The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Siwaporn Wongsatit, 2020-11-28 22:06:59

ระดับกลยุทธ์องค์กร

1























Level Of Strategy



















ระดับกลยุทธ์












Corporate






Level







Strategy





















Business Level Strategy
























Functional Level Strategy

2



















ค ำนำ
















ในการด าเนินธุรกิจย่อมต้องมีการแข่งขัน และการสร้างความสามารถ




ทางการแข่งขันกับคูแข่งหรือท าให้ธุรกิจมีความก้าวหนามากกว่า




ธุรกิจอืน ท าให้องค์กรมีก าไรและสามารถอยูรอดได้ ย่อมต้องอาศัย





การวางกลยุทธ์ ดังค ากล่าวของ เลสลี และลอยด์ (Leslie W.Rue and



Lloyd L. Byar,2000,p.151) ทีได้กล่าวไว้ว่า “กลยุทธ์เปนแผนของ





แนวทางการจัดการพืนฐานทีจะท าให้บรรลุวัตถุประสงค์ หรือการ




วางแผนทีจะจัดการให้บรรลุเจตจ านงของวัตถุประสงค์ทีตั้งใจไว้” กล



ยุทธ์จึงเปนมาตรส าคัญในการด าเนินกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรให้



บรรลุวัตถุประสงค์ โดยอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์ทั้ง




สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) และสิ่งแวดล้อมภายนอก






(External Environment) เพือให้องค์กรสามารถเผชิญหนากับการ

เปลียนแปลงของปจจัยดังกล่าวทีเกิดขึนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี ้






การวิเคราะห์ปจจัยต่างๆ ยังสามารถท าให้เห็นภาพแนวโนมและการ




ปรับกลยุทธ์เพือเพิ่มขีดความสามารถและความพร้อมในการทีจะ



แข่งขันโดยจะนาไปสูการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning)

3

























นอกจากนีการด าเนินกิจกรรมของธุรกิจเพือให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือ




วิสัยทัศนได้นั้น ย่อมต้องอาศัยผู้บริหารในระดับต่างๆ และผู้ปฏิบัติงาน








ภายในองค์กร เพือนาพาธุรกิจไปสูวัตถุประสงค์หรือวิสัยทัศนทีได้วาง


เอาไว้ โดยหนาทีความรับผิดชอบในการจัดการเชิงกลยุทธ์ไม่ได้จ ากัด

เพียงแต่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น หากแต่การด าเนินงานจะครอบคลุมไป




ทั่วทั้งองค์กร เพือให้องค์ประกอบทุกส่วนของในองค์กร ด าเนินงานอย่าง






ส่งเสริมและสอดคล้องกัน โดยมีวิสัยทัศนหรือวัตถุประสงค์ขององค์กรเปน



เปาหมายร่วมกัน โดยสามารถจ าแนกกลยุทธ์ในองค์กรได้ 3 ระดับ คือ




1.กลยุทธ์ระดับองค์การ (Corporate Strategy)





2. กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy)




3.กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional Strategy)

4
























การก าหนดกลยุทธ์ในองค์กร ผู้บริหารแต่ละระดับจะรับผิดชอบหรือมี









หนาทีทีเกียวข้องกับการจัดการเชิงกลยุทธ์ทีแตกต่างกัน หากแต่กลยุทธ์
ในแต่ละระดับจะต้องมีความสอดคล้องกันตามล าดับขั้นของกลยุทธ์เพือให้





การด าเนินงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์หรือตามเปาหมายทีได้




ก าหนดไว้ โดยผู้บริหารระดับสูงจะเปนผู้ก าหนดกลยุทธ์องค์กร ทีเปน





ภาพรวมขององค์กรในอนาคต และผู้บริหารระดับกลางจะเปนผู้นา




เปาหมายทีผู้บริหารระดับสูงก าหนดไว้ไปจัดท ากลยุทธ์ระดับธุรกิจ และ






ผู้บริหารระดับต้นซึงอยูในระดับปฎิบัติการจะก าหนดกลยุทธ์ระดับ


ปฏิบัติการในหนวยงานของตนเองเพือให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในระดับสูง




ขึนไป ดังภาพที 1.1 และ 1.2














































ภาพท 1.1 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับกลยุทธ์กับบทบาทผูบริหาร



5











































































ภาพท 1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับกลยุทธ์ในระดับต่างๆ

6

























เกรินนา




















องคประกอบของกลยุทธทีจำเปนตองม






1. ตองมีเปำหมำยในระยะยำวที่ชดเจน




กลยุทธ์ไม่สามารถประสบความส าเรจได้ หากองค์กรไม่มเปาหมายของการ





ท าธรกิจทชัดเจน ความชัดเจนข้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้น าองค์กร หาก




วิสัยทัศน์ชัดเจนจะท าให้ทมก าหนดกลยุทธได้ง่ายมากข้น











2. ตองก ำหนดขอบเขตที่แนชด






กลยุทธ์ควรก าหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่า เราวางแผนเพืออะไร เช่น เพือตัว








องค์กร หรอเพือสนค้าประเภทใดประเภทหนง กลยุทธ์ไม่ควรเหมารวมทก
ส่งอย่างเข้าด้วยกัน เพราะจะท าให้สับสนในการวางแผนในอนาคตได้


7
























ี่



3.ตองมถอยค าทชัดเจน

กลยุทธ์ควรตั้งมาบนพืนฐานของถ้อยค า ข้อความ หรือแถลงการณที ่





ชัดเจนเกียวกับความได้เปรียบในการแข่งขันทีคูแข่งไม่สามารถ


ลอกเลียนแบบได้ มีหัวใจของความเปนผู้ชนะ เพือให้บรรลุเปาหมายและ


รักษามันไว้ให้ยาวนาน










4.ตองแสดงถงการแข่งขันภายในองค์กร




กลยุทธ์จะต้องแสดงถึงการแข่งขันภายในองค์กร ทีสร้างให้เกิดโอกาสทีจะ


ช่วยให้บริษัทบรรลุความได้เปรียบในการแข่งขัน ในสมรภูมิทีองค์กรนั้น



เลือกทีจะแข่งขัน


8




























กลยุทธ์น้นมดวยกันอยู่ 3 ระดับ คอ ระดับองค์กร (Corporate)
ระดับธุรกิจ (Business) และระดับปฏิบัติการ (Functional)











กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Level) เปนเรืองเกียวกับวิสัยทัศน






พันธกิจ และวัตถุประสงค์ เปนหนาทีของซีอีโอ ผู้บริหารระดับสูง และ


ส่วนทีเกียวข้องในการก าหนดภาพรวมขององค์กร ระบุกลุ่มตลาด



เปาหมายทีองค์กรจะเข้าไปแข่งขันและวางแผนว่าจะเข้าไปได้อย่างไร















กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Level) เปนเรืองเกียวกับการวิเคราะห์

SWOT หรือจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของธุรกิจ ว่ามี



อะไรบ้าง และจะสนับสนนกลยุทธ์ระดับองค์กรได้อย่างไร กลยุทธ์




ระดับนีต้องนากลยุทธ์ในระดับองค์กรมาระบุแผนงาน หรือวิธีการทีจะ




ใช้กับแต่ละตลาดให้มีความเหมาะสม ขับเคลือนโดยผู้จัดการและ



พนักงานในส่วนทีรับผิดชอบด้านการขับเคลือนแผนธุรกิจ



9



























กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional Level)









เปนระดับของทีมทีอยูเบืองหลังความส าเร็จ เช่น ผู้จัดการฝายการเงิน

ผู้จัดการฝายการตลาด ผู้จัดการฝายไอที และอืนๆทีเกียวข้อง ทีต้อง






นาพากลยุทธ์ตั้งแต่ระดับองค์กรและธุรกิจ มาท าให้ส าเร็จและต้อง
สอดคล้องกันด้วย ผ่านการท างานและการวางแผนในแต่ละวัน การ




สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหนวยงานภายในและทีมงานต่างๆ และต้องมี



การประเมินและวัดผลได้

10




















บทท 1 การจัดการเชิงกลยุทธ์ในระดับองค์กร







(Corporate Strategy)










กลยุทธ์ระดับองค์กร เปนการก าหนดทิศทางโดยรวมขององค์กรและ




บทบาทของแต่ละหนวยธุรกิจ (Strategic Business Unit : SBU )ซึง




เปนทิศทางทีใช้อธิบายแนวทางร่วมกันในการพัฒนาธุรกิจบนพืนฐาน



ความหลากหลายของสายผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรม หรือเปนการ



ก าหนดทิศทางทีเปนเอกภาพของธุรกิจโดยรวมของบริษัท เปนการ




ก าหนดว่า องค์กรจะมีการแข่งขันทีด าเนินไปในทิศทางใด เปนวิสัยทัศน




(Vision) ทีผู้บริหารใช้ในการก าหนดทิศทางขององค์กร อาจจะมีการ








ก าหนด บันทึกเปนลายลักษณอักษรทีเปนทางการหรือไม่ก็ได้ แต่


สามารถสือวิสัยทัศน ไปในแนวทางขององค์กรทีให้บุคลากรภายในและ


บุคลากรภายนอกสามารถรับรู้ได้ กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate




Strategy) เปนกลยุทธ์รวมขององค์กรทีจะแสดงถึงแนวทางการด าเนิน





ธุรกิจทุกอย่างในอนาคตขององค์กรได้ และสามารถแยกได้เปน 4



แนวทางตามลักษณะของการด าเนินธุรกิจ คือ1) กลยุทธ์ทีมุ่งเนนการ




เจริญเติบโต (Growth Strategy) 2) กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ




(Stabilization Strategy) 3) กลยุทธ์การถอนตัว (Retrenchment Strat



egy) และ 4) กลยุทธ์ผสมผสาน (Mix or Combination)

11












































































รูปภาพ : แสดงส่วนประกอบส าคัญของกลยุทธ์ระดับองค์การ

12






























กลยุทธ์ทมุ่งเนนการเจริญเติบโต (Growth strategies) เปนกล



ยุทธ์ทีใช้ในกรณีทีวิเคราะห์ ข้อมูลแล้วพบว่ากิจการมีความเข้มแข็งและ


องค์การจะเพิ่มระดับการปฏิบัติงานเพือการขยายตัวขององค์กร เปรียบได้



กับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) เพราะจะมองอยู 2 สิ่งควบคูกัน




เสมอ คือ ผลิตภัณฑ์ (Product) และตลาด (Market) ซึงอาจกระท า ได้ใน





รูปแบบต่าง ๆ กันดังนี





Intensive Growth คือ กลยุทธ์เกียวกับการเติบโตด้วยการเพิ่ม




ยอดขายด้วยวิธีต่างๆ ซึงกลยุทธ์การเติบโตแบบ Intensive Growth ี




ดังนี




1. กลยุทธ์การเจาะตลาด (Market Penetration Strategy)





คือ การเพิ่มยอดขายโดยการเติบโตจากผลิตภัณฑ์เดิมในตลาดเดิม ท าได้




โดยใช้ Push Strategy (กลยุทธ์ผลัก) เช่น การท าโปรโมชั่น ลด แลก แจก




แถม ผลักสินค้าออกไป และ Pull Strategy (กลยุทธ์ดึง) เช่น การท า



โฆษณา ประชาสัมพันธ์ สือสารการตลาด ดึงดูดให้ผู้บริโภคเข้ามาซือเอง



13
























2. กลยุทธ์การพัฒนาตลาด (Market Development Strategy)




คือ การเพิมยอดขายจากผลิตภัณฑ์เดิมในตลาดใหม่ ท าได้จาก การ



ขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ จากเคยขายแต่กับผู้บริโภค (B2C - Business to




Consumer) ก็หันไปขายกลุ่มธุรกิจ (B2B - Business to Business) หรือ



หนวยงานภาครัฐ (B2G - Business to Government) บ้าง รวมถึงการ




ขยายจุดขายไปยังภูมิศาสตร์ใหม่ๆ เช่น เคยขายแค่ในกรุงเทพฯ ก็ขยาย



ไปขายตลาดต่างจังหวัด หรือขยายออกไปขายต่างประเทศ








3. กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development Strategy)




คือ การเพิ่มยอดขายจากการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดเดิม ซึงก็คือ การ



ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เบนซ์ออกรุ่นใหม่เร็วและบ่อยขึนมากจากแต่ก่อน




นานๆ ถึงจะออก เพราะต้องการให้ยอดขายเติบโต และการออกกลุ่ม




ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น จากเดิมร้านขายแต่เสือกับกางเกง ก็เพิ่มสินค้า




กระเปาและรองเท้า หรือการปรับ Packaging เล็ก กลาง ใหญ เปนต้น



14

















































































รูปภาพ : แสดงกลยุทธ์การเติบโต (Intensive Growth) ของ ANSOFF

15























Integrative Growth คือ กลยุทธ์การเติบโตด้วยการขยายธุรกิจเข้าสู ่








ธุรกิจทีเกียวข้อง ผ่านการควบรวมหรือเข้าซือกิจการ ซึงหลักๆ จะแบ่ง

ออกเปน




1. Horizontal Integration การเติบโตด้วยการขยายไปสูธุรกิจที ่




เกียวข้องผ่านการ Merger Acquisition หรือ Take Over บางกิจการก็ท า







การขยายตัวให้เติบโตขึนโดยการซือกิจการของบริษัทอืนทีเปนธุรกิจที ่


เกียวข้องหรือเหมือนกันกับธุรกิจเดิมของตน เช่น ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิต



“กระเปาหนัง” ขยายกิจการด้วยการขายควบกิจการกับ บริษัทผลิต






“กระเปาผ้า” ซึงในการรวมตัวกันลักษณะนีมีเหตุผลหลายประการด้วยกัน



- เพือเพิ่มส่วนครองตลาด (Market Share)




- เพือเพิ่มรายได้ (Increasing Revenues )





-การรวมตัวกันท าให้มีพลังต่อรองกับซัพพลายเออร์และกับลูกค้า





-การรวมตัวกันท าให้สามารถลดต้นทุนการด าเนินงานในหลายๆ ด้าน





-การรวมตัวกันท าให้กิจการมีขนาดใหญขึนอันจะนามาซึงความสามารถใน



การส่งเสริม





-การขายสินค้าหรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึนและสามารถเข้าสูช่อง




ทางการจัดจ าหนายทีเหมาะสมได้


16



























- การรวมตัวกันมีผลท าให้การด าเนินการหลายอย่างมีความยืดหยุ่นและ



คล่องตัวสูง






ตัวอย่างของการรวมตัวกันแบบ Horizontal Integration นีได้แก่การ



รวมตัวกันระหว่างบริษัท Chrysler กับบริษัทผลิตภัณฑ์รถยนต์อเมริกา




แห่งหนึง การผนึกก าลังกันของสองบริษัทดังกล่าวนี ท าให้การด าเนิน



กิจการในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์มีผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์รายอืนๆ





และท าให้มีพลังทางการตลาดทีโดดเด่นมากกว่าการแยกกันด าเนินการ






แบบเดิม ทั้งนีก็เพราะว่าเมือมีการรวมตัวกันแล้วผลทีตามมาก็คือ กิจการ

มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ฐานะทางการเงินมั่นคงยิ่งขึน สามารถดึงดูดลูกค้า




จากต่างชาติได้ เพราะการมีตวามหลากหลายในตัวสินค้าหรือบริการให้



ลูกค้าได้เลือกตามความต้องการ

17



























Vertical Integration คือ กลยุทธ์การเติบโตด้วยการขยายสูธุรกิจ








ทีเกียวกับกระบวนการของธุรกิจทีท าอยู เช่น การขาย การกระจาย
สินค้า การจัดหาวัตถุดิบ หรือเรียกอีกอย่างว่า การรวมตัวในแนวดิ่ง






หมายถึง การทีองค์การทีต้องการรวมกิจการกัน รวมหนาทีต่างๆ ของ




องค์การเข้าด้วยกัน เพือลดการท างานทีซ าซ้อน เพือนการเสริมสร้าง






ความแข็งแกร่งทีแต่ละฝายมีอยูให้โดดเด่นยิ่งขึน การรวมตัวกันชนิดนี ้

อาจกระท าเพียงบางส่วนหรือทั้งองค์การก็ได้คือ ตั้งแต่ขั้นตอนการ





จัดหาตระเตรียมวัตถุดิบจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ออกมาเปนสินค้า





ส าเร็จรูปหรือบริการทีพร้อมส าหรัการนาไปใช้ประโยชนของผู้บริโภค






คนสุดท้าย (End User) ซึงชนิดนเรียกว่ารวมกันทั้งองค์การเต็ม

รูปแบบ

18






























การทีองค์การธุรกิจได้ท าการซือกิจการทีมีความคล้ายคลึงหรือมีความ

สอดคล้องสนับสนนกันในเรืองความสามารถหลักๆ (Core Competen-



cies) เช่น ผู้ผลิตท าการรวมกิจการกับผู้จัดจ าหนายเพือให้การด าเนินการ





ทางธุรกิจเพิ่มความคล่องตัวและราบรืน ก็ถือว่าเปนการรวมตัวในแนวดิ่ง








กับธุรกิจทีเกียวข้อง ซึงความเกียวข้องในทีนีอาจหมายถึงการเข้าไปมี




ประโยชนร่วมกันในเรืองข้อดีข้อเด่นอย่างใดอย่างหนึงก็ได้ (Strengths)
ซึงในการรวมตัวกันในแนวดิ่ง หรือแบบ Vertical Integration สามารถแบ่ง



ออกได้ 2 ประเภท คือ





1. Forward Vertical Integration (การรวมตัวในแนวดิ่งไปทางด้าน






หนา) เกิดขึนโดยทีองค์การไปซือกิจการของลูกค้า (Customer) ซึงในทีนี ้






หมายถึงผู้มาซือสินค้าหรือบริการของกิจการ เช่น โรงงานผู้ผลิตสินค้าท า

การรวมตัวกันกับผู้ประกอบกิจการค้าส่ง (Wholesalers) หรือผู้ค้าปลีก







(Retailers) เปนต้น เพือให้เกิดความแข็งแกร่งมีฐานะทางการเงินทีมั่นคง

มีทีมบริหารงานทีมีประสิทธิภาพสูง อันจะนามาซึงความสามารถเชิงการ




แข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นๆ (Competitiveness)

19



























2. Backward Integration (การรวมตัวในแนวดิ่งไปทางด้านหลัง)








เกิดขึนโดยทีองค์การไปซือกิจการของซัพพลายเออร์ ซึงในทีนีหมายถึงผู้




ส่งวัตถุดิบ (Raw Materials) หรือชินส่วนประกอบทีองค์การต้องการ มา
รวมกันเข้ากับกิจการเดิมเพือให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และคล่องตัวใน





การด าเนินงาน เพือลดต้นทุนในด้านต่างๆ หรือเพือให้เกิดความมั่นใจว่ามี




แหล่งสนับสนนการด าเนินงาน (Supple Sources) เปนของตนเอง


20




























Diversification Growth คือ กลยุทธ์การเติบโต ทีจะกระจายการ








ลงทุนไปสูธุรกิจอืนๆ เพือท าให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึน เปนการทีองค์การ

กระจายการลงทุนไปในหลายธุรกิจ สร้างความหลากหลายและความ



แตกต่างในการด าเนินงาน ซึงอาจเกียวพันหรือไม่เกียวพันกับผลิตภัณฑ์






เดิมขององค์การก็ได้โดยสามารถจ าแนกออกเปนกลยุทธ์ได้ 3 ประเภท



ดังต่อไปน




1. Concentric Diversification (กลยุทธ์การกระจายธุรกิจแบบ










เกาะกลุ่ม) เปนการขยายธุรกิจไปสูผลิตภัณฑ์ชนิดอืนทีมีส่วนเกียวข้อง
กับผลิตภัณฑ์เดิม กลยุทธ์นีเหมาะส าหรับองค์การทีมีต าแหนงทางการ




แข่งขันทีเข้มแข็ง ซึงการใช้กลยุทธ์การกระจายธุรกิจแบบเกาะกลุ่มจะ





สร้างผลก าไรได้มากกว่ากลยุทธ์การกระจายธุรกิจแบบไม่เกาะกลุ่ม

21



























2. Conglomerate Diversification (กลยุทธ์การกระจายธุรกิจ




แบบไม่เกาะกลุ่ม) เปนการขยายธุรกิจไปสูผลิตภัณฑ์ชนิดอืนทีมีส่วน









เกียวข้องกับผลิตภัณฑ์เดิม กลยุทธ์นีเหมาะส าหรับองค์การทีมีต าแหนง
ทางการแข่งขันทีเข้มแข็ง ซึงการใช้กลยุทธ์การกระจายธุรกิจแบบเกาะ




กลุ่มจะสร้างผลก าไรได้มากกว่ากลยุทธ์การกระจายธุรกิจแบบไม่เกาะกลุ่ม





กลยุทธ์นีกิจการมีจุดมุ่งหมายหรือเหตุผลเพือการลงทุน และอีก







จุดมุ่งหมายหนึงก็เพือลดความเสียงในการด าเนินการ เพราะการยึดติดอยู ่


กับการท าธุรกิจประเภทเกียวหากอยูในช่วงทีภาวะเศรษฐกิจหรือ






สภาวะการณตลาดไม่เอืออ านวย อาจท าให้กิจการตดอยูในสถานะล าบาก

ทั้งทางด้านการเพิ่มยอดขาย (Sale Volume) การเพิ่มก าไร (Profit)





ตลอดจนการใช้ความพยายามเพือความอยูรอดและความเจริญเติบโตของ








กิจการ ดังนั้นการขยายตัวสูธุรกิจทีไม่เกียวข้องในแนวราบจึงเปนความ



พยายามทีจะเข้าไปหาผลก าไรในอุตสาหกรรมอืน โดยการนาเงินไปลงทุน




ในกิจการทีเกียวข้องกับธุรกิจเดิมของตนและอีกประการหนึงก็เพือจะลด

ความเสียง อันจะเกิดขึนจากการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมเดิม



22
























3. Horizontal Diversification (การขยายตัวในแนวราบสู่ธุรกิจท ่ ี





ี่
เกยวของ) ในการขยายตัวทางธุรกิจขององค์การนั้น เมือองค์การได้







ตัดสินใจซือกิจการทีอยูนอกอุตสาหกรรมแต่มีส่วนเกียวข้องกับการ
ส่งเสริมความสามารถหลักขององค์การ (Core Competencies) และได้ท า




การรวมกิจการเข้าไว้ในเครือซึงเรียกว่า “การรวมตัวในแนวราบสูธุรกิจที ่






เกียวข้อง” ความเกียวข้อง (Relatedness) ในทีนีหมายถึง ความคล้ายคลึง



กันหรือมีความสัมพันธ์เกียวข้องกันกับความสามารถหลักระหว่างการ




ด าเนินงานขององค์การธุรกิจทีซือมากับกิจการเดิม



23

























Merger (การควบกิจการ) บางครั้งในสภาวะเศรษฐกิจทีก าลังรุ่งเรือง หลายๆ




บริษัทเลือกทีจะขยายกิจการโดยวิธีการควบกิจการ (Merger) วิธีการควบกิจการ



นเกิดขึนจากการทีสองบริษัทหรือมากกว่าก็ได้ทีมีประเภทธุรกิจและลักษณะการ








ด าเนนงานทีคล้ายคลึงกันหรือมีขนาดใกล้เคียงกัน มารวมกิจการเปนกิจการ


เดียวกัน ดังนั้นบริษัททีท าการควบกิจการกันแล้วจึงต้องด าเนนการภายใต้การใช้



ประโยชนร่วมกันหรือการแลกเปลียนถ่ายโอนเรืองทรัพยากรตางๆ ต่อกัน โดยมี



จุดมุ่งหมายหลักก็เพือให้ได้มาซึงพลังอ านาจทางการแข่งขันในตลาดนั่นเอง






เหตผลโดยรวมแล้ว การควบกิจการเกิดขึนบนพืนฐานของความเชื่อทีว่า การ




รวมกันย่อมก่อให้เกิดพลังแห่งความสามัคคี อันจะนามาซึงข้อได้เปรียบหลายๆ



ด้าน และการท างานร่วมกัน การรวมพลังกันย่อมท าให้กิจการสามารถสร้าง



ผลลัพธ์ทียิ่งใหญกว่า ผลการปฎิบัติงานจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่า




การด าเนนการทีต่างคนต่างท า โดยการควบกิจการ สามารถท าได้ทั้งแบบแนวดิ่ง



(Vertical Merger) และแนวราบ (Horizontal Merger) โดยทั่วไปแล้ว การควบ




กิจการทั้งสองแบบมักจะท าให้กิจการมีกฎระเบียบ ข้อบังคับทีดีขึน มีการประงาน







ทีดีขึนอันจะนาไปสูการลดต้นทุนการด าเนนงานในบางรายการได้ อย่างไรก็ตาม


การควบกิจการควรเกิดขึนเฉพาะกรณีทีผู้บริหารได้ท าการวิเคราะห์อย่าง


รอบคอบ และประมาณการว่าประโยชนทีเกิดขึนมีความคุ้มค่าเพียงพอ เพือ








ปองกันปญหาตางๆ ทีอาจเกิดขึนได้ในอนาคตจากการควบรวมกิจการ

24
























Retrenchment Strategy (กลยุทธ์การตัดถอน)







เปนการสร้างกลยุทธ์เชิงรับเพือเตรียมการรับมือให้ธุรกิจสามารถอยู ่



รอดหรือกลับมาเติบโตอีกครั้งได้ เมือเผชิญสภาวะเศรษฐกิจทดถอย หรือ



ความต้องการของตลาดทีลดต า









1. Turnaround Strategy (กลยุทธ์การฟนฟูกิจการ) แผนการฟนฟ ู


มีได้หลายวิธี โดยแบ่งเปน ฟนฟจากภายในองค์กร และ ภายนอกองค์กร




* การฟนฟูภายในองค์กร




1. การปรับปรุงประสิทธิภาพการด าเนนงานให้ดีขึน






2. การปรับลดค่าใช้จ่ายทีไม่จ าเปนออกไป


3.การปรับโครงสร้างของระบบองค์กร เช่น โครงสร้างของธุรกิจให้เล็กลง





4. การสร้างแรงกระตุ้น หรือขวัญก าลังใจให้กับพนังงาน




* กลยุทธ์การฟนฟูกิจการ





1. การมองหาตลาดใหม่ๆเพือสร้างส่วนแบ่งตลาด







2. การปรับเปลียนรูปแบบบริษัท ให้กับเข้ากับสถานการณ




3. การเริ่มจับกลุ่มธุรกิจใหม่เพือให้เข้ากับสถานการณ

25

























2. Captive Company Strategy (กลยุทธ์การยอมเปนเชลย) กลยุทธ์



นีเหมาะกับสถานการณ การเงินของบริษัทแย่มาก และไม่สามารถใช้








กลยุทธ์การฟนฟได้ด้วยตัวเองคนเดียว จึงพึงพาภายนอกเข้ามาช่วย

โดยมีหลากหลายวิธีเช่น การกู้ยืมเงินจากภายนอก หรือการขายหุ้น








บางส่วน การหาบริษัทคูค้าทีใหญกว่า มีก าลังมากกว่า มาช่วยอยูรอด

การยอมเปลียนผู้บริหาร CEO ให้ผู้ทีมีความเชียวชาญ ประสบการณ




เข้ามาดูแล











3. Divestment Strategy (กลยุทธ์การเลิกลงทุน) เปนการตัดใน





ส่วนของงบการลงทุน หรือโปรเจคทั้งหลายออกไปให้หมด เช่น งานทีท า



ก าไรได้นอย การยกเลิกการผลิตส าหรับงานทีไม่คุ้มค่ากับการลงทุน การ




ลดค่าใช้จ่ายคงทีลง (Cut Fixed Cost) การลดเงินเดือนพนักงาน และ




ปลดพนักงานออก การขายทรัพย์สินของบริษัทบางส่วนออกไป เพือเติม





กระแสเงินสด

26



























4. Liquidation Strategy (กลยุทธ์การเลิกกิจการ)







กลยุทธ์นี บริษัทต้องมีสินทรัพย์ มากกว่า หนีสิน โดยบริษัทต้องท า



การจ่ายหนีให้เรียบร้อยก่อนจากนั้นแบ่งส่วนทีเหลือให้กับผู้ถือหุ้น สุดท้าย






แล้วสามารถด าเนินการปดกิจการ ได้โดยถ้า บริษัท เผชิญปญหา ตัวอย่าง






ด้านล่างนี สามารถทีจะ ตัดสินใจใช้กลยุทธ์นีได้เมือ


- กิจการมีการขาดทุนต่อเนือง



- เทคโนโลยีของเราล้าหลังกว่ามาก เมือเปรียบเทียบกับบริษัทอืน






- สินค้าไม่เปนทีต้องการของตลาดในปจจุบันและมีแนวโนมทีลดลงใน



อนาคต



- อุตสาหกรรมนไม่สามารถกลับมาเติบโต หรือท าก าไรได้อีกแล้ว




- เกิดความขัดแย้งกันของคนในองค์กร

27




























6. Stability Strategy (กลยุทธ์การรักษาเสถยรภาพ) โดยบริษัท




สามารถใช้ กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ สามารถแบ่งออกเปน 3 กลยุทธ์



ดังนี






1. กลยุทธ์การยับยั้งหรือการด าเนินการด้วยความระมัดระวัง (Pause or




Proceed with caution Strategy)






2. กลยุทธ์การไม่เปลียนแปลง (No Change Strategy) เปนการ




ด าเนินงานตามกลยุทธ์เดิม






3. กลยุทธ์การท าก าไร (Profit Strategy) เปนกลยุทธ์ทีองค์การจะ



พยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ

28
























บทท 2 การจัดการเชิงกลยุทธ์ในระดับธุรกิจ






(Business Strategy)






หลังจากทีองค์กรหรือหนวยงานได้แผนด าเนินกลยุทธ์ระดับ






องค์กรเปนทีเรียบร้อยแล้ว ล าดับต่อไปองค์กรจะต้องหาวิธีการเพือสร้าง


ความได้เปรียบเหนือคูแข่งและการด ารงอยูได้ขององค์การอย่างยั่งยืน






เพือให้องค์กรสามารถบรรลุผลในเปาหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กรที ่


ได้วางเอาไว้ การก าหนดกลยุทธ์ระดับธุรกิจ หรือกลยุทธ์แข่งขัน ( Busi-




ness or Competitive strategy ) จึงเปนวิธีการทีเหมาะสมและสอดคล้อง






ทีสุดเนืองจากเปนกลยุทธ์ทีก าหนดโดย ผู้บริหารระดับกลางเพือสร้าง



ความสามารถทางการแข่งขัน หรือเพือด าเนินกิจกรรมให้สอดคล้องกับกล




ยุทธ์หลักขององค์การหรือสามารถด าเนินกิจกรรมตามกลยุทธ์ทีองค์การ






ก าหนดขึนเพือใช้ในการ ด าเนินงานทีมุ่งปรับฐานะการแข่งขันของ

ผลิตภัณฑ์หรือบริการ เปนกลยุทธ์ทีเนนการปรับปรุงสถานการณแข่งขัน





ของธุรกิจหรือของผลิตภัณฑ์ในบริษัทตามกระแส เปนการตอบค าถามว่า

องค์กรหรือบริษัทจะแข่งขันอย่างไรในอุตสาหกรรมนั้น

29





























กลยุทธ์ระดับธุรกิจเปนแผนการกระท าของผู้บริหารเชิงกลยุทธ์ทีจะใช้ทรัพยากร

และความสามารถดีเด่นเพือการสร้างขอ้ได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคูแข่งขันภายใน



อตสาหกรรม (สมยศ นาวีการ 2544) ถ้าองค์กรใดมีธุรกิจเพียงชนิดเดียวก็จะมีกลยุทธ์




ธุรกิจเพียงอย่างเดียวแต่ถ้าองค์รมีการขยายตัวสูธุรกิจหลายประเภทแต่ละประเภทก็



ต้องมีกลยุทธ์ธุรกิจส าหรับการแข่งขันในแต่ละธุรกิจ (พักตร์ ผจง วัฒนสินธุ์ และพสุ เต



ชะรินทร์ 2545)






กลยุทธ์ระดับธรกิจได้ถูกศึกษาคร้งแรกโดย Micheal E. Porter โดยนาเสนอ


แนวคิดว่าการ ด าเนนงานขององค์การจะมีทางเลือก 3 ทาง ได้แก่การเปนผู้นาด้าน



ต้นทุน การสร้างความแตกต่าง และ การจ ากัดขอบเขตของกลยุทธ์การก า หนดกล



ยุทธ์ระดับธุรกิจเปนการตอบค าถามของหนวยธุรกิจให้ได้ว่า “จะท าการแข่งขันโดย



สร้างความได้เปรียบเหนือคูแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างไร หรือด้วยวิธีการใด” จุดเริ่มต้น




ของการด าเนนงานด้านกลยุทธ์ระดับธุรกิจคือการพิจารณาว่าองค์การอยูในธุรกิจใด



เพือแบ่ง ส่วนของธุรกิจให้มีความชัดเจน กิจกรรมต่างๆ ของธุรกิจจะกระท า โดย



หนวยธุรกิจทางกลยุทธ์ (Strategic Business Unit: SBU) ดังนั้น หนวยธุรกิจทางกล




ยุทธ์จึงหมายถึงหนวยปฏิบัติทีรับผิดชอบในการวางแผน ผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการ


แต่ละประเภทขององค์กรเพือให้การด าเนนงานสามารถเข้าถึงกลุ่มเปาหมายได้เมือ



เทียบการแข่งขันของคูแข่งขันโดยทั่วไป การพิจารณาเพือก าหนดกลยุทธ์ในระดับ





ธุรกิจนั้น จะต้องพิจารณาปจจัยทีส าคัญ 6 ประการ คือ

30





























1. คูแข่งขัน (Competitor)องคก์รต้องระบุได้ว่าใครคือคูแข่งขัน


2. ราคาของสินค้าและบริการ (Price) ราคาของสินค้าและบริการของ






องค์การทีเสนอควรก าหนดไว้เหมือนกัน หรือเปนไปในทิศทางเดียวกัน




3. ลูกค้าเปาหมาย (Customer) องค์กรต้องสามารถระบุได้ว่าใครคือลูกค้า




4. คุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Quality) เปนการก าหนดความแตกต่างของ





คุณภาพเพือสามารถอธิบายถึงผลิตภัณฑ์ขององค์กรได้







5. ความสัมพันธ์กับหนวยธุรกิจอืน (Relations) หนวยงานในองค์กรอาจมี

หลายหนวยกลยุทธ์ ระดับธุรกิจ ซึงหนวยกลยุทธ์ระดับธุรกิจเหล่านีควรมี




ความสัมพนัธ์กัน เพือความสอดคล้อง ในการก าหนดกลยุทธ์ระดับองคก์ร





6. การไม่ลงทุนหรือการเลิกด าเนินการ (Divestment or Liquidation) เปน




การตัดสินใจด าเนินกลยุทธ์จัยหรือทรัพยากรทีมีในองค์การเพือให้การ



ด าเนินธุรกิจประสบผลส าเร็จตามเปาหมายขององค์การทีตั้งไว้หาก




ผลิตภัณฑ์และบริการของแต่ละหนวยธุรกิจไม่สามารถด ารงอยูได้ควรเลิก




ลงทุน

31





























โมเดลกลยุทธ์การแข่งขันเพอสร้างความไดเปรยบ



การก าหนดกลยุทธ์ระดับธุรกิจสามารถใช้โมเดลกลยุทธ์การแข่งขันเพือสร้างความ


ได้เปรียบ โดยมีจ านวน 4 โมเดล ได้แก่




1. กลยุทธ์การแข่งขันของพอตเตอร์ (Micheal E. Porter) กลยุทธ์ในระดับ



ธุรกิจอาจจะก าหนดได้จากการท า SWOT Matrix หรืออาจพิจารณาจากกลยุทธ์



ทางการแข่งขันของ Michael E.Porter ก็ได้ ซึงประกอบด้วย 3 ลักษณะคือ (เกริกยศ



ชลายชเดชะ 2546 ;อนิวัช แก้วจ านง 2551 ;วิชิต อู่อ้น 2548 ; ณัฐพันธ์ เขจรนันทน



2552)










2. กลยุทธ์การเปนผูนาดานตนทุน (Cost leadership strategy ) เปนกลยุทธ์



ขององค์กรทีมีตลาดเปาหมายกว้าง โดยการสร้างประสิทธิภาพในการด าเนนงาน ใน

ขณะเดียวกันก็มุ่งเนนการเสนอสินค้าและบริการด้วยต้นทุนทีต ากว่าคูแข่งขัน ท าให้





องค์กรมีก าไรสูงขึนและสามารถอยูรอดได้ในสถานการณ การแข่งขันทีรุนแรง กลยุทธ์





นีจะเปนกลยุทธ์ทีหลีกเลียงการด าเนนการของธุรกิจทีจะก่อให้เกิดต้นทุนการผลิตที ่



สูงขึน เช่น การพัฒนาและการวิจัย การส่งเสริมการขายทีสินเปลือง และการโฆษณา




ตัวอย่างของกลยุทธ์การเปนผู้นาด้านต้นทุน เช่น การนาสมุนไพรพืนบ้านมาใช้แทนยา





แผนปจจุบันทีมีราคาแพง

32





















3. กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ (Differentiation strate-




gy) เปนกลยุทธ์ที เสนอผลิตภัณฑ์ทีดีกว่าให้กับผู้บริโภคหรือผู้ซือ โดยการสร้างความ




แตกต่างของผลิตภัณฑ์ของตนเองให้มีลักษณะทีโดดเด่นแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อืน





ส าหรับความแตกต่างในเชิงการแข่งขันมีประเด็นส าคัญทีผู้บริหารต้องค านงถึง ได้แก
ความแตกต่างด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้านการอ านวยความสะดวก คุณภาพและ



บริการ ด้านภาพลักษณและชือเสียงของกิจการ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้านการ




ผลิต เปนต้น ความแตกต่างเหล่านีแม้ว่า อาจท าให้สินค้าและบริการมีราคาสูงกว่าคู ่







แข่งขันแตก็ยงัสามารถสร้าง ความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้เนองจากลูกค้า เชือมั่นใน


คุณภาพหรือคุณค่าทีได้รับ ตัวอย่างของกลยุทธ์การสร้างความแตกตางของผลิตภัณฑ์


เพือสร้างความได้ปรียบในการแข่งขัน





4. กลยุทธ์ท่มุ่งเนนการตอบสนองตลาดเฉพาะส่วน (Focus strategy )



เปนกลยุทธ์ทีเนนการเจาะตลาดกับลูกค้าเฉพาะหรือผู้รับบริการในบางกลุ่มทีมีความ


ต้องการพิเศษ ( Niche market ) องค์กรต้องสามารถออกแบบสินค้าและบริการให้






เหมาะสมกับตลาดเปาหมายทีเลือก เพือสร้างความพึงพอใจให้กับตลาดนั้นมากกวาคู ่

แข่งขัน องค์กรทีเลือกใช้กลยุทธ์นต้องไม่พยายามสร้างความแตกต่างให้เกิดขึนในหลาย





ตลาด แตควรมุ่งเนนเฉพาะตลาดเดียวเท่านั้น เมือองค์การมีความช านาญมากขึนจึงค่อย


ท าการขยายการด าเนนงานไปสูตลาดอืนตอไป โดยทั่วไปกลยุทธ์การมุ่งตอบสนองเฉพาะ




กลุ่มจะพิจารณาจาก





1) กลุ่มของลูกค้าทีนาสนใจ




2) ลักษณะตลาดทีธุรกิจสามารถดึงส่วนแบ่งมาจากคูแข่งขัน และ


3) มีการแบ่งส่วนของตลาดสินค้าอย่างชัดเจน

33

























อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นีไม่เหมาะกับองค์กรทีมีประสบการณใน






การด าเนินงานนอย มีเงินทุนต า และเปนองค์กรขนาดเล็ก ตัวอย่างกล

ยุทธ์การมุ่งตอบสนองเฉพาะกลุ่ม เช่น การจัดบริการดูแลผู้สูงอายุ การ





ผลิตอุปกรณปองกันอุบัติเหตุในผู้สูงอายุ เปนต้น































































ภาพที 2.1 กลยุทธ์ระดับธุรกิจจ าแนกตามความได้เปรียบทางการแข่งขันและ


ขอบเขตในการแข่งขัน

34

























บริษัทควรจะเลือกใช้แกนกลยุทธ์ประเภทใดประเภทหนึงโดยเฉพาะที ่






เหมาะสมกับตนเองทีสุด และหลีกเลียงการใช้หลายกลยุทธร่วมกัน หรือเลียง


การกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึงครึงๆ กลางๆ เพราะจะท าให้บริษัทอาจจะไม่

สามารถตอสู้กับคูแข่งขัน ทีมีความสามารถโดยเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิผล











กลยุทธ์การแข่งขันส าหรับต าแหน่งต่างๆ ในการแข่งขัน







1. กลยุทธ์ผูนาตลาด (market leader strategies) ผู้นาตลาดหมายถึง

ธุรกิจทีสร้างปรากฏการณหรือสร้างนวัตกรรมทีโดดเด่น และนาสินค้าเข้าสู ่






ตลาดหรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ ก่อนตราสินค้าอืนทีขายสินค้าเหมือนตน แต ่


คุณสมบัติไม่เหมือน เช่นพูดถึงสาหร่าย ต้องนึกถึง “เถ้าแก่นอย” เพราะนา



สินค้าสาหร่าย ทอดมาสร้างตราสินค้าโดยนาข้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ก่อนตรา







อืนๆ หรือ I-Phone เปนผู้นาตลาดโทรศัพท์สมาร์ทโฟน (smartphone) ที มี

ลูกเล่นและ application ทีสามารถท าให้ผู้ใช้ประทับใจ ทั้งนีผู้นาตลาดมักถูกผู้





ท้าชิงแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาด ซึงธุรกิจทีเปนผู้นา ตลาดต้องก าหนด


นโยบายและกลยุทธ์การตลาดทีมีวัตถประสงค์หลักคือรักษาต าแหนงของการ


เปนทีหนึงในตลาดไว้ให้ได้กลยุทธ์การเปน ผู้นาตลาดได้แก่ การขยายตลาด






โดยรวม และการปองกันส่วนแบ่งทางการตลาด

35



























การขยายการตลาดโดยรวมของผูนาตลาด (expending total market) ม

3 วิธ







1. ผูใชรายใหม่ (new users) เช่น การเพิ่มกลุ่มเปาหมาย ส าหรับกลุ่มที ่

บริษัทยังไม่เคยท าตลาด เช่น ยาสระผมแพนทีน กลุ่ม เปาหมายหลักคือ




ผู้หญิงวัยท างานอาจสามารถเพิ่มกลุ่มเปาหมายใหม่ได้เช่นกลุ่มวัยรุ่นหรือการ




เพิ่มกลุ่มเปาหมายใหม่ตามภูมิศาสตร์ เช่น สินค้าฮีตเตอร์ (อุปกรณท าความ



ร้อน) เคยส่งคณะพนักงานขายไปท าตลาดโซนอตสาหกรรมภาคตะวันออก




หากอยากเพิ่มกลุ่ม เปาหมายใหม่ต้องสร้างคณะพนักงานขายลงไปยังเขต





อุตสาหกรรมภาคอืนๆ เปนต้น




2. วิธการใชใหม่ (new uses) ตลาดสามารถขยายตัวโดย การคิดค้น



วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์แบบใหม่ๆ และนาเสนอแก่ลูกค้า ตัวอย่างทีเห็นได้ชัดคือ




นายาอุทัยทิพย์ทีใช้ผสมนาดื่มเพิ่มความ สดชืน ด้วยการดัดแปลงของผู้บริโภค







นามาทาริมฝปาก ท าให้ บริษัทโอสถสภาได้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์นายาอุทัยทิพย์





เปนตรา ยูทิพย์ลิปสีแบบนา ขายดีในกลุ่มวัยรุ่น เปนต้น




3. การเพิมประโยชนใชสอย (more usage) โดยการเพิ่ม ประโยชนใช้







สอยหรืออัตราการใช้ให้บ่อยขึนหรือถีขึน เช่น นายาบ้วนปาก จะมีการสือ

โฆษณาบอกถึงประโยชนของการบ้วนปาก หลังแปรงฟนทุกครั้ง เมือมีความถี ่




ในการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึนย่อม ท าให้สินค้าขายได้ยอดเพิ่มขึน

36




























การปองกันส่วนแบ่งตลาด (defending market share) ธุรกิจทีเปนผู้นาตลาด








ยากทีจะหลีกเลียงการโจมตีของคูแข่งขัน โดยเฉพาะคูแข่งทีมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ




รองๆ ลงมา ซึงวิธีปองกัน จะมีดังต่อไปนี กลยุทธ์การปองกันของผู้นาตลาด ( De-


fense strategies ) แบ่งออกได้อีก 6 วิธีดังนี (Kotler,2003,258-264, อ้างถึงใน สุวิมล

แม้นจริง, 2546)






1. การปองกันต าแหน่ง (Position defense) ท าได้โดยการ สร้างตราสินค้าให้


เหนือกว่าในทุกด้าน รวมถึงการโฆษณาแบบ Above The Line เช่น การโฆษณาผ่าน





โทรทัศนวิทยุ นิตยสาร และแบบ Below The Line เช่น การตลาดทางตรงต่างๆ การ




โทรศัพท์หาลูกค้า การสกรีนเสือแจกลูกค้าหรือให้พนักงานใส่เสือ ตราสินค้าของบริษัท




หรือองค์กรเพือเปนการประชาสัมพันธ์ตรา สินค้าอีกรูปแบบหนึง






2. การปองกันดานข้าง (Flank defense) เช่น หากเปน สินค้าทีจ าหนาย

ช่องทาง Modern Trade หรือห้างสรรพสินค้า ต่างๆ บริษัทอาจท าตลาดด้วยการ



ปองกันด้านข้างโดยเพิ่มพืนที ขายในห้างโดยการเพิ่มสายผลิตภัณฑ์ เช่น เพิ่มรสชาติ



เพิ่ม ลักษณะบรรจุภัณฑ์ (packaging) หลายรูปทรง เพิ่มขนาดบรรจุ ให้มีหลาย



ทางเลือก เปนต้น







3. การปองกันโดยการรุกก่อน ( Preemptive defense ) วิธี การนีคือต้องรู้จุด

แข็งของคูแข่งและท าการตลาดเชิงรุกก่อนคูแข่ง



37

























4. การปองกันโดยการรุกกลับ (Counteroffensive defense) ในโลกธุรกิจ


เราอาจคิดว่าเราวางแผนไว้ดีแล้วจะต้องเปน ผู้รุกตลาดก่อน แต่ส าหรับการตลาด และ




พฤติกรรมผู้บริโภคเรา อาจไม่สามารถคาดการณล่วงหนาได้เช่นการตัดราคาการ


จัดการ ส่งเสริมการจ าหนายอย่างเข้มข้นรุนแรง หรือการเลียนแบบและ ขายถูกกว่า






วิธีการปองกันโดยการรุกกลับเหมือนกับกลยุทธ์ ตาต่อตาฟนต่อฟนและผู้บริหารต้อง
ประเมินจุดยืน(positioning) ของตราสินค้าของตนก่อน เพราะหากบริษัทมีลูกค้าทีภักดี




กับ บริษัทอยูอย่างเข้มแข็งแล้ว และประเมินได้ว่าการลดแลกแจกแถม ของคูแข่งจะไม่




มีผลกระทบต่อยอดขาย บริษัทก็ไม่จ าเปนต้องโต้ กลับคูแข่ง เพราะจะท าให้คุณค่าตรา

สินค้าตกลง ในทางกลับกัน หากประเมินแล้วยังไม่สามารถท าให้ลูกค้าภักดีต่อบริษัท




หรือ ประเมินแล้วพบว่า ลูกค้ามาซือซ ากับบริษัทเพราะการส่งเสริมการ จ าหนาย ใน




สถานการณเช่นนีก็ต้องใช้กลยุทธ์การปองกันโดยการ รุกกลับแบบสงครามราคา (red

ocean)







ื่

ี่

5. การปองกันแบบเคลอนท (Mobile defense) เปนการ ปองกันการโจมตี




ของคูแข่งโดยการเปลียนแปลงหรือเคลือนไหว กลยุทธ์ต่างๆ ทางการตลาดอยูเสมอ




โดยเคลือนทีแบบ360 องศา เช่น การแข่งขันระหว่างเครือข่ายโทรศัพท์ในปจจุบัน AIS


DTAC และTrue จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเปนโฆษณา การส่งเสริมการจ าหนาย การบริการ


ลูกค้า แม้กระทั่งการขาย ทั้ง 3 ตรา มีการปองกันตัว เองแบบเคลือนที โดยท าทุก



อย่างมิให้คูแข่งคาดการณแผนในการ ครองใจผู้บริโภค เพราะหากเกิดความไม่พึง



พอใจในบริการของ ธุรกิจนีผู้บริโภคมีสิทธิเปลียนเครือข่ายได้ตลอดเวลา


38






























6. การปองกันโดยการหดตัว (Contractiondefense) หรือ เรียกว่าเปนการ




ถอนทุนคือการยกเลิกผลิตภัณฑ์อ่อนแอเช่นตั้งแต่ ปพ.ศ. 2542 ทีเปนยุคบุกเบิกชา

เขียวแบบขวดโดยตราโออิชิต่อ มาบริษัทหลายแห่งส่งชาเขียวแบบขวดมาแข่งขันใน



ตลาดร่วมกับ โออิชิแต่ด้วยปญหาจากราคาขาย และความอิ่มตัวของผู้บริโภค ท าให้




หลายบริษัททีผลิตชาเขียวแบบขวดมาแข่งขัน แต่ตราสินค้า หลายตราไม่แข็งแรงใน


ตลาดต้องออกจากตลาดไป

39





























กลยุทธ์ผูทาชิงตลาด (market challenger strategies) ผู้ท้าชิง คือผู้ตามทีมี

ส่วนแบ่งตลาดรองลงมาจากผู้นา วิธีการคือ ต้องก าหนดวัตถประสงค์เพือให้พนักงาน




ทีมงานได้ ตระหนักถึงจุดมุ่งหมายในการท าการตลาดทีส าคัญคือก าหนดคูแข่งขัน กล




ยุทธ์ทีใช้ได้ส าหรับผู้ท้าชิงคือ การใช้กลยุทธ์ต้นทุนต า หรือกลยุทธ์การสร้างความ





แตกต่างให้กับตราสินค้าหรือการให้สิทธิ ประโยชนเพือความได้เปรียบทางการค้าเมือ
เทียบกับคูแข่งขัน ส าหรับกลยุทธ์โจมตีคูแข่งขันนั้นแบ่งออกได้เปน 5 ประเภท คือ








1. การโจมตดานหนา ( Frontal attack ) เปนวิธีการนาเสนอ ผลิตภัณฑ์ราคา





การส่งเสริมการจ าหนาย และช่องทางเช่นเดียว กับคูแข่ง เปนวิธีการโจมตีซึงหนา






2. การโจมตดานข้าง (Flank attack) เปนการเพิ่มสาขาที จ าหนาย หรือเพิ่ม



ผลิตภัณฑ์ทีผู้นาไม่ช านาญ





3. การโจมตแบบตโอบ (Encirclement attack) เปนการ 132 Executive
Journal โจมตีรวมทั้งด้านหนาและด้านข้าง ทั้ง 2 วิธีให้คูแข่งสับสนและ ตามไม่ทัน แต่



วิธีการแบบนีจะใช้ได้ผลดีในกรณีทีต้องมีทุนและ ทรัพยากรเพียงพอ



40































4. การโจมตทางออม (Bypass attack) ท าได้ 3 วิธีคือ 1) การนาเสนอ




ผลิตภัณฑ์ทีไม่มีความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ เดิมการขยายตัวเพือเพิ่มรายได้หรือเพิ่ม



การให้บริการลูกค้า เช่น การที True เปด True coffee มิได้ขายกาแฟและเครืองดืม



อย่าง เดียวยังมีการให้บริการจ่ายค่าโทรศัพท์และอื่นๆ รวมถึงการซือ อปกรณเสริม





ต่างๆ เปนต้น 2) การขยายตัวไปสูตลาดใหม่หรือในเขตภูมิภาคอื่นๆ 3) การก้าว

กระโดดไปสูเทคโนโลยีใหม่ๆ แทนทีเทคโนโลยี เดิม เช่น การพัฒนาลูกเล่นโทรศัพท์



ของ Samsung









5. การโจมตแบบกองโจร ( Guerrilla attack ) เปนกลยุทธ์ ทีนามาใช้ในธุรกิจ


เล็กเพือปะทะกับธุรกิจใหญ เช่น การใช้เครือ ข่ายทางสังคม( Social network ) เช่น


เว็บบล็อก หรือพันทิป กอง โจรในอินเทอร์เนตแบบนีมีผลต่อการโจมตีคูแข่งพอสมควร


การใช้ เครือข่ายทางสังคมในลักษณะนแม้แต่เสียงเดียวก็มีผลมากต่อทัศนคติของคน





ส่วนใหญ เพราะใช้การเขียนแบบบรรยายความรู้สึกส่วนตัวทีเคยใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ

41

























การเลอกกลยุทธ์การโจมตเฉพาะอย่าง ( Choosing a specific attack strate-



gy ) มี 9 แบบ ดังน (Kotler,2003,268-269, อ้าง ถึงใน สุวิมล แม้นจริง, 2546)





1. การใหส่วนลดราคา (price discount) เพราะผู้ซือมี ความอ่อนไวตอราคา กล






ยุทธ์นมักได้ผลเสมอ แม้คุณภาพสินค้า จะด้อยกว่าคูแข่ง ( Krishhamurtri, อ้างถึงใน ชืน
จิตต์แจ้งเจนกิจ, 2546)







2. การตั้งราคาผลิตภัณฑ์ทต ากว่า (lower price goods) นาเสนอผลิตภัณฑ์ทีมี






คุณภาพใกล้เคียงหรือต ากว่าในราคาทีต ากว่าคูแข่งมาก







3. ผลิตภัณฑ์ทมชอเสยง (prestige goods) นาเสนอ ผลิตภัณฑ์ทีมีคุณภาพสูง

และราคาสูง

4. การขยายผลิตภัณฑ์ (product proliferation) เปนการ นาเสนอผลิตภัณฑ์




ใหม่ทีหลากหลายให้กับตลาด เพือเปนทางเลือก ให้กับกลุ่มลูกค้า





5. วัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ( Product innovation) เปนการเสนอสิ่งใหม่ๆ ออกสู ่


ตลาด





6. การปรับปรุงการใหบริการ (Improved services) ผู้ท้า ชิงสามารถปรับปรุง



การให้บริการทีเหนอกว่าคูแข่งได้หากยังไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหนือกว่าคูแข่ง




ได้




7. นวัตกรรมการจัดจ าหน่าย (Distribution innovation) เปนการพัฒนาหรือหา



ช่องทางจัดจ าหนายใหม่ๆ ขึนมา เช่น ช่อง ทางขาย E-commerce Facebook Youtube



42

























8. การลดตนทุนการผลิต (manufacturing cost reduction) กลยุทธ์นีมีข้อ




ควรระวังเรืองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หากลดต้นทุนจนคุณภาพเปลียน หมายถึง






ยอดขายทีตกต าไม่คุ้ม กับการได้มาของก าไรทีคาดว่าจะเพิ่มขึน



9. การส่งสริมการตลาดดวยการโฆษณาอย่างเขมขน ( Intensive adver-

tising promotion ) คือการเพิ่มโฆษณาเพือดึงดูด ความสนใจของผู้บริโภค แต่บริษัท



ต้องค านวณงบประมาณของ บริษัทอย่างระมัดระวัง เพราะยอดขายจะเพิ่มตาม



โฆษณาทีผ่าน สือ แต่หากหยุดการโฆษณา ยอดขายจะตกลงเช่นกัน ดังนั้นต้อง เทียบ



ความคุ้มค่าว่ก าไรทีได้กลับมาคุ้มกับทีเสียไปหรือไม่



43























กลยุทธ์ของผูตามทางการตลาด (market follower strategies) คูแข่งขันในอับ



ดับรองๆ ทีมีสัดส่วนของส่วนแบ่ง การตลาดไม่มากนัก นิยมเลือกกลยุทธ์การเปนผู้ตาม





มากกว่า ผู้ท้าชิง ส่วนมากใช้วิธีดังน 1) วิธีการเลียนแบบนวัตกรรมตามแบบของผู้นา



ตลาด 2) การตัดราคาให้ต ากว่า 3) การหาข้อได้เปรียบของบริษัทตนเองและนาเสนอสิ่งที
เปนจุดเด่น






1. กลยุทธ์ของผูเจาะตลาดส่วนเล็ก (Market nicher strategies) เปนธุรกิจที ่

ประสบความส าเร็จในการสร้างจุดเด่น ของตนเอง เช่น ผลิตภัณฑ์นมบริษัทดูเม็กซ์จ ากัด





(ม.ป.ป.) เจาะ ตลาดนมส าหรับเด็กดูเม็กซ์เปนหนึงในกลุ่มบริษัทดานอน ซึงได้รับ การจัด





อันดับโดย “นตยสารฟอร์จูน” ให้เปนหนึงใน 500 บริษัทที ประสบความส าเร็จมากทีสุดใน






ด้านอาหารเพือสุขภาพโดยมุ่งเนน ผลิตภัณฑ์ทีท าจากนม นาดื่ม และโภชนาการส าหรับ




เด็ก กลุ่มบริษัทดานอนมีส านักงานใหญอยูในกรุงปารีส ไม่ว่าจะเปนผู้นาหรือผู้ท้าชิงใน



ตลาด และจะใช้กลยุทธ์ ปองกันหรือโจมตีคูแข่งขัน สิ่งทีต้องค านงคือ ศักยภาพของบริษัท


ในทุกด้านไม่ว่าจะเงินทุน พนักงาน สมรรถนะ ทรัพยากรตางๆ ของบริษัท ( Hitt, Ire-



land, & Hoskisson, 2007, อ้างถึงใน พิพัฒน นนทนาธรณ, 2553) สิ่งทีดีทีสุดในการท า

การตลาด คือการท าสินค้าให้ขายได้ด้วยตัวของสินค้าเอง ท าให้ลูกค้าติดใจและพอใจ ใน




ผลิตภัณฑ์ท าให้สินค้าตอบโจทย์และแก้ปญหาให้ลูกค้าอย่างได้ ผลเปนกลยุทธ์ทียั่งยืน



ทีสุดบริษัทต้องมุ่งความสนใจไปยังลูกค้าให้ สมดุลกับการมุ่งเพือชนะคูแข่งขัน มิใช่



แข่งขันจนลืมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพือลูกค้า ทีส าคัญมีหลายธุรกิจทีส าเร็จเพียงแค่ให้บริการ





ทีเหนอกว่า นั่นแสดงว่าให้ความส าคัญกับความ รู้สึกและการรับรู้ของลูกค้าเปนส าคัญ ค า



กล่าวทีว่า “ความส าในอดีตมิได้รับประกันความส าเร็จใน อนาคต” (พิพัฒนนนทนาธรณ,

2553)

44

























นั้นยังใช้ได้ดี เสมอ เพราะยุคสมัยเปลียน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลียน เพราะฉะนั้น






กลยุทธ์การแข่งขันทีดีคือผู้บริหารต้อง เปลียนแปลงให้ทันตามสภาวการณในปจจุบัน







ต าแหน่งในการแข่งขัน ผู้นา ผู้ตาม






ส่วนแบ่งทางการตลาด ผู้นาตลาด ผูทาชิงในตลาด ผู้ตามตลาด ผูเจาะตลาดส่วนเล็ก
ี่
กลยุทธ์ทใช ้ ขยายตลาดโดยรวม เช่น ผู้ท้าชิง - การลอกเลียนแบบ - การมุ่งตลาดเฉพาะส่วน


- เพิ่มผู้ใช้รายใหม่ 1.กลยุทธ์โจมต ี - การตัดราคา - การเปนผู้เชียวชาญใน

- วิธีการใช้ใหม่ๆ - การโจมตีด้านหนา - การหาข้อได้เปรียบ ด้านต่างๆ


- เพิ่มประโยชนใช้สอย - การโจมตีด้านข้าง

- การโจมตีแบบตีโอบ


ปองกันส่วนแบ่งตลาด - การโจมตีทางอ้อม


- การปองกันต าแหนง - การโจมตีแบบกองโจร

- การปองกันด้านข้าง



- การปองกันโดยการรุกก่อน 2. กลยุทธ์โจมตเฉพาะอย่าง

- การปองกันโดยการรุกกลับ - การให้ส่วนลด




- การปองกันแบบเคลือนที ่ - การตั้งราคาผลิตภัณฑ์ต ากว่า



- การปองกันโดยการหดตัว - ผลิตภัณฑ์ทีมีชือเสียง
- การขยายผลิตภัณฑ์

- นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่


- การปรับปรุงการให้บริการ


- นวัตกรรมการจัดจ าหนาย

- การลดต้นทุนการผลิต

- การส่งเสริมการตลาดด้วย


การโฆษณาอย่างมาก




ตารางที 1 กลยุทธ์ส าหรับผู้นาและผู้ตามในตลาด


ทีมา : สุวิมล แม้นจริง (2546, 419)


45



























กลยุทธ์การปรับตัวของไมล์สและสโนว์ ( MILES AND SNOW’S



STRATEGIC TYPOLOGIES)ส าหรับ กลยุทธ์การปรับตัวของไมล์สและสโนว์





เพือรับตอการแข่งขัน จะถูกแบ่งออก เปน 4 กลยุทธ์ดังนี





ทีมา : สุวรรณี อนันตสายนนท์









กลยุทธ์การปองกัน ( Defender) กลยุทธ์การแสวงหา(Prospector)



มุ่งเนน และ ให้ความส าคัญกับประสิทธิภาพ เปนการค้นหาตลาด ผลิตภัณฑ์และ บริการใหม่ เนน



ภายในองค์กรทีมีอยูในปจจุบัน ให้เกิดการเปลียนแปลงใหม่ๆ แต่ท าให้สูญเสีย




ประสิทธิภาพในตลาด ผลิตภัณฑ์ และ บริการ







MILES AND SNOW’S STRATEGIC TYPOLOGIES















กลยุทธ์ผูวิเคราะห์ (Analyzer) กลยุทธ์ผูตอบโต (Reactor)

การรักษาความมั่นคงส าหรับ ตลาดและ ผู้ตอบโต้จะ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หลังจากได้พิจารณา




ผลิตภัณฑ์ ผ่านการจัดโครงสร้างของงานและ ถึงเหตุทีเกิดขึนแล้ว แต่ ผู้บริหารระดับสูงจะไม่
ธุรกิจ โดยด าเนนงานประจ าให้มีประสิทธิภาพ สามารถทีจะท าการวางแผนระยะยาวได้



สูงสุด

46

























กลยุทธ์วงจรชวิตผลิตภัณฑ์




วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ( Product Life Cycle หรือ PLC) เปนทฤษฎีของ Kotler



ทีแสดงให้เห็น 4 ขั้นจองการเติบโตส าหรับยอดขาย และ ก าไรในช่วงเวลาที ่



ต่างกัน












































ี่
ขั้นท 1 : ขั้นแนะนา (Introduction)



เปนขั้นเริ่มต้น ทีเพิ่งนาสินค้า และ บริการเข้าสูตลาด ท าให้บริษัท ยังมี



ยอดขายต า ต้นทุนสูง การบริการจัดการ ยังไม่สามารถท าเต็มที แต่เริ่มมีแนว



ส่งเสริมการตลาด แต่สินค้ายังไม่โดดเด่น

47




























ขั้นท 2 : เจริญเติบโต ( Growth)เปนช่วงทีสินค้าและบริการ ผ่านช่วงแนะนามาแล้ว


ท าให้มียอดขายเพิ่มขึน ส่งผลให้มีก าไรเพิ่มขึน มีช่องทางจ าหนายมากขึน มีสินค้า




และบริการออกมาเยอะขึน ต้นทุนลดลง แต่ มีคูแข่งเข้ามาในตลาด


















ขั้นท 3 : เจริญเติบโตเต็มท ( Maturity) อยูในช่วง อิ่มตัว มี ก าไร และ ยอดขาย



เพิ่มขึน มีการปรับปรุงสินค้า มีการปรับราคาให้เข้ากับกลุ่มเปาหมายมากขึน มองหา
วิธีการขายให้มากกว่าคูแข่ง เนืองจากมีคูแข่งเข้ามามาก















ี่
ขั้นท 4 : ตกต ่า ( Decline) ในขั้นนี ยอดขาย และ ก าไรลดลง ท าให้ลดค่าใช้จ่ายให้




เหลือเฉพาะค่าใช้จ่ายส าคัญๆไว้เท่านั้น แต่คูแข่งก็ลดลงเช่นกัน

48






















บทท 3 การจัดการเชิงกลยุทธ์ในระดับปฏิบัติการ






(Functional Strategy)








เปนกลยุทธ์ทีใช้ก าหนดวิธีการในการสนับสนนกลยุทธ์ในระดับธุรกิจ โดย







เปนกลยุทธ์ทีเกียวข้องกับงานย่อยๆ ภายในองค์กร หรืองานประจ าวัน ทีจัดท า




เพือให้มั่นใจว่าองค์กรก าลังมุ่งไปสูเปาหมาย เปนฐานล่างสุดของการจัดท ากล





ยุทธ์ แตก็เปนสิ่งทีมีความส าคัญเปนอย่างมากเพราะเปนตัวชีขาดความส าเร็จ

หรือล้มเหลวในการท าธุรกิจ เปนการท างานตามภาระหนาทีเพือให้บรรลุ




เปาหมายซึงเชือมโยงกับเปาหมายของกลยุทธ์ระดับธุรกิจและระดับองค์กร







บางภาระหนาทีจัดเปนสายงานหลัก (line) ในขณะทีบางภาระหนาทีจัดเปน





สายสนับสนน (staff) การก าหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาหรือก าหนดวิธีการ

ท างานของหนวยงานย่อยเหล่านีก็เพือสนับสนนกลยุทธ์ในระดับธุรกิจที ่




ก าหนดขึนแปนวิธีการหรือรูปแบบทีองค์กรนาไปใช้ในการด าเนินงานของ





องค์กร โดยมุ่งเนนทีการใช้ทรัพยากรขององค์กรให้เกิดประโยชนสูงสุดในทุก


กิจกรรมการด าเนินงานของหนวยงานตางๆ ภายในองค์กร โดยต้องก่อให้เกิด



ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

49





























การก าหนดกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการจะเปนการก าหนดกลยุทธ์เพืออ านวยความ

สะดวกต่อการก าหนดกลยุทธ์ในระดับองค์กรและธุรกิจ โดยมีข้อแตกต่างจากกลยุทธ์





ทั้ง 2 ระดับ ดังน (เกริกยศ ชลายชเดชะ 2546; อนิวัช แก้วจ านง 2551; วิชิต อู่อ้น


2548; ณัฐพันธ์ เขจรนันทร์ 2552 )





1. การก าหนดกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการเปนการก าหนดกลยุทธ์ทีใช้ระยะเวลานอย


กว่าการก าหนดกลยุทธ์ในระดับองค์กร




2. การก าหนดกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการจะมีลักษณะและมีการก าหนดทิศทางการ



ปฏิบัติงานทีเฉพาะเจาะจง และเนนในการปฏิบัติทีตอบสนองต่อความต้องการ




ของลูกค้ามากกว่าการก าหนดกลยุทธ์ในระดับองค์กร





3. การก าหนดกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการเปนการปฏิบัติหนาทีทีแท้จริงในองค์กร



50






























กลยุทธ์ระดับปฏิบัติจึงเปนกลยุทธ์ทีสร้างขึนมาเพือรองรับเปาหมายและ






วัตถประสงค์ของหนวยธุรกิจโดยอาศัยศักยภาพขององค์กรเปนฐานในการพิจารณาว่า

จะจัดรูปองค์กรอย่างไร และจะมอบหมายความรับผิดชอบอย่างไร เปนการวางกลยุทธ์


ให้สายงานต่างๆ เช่น การตลาด การผลิต การเงิน ทรัพยากรมนษย์ ว่าจะท างาน





ร่วมกันเพือบรรลุวัตถประสงค์ทีมุ่งหวังอย่างไร และต้องท าอย่างไร ภารกิจต่างๆ จึงจะ


ด าเนนไปได้โดยไม่ติดปญหาหรืออุปสรรค ผู้บริหารและทีมงานของแต่ละสายงานจะ



เปนผู้ก าหนดกลยุทธ์ระดับปฏิบัติ



กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ สามารถสรุปลักษณะส าคัญได้ดังนี







1) เปนกลยุทธ์ทีท าเพือควบคุมการปฏิบัติงานรายวันให้อยูในเส้นทางทีท าให้กล



ยุทธ์ระดับธุรกิจและกลยุทธ์ระดับองค์กรบังเกิดผล



2) มุ่งให้เกิดความสัมพันธ์ทีสอดคล้องกันในการท างานระหว่างส่วนงาน

หนวยงาน และทีมงาน




3) เปนการวางแผนเพือให้ภารกิจประจ าวันได้รับการปฏิบัติและประสบผลส าเร็จ



ตามเปาหมาย





กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ หรือกลยุทธ์ระดับหนาที (Functional Strategy) สามารถ




แบ่งโดยยึดตามแนวคิด Value Chain ของ Micheal E.Potter สามารถแบ่งออกได้เปน

9 หนาทีได้แก่


Click to View FlipBook Version