัติการทดลอง โดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2 – 3 คน เพื่อฝึกทักษะการทำ
ปฏิบัติการ เรียนรู้การใช้อุปกรณ์พื้นฐานในห้องปฏิบัติการ การบันทึกผล คำนวณผล การวิเคราะห์
วิจารณ์ และสรุปผลการทดลองอย่างมีเหตุผล เขียนรายงานผลการทดลองโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
ฝึกการวางแผนการทดลองโดยใช้หลักการที่ได้เรียนมาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้ มีการ
ทำวิดีโอคลิป (video clips) ในระหวา่ งทดลอง เพื่อนำเสนอเม่ือส้ินสดุ ภาคการศึกษา ด้วยโปรแกรม
การนำเสนอที่เหมาะสมและปลูกฝังการทำงานร่วมกับผู้อื่น

7. การศึกษาด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่านโปรแกรม Google classroom โดยนักเรียน
สามารถเข้าร่วมชั้นเรียนได้จากรหัสชั้นเรียน 6epnxno > ชั้นเรียนเคมีวิเคราะห์ทั่วไป 0302280
ภายในห้องเรียนจะมีเอกสารคำสอนภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติการ แบบฝึกหัดทบทวน วิดีโอคลิปการ
ทดลอง และเทคนิคการทดลองต่างๆ เพื่อให้นกั ศึกษาสามารถศึกษาด้วยตนเองก่อนมาเรยี น และใช้
ทบทวนหลงั จากได้เรยี นไปแล้ว

8. การทำแบบฝึกหดั ท้ายบทเรยี น และแบบฝกึ หัดเพมิ่ เติมระหวา่ งเรยี น
9. การคน้ คว้าขอ้ มลู เพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลอืน่ นอกห้องเรียน

ส่อื การเรียนการสอน (ตาม มคอ.3)

1. เอกสารประกอบ : เอกสารคำสอนรายวชิ าเคมีวิเคราะหท์ ั่วไป
2. วัสดุโสตทัศน์ : คอมพวิ เตอร์ โปรเจคเตอร์ power point
3. อุปกรณ์และสารเคมีท่เี กยี่ วขอ้ งกับปฏบิ ตั กิ ารทดลอง
4. บทเรียนออนไลน์ผ่านโปรแกรม Google classroom โดยนักเรียนสามารถเข้าร่วมชั้น

เรียนได้จากรหัสชั้นเรียน 6epnxno > ชั้นเรียนเคมีวิเคราะห์ทั่วไป 0302280 ดัง
ปรากฏหนา้ จอห้องเรยี น ดงั ต่อไปน้ี

-11-

-12-

งานท่มี อบหมาย

1. แบบฝึกหัดท้ายหน่วยเรียนและแบบฝกึ หัดเพิ่มเตมิ ระหวา่ งเรียน
2. การอภิปรายเดี่ยวหรอื กลมุ่
3. การค้นควา้ ข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งขอ้ มลู อ่ืนนอกห้องเรยี น
4. รายงานการคน้ คว้าอิสระและการนำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น
5. รายงานผลการทดลอง
6. วิดโี อคลิปการทดลอง

การวัดและประเมนิ ผล (ตาม มคอ.3)

1. การวดั ผล

1.1 คุณธรรมและจรยิ ธรรม รอ้ ยละ 10
รอ้ ยละ 50
1.2 ความรู้
รอ้ ยละ 10
- สอบกลางภาค ร้อยละ 20 ร้อยละ 10
รอ้ ยละ 10
- สอบสอบยอ่ ย ร้อยละ 10
ร้อยละ 10
- สอบปลายภาค ร้อยละ 20

1.3 ทกั ษะทางปัญญา

- รายงานผลการทดลอง ร้อยละ 10

1.4 ทักษะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและความรับผดิ ชอบ

1.5 ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การสอื่ สาร และการใช้

เทคโนโลยสี ารสนเทศ

- รายงาน ร้อยละ 5

- ชิน้ งาน (วิดโิ อคลิป) รอ้ ยละ 5

1.6 ทกั ษะการปฏิบัติ

- สอบปฏิบตั ิ ร้อยละ 10

2. การประเมนิ ผล
2.1 เกณฑผ์ ่านรายวชิ า
2.1.1 นักศึกษาตอ้ งมเี วลาเรียนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทงั้ หมด
2.1.2 นกั ศกึ ษาตอ้ งมีคะแนนรวมไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนทั้งหมด

-13-

2.2 เกณฑค์ ่าระดับคะแนน

ใชแ้ บบแบบอิงเกณฑ์ คา่ ระดับคะแนนตามตารางต่อไปนี้

คา่ รอ้ ยละของคะแนน ระดับคะแนน

> 80 A

75 - 79 B+

70 - 74 B

65 - 69 C+

60 - 64 C

55 - 59 D+

50 - 54 D

< 50 F

สำหรับแผนการประเมินผลการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ที่ต้องพัฒนา กลยุทธ์การสอน

วิธีการประเมินผล และสัดส่วนการประเมินผลในแต่ละผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ

ระดบั อดุ มศกึ ษาแห่งชาติ (TQF) เป็นดงั น้ี

แผนการประเมินผลการเรยี นรู้

ผลการเรยี นรู้ทีต่ อ้ งพฒั นา ผลการ กลยทุ ธ์การสอน/วิธปี ระเมนิ ผล สัดส่วนการ
เรียนรู้ ประเมนิ ผล

1. คุณธรรมและจริยธรรม

1.1 มีวินัย ซื่อสัตย์ต่อตนเองและ ⚫ สอดแทรกคณุ ธรรมจริยธรรมที่นักศึกษา 10%
50%
สังคม พึงมี สอนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติเพื่อ

ปลูกฝังให้เป็นกิจนิสัย โดยประเมินผล

1.2 มีจิตสาธารณะ เสียสละ และ ⚫ จากการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน

ชว่ ยเหลอื ผู้อนื่ เมื่อมโี อกาส เช่น การเข้าชั้นเรียน ความซื่อสัตย์ การ

มีวินัย ความรับผิดชอบ การมีจิต

สาธารณะ รวมทง้ั จากงานท่ีมอบหมาย

2. ความรู้

2.1 มีความรู้ในศาสตร์และเนื้อหา ⚫ บรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการ

สาระที่เกี่ยวข้อง: หลักทั่วไปของ นำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ปัจจุบันท่ี

-14-

ผลการเรยี นรู้ท่ีต้องพัฒนา ผลการ กลยุทธก์ ารสอน/วิธปี ระเมนิ ผล สดั สว่ นการ

เรียนรู้ ประเมินผล

เคมีวิเคราะห์ หน่วยทางเคมี เก่ยี วข้องกับเน้ือหาสอดแทรก ตง้ั คำถาม (สอบกลาง

สมดุลไอออนิกในสารละลายน้ำ เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดแนวคิด โดย ภาค 20%

เคมีไฟฟ้า การไทเทรตกรด-เบส ประเมินผลจากการสอบกลางภาค สอบ สอบปลาย

การไทเทรตสารประกอบเชิงซ้อน ปลายภาค และการสอบยอ่ ย รวมทัง้ การ ภาค 20%

การไทเทรตแบบตกตะกอน การ ตอบคำถามของนักศึกษาในระหว่าง สอบย่อย

ไทเทรตแบบปฏิกริ ิยารดี อกซ์ และ เรียน 10%)

การวเิ คราะหไ์ อออน พร้อมทง้ั การ

ทดลองในห้องปฏบิ ัตกิ าร

2.2 รเู้ ท่าทันการเปล่ยี นแปลงของ ⚫

สังคมและของโลก

3. ทกั ษะทางปัญญา

3.1 สามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่าง ⚫ ฝึกเขียนรายงานผลการทดลอง การ 10%

เป็นระบบ อภิปรายในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ฝึกการคิด (รายงานผล

3.2 สามารถนำหลักการทาง ⚫ เชื่อมโยงความรู้ ทักษะโดยประเมินผล การทดลอง

วิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ไข จ า ก ร า ย ง า น ผ ล ก า ร ท ด ล อ ง ก า ร 10%)

ปัญหาได้อย่างถูกต้องและ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าและการอภิปราย

เหมาะสม กล่มุ

4. ทักษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลและความรบั ผดิ ชอบ

4.1 มีความสามารถในการทำงาน ⚫ การทำปฏิบัติการทดลองเป็นกลุ่ม 10%

ร่วมกับผู้อื่นได้ ทั้งในฐานะผู้นำ มอบหมายงานกลุ่ม โดยประเมินผลจาก

หรือสมาชกิ ของกลุม่ การสังเกตการมีส่วนร่วมในการทำงาน

4.2 มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ⚫ กลุ่ม การมีจิตสาธารณะ และความ

และผู้อ่ืน รบั ผิดชอบ

5. ทักษะการวเิ คราะห์เชงิ ตัวเลข การส่ือสาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ

5.1 สามารถใช้ภาษาในการส่ือสาร ⚫ การค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องใน 10%

ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม ฐานข้อมลู ทางอินเตอร์เนต การนำเสนอ (รายงาน

5.2 ส า ม า ร ถ ใ ช ้ เ ท ค โ น โ ล ยี ⚫ ผลงานในรูปแบบวิดีโอคลิป/พาวเวอร์ 5%

สารสนเทศในการสืบค้น นำเสนอ พอยท์ โดยประเมินผลจากรายงานและ ชิ้นงาน 5%)

และสือ่ สารไดอ้ ย่างเหมาะสม ช้นิ งาน

6. ทักษะการปฏบิ ตั ิ

-15-

ผลการเรยี นร้ทู ตี่ ้องพฒั นา ผลการ กลยทุ ธก์ ารสอน/วิธีประเมนิ ผล สัดส่วนการ

เรยี นรู้ ประเมินผล

6.1 มีทักษะในการใช้อุปกรณ์และ ⚫ ฝึกปฏิบัติการทดลอง การวางแผนการ 10%

เครื่องมือที่เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาท่ี ทดลอง โดยประเมินผลจากการสอบ (สอบปฏบิ ัติ

ศึกษาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ภาคปฏิบัติ และการสังเกตระหว่างการ 10%)

ทดลอง

เอกสารและหนงั สอื ประกอบการสอน

(1) กุลยา จงศิริรักษ์ และอำนวย อรุณรุ่งอารีย์. (2541). ปฏิบัติการเคมี 2. พิมพ์ครั้งที่ 6.

กรงุ เทพฯ:สำนกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยรามคำแหง.

(2) พรพรรณ อุดมกาญจนนันท์ และสุชาดา จูอนุวัฒนกุล. (2560). เคมีปริมาณวิเคราะห์

เทคนิคและการทดลอง. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์

มหาวทิ ยาลัย. 309 หน้า.

(3) รวินิภา ศรีมูล พิริยาภรณ์ อันอาตม์งาม และปฐมาภรณ์ ทิลารักษ์. (2562). รายงานวิจัย

ฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ประสิทธิภาพการยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส แอลฟาอะ

ไมเลส และไลเปสของสารสกัดจากใบชารางแดง (Ventilago denticulata

Willd.) มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวนั ออกวทิ ยาเขตจันทบรุ ี. 56 หนา้ .

ศิริจรรยา เขาประเสริฐ ศจี สุวรรณศรี อมรรัตน์ พรหมบุญ และปุณฑริกา รัตนตรัยวงศ์.

(4) (2549). การต้านอนุมูลอิสระและการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียจากสารสกัดในใบหม่อน.

วารสารเกษตรนเรศวร. 10(1): 21-28.

ศุภชัย ใช้เทียมวงศ์. (2543). ปฏิบัติการเคมีปริมาณวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:

(5) สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . 260 หนา้ .

สุรางค์ อนุกูล. (2542). ปฏิบัติการเคมีคุณภาพวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ:

(6) สำนักพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . 279 หนา้ .

Andarwulan, N., Batari, R., Agustini, D., Bolling, B. and Wijaya, H. (2010).

(7) Flavonoid content and antioxidant activity of vegetables from Indonesia.

Food Chemistry. 121: 1231-1235.

Skoog, D.A., West, D.M. and Holler, F.J. (1990). Analytical Chemistry: An

(8) Introduction. 5th edition. Florida: Saunders College Publishing. 642 pp.

Wong, S.P., Leong, L.P. and Koh, J.H.W. (2006). Antioxidant activities of aqueous
(9) extracts of selected plants. Food Chemistry. 99: 775-783.

https://i0.wp.com/myerstest.com/wp-content/uploads/2018/08/gooch-

(10) crucible. jpg?fit=225%2C225&ssl=1 [1 April 2019]

-16-

http://www.dshellsci.com/chemistry/crucibles/crucible-50ml-glazed-
(11) porcelain-high-wall.html [1 April 2019]

http://www.hcs-lab.com/product/isolab-crucible-gooch-glass-with-sintered-
(12) glass-disc/ [1 April 2019]

-17-

บทนำ อุปกรณแ์ ละเทคนคิ พื้นฐานในปฏบิ ัตกิ ารเคมวี ิเคราะห์

วัตถุประสงคก์ ารทดลอง
1. รู้จกั อุปกรณแ์ ละเทคนิคพื้นฐานในปฏบิ ัติการเคมีวิเคราะห์
2. รแู้ ละปฏิบตั ิตามขอ้ ควรทราบเกี่ยวกับปฏิบตั ิการเคมวี ิเคราะหไ์ ด้อยา่ งถกู ต้อง
3. มีทักษะและจิตพิสยั ทด่ี ใี นการทำปฏิบตั กิ ารเคมวี ิเคราะห์

จำนวนชวั่ โมงที่สอน 1.5 ชวั่ โมง
วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม

10. บรรยาย สาธิต และฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับอุปกรณ์และเทคนิคพื้นฐานในปฏิบัติการเคมี
วิเคราะห์ รวมท้ังข้อควรทราบเก่ยี วกบั การทำปฏิบัตกิ าร

11. บรรยายวิธีการเขียนรายงานผลการทดลอง การทำวิดีโอคลิป (video clips) การ
ทดลอง แบง่ กลุ่มทำปฏบิ ตั กิ ารเพ่ือปลูกฝงั การทำงานรว่ มกับผู้อนื่

งานท่ีมอบหมาย
1. แบบฝึกหดั ทบทวนเก่ยี วกับอุปกรณเ์ ครื่องแก้วพนื้ ฐานในห้องปฏิบัติการ

ทฤษฎี
1. อุปกรณ์และเทคนคิ พืน้ ฐานในปฏบิ ตั กิ ารเคมีวิเคราะห์

วิธีการใช้เครื่องมือชนิดต่างๆ (ภาพท่ี 1.1) ในการทำปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์ เช่น การใช้
เครื่องแก้วต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบีกเกอร์ กรวยกรอง กระบอกตวง ปิเปตต์ เครื่องชั่ง ตะเกียง
แอลกอฮอล์หรือเตาไฟฟ้า เป็นต้น รวมทั้งเทคนิคการใช้อุปกรณ์ต่างๆเป็นส่วนที่สำคัญมาก การ
ปฏิบัติทีไ่ ม่ถกู ตอ้ งตามเทคนิคจะก่อใหเ้ กดิ ความผิดพลาดเกีย่ วกบั ผลการทดลอง และอาจมีอันตราย
เกิดขึ้นได้

1.1 เครอื่ งแกว้
1) เครือ่ งแก้วทไ่ี ม่ใชว้ ดั ปรมิ าตร

-18-

- บีกเกอร์ (beaker) มีหลายขนาด ที่ใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปมีขนาดตั้งแต่ 50 mL ถึง 2 L
แม้ข้างบีกเกอร์จะมีขีดบอกปริมาตรแต่ไม่ใช้วัดปริมาตรของสาร เนื่องจากขีดแบ่งปริมาตรเป็นแบบ
โดยประมาณ ส่วนใหญ่มักใช้บีกเกอร์สำหรับทำการทดลองปฏิกิริยาต่างๆ บรรจุสารตัวอย่างและ
ผสมสารละลาย

- ขวดรูปชมพู่ (erlenmeyer flask) มีหลายขนาดเช่นเดียวกับบีกเกอร์ ที่ข้างขวด
รูปชมพู่จะมขี ีดบอกปริมาตรโดยประมาณ มลี ักษณะการใชเ้ ชน่ เดยี วกบั บีกเกอร์

ขวดรูปชมพู่ บกี เกอร์ ขวดวดั ปริมาตร
erlenmeyer flask beaker volumetric flask

กระบอกตวง กรวยกรองแก้ว ขวดกน้ กลม
graduated cylinder glass funnel round bottom flask

หลอดทดลอง กระจกนาฬิกา ขวดช่งั สาร
test tube watch glass weight bottle

-19-

ช้อนตักสาร ชามระเหยพอซเลน ถว้ ยครซู ิเบิลพอซเลน
spatula porcelain evaporating porcelain crucible

dish

ภาพท่ี 1.1 อปุ กรณ์พ้ืนฐานในหอ้ งปฏบิ ัติการ

ขวดซคั ชนั หลอดหยด
suction flask dropper

กรวยบุชเนอร์
buchner funnel

กรวยแยก ปิเปตต์
separatory funnel pipette

บวิ เรตต์
burette

-20-

ขวดบีโอดี แท่งแก้วคน โกรง่ บด
BOD bottle stirring rod mortar & pestle

ภาพท่ี 1.1 อปุ กรณ์พื้นฐานในห้องปฏบิ ัตกิ าร (ต่อ)

ขวดนำ้ กลั่น เทอรโ์ มมเิ ตอร์ ตะเกยี งแกส๊ บนุ เซน
distilled water bottle thermometer bunsen gas burner

ตะเกยี งแอลกอฮอล์ ท่ีวางหลอดทดลอง ลูกยางปิเปตตแ์ ละทปิ
alcohol burner test tube rack pipette bulb & tip

คีมคบี คมี จบั ขวดรปู ชมพู่ ทจ่ี บั หลอดทดลอง
forceps flask tong test tube clamp

-21-

ไม้หนีบหลอดทดลอง ทีก่ ้นั ลมและตะแกรงลวด แปรงลา้ งหลอดทดลอง
test tube holder wind shield & guaze test tube brush

ภาพท่ี 1.1 อปุ กรณพ์ ้ืนฐานในหอ้ งปฏบิ ัติการ (ต่อ)

- หลอดทดลอง (test tube) ใช้สำหรับทำการทดลองปฏิกิริยาต่าง ๆ และบรรจุสาร
ตัวอยา่ ง การให้ความร้อนในหลอดทดลองควรตม้ ในบีกเกอร์น้ำเดือด

- กรวยกรอง (funnel) ใช้สำหรับถ่ายสารละลายลงในภาชนะที่มีปากแคบ และเป็นที่
รองรับกระดาษกรองในการกรอง

- หลอดหยด (dropper) ใช้ถ่ายของเหลวในปริมาตรน้อย ๆ จากภาชนะหนึ่งไปสู่อีก
ภาชนะหน่ึง วิธีการใช้คอื บีบจุกหลอดหยดแล้วจุม่ ปลายหลอดหยดลงในสารละลาย คลายนิ้วท่ี
บีบออกของเหลวจะถกู ดดู เขา้ ไปภายในหลอดแก้ว (เม่ือดูดแลว้ ห้ามหงายหลอดหยดขึ้น เพราะจะ
ทำใหข้ องเหลวไหลลงไปที่จุกยาง ซง่ึ อาจทำปฏิกิรยิ ากบั จุกยาง หรือทำใหส้ ารละลายปนเป้ือนได้)
ค่อยๆ บีบจุกยางเพื่อให้ของเหลวหยดทีละหยดอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ปลายหลอดหยดแตะ
ภาชนะ และอย่าให้สงู กว่าปากภาชนะมากเกนิ ไป เมื่อใช้แล้วถอดจุกยางออกวางไว้ให้แหง้ ก่อนใช้
ครัง้ ตอ่ ไป

2) เทคนิคการใช้เคร่ืองแก้วสำหรับใช้วัดปรมิ าตร
เมื่อสารละลายอยู่ในเครื่องวัดปริมาตรตา่ งๆ ที่ผิวของภาชนะกับสารละลายจะเกิดแรงตงึ
ผิวขึ้น ทำให้ผิวหน้าของสารละลายโค้งเว้าลง จุดโค้งเว้าต่ำสุดนี้เรียกว่า เมนิสคัส (meniscus) ซ่ึง
การอ่านค่าปริมาตรต้องอ่านทีร่ ะดับ meniscus นี้ เพราะเป็นจุดที่เกิดความคลาดเคลื่อนนอ้ ยท่สี ุด
ดังภาพที่ 1.2 ส่วนในกรณีของบิวเรตต์นั้นในขณะอ่านควรมีกระดาษระบายสีดำทาบอยู่ด้านหลัง
เพ่อื สะดวกในการอ่านค่าปริมาตร โดยใหจ้ ดุ meniscus วางอยเู่ หนอื แถบดำ

-22-

(ก)

เมนสิ คัส (ข)
(meniscus)

(ค)

ภาพท่ี 1.2 ลักษณะการอ่านปรมิ าตรทถี่ กู ต้อง (ระดับสายตาอย่ตู รงสว่ นโคง้ เวา้ ต่ำสดุ )
(ก) ปริมาตรที่อ่านได้จะมากกว่าปรมิ าตรจรงิ เน่อื งจากระดบั สายตาอยู่สงู กวา่ สว่ นโค้งเว้าตำ่ สุด
(ข) ปริมาตรทอี่ า่ นได้จะเทา่ กับปรมิ าตรจริงเน่ืองจากระดบั สายตาอยรู่ ะดบั เดียวกบั ส่วนโค้งเว้าตำ่ สุด
(ค) ปรมิ าตรท่อี ่านได้น้อยกว่าปรมิ าตรจริงเนื่องจากระดับสายตาอยู่ต่ำกว่าส่วนโค้งเวา้ ตำ่ สุด

- กระบอกตวง (cylinder) เป็นภาชนะทรงกระบอกและมีรอยขีดแบ่งไว้สมำ่ เสมอ มีขนาด
ต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ 5 mL จนถงึ ขนาด 2,000-3,000 mL ใชว้ ดั ปรมิ าตรของสารละลายที่ไม่ต้องการ
ความแม่นยำนัก แต่กระบอกตวงขนาดเล็กจะวัดปริมาตรได้ละเอียดกว่าขนาดใหญ่ สำหรับใน
ห้องปฏบิ ัติการใชใ้ นการตวงสารละลายถ่ายใส่ในอีกภาชนะหนง่ึ

- ขวดวัดปริมาตร (volumetric flask) มีลักษณะคล้ายขวดรูปชมพู่คอยาวและก้นเรียบ
ใช้ในการเตรยี มสารละลายใหม้ ีความเข้มข้นและปรมิ าตรตามตอ้ งการซ่งึ ใหค้ วามแมน่ ยำสูง

- ปิเปตต์ (pipette) ปิเปตต์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตวงสารละลายโดยได้ปริมาตรที่ค่อนข้าง
แน่นอน โดยทั่วไปปิเปตต์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการจะมีอยู่ 2 แบบ ดังภาพที่ 1.3 ได้แก่ volumetric
pipette (1.3ก) เป็นปิเปตต์ที่มีปริมาตรเพียงค่าเดียวที่มีความแน่นอน ดังนั้น การใช้งานจึงเหมาะ
กบั การตวงสารที่มีปริมาตรตามที่กำหนดไว้เท่าน้ัน และ measuring pipette (1.3ข) เปน็ ปิเปตต์ที่มี
การแบ่งสเกลบอกปริมาตรต่างๆไว้ ดังนั้น การใช้งานจึงใช้ได้กว้างกว่า volumetric pipette แต่มี
ความแม่นยำน้อยกว่า volumetric pipette การใช้งานใช้มือด้านที่ถนัดจับปิเปตต์และใช้อีกมือ
หนึ่งบีบลูกยาง จากนั้นอุดลูกยางที่ปลายปิเปตต์ คลายมือที่บีบลูกยางออก สารละลายจะค่อยๆถูก
ดดู ข้นึ มา ปล่อยให้ระดบั สารละลายเลยขดี ทตี่ ้องการ เอาน้วิ ช้อี ุดทปี่ ลายปิเปตต์ ค่อยๆควบคุมระดับ
สารละลายให้ได้ปริมาตรตามที่ต้องการ แล้วจึงใช้นิ้วชี้อุดที่ปลายไว้ ปล่อยสารละลายให้ไหลสู่
ภาชนะรองรับ โดยแตะปลายปิเปตต์ไว้ท่ีผนงั ภาชนะ ดังภาพที่ 1.4

-23-

(ก) volumetric pipette (ข) measuring pipette
ภาพท่ี 1.3 ปิเปตตแ์ บบต่างๆ

ภาพที่ 1.4 เทคนิคการใชป้ เิ ปตต์
(ท่มี า: พรพรรณ และสชุ าดา, 2560: 51)
- บิวเรตต์ (burette) เป็นหลอดแก้วกลวงทรงกระบอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากันตลอด มี
ขีดแบ่งเป็นมิลลิลิตร และส่วนของปลายด้านล่างมีก็อก (stop cock) สำหรับปิดหรือเปิดให้
สารละลายไหลลงไป บิวเรตต์ใช้วัดปริมาตรสารละลายเพื่อถ่ายเทสาร ส่วนใหญ่ใช้ในการไทเทรต
การอา่ นคา่ ปรมิ าตรที่ถูกปล่อยออกมาจะถูกต้องเม่ือปลายของบวิ เรตต์ไม่มีฟองอากาศ และไม่มีหยด
ของสารละลายเกาะติดอยู่ ซึ่งทำได้โดยการแตะปลายบิวเรตต์กับผิวด้านในของภาชนะที่ใช้รองรับ
(ภาพท่ี 1.5)

-24-

ภาพท่ี 1.5 บิวเรตตแ์ ละเทคนคิ การใชบ้ ิวเรตต์
(ท่ีมา: พรพรรณ และสชุ าดา, 2560: 55)

1.2 เครือ่ งชั่ง
เครื่องชั่งที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์มีหลายแบบซึ่งให้ความแม่นยำในการช่ัง
แตกต่างกนั (ภาพที่ 1.6) การเลือกใช้เคร่ืองชัง่ ชนิดใดจึงข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้เป็นสำคัญ
ถ้าต้องการชั่งสารทีละมากๆ และไม่ต้องการความละเอียดมากนักก็ใช้เครื่องชั่งแบบจานหรือเครื่อง
ชง่ั แบบหยาบ (double beam และ triple beam) ถา้ ตอ้ งการชั่งสารทลี ะน้อยๆ ให้มีความละเอียด
และความแม่นยำสูง ควรเลือกใช้เครื่องชั่งแบบวิเคราะห์หรือเคร่ืองช่ังละเอียด (analytical
balance) ชนดิ เครอื่ งชั่งไฟฟา้ (electrical balance)

1) การใชเ้ ครื่องช่งั แบบหยาบชนิด double beam และ triple beam
- วางเครื่องชั่งบนพน้ื ราบและเรยี บ ไมส่ นั่ สะเทือนและไม่มลี มพัด
- กอ่ นชงั่ ทุกคร้ังสงั เกตจานสำหรบั วางสารที่ต้องการช่ังวา่ สะอาดหรือไม่ ถา้ มีฝุ่นหรือผงสาร
ตดิ อยู่ ให้ใช้แปรงขนอ่อนๆปดั ฝนุ่ ออกใหห้ มด และกอ่ นใช้เครือ่ งชง่ั สเกลจะต้องชี้ตำแหนง่ ศนู ยเ์ สมอ
- เมื่อจะชั่ง ผู้ใช้ต้องนั่งอยู่หน้าเครื่องชั่งในตำแหน่งกึ่งกลางของเคร่ืองชั่ง วางสารที่จะช่ัง
บนกลางจานทางด้านซ้ายมือของผู้ใช้ วัตถุที่จะชั่งต้องไม่ร้อนหรือเปียกชื้น ถ้าเป็นสารเคมีต้องไม่
นำมาวางบนจานโดยตรง แต่ควรใส่ในภาชนะที่ทราบมวลแน่นอนแล้วจึงวางบนจานชั่ง การชั่งสาร
จะต้องปรับให้เครื่องชั่งอยู่ในสมดุลโดยการเลื่อนตุ้มน้ำหนั กบนคานจนเข็มชี้ที่ขีดศูนย์จึงอ่านค่า
น้ำหนกั ได้
- เม่ือชัง่ สารเรียบรอ้ ยแลว้ ต้องเลื่อนตุ้มนำ้ หนกั ไปไว้ทขี่ ดี ตำแหน่ง 0 กรัม ตามเดิม ยกของท่ี
ชง่ั ออกจากจานให้หมด แลว้ ทำความสะอาดเครอ่ื งชง่ั
2) การใชเ้ คร่ืองชง่ั ละเอยี ดชนิด electrical balance
- วางเครอื่ งชัง่ บนพนื้ ราบและเรียบ ไม่ส่ันสะเทือนและไม่มลี มพัด ตรวจสอบการต้ังตรงของ
เครอื่ งชง่ั โดยสงั เกตจากระดบั ลูกน้ำที่ติดอยู่ท่เี ครื่องชัง่ ต้องอยู่ตรงกลาง หากไม่อยู่ตรงกลางแสดงว่า
เคร่อื งชง่ั ไม่อยู่ในสภาพตัง้ ตรง ใหป้ รบั ระดับโดยหมุนที่ปุม่ ปรบั ระดับซึ่งมักจะอยู่ท่ขี าเครอ่ื งชัง่

-25-

- เปดิ เครอ่ื งชั่งก่อนใช้งานไม่นอ้ ยกว่า 30 นาที เพ่ือให้เครอ่ื งชัง่ อยใู่ นสภาพพร้อมใช้งาน
- ชัง่ นำ้ หนักสิ่งท่ตี ้องการโดยวางใหอ้ ยูต่ รงกลางจานช่งั เพ่อื ลดความผดิ พลาดในการอา่ นคา่
- เมื่อใช้งานเครื่องชั่งเสร็จแล้ว ปรับเครื่องชั่งให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เช่นการปรับ 0
และทำความสะอาดเคร่อื งชง่ั หลังการใช้งานแตล่ ะครงั้
3) เทคนิคการชัง่ สารแบบชั่งโดยตรง (direct Weighing)
- ก่อนการชั่ง กดปุ่มเปิดเครื่องชั่ง on/off รอจนเครื่องชั่งพร้อมใชง้ าน กดปุ่มปรับเป็นศูนย์
(re-zero หรอื tare)
- วางภาชนะที่ใช้รองรับสาร เช่น กระจกนาฬิกา กระดาษชั่งสาร บีกเกอร์ ลงในจานชั่ง
แลว้ กดปมุ่ เปน็ ศนู ย์อกี คร้งั ข้นั ตอนน้ี เป็นการหกั ลบนำ้ หนกั ของภาชนะออกกอ่ นชัง่ สารจรงิ
- ใช้ชอ้ นตกั สาร ตกั สารทตี่ ้องการช่ังค่อย ๆ เทใสล่ งในภาชนะบนเครื่องช่ัง จนได้น้ำหนักที่
ต้องการ แลว้ จึงยกภาชนะท่บี รรจุสารออกจากเคร่อื งชง่ั
เทคนคิ การชง่ั สารแบบช่งั โดยตรง อาจใชก้ ารชัง่ แบบผลรวม โดยชง่ั ภาชนะที่จะใช้ชั่งแล้วจด
น้ำหนักไว้ ต้องการสารเท่าใดให้นำไปบวกกับน้ำหนักของภาชนะ จากนั้นตักสารลงไปให้ได้น้ำหนัก
เท่าท่ีรวมไว้

4) เทคนคิ การช่ังสารแบบแบ่งออก (weighing by difference)
เทคนิคการชั่งสารแบบนี้จะใช้เวลาในการช่ังน้อยกว่าการช่ังแบบชั่งโดยตรง แต่น้ำหนกั ทีไ่ ด้
จะเป็นนำ้ หนักโดยประมาณ ใกล้เคียงกับนำ้ หนักทีต่ ้องการจรงิ
- บรรจุสารทต่ี อ้ งการชัง่ ลงในขวดชัง่ สารให้มีปรมิ าณมากกว่าที่ตอ้ งการใช้จริง ปิดฝาขวด
- ใช้กระดาษพับเป็นแผ่นเล็กๆ คาดรอบขวดชั่งสาร (ไม่ใช้มือจับขวดชั่งสารโดยตรง
เนื่องจากคราบเหงื่อที่มือจะจับเกาะบนขวดชั่งสาร เมื่อจับหลาย ๆ ครั้งน้ำหนักของขวดชั่งสารจะ
คลาดเคลื่อน) นำขวดชั่งสารไปวางบนเครื่องชั่ง และบันทึกน้ำหนักเริ่มต้นของขวดชั่งสาร (เป็น
น้ำหนกั ของขวดชัง่ สารรวมกับสารทอ่ี ยู่ในขวด)
- ค่อย ๆ เทสารออกจากขวดชั่งสารลงในภาชนะรองรับที่เตรียมไว้ทีละน้อย ๆ กะด้วย
สายตาวา่ เพียงพอท่ีต้องการช่งั แลว้ ให้นำขวดชัง่ สารไปช่งั อกี ครง้ั หน่ึง บนั ทึกนำ้ หนกั ทีเ่ หลือของขวด
ชง่ั สารหลังจากเทสารออกไปแลว้ น้ำหนักทห่ี ายไปจะเป็นนำ้ หนักของสารที่เทใส่ภาชนะ หากยังไมไ่ ด้
น้ำหนักสารท่ีต้องการชงั่ สามารถนำขวดช่ังสารออกมาเทสารใสภ่ าชนะจนได้น้ำหนักตามท่ีต้องการได้
อกี (หากเทสารลงในภาชนะรองรับเกินน้ำหนกั ทีต่ ้องการ ห้ามเทสารกลับลงไปในขวดชง่ั สาร)

(ก) double beam balance

-26-

(ข) triple beam balance

(ค) electronic analytical balance

ภาพที่ 1.6 เครื่องช่งั ชนิดต่างๆ
1.3 การกรองสาร
การกรองสารเป็นวธิ ีการแยกสารท่ีเป็นของแขง็ ท่ีไม่ละลายในของเหลวออกจากกัน อุปกรณ์
ทใ่ี ช้ ไดแ้ ก่ กระดาษกรอง กรวยกรอง และทีต่ ้ังกรวย เทคนิคการกรองโดยทัว่ ไปแบ่งได้ดังนี้
1) การกรองโดยอาศัยแรงดึงดูดของโลก นิยมใช้กระดาษกรองเป็นตัวกรอง การเลือกเนื้อ
ของกระดาษกรองให้เหมาะสมกับขนาดอนุภาคที่ต้องการมีความสำคัญเป็นอย่างย่ิง กระดาษกรองที่
นำมาใช้กรองให้พับทบเป็น ¼ ของวงกลม ให้ปลายที่พับทบกันนั้นเหลื่อมกันเล็กน้อย ฉีกมุมหนึ่ง
ของกระดาษกรองออก แลว้ คล่กี ระดาษกรองใส่ในกรวยกรอง ความสูงกระดาษกรองควรต่ำกว่าปาก
กรวยกรองเล็กน้อย ฉีดน้ำกลั่นจนกระดาษกรองเปียกทั่วทำให้กระดาษกรองเปียกแนบสนิทกับ
กรวยกรองเพื่อความรวดเร็วในการกรอง (ภาพที่ 1.7)

ภาพที่ 1.7 การกรองดว้ ยแรงดงึ ดดู ของโลก

-27-

2) การกรองโดยอาศัยแรงสุญญากาศ เป็นการกรองที่รวดเร็วและสะดวก กรวยที่ใช้ในการ
กรองทำด้วยกระเบื้องเคลือบมีรูพรุน เรียกว่า กรวยบุชเนอร์ (buchner funnel) ขนาดของ
กระดาษทีใ่ ช้ตอ้ งพอดีแนบกบั กน้ ของกรวย สวมกรวยกบั ภาชนะเฉพาะเรยี กวา่ ขวดซัคชัน (suction
flask) โดยมีจุกยางรองก้น แขนของขวดซัคชันต่อกับส่วนที่ทำให้เกิดสุญญากาศ วิธีการกรองต้อง
ทำให้กระดาษเปียก แล้วทำให้เกิดแรงสุญญากาศภายในภาชนะ ความดันระหว่างภายนอกและ
ภายในต่างกนั จงึ เกิดการกรองได้รวดเรว็ (ภาพที่ 1.8)

นอกจากกรวยบุชเนอร์แล้ว ยังสามารถใช้อุปกรณ์การกรองประเภทอื่นๆ ในการกรองได้อีก
ด้วย ดังภาพท่ี 1.9 ตัวอยา่ งเชน่ ครซู ิเบิลซินเตอรก์ ลาส (crucible sintered- glass) ซง่ึ มีแผ่นแก้วรู
พรุนติดอยู่ถาวรให้เลือกใช้ตามขนาดของตะกอน ครูซิเบิลพอซเลน (crucible porcelain) ซึ่งมี
กระเบื้องไม่เคลือบที่มีรูพรุนติดอยู่ถาวรเช่นกัน และ กูซครูซิเบิล (Gooch crucible) มีรูเล็กๆ
ด้านล่างเพอื่ วางแผ่นกรองแก้ว

กรวยบุชเนอร์

ต่อกบั ปัม๊ สุญญากาศ ขวดซัคชนั

ภาพท่ี 1.8 การกรองดว้ ยแรงสญุ ญากาศโดยใช้กรวยบชุ เนอร์

(ก) (ข) (ค)

-28-

ภาพท่ี 1.9 อุปกรณ์การกรองประเภทอืน่ ๆ
(ก) ครซู ิเบลิ ซนิ เตอร์กลาส (crucible sintered- glass)
(ทม่ี า: http://www.hcs-lab.com/product/isolab-crucible-gooch-glass-with-sintered-

glass-disc/)
(ข) ครูซิเบิลพอซเลน (crucible porcelain)
(ทม่ี า : http://www.dshellsci.com/chemistry/crucibles/crucible-50ml-glazed-

porcelain-high-wall.html)
(ค) กูซครูซเิ บิล (Gooch crucible)
(ท่มี า : https://i0.wp.com/myerstest.com/wp-content/uploads/2018/08/gooch-
crucible.jpg?fit=225%2C225&ssl=1)

1.4 การถ่ายเทสารเคมี
สารเคมีที่ใช้ในห้องปฏิบัติการมีทั้งของแข็งและของเหลว การนำไปใช้ควรปฏิบัติ
ด้วยความระมัดระวังและถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีนั้นปนเปื้อนและเป็นอันตรายกับผู้ใช้
ขอ้ ควรปฏิบตั เิ สมอคอื อ่านชื่อสารบนขวดใหแ้ น่ใจก่อนนำสารไปใช้
1) การถา่ ยเทสารเคมที เี่ ปน็ ของแข็ง
เปดิ ฝาจุกสารเคมีแล้ววางฝาขวดหงายขนึ้ บนพื้นโต๊ะท่ีสะอาด หรอื ใชก้ ระดาษขาวรองรับไว้
ใชช้ อ้ นตักสารทแี่ หง้ และสะอาด ตกั สารในปรมิ าณทีพ่ อใช้ออกมาใสภ่ าชนะท่ีต้องการ เมือ่ ใช้สารเคมี
เสรจ็ แลว้ ให้ปดิ ฝาขวดสารเคมที ันที
2) การถ่ายเทสารเคมีท่ีเปน็ ของเหลว
เปิดฝาจุกสารเคมีแล้ววางฝาขวดหงายขึน้ บนพื้นโต๊ะที่สะอาด จับขวดทางด้านที่มีฉลากติด
อยู่ และเทของเหลวออกจากขวดทางด้านตรงข้าม ขณะเทสารให้ใช้แท่งแก้วแตะที่ปากขวด เทให้
สารละลายไหลลงไปตามแทง่ แก้วลงส่ภู าชนะ (ภาพท่ี 1.9)

-29-

ภาพที่ 1.10 การถ่ายเทสารเคมีที่เป็นของเหลว
(ท่มี า: พรพรรณ และสชุ าดา, 2560: 64)

2. ขอ้ ควรทราบเก่ียวกบั ปฏิบตั กิ ารเคมวี ิเคราะห์

การทำปฏิบัตกิ ารทุกครั้ง นักศึกษาควรมีการเตรียมพร้อมโดยการทำความเข้าใจเน้ือหาการ
ทำปฏิบัติการมาก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ทำการทดลองได้อย่างถูกต้องและไม่เสียเวลา ในระหว่างทำ
การทดลองควรมีสมาธิไม่หยอกล้อเล่นกัน ต้องดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบบนโต๊ะทำ
ปฏิบัติการ หลังจากทำการทดลองเสร็จสิ้นแล้ว นักศึกษาต้องเก็บและทำความสะอาดอุปกรณ์ โต๊ะ
ปฏิบตั ิการ ตลอดจนอุปกรณ์ส่วนกลางที่ใชร้ ่วมกันดว้ ย ไมอ่ นุญาตให้นำอุปกรณ์ส่วนตัวหรืออุปกรณ์
ทีไ่ มส่ ะอาดจมุ่ ลงไปในขวดสารเคมีเป็นอันขาด ควรเทแยกออกมาเท่าทีจ่ ะใช้ใส่ในบีกเกอร์ แล้วค่อย
ตวงแยกไปใช้งาน ตรวจสอบฉลากที่ปิดขวดสารเคมีทุกครั้งก่อนนำมาใช้ รินหรือตักสารออกมาใน
ปริมาณที่พอใช้เท่านัน้ ไม่เทสารเคมีที่เหลอื กลับขวดเดมิ และไม่เทน้ำลงในกรดเด็ดขาด ในระหว่าง
ทำการทดลองนัต้องสวมเสื้อคลุมปฏิบัติการ (เสื้อกาวน์) ทุกครั้ง เพื่อป้องกันอันตรายและห้ามถอด
รองเท้าเดินในห้องปฏิบัติการ ข้อเตือนใจก็คือ สารเคมีทุกชนิดในห้องปฏิบัติการเป็นอันตราย ไม่
สัมผสั ชิม หรอื สูดดมสารเคมใี ดๆ นอกจากจะได้รับคำแนะนำท่ีถูกต้องแล้ว

-30-

2.1 การปอ้ งกนั อุบัตเิ หตจุ ากไฟไหม้
เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากไฟไหม้ ไม่ควรเก็บสารไวไฟไว้ในห้องปฏิบัติเกิน
ความจำเป็น และไม่เปิดฝาทิ้งไว้ ห้ามสูบบุหรี่ภายในหรือบริเวณห้องปฏิบตั ิการเดด็ ขาด หากมีการ
จุดไฟต้องทำด้วยความระมัดระวัง เมื่อต้องให้ความร้อนกับสารที่ไวไฟหรือสารที่มีจุดเดือดต่ำ (จุด
เดือดน้อยกวา่ 760 mmHg) ควรใช้เครื่องอังน้ำ (water bath) แทน แต่หากเป็นสารท่ีมีจุดเดือดสงู
ควรใหค้ วามรอ้ นในอ่างน้ำมัน ทง้ั น้คี วรใชเ้ ตาไฟฟา้ แทนตะเกยี งท่ใี ห้เปลวไฟ และควรทำการทดลอง
ในตู้ควัน เมื่อมีสารติดไฟตอ้ งแก้ไขสถานการณ์อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าลุกไหม้เล็กน้อยให้ใช้ผ้าเปยี ก
คลุมไว้ หากไฟไหม้เสื้อผ้า พยายามผลักตัวให้ล้มลงเพราะเปลวไฟจะลุกขึ้นด้านบน การนอนลงจะ
ช่วยให้ไฟไม่ทำอันตรายดวงตาหรือระบบหายใจ กลิ้งไปมาเพื่อดับไฟหรือใช้ผ้าแห้งๆ ห่มเพื่อให้
ไฟดับ รีบนำผู้บาดเจ็บสง่ โรงพยาบาลทันที ในห้องปฏิบัติการจะมีถังดบั เพลิงติดตัง้ เอาไว้ ควรศึกษา
วิธีการใช้ถังดับเพลิงและต้องมีสติอยูเ่ สมอ ข้อพึงระวังเมื่อเกิดเพลิงไหม้คือ ไม่ควรใช้น้ำดับไฟที่เกดิ
จากสารประเภทของเหลวท่ไี วไฟเนอ่ื งจากจะทำให้ของเหลวกระจายออกเป็นบรเิ วณกวา้ ง
2.2 การทำความสะอาดบริเวณทป่ี นเปอ้ื นสารเคมี
หากมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่หกในห้องปฏิบัติการต้องรีบกำจัด และทำความสะอาด
อย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเหล่านัน้ สารเคมีแต่ละชนิดมสี มบัติและความเป็นอันตราย
แตกต่างกัน จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำความสะอาดบริเวณที่ปนเปื้อนสารเคมี
เหล่านน้ั ซ่งึ มีข้อแนะนำดังตอ่ ไปนี้
1) สารที่เป็นของแข็ง ให้ใช้แปรงหรือไม้กวาดสารมารวมกัน ตักสารใส่ในกระดาษแข็งแลว้
นำไปทำลายตามความเหมาะสม
2) สารละลายกรด ควรใช้น้ำล้างบริเวณที่มีที่กรดหกเพื่อทำให้กรดเจือจางลง และใช้
สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตเจือจางล้างเพื่อทำลายสภาพกรด แล้วล้างด้วยน้ำอีกครั้ง
สารละลายเบส ควรใช้น้ำล้างบริเวณที่เบสหกและซับน้ำให้แห้ง เนื่องจากจะทำให้พื้นลื่น ต้องทำ
ความสะอาดลกั ษณะดงั กลา่ วหลายๆ ครงั้ หรืออาจใชท้ รายโรยแล้วเก็บกวาดทรายออกไป
3) สารที่เป็นน้ำมัน ควรใช้ผงซักฟอกล้างสารที่เป็นน้ำมันและไขมันจนหมดคราบน้ำมัน
และพ้ืนไม่ล่ืน หรือทำความสะอาดโดยใชท้ รายโรยเพ่อื ซบั น้ำมนั ให้หมดไป
4) สารที่ระเหยง่าย ควรใช้ผ้าเช็ดบริเวณที่สารหยดหลายครั้งจนแห้ง และในขณะเช็ดถู
จะต้องมีการป้องกันไมใ่ ห้สมั ผสั ผิวหนังหรือสูดไอของสารเขา้ ร่างกาย
5) สารปรอท กวาดสารปรอทกองรวมกันแล้วใช้เครอ่ื งดูดเก็บรวบรวมไว้ ในกรณีทพี่ น้ื ทส่ี าร
ปรอทหกมีรอยแตกหรือรอยรา้ ว จะมีสารปรอทแทรกเข้าไปอยู่ขา้ งใน ต้องปิดรอยแตกหรือรอยร้าว
นนั้ ด้วยการทาข้ีผงึ้ ทับรอยดงั กลา่ ว เพอ่ื กันการระเหยของปรอท หรอื อาจใช้ผงกำมะถนั โรยบนปรอท
เพือ่ ให้เกิดเป็นสารประกอบซัลไฟด์ แลว้ เกบ็ กวาดอกี ครัง้ หน่ึง
2.3 การป้องกนั แก้ไขอุบตั ิเหตุและการปฐมพยาบาลเบื้องตน้

-31-

การทำปฏิบัติการอาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ จึงต้องมีความระมัดระวังหรือมีการป้องกันที่ดี

อย่างไรก็ตามเมื่อมอี ุบัติเหตเุ กิดขึ้นก็จะต้องแกไ้ ขสถานการณ์ และปฐมพยาบาลเบ้ืองตน้ ได้ทันที จึง

ตอ้ งมีความรคู้ วามเขา้ ใจการปฐมพยาบาลเบือ้ งตน้ บางประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี

1) กรด

- เขา้ ตา ล้างตาด้วยน้ำสะอาดอยา่ งนอ้ ย 15 นาที แล้วนำไปพบแพทย์

- ถูกผวิ หนัง ล้างด้วยนำ้ สะอาด แล้วล้างดว้ ยเบสอ่อนๆ (สารละลาย Na2CO3)

แล้วทาด้วย magnesia-glycerol paste

- กลืนกิน ดื่มน้ำปูนใส เมื่ออาเจียนออกให้ดื่ม milk of magnesia แล้ว

นำไปพบแพทย์

2) เบส

- เข้าตา ลา้ งตาดว้ ยน้ำสะอาดอยา่ งนอ้ ย 15 นาที แล้วนำไปพบแพทย์

- ถกู ผวิ หนงั ล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วล้างด้วยกรดอ่อนๆ (1% acetic acid)

แลว้ ทาด้วย magnesia-glycerol paste

- กลืนกนิ ดื่มน้ำที่มี 1% acetic acid หรือน้ำส้มสายชูผสมน้ำ (1:4) ตาม

ดว้ ยนมและไข่ขาวตกี ับนำ้ แล้วนำไปพบแพทย์

3) สารกัดกร่อน

- เขา้ ตา ลา้ งตาดว้ ยนำ้ สะอาดอยา่ งน้อย 15 นาที แล้วนำไปพบแพทย์

- ถูกผวิ หนัง ลา้ งดว้ ยน้ำสะอาดมากๆ แลว้ ทาดว้ ย magnesia-glycerol paste

- กลืนกนิ ดื่มน้ำปูนใส เมื่ออาเจียนออกเอง แล้วให้ดื่ม milk of magnesia

แล้วนำไปพบแพทย์

4) โบรมีน

- เข้าตา ลา้ งตาดว้ ยนำ้ สะอาดอยา่ งน้อย 15 นาที แล้วนำไปพบแพทย์

- ถกู ผวิ หนงั ล้างด้วยน้ำสะอาด หรือล้างด้วยน้ำเจือแอมโมเนีย (1:5 โดย

ปรมิ าตร) แล้วทาดว้ ย magnesia-glycerol paste

- สูดไอ ใช้ผา้ เชด็ หนา้ ชุบแอลกอฮอล์แปะท่จี มูก

5) ฟนี อล

- ถกู ผวิ หนัง ล้างด้วยน้ำมากๆ แล้วทาด้วย glycerine ที่อิ่มตัวด้วยโบรมีน

แลว้ นำไปพบแพทย์

6) ฟอสฟอรสั

- ถกู ผวิ หนงั ลา้ งด้วยน้ำมากๆ แลว้ ใชส้ ำลชี บุ สารละลาย 3% CuSO4 ในน้ำปิด

ไว้ 15 นาที แล้วนำไปพบแพทย์

7) โซเดยี ม

-32-

- ถูกผิวหนัง ใชป้ ากคบี เศษโซเดียมออกล้างด้วยนำ้ มากๆ แลว้ นำไปพบแพทย์

เอกสารอา้ งอิง

พรพรรณ อุดมกาญจนนันท์ และสุชาดา จูอนุวัฒนกุล. (2560). เคมีปริมาณวิเคราะห์เทคนิคและ
การทดลอง. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 309 หนา้ .

ท่มี าภาพท่ี 1.8
https://i0.wp.com/myerstest.com/wp-content/uploads/2018/08/gooch-crucible.

jpg?fit=225%2C225&ssl=1 [1 April 2019]
http://www.dshellsci.com/chemistry/crucibles/crucible-50ml-glazed-porcelain-high-

wall.html [1 April 2019]
http://www.hcs-lab.com/product/isolab-crucible-gooch-glass-with-sintered-glass-

disc/ [1 April 2019]

-33-

บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 1 การตรวจสอบความถูกตอ้ งของเคร่อื งแกว้ วัดปริมาตร

วตั ถปุ ระสงคก์ ารทดลอง
4. สามารถตรวจสอบปริมาตรของเครื่องแกว้ วัดปรมิ าตรชนดิ ต่างๆ ทีใ่ ชใ้ นการทดลองได้
5. เลอื กใช้เคร่ืองแก้วได้เหมาะสมกับประเภทของการนำไปใช้
6. ฝึกฝนทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ ในหอ้ งปฏบิ ตั ิการเคมวี เิ คราะห์
7. มที กั ษะและจติ พิสยั ทด่ี ีในการทำปฏบิ ัติการเคมวี ิเคราะห์

จำนวนชว่ั โมงที่สอน 1.5 ชว่ั โมง
วิธีการสอนและกจิ กรรม

12. ทำปฏิบัติกำรทดลอง โดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2 – 3 คน เพื่อฝึกทักษะกำรทำ
ปฏิบัติกำร และเขียนรำยงำนผลกำรทดลองโดยใช้ภำษำที่เข้ำใจง่ำย ทำวิดีโอคลิป
(video clips) ในระหว่ำงทดลอง เพื่อนำเสนอเมื่อสิ้นสุดภำคกำรศึกษำ และปลูกฝัง
กำรทำงำนรว่ มกับผูอ้ น่ื

งานทม่ี อบหมาย
2. รายงานผลการทดลอง
3. วดิ โี อคลปิ การทดลอง

ทฤษฎี
เครื่องแก้วชนิดต่างๆ ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเคมีนั้นมีหลายประเภท การเลือกใช้ต้อง

เหมาะสมกับประเภทของการใช้งาน เช่น ถ้าต้องการตวงสารละลายให้มีปริมาตรแน่นอนควรใช้
ปิเปตต์ (pipette) หรือบิวเรตต์ (burette) แต่หากไม่ต้องการความถูกต้องนักอาจเลือกใช้กระบอก
ตวง (graduated cylinder) ได้ แต่จะไม่ใช้บีกเกอร์ (beaker) และ ขวดรูปชมพู่ (erlenmeyer
flask) ในการตวงสารละลายเพราะให้ปริมาตรไม่แน่นอน โดยปกติปริมาตรที่ระบุไว้บนเครื่องแก้ว
เหล่านี้ได้ผ่านการตรวจสอบมาจากโรงงานผู้ผลิตแล้ว แต่อาจมีข้อผิดพลาดบ้างเพราะการผลิตเป็น
จำนวนมากหรือความผิดพลาดเนื่องจากอุณหภูมิ ปริมาตรที่ระบุบนเครื่องแก้วจะเป็นปริมาตรท่ี
ถูกต้องที่อุณหภูมิที่กำหนดไว้เท่านั้น เช่น กระบอกตวงระบุไว้ว่ามีปริมาตร 100 mL ; 20 oC
หมายความวา่ กระบอกตวงนจ้ี ะมีปรมิ าตรเปน็ 100 mL เม่ืออุณหภูมเิ ปน็ 20 oC ดังนนั้ ก่อนการนำ
เคร่อื งแกว้ ต่างๆ ไปทดลอง ควรทำการตรวจสอบปริมาตรท่แี นน่ อนของเครื่องแกว้ เหล่าน้นั เสยี ก่อน

การตรวจสอบปริมาตรที่แน่นอนทำได้โดยชง่ั น้ำหนักเคร่ืองแกว้ เปลา่ ทีส่ ะอาด จากน้ันบรรจุ
นำ้ กล่นั ลงไปในเคร่ืองแก้วจนถึงขีดบอกปริมาตรแล้วนำไปช่ัง นำ้ หนกั ท่ีไดล้ บดว้ ยน้ำหนักเคร่ืองแก้ว
เปล่าที่ช่ังไว้ก่อนจะได้นำหนักของน้ำที่อุณหภูมิที่ทดสอบ แล้วคำนวณปริมาตรของเครื่องแก้วนั้นได้
โดยอาศัยข้อมูลความหนาแน่นของนำ้ ซึ่งจะได้ปริมาตรน้ำ (mL) ต่อ 1 g ของน้ำเมื่อชั่งในอากาศที่
อณุ หภูมติ า่ งๆ ดงั แสดงในตารางที่ 1.1

-34-

ตารางที่ 1.1 ปรมิ าตรของน้ำ (mL) ต่อ 1 กรมั ของนำ้ เม่ือชั่งในอากาศ

อณุ หภูมิ (oC) ปริมาตร (mL) ต่อ 1 g ของน้ำ (conversion factor)

15 1.0020

16 1.0022

17 1.0023

18 1.0025

19 1.0026

20 1.0028

21 1.0030

22 1.0032

23 1.0034

24 1.0036

25 1.00385

26 1.0041

27 1.0043

28 1.0046

29 1.0048

30 1.0051

31 1.0054

32 1.0057

33 1.0060

34 1.0063

35 1.0066

(ที่มา : Skoog et al., 1990: 540)

ปรมิ าตรที่แทจ้ ริงของภาชนะ= ปรมิ าตรน้ำกล่นั
= น้ำหนักของน้ำ (g) ท่ีช่ังได้ x ปริมาตรของน้ำ 1 กรมั ที่อุณหภูมิใดๆ ...(1.1)

ค่า correction (mL) = ค่าท่คี ำนวณได้ – ค่าท่ีอ่านไดจ้ ากอปุ กรณว์ ดั ปริมาตร

-35-

อุปกรณ์และสารเคมี 4. ขวดช่งั สาร
1. ขวดวดั ปริมาตรขนาด 100 mL 5. เทอร์โมมเิ ตอร์
2. ปิเปตต์ ขนาด 10 mL 6. แอซีโตน
3. บิวเรตต์ ขนาด 50 mL

วธิ ีการทดลอง
ตอนท่ี 1 การตรวจสอบปริมาตรท่ีแทจ้ รงิ ของขวดวดั ปริมาตร

1. ล้างขวดวัดปรมิ าตรให้สะอาดแล้วกลั้วด้วยน้ำกล่ัน กลั้วตามด้วยแอซีโตนใหท้ ั่วจนแห้ง
สว่ นดา้ นนอกขวดให้ใช้ผ้าท่สี ะอาดและไม่เปน็ ขนเช็ดใหแ้ หง้ นำไปช่งั

2. นำมาเติมน้ำกล่นั ใหม้ ีปรมิ าตรเทา่ กับขดี วัดปริมาตรพอดี นำไปชง่ั
3. คำนวณน้ำหนกั ของน้ำในขวดวดั ปรมิ าตร และบนั ทึกอุณหภูมนิ ำ้
4. ทำซ้ำ 3 ครง้ั โดยใช้ขวดวัดปริมาตรใบเดิมแล้วหาค่าเฉลี่ยปริมาตรท่ีแท้จริงของขวดวัด

ปริมาตร จากสมการที่ 1.1 ค่า correction ของขวดวัดปริมาตร และค่าความ
คลาดเคล่ือนสมั พทั ธ์

ตอนที่ 2 การตรวจสอบปริมาตรที่แท้จริงของปิเปตต์
1. ชัง่ น้ำหนกั ขวดช่งั สารที่แหง้ และสะอาดทีเ่ ตรียมไวแ้ ล้ว
2. ลา้ งปิเปตต์ใหส้ ะอาดด้วยน้ำกล่นั นำไปดูดนำ้ กลั่นใสล่ งในขวดชั่งสาร แล้วนำไปช่ัง
3. คำนวณน้ำหนักของน้ำในขวดชัง่ สาร และบนั ทกึ อณุ หภมู ิน้ำ
4. ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยใช้ปิเปตต์อันเดิม หาค่าเฉลี่ยปริมาตรที่แท้จริงของปิเปตต์ ค่า
correction ของปิเปตต์ และค่าความคลาดเคลอื่ นสมั พทั ธ์

ตอนท่ี 3 การตรวจสอบปริมาตรท่แี ทจ้ ริงของบิวเรตต์
1. ล้างบิวเรตต์ให้สะอาด นำมาใส่น้ำกลั่นจนถึงขีดบอกปริมาตรสูงสุดของบิวเรตต์ ระวัง
อยา่ ให้ปลายบิวเรตต์มีฟองอากาศ และอย่าให้มีหยดนำ้ ตดิ ทป่ี ลายบิวเรตต์ ถ้ามีให้แตะ
ปลายบิวเรตตก์ บั บีกเกอร์ที่ไม่ใชก้ อ่ น
2. ชั่งน้ำหนักขวดชั่งสารที่แห้งและสะอาดที่เตรียมไว้แล้วจำนวน 3 ใบ ไขน้ำกลั่นจาก
บวิ เรตตล์ งมา 5 mL (จาก 0 mL ถึง 5 mL) ลงในขวดชัง่ สารใบที่ 1 จากนั้นไขน้ำกล่ัน
จากบิวเรตตล์ งมาอีก 5 mL (จาก 5 mL ถงึ 10 mL) ลงในขวดชงั่ สารใบท่ี 2 และไขน้ำ
กลั่นจากบิวเรตต์ลงมาอีก 5 mL (จาก 10 mL ถงึ 15 mL) ลงในขวดชง่ั สารใบท่ี 3
3. นำขวดชัง่ สารทงั้ สามใบไปชัง่ คำนวณน้ำหนกั ของนำ้ ในขวดช่ังสาร บนั ทึกอณุ หภมู นิ ้ำ
4. ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยใช้บิวเรตต์อันเดิม หาค่าเฉลี่ยปริมาตรที่แท้จริงของบิวเรตต์ ค่า
correction ของบิวเรตต์ และค่าความคลาดเคล่ือนสัมพัทธ์

-36-

ผลการทดลอง

ตอนที่ 1 การตรวจสอบปริมาตรทแี่ ทจ้ ริงของขวดวดั ปริมาตร

ครงั้ ท่ี นำ้ หนักขวดวัด น้ำหนกั ขวด น้ำหนกั อณุ หภูมิ ปริมาตรของ

ปริมาตรแหง้ (g) วัดปริมาตรท่ี นำ้ กลน่ั นำ้ กลัน่ นำ้ กลน่ั =

บรรจนุ ้ำกลั่น (g) (oC) ปริมาตร

(g) ภาชนะ (mL)

1

2

3

เฉล่ยี

คา่ correction

ค่าความคลาดเคล่ือนสัมพัทธ์

ตอนที่ 2 การตรวจสอบปริมาตรทแ่ี ทจ้ ริงของปิเปตต์

ครัง้ ที่ น้ำหนักขวดชงั่ น้ำหนกั ขวด น้ำหนัก อณุ หภูมิ ปรมิ าตรของ

สารแห้ง (g) ช่ังสารท่มี นี ้ำ น้ำกล่ัน น้ำกลั่น นำ้ กลน่ั =

กลน่ั (g) (g) (oC) ปรมิ าตร

ภาชนะ (mL)

1

2

3

เฉลีย่

ค่า correction

คา่ ความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์

-37-

ตอนที่ 3 การตรวจสอบปริมาตรทีแ่ ท้จรงิ ของบิวเรตต์

ขวดที่ นำ้ หนกั ขวดชง่ั นำ้ หนกั ขวด นำ้ หนกั อุณหภูมิ ปรมิ าตรของ

สารแหง้ (g) ช่ังสารทีม่ ีนำ้ น้ำกล่นั นำ้ กลั่น น้ำกลน่ั =

กลั่น (g) (g) (oC) ปรมิ าตร

ภาชนะ (mL)

1

2

3

เฉล่ยี

คา่ correction

คา่ ความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์

การคำนวณผล (แสดงการคำนวณเพยี ง 1 ซ้ำ)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

สรปุ ผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

-38-

วจิ ารณผ์ ลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำถามทา้ ยการทดลอง
1. เพราะเหตุใดปรมิ าตรนำ้ ทอี่ ุณหภมู ติ า่ งๆ จงึ ไมเ่ ท่ากัน
2. จากการทดลอง อุปกรณว์ ัดปรมิ าตรชนิดใดมีความถูกต้องในการวัดปริมาตรมากท่ีสุด
3. เราจำเป็นต้องทราบปริมาตรที่แท้จริงของอุปกรณ์วัดปริมาตรที่ใช้ทดลองเสมอไปหรือไม่
เพราะเหตุใด
4. จากการทดลองในครั้งนี้ เราได้ทราบถงึ ปริมาตรที่แทจ้ ริงของอุปกรณ์วัดปริมาตรบางชนิด
หากในการทำการทดลองครั้งต่อไปมีการใช้อุปกรณช์ นดิ เดียวกันน้ีอกี แต่ไม่ใช่อนั เดิม เรา
จะทำอยา่ งไร และหากเป็นอนั เดมิ จะทำอยา่ งไร
5. บิวเรตต์ขนาด 50.0 mL มีค่าความคลาดเคลื่อนของการอ่านค่า = ±0.1 mL หากนำไป
บรรจุสารสำหรบั การไทเทรต ปรากฏว่าอ่านค่าปริมาตรของสารก่อนและหลังการไทเทรต
ไดป้ ริมาตร 9.8 mL อยากทราบปรมิ าตรท่ถี ูกตอ้ งของบวิ เรตต์อันนี้

-39-

บทปฏบิ ตั ิการที่ 2 การวเิ คราะห์ไอออนเชงิ คุณภาพ

วัตถปุ ระสงคก์ ารทดลอง
1. ทดสอบปฏิกริ ยิ าของแอนไอออนและแคทไอออนบางชนดิ ได้
2. วเิ คราะห์เชิงคณุ ภาพของแอนไอออนและแคทไอออนบางชนิดในสารตัวอยา่ งได้
3. มีทกั ษะและจติ พิสัยทดี่ ีในการทำปฏบิ ตั ิการเคมวี เิ คราะห์

จำนวนชวั่ โมงท่สี อน 6 ชั่วโมง
วธิ กี ารสอนและกิจกรรม

13. ทำปฏิบัติกำรทดลอง โดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2 – 3 คน เพื่อฝึกทักษะกำรทำ
ปฏิบัติกำร และเขียนรำยงำนผลกำรทดลองโดยใช้ภำษำที่เข้ำใจง่ำย ทำวิดีโอคลิป
(video clips) ในระหว่ำงทดลอง เพื่อนำเสนอเมื่อสิ้นสุดภำคกำรศึกษำ และปลูกฝัง
กำรทำงำนร่วมกับผอู้ ื่น

งานทีม่ อบหมาย
4. รายงานผลการทดลอง
5. วดิ โี อคลปิ การทดลอง

ทฤษฎี
ธาตุต่างๆ ทั้งที่เป็นโลหะหรืออโลหะที่อยูใ่ นสารประกอบ สามารถวิเคราะห์ได้โดยทำใหอ้ ยู่

ในรูปของสารละลาย โดยโลหะจะอยู่ในรูปของไอออนบวกหรือแคทไอออน (cation) และอโลหะจะ
อยู่ในรูปของไอออนลบหรือแอนไอออน (anion) การวิเคราะห์ธาตุต่างๆ ในรูปของไอออนนั้นมี
วิธกี ารเฉพาะท่แี ตกตา่ งกันออกไป บางชนิดสามารถทดสอบไดโ้ ดยวิธกี ารทางเคมที ี่ไมย่ ุ่งยาก เช่น Cl-
, NO3-, PO43-, SO42- และ Fe3+ เปน็ ตน้ แตไ่ อออนบางชนดิ ก็มวี ธิ กี ารท่ีซับซอ้ นขนึ้

การตรวจสอบแอนไอออนต้องทำให้ได้สารละลายปราศจากโลหะหนักอื่นๆ โดยต้องเตรียม
สารละลายสำหรับวิเคราะห์โดยนำสารตัวอย่างมาต้มกับสารละลายโซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3)
เข้มข้น เรียกว่า Soda solution (กุลยา และอำนวย, 2539: 178) ส่วนการวิเคราะหแ์ คทไอออนถา้
สารตวั อยา่ งเปน็ ของแข็ง ต้องทำให้เป็นสารละลายโดยนำไปทดสอบการละลายในน้ำที่อุณหภูมิปกติ
และนำ้ รอ้ น ถา้ ไม่ละลายในนำ้ ให้ทดลองนำไปละลายในตวั ทำละลายอน่ื ๆ ตามลำดับข้ัน ไดแ้ ก่ HCl
เจอื จาง, HCl เขม้ ข้น, HNO3 เจอื จาง, HNO3 เข้มข้น และ อควารเี จยี (aqua regia) หรอื สารละลาย
ผสมระหว่าง HCl เข้มขน้ กับ HNO3 เขม้ ขน้ ในอตั ราสว่ น 3 : 1 โดยปริมาตร (สุรางค,์ 2542: 197)

การทำคุณภาพวิเคราะห์ไอออนหมู่ต่างๆ โดยการตกตะกอนของโลหะกับรีเอเจนท์เฉพาะ
แสดงไว้ในตารางที่ 2.3 ซึ่งวิธีการตรวจสอบไอออนชนิดต่างๆ ในบทปฏิบัติการนี้อ้างอิงจากวิธีการ
ของกลุ ยา และอำนวย (2539) และ สรุ างค์ (2542)

-

ตารางที่ 2.1 การทำคุณภาพวิเคราะห์ไอออนหมู่ตา่ งๆ โดยการตกตะกอนของโลหะกับ

หมู่ รีเอเจนทส์ ำหรบั หมู่ ไอออน

I หมเู่ งนิ (silver group) HCl เจือจาง Ag+, Pb2+, Hg22+

II หมู่คอปเปอร์และอาร์เซนิก H2S ใน HCl เจอื จาง Hg2+, Pb2+, Bi3+,
(copper and arsenic group) Cd2+, Sn2+, As3+,

Sn4+

IIIA หมู่เหล็ก (iron group) ส า ร ล ะ ล า ย NH3 ซ ึ ่ ง มี Al3+, Cr3+, Fe3+
NH4Cl

IIIB หมู่สงั กะสี (zinc group) H2S ในสารละลาย NH3 Ni2+, Co2+, Mn2+,
ซ่งึ มี NH4Cl

IV ห ม ู ่ แ ค ล เ ซ ี ย ม ( calcium (NH4)2CO3 ในสาร ละลาย Ba2+, Sr2+, Ca2+
group) NH3 ซึ่งมี NH4Cl

V หม่แู อลคาไล (alkali group) ไม่มรี เี อเจนท์เฉพาะ Mg2+, Na+, K+, NH

(ทีม่ า : สุรางค์, 2542: 1)

-40-

บรเี อเจนทเ์ ฉพาะ

สูตรของตะกอน ลกั ษณะสำคญั ท่แี ตกตา่ งกัน

AgCl, PbCl2, Hg2Cl2 ตะกอนคลอไรด์ไม่ละลายใน HCl เจือ
จาง

Cu2+, HgS, PbS, Bi2S3, CuS, ตะกอนซัลไฟด์ไม่ละลายใน HCl เจอื จาง -99-
Sb3+. CdS, SnS, As2S3, Sb2S3, (ประมาณ 0.3 M)

SnS2
Al(OH)3,Cr(OH)3, Fe(OH)3 ตะกอนไฮดรอกไซด์ตกออกมาจาก

สารละลาย NH3 ซ่งึ มี NH4Cl มากพอ

Zn2+ NiS, CoS, MnS, ZnS ตะกอนซัลไฟด์ตกออกมาด้วย H2S ใน
สารละลาย NH3 ซง่ึ มี NH4Cl

BaCO3, SrCO3, CaCO3 ตะกอนคาร์บอเนตตกออกมาด้วย
(NH4)2CO3 ซ่งึ มี NH4Cl อยู่ด้วย

H4+ Mg2+, Na+, K+, NH4+, อยู่ใน ไอออนเหล่านี้ไม่ตกตะกอนในหมู่ที่ผ่าน

สารละลาย มาแล้ว

(41)

อุปกรณแ์ ละสารเคมี
1. สารตวั อยา่ ง unknown
2. กระดาษลติ มสั
3. ชามระเหยพอซเลน
4. จุกยางที่มีทอ่ นำแก๊ส และจกุ ยางทบึ (ขนาดพอดีกับหลอดทดลอง)
5. เครอื่ งหมนุ เหว่ยี ง (centrifuge)
6. เครอ่ื งองั น้ำ (water bath)

สารละลายสำหรับวิเคราะห์แอนไอออน
1. กรดซัลฟิวริกเขม้ ข้น (conc. H2SO4)
2. สารละลายกรดซัลฟวิ ริก เขม้ ขน้ 3 M (3 M H2SO4)
3. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก เข้มข้น 6 M (6 M HCl)
4. สารละลายกรดแอซตี ิก เขม้ ข้น 6 M (6 M CH3COOH)
5. สารละลายกรดไนตริก เขม้ ข้น 6 M (6 M HNO3)
6. สารละลายโซเดียมคารบ์ อเนต เขม้ ข้น 1.5 M (1.5 M Na2CO3)
7. สารละลายแอมโมเนยี มไฮดรอกไซด์ เข้มข้น 6 M (6 M NH4OH)
8. สารละลายแบเรียมคลอไรด์ เขม้ ข้น 1 M (1 M BaCl2)
9. สารละลายแคลเซยี มไฮดรอกไซดห์ รือนำ้ ปูนใส (Ca(OH)2)
เตรียมโดยชั่ง Ca(OH)2 2 – 3 g ละลายในน้ำกลั่น 1 L ปิดฝาภาชนะให้ดีเพ่ือ
ปอ้ งกันแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากบรรยากาศละลายลงไป
10. สารละลายแอมโมเนยี มโมลบิ เดต (ammonium molybdate) เขม้ ข้น 1 M
(1 M (NH4)2MoO4)
เตรียมโดยละลาย (NH4)2MoO4 45 g ในสารละลายผสมของแอมโมเนยี เข้มข้น
40 mL กบั นำ้ 60 mL แลว้ เตมิ NH4NO3 ลงไป 120 g เติมน้ำกลน่ั จนมปี ริมาตร 1 L
11. สารละลายซิลเวอร์ไนเตรต เข้มขน้ 0.5 M (0.5 M AgNO3)
12. สารละลายโพแทสเซยี มโครเมต เขม้ ขน้ 1 M (1 M K2CrO4)
13. คารบ์ อนเททระคลอไรด์ (CCl4)
14. สารละลายเลดแอซเี ตต เขม้ ข้น 1 M (1 M Pb(CH3COO)2)
15. สารละลายซลิ เวอร์ซัลเฟต เข้มขน้ 0.04 M (0.04 M Ag2SO4)
16. นำ้ คลอรีน
น้ำคลอรีนหรือสารละลายอิ่มตัวของคลอรีน เตรียมโดยหยด conc.HCl ลงบน
KMnO4 จากนัน้ ผา่ นแกส๊ คลอรีนท่ีได้ลงในน้ำกล่นั ปริมาตร 1 L ซง่ึ บรรจุอยใู่ นขวด สี
ชา สารละลายทไ่ี ด้จะมคี ลอรีน (Cl2) อ่ิมตวั อยู่ประมาณ 6.5 g

(42)

17. เฟอรัสซัลเฟต (ferrous sulfate, FeSO4) หรอื เฟอรัสแอมโมเนยี มซัลเฟต (ferrous
ammonium sulfate, FeSO4(NH4)SO4) ของแขง็

สารละลายสำหรับวิเคราะห์แคทไอออน
1. กรดไฮโดรคลอรกิ เข้มขน้ (conc. HCl)
2. สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ เข้มข้น 6 M (6 M HCl)
3. กรดไนตรกิ เขม้ ขน้ (conc. HNO3)
4. สารละลายกรดไนตรกิ เข้มขน้ 6 M (6 M HNO3)
5. อะควารีเจีย (aqua regia) หรือกรดกัดทอง
เตรียมโดยผสม conc.HCl กับ conc.HNO3 ในอัตราส่วน 3 : 1 โดยปริมาตร
ผสมอยา่ งช้าๆ ตอ้ งเตรยี มและใช้ด้วยความระมดั ระวงั
6. สารละลายกรดแอซตี กิ เข้มข้น 6 M (6 M CH3COOH)
7. สารละลายกรดซัลฟวิ ริก เข้มข้น 3 M (3 M H2SO4)
8. แอมโมเนยี มไฮดรอกไซดเ์ ข้มข้น (conc.NH4OH)
9. สารละลายแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ เข้มข้น 6 M (6 M NH4OH)
10. สารละลายโพแทสเซยี มโครเมต เข้มข้น 1 M (1 M K2CrO4)
11. สารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เข้มขน้ ร้อยละ 3 โดยปริมาตร (3 % H2O2)
12. สารละลายแอมโมเนียมไนเตรต เขม้ ข้น 1 M (1 M NH4NO3)
13. สารละลายแอมโมเนยี มซัลเฟต เขม้ ขน้ 5 M (5 M (NH4)2SO4)
14. สารละลายสแตนนัสคลอไรด์ เข้มขน้ 1 M (1 M SnCl2)
15. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ เข้มข้น 6 M (6 M NaOH)
16. สารละลายโพแทสเซยี มเฟอรโ์ รไซยาไนด์ เข้มขน้ 0.125 M (0.125 M K4Fe(CN)6)
เตรียมโดยละลาย K4Fe(CN)6.3H2O 53 g ในน้ำกลน่ั 1 L
17. สารละลายไธโอแอเซตาไมด์ (thioacetamide) เขม้ ข้น 2 M (2 M CH3CSNH2)
18. สารละลายไฮดราซีนคลอไรด์ (hydrazine chloride) เข้มขน้ 3 M (3 M N2H4.2HCl)
19. สารละลายโพแทสเซยี มไนเตรต เข้มข้น 1 M (1 M KNO3)
20. สารละลายโพแทสเซยี มไธโอไซยาเนต เขม้ ข้น 1 M (1 M KSCN)
21. สารละลายแอมโมเนียมแอซีเตต เขม้ ขน้ 6 M (6 M CH3COONH4)
22. สารละลายอะลมู นิ อน (aluminon reagent)
เตรียมโดยละลายอะลมู ินอน (C22H14O9) 0.25 g ในนำ้ กลน่ั 250 mL
23. สารละลายไดเมทลิ ไกลออกซมี (dimetylglyoxime reagent)
เตรียมโดยละลาย C4H8N2O2 1 g ในเอทานอลเข้มขน้ ร้อยละ 95 ปริมาตร 100 mL
24. สารละลายโซเดียมซเิ ตรต เข้มข้น 2 M (2 M sodium citrate)
25. สารละลายแอมโมเนียมไฮโดรเจนฟอสเฟต เขม้ ข้น 1 M (1 M (NH4)2HPO4)

(43)

26. แอซโี ตน (Acetone)
27. สารละลายแอมโมเนยี มออกซาเลต เข้มขน้ 0.25 M (0.25 M (NH4)2C2O4)
28. สารละลายแมกนซี อน (magneson reagent)

เตรยี มโดยละลายแมกนีซอนหรือพารา-ไนโตรเบนซนี -อะโซ-เรซอร์ซนิ อล 0.5 g
ลงใน 0.25 M NaOH ปริมาตร 100 mL
29. สารละลายซงิ คย์ ูรานิลแอซีเตต (zinc uranyl acetate reagent)

เ ต รี ย ม ส า ร ล ะ ล า ย 2 ช น ิ ด ช น ิ ด ท ี ่ 1 ล ะ ล า ย ย ู ร า น ิ ล แ อ ซ ี เ ต ต
(UO2(C2H3O2)2.2H2O 10 g ลงใน CH3COOH เข้มขน้ รอ้ ยละ 30 ปรมิ าณ 6 g นำไป
อุ่นเล็กน้อย ปรับปริมาตรเป็น 50 mL ด้วยน้ำกลั่น จากนั้นเตรียมสารละลายชนิดที่
2 โดยละลายซงิ คแ์ อซเี ตต (Zn(C2H3O2)2.2H2O) 30 g ลงใน CH3COOH เขม้ ขน้ รอ้ ย
ละ 30 ปริมาณ 3 g แล้วปรับปริมาตรเป็น 50 mL ด้วยน้ำกลั่น ผสมสารละลายท้ัง
สองเข้าด้วยกัน แล้วเติม NaCl เล็กน้อย ทิ้งไว้ข้ามคืน ถ้ามีตะกอนให้กรองก่อน
นำไปใช้
30. สารละลายโซเดียมโคบอลติไนไตรต์ (sodium cobaltinitrite reagent)

เตรียมโดยละลาย Na3[Co(NO2)6] 17 g ในน้ำกลั่น 250 mL หรือละลาย
NaNO2 60 g ในน้ำกลั่น 30 mL และละลาย Co(NO3)2.6H2O 7.5 g ในน้ำกลั่น 30
mL แล้วผสมสารละลายทั้งสองเข้าด้วยกัน เขย่าแรงๆ เติมแกลเชียลแอซีติกลงไป
15 mL คนให้เข้ากัน เติมน้ำกลั่นจนมีปริมาตรครบ 250 mL ตั้งทิ้งไว้ นำไปกรอง
ก่อนนำไปใช้
31. แคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide, CaO) หรือแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (calcium
hydroxide, Ca(OH)2) ของแขง็
32. โซเดยี มบสิ มูเตต (sodium bismutate, NaBiO3) ของแขง็

วธิ ีการทดลอง
ตอนที่ 1 ปฏิกริ ยิ าการวเิ คราะหแ์ อนไอออน
1. การเตรยี ม soda solution

ถ้าสารตัวอย่างเป็นของเหลวใช้ 1 mL ถ้าเป็นของแข็งใช้ 0.1 g ใส่ลงในชามกระเบื้อง
เติมสารละลาย Na2CO3 เข้มขน้ 1.5 M ลงไป 3 mL ตม้ จนเดอื ด ขณะตม้ ให้คนเป็นระยะๆ และ
เติมน้ำกลั่นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้สารละลายงวดจนเกินไป เมื่อเดือดให้ยกลง เทใส่หลอดทดลอง
สารละลายที่ได้ควรมีปริมาตรประมาณ 5 mL ถ้าน้อยกว่า 5 mL ให้เติมน้ำร้อนลงไป ถ้ามี
ตะกอนเกิดขึ้นให้นำไปเซนตริฟิวจ์ รินเซนตริฟิวเกตหรือสารละลายส่วนใส (centrifugate) เก็บ
ไว้ในหลอดทดลอง หยดสารละลาย 6 M CH3COOH ลงไปทีละหยดจนเป็นกรด (ทดสอบโดยใช้
กระดาษลิตมัส) นำไปอุ่นประมาณ 5 นาที จะได้สารละลาย soda solution สำหรับการ

(44)

วิเคราะห์แอนไอออนตอ่ ไป
2. การทดสอบปฏิกิรยิ าการวิเคราะหแ์ อนไอออน

2.1 การทดสอบแอนไอออนหมู่ I (หมูซ่ ัลเฟต)
หยดสารละลาย soda solution 5 หยด ในหลอดทดลอง เติม 6 M NH4OH จน
สารละลายเป็นเบส เตมิ 1 M BaCl2 5 หยด ถา้ มตี ะกอนเกิดขึน้ แสดงวา่ มแี อนไอออนหมู่ I ได้แก่
SO42-, CO32- และ PO43- จากนั้นจึงนำไปทดสอบต่อดังต่อไปนี้ (แต่ถ้าไม่มีตะกอนแสดงว่าไม่มี
แอนไอออนหมู่ I ไม่ตอ้ งวเิ คราะหต์ ่อในหวั ข้อน้ี ใหน้ ำไปทดสอบในหัวขอ้ 2.2 และ 2.3 ได้เลย)
ทดสอบซลั เฟตไอออน (SO42-)
1) นำสารละลาย soda solution มา 1 mL เติม 6 M HCl ลงไปจนสารละลายเป็น

กรด นำไปอุ่นประมาณ 5 นาที ถ้ามีตะกอนเกิดขึ้น ให้นำไปเซนตริฟิวจ์ และท้ิง
ตะกอนไป เน่ืองจากเปน็ ตะกอนของไอออนทแี่ ทรกสอด เกบ็ เซนตริฟิวเกตไปทดสอบ
ตอ่
2) เตมิ 1 M BaCl2 ลงไป 3 – 5 หยด เขยา่ เบาๆ ถา้ เกิดตะกอนสีขาวของ BaSO4 แสดง
ว่ามี SO42-
ทดสอบคาร์บอเนตไอออน (CO32-)
นำสารละลาย soda solution มา 1 mL เติม 6 M HCl ลงไป 2 – 3 หยด อุดปาก
หลอดด้วยจุกยางที่มีท่อนำแก๊สและมีสายยางต่อออกไป ปลายสายจุ่มอยู่ในน้ำปูนใส ถ้าหากว่า
ทำให้นำ้ ปนู ใสขุ่น แสดงว่ามี CO32-
ทดสอบฟอสเฟตไอออน (PO43-)
นำสารละลาย soda solution มา 1 mL ทำให้เป็นกรดดว้ ย 6 M HNO3เตมิ สารละลาย 1
M ammonium molybdate ลงไป 1 mL นำไปอุ่นประมาณ 2 – 3 นาที ถ้าเกิดตะกอนสี
เหลอื งของ ammonium phosphomolybdate แสดงว่ามี PO43-

2.2 การทดสอบแอนไอออนหมู่ II (หมเู่ ฮไลด์)
นำสารละลาย soda solution มา 5 หยด เติม 6 M HNO3 5 หยด และ 0.5 M AgNO3
3 หยด ถ้าเกิดตะกอน แสดงว่ามีแอนไอออนหมู่ II ได้แก่ Cl-, Br-, I- และ S2- ให้นำไปทดสอบต่อ
ดังนี้ (แต่ถ้าไม่มีตะกอนแสดงว่าไม่มีแอนไอออนหมู่ II ไม่ต้องวิเคราะห์ต่อในหัวข้อนี้ ให้นำไป
ทดสอบในหัวข้อ 2.3 ได้เลย)
ทดสอบคลอไรด์ไอออน (Cl-)
1) นำสารละลาย soda solution มา 1 mL ใส่ในขวดรูปชมพู่ขนาดเล็ก เติม 1 M

K2CrO4 5 หยด และตามด้วย 6 M HNO3 6 mL ปิดปากขวดด้วยกรวยแก้ว ต้ม
สารละลายจนปริมาตรลดลงครึ่งหนึ่ง ตง้ั ทิ้งไว้ให้เย็น ในขัน้ ตอนน้ีตอ้ งทำในตู้ควนั

(45)

2) รินสารละลายที่ได้ใส่หลอดทดลองด้วยความระมัดระวัง เติม 6 M HNO3 1 mL
และ 0.5 M AgNO3 10 หยด ถา้ มตี ะกอน แสดงวา่ มี Cl-

ทดสอบโบรไมดไ์ อออน (Br-) และไอโอไดดไ์ อออน (I-)
1) นำสารละลาย soda solution มา 1 mL ทำให้เป็นกรดด้วย 6 M HCl เมื่อเป็น

กรดแลว้ ให้เตมิ เพม่ิ ลงไปอกี 5 – 10 หยด จากนน้ั เตมิ CCl4 ลงไป 1 mL
2) หยดน้ำคลอรีนลงไป 1 – 2 หยด อุดปากหลอดด้วยจุกยางทึบ เขย่าแรงๆ 10 คร้ัง

ถ้าเกิดสีม่วงในชั้น CCl4 (ชั้นล่าง) แสดงว่ามี I- แต่ถ้ามีสีส้มปนน้ำตาล (orange
brown) แสดงว่ามี Br- แต่ถ้าในสารละลายมีท้ัง Br- และ I- จะเหน็ สีมว่ งในชน้ั CCl4
คอ่ ยๆ จางหายไป และจะเหลอื เพียงสีส้มปนนำ้ ตาลเทา่ นัน้

2.3 การทดสอบการทดสอบแอนไอออนหมู่ III (หมไู่ นเตรต)
ถ้าทดสอบสองหมู่แรกแล้วไมเ่ กดิ ตะกอน แสดงวา่ อาจมแี อนไอออนหมู่ III ไดแ้ ก่ NO3-
ทดสอบไนเตรตไอออน (NO3-)
1) นำสารละลาย soda solution มา 1 mL ทำให้เป็นกรดด้วย 6 M CH3COOH

หยด 1 M Pb(CH3COO)2 ลงไปทีละหยดและเขย่าทุกครั้ง จนกระทั่งเมื่อหยดแล้ว
ไม่เกิดตะกอนอีก นำไปเซนตริฟิวจ์ และทิ้งตะกอนไป เก็บเซนตริฟิวเกตไว้ทดสอบ
ต่อ (ถ้าเติม 1 M Pb(CH3COO)2 2 – 3 หยด แล้วไม่มีตะกอนเกิดขึ้น ให้นำ
สารละลายใสนไ้ี ปทดสอบตอ่ ไดเ้ ลยโดยไมต่ ้องนำไปเซนตริฟวิ จ์)
2) นำสารละลายใสข้อ 1) มาเติม 0.04 M Ag2SO4 2 mL และ 3 M H2SO4 5 หยด
เขย่า แล้วนำไปเซนตริฟิวจ์ เก็บเซนตริฟิวเกตมาเติมผลึก FeSO4 หรือ
FeSO4(NH4)SO4 ลงไปเทา่ เมลด็ ถ่ัวเขยี ว เขยา่ ให้ละลาย
3) เอียงหลอดทดลองทำมุมประมาณ 45 o ค่อยๆ หยด conc.H2SO4 ลงไป 2 mL ให้
สารละลายค่อยๆ ไหลลงไปข้างหลอด หยดด้วยความระมัดระวัง เพราะจะเกิด
ความร้อนสูง (ควรจับที่บริเวณกลางหลอด) ถ้ามีวงแหวนสีน้ำตาลเกิดขึ้นระหว่าง
รอยตอ่ ของสารละลาย แสดงวา่ มี NO3-

ตอนที่ 2 ปฏิกิรยิ าการวเิ คราะหแ์ คทไอออน
1. การเตรยี มสารละลายตัวอย่างสำหรบั วิเคราะหแ์ คทไอออน

ถ้าสารตัวอย่างเป็นของเหลวหรือสารละลายแล้วนำไปวิเคราะห์ได้เลย แต่ถ้าสาร
ตัวอย่างเป็นของแข็ง ต้องนำไปทำให้เป็นสารละลายก่อน โดยนำสารตัวอย่างของเเข็งมา
ประมาณปลายช้อนตักสารหรือขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ไปทดลองละลายในตัวทำละลาย
ตามลำดับต่อไปนี้ (ใช้ปริมาตรตัวทำละลายประมาณ 0.5 mL ถ้าไม่ละลายที่อุณหภูมิปกติให้
นำไปอุ่น)

(46)

น้ำ > HCl เจอื จาง > HCl เขม้ ข้น > HNO3 เจือจาง > HNO3 เขม้ ข้น > aqua regia
(การใช้ aqua regia จะเกดิ แกส๊ ทีม่ ีกลิ่นฉุนมากและเป็นพิษ จึงควรทำในตู้ควัน)

2. การทดสอบปฏิกิรยิ าการวเิ คราะหแ์ คทไอออน
การทดสอบปฏกิ ริ ิยาของแคทไอออนตอ้ งทำตามลำดับ เน่อื งจากสารละลายตัวอย่างที่ใช้

ทดสอบต้องผ่านการกำจดั ไอออนท่ีเป็นตัวรบกวนออกเสยี กอ่ น
นำสารละลายตัวอย่างมา 1 mL หยด 6 M HCl ลงไป 5 หยด เขย่า แล้วนำไปเซนตริ

ฟิวจ์ ทดสอบว่าตกตะกอนสมบูรณ์หรือไม่โดยหยด 6 M HCl ลงไปอกี 2 หยด ถ้ามตี ะกอนเกิดข้ึน
อีกให้นำไปเซนตริฟิวจ์อีก ทดสอบการตกตะกอนอีกครั้ง หยดต่อจนกระทั่งไม่เกิดตะกอนอีก จึง
ค่อยนำไปเซนตริฟิวจ์ แยกส่วนของตะกอนไปทดสอบแคทไอออนหมู่ I ตามวิธีการในข้อ 2.1
สว่ นเซนตรฟิ ิวเกตนำไปทดสอบต่อในขอ้ 2.2

2.1 ทดสอบแคทไอออนหมู่ I
นำตะกอนมาเติมน้ำกลั่น 2 mL นำไปต้มในน้ำเดือด และเขย่าเป็นระยะๆ นำไปเซนตริ
ฟิวจ์ รินเซนตริฟวิ เกตเกบ็ ไว้ในหลอดทดลองอีกหลอด นำตะกอนไปเติมน้ำกลั่นอีก 2 mL ต้มใน
น้ำเดือด พร้อมเขย่าเป็นระยะๆ นำไปเซนตริฟิวจ์ซ้ำ รินเซนตริฟิวเกตที่ได้ไปรวมกัน นำตะกอน
และเซนตรฟิ วิ เกตทไ่ี ด้ไปทดสอบต่อ ดงั น้ี
ตะกอน เติม 6 M NH4OH 2 mL นำไปเซนตริฟิวจ์ เอาเฉพาะเซนตริฟิวเกตมาเติม 6
M HNO3 ทลี ะหยดจนเปน็ กรด ถา้ ไดต้ ะกอนขาวของ AgCl แสดงวา่ มี Ag+
เซนตริฟิวเกต เติม 1 M K2CrO4 3 หยด ถ้าได้ตะกอนเหลืองของ PbCrO4 แสดงว่ามี
Pb2+

2.2 ทดสอบแคทไอออนหมู่ II
นำเซนตริฟิวเกตมาเติม 3% H2O2 ลงไป 6 – 7 หยด นำไปอุ่นในน้ำเดือดเพื่อไล่ O2
ออก ทำให้เย็น นำไปเติม 6 M NH4OH ทีละหยดจนเป็นเบส จากนั้นเติม 6 M HCl ลงไปทีละ
หยด จนสารละลายเป็นกรด แล้วเติมต่อไปอีก 5 หยด จากนั้นเติมน้ำกลั่นลงไป 2 mL นำไปอุ่น
จนเดือด เติม 2 M thioacetamide ลงไปและทดสอบจนแน่ใจว่าตกตะกอนสมบูรณ์แล้ว นำไป
เซนตริฟิวจ์ แยกเซนตริฟิวเกตไปทดสอบข้อ 2.3 ส่วนตะกอนให้ทดสอบแคทไอออนหมู่ II ตาม
วธิ กี ารต่อไปน้ี
1) เติม 1 M NH4NO3 2 mL เขย่า แล้วนำไปต้มให้เดือด นำไปเซนตริฟิวจ์ เก็บเฉพาะ

ตะกอนมาทดสอบตอ่ (ทิ้งเซนตรฟิ วิ เกตไป)
2) เติม 6 M HNO3 2 mL ลงในตะกอนทีเ่ กบ็ ได้ นำไปอุน่ ให้เดอื ดนาน 5 นาที เขยา่ เป็น

ระยะๆ นำไปเซนตริฟิวจ์และรนิ เซนตรฟิ ิวเกตไวใ้ นหลอดทดลองอกี หลอดหน่ึง

(47)

3) ตะกอนที่ได้ นำไปเติมน้ำกลั่น 10 – 12 หยด เซนตริฟิวจ์ซ้ำ แล้วเทเซนตริฟิวเกตไป
รวมกบั เซนตริฟวิ เกตที่เก็บไว้ในขอ้ 2) นำเฉพาะเซนตรฟิ ิวเกตท่ไี ด้ท้ังหมดไปทดสอบ
ตอ่ สว่ นตะกอนท้ิงไป

4) นำเซนตริฟิวเกตทั้งหมดไปเติม 5 M (NH4)SO4 1 mL เขย่า ตั้งทิ้งไว้ 5 นาที แล้ว
นำไปเซนตริฟวิ จ์ รินเซนตริฟวิ เกตไว้ในหลอดทดลองอีกอนั หนงึ่

5) นำตะกอนมาละลายน้ำกลั่น 10-15 หยด เซนตริฟิวจ์แล้วนำเซนตริฟวิ เกตไปรวมกับ
เซนตรฟิ ิวเกตที่เกบ็ ไว้ในข้อ 4) นำเซนตริฟิวเกตที่ได้ทั้งหมดไปเติม conc.NH4OH ที
ละหยดจนเป็นเบส แลว้ เติมเกินอีก 10 หยด เขยา่ เซนตริฟิวจ์ และรนิ เซนตริฟิวเกต
เก็บไว้ในหลอดทดลองอกี อันหนง่ึ

6) นำตะกอนมาเติมน้ำกลั่น 10 หยด เซนตริฟิวจ์ แล้วนำเซนตริฟิวเกตไปรวมกับเซน
ตริฟิวเกตที่เก็บไว้ในข้อ 5) ซึ่งจะได้ส่วนของตะกอนและเซนตริฟิวเกตซ่ึงจะแยก
ทดสอบดังนี้
ตะกอน เตมิ 1 M SnCl2 5 หยด ตามดว้ ย 6 M NaOH 2 mL เขย่า ถ้าเกดิ
ตะกอนสีดำ แสดงวา่ มี Bi3+
เซนตริฟิวเกต เตมิ 6 M CH3COOH จนเป็นกรด เติมสารละลาย 0.125 M
K4Fe(CN)6 ถ้าเกดิ ตะกอนสนี ำ้ ตาลแดงของ Cu2Fe(CN)6 แสดงวา่ มี Cu2+

2.3 ทดสอบแคทไอออนหมู่ III
นำเซนตริฟิวเกตที่ได้จากข้อ 2.2 มาระเหยจนมีปริมาตรเหลือ 3-4 mL แล้วเติม
conc.NH4OH จนสารละลายเป็นเบส คนให้เข้ากัน เติม 2 M thioacetamide 1 mL นำไปอุ่น
ในน้ำเดือดนาน 10 นาที จนตกตะกอนสมบูรณ์ นำไปเซนตริฟิวจ์ เทเซนตริฟิวเกตไว้ในหลอด
ทดลองอีกอันหนึ่ง ส่วนตะกอนนำมาเติมน้ำกล่ัน 1 mL เขย่า เติม 1 M NH4NO3 5 หยด นำไป
ต้มในน้ำเดือดแล้วเซนตริฟิวจ์ เทเซนตริฟิวเกตไปรวมกับเซนติฟิวเกตที่เก็บเอาไว้ เพื่อนำไป
ทดสอบแคทไอออนหมู่ IV-V ในข้อ 2.4 ส่วนตะกอนที่ได้ให้นำไปทดสอบหาแคทไอออนหมู่ III
ตามวิธกี ารตอ่ ไปน้ี
1) นำตะกอนมาเติม 6 M HCl 2 mL เขยา่ แลว้ ต้มในนำ้ เดือด 2 นาที จากนนั้ เตมิ 6 M

HNO3 ลงไป 1 mL เขย่า แล้วนำไปต้มอีกประมาณ 5 นาที จนตะกอนละลายหมด
(ถา้ มตี ะกอนกำมะถันลอยอยใู่ หต้ ักทิ้งไป)
2) นำสารละลายที่ได้มาเติม 3 M hydrazine chloride 5 หยด แล้วหยด conc.NH4OH
ทีละหยดจนสารละลายเป็นเบส แล้วเติมเกินไปอีก 1 mL เขย่า แล้วนำไปต้มในน้ำ
เดือดนาน 2 – 3 นาที เซนตริฟิวจ์ขณะร้อน ได้ตะกอนและเซนตริฟิวเกต เทเซน
ตรฟิ วิ เกตไวใ้ นหลอดทดลองอีกอันหนงึ่

(48)

3) นำตะกอนมาเติม 1 M KNO3 1 mL ตามด้วย 3 M hydrazine chloride 1 หยด
และ 6 M NaOH 2 หยด เขย่าแรงๆ แล้วนำไปอุ่นในน้ำเดือด นำไปเซนตริฟิวจ์ เท
เซนตริฟิวเกตไปรวมกับเซนตริฟิวเกตที่เกบ็ ไว้ในข้อ 2) เพ่อื นำไปทดสอบแคทไอออน
หมู่ IIIB ในข้อ 5) ส่วนตะกอนนำไปทดสอบแคทไอออนหมู่ IIIA ในขอ้ 4)

4) ทดสอบแคทไอออนหมู่ IIIA โดยเติม 6 M NaOH 2 mL และ 3% H2O2 1.5 mL
ลงในตะกอน เขย่า แล้วต้มในน้ำเดือดนาน 5 นาที เพื่อไล่ O2 นำไปเซนตริฟิวจ์ ซึ่ง
ตะกอนและเซนตริฟวิ เกตท่ีได้จะแยกทดสอบดังน้ี
ตะกอน เติม 3 M H2SO4 2 mL เขย่า แล้วนำไปอุ่นจนตะกอนละลาย
นำไปเซนตริฟิวจ์ เทเซนตริฟิวเกตลงในหลอดทดลอง เติม 1 M KSCN ลงไป 5 หยด
ถ้าไดส้ ารละลายสีแดงเข้มของ Fe(SCN)2+ แสดงว่ามี Fe3+
เซนตริฟิวเกต เติม 6 M CH3COONH4 2 mL เขย่า นำไปอุ่นในน้ำเดือด
นานประมาณ 5 นาที นำไปเซนตริฟิวจ์ เอาเฉพาะส่วนตะกอนมาเติมน้ำกลัน่ 1 mL
เซนตริฟิวจ์ แล้วเอาเฉพาะตะกอนมาเติม 6 M HCl 1 mL อุ่นจนละลายหมด เติม
สารละลาย aluminon 5 หยด และเติม 6 M NH4OH ลงไปทีละหยด ถ้าได้ตะกอน
แดงของ Al(OH)3-aluminon แสดงวา่ มี Al3+

5) ทดสอบแคทไอออนหมู่ IIIB โดยเติม 2 M thioacetamide ลงไป 1 mL ในเซน
ตริฟิวเกตที่เก็บไว้ นำไปอุ่นในน้ำเดือดประมาณ 10 นาที ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น หรืออย่าง
น้อย 15 นาที นำไปเซนตริฟิวจ์ เก็บเฉพาะตะกอนมาเติม 6 M CH3COONH4 2
หยด เตมิ นำ้ กลนั่ ลงไป 10 – 15 หยด นำไปเซนตริฟิวจ์ เกบ็ เฉพาะตะกอนมาเติมน้ำ
กลั่น 1 mL ตามด้วย 6 M CH3COOH 4 หยด เขย่าแรงๆ นาน 2 นาที นำไปเซนตริ
ฟิวจ์ ซ่ึงตะกอนและเซนตริฟวิ เกตที่ไดจ้ ะแยกทดสอบดังนี้
ตะกอน เติมน้ำกลั่น 1 mL แช่หลอดทดลองในน้ำเย็น เติม 6 M HCl 5
หยด เขย่าแรงๆ นาน 1 นาที เซนตริฟิวจ์ ได้ตะกอนและเซนตริฟิวเกต ซึ่งแยก
ทดสอบดังน้ี
ตะกอน เติม 6 M HCl 1 mL และ 6 M HNO3 10 หยด เขย่า
และอุ่นในน้ำเดือด 5 นาที (ถ้ามีตะกอนกำมะถันลอยอยู่ให้ตักทิ้ง
ไป) นำไปเติมน้ำกลั่น 2 mL แบ่งสารละลายเป็น 2 ส่วน แล้ว
นำไปทดสอบดงั นี้
ส่วนที่ 1 ทดสอบ Co2+ เติม 1 M KSCN 3 mL
ถ้าได้สารละลายสีน้ำเงินของ Co(NS)42-แสดงว่ามี
Co2+

(49)

สว่ นท่ี 2 ทดสอบ Ni2+ เตมิ 6 M NH4OH จนเป็น
เบส แล้วเติม dimethylglyoxime 10 หยด ถ้าเกิด
ตะกอนแดงของ Ni(C4H6N2O2H)2 แสดงวา่ มี Ni2+
เซนตริฟิวเกต เติม 2 M sodium citrate 1 mL เขย่า และ
ห ย ด 3 M hydrazine chloride 5 ห ย ด แ ล ะ 2 M
thioacetamide 5 หยด นำไปอ่นุ ในนำ้ เดือด ถ้าเกิดตะกอนขาว
ของ ZnS แสดงว่ามี Zn2+
เซนตรฟิ วิ เกต นำไปตม้ ในนำ้ เดอื ดนาน 2 นาที เพ่อื ไลแ่ กส๊ H2S แลว้ เติม 6
M HNO3 1 mL อนุ่ ในน้ำเดือด 2 นาที เติมน้ำกลั่นลงไปอกี 2 mL แลว้ เติม NaBiO3
ลงไปทีละน้อย เขย่า นำไปอุ่นแล้วเซนตริฟิวจ์ ถ้าได้สารละลายสีม่วง แสดงว่ามี
Mn2+

2.4 ทดสอบแคทไอออนหมู่ IV
นำเซนตรฟิ ิวเกตมาเติม 1 M (NH4)2HPO4 2 mL เขย่าแลว้ ตม้ ในนำ้ เดือด 5 นาที นำไป
แช่ในน้ำเย็น 5 นาที เพื่อให้ตกตะกอนหมด ล้างตะกอนด้วยน้ำกลัน่ 10 – 15 หยด นำไปเซนตริ
ฟวิ จ์ เกบ็ เฉพาะตะกอนมาวเิ คราะห์ตามวธิ ีการตอ่ ไปนี้
1) เตมิ acetone 2 mL เขย่า แลว้ เซนตริฟิวจ์ เกบ็ เฉพาะตะกอนมาทำซ้ำอีกคร้ัง เอา

ตะกอนมาระเหย acetone ออกให้หมดโดยการองั ในนำ้ ร้อนประมาณ 5 นาที
2) เตมิ conc.HNO3 2 mL เขย่า แลว้ นำไปแชใ่ นนำ้ แขง็ ประมาณ 10 นาที นำไปเซน

ตรฟิ วิ จ์ เก็บเซนตรฟิ วิ เกตไวใ้ นหลอดทดลองอกี อันหน่ึง
3) นำตะกอนมาเติม conc.HNO3 1 mL นำไปแช่ในน้ำแข็งประมาณ 10 นาที เซน

ตรฟิ ิวจ์ แล้วนำเซนตริฟิวเกตไปรวมกับเซนตริฟิวเกตที่เก็บไวใ้ นข้อ 2) ถึงตอนน้ีจะ
ได้ตะกอนและเซนตริฟวิ เกต ซึ่งจะแยกทดสอบ ดังนี้

ตะกอน เติมน้ำกลั่นลงไป 5 หยด ตามด้วย 6 M CH3COONH4 เขย่า
นำไปอุ่นจนตะกอนละลายหมด แล้วเติม 1 M K2CrO4 1 mL อุ่นในน้ำเดือด 2-3
นาที นำไปเซนตริฟิวจ์ แล้วนำเฉพาะตะกอนมาเติมน้ำกลั่น 1 mL เซนตริฟิวจ์ แล้ว
เก็บเฉพาะตะกอนมาเติม 6 M HCl 5 หยด จนตะกอนละลาย จากนั้นเติม 6 M
CH3COONH4 1 mL และหยด 1 M K2CrO4 2 หยด ถ้าเกิดตะกอนสีเหลืองของ
BaCrO4 แสดงวา่ มี Ba2+

เซนตริฟิวเกต เติม 1 M (NH4)2HPO4 1 mL เขย่า แล้วนำไปแช่ในน้ำ
เย็นจัด เติม conc.NH4OH ลงไปทีละหยดจนสารละลายเป็นเบส แล้วเติมเกินไปอีก
5 หยด เขย่า แช่หลอดทดลองในน้ำเย็น 5 – 10 นาที เซนตริฟิวจ์และเก็บเฉพาะ
ตะกอนมาเติมน้ำกลั่น 1 mL เซนตริฟิวจ์ แล้วเก็บเฉพาะตะกอนมาเติม 6 M


Click to View FlipBook Version