วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดย นายปราโมทย์ นามศิริ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู งานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการของการปฏิบัติการสอนสถานศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิชาเครื่องกล คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี2566
วิจัยในชั้นเรียน เรื่องการหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดย นายปราโมทย์ นามศิริ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู งานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการของการปฏิบัติการสอนสถานศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิชาเครื่องกล คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี2566
ก ชื่องานวิจัย การหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ชื่อผู้วิจัย นายปราโมทย์ นามศิริ แผนก ช่างยนต์ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์สรศิษฏ์ ธรรมศิริ บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการสอน ในรายวิชางาน บำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนดไว้เพื่อศึกษาประสิทธิผลของผลการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการ สอน วิชางานส่งกำลังรถยนต์สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2 ที่เรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอน วิชางานส่งกำลังรถยนต์โดยทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ ของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานส่งกำลังรถยนต์และศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานส่งกำลังรถยนต์ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปีที่ 1 สาขาวิชาช่างยนต์สาขางานยานยนต์ประจำ ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบ (Cluster Random Sampling) เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานส่งกำลังรถยนต์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักศึกษาที่มีต่อเอกสารประกอบ การเรียนการสอน วิชางานส่ง กำลังรถยนต์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการวิจัยพบว่า ผลการหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษา รถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 มีประสิทธิภาพหลังเรียนร้อยละ 87.05 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ ร้อยละ 80 ค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานส่งกำลังรถยนต์มีค่าเท่ากับ 0.6184 การ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ที่เรียนจากการจัด กิจกรรมการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานส่งกำลังรถยนต์ก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า ผลสัมฤทธิ์ของคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ0.05 ความพึง
ข พอใจของนักศึกษาที่มีต่อ วิชางานลบำรุงรักษารถยนต์พบว่ามีความพึงพอใจมีรวมทุกด้าน ค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 4.57 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.50
ค กิตติกรรมประกาศ การหาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ครั้งนี้สำเร็จลงได้ ด้วยความอนุเคราะห์และช่วยเหลือจาก อาจารย์ถาวร ราชรองเมือง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาได้ถ่ายทอดความรู้ แนวคิด และคำแนะนำต่าง ๆ พร้อมทั้งได้ ตรวจแก้ไขข้อบกพร่องในการทำวิจัยด้วยดีตลอดมา กระผมขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ณ โอกาสนี้ กระผมขอขอบพระคุณวิทยาลัยเทคนิคหนองคาย สาขาวิชาเครื่องกล แผนกช่างยนต์ที่ได้ให้ความ อนุเคราะห์ ในการทำวิจัยการพัฒนาเอกสารประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 และขอบพระคุณคณะครูแผนกวิชาช่างยนต์ ที่ทุกท่านได้ให้คำปรึกษาแนะนำและให้ความช่วยเหลือ ในการดำเนินการตลอดจนการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวิจัย ประโยชน์และคุณค่าอันพึงมีจากการวิจัยฉบับนี้ กระผมขอมอบเป็นกตัญญุตาบูชาแด่ บิดามารดา ครู อาจารย์ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่าน ปราโมทย์ นามศิริ นักศึกษาฝึกประสบการวิชาชีพครู
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 2 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 1.3 สมมติฐานการวิจัย 2 1.4 ขอบเขตการวิจัย 2 1.5 ประโยชน์ที่จะได้รับ 3 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 2.1 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ 4 2.2 การจัดการเรียนการสอน 8 2.3 เอกสารประกอบการสอน 13 2.4 แบบประเมิน 17 2.5 การหาประสิทธิภาพ 20 2.6 งานวิจัยเกี่ยวข้อง 25 3 วิธีการดำเนินการ 28 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 28 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 28 3.3 วิธีสร้างเครื่องมือ 28 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 31 3.5 วิธีดำเนินการทดลอง 33 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 33
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 37 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 37 4.2 ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 37 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 38 5 สรุปผล อภิปรายยผล และข้อเสนอแนะ 47 5.1 สรุปผล 47 5.2 อภิปรายผล 47 5.3 ข้อเสนอแนะ 48 บรรณนานุกรม 50 ภาคผนวก 53 ภาคผนวก ก ภาพการหาประสิทธิ์ภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชา งานบำรุงรักษารถยนต์ 54 ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์การหาประสิทธิ์ภาพของเอกสารประกอบการเรียน การสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ 56 ภาคผนวก ค แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ เอกสารการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ 62 ภาคผนวก ง ภาพการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ เอกสารการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ 64 ภาคผนวก จ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้ เอกสารการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ 66 ประวัติผู้เขียน 70
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1ที่มาและความสำคัญของปัญหา จากกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง มีผลผลักดันให้เกิด การเปลี่ยนแปลง แนวคิดในการจัดการเมืองที่เรียกว่า ปฏิรูปการเมืองการปกครอง ซึ่งมีผลมาถึงแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษาด้วย ทั้งนี้เพราะการศึกษาเป็นกลไกสำคัญที่สามารถพัฒนาคุณภาพ ของบุคคลเพื่อให้บุคคลเหล่านั้นกลับมาพัฒนา สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศให้อยู่รอดและทุกคนมีความสุขสาระสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาแสดง ออกเป็นตัวกำหนดการปฏิบัติในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนให้มีการจัดการ เรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญเพราะถือว่าเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ที่แท้จริงและยั่งยืน (สมภพ สุวรรณรัฐ, มปป. : 1) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดหลักสูตรประกาศนียบัตร วิชาชีพ พุทธศักราช 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555 – 2559 ซึ่งได้จัดวิชางานส่งกำลังรถยนต์กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองและการ ปกครอง พร้อมทั้งกระบวนในการแก้ปัญหาโดยใช้หลักจริยธรรมและคุณธรรม เพื่อให้นักศึกษา ได้ศึกษาความ เจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาการและสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์นำมาใช้แต่การสอนวิชางานส่งกำลังรถยนต์เนื้อหาในบทนี้จะ เน้นถึงสมรรถนะของผู้เรียนซึ่งผู้สอนจะประสบปัญหากับการจัดการเรียนการสอนที่นักศึกษาขาดความสนใจใฝ่ที่ จะศึกษา ครูผู้สอนจะถ่ายทอดความรู้ใช้วิธีการบรรยายหรืออธิบายสอนให้นักศึกษา และนักศึกษาจะไม่ให้ ความ ร่วมมือในการเรียนการสอนจึงส่งผลให้เกิดความเบื่อหน่ายและไม่น่าสนใจทั้งผู้สอนและผู้เรียน ซึ่งสภาพปัญหา ดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาในการจัดการเรียนการสอนควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การเรียนวิชางานส่ง กำลังรถยนต์สัมฤทธิ์ผลตามจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนแนวทางแก้ปัญหาได้แก่การจัดการเรียนการ สอนแบบการบูรณาการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรซึ่งได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ต้องจัดการเรียนการ สอนให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมทั้งทางด้านพุทธพิสัย ทักษะพิสัย คุณธรรมและจริยธรรม ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์สมภพ สุวรรณรัฐ (มปป. :1) การจัดการเรียนการสอนที่มุ่ง จัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วน ร่วมและลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอนจะบังเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น ในฐานะครูผู้สอนวิชางานส่งกำลังรถยนต์จึงได้นำแผนการสอนวิชางานส่งกำลังรถยนต์เน้น ฐานสรรถนะและบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความสามารถและ
2 ความแตกต่างของผู้เรียน โดยวิธีการใช้แผนการสอน วิชางานส่งกำลังรถยนต์เน้นฐานสรรถนะ และบูรณาการ เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้าง กระบวนการคิดการลงมือปฏิบัติและการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มุ่งเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญและบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นคนดีคนเก่ง และมีความสุขนำไปสู่การเป็นทรัพยากรบุคคลอันมี คุณภาพที่ดีในอนาคตที่ดีต่อไป 1.2วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการสอน ในรายวิชางานส่งกำลังรถยนต์รหัสวิชา 2101-2003 นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ที่กำหนดไว้ 1.2.2 เพื่อศึกษาประสิทธิผลของผลการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบ การเรียนการ สอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ 1.2.3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2 ที่ เรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 โดยทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 1.2.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ 1.3สมมติฐานการวิจัย 1.3.1 ผลการหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการสอนรายวิชางานส่งกำลังรถยนต์รหัสวิชา 2101-2003 จะต้องมีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 1.3.2 ผลสัมฤทธิ์ของคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ของคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 1.3.3 ผลการการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการ สอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ มีค่าระดับคะแนนเฉลี่ยไม่ น้อยกว่า 3.5 ในทุก ๆ ด้าน และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ไม่เกิน 1 1.4ขอบเขตการวิจัย 1.4.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ นักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพศรีบุญเรือง 1.4.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาช่างยนต์สาขางานยานยนต์ ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน
3 1.4.3 ระยะเวลาในการทำวิจัย ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2566 ถึงเดือน มกราคม 2567 1.5ประโยชน์ที่จะได้รับ 1.5.1 ได้ทราบประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 1.5.2 ได้ทราบประสิทธิผลของผลการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบ การเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 1.5.3 ได้ทราบผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ในรายวิชางานบำรุงรักษา รถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 1.5.4 ได้ทราบผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน การสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 1.6นิยามศัพท์เฉพาะ 1.6.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง คะแนนที่ทำได้จากการตอบข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ 1.6.2 เอกสารประกอบการเรียนการสอน หมายถึง เอกสารที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อใช้สอนเนื้อหาใด เนื้อหาหนึ่ง โดยนำมาเรียงเป็นระบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน มีจุดประสงค์การเรียนการสอนที่ เด่นชัดเพื่อให้นักศึกษาสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายทางการเรียนได้ภายในเวลา อันสั้น โดยได้กำหนดกิจกรรม เวลา และสื่อการสอนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมุ่งให้เกิดทักษะและส่งเสริมการร่วมกิจกรรมจากสื่อและยุทธวิธีหลายรูปแบบ โดยมีครูเป็นผู้คอยแนะนำช่วยเหลือ 1.6.3 นักศึกษา หมายถึง ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยการอาชีพศรีบุญเรือง ที่เรียนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ประจำภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566
4 บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106ผู้วิจัยได้ ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2.1 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ 2.2 การจัดการเรียนการสอน 2.3 เอกสารประกอบการสอน 2.4 แบบประเมิน 2.5 การหาประสิทธิภาพ 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ 2.1.1 หลักการ 2.1.1.1 เป็นหลักสูตรที่มุ่งผลิตและพัฒนาแรงงานระดับผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาอาชีพ เพื่อ สอดคล้องกับตลาดแรงงาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สามารถเป็นหัวหน้างาน หรือเป็นผู้ประกอบการได้ 2.1.1.2 เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีสมรรถนะในการประกอบอาชีพ มีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติงานได้จริงและเข้าใจในการดำรงชีวิตประจำวัน 2.1.1.3 เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการวิชาชีพมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนวิชาชีพ สามารถถ่ายโอนประสบการณ์การเรียนรู้จากสถานประกอบการ และสามารถสะสมการเรียนรู้และประสบการณ์ได้ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง2565) 2.1.2 จุดมุ่งหมาย 2.1.2.1 เพื่อให้มีความรู้และทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมหรือศึกษาต่อใน ระดับที่สูงขึ้น 2.1.2.2 เพื่อให้มีทักษะและสมรถนะในงานอาชีพตามาตรฐานวิชาชีพ 2.1.2.3 เพื่อให้สามารถบูรณาการความรู้ ทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ในงานอาชีพ ให้ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
5 2.1.2.4 เพื่อให้เจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในงานอาชีพ รักงาน รัก องค์กร สามารถทำงานเป็นหมู่คณะได้ดี และมีความภาคภูมิใจในตนเองต่อการเรียนวิชาชีพ 2.1.2.5 เพื่อให้มีปัญญา ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีความคิดสร้างสรรค์มีความสามรถในการตัดสินใจและการแก้ปัญหา รู้จัก แสวงหาแนวทางใหม่ ๆ มาพัฒนาตนเอง ประยุกต์ใช้ความรู้ในการสร้างงานให้สอดคล้องกับวิชาชีพ และการพัฒนา งานอาชีพอย่างต่อเนื่อง 2.1.2.6 เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ มีวินัย มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงทั้งร่าง การและจิตใจ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานในอาชีพนั้น ๆ 2.1.2.7 เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ทั้งในการทำงาน การอยู่ร่วมกัน มีความรับผิดชอบ ต่อครอบครัว องค์กร ท้องถิ่นและประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อสังคม เข้าใจและเห็นคุณค่าของศิลปะวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตระหนักถึงในปัญหาและความสำคัญของสิ่งแวดล้อม 2.1.2.8 เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยเป็น กำลังสำคัญในด้านการผลิตและให้บริการ 2.1.2.9 เพื่อให้เห็นคุณค่าและดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ปฏิบัติตนในฐานะ พลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.1.3 หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง2565) 2.1.3.1การเรียนการสอน 1) การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธีเรียนที่กำหนด และนำผลการเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้สามารถโอนผลการเรียนและขอเทียบความรู้และ ประสบการณ์ได้ 2) การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริง โดยสามารถนำรายวิชาไปจัดฝึกในสถาน ประกอบการไม่น้อยกว่า 1 ภาคเรียน 2.1.3.2 เวลาเรียน 1) ในปีการศึกษาหนึ่งๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียนปกติภาคเรียนละ 18 สัปดาห์ โดย มีเวลาเรียนและจำนวนหน่วยกิต ตามที่กำหนด และสถานศึกษาอาจเปิดสอนภาคเรียนฤดูร้อนได้อีกตามที่ เห็นสมควร ประมาณ 5 สัปดาห์ 2) การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาเปิดทำการสอนไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 5 วัน คาบ ละ 60 นาที(1 ชั่วโมง) 3) เวลาเรียนปกติสำหรับผู้สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ต้น) หรือเทียบเท่าเข้า ทำการศึกษาในหลักสูตรจำนวน 3 ปีการศึกษา (6 ภาคเรียน) โดยระบบปกติจะฝึกงาน 1 ภาคเรียนและระบบทวิ ภาคีจะฝึกงาน 2 ภาคเรียนจึงจะสำเร็จการศึกษา
6 2.1.3.3 หน่วยกิต ให้มีจำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 103 หน่วยกิต การคิดหน่วยกิต ถือเกณฑ์ดังนี้ 1) รายวิชาภาคทฤษฎี 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมงมีค่า 1 หน่วยกิต 2) รายวิชาที่ประกอบด้วยภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้บูรณาการ การเรียนการสอน กำหนด 2–3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่า 37–60 ชั่วโมง มีค่า 1 หน่วยกิต 3) รายวิชาที่นำไปฝึกงานในสถานประกอบการ กำหนดเวลาในการฝึกปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 37 ชั่วโมง มีค่า 1 หน่วยกิต 4) การฝึกอาชีพในระบบทวิภาคี ใช้เวลาฝึกไม่น้อยกว่า 37 ชั่วโมง มีค่า 1 หน่วยกิต 5) การทำโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 2.1.3.4 โครงสร้าง โครงสร้างของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง2565) แบ่งเป็น 3 หมวดวิชา ฝึกงาน และกิจกรรมเสริมหลักสูตร ดังนี้ 1) หมวดวิชาทักษะชีวิต 22 หน่วยกิต ก) กลุ่มวิชาภาษาไทย (ไม่น้อยกว่า 3 หน่วยกิต) ข) กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ (ไม่น้อยกว่า 6 หน่วยกิต) ค) กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ (ไม่น้อยกว่า 4 หน่วยกิต) ง) กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์(ไม่น้อยกว่า 4 หน่วยกิต) จ) กลุ่มวิชาสังคมศึกษา (ไม่น้อยกว่า 3 หน่วยกิต) ฉ) กลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา (ไม่น้อยกว่า 2 หน่วยกิต) 2) หมวดวิชาทักษะวิชาชีพ 71 หน่วยกิต ก) กลุ่มทักษะวิชาชีพพื้นฐาน (18 หน่วยกิต) ข) กลุ่มทักษะวิชาชีพเฉพาะ (24 หน่วยกิต) ค) กลุ่มทักษะวิชาชีพเลือก (ไม่น้อยกว่า 21 หน่วยกิต) ง) ฝึกประสบการณ์ทักษะวิชาชีพ (4 หน่วยกิต) จ) โครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพ (4 หน่วยกิต) 3) หมวดวิชาเลือกเสรีไม่น้อยกว่า 10 หน่วยกิต 4) ฝึกงาน 5) กิจกรรมเสริมหลักสูตร (2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) จำนวนหน่วยกิตของแต่ละหมวดวิชาตลอดหลักสูตรให้เป็นไปตามกำหนดไว้ในโครงสร้างของแต่ละ ประเภทวิชาและสาขาวิชาส่วนรายวิชาแต่ละหมวดวิชาสถานศึกษาสามารถจัด
7 ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หรือจัดตามความเหมาะสมของสภาพท้องถิ่น ทั้งนี้สถานศึกษาต้องกำหนดรหัสวิชา จำนวนคาบเรียน และจำนวนหน่วยกิต ตามระเบียบที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 2.1.3.5 โครงการ 1) สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนจัดทำโครงการในระหว่างการศึกษา ไม่น้อยกว่า 160 ชั่วโมง กำหนดให้มีค่า 4 หน่วยกิต 2) การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชาอื่น ๆ 2.1.3.6 การฝึกงาน 1) ให้สถานศึกษานำรายวิชาในหมวดวิชาชีพไปจัดฝึกในสถานประกอบการ อย่างน้อย 1 ภาค เรียน 2) การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียนให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ รายวิชาอื่น 2.1.3.7 การเข้าเรียน พื้นความรู้และคุณสมบัติของผู้เรียน ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการจัดการศึกษา ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 2.1.3.8 การประเมินผลการเรียน ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง2565) 2.1.3.9 กิจกรรมเสริมหลักสูตร สถานศึกษาต้องจัดให้มีกิจกรรมเพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ระเบียบวินัยของตนเอง และ ส่งเสริมการทำงาน ใช้กระบวนการกลุ่มในการทำประโยชน์ต่อชุมชน ทะนุบำรุงขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม โดยการวางแผน ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล และปรับปรุงการทำงาน 2.1.3.10 การสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร 1) ประเมินผ่านรายวิชาในหมวดวิชาสามัญ หมวดวิชาชีพ และหมวด วิชาเลือกเสรีตามที่ กำหนดไว้ในหลักสูตรแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา 2) ได้จำนวนหน่วยกิตสะสมครบตามโครงสร้างของหลักสูตรแต่ละ ประเภทวิชาและสาขาวิชา 3) ได้ค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00 4) เข้าร่วมกิจกรรมและผ่านการประเมินทุกภาคเรียน 5) ประเมินผ่านมาตรฐานวิชาชีพสาขาวิชา 2.1.3.11 การแก้ไขและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร 1) ให้อธิบดีกรมอาชีวศึกษาเป็นผู้มีอำนาจในการเพิ่มเติม ปรับปรุง หรือ ยกเลิกประเภทวิชา สาขาวิชา สาขางาน รายวิชาและโครงสร้างหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556
8 2) ให้ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้มีอำนาจเพิ่มเติม แก้ไข เปลี่ยนแปลงรายวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2556 3) ให้สถานศึกษาเป็นผู้มีอำนาจพัฒนา เพิ่มเติมรายวิชา ให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น โดยต้อง รายงานให้ต้นสังกัดทราบ 2.1.4 คำอธิบายรายวิชางานวัดละเอียดช่างยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 2.1.4.1 จุดประสงค์รายวิชา 1) เข้าใจหลักการทำงานของระบบวัดละเอียดช่างยนต์ 2) ใช้เครื่องมือเครื่องวัดทดสอบของระบบวัดละเอียดช่างยนต์ 3) ถอดประกอบตรวจสภาพอุปกรณ์ของระบบวัดละเอียดช่างยนต์ 4) มีกิจนิสัยที่ดีในการทำงานรับผิดชอบประณีตรอบคอบตรงต่อเวลาสะอาดปลอดภัย 2.1.4.2 สมรรถนะรายวิชา 1) แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการทำงานและตรวจสภาพระบบวัดละเอียดช่างยนต์ 2) ตรวจสภาพอุปกรณ์ในระบบวัดละเอียดช่างยนต์ตามคู่มือ 3) ถอดประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ในระบบวัดละเอียดช่างยนต์ตามคู่มือ 4) แก้ไขข้อขัดข้องของระบบวัดละเอียดช่างยนต์ตามคู่มือ 2.1.4.3 คำอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับหลักการทำงาน การใช้เครื่องมือวัดและเครื่องมือทดสอบถอดประกอบ ตรวจ สภาพ บริการ บำรุงรักษา การแก้ไขข้อขัดข้อง แบตเตอรี่ ระบบสตาร์ท ระบบ จุดระเบิด ระบบประจุไฟ ระบบแสงสว่าง ระบบสัญญาณและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในระบบวัดละเอียดช่างยนต์ 2.2การจัดการเรียนการสอน 2.2.1 ความหมายของการจัดการเรียนการสอน การให้ความหมายของการจัดการเรียนการสอน มีผู้ให้ความหมายที่คล้ายคลึงกัน ในหลักการแต่มี รายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้ วรัทยา ธรรมกิตติภพ (2548 : 24)ได้สรุปการเรียนการสอน หมายถึง ขั้นตอน ข้อเสนอแนะในการ ดำเนินการจัดการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับเนื้อหา เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้หรือเกิดประสิทธิผลแก่ผู้เรียน หรือบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2546 : 72) ให้ความหมายการเรียนการสอน หมายถึง การปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการ เรียนการสอนและการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างผู้สอนและผู้เรียน เพื่อให้การสอน ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและการเรียนรู้ของผู้เรียนบรรลุสู่จุดประสงค์การสอนที่กำหนดไว้
9 ชาติชาย พิทักษ์ธนาคม (2544 : 236 – 237) การเรียนการสอน หมายถึง การปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ การเรียนการสอนเพื่อให้การสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและการเรียนรู้ของผู้เรียนบรรลุสู่จุดประสงค์การ สอนที่กำหนดไว้ ไสว ฟักขาว (2544 : 18) ให้ความหมายการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการที่มี การวางแผน เพื่อจัดสภาพการณ์ให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนในการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งในระหว่างการปฏิสัมพันธ์นั้นผู้สอนก็จะได้เรียนรู้จากผู้เรียนด้วย อรทัย มูลคำและสุวิทย์ มูลคำ (2544 : 11) ได้ให้ความหมาย การเรียนการสอน หมายถึง การจัด กิจกรรมประสบการณ์หรือสถานการณ์ใด ๆ ที่มีความหมายกับ ผู้เรียน ได้ลงมือปฏิบัติและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ ด้วยตนเอง โดยการสังเกต วิเคราะห์ ปฏิบัติ สรุป เพื่อสร้างนิยามความหมายและผลิตองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำให้ เกิดการเรียนรู้ทุกด้านอย่าง สมดุล กรมวิชาการ (2544 : 45) ให้ความหมายการเรียนการสอน หมายถึง ขั้นตอนที่ครูนำกิจกรรม ต่าง ๆ ที่ กำหนดไว้ในแผนการเรียนรู้มาสู่การปฏิบัติจริง โดยเน้นนักเรียนเป็นสำคัญเพื่อให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้และมี คุณลักษณะตามเป้าหมายที่ต้องการ จากที่กล่าวมาข้างต้นพอสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนนั้นหมายถึง สภาพการเรียนรู้ ที่กำหนด ขึ้นเพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนการสอนที่กำหนดไว้ในแผนการเรียนรู้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อหาและสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2.2.2 ความสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนการสอนเพราะ กิจกรรมการเรียน การสอนของผู้เรียนและผู้สอนที่เหมาะสมจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง (อาภรณ์ ใจเที่ยง , 2546 : 72 อ้างถึง วารี ถิระจิตร เชาวกีรติพงศ์ , 2530 : 162-163) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ ดังนี้ 2.2.2.1 กิจกรรมช่วยเร้าความสนใจของเด็ก 2.2.2.2 กิจกรรมจะเปิดโอกาสให้นักเรียนประสบความสำเร็จ 2.2.2.3 กิจกรรมจะช่วยปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย 2.2.2.4 กิจกรรมจะช่วยปลูกฝังความรับผิดชอบ 2.2.2.5 กิจกรรมจะช่วยปลูกฝังและส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2.2.2.6 กิจกรรมจะช่วยให้นักเรียนได้มีการเคลื่อนไหว 2.2.2.7 กิจกรรมจะช่วยให้นักเรียนได้รู้สึกสนุกสนาน 2.2.2.8 กิจกรรมช่วยให้เห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล 2.2.2.9 กิจกรรมช่วยขยายความรู้และประสบการณ์ของเด็กให้กว้างขวาง
10 2.2.2.10กิจกรรมจะช่วยส่งเสริมความงอกงามและพัฒนาการของเด็ก 2.2.2.11กิจกรรมจะช่วยส่งเสริมทักษะ 2.2.2.12กิจกรรมจะช่วยปลูกฝังเจตคติที่ดี 2.2.2.13กิจกรรมจะช่วยส่งเสริมให้เด็กรู้จักทำงานเป็นหมู่ 2.2.2.14กิจกรรมจะช่วยให้เด็กเกิดความเข้าใจในบทเรียน 2.2.2.15กิจกรรมจะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความซาบซึ้ง ความงามในเรื่องต่าง ๆ ดังนั้น ผู้สอนจึงไม่ควรละเลยที่จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้น่าสนใจ ให้สอดคล้องกับวัย สติปัญญา ความสามารถของผู้เรียน และเนื้อหาของบทเรียนนั้น โดยต้องจัดอย่างมีจุดมุ่งหมาย 2.2.3 จุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2.2.3.1 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ชาติชาย พิทักษ์ธนาคม (2544 : 238) ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้ 1) เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาไปพร้อมกัน 2) เพื่อสนองความสามารถ ความถนัด ความสนใจของผู้เรียนทุกคน ซึ่งแต่ละคนจะมีแตกต่าง กัน 3) เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเรียนด้วยความเพลิดเพลิน ไม่เกิด ความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเรียน 4) เพื่อสนองเจตนารมณ์ของหลักสูตร ให้ผู้เรียนได้คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นและ เกิด ทักษะกระบวนการ 5) เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าแสดงออก และมีส่วนร่วมในการเรียน ผู้สอนจึงควรจัดกิจกรรม การเรียนการสอนทุกครั้ง เพื่อประโยชน์แก่ผู้เรียนเป็นสำคัญ 2.2.3.2 สอดคล้องกับ ไสว ฟักขาว (2544 : 25-26) ที่ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่ดีนั้น จะทำให้เกิดสิ่งต่อไปนี้ 1) ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมายและมีเป้าหมาย 2) ผู้เรียนได้ใช้วิธีการเรียนรู้แบบ “ฉลาดรู้” 3) ผู้เรียนมีการพัฒนาการเรียนรู้ที่จะทำให้รู้จริง รู้แจ้ง รู้ลึกซึ้งและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต 4) ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้อย่างเหมาะสมบนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง การผสมผสานใน ศาสตร์ต่าง ๆ และใช้อย่างมีคุณธรรม เพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม 5)ผู้เรียนมีการพัฒนาอย่างสมดุล ในคุณลักษณะทางกาย ปัญญา คุณธรรมและทักษะการใช้ชีวิต จากจุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดังกล่าวสรุปได้ว่า ครูผู้สอน จึงควรจัดกิจกรรม การเรียนการสอนทุกครั้ง เพื่อประโยชน์แก่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเรียนรู้อย่างมีความสุข
11 2.2.4 หลักการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ดีนั้น ควรเป็นไปเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดความสมดุลทั้งทางกาย ปัญญา คุณธรรมและทักษะการใช้ชีวิต สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพและ ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวม อาภรณ์ใจเที่ยง (2546 : 73-76) ได้กล่าวถึงหลักการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้ 2.2.4.1 จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับกิจกรรมของหลักสูตร 2.2.4.2 จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การสอน 2.2.4.3 จัดกิจกรรมให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย 2.2.4.4 จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับลักษณะของเนื้อหาวิชา 2.2.4.5 จัดกิจกรรมให้มีลำดับขั้นตอน 2.2.4.6 จัดกิจกรรมให้น่าสนใจ 2.2.4.7 จัดกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทำกิจกรรม 2.2.4.8 จัดกิจกรรมโดยใช้วิธีการที่ท้าทายความคิดความสามารถของผู้เรียน 2.2.4.9 จัดกิจกรรมโดยใช้เทคนิควิธีการสอนที่หลากหลาย 2.2.4.10จัดกิจกรรมโดยให้มีบรรยากาศที่รื่นรมย์ 2.2.4.11จัดกิจกรรมแล้วต้องมีการวัดผลการใช้กิจกรรมนั้นทุกครั้ง จากหลักการดังกล่าวสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรดำเนินการ เพื่อประโยชน์แก่ ผู้เรียนอย่างแท้จริง โดยมุ่งพัฒนาความเจริญทุกด้านให้แก่ผู้เรียน เร้าให้ผู้เรียนแสดงออกและได้มีส่วนร่วมฝึกฝน วิธีการแสวงหาความรู้ วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองและจัดโดย มีบรรยากาศที่รื่นรมย์ สนุกสนาน ตลอดจนจัดให้ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 2.2.5 แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตร เนื่องจากหลักสูตรเป็นแผนแม่บทในการกำหนดขอบข่ายความรู้ ความสามารถและ มวล ประสบการณ์ ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนจำเป็นต้องทราบถึงความคาดหวังของหลักสูตรใน ภาพรวมที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะในด้านต่าง ๆ หลักสูตรประกาศนียบัตร วิชาชีพ พุทธศักราช 2546 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, 2546) เป็นหลักสูตรที่มุ่งผลิตและพัฒนา แรงงานระดับผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาอาชีพ โดยมีหลักการดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรที่มุ่งผลิตและพัฒนาแรงงานระดับผู้ชำนาญการเฉพาะ สาขาอาชีพ สอดคล้อง กับตลาดแรงงาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สามารถเป็นหัวหน้างานหรือเป็น ผู้ประกอบการได้
12 2) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีสมรรถนะในการประกอบอาชีพ มีความรู้เต็มภูมิปฏิบัติได้ จริงและเข้าใจชีวิต 3) เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการวิชาชีพมีส่วนร่วมในการเรียน การสอนวิชาชีพ สามารถถ่ายโอนประสบการณ์การเรียนรู้จากสถานประกอบการ และสามารถสะสมการเรียนรู้และประสบการณ์ได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ดังกล่าว หลักสูตรจึงเน้นให้จัดกิจกรรมการเรียน การสอน (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, 2546) โดยยึดจุดมุ่งหมาย 9 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อให้มีความรู้และทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิตสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมหรือศึกษา ต่อในระดับที่สูงขึ้น 2) เพื่อให้มีทักษะและสมรรถนะในงานอาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ 3) เพื่อให้สามารถบูรณาการความรู้ ทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ในงานอาชีพ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 4) เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในงานอาชีพ 5) เพื่อให้มีปัญญา ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการจัดการ การ ตัดสินใจและการแก้ปัญหา รู้จักแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ มาพัฒนาตนเอง ประยุกต์ใช้ความรู้ในการสร้างงานให้ สอดคล้องกับวิชาชีพและการพัฒนางานอาชีพอย่างต่อเนื่อง 6) เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ มีวินัย มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้ง ร่างกายและจิตใจ เหมาะสมกับการปฏิบัติในอาชีพนั้น ๆ 7) เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ทั้งในการทำงาน การอยู่ร่วมกัน มีความรับผิดชอบ ต่อครอบครัว องค์กร ท้องถิ่นและประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อสังคม เข้าใจและเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทย ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ตระหนักในปัญหาและความสำคัญของสิ่งแวดล้อม 8) เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็น กำลังสำคัญในด้านการผลิตและให้บริการ 9) เพื่อให้เห็นคุณและดำรงไว้ ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติตนในฐานะ พลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดังกล่าวสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นหัวใจของการนำผู้เรียนไปสู่จุดหมายหลักของหลักสูตรผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนเป็นสำคัญ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องจัดให้สอดคล้องกับ หลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2546 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ที่มุ่ง พัฒนาผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนเน้นการปฏิบัติจริง เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการติดตัว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้
13 2.3เอกสารประกอบการสอน 2.3.1 ส่วนประกอบของเอกสารประกอบการสอน ผลงานทางวิชาการที่เป็นเอกสารนั้น โดยเฉพาะหนังสือตำราและเอกสารประกอบการสอนต่าง ๆ ทรง จิตประสาท (2534) ได้แบ่งส่วนประกอบของหนังสือออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบตอนท้าย มีส่วนย่อย ๆ แยกออกไปได้อีกดังนี้ 2.3.1.1 ส่วนประกอบตอนต้น 1) หน้าปกใน คือ กระดาษที่จัดไว้เป็นหน้าแรกถัดจากปกนอกมีข้อความเหมือนปกนอกทุก อย่าง 2)คำนิยม คือ ข้อเขียนของผู้อื่น ซึ่งเขียนนิยมยกย่องหนังสือนั้น เป็นการรับรองคุณภาพ หรือ รับรองผู้เขียนไปในตัว จึงนิยมขอให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นเขียนคำนิยมให้ 3) คำนำ เป็นข้อเขียนของผู้เขียนเอง กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้เขียนสนใจที่จะศึกษาเรื่องนั้นหรือ เขียนเรื่องนั้น บางแห่งบอกไว้ด้วยว่า ในหนังสือนั้นแต่ละตอนพูดถึงเรื่องอะไร และกล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความ ช่วยเหลือจนหนังสือสำเร็จ 4) สารบัญ หมายถึง บัญชีบทต่าง ๆ เรียงตามลำดับที่ปรากฏในหนังสือ เพื่อช่วยให้สะดวกใน การค้นอ่านเรื่องนั้น ๆ 5) บัญชีตาราง แสดงตารางทุกตารางที่ปรากฏในหนังสือเรียงตามลำดับ 6) บัญชีภาพประกอบ แสดงชื่อภาพประกอบทั้งหมดตามลำดับ รวมทั้งภาพประกอบในภาคผนวกด้วย 2.3.1.2 ส่วนเนื้อเรื่อง แยกออกไปได้เป็น 2 ส่วน คือ 1) ส่วนที่เป็นเนื้อหา คือ 1.1) โครงสร้าง แบ่งเค้าโครงเป็น 3 ตอน ได้แก่ 1.1.1) ตอนนำ อาจมีบทเดียวหรือมากกว่าก็ได้ 1.1.2) ตอนตัวเรื่อง โดยปกติจะมีหลายบท เรียบเรียงตามลำดับความคิดและเหตุผล ถือหลักว่า ให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่เขียนได้ง่าย และแจ่มแจ้งเป็นลำดับตั้งแต่ต้น จนจบ หัวข้อที่ลำดับไว้นั้น สามารถ แสดงให้ผู้อ่านเห็นว่า ผู้เขียนมีหลักมีเกณฑ์และได้ศึกษา ในเรื่องนั้นอย่างกว้างขวางลึกซึ้งเพียงไร 1.1.3) ตอนลงท้าย อาจมีบทเดียวหรือมากกว่าก็ได้ 1.2) บทนำหรือความนำ ควรประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ 1.2.1) ความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขียน อันได้แก่ ภูมิหลัง ต่างๆ 1.2.2) สาเหตุที่ทำให้อยากศึกษาหรือเขียนเรื่องนี้ 1.2.3) จุดประสงค์ของการเขียนเรื่องนี้
14 1.2.4) ข้อตกลงเบื้องต้น หมายถึง ความคิดพื้นฐานบางประการ ซึ่งผู้เขียนประสงค์จะ ทำความเข้าใจกับผู้อ่านก่อน 1.2.5) ขอบข่ายของเรื่องที่จะเขียน หมายถึง การขีดวงจำกัดลงไปให้แน่นอนว่า จะ เขียนในขอบเขตไหน 1.2.6) ความสำคัญของวิชานั้น 1.2.7) คำจำกัดความของคำสำคัญต่าง ๆ 1.2.8) วิธีการเขียนหรือการจัดระบบหัวข้อ 1.2.9)และอื่น ๆ 2) ส่วนประกอบในเนื้อหา 2.1)อัญประภาษ ข้อความที่คัดมาจากคำพูดหรือข้อเขียนของผู้อื่น นำมาไว้ในหนังสือ โดยไม่ เปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ เลย แม้แต่การสะกดการันต์ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ อัญประภาษตรงและอัญประภาษรอง 2.2) การอ้างอิง ระบุแหล่งที่มาของข้อความในตัวเรื่องที่ยกมาทั้งโดยตรงและที่ประมวล ความคิดมา 2.3) ตาราง การนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ โดยจัดเป็นหมวดหมู่ ให้เข้าใจง่ายและชัดเจน ยิ่งขึ้น 2.4) ภาพประกอบ ส่วนที่ใช้ประกอบการอธิบาย ภาพประกอบมีหลายประเภท เช่น ภาพถ่าย ภาพเขียน ภาพลายเส้น ภาพพิมพ์ ภาพถ่ายเอกสาร แผนที่ แผนผัง แผนภูมิ ไดอะแกรม กราฟ เป็นต้น 2.5) บันทึกเพิ่มเติม ข้อความที่ผู้เขียนต้องการอธิบายหรือขยายความเพิ่มเติม เพื่อ ประกอบเนื้อเรื่องให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือ ภาคผนวกย่อย ๆ 2.3.1.3) ส่วนประกอบตอนท้าย 1) หน้าบอกตอน คือ หน้าที่มีเพียงหัวข้อหรือหัวเรื่องของตอนหนึ่ง ๆ เท่านั้น ส่วนมากจะพิมพ์ ไว้ตรงกลางของหน้านั้น ๆ เช่น หน้าบอกตอนของบรรณานุกรม จะมีคำว่า “บรรณานุกรม” ปรากฏอยู่ในหน้าบอก ตอนนั้นเท่านั้น 2) บรรณานุกรม คือ รายการวัสดุที่นำมาอ้างอิง เช่น หนังสือ เป็นต้น เป็นที่รวมหลักฐานทั้งที่ ได้รับการอ้างอิงเป็นอัญประภาษ และที่ผู้เขียนได้ค้นคว้ามา 3) ภาคผนวก คือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับหนังสือนั้น แต่ไม่ใช่เนื้อหาของหนังสือ เป็นส่วนที่นำมา เพิ่มขึ้นในตอนท้าย เพื่อช่วยผู้อ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น อาจเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล อัญประภาษ ที่มีขนาดยาว แบบสอบถาม และอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้แก่ผู้อ่าน การที่จัดความรู้เหล่านี้ไว้เป็นภาคผนวก ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเรื่องของหนังสือสับสนเกินไป
15 4) อภิธานศัพท์ คือ ความหมายของศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้ในหนังสือ แต่ถ้าศัพท์ที่ต้องการอธิบายมี จำนวนน้อย ผู้เขียนอาจอธิบายความหมายของศัพท์นั้นไว้ในตอนใดตอนหนึ่งของ บทนำ หรือเขียนไว้ในบันทึก เพิ่มเติมก็ได้ 5) ดัชนี หรือ ดรรชนี คือ การชี้ว่าคำใดอยู่ในหน้าใดของหนังสือนั้นเพื่อสะดวกในการค้นหาคำ ต่าง ๆ ผลงานทางวิชาการที่เป็นเอกสารจำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบข้างต้นนี้ ยกเว้น คำนิยม บันทึกเพิ่มเติม หน้าบอกตอน ภาคผนวก อภิธานศัพท์ ดัชนี จะมีหรือไม่มีก็ได้ ส่วนบัญชีตาราง บัญชีภาพประกอบ จะมีต่อเมื่อมีปรากฏในหนังสือเท่านั้น นอกนั้นต้องมีครบทุกหัวข้อ โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นเอกสารประกอบการ สอน หรือเอกสารคำสอน หรือตำราคำสอน จะต้องมีหัวข้อต่อไปนี้เพิ่มเติมด้วย คือ 1) รหัสวิชา (ถ้ามี) 2) ชื่อรายวิชา 3) จำนวนหน่วยกิต และจำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการเรียนการสอนวิชานี้ 4) คำอธิบายรายวิชาตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ 5) จุดมุ่งหมายของรายวิชา 6) เนื้อหาของรายวิชา 7) แนวการสอนของแต่ละบท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 7.1) ความคิดรวบยอด 7.2) จุดประสงค์ 7.3) เนื้อหา 7.4) กิจกรรมการเรียนการสอน 7.5) สื่อการเรียนการสอน 7.6) วัดผลประเมินผล 7.7) แบบฝึกหัด 7.8) คำถามท้ายบท 2.3.2 การจัดทำเอกสารประกอบการสอน กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้ครูจัดทำเอกสารประกอบการสอน หรือเอกสาร ประกอบการจัดการเรียนรู้ได้เอง การเขียนเอกสารประกอบการสอน หรือเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ ครูจะต้องศึกษาหาความรู้ในการเขียนหรือเรียบเรียงเอกสารดังกล่าว ทำให้ครูเกิดการพัฒนาตนเองไปโดยปริยาย
16 ในการประเมินผลงานทางวิชาการก็ได้ให้ความสำคัญกับการจัดทำเอกสารประกอบการสอน หรือ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้มากเป็นพิเศษ เพราะเอกสารดังกล่าว จัดเป็นนวัตกรรมการศึกษาที่จะทำให้ ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ถวัลย์ มาศจรัล และพรพรต เจนสุวรรณ์ (2547) ได้กล่าวถึง การจัดทำเอกสารประกอบการสอน หรือเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ สามารถที่จะจัดทำได้ในทุกกลุ่มสาระ การเรียนรู้ ดังรูปที่ 2.1 รูปที่ 2.1 แสดงเอกสารประกอบการสอนเพื่อจัดการเรียนรู้ หลักง่าย ๆ ในการจัดทำเอกสารประกอบการสอน หรือเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้นั้น ถวัลย์ มาศจรัส และ พรพรต เจนสุวรรณ์ (2547) ได้กล่าวถึงการจัดทำเอกสารประกอบการสอนไว้ 5 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาหลักสูตรโดยละเอียด ขั้นที่ 2 ศึกษา ค้นคว้า รวบรวม เนื้อหาสาระจากตำรา เอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ขั้นที่ 3 นำข้อมูลจากขั้นที่ 2 มาศึกษาเนื้อหาสาระ จัดแบ่งบทในแต่ละบท แต่ละตอน ให้เหมาะสม ว่าต้องการนำเสนออะไรมากน้อยแค่ไหน ขั้นที่ 4 แล้วกำหนดเนื้อหาสาระในการจัดทำในแต่ละบท แต่ละตอนโดยละเอียด ซึ่งอาจจะ แบ่งเป็นหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อย เป็นเรื่อง ๆ เช่น 1) บทที่ 1 คำและสำนวน (เป็นหัวข้อใหญ่) 1.1) ความหมายเฉพาะ (เป็นหัวข้อย่อย) 1.2) ความหมายเทียบเคียงกับคำอื่น ฯลฯ ขั้นที่ 5 เขียนอธิบายเนื้อหาสาระของหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยให้เหมาะสมกับเวลาที่กำหนดไว้ใน แผนการจัดการเรียนรู้ และจำนวนคาบเวลาเรียนที่หลักสูตรกำหนด เอกสารประกอบการสอน นอกจากมีเนื้อหาสาระแล้ว สิ่งที่ต้องจัดทำก็คือแบบทดสอบก่อนเรียน-หลัง เรียน แบบฝึกหัด ตัวอย่างหรืออื่น ๆ ที่ผู้สอนเห็นว่ามีความจำเป็นในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ เอกสาร ประกอบการเรียน การสอนหรือ เอกสารประกอบ การจัดการเรียนรู้ เพื่อ จัดการ เรียนรู้
17 2.3.3 การตรวจสอบคุณภาพของเอกสารประกอบการสอน การตรวจสอบคุณภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนนั้น มีตาราง การตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้ (ถวัลย์ มาศจรัส และพรพรต เจนสุวรรณ์, 2547) ตารางที่ 2.1 แสดงการตรวจสอบคุณภาพผลงานทางวิชาการ ที่ อังกฤษ ไทย การตรวจสอบ มี ไม่มี 1 Content มีเนื้อหาสาระครบถ้วน 2 Correct มีความถูกต้อง 3 Capping มีความทันสมัย 4 Continuity มีความต่อเนื่อง 5 Clearly มีความชัดเจน 6 Creativity มีความคิดสร้างสรรค์ 7 Comprehensive มีความครอบคลุม กว้างขวางและสมบูรณ์ 8 Concise มีความกระชับ รัดกุม 9 Conclusion มีบทสรุปที่ดี ตารางนี้ใช้ประเมินคุณค่าผลงานทางวิชาการได้ทุกประเภท ในส่วนไหนที่ตรวจสอบแล้ว “มี” ก็พัฒนา ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ในส่วนไหนที่ตรวจสอบแล้ว “ไม่มี” ก็จัดการเพิ่มเติมเสียให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 2.4แบบประเมิน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (Research Instruments) เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยนำมาใช้ให้ได้มาซึ่งข้อมูล เพื่อนำไป วิเคราะห์แล้วสรุปออกมาเป็นผลการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกได้ หลายชนิด แต่ละชนิดจะมี ลักษณะ และชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป ตามความเหมาะสมของวิธีการวิจัย การวิจัยในทางสังคมศาสตร์ แบ่ง ลักษณะเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต และแบบสอบถาม ใน การศึกษาในครั้งนี้ผู้ทำการศึกษาได้ใช้ ทฤษฎีการประเมินเป็นลักษณะแบบสอบถาม ซึ่งแบบสอบถาม เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยที่นิยมกันมากที่สุด ลักษณะโดยทั่วไปจะคล้ายกับแบบสอบถาม จะแตกต่างกันตรงที่ แบบสอบถามจะเน้นถาม ความเป็นจริง (Fact) ของตัวผู้ตอบ และความรู้สึกนึกคิดของผู้ตอบต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ตามที่แบบสอบถามได้กำหนดไว้ดังนั้นการตอบจึงไม่มีข้อใดที่ตอบผิด เพราะทุกข้อผู้ตอบตอบข้อเท็จจริงที่ เป็นอยู่ หรือมีความคิดเห็นว่าเป็นเช่นนั้นผลที่ได้ออกมาจึงมิได้มีค่าเป็นคะแนนแต่จะออกมาเป็นค่าความถี่ การ กำหนดรูปแบบข้อคำถามในแบบสอบถามอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ข้อคำถามแบบเปิด
18 (OpenEndedQuestion) และข้อคำถามแบบปิด (CloseEndedQuestion) งานวิจัยควรใช้ข้อคำถามแบบใดนั้น จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะของข้อมูล วัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย ลักษณะของ ผู้ตอบ งบประมาณระยะเวลาในการวิจัย วิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งลักษณะรูปแบบ คำถามในแบบสอบถามจะได้กล่าวดังต่อไปนี้ ลักษณะที่ 1 ข้อคำถามแบบเปิด (Open Ended Question) ลักษณะของข้อคำถาม จะเป็นการตั้ง คำถามโดยเปิดโอกาสให้ผู้ตอบตอบได้อย่างเสรี เพื่อให้ได้มาซึ่งความคิดเห็นอย่างกว้าง ๆ ผู้วิจัยสามารถกำหนด ความยาวของคำตอบด้วยจำนวนบรรทัดที่เว้นไว้ให้ตอบ งานวิจัยหลายเรื่อง ยอมเสียเวลาโดยการสอบถามข้อ คำถามแบบเปิดก่อนเพื่อนำมาสร้างข้อคำถามแบบปิดในลำดับต่อมา ข้อคำถามแบบเปิดสร้างคำถามได้ง่ายแต่จะมี ความยุ่งยากและใช้เวลาอย่างมากในตอนสรุป เพราะข้อมูลที่ได้ จะกระจัดกระจายผู้วิจัยจะต้องใช้วิธีการวิเคราะห์ เนื้อหา (Contents Analysis) โดยจับเนื้อหาที่มีประเด็นคล้ายคลึงกันอยู่ในกลุ่มเดียวกันเพื่อการสรุป ผลการวิจัย ลักษณะที่ 2 ข้อคำถามแบบปิด (Close Ended Question) ลักษณะเป็นการตั้งคำถาม โดยมีการ กำหนดตัวเลือกคำตอบต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ตอบเลือกตอบจากตัวเลือกที่กำหนดไว้ให้เท่านั้นการกำหนด ตัวเลือกคำตอบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้วิจัยจะต้องศึกษาค้นคว้า มาเป็นอย่างดี ตัวเลือกตอบจึงจะ สามารถครอบคลุมข้อคำถามแบบปิดนี้ได้ การสร้างข้อคำถาม แบบปิดจะต้องอาศัยการใช้ความรู้ความสามารถ ของผู้วิจัยเป็นพิเศษ ใช้ระยะเวลาและการค้นคว้ามากกว่าการสร้างข้อคำถามแบบเปิด แต่จะเป็นผลดีต่อตัวผู้ตอบ ที่จะได้รับความสะดวก รวดเร็ว และ ผู้ตอบจะมีความเต็มใจที่จะตอบมากกว่าข้อคำถามแบบเปิดทั้งยังช่วยให้ผู้วิจัย สามารถวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการวิจัยได้ ง่าย รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ข้อคำถามแบบปิดที่นิยมใช้กัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ (Check-List) แบบจัดอันดับ (Ranking Question) และ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ประเภทที่ 1 แบบตรวจสอบรายการ (Check-List) ข้อคำถามแต่ละข้อตัวเลือกคำตอบตั้งแต่ 2 ตัวเลือกขึ้นไป บางข้อคำถามอาจให้เลือกคำตอบเพียงตัวเลือกเดียวแต่บางข้อคำถามอาจให้เลือกตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก ประเภทที่ 2 แบบจัดอันดับ (Ranking Question) ลักษณะของข้อคำถามต้องการ ให้ผู้ตอบใส่ ตัวเลขเรียงลำดับคำตอบต่าง ๆ ตามลำดับจากมากไปหาน้อย โดยเริ่มใส่ตั้งแต่หมายเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10…ตามลำดับ ประเภทที่ 3 แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ลักษณะของข้อคำถามต้องการให้ผู้ตอบ ประเมินข้อคำถามออกมา เป็นระดับมาตราส่วนตามความสำคัญ หรือ ตามความคิดเห็น การสร้างข้อ คำถามจะมีการกำหนดระดับมาตราส่วนต่าง ๆ มาให้เรียบร้อย ค่าที่กำหนดมักจะเป็นค่าเลขคี่ โดยให้มีค่าตรง กลางเป็นจุดสมดุล เช่น
19 ระดับมาตราส่วน 3 ระดับ มาก ปานกลาง น้อย เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ระดับมาตราส่วน 5 ระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง การกำหนดระดับมาตราส่วน 5 ระดับ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด สำหรับงานวิจัยประเภทสำรวจความ คิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติ หรือ พฤติกรรมต่าง ๆ ระดับมาตราส่วนนอกจากจะเขียน เป็นข้อความแล้วยังสามารถ เขียนกำหนดเป็นค่าตัวเลขกำกับไว้ด้วยก็ได้ ข้อคำถามที่เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ผู้วิจัย มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดระดับมาตราส่วนที่เป็นข้อความให้เป็นค่าน้ำหนักตัวเลขเพื่อประโยชน์ต่อการ นำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ซึ่งโดยทั่วไปจะกำหนดค่าน้ำหนักตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี้ ระดับความคิดเห็น ค่าน้ำหนักของตัวเลือก มากที่สุด หรือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง กำหนดให้มีค่าเท่ากับ 5 มาก หรือ เห็นด้วย กำหนดให้มีค่าเท่ากับ 4 ปานกลาง หรือ ไม่แน่ใจ กำหนดให้มีค่าเท่ากับ 3 น้อย หรือ ไม่เห็นด้วย กำหนดให้มีค่าเท่ากับ 2 น้อยที่สุด หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กำหนดให้มีค่าเท่ากับ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติในกรณีแบบสอบถามมีข้อกำหนดเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มักจะใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) เป็นตัวสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บมาได้จากจำนวนตัวอย่างทั้งหมด ค่าเฉลี่ย ( X ) ที่คำนวณได้ส่วนใหญ่จะมีทศนิยม 2 ตำแหน่ง ดังนั้นผู้วิจัย จึงต้องกำหนดเกณฑ์การแปล ความหมายเพื่อจัดระดับค่าเฉลี่ยออกเป็นช่วงดังต่อไปนี้ ค่าเฉลี่ย 4.50 ถึง 5.00 กำหนดให้อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก หรือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ค่าเฉลี่ย 3.50 ถึง 4.49 กำหนดให้อยู่ในเกณฑ์ ดี หรือ เห็นด้วย ค่าเฉลี่ย 2.50 ถึง 3.49 กำหนดให้อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง หรือ ไม่แน่ใจ ค่าเฉลี่ย 1.50 ถึง 2.49 กำหนดให้อยู่ในเกณฑ์ น้อย หรือ ไม่เห็นด้วย ค่าเฉลี่ย 1.00 ถึง 1.49 กำหนดให้อยู่ในเกณฑ์ น้อยที่สุด หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
20 X X = N 2.1 เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนระดับความคิดเห็น X แทน ผลรวมคะแนนทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คือ ค่ารากที่สองของผลรวมของความแตกต่าง ระหว่างข้อมูลดิบกับ ค่าเฉลี่ยยกกำลังสอง หารด้วยจำนวนข้อมูลทั้งหมด ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สามารถคำนวณหาได้ 2 แบบ คือ การคำนวณหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากข้อมูลดิบที่ไม่อยู่ในรูป ของตารางแจกแจงความถี่ และ การคำนวณหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากข้อมูลจัดกลุ่มที่อยู่ในรูป ของตารางแจกแจงความถี่ 2 2 N( X ) - ( X) S.D.= N(N-1) 2.2 เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x 2 X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด 2 X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่ายิ่งมากแสดงว่าข้อมูลชุดนั้นมีการกระจาย จำนวนมากหรือข้อมูล ชุดนั้นมีความแตกต่างกันมาก ควรมีค่า ต้องไม่เกิน 1 จึงจะมีค่าที่น่าเชื่อถือ ซึ่งมีการกระจายของข้อมูลน้อย 2.5การหาประสิทธิภาพ แบบทดสอบถือเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบทเรียน เนื่องจากจะต้องใช้แบบทดสอบวัดพฤติกรรม ผู้เรียนในด้านสมอง (cognitive domain) เพื่อทราบว่าหลังจากผ่านการเรียนรู้เนื้อหาจากบทเรียนแล้วผู้เรียนมี การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นอย่างไร การวัดพฤติกรรมของผู้เรียนด้วยแบบทดสอบสามารถวัดได้ทั้งก่อนเรียน หลังเรียนและระหว่างเรียน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะใช้แบบทดสอบวัดในช่วงเวลาใด แบบทดสอบทุกชนิดที่จะ
21 นำมาใช้ในบทเรียนจะต้องผ่านการหาคุณภาพก่อนที่จะนำไปใช้ในบทเรียน เนื่องจากแบบทดสอบเป็นเครื่องมือในการ วัดพฤติกรรมของผู้เรียน ถ้าแบบทดสอบมีคุณภาพดีจะส่งผลให้บทเรียนมีคุณภาพเช่นกัน 2.7.1 ความเที่ยงตรง ความเที่ยงตรงเป็นคุณภาพของแบบทดสอบหมายถึง แบบทดสอบที่ผู้สอนได้สร้างไว้สามารถวัดได้ตรง ต า ม ว ั ต ถ ุ ป ร ะ ส ง ค ์ ท ี ่ ต ้ อ ง ก า ร จ ะ ว ั ด แ บ บ ท ด ส อ บ ท ุ ก ช น ิ ด จ ะ ต ้ อ ง น ำ ไ ป ท ด ส อ บ เพื่อหาคุณภาพด้านความเที่ยงตรง จะถือได้ว่าเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ที่จะวัด และผลที่ได้ จากการวัดจะถูกต้องตรงตามความต้องการ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (content validity) หมายถึง การที่ผู้สอนออกแบบทดสอบได้ตรงตาม เนื้อหาที่สอน ในการทดสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหาสามารถดำเนินการได้โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญในด้านเนื้อหา พิจารณาถึงความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับแบบทดสอบโดยพิจารณาเป็นรายข้อ วิธีการพิจารณาแบบนี้จะ เรียกว่า การหาค่าสัมประสิทธิ์ความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) โดยมีสูตรการ คำนวณดังนี้ R IOC = N 2.3 เมื่อ IOC แทน ความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับแบบทดสอบ R แทน ผลรวมของคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ การตรวจสอบค่าความเที่ยงตรงด้านเนื้อหาสามารถกระทำโดย นำแบบทดสอบให้ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่า ข้อสอบแต่ละข้อมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือไม่อย่างไร ถ้ามีความ ส อ ด ค ล ้ อ ง ผ ู ้ เ ช ี ่ ย ว ช า ญ จ ะ ใ ห ้ ค ่ า เ ป ็ น +1 แ ต ่ ถ ้ า ผ ู ้ เ ช ี ่ ย ว ช า ญ เ ห ็ น ว ่ า ข ้ อ ส อ บ ข ้ อ นั้ น ไม่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จะให้ค่าเป็น -1 และในกรณีที่ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่าข้อสอบ ข้อนั้นมีความ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือไม่ก็จะให้ค่าเป็น 0 ตัวอย่างวิธีการทดสอบความเที่ยงตรงด้านเนื้อหาโดยหาค่า IOC อธิบายได้ดังนี้สมมติว่าผู้สอนได้ ออกแบบตารางเพื่อพิจารณาหาค่า IOC ของข้อสอบดังตารางที่ 2.2
22 ตารางที่ 2.2 แสดงการพิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อสอบ ระดับการพิจารณา 1 0 -1 เมื่อเรียนจบเนื้อหาผู้เรียน สามารถบอกองค์ประกอบ ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง 1. ระบบคอมพิวเตอร์จัดแบ่งออกเป็น องค์ประกอบอะไรบ้าง ก. hardware, software, people ข. hardware, software ค. hardware, people ง. hardware, softwnw, internet ที่มา : www.drpisutta.arreerard.com จากตารางที่ 2.2 ถ้ามีการนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คนตรวจสอบความเที่ยงตรง และปรากฏผล ดังตารางที่ 2.3 ตารางที่ 2.3 แสดงผลการตรวจสอบความสอดคล้องของข้อสอบ ข้อที่ คะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ รวม ค่า IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 คนที่ 4 คนที่ 5 1 1 1 0 1 1 4 0.80 ที่มา : www.drpisutta.arreerard.com จากตารางที่ 2.3 ผลการตรวจสอบความคิดเห็นปรากฏว่ามีผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วย กับความสอดคล้อง ของข้อสอบจำนวน 4 คนและไม่เห็นด้วยกับความสอดคล้องของข้อสอบจำนวน 1 คน ผลรวมของคะแนนพิจารณา (R) จะได้เท่ากับ 4 ดังนั้นค่า IOC จึงหาได้จาก IOC = 4 5 = 0.80 ค่า 0.80 แสดงถึงข้อสอบข้อนี้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื่องจากมีค่า 0.8 ซึ่งเข้าใกล้ค่า 1 ทั้งนี้ค่า IOC ที่ยอมรับไว้ว่าข้อสอบมีความเที่ยงตรงคือมีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป
23 ถ้าหากมีค่าน้อยกว่า 0.5 ถือว่าข้อสอบข้อนั้นไม่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม จะต้องตัดข้อสอบนั้นออกไปหรือทำการปรับปรุงข้อสอบข้อนั้นใหม่ 2.5.2 การหาประสิทธิภาพของสื่อการสอน การทดสอบประสิทธิภาพนวัตกรรมหรือสื่อการสอนศาสตราจารย์ดร.ชัยยงค์พรหมวงศ์(2520 : 135 - 143) ได้ให้แนวคิดและหลักปฏิบัติไว้ว่า เมื่อได้ผลิตสื่อหรือชุดการสอนแล้ว ก่อนนำไปใช้จะต้องนำสื่อหรือชุดการ สอนที่ผลิตขึ้นไปทดสอบประสิทธิภาพเพื่อดูว่าสื่อหรือชุดการสอน ทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่ มี ประสิทธิภาพในการช่วยให้กระบวนการเรียน การสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด มีความสัมพันธ์กับ ผลลัพธ์หรือไม่ และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนในระดับใด ดังนั้นผู้ผลิตสื่อการสอน จำเป็น จะต้องนำสื่อหรือชุดการสอนไปหาคุณภาพเรียกว่า การทดสอบประสิทธิภาพ 2.5.2.1การทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง การนำสื่อหรือชุดการสอนไปทดสอบ ด้วย กระบวนการสองขั้นตอนคือ การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น ก่อนนำไปทดสอบประสิทธิภาพ สอนจริง 1)การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น เป็นการนำสื่อหรือชุดการสอนที่ ผลิตขึ้นเป็น ต้นแบบ (Prototype) แล้วไปทดสอบประสิทธิภาพใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในระบบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ของสื่อหรือชุดการสอนให้เท่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้และปรับปรุงจนถึงเกณฑ์ 2)การทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง หมายถึง การนำสื่อหรือชุดการสอน ที่ได้ทดสอบ ประสิทธิภาพการใช้และปรับปรุงจนได้คุณภาพถึงเกณฑ์แล้วของแต่ละหน่วย ทุกหน่วย ในแต่ละวิชาไปสอนจริงใน ชั้นเรียนหรือในสถานการณ์การเรียนที่แท้จริงในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น 1 ภาคการศึกษาเป็นอย่างน้อย เพื่อตรวจสอบ คุณภาพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนำไปเผยแพร่และ ผลิต ออกมาเป็นจำนวนมาก การทดสอบประสิทธิภาพทั้งสอง ขั้นตอนจะต้องผ่านการวิจัยเชิงวิจัยและ พัฒนา (Research and Development) โดยต้องดำเนินการวิจัยในขั้น ทดสอบประสิทธิภาพเบื้องต้น และอาจทดสอบประสิทธิภาพซ้ำในขั้นทดสอบประสิทธิภาพใช้จริงด้วยก็ได้เพื่อ ประกันคุณภาพ ของสถาบันการศึกษาทางไกลนานาชาติ การคำนวณหาค่าเฉลี่ยร้อยละ X N E = x100 1 A 2.4 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ก่อนเรียน
24 X แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินก่อนเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบก่อนเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน X N E = x100 2 A 2.5 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ก่อนเรียน X แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินก่อนเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบก่อนเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน 2.5.2.2ความจำเป็นที่จะต้องหาประสิทธิภาพ การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อ หรือชุดการ สอนมีความจำเป็นด้วยเหตุผล 3 ประการคือ 1)สำหรับหน่วยงานผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพ ช่วยประกัน คุณภาพของสื่อหรือชุดการสอนว่าอยู่ในขั้นสูงเหมาะสมที่จะลงทุนผลิตออกมาเป็น จำนวนมากหากไม่มีการ ทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนแล้ว เมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ได้ไม่ดี ก็จะต้องผลิตหรือทำขึ้นใหม่เป็นการ สิ้นเปลืองทั้งเวลา แรงงาน และเงินทอง 2)สำหรับผู้ใช้สื่อหรือชุดการสอน สื่อหรือชุดการสอนที่ผ่านการทดสอบ ประสิทธิภาพจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยสอนได้ดีในการสร้างสภาพการเรียนให้ผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตามที่มุ่งหวัง บางครั้งชุดการสอนต้องช่วยครูสอน บางครั้งต้องสอนแทนครู (อาทิในโรงเรียนครูคนเดียว) ดังนั้น ก่อนนำสื่อหรือชุดการสอนไปใช้ครูจึงควรมั่นใจว่า ชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยให้นักเรียนเกิดการ เรียนจริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลำดับขั้น จะช่วยให้เราได้สื่อหรือชุดการสอนที่มีคุณค่าทางการสอนจริง ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3)สำหรับผู้ผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่า เนื้อหาสาระที่บรรจุลงในสื่อหรือชุดการสอนมีความเหมาะสมง่ายต่อการเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิตมีความชำนาญ สูงขึ้นเป็นการประหยัดแรงสมอง แรงงาน เวลาและเงินทองในการ เตรียมต้นแบบ
25 2.6งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทำการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนดังต่อไปนี้ รัตนาภรณ์ พูนพิพัฒน์ (2550) ได้รายงานผลการใช้เอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน ค 41101 เรื่อง เซต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษาพบว่า เอกสารประกอบการสอนรายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน ค 41101 เรื่องเซต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพียงพอที่ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนได้ ว่าที่ ร.ต.อุกฤษภ์ แสงนิ่มนวล (2550) ได้รายงานผลการใช้นวัตกรรมเอกสารประกอบการเรียนการ สอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องวิธีเรียงสับเปลี่ยนและวิธีจัดหมู่ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 ผลการศึกษาพบว่า 1)ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนเรื่องวิธีเรียงสับเปลี่ยนและวิธีจัดหมู่ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 2)ครู ผู้บริหารมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเอกสารประกอบ การเรียนการสอนเรื่องวิธีเรียง สับเปลี่ยนและวิธีจัดหมู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.43, S.D. = 0.32) และ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่ารายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงตามลับค่าเฉลี่ยได้ดังนี้ ด้านประโยชน์ ( X = 4.63, S.D. = 0.43) รองลงมา ด้านกิจกรรม ( X = 4.60, S.D. = 0.37) และ รายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยได้ ดังนี้ ด้านรูปแบบ ( X = 4.43, S.D. = 0.32) รองลงมาด้านเนื้อหา ( X = 3.95, S.D. = 0.44) 3) นักเรียนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเอกสารประกอบการเรียนการสอนเรื่องวิธีเรียง สับเปลี่ยนและวิธีจัดหมู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.37, S.D. = 0.29) และเมื่อพิจารณา เป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด 2 ด้าน โดยเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยได้ดังนี้ ด้านประโยชน์ ( X = 4.62, S.D. = 0.45) และด้านกิจกรรม ( X = 4.51, S.D. = 0.43) รองลงมารายด้าน อยู่ในระดับมาก 2 ด้าน โดยเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ย ได้ดังนี้ ด้านรูปแบบ ( X = 4.32, S.D. = 0.37) และด้านเนื้อหา ( X = 4.08, S.D. = 0.29) ธนนันท์ มาศธนานันต์ (2550) ศึกษาเรื่องผลการใช้เอกสารประกอบการสอนวิชาเครื่องรับวิทยุ (2104-2209) ส่ำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิค กำแพงเพชร ผลการวิจัยพบว่า 1)การศึกษาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการสอนวิชา เครื่องรับวิทยุ พบว่า เอกสารประกอบการสอนวิชาเครื่องรับวิทยุ โดยรวมทั้งฉบับมีประสิทธิภาพ 82.237/81.944 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ 2)การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ระหว่างก่อนและหลังการใช้ เอกสารประกอบการสอนวิชา เครื่องรับวิทยุ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ที่เรียนโดยใช้เอกสาร ประกอบการสอนวิชา เครื่องรับวิทยุหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
26 3)การศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการ สอน วิชา เครื่องรับวิทยุ พบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียน โดยใช้เอกสารประกอบการสอนวิชา เครื่องรับวิทยุ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.55 ชาญชัย สุขสกุล (2549) เรื่อง การสร้างเอกสารประกอบการสอนวิชาจริยธรรมทางธุรกิจ ผล การศึกษาพบว่า นักศึกษามีความตั้งใจในการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมระหว่างการเรียน การสอน และให้ ความสำคัญ มีความตระหนักว่าจริยธรรมมีความจำเป็นต่อองค์กรทุกประเภทและสามารถนำไปใช้ในการ ปฏิบัติงานจริงและในชีวิตประจำวัน ส่วนการตอบแบบสอบถาม พบว่า นักศึกษาทุกคนมีความเห็นว่าเนื้อหาวิชา จริยธรรมมีความครอบคลุมด้านจริยธรรมมีความสอดคล้องกับยุคสมัย มีความลึกซึ้งเหมาะสม สามารถทำความ เข้าใจได้ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีปริมาณเหมาะสมกับการศึกษาได้หนึ่งภาคการศึกษา บัญชา จำปารักษ์ (2546) การพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการจัดเอกสารประกอบการสอน สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี ผล การศึกษาพบว่า ผลการดำเนินงานปรับปรุงการควบคุมการจัดเอกสารประกอบ การสอน สาขาวิชาหลักสูตรและ การสอน คุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้ง พฤติกรรม ระบบการปฏิบัติงาน จัดทำเอกสารประกอบการสอน และความรู้ความเข้าใจของอาจารย์ที่รับผิดชอบ รายวิชาแต่ยังไม่มีประเด็นที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาเพิ่มเติม ได้แก่การปฏิบัติงานตามขั้นตอนและต่อเนื่องของ อาจารย์ในการปฏิบัติให้ เป็นไปตามระบบและระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยว่าด้วยเอกสารวิชาการ ประเสริฐ จันทร์อุดม (2545) การสร้างและพัฒนาเอกสารประกอบการสอนวิชาการอ่านภาษาอังกฤษ ทั่วไป ผลการศึกษาพบว่า เอกสารประกอบการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดในทุก ๆ หน่วยและโดยรวม ทั้งฉบับ นักศึกษามีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในทุก ๆ หน่วย และโดยรวมทั้งฉบับเช่นเดียวกัน ด้านความคิดเห็นที่มีต่อเอกสารประกอบการสอนพบว่า นักศึกษาเห็นว่าเนื้อหาที่ อ่านมาจากแหล่งต่าง ๆ ที่หลากหลาย แต่ละหน่วยมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน มีการประเมินผลอยู่เสมอ เนื้อหามีระดับ ยาก ที่พอเหมาะกับผู้เรียน เนื้อหาน่าสนใจ มีภาพประกอบเหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่อ่าน นักศึกษา ได้เรียนรู้มากขึ้น มีทักษะการอ่านมากขึ้น ทำให้ทราบความก้าวหน้าและข้อบกพร่อง ช่วยส่งเสริมการทำงานกลุ่มและช่วยสร้าง ความรู้สึกที่ดี ไตรภพ เทียบพิมพ์ (2547) ศึกษาความคิดเห็นต่อเอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ กรมอาชีวศึกษา ผลการศึกษาพบว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาของเอกสาร ประกอบการสอนมีคุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง ด้านแบบฝึกหัดประกอบเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาสาขา ฟิสิกส์มีความคิดเห็นว่า แบบฝึกหัดประกอบเนื้อหาของเอกสารประกอบการสอนมีคุณภาพอยู่ในระดับน้อย ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาสาขาวิชาเคมี ชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญการสอนสาขาวิชาชีววิทยา มีความคิดเห็นว่า
27 แบบฝึกหัดประกอบเนื้อหาของเอกสารประกอบการสอนมีคุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา สาขาวิชาเคมี และฟิสิกส์และอาจารย์ผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ นักศึกษาที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการสอนมี ความคิดเห็นว่าแบบฝึกหัดประกอบเนื้อหาของเอกสารประกอบการสอน มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก สาหร่าย พันธ์น้อย (2545) ทำการวิจัยเรื่องรายการใช้นวัตกรรมการสอน เอกสารประกอบการ สอนวิชา ว 037 เคมี 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนโคกเจริญวิทยา จังหวัดลพบุรี วัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการสอน เอกสารประกอบ การสอนวิชา ว 037 เคมี 3 ในด้านกระบวนการ และผลลัพธ์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนโคกเจริญวิทยา 2) เพื่อศึกษาความก้าวหน้าใน การเรียน โดยใช้นวัตกรรมการสอน เอกสารประกอบการสอน วิชา ว 037 เคมี 3 โรงเรียนโคกเจริญวิทยา 3) เพื่อ ปรับปรุงวิธีการสอนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และ 4) เพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในวิชา ว 037 เคมี 3 ของนักเรียน ระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ดีขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนโคกเจริญ วิทยา อำเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี จำนวน 37 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2544 และจำนวน 37 คน ใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2545 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองมีดังนี้ นวัตกรรม การสอนรายวิชา ว 037 เคมี แผนการสอนรายวิชา ว 037 เคมี 3 แบบทดสอบรายวิชา ว 037 เคมี 3 ประกอบด้วย แบบทดสอบย่อยประจำ ผลการศึกษาพบว่า นวัตกรรมการสอน เอกสารประกอบการสอน มี ประสิทธิภาพของกระบวนการ / ผลลัพธ์ 70 : 70 และผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยภาพรวมของนวัตกรรมการสอน แผนการสอน มีประสิทธิภาพของกระบวนการ : ผลลัพธ์ = 70.12 : 72.37 ความก้าวหน้าในการเรียนการสอนของ นักเรียนสูงกว่าร้อยละ 15 ซึ่งความก้าวหน้าในการเรียนมีค่าเท่ากับ 48.1 ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการ สอน ร้อยละ 5.41 ได้ระดับคะแนน 4 ร้อยละ 32.43 ได้ระดับคะแนน 3 ร้อยละ 35.14 ได้ระดับคะแนน 2 ร้อยละ 27.03 ได้ระดับคะแนน 1 และนักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการสอนวิชา ว 037 เคมี 3 จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการสอนวิชากลศาสตร์ของไหล มีความจำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องจัดการเรียนการสอน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้รับการฝึกฝน อบรมให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน ตลอดจนมีทัศนคติที่ดีและมีทักษะในวิชาชีพถึงเกณฑ์ซึ่งเป็นที่ ยอมรับก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน
28 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษายนต์ รหัสวิชา 2101-2106ครั้งนี้เป็นการ วิจัยเพื่อปรับปรุงและพัฒนา (Research and Development) ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.3 วิธีสร้างเครื่องมือ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 วิธีดำเนินการทดลอง 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคหนองคาย 3.1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชา เครื่องกล สาขางานยานยนต์ ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน 3.2เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชางานส่งกำลังรถยนต์รหัสวิชา 2101-2003 3.2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำ รักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 3.3วิธีการสร้างเครื่องมือ สำหรับวิธีการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้ 3.3.1 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ผู้วิจัยได้ ดำเนินการดังนี้ 3.3.1.1ลักษณะของประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ โดยนำแบบทดสอบให้ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่า ข้อสอบแต่ละข้อมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือไม่อย่างไร ถ้ามีความ
29 สิ้นสุด ไม่ผ่าน ผ่าน สอดคล้องผู้เชี่ยวชาญจะให้ค่าเป็น +1 แต่ถ้าผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าข้อสอบข้อนั้นไม่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ จะให้ค่าเป็น -1 และในกรณีที่ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือไม่ก็จะให้ ค่าเป็น 0 3.3.3.2 วิธีการสร้างแบบประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ผู้ศึกษา ดำเนินการสร้างดังนี้ รูปที่ 3.1 แสดงขั้นตอนการสร้างแบบประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ เริ่มต้น ศึกษาข้อมูล สร้างประเมินความสอดคล้องของ แบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ ตรวจสอบโดย ผู้เชี่ยวชาญ ปรับปรุง/แก้ไข สร้างแบบทดสอบสมบูรณ์
30 ไม่ผ่าน ผ่าน เริ่มต้น ผ่าน จากรูปที่ 3.1 ขั้นตอนเริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลรูปแบบ วิธีการประเมินความสอดคล้อง เพื่อนำไปใช้ ในการออกแบบประเมินความสอดคล้อง ก่อนนำเสนอให้กับผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ความเหมาะสมและถูกต้อง แล้วสร้างแบบทดสอบฉบับสมบูรณ์เพื่อใช้ในการหาประสิทธิภาพ 3.3.2 การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ตามขั้นตอนดังนี้ 3.3.2.1 ลักษณะของแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชางานส่งกำลังรถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ใช้แบบประเมินแบบมาตราส่วน 5 ระดับ โดยมีความหมายต่าง ๆ ดังนี้คือ คุณภาพระดับดีมาก = 5 คะแนน, คุณภาพระดับดี= 4 คะแนน, คุณภาพระดับ ปานกลาง = 3 คะแนน คุณภาพระดับพอใช้= 2 คะแนน , คุณภาพระดับควรปรับปรุง = 1 คะแนน 3.3.2.2 วิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ผู้ศึกษาดำเนินการสร้างดังนี้ ปรับปรุง/แก้ไข ออกแบบประเมิน ศึกษาข้อมูล สร้างแบบประเมินสมบูรณ์ สิ้นสุด ตรวจสอบโดย อาจารย์ที่ปรึกษา
31 รูปที่ 3.2 แสดงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชางานบำรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 จากรูปที่ 3.2 ขั้นตอนเริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลรูปแบบ วิธีการประเมินแบบต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ใน การออกแบบประเมิน ก่อนนำเสนอให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความเหมาะสมและถูกต้อง แล้วสร้างแบบ ประเมินฉบับสมบูรณ์เพื่อใช้ในการประเมิน 3.4การเก็บรวบรวมข้อมูล การหาประสิทธิภาพจากกลุ่มตัวอย่าง คือประเมินผลลัพธ์ของผู้เรียน โดยพิจารณาจาก การทดสอบ หลังเรียน โดยประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนจะกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่า ผู้เรียนจะเปลี่ยน พฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้ผลเฉลี่ยคะแนนการทำงานและการประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมด ต่อร้อยละของผลการประเมินหลังเรียนทั้งหมดร้อยละ 80 ประสิทธิภาพของกระบวนการต่อประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์หมายความว่าเมื่อเราเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนแล้ว ผู้เรียนจะสามารถทำแบบฝึกทดสอบ หรืองานได้ผล เฉลี่ยร้อยละ 80 และ ประเมินหลังเรียนท้ายบทได้ผลเฉลี่ยร้อยละ 80 การที่จะกำหนดเกณฑ์ให้มีค่า เท่าใดนั้น ผู้วิจัย เป็นผู้พิจารณาตามความ พอใจ โดยพิจารณาการเรียนที่จำแนกเป็นจิตพิสัยและทักษะพิสัย ในขอบข่ายจิตพิสัย เลือกกลุ่มตัวอย่างที่จะนำมาทดสอบ ทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง บันทึกประเมินผลการทดสอบ รวบรวมผลการทดสอบ เริ่มต้น
32 รูปที่ 3.3 แสดงขั้นตอนการหาประสิทธิภาพจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยทำการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อ วิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 โดย ผู้วิจัยชี้แจงรายละเอียดแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีวิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 จากนั้นให้ผู้เรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อ วิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 และเก็บ รวบรวมแบบสอบถามความพึงพอใจมีต่อ วิชางานบำรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 คำนวณหาประสิทธิภาพ สรุปผล สิ้นสุด ชี้แจงรายละเอียด แจกแบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้เรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อวิชางานส่งกำลังรถยนต์ เก็บรวบรวมแบบสอบถามความพึงพอใจ เริ่มต้น
33 รูปที่ 3.4 แสดงขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชางานบำรักษารถยนต์ 3.5วิธีดำเนินการวิจัย 3.5.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นจำนวน 100 ข้อ (E1 ) 3.5.2 ทำกิจกรรมในเอกสารประกอบการเรียนการสอนและรวบรวมผลคะแนนจากการทำกิจกรรม ระหว่างเรียนเพื่อหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ 3.5.3 ทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นจำนวน 100 ข้อ เพื่อหาค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E2 ) 3.5.4 สอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา หลังจากทดสอบหลังเรียนจำนวน 100 ข้อ 3.6การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้ 3.6.1 การหาค่าสถิติพื้นฐาน คือร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สูตรดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2543 : 102 – 103) 1) ค่าร้อยละ f P= ×100 N 3.1 เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 2) ค่าเฉลี่ย ( X ) X X= N 3.2 เมื่อ สิ้นสุด
34 X แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนระดับความคิดเห็น X แทน ผลรวมคะแนนทั้งหมดของประชากร N แทน จำนวนของประชากร 3) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ( ) ( ) 2 2 N X - X S.D.= N(N-1) 3.3 เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด 2 x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 3.6.2 วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำ รักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 คะแนนทำแบบทดสอบระหว่างเรียน และคะแนนจากการทำแบบทดสอบหา ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน โดยหาค่า E1 และ E2 (เผชิญ กิจระการ. 2544 : 96) X N E = x100 1 A 3.4 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ก่อนเรียน X แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินก่อนเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบก่อนเรียน N แทน จำนวนนักเรียน
35 X N E = x100 2 A 3.5 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์หลังเรียน X แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียน 3.6.3 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้ ดำเนินการ ดังนี้ 1) หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Consistency) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนแต่ละข้อ กับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม) กำหนดเกณฑ์ค่า (IOC) ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไปจึง จะถือว่ามีความสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ, 2543 : 248 - 249) R IOC = N 3.6 เมื่อ IOC แทน ความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับแบบทดสอบ R แทน ผลรวมของคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 5) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน วิชางานบำ รักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ด้วยการทดสอบค่า (t-test) (บุญชม ศรีสะอาด, 2543 : 109) ( ) ( ) D t = 2 2 N D - D N-1 3.7 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต D แทน ผลรวมผลต่างระหว่างคู่คะแนน
36 N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ผลต่างระหว่างคู่คะแนน = คะแนนหลังเรียน – คะแนนก่อนเรียน
37 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏดังนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการนำเสนอข้อมูลครั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการแปลความหมายผล การวิเคราะห์ ข้อมูล จึงได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลดังนี้ E1 แทน ประสิทธิภาพของการทำแบบทดสอบก่อนเรียน E2 แทน ประสิทธิภาพของการทำแบบทดสอบหลังเรียน E.I. แทน ดัชนีประสิทธิผล X แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน สถิติทดสอบที่ใช้พิจารณาใน t – distribution 4.2ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับดังนี้ ตอนที่ 1 การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัส วิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตร E1 /E2 ตอนที่ 2 การหาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ตอนที่ 3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียนที่ใช้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ตอนที่ 4 การหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบ การเรียนการ สอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
38 4.3ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์การหาประสิทธิ์ภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษารถยนต์ รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ผู้วิจัยได้นำเสนอเรียงตามลำดับหัวข้อต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษา รถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ตามเกณฑ์ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 โดยหาค่าเฉลี่ย เบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าร้อยละ ดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ 4.1 แสดงผลการวิเคราะห์การหาประสิทธิ์ภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษา รถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ที่ได้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน เลข ที่ ชุดที่ 1 (10) ชุดที่ 2 (10) ชุดที่ 3 (10) ชุดที่ 4 (10) ชุดที่ 5 (10) ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน 1 4 9 8 9 7 9 6 8 8 9 2 4 9 8 9 4 8 6 7 7 9 3 4 7 6 10 5 7 4 8 6 8 4 5 8 8 9 8 9 4 8 7 9 5 5 7 7 8 8 9 6 7 6 8 6 5 9 4 8 6 8 6 9 6 10 7 4 9 8 9 6 8 6 9 8 10 8 6 9 4 8 5 9 4 7 6 7 9 4 7 8 10 4 7 6 8 7 8
39 เลข ที่ ชุดที่ 1 (10) ชุดที่ 2 (10) ชุดที่ 3 (10) ชุดที่ 4 (10) ชุดที่ 5 (10) ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน 10 4 9 8 9 7 8 6 8 8 9 11 9 9 8 10 6 10 6 9 7 9 12 4 8 6 9 5 8 5 9 6 8 13 5 7 5 8 6 9 6 8 6 7 14 7 9 4 7 6 8 7 8 6 9 15 7 9 5 8 7 8 7 9 7 8 16 5 8 5 9 5 7 8 9 9 10 17 4 9 8 9 6 8 6 8 7 9 18 6 8 5 8 4 9 5 7 7 9 19 5 8 8 9 8 9 4 8 7 9 20 5 7 7 8 8 9 6 7 6 8 21 5 9 4 8 6 8 6 9 6 10 22 4 9 8 9 6 8 6 9 8 10 รวม 111 183 142 191 133 183 126 179 151 193
40 ตารางที่ 4.1 แสดงผลการวิเคราะห์การหาประสิทธิ์ภาพของเอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชางานบำรุงรักษา รถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ที่ได้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน (ต่อ) เลข ที่ ชุดที่ 6 (10) ชุดที่ 7 (10) ชุดที่ 8 (10) ชุดที่ 9 (10) ชุดที่ 10 (10) ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน 1 6 8 8 9 8 9 6 9 10 10 2 5 7 8 9 8 9 8 10 10 10 3 4 7 4 7 6 8 9 10 10 10 4 5 7 7 10 8 10 9 10 10 10 5 6 8 5 8 7 9 7 10 10 10 6 7 9 6 7 5 7 8 9 7 9 7 7 9 8 10 5 8 8 9 9 10 8 7 8 7 9 6 9 6 10 9 10 9 4 7 5 7 9 10 9 10 10 10 10 8 9 6 9 10 10 9 10 6 10 11 4 8 5 8 5 8 6 10 9 10 12 5 9 4 7 7 9 8 9 10 10 13 6 8 5 8 7 10 8 10 10 10
41 เลข ที่ ชุดที่ 6 (10) ชุดที่ 7 (10) ชุดที่ 8 (10) ชุดที่ 9 (10) ชุดที่ 10 (10) ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน 14 4 7 4 8 8 10 10 10 10 10 15 4 8 4 7 8 9 10 10 10 10 16 7 10 5 8 8 9 10 10 8 10 17 5 8 5 9 8 9 9 10 7 9 18 4 7 6 9 7 9 8 9 8 9 19 6 8 8 9 8 9 6 9 10 10 20 5 7 8 9 8 9 8 10 10 10 21 4 7 4 7 6 8 9 10 10 10 22 5 7 7 10 8 10 9 10 10 10 รวม 118 173 129 184 160 198 180 214 203 217 ผลรวมคะแนนก่อนเรียนทั้งหมด 1,453 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 66.05 ผลรวมคะแนนหลังเรียนทั้งหมด 1,915 87.05 จากตารางที่ 4.2 พบว่า ผลการเรียนรู้ของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบ การเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน รวมทุกหน่วย มีค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 66.05 ดังนั้น E1 ของเอกสารประกอบประกอบการเรียนการสอน มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 66.05 และผลจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนรวมทุกหน่วย มีค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ
42 87.05 ดังนั้น E2 ของคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.05 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางาน บำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 โดยหาค่าร้อยละ ดังตารางที่ 4.2 ตารางที่ 4.2 แสดงค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ผลคูณจำนวน นักศึกษา กับคะแนนเต็ม ผลรวมของคะแนน ทดสอบก่อนเรียน ผลรวมของคะแนน ทดสอบหลังเรียน ดัชนีประสิทธิผล E.I. 2,200 1,453 1,915 0.6184 จากตารางที่ 4.2 พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษา รถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 มีค่าเท่ากับ 0.6184 แสดงว่านักศึกษามีความก้าวหน้าหลังการเรียนด้วยเอกสาร ประกอบการสอน ร้อยละ 61.84 ตอนที่ 3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ใช้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ดังตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 แสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ใช้เอกสาร ประกอบการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ N X D 2 D T-Test แบบทดสอบก่อนเรียน 22 66.05 462 18,734 3.37 แบบทดสอบหลังเรียน 22 87.05 จากตารางที่ 4.3 พบว่า นักศึกษาที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชางาน บำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความแตกต่างของคะแนนหลังเรียนกับก่อนเรียนเท่ากับ 462 คะแนน นั่นคือ ผลของ
43 การใช้เอกสารประกอบการเรียนการ วิชางานส่งกำลังรถยนต์ รหัสวิชา 2101-2003 ทำให้นักศึกษามีความรู้ เพิ่มขึ้น ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสาร การเรียนการสอน วิชางาน บำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ตารางที่ 4.4 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ การเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ด้านเนื้อหา ลำดับ จุดประเมิน X S.D. ด้านเนื้อหา 1. เนื้อหาวิชามีความน่าสนใจและมีประโยชน์ 4.74 0.46 2. เนื้อหาวิชามีความทันสมัยและสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ 4.50 0.51 3. เนื้อหาวิชามีความสอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจของ ผู้เรียน 4.67 0.49 4. เนื้อหาวิชากระตุ้นให้เกิดการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ 4.56 0.51 ผลคะแนนเฉลี่ยรวมด้านเนื้อหา 4.62 0.49 จากตารางที่ 4.4 พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนการสอน วิชางานบำรุงรักษา รถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 4.62 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.49 ตารางที่ 4.5 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ การเรียนการ สอน วิชางานบำรุงรักษารถยนต์รหัสวิชา 2101-2106 ด้านแบบประเมินผลการเรียนรู้