The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำนานเมืองผีญี่ปุ่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kritsada, 2022-03-12 00:02:54

ตำนานเมืองผีญี่ปุ่น

ตำนานเมืองผีญี่ปุ่น

ตำนานเมืองผีญี่ปุ่น

ตำนานเมืองผีญี่ปุ่น

ตำนานเมืองผีญี่ปุ่น

เขียนโดย นายกฤษดา เสตะ
นายภาคิน จันทรัตน์

พิมพ์ครั้งแรก มกราคม 2565 ราคา 29 บาท
ISBN RMUTTO- CPC 0963031927

ที่ปรึกษา อาจารย์ภูดิท กรรณิการ์
บรรณาธิการบริหาร อาจารย์พนิตย ทองดี
กองบรรณาธิการ นายกฤษดา เสตะ
นายภาคิน จันทรัตน์
ออกแบบปก นายกฤษดา เสตะ
นายภาคิน จันทรัตน์
พิสูจน์อักษร นายกฤษดา เสตะ
นายภาคิน จันทรัตน์

สำนักพิมพ์ มานีมานะ เลขที่ 72/1 ซ.ประชาสงเคราะห์27
แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
10400 โทรศัพท์ 096-303-1927

จัดจำหน่ายโดย ปิตืชูใจบุ๊ค

เว็บไซต์ www.rmutto.ac.th
E-mail [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ 096-303-1927

หนังสืออ่านฝึกปฏิบัติรายวิชาสื่อสิ่งพิมพ์ดิจิทัล สาขาวิชาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลโยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษ์ภูวนารถ

คำนำ

ความเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วก่อนที่ผู้คนจะมี
ศาสนานับถือผู้คนนั้นนับถือบูชา และเชื่อเรื่องผีสางกันมาก่อน ซึ่งไม่เฉพาะในสังคม
ไทยเท่านั้นทั่วโลกต่างก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ทั้งชาติตะวันออกและชาติตะวันตก
โดยแต่ละพื้นที่ก็จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีอันน่าสยดสยอง ทั้งที่คล้ายคลึงและแตกต่าง
กันออกไป

หนังสือตำนานเมืองผีญี่ปุ่นเล่มนี้ จะพาคุณเข้าสู่เนื้อหาที่น่าขนลุก ผ่านเรื่อง
ราวสยองขวัญจากประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของตำนาน และเรื่องราว
สยองขวัญมากที่สุดเเห่งหนึ่งที่ผู้คนในโลกต่างรู้จักกันดี อย่างเช่นเรื่องราวตำนาน
เมืองผีในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง บุคุมิจัง ตำนานผีครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ ตำนานผีสาว
ปากฉีก คุชิซาเกะ อนนะ และรวมถึงเรื่องเล่าลึกลับเขย่าขวัญอื่นๆ อีกมากมาย

ซึ่งจะนำเสนอเรื่องราว ในรูปแบบเรื่องเล่า พูดคุย เปิดเผยและเสาะหาความจริง
โดยสอดเเทรกเกร็ดความรู้จากตำนานต่างๆ เอาไว้ซึ่งนอกจากคุณผู้อ่านจะได้ลิ้มลอง
ความตื่นเต้นน่ากลัวจนชวนขนลุกเเล้วนั้นยังได้รับความรู้ในเชิงประวัติศาสตร์อีกด้วย

นายกฤษดา เสตะ
นายภาคิน จันทรัตน์

คำนิยม

พ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้ถ่ายทอดเรื่องราวตำนานผีญี่ปุ่น เรียบเรียงโดยนายกฤษดา

เสตะและนายภาคิน จันทรัตน์ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย หลักสูตรเทียบโอน

ชั้นปีที่ 3 ทั้งสองคนเป็นนักศึกษาที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจและมีความเอาใจใส่ในการเรียน

อย่างมาก เมื่อมีโอกาสได้จัดทำพ็อกเก็ตบุ๊คนักศึกษาทั้งสองมีความตั้งใจอยากถ่ายทอด

เรื่องราวตำนานผีญี่ปุ่น เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณว่ามีมาตั้งแต่สมัย

โบราณแล้วก่อนที่ผู้คนจะมีศาสนานับถือผู้คนนั้นนับถือบูชาและเชื่อเรื่องผีสางกันมาก่อน

ซึ่งไม่เฉพาะในสังคมไทยเท่านั้น ทั่วโลกต่างก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ทั้งชาติตะวัน

ออกและชาติตะวันตก โดยแต่ละพื้นที่ก็จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีที่น่าสยดสยอง น่ากลัว

แตกต่างกันออกไป

ผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวตำนานเมืองผีญี่ปุ่นและพร้อมจะพาคุณเดินทางเข้าสู่
เมืองที่เป็นศูนย์รวมของตำนานเรื่องราวสยองขวัญมากที่สุดซึ่งผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักกัน
ดีเช่น ตำนานเมืองผีในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง บุคุมิจัง ตำนานผีครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ
ตำนานผีสาวปากฉีก คุชิซาเกะ อนนะ และรวมถึงเรื่องเล่าลึกลับเขย่าขวัญอีกมากมาย
โดยจะนำเสนอเรื่องราวด้วยภาพเรื่องเล่า การพูดคุยแบบเปิดเผยและเสาะหาความจริง
โดยสอดเเทรกเกร็ดความรู้จากตำนานต่างๆ เอาไว้มากมาย ซึ่งนอกจากคุณผู้อ่านจะได้
ลิ้มลองความตื่นเต้นน่ากลัวจนชวนขนลุกเเล้ว ยังได้รับความรู้ในเชิงประวัติศาสตร์อีก
ด้วย

ข้าพเจ้านางสาววรัญญาเดชพงษ์ในฐานะอาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยี
มัลติมีเดีย ขอชื่นชมในมุ่งมั่น ความตั้งใจและพยายามของ นายกฤษดา เสตะและนาย
ภาคิน จันทรัตน์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานผีญี่ปุ่นนั้นจะ
เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อและตำนานทุกอย่างยังคงอยู่เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รู้เรื่องราว
ที่น่ากล่าวขานสืบไป

นางสาววรัญญา เดชพงษ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย

คำอุทิศ

หากคุณค่าทางความรู้และความคิดจากหนังสือเล่มนี้
ช่วยชี้แนะผู้อ่านให้มีนิสัยรักการอ่านและสนุกไปกับเรื่องราวที่ตัวเองสนใจ
และต้องการได้อย่างถูกต้องแล้วผู้เขียนขออุทิศความดีดังกล่าวให้กับผู้ที่มีความ
รักและเข้าใจในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และผู้มีพระคุณต่อผู้เขียนทุกท่าน

นายกฤษดา เสตะ
นายภาคิน จันทรัตน์

สารบัญ หน
้าที่



บทที่
1-10

บทที่ 1 ตำนานผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง
บทที่ 2 ตำนานผีครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ 11-18
บทที่ 3 ตำนานผีสาวปากฉีก คุชิซาเกะ อนนะ 19-24
บทที่ 4 ตำนานอุโมงค์ผีสิง 25-42
บทที่ 5 ตำนานบทกวีแห่งความตายของโทมิโนะ 43-48
บทที่ 6 ความแตกต่างระหว่างผีไทยกับผีญี่ปุ่น 49-52
ผู้จัดทำ
บรรณานุกรม 53
บรรณานุกรมรูป 54-55

56

01

02

1

ตำนานผีสาวในห้องน้ำ
ฮานาโกะซัง

03

ตำนานผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง

ยินดีต้อนรับเข้าสู่บทแรกของตำนานเมืองผีญี่ปุ่น เรื่องราวของผีในห้องน้ำ
โรงเรียน ฮานากาโกะซังหรือที่มักจะรู้จักกันในชื่อ คุณฮานาโกะซังประจำห้องน้ำโรงเรียน
เป็นตำนานประจำเมืองญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องราวได้กล่าวถึงเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดในสมัย
สงครามโลกครั้งที่สอง และสิงอยู่ตามห้องน้ำโรงเรียน ถ้าเรียกขานชื่อของเธอแล้วนั้น
เธอจะมาปรากฏตัว

แน่นอนคำว่าตำนานคือเรื่องเล่าขานที่ส่งต่อมาจากอดีต เปรียบเสมือนเครื่องมือ
ที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ
ของคนในยุคอดีต อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ ดังนั้นต้องตระหนักไว้ว่าเรื่องราว
ที่ส่งต่อมาจากอดีตมักจะถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงบ้าง และเกิดเป็นเรื่องราวใหม่ที่
จะยังคงมีเค้าโครงเดิมอยู่แต่มีรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นหรือผิดเพี้ยนไป เช่นกันกับเรื่องราว
ต่อไปนี้

ตามตำนานผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง เป็นวิญญาณของเด็กสาวที่หลอกหลอน
ผู้คนภายในห้องน้ำโรงเรียน โดยผีวิญญาณในญี่ปุ่น จะถูกเรียกว่าโยไค มาจากภาษา
ญี่ปุ่นแปลว่า ภูติหรือปีศาจ เป็นประเภทหนึ่งของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ ในคติความ
เชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งโยไคนั้นอาจจะนำโชคลาภมาให้หรืออาจจะเป็นลางของเหตุร้ายก็ได้

04

เรื่องราวของ "เธอ"

ผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง รายละเอียดต้นกำเนิดและที่มาของเธอนั้นถูกเล่า
แตกต่างกันไปหลายรูปแบบ ในบางรูปแบบฮานาโกะซังเป็นเด็กที่ถูกคนแปลกหน้าฆ่าใน
ห้องน้ำโรงเรียน ในอีกรูปแบบเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกพ่อแม่ทำร้ายและฆ่าตัวตายใน
ห้องน้ำโรงเรียน และในอีกรูปแบบเล่าว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในช่วงสงครามโลก
ครั้งที่สองและถูกฆ่าตายจากการโจมตีทางอากาศในขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ
โรงเรียนระหว่างเล่นเกมซ่อนหา

ตำนานดั้งเดิมของฮานาโกะซังนั้น เล่ากันว่าถ้าหากคุณได้เดินเข้าไปในห้องน้ำใน
โรงเรียน ในห้องที่สามบนชั้นที่สี่ของอาคารเรียน แล้วเคาะประตูห้องน้ำนั้นสามครั้ง จาก
นั้นให้คุณผู้เคาะกล่าวว่า "คุณฮานาโกะ อยู่ข้างในหรือเปล่า" จะมีเสียงปริศนาตอบกลับ
มาว่า "อยู่" ถ้าหากเปิดประตูเข้าไปแล้วก็จะเห็นเด็กหญิงตัวเล็กนุ่งกระโปรงแดงคนหนึ่ง
นั่งรออยู่ในนั้น

เรื่องราวของคุณฮานาโกะซังนั้นแพร่หลายเป็นอย่างมากจนกลายเป็นตำนานประจำ
เมือง เด็กนักเรียนวัยรุ่นมักพากันเล่นเรียกหาคุณฮานาโกะเพื่อวัดความกล้าหรือรับน้อง
ใหม่

05
ในตำนานดั้งเดิมของเธอนั้นไม่ได้ระบุไว้ว่าหากได้พบเจอกับเธอแล้วจะมีจุดจบ
อย่างไร แต่ในรูปแบบอื่นก็ได้มีการเติมแต่งตอนจบเพื่อให้ดูสยองขวัญมากขึ้น เช่น ได้
พบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าฮานาโกะซัง อาจจะเป็นซาตาน ปีศาจหรือสัตว์ประหลาดที่
จะไล่ล่าเอาชีวิตผู้พบเจอ ได้พบภาพสุดสยองขวัญ เลืออด สิ่งน่าขยะแขยง เราลองมาดู
กันดีกว่าว่าตำนานผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง ในแต่ละจังหวัดของญี่ปุ่นนั้นถูกเล่าขาน
กันอย่างไรบ้าง
จังหวัดยามางาตะ เล่าไว้ว่าหากใครที่อยากพบกับฮานาโกะซัง ให้ไปที่ห้องน้ำ
โรงเรียนในช่วงเวลามืดค่ำ จากนั้นเคาะประตูที่สาม สามครั้ง พร้อมกับให้กล่าวว่า “คุณ
ฮานาโกะซัง อยู่ข้างในหรือเปล่า" ถ้าหากได้ยินเสียงปริศนาตอบกลับมาหลังจากกล่าว ให้
เปิดประตูเข้าไป จะพบตุ๊กแกสามหัวที่กำลังเลียนเสียงเด็กผู้หญิง มันมีดวงตาสีแดงจับ
จ้องมาที่ผู้เปิด หลังจากนั้นผู้คนที่เปิดประตูเข้าไปก็จะหายตัวไปตลอดกาล

โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเขตอาดาจิของจังหวัดโตเกียว ว่ากันว่าถ้าวิ่งรอบโรงยิม
สี่รอบและตะโกนว่า “ฮานาโกะซัง” ก็จะมีเสียงตอบกับมาว่า “ค่ะ” และถ้าถามต่อกลับไป
อีกว่า “มาเล่นกันเถอะ” จะมีเสียงเด็กผู้หญิงตอบกับมาว่า “ได้ จะเล่นอะไรกันดี” พร้อม
เสียงหัวเราะชวนขนหัวลุก

06
จังหวัดอิวาเตะ เล่าว่าให้เดินทางไปที่ห้องน้ำโรงเรียนในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นให้เคาะ
ประตูห้องน้ำห้องที่สาม สามครั้ง และเรียกชื่อคุณฮานาโกะซัง ถ้าหากเรียกคุณฮานาโกะ
ซังแล้ว ก็จะมีมือสีขาวซีดข้างหนึ่งเลื้อยออกมาจากช่องประตูฉุดดึงผู้ที่กล่าวเรียกเข้าไป
คล้ายกับการถูกดึงวิญญาณออกจากร่างเข้าไปในห้องน้ำนั้น

และจังหวัดคานางาวะนั้น เล่าว่าหากไปที่ห้องน้ำโรงเรียนในยามวิกาลคืนวิปโยค
ฝนตกหนัก หากถึงเวลาที่ฟ้าผ่าถึงสามครั้ง แล้วเคาะประตูห้องน้ำห้องที่สาม ทั้งหมด
สามครั้ง จากนั้นเรียกชื่อของคุณฮานาโกะซังดังๆ ถ้าเหากว่ารียกขานชื่อคุณฮานาโกะซัง
ไปแล้วไม่มีเสียงของคุณฮานาโกะซังตอบกลับมา นั่นแปลว่าคุณฮานาโกะไม่ต้องการให้ผู้
กล่าวเรียกมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เธอจะลงโทษผู้เรียกโดยจะมีเลือดผุดออกมาเป็นคราบตาม
กำแพงห้องน้ำ เพดานและพื้นที่รอบๆนั้น เกิดเป็นภาพสยดสยองจนอยากจะอาเจียน
จากนั้นคุณฮานาโกะซังจะออกมาจากห้องน้ำและใช้มีดที่เธอใช้ในการฆ่าตัวตาย ไล่สังหาร
ผู้ที่มาปลุกเธอจากการหลับไหล

07

"เธอ" มาจากไหน

ตำนานผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง มาจากที่ไหนนั้น แต่ละแหล่งข้อมูลก็บอกเล่าไว้
แตกต่างกันไปตามท้องที่ ชื่อของเธอ "ฮานาโกะ" เป็นชื่อของเด็กผู้หญิงทั่วไป ที่ได้รับ
ความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงปีค.ศ.1950 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สันนิษฐานว่าเรื่องราวของ
คุณฮานาโกะซังเริ่มเป็นที่ร่ำลือกัน

โดยลักษณะของผีสาวในห้องน้ำ ฮานาโกะซัง นั้นทุกรูปแบบจะเล่าเหมือนกันคือเป็น
เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ตัดผมสั้น ใส่เสื้อสีขาว และใส่กระโปรงสีแดง บางรูปแบบบอกว่าเธอ
เต็มไปด้วยคราบเลือด และถือมีดที่ใช้ในการฆ่าตัวตาย

เรื่องเล่าส่วนใหญ่จะพูดเกี่ยวกับห้องน้ำในโรงเรียน การทำพิธีเคาะประตูห้องน้ำ
ห้องที่สาม สามครั้งและเรียกชื่อเพื่อที่จะเชิญคุณฮานาโกะซังออกมา แม้จะมีบางท้องที่ ที่
ฮานาโกะซังจะสิงอยู่ตามโรงยิมบ้างแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่

08
เรื่องราวของคุณฮานาโกะซังนั้นโด่งดังและมีมาอย่างเนิ่นนาน ในปัจจุบันก็มีเรื่อง
ราวที่คล้ายกันกับเรื่องของผีในห้องน้ำ คุณฮานาโกะซัง นั่นคือเรื่องราวของผีในห้องน้ำ
บุคุมิจัง
เล่ากันว่าเป็นผีเด็กผู้หญิงรูปร่างอ้วนที่มักถูกเรียกว่าเป็นน้องสาวของฮานาโกะ
ซัง เธอจะโผล่มาด้วยหน้าตาน่ากลัวเต็มไปด้วยหนองน่าขยะแขยง และมีที่สิงสถิตคือ
ห้องน้ำเหมือนกันกับฮานาโกะซัง เป้าหมายของเธอคือเด็กผู้หญิงที่มีหน้าตาน่ารัก ๆ เมื่อ
เจอเป้าหมายแล้ว เธอจะพ่นหนองออกมาแล้วทำร้ายเข้าที่ลูกตาของอีกฝ่ายทันที และไม่
นานเหยื่อก็จะเสียชีวิต

บุคุมิจังนั้น เป็นหนึ่งในการยกตัวอย่างหนึ่งในเรื่องราวของเรื่องสยองขวัญที่
ถูกเขียนเสริมเติมแต่งเพิ่มเติม เพื่อสร้างความสยองขวัญให้กับผู้ที่ชื่นชอบในยุคปัจจุบัน
ซึ่งพบได้มากบนโลกออนไลน์ สร้างความตระหนักว่าทุกเรื่องราวควรถูกไตร่ตรองก่อนจะ
เชื่อ หรือออ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

09

จริงๆแล้วนั้น เรื่องราวของฮานาโกะซังเกิดขึ้นจากตำนานเมืองตั้งแต่ช่วงปีค.ศ.
1950 อย่างที่เคยกล่าวไป ตำนานเมืองเรื่องนี้เกิดจากคดีฆาตรกรรมที่แสนเศร้าใน
ปีค.ศ. 1937 หรือปีโชวะที่ 12

ได้เกิดคดีฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพที่จังหวัดอิวาเตะ เริ่มมาจากตัวสามีนอกใจ
ภรรยา ทำให้ภรรยากลัดกลุ้มใจและวางแผนฆ่ายกครัว หลังจากที่ภรรยาฆ่าลูกชายคน
โตกับลูกสาวคนรอง เมื่อลูกสาวคนโตมาพบเข้าก็วิ่งหนีออกจากบ้านไปหลบที่ห้องน้ำของ
โรงเรียน ซึ่งก็มีผู้พบเห็นพอดี เมื่อผู้เป็นแม่มาถาม พยานคนนั้นจึงตอบไปว่า “อยู่ใน
ห้องน้ำห้องในสุด” ผู้เป็นแม่จึงไปพาตัวลูกสาวกลับบ้าน

หลังจากเกิดคดีนี้ขึ้น ว่ากันว่ามีผู้พบเห็นเด็กผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนลูกสาวคน
โตอยู่ในห้องน้ำของโรงเรียนแห่งนี้ แถมยังสวมเสื้อผ้าเหมือนกันคือเสื้อสีขาว กระโปรงสี
แดง ลูกสาวคนโตคนนี้ไม่ได้มีชื่อว่าฮานาโกะแต่อย่างใด แต่เป็นชื่อที่ใช้กันมากในยุคนั้น
จึงถูกนำมาใส่เป็นชื่อเด็กผู้หญิงในตำนานเมืองเรื่องนี้นั่นเอง

10

"มาเล่น กันเถอะ"

11

12

2

ตำนานผีสาวครึ่งท่อน
เทเคะเทเคะ

13

ตำนานผีสาวครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ

อีกหนึ่งตำนานผีญี่ปุ่นที่น่ากลัวและสยองที่สุด คงไม่กล่าวถึงไม่ได้นั่นคือ ตำนานผี
สาวครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ ลักษณะของเธอนั้นเป็นไปตามชื่อตำนานของเธอ เธอเป็นผี
สาวที่มีเพียงครึ่งท่อนบน จากอุบัติเหตุที่ทำให้ตกลงไปบนรางรถไฟ นั่นทำให้ร่างของเธอ
ขาดเป็นสองท่อน

เทเคะ เทเคะ นั้นเป็นผีที่ปรากฏในตำนานของเมืองหลายแห่ง เทเคะเทเคะ ถูกเล่าว่า
เป็นผู้หญิงเป็นส่วนมาก แม้ว่าในบางรูปแบบก็จะมีการเล่าว่าเป็นผู้ชาย ด้วยความที่ตัว
ของเธอนั้นไม่มีครึ่งล่าง

เทเคะเทเคะ มักไล่ล่าเหยื่อของมันไปตามถนนเปลี่ยวที่มืดมิด แม้จะไม่มีขาแต่เทเคะ
เทเคะ ก็สามารถวิ่งได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เร็วมากจนสามารถไล่จับเหยื่อที่กำลังขับรถยนต์
ได้ด้วย และเมื่อถูกเทเคะเทเคะจับได้สิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น

14

เรื่องราวของ "เธอ"

ตำนานผีสาวครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ ถูกเล่ามีว่า มีนักเรียนสาวคนหนึ่งเกิดประสบ
อุบัติเหตุหล่นลงไปตรงรางรถไฟ ทำให้ร่างของเธอนั้นถูกบนขยี้ด้วยรถไฟขาดเป็นสอง
ท่อน และทำให้เธอเสียชีวิตทันที ถึงร่างกายจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ แต่ความจริง
แล้วกลับทำให้เธอเป็นผีที่มีความอาฆาต พยาบาท

ในทุกๆ คืนเธอจะถือเคียวหรือเลื่อย เดินทางโดยใช้ข้อศอกคลานไปมา โดยขณะ
ที่เธอคลานเพื่อเคลื่อนตัวนั้นจะมีเสียง เทเคะ เทเคะ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว แต่ถึงแม้
เธอจะคลานด้วยข้อศอก แต่มันก็มีความเร็วมากทีเดียว หากใครพบเห็นเธอเข้าแล้วเกิด
หนีเธอไม่พ้น ก็จะถูกเธอใช้เคียวตัดออกเป็นสองท่อนเพื่อให้เป็นเทเคะเทเคะตัวใหม่ต่อไป

ซึ่งในการสังหารเหยื่อของเธอหลังจากเธอไล่ล่ามาได้นั้น เธอจะหั่นเหยื่อผู้เคราะห์
ร้ายของเธอที่เอว ทำให้ตัวขาดครึ่งอออกมาและดึงกระชากเอาขาของเหยื่อออกมา ว่า
กันว่าเพื่อนำมาต่อกับร่างของตน เหยื่อจะกรีดร้องอย่างทรมานก่อนที่จะเสียเลือดและ
สิ้นใจในที่สุด

15

คำว่าตำนานนั้นมักจะมีความไม่ชัดเจนและคลุมเครือ เกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นอย่างไร
ในเรื่องราวของตำนานผีสาวครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ มักถูกเล่าว่าเธอมักจะถืออาวุธคู่กาย
อยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาวุธของเธอนั่นคือเคียว ซึ่งก็มีรูปแบบแตกแขนงไปอีกบ้างว่าถือเคียว
ขนาดใหญ่ยักษ์เหมือนกันยมทูต บ้างก็ว่าถือเลื่อย บ้างก็ว่าเป็นเคียวเกี่ยวข้าวขนาดเล็ก

ในบางรูปแบบเหยื่อของ เทเคะ เทคะ จะกลายเป็น เทเคะ เทเคะ เสียเอง มีหลาย
รูปแบบที่เหมือนกันระหว่างรูปแบบต่างๆ และแบบที่พบบ่อยที่สุดจะกล่าวว่า เธอเป็นผู้
หญิงที่มาจากฮอกไกโดชื่อคาชิมะเรโกะ

ตำนานนี้นั้นมีมาตั้งแต่ในช่วงหลายปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พนักงานออฟฟิศ
ในมุโระรันฮอกไกโดถูกเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันทำร้ายและข่มขืน คืนนั้นเธอกระโดดลง
จากสะพานไปบนรางรถไฟและถูกรถไฟที่กำลังจะมาถึง แรงกระแทกนั้นรุนแรงมากจน
ร่างของเธอขาดครึ่งที่เอว ความหนาวเย็นอย่างรุนแรงของคืนฮอกไกโดทำให้หลอดเลือด
ของเธอหดตัวและป้องกันไม่ให้เลือดออกอย่างรวดเร็ว

แต่เธอกลับดิ้นและดิ้นเพื่อขอความช่วยเหลือเป็นเวลาหลายนาที เธอคลานไปจน
สุดที่สถานีรถไฟและมีผู้ดูแลคนหนึ่งเห็น แทนที่จะพยายามช่วยเธอผู้ดูแลสถานีก็เอา
ผ้าใบพลาสติกคลุมเธอไว้ เธอตายอย่างช้าๆและเจ็บปวดรวดร้าว

16

ตามตำนานสามวันหลังจากได้ยินเรื่องนี้คุณจะเห็นผีของผู้หญิงที่ไม่มีครึ่งล่าง ผี
เป็นของผู้หญิงที่โดนรถไฟ ผีจะพยายามจับคุณและเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีแม้แต่ในรถ
ผีสามารถคลานได้ด้วยความเร็วสูงถึง 150 กม. ต่อชั่วโมง

บางคนบอกว่าเธอกำลังตามหาขาของเธอซึ่งหายไปเมื่อเธอถูกผ่าครึ่ง คนอื่น ๆ

บอกว่าเธอโกรธมนุษยชาติที่ไม่ช่วยเธอตอนที่เธอกำลังจะตายและเธอก็ออกไปฆ่าคนให้

มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเธอจับคุณเธอจะฉีกคุณครึ่งหนึ่งและขโมยครึ่งล่างของ

ร่างกายคุณ

ไม่นานหลังจากได้ยินตำนาน เธอจะถามคุณถึงปริศนาไม่ว่าจะในความฝันหรือ
ในโทรศัพท์ลึกลับ วิธีเดียวที่จะรอดพ้นจากความตายคือตอบคำถามของเธอให้ถูกทาง
เธอจะถามคุณว่า“ คุณต้องการขาของคุณไหม” คุณต้องตอบกลับ“ ฉันต้องการมัน
ตอนนี้” จากนั้นเธอจะถามคุณว่า“ ใครเล่าเรื่องของฉันให้คุณฟัง” คุณต้องตอบว่า“ตาย
ขณะที่การตายมันเกิดจากอุบัติเหตุ ” หากคุณตอบปริศนาของเธอโดยไม่ผิดพลาดเธอ
อาจปล่อยให้คุณมีชีวิตอยู่

17

"เธอ" มาจากไหน

จุดกำเนิดของตำนานผีครึ่งท่อน เทเคะเทเคะ นั้นเช่นเดียวกับตำนานเมืองส่วน
ใหญ่ เรื่องราวของเทะเคะเทเคะ มีหลายรูปแบบมากจนไม่สามารถทราบได้ว่าเรื่องราว
ดั้งเดิมคืออะไรหรือเริ่มต้นที่ใด

ทุกท้องที่มีรูปแบบของตัวเองพร้อมรายละเอียดที่แตกต่างกัน ในบางเรื่องราว
เทเคะเทเคะเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุที่น่าเศร้า ในบางเรื่องราวกล่าวว่าเธอนั้นฆ่าตัวตาย ใน
บางเรื่องราวก็จะมีของขลังบางอย่างที่สามารถปกป้องคุณจากความโกรธแค้นของเธอ
ได้ ในบางเรื่องราวก็เล่าว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถปกป้องคุณได้ และคุณจะต้องตายอย่าง
สยดสยองแน่นอน

18

"เทเคะ เทเคะ"

19

20

3

ตำนานผีสาวปากฉีก
คุชิซาเกะ อนนะ

21

ตำนานผีสาวปากฉีก คุชิซาเกะ อนนะ



คุณเคยได้อ่านเรื่องราวของผีสาวที่ปากถูกกรีดไปถึงใบหูรึเปล่า นี่คือตำนานผี
สาวปากฉีก คุชิซาเกะ อนนะ ตำนานผีสาวปากฉีกเองก็เป็นอีกตำนานประจำเมืองยอดฮิต
ของญี่ปุ่น ช่วงที่เรื่องนี้มีชื่อเสียงนั้นถึงกับทำให้เหล่าเด็กน้อยใหญ่ ไม่กล้าออกจากบ้าน
คนเดียวกันไปพักใหญ่ เรื่องเล่าของผีตนนี้ค่อนข้างไม่ชัดเจนและคลุมเครือ มีหลาก
หลายรูปแบบมากมายเหมือนกับสองตำนานผีประจำเมืองที่ผ่านมา

ตำนานผีสาวปากฉีก คุชิซาเกะ อนนะ ว่าด้วยเรื่องหญิงสาวคนหนึ่งที่ว่ากันว่า
สวยมากๆ ถูกสามีของตนเองใช้ดาบตัดปากไปจนถึงไปหู เพราะคิดว่าเธอนั้นเป็นชู้กับ
ชายอื่น คำพูดสุดท้ายที่เธอได้ยินคือคำพูดของสามีเธอที่ว่า “ตอนนี้ใครจะคิดว่าเธอสวย
บ้างล่ะ” ด้วยความแค้นเธอจึงไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ และกลายเป็นวิญญาณอาฆาตใน
ที่สุด

เธอจะปรากฏกายโดยสวมผ้าปิดปากไว้ ใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า
“ฉันสวยไหม” ถ้าตอบกลับไปว่าสวย แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีก
ครั้งว่า “แล้วแบบนี้ละ” ถ้าเหยื่อตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และตัดให้
ปากฉีกเหมือนเธอ หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่ และเล่นงาน แต่หากตอบว่า “ก็ดูปกติ
ดี” “ก็สวยดี” สาวปากฉีกจะพอใจ แล้วจากไปแต่โดยดี

22

เรื่องราวของ "เธอ"

ตำนานดั้งเดิมนั้น เรื่องราวของผีสาวปากฉีกปรากฏในสมัยเฮอัง โดยถูกเล่าไว้
ว่า หญิงคนหนึ่งเป็นภริยาหรืออนุภริยาซามูไรนายหนึ่ง แต่ไม่ซื่อตรงต่อสามี สามีพบเข้า
ก็โกรธ เอาดาบสับปากนางจนถึงใบหู แล้วพูดว่า "ดูเถิดคนเขาจะเห็นว่ามึงงดงามอยู่อีก
หรือไม่" หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวผู้นั้นก็สิ้นใจเสียชีวิต แต่เพราะในใจมีความพยาบาท
อาฆาตแค้นสามี จึงไม่ได้ไปผุดไปเกิด กลับกลายเป็นผีร้ายมาแก้แค้นสามีและหลอกหลอน
ผู้คนอยู่ทั่วไป

ตำนานผีสาวปากฉีกนั้นกลับมากลายเป็นเรื่องที่ร่ำลือกันอีกครั้งในช่วงปีค.ศ.
1957 เล่ากันว่า หากมีเด็กเดินอยู่ลำพังในยามวิกาลอาจพบหญิงสาวคนหนึ่งสวม
หน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นธรรมเนียมทีี่ทำกันอยู่ปกติในประเทศญี่ปุ่นช่วงนั้นเพื่อป้องกัน
โรคระบาด

23

แต่แล้วหญิงสาวคนนั้นจะหยุดเดินและถามเด็กว่า "ฉันสวยไหม" ถ้าเด็กบอกปัด
หญิงสาวคนนั้นจะล้วงกรรไกรออกมาตัดที่ปากของเด็กคนนั้นจนถึงแก่ความตาย ถ้าเด็ก
ตอบรับ หญิงสาวคนนั้นจะปลดหน้ากากอนามัยออก และยิ้มให้เด็กดู เผยให้เห็นปากที่
ถูกแหวะจนถึงใบหูมีโลหิตท่วม ซึ่งเรียก "รอยยิ้มแบบแกล็สโกว" แล้วถามเด็กนั้นอีกว่า
"แล้วตอนนี้ฉันสวยไหม" ถ้าเด็กตอบว่าไม่ หญิงสาวคนนั้นจะล้วงกรรโกรมาตัดร่างกาย
ของเด็กคนนั้นเป็นสองท่อน

ถ้าตอบว่าเธอสวย หญิงสาวคนนั้นจะมอบความสวยงามให้แก่เด็กนั้นบ้าง โดยเอา
กรรไกรตัดปากเด็กจนถึงใบหู เด็กผู้เคราห์ร้ายจะไม่อาจวิ่งหนีหญิงสาวคนนั้นพ้นได้
เพราะหญิงสาวจะปรากฏต่อเด็กอีกจนกว่าจะได้สังหารเด็กผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น

แต่บางครั้งก็ก็กลายเป็นว่ามีวิธีหนีหญิงสาวคนนั้นได้ขึ้นมา โดยถ้าหญิงสาวคน
นั้นถามว่าสวยไหม ก็ให้ตอบว่าน่ารักสองครั้งติด ๆ กัน หญิงสาวคนนั้นก็จะสับสนฉงน
ใจอยู่ ก็ให้อาศัยจังหวะหนีไป ปล่อยให้หญิงร้ายครุ่นคิดอยู่หาคำตอบมิได้อย่างนั้น บ้างก็
ว่า ให้ตอบ "ก็พอดูชม" หรือให้ถามกลับไปว่า "แล้วฉันล่ะน่ารักไหม" หญิงนั้นก็จะได้
งงงวยเช่นกัน ที่ให้ตอบว่า "ฉันกำลังหมั้นหมายอยู่" ก็มี ตอบเช่นนั้นแล้วหญิงร้ายจะขอ
ให้อภัยต่อการกระทำของนางและขอตัวจากไป และที่ว่าขณะที่ถูกหญิงนั้นไล่ล่า ก็ให้โยน
ส้มสุกลูกไม้หรือโปรยลูกอมขนมหวานไป หญิงจะหันไปเก็บของเหล่านั้น เปิดโอกาสให้หนี
พ้นไปได้ก็มี

24

"ฉันสวยไหม"

25

26

4

ตำนานอุโมงค์ผีสิง

27

ตำนานอุโมงค์ผีสิง คิโยทากิ

หลังจากได้อ่านเรื่องตำนานเมืองผีญี่ปุ่นที่น่ากลัวและโด่งดังที่สุดไปถึงสาม
ตัวแล้ว ต่อมาเราก็อยากพาผู้อ่านเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องราวของตัวผีวิญญาณ มา
เป็นเรื่องราวของสถานที่ต้องสาปที่โด่งดังมากในประเทศญี่ปุ่น ตำนานอุโมงค์ผีสิง คิโย
ทากิ

ตำนานอุโมงค์ผีสิง คิโยทากิ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนที่สุด
แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยอุโมงค์แห่งนี้สร้างขึ้นช่วงประมาณปีค.ศ. 1929 บนที่ที่เคยเป็น
ทั้งสนามรบ และลานประหาร แค่นี้ก็สยองพออยู่แล้ว แต่เรื่องราวที่ทำให้อุโมงค์นี้โด่งดัง
ขึ้นมา ก็คือเรื่องของหญิงสาวที่มาฆ่าตัวตายอยู่ใกล้ๆ นี้ ช่วงประมาณปีค.ศ.1998
หลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้คนได้พบกับวิญญาณผู้หญิงในนี้เรื่อยมา บ้างก็ได้ยินเสียงร้องไห้
บ้างก็เห็นเงาในกระจกหลังรถ

28

พอมีผู้พบเห็นมากมายหลากหลายเรื่องเข้าก็เกิดเป็นตำนานเมืองขึ้นมา ว่าถ้า
สัญญาณไฟเขียวหน้าอุโมงค์สว่างขึ้น อย่าเพิ่งรีบขับผ่านไป ปล่อยให้ผ่านไปอีกหนึ่งไฟ
แดงก่อน แล้วค่อยขับเมื่อไฟเขียวอีกครั้ง โดยมีความเชื่อกันว่าไฟเขียวแรกนั้นเป็นการ
เชื้อเชิญของดวงวิญญาณในอุโมงค์หลอกให้เราเข้าไปนั่นเอง

โดยคาดว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น และถูกเล่าต่อๆกันมานั้น เกิดจากวัยรุ่นใน
พื้นที่แถวนั้นต้องการสร้างเรื่องสยองขวัญให้เกิดเป็นตำนานและแลนมาร์คเพราะแต่เดิม
แล้ว ที่นี่เคยเป็นสนามรบมาก่อน พอมีเรื่องหญิงสาวมาฆ่าตัวตาย ก็ได้เติมแต่งเรื่องราว
ให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดล่าท้าผีที่โด่งดัง

ปัจจุบันอุโมงค์ผีสิง คิโยทากิ ก็ยังเป็นช่องทางสัญจรปกติของผู้คนในพื้นที่
หรือผู้คนที่ผ่านทางมา มีการปรับปรุงเพิ่มไฟให้ดูมีความปลอดภัยมากขึ้น ถถึงตัว
อุโมงค์จะดูแคบแต่ก็ถูกใช้เป็นเส้นทางคมนาคมอย่างสม่ำเสมอ โดยหนังสือตำนานเมืองผี
ญี่ปุ่น ก็ได้นำรูปอุโมงค์คิโยทากิของจริงมาให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกันด้วย

29

เป็นยังไงบ้างครับกับอุโมงค์ผีสิง คิโยทากิ ดูน่ากลัวอย่างที่ท่านผู้อ่านได้
จินตนาการไว้หรือเปล่า จะเห็นว่าตัวอุโมงค์ค่อนข้างจะแคบ และยาวระดับหนึ่ง เพราะเป็น
เส้นทางสัญจรเลนเดียว ใช้เป็นสถานที่ในการเคลื่อนย้ายเสบียงในช่วงการทำสงคราม
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเด็กวัยรุ่นคึกคะนองมาลองดี ล่าท้าผีกันอยู่เรื่อยๆ

30

ตำนานอุโมงค์ผีสิง อินุนะคิ

นอกจากเรื่องราวตำนานอุโมงค์ผีสิง คิโยทากิแล้ว ในญี่ปุ่นก็ยังมีเรื่องราว
ตำนานอุโมงค์ผีสิงอีกแห่งที่น่ากลัวและโด่งดังเช่นกัน นั่นคือเรื่องราวของตำนานอุโมงค์
ผีสิง อินุนะคิ

อุโมงค์ผีสิง อินุนาคิ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่หลอนที่ที่หลอนที่สุดแห่งหนึ่งใน
จังหวัดฟุคุโอะกะ บนเกาะคิวชู อุโมงค์นี้ถูกสร้างในปีคศ.1884-1885 ตรงกับปีเมจิปี
ที่ 17-18 แต่เนื่องจากเวลานั้นเทคนิคการขุดเจาะยังไม่สูงพอ บวกกับค่าใช้จ่ายในการ
ขุดเจาะและก่อสร้างมหาศาล จึงทำให้ต้องผู้จ้างจำใจหยุดก่อสร้างไป

เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปีค.ศ. 1927 ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนในท้อง
ที่และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อองช่วยกันขุดอุโมงค์กันอีกครั้ง ในที่สุดปีค.ศ. 1949 ก็
สามารถขุดอุโมงค์นี้ได้สำเร็จ โดยในแผนที่ได้ระบุไว้ว่าอุโมงค์นี้มีความยาวประมาณ
150 เมตร

31

ต่างจากอุโมงค์ คิโยทากิ เนื่องจากอุโมงค์ อินุนะคิ อยู่ในป่าลึกและวังเวง จึง
ไม่ค่อยมีรถยนต์สัญจรผ่านทางนี้บ่อยนัก และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 26 ปี คือในปีค.ศ.
1975 รัฐบาลญี่ปุ่นได้สร้างอุโมงค์ใหม่ขึ้นมาแทน โดยใช้ชื่อว่า อุโมงค์ใหม่ อินุนะคิ
ส่วนอุโมงค์เก่า อินุนะคิ ในปัจจุบันได้ถูกปิดไปแล้ว

แต่ก่อนที่อุโมงค์เก่า อินุนะคิ จะถูกปิด ยามค่ำคืนมักจะมีกลุ่มอัธพาล นักเรียน
นักเลง เด็กซิ่งมาสุ่มหัวกันที่อุโมงค์นี้เป็นประจำ มีเรื่องเล่าอีกว่าสมัยก่อนมักจะมียากูซ่า
ขับรถนำศพมาทิ้งที่เขื่อน อินุนะคิ ซึ่งต้องวิ่งผ่านอุโมงค์เก่า อินุนะคิ จึงทำให้ผู้คนลือกัน
ว่าที่อุโมงค์แห่งนี้เป็นแหล่งรวมของวิญญาณร้ายเร่ร่อน

เหตุการณ์ฆาตกรรมสะเทือนขวัญเกิดขึ้นจริง ในวันที่ 6ธันวาคม ปีค.ศ.
1988 เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมที่อุโมงค์เก่า อินุนะคิ โดยเหตุการณ์เริ่มจากวันหนึ่ง ใน
ขณะที่นายอุเมะยะมะ โคอิฉิ กำลังขับรถจักรยานยนต์เดินทางกลับบ้านหลังจากเลิกงาน
และจอดรถรอไฟแดงบนถนนเส้นหนึ่ง

อยู่ๆก็มีกลุ่มวัยรุ่น 5 คนมาล้อมรถเขา พยายามพูดขอรถจากอุเมะยะมะ แต่
อุเมะยะมะปฏิเสธ กลุ่มวัยรุ่นจึงลากตัวเขาเข้าไปขังไว้ในอุโมงค์เก่าอินุนะคิ กลุ่มวัยรุ่น
พวกนั้นทุบตีเขาจนระบม แล้วเอาเขาไปเผาทั้งเป็นเพื่อทำลายหลักฐาน ทางตำรวจไปเจอ
ศพเขาอยู่ที่หน้าปากอุโมงค์

32

ที่คดีนี้เป็นคดีโหดก็เพราะว่าตำรวจสันนิษฐานการตายว่าเขาตายเพราะเสียเลือด
มาก ดังนั้นเขาจึงทนทุกข์ทรมานกับความร้อนของไฟไปจนกว่าจะตายสะเทือนขวัญผู้คน
ในพื้นที่อย่างมาก

ต่อมามีเรื่องสยองขวัญจากคนที่มาลองดีที่อุโมงค์นี้คือ มีเด็ก 2 คนคือโชตะ
กับซาโตรุ โชตะเป็นคนที่ชอบเอาเรื่องผีมาเล่าให้ซาโตรุฟังเป็นประจำ วันนึงโชตะ เสนอว่า
จะพาซาโตรุ ไปล่าท้าผีที่อุโมงค์อินุนะคิ

โดยนัดกันนั่งรถไฟไปเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้า พอถึงวันจริงซาโตรุนั่งรถไฟฟ้า
มาถึงก่อนเวลานัด 30 นาที ซาโตรุรออยู่นานมาก โชตะก็ไม่มาซะที ซาโตรุจึงตัดสินใจ
ว่าจะกลับ เลยหันหลังเพื่อที่จะเดินกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้า

อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเรียก พอซาโตรุหันไปก็พบกับโชตะ แล้วโชตะก็บอกว่า "กู
มารออยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมา" ซาโตรุก็งงว่าตอนแรกนัดที่สถานีรถไฟฟ้าไม่ใช่
หรอ ทำไมพูดเหมือนมารอนานมากทั้งที่มาก่อน

แต่ก็พยายามคิดเข้าข้างโชตะว่า โชตะอาจจะมารอนานมากๆ แล้วจริงๆ
จึงเดินออกจากสถานีไปอุโมงค์เก่า อินุนะคิเลย พอเดินกันไปถึงหน้าอุโมงค์เก่า อินุนะคิ
โดยทั้ง 2 คน ก็เห็นว่าหน้าอุโมงค์นั้นมีประตูเหล็กกั้นอยู่ และมีแม่กุญแจเก่าล็อกประตูไว้
แต่ด้วยความที่มันเป็นแม่กุญแจเก่าๆ ซาโตรุเลยเอาหินมาโขลกให้แม่กุญแจพังได้โดยง่าย

33

ซึ่งซาโตรุเป็นคนที่ตัวใหญ่กว่าโชตะ หน้าที่เปิดประตูเหล็กจึงเป็นของ ซาโตรุ
ด้วย อีกทั้งซาโตรุก็ต้องเปิดไฟฉายที่พกมา เวลาเดินโชตะจะเป็นคนเดินนำ ส่วนซาโตรุ
เป็นคนเดินตาม พอเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ

ปกติในเวลากลางวัน เวลาเดินเข้าไปในอุโมงค์จะต้องเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ส่อง
สว่างอยู่ที่ปลายทาง แต่ด้วยความที่วันนั้นมีฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนและก็ดูมีทีท่าว่าจะตกต่อ
ไปเรื่อยๆ เวลาเข้าไปในอุโมงค์จึงไม่เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์เลย ยิ่งเดินเข้าไป ทางก็ยิ่งมืด
ขึ้นเรื่อยๆ

ซาโตรุ พูดว่า "นี่หรอ อุโมงค์ที่เขาพูดถึงกัน" โชตะ ก็ตอบกลับว่า "เขาว่า
กันว่า ถ้าเดินลอดอุโมงค์นี้ไปได้จะไปเจอกับอะไรแปลกๆนะ" โชตะ พูดพร้อมกับดึงเสื้อซา
โตรุ เข้าไปในอุโมงค์ ซาโตรุตอบกลับมาว่า "อย่าผลักสิวะ" พอเดินไปสักพัก

ซาโตรุ ทนอยู่ในบรรยากาศมืดๆแบบนี้ไม่ไหวแล้ว จึงออกปากบอกว่า "เห้ย
โชตะ เรากลับกันเหอะ" โชตะไม่พูดอะไรและยังคงไม่ปล่อยมือออกจากเสื้อของซาโตรุ ซา
โตรุพูดต่อว่า "เห้ย กูไม่ไหวจริงๆนะ" โชตะก็ตอบกลับมาว่า "เอ็งจะบ้าหรอ มาถึงที่นี่กัน
แล้ว จะกลับไปแบบนี้หรอ" โชตะ พยายามที่จะผลัก ซาโตรุ เข้าไปในอุโมงค์ลึกเข้าไป
เรื่อยๆ ซาโตรุก็พูดว่า “กูไม่ไหวจริงๆนะ กูไม่ไหวแล้ว”

34

โชตะก็ตอบกลับไปว่า “มึงลองคิดถึงกูดิ ที่กูรอมึงตรงนี้แล้วมึงไม่มา” ซาโตรุต
อบกลับมาว่า “ถึงมึงพูดอย่างงั้น กูก็จะกลับ” โชตะก็ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้” แล้วก็ดึง
เสื้อของซาโตรุแรงขึ้น ซาโตรุพยายามใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีในการสลัดออก แต่สลัด
เท่าไหร่ก็ไม่ออก ทั้งๆ ที่ซาโตรุเป็นคนที่แรงเยอะกว่าโชตะมากๆ

แล้วซาโตรุก็ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงถามโชตะไปว่า “เมื่อกี๊มึงบอกว่ามึงเข้ามาใน
อุโมงค์นี้ใช้มั้ย” โชตะไม่ตอบอะไร และยังคงลากตัวซาโตรุเข้าไปในอุโมงค์ ซาโตรุก็พูด
ต่อว่า “แล้วมึงจะเข้ามาในอุโมงค์นี้ได้ยังไงในเมื่อ เมื่อกี้ประตูเหล็กมีแม่กุญแจล็อกอยู่”

ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีมือจากข้างหลังและจากด้านข้างของซาโตรุผลัก ซาโตรุให้
เข้าไปในอุโมงค์ลึกขึ้น แล้วโชตะก็หันมาพูดกับซาโตรุว่า “มาตายไปด้วยกันเถอะ” จากนั้น
ซาโตรุก็ช็อคสลบไป รู้ตัวอีกทีก็พบว่ามีชาวบ้านแถวนั้นที่ออกมาหาของป่า ได้เจอกับซา
โตรุที่นอนสลบอยู่หน้าอุโมงค์และช่วยเอาไว้

หลังจากที่ซาโตรุได้สติ ซาโตรุค่อยได้มารู้ความจริง ทีหลังว่าจริงๆแล้วโชตะ ไม่ได้
ไปตามนัดเพราะกลัวมากจนไม่กล้าไป ปล่อยให้ซาโตรุเดินทางไปคนเดียวและเกือบจะเอา
ชีวิตไม่รอด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เลิกเป็นเพื่อนกัน

35

ตำนานอุโมงค์ผีสิง อะเคะโดชิ

อุโมงค์ อะเคะโดชิ เป็นสถานที่สุดหลอนในจังหวัดนะงะโนะ โดยตัวของอุโมง
ค์อะเคะโดชิตั้งอยู่บนถนนหลวงหมายเลข 143 โดยถูกขุดและ เปิดใช้งานในสมัยเมจิ
ถือว่าเป็นอุโมงค์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังไม่ได้ถูกยกเลิกใช้ ความยาวของอุโมงค์อยู่ที่ 95 เมตร
และมีความกว้างแค่พอให้รถยนต์สัญจรผ่านได้เพียงทีละคันเท่านั้น

ในอดีตเคยเกิดคดีคู่รักหนุ่มสาวจุดไฟเผาตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายใน อุโมงค์แห่งนี้
โดยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีข่าวลือว่ามีคนพบเห็นวิญญาณ ของผู้ชายกับผู้หญิงใน
อุโมงค์

นอกจากนี้ยังมีเหตุสลดใจอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น ในปีค.ศ. 1980 พบศพ
ของหญิงสาวไม่ทราบชื่อในอุโมงค์ ในช่วงปีค.ศ. 1990 ได้พบกับซากรถยนต์ใหม้ไฟที่
ข้างถนนติดกับอุโมงค์อะเคะโดชิ แต่ผู้หญิงที่เป็นคน ขับรถหายสาบสูญไป ในปีค.ศ.
1989 เกิดคดีฆ่าหันศพผู้หญิง และเด็กผู้ชายที่สันเขา อะโอะคิ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับอุโมงค์
แห่งนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตํารวจพบว่า ผู้หญิงกับเด็กผู้ชายเป็นแม่ลูกกัน
ส่วนคนร้ายคือสามี

36

ว่ากันว่านอกจากคดีที่ถูกพูดถึงเหล่านี้ ยังมีคดีหญิงสาวหายสาบสูญและคดี
ฆ่าตัวตายเกิดขึ้น ในบริเวณใกล้เคียงอีกหลายคดีปัจจุบัน ตัวของอุโมงค์ อะเคะโดชิ
กลายเป็นสถานที่ลองของหรือทดสอบความกล้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

โดยเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับอุโมงค์ อะเคะโดชิ ถูกบอกเล่าไว้ดังนี้ วันหนึ่งใน
เดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 1989 คุณนิโนะมิยะ พนักงานขายประกันสาวคนหนึ่งขับ
รถยนต์จากตัวเมือง มะสึโมะโตะ ไปหาลูกค้าที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน อะโอะคิ เธอขับรถไป
ตาม ถนนหลวงหมายเลข 143 ซึ่งเป็นถนนหลวงที่มีแต่ทางคดเคี้ยวและข้างทาง ก็มี
ต้นไม้หนาทึบ

ตอนที่กําลังจะวิ่งขึ้นเขา ทันใดนั้นเอง คุณนิโนะมิยะก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่าง
กะทันหัน เธอคิดว่าถ้าไปถึงหมู่บ้านอะโอะคิ จะแวะซื้อยากินก่อนจะเข้าไปหาลูกค้า

แต่ทว่าความปวดกลับทวีเพิ่มมากขึ้นหลังจากขับรถลอดอุโมงค์ ไอโยะชิ ที่
ผ่านมา คุณนิโนะมิยะไม่เคยรู้สึกปวดขมับแบบนี้มาก่อน มันทําให้เธอเริ่มรู้สึกกังวลว่า
ตนเองอาจจะป่วยเป็นโรคแปลกๆ โดยไม่รู้ตัวก็ เป็นได้

คุณนิโนะมิยะลองเปิดวิทยุในรถเพื่อฟังเพลงเพื่อว่าอาการจะดีขึ้น รายการวิท
ยุกําลังเปิดเพลงของนักร้องหญิงที่กําลังโด่งดังในตอนนั้นอยู่พอดี เสียงเพลงทําให้เธอ
รู้สึกผ่อนคลายได้บ้างถึงแม้จะไม่มากนัก

37

แต่พอรถเริ่มวิ่งเข้าอุโมงค์อะเคะโดชิ ทันใดนั้น ก็มีคลื่นแทรกเข้ามาและเสียง
วิทยุก็เงียบไป ภายในอุโมงค์มืดมากจนไม่สามารถตรวจเช็ควิทยุได้ คุณนิโนะมิยะจึงคิด
จะจัดการหลังจากวิ่งพ้นอุโมงค์

แต่ในจังหวะนั้นเอง ก็มีเสียงคนดังออกมาจากลําโพงแบบ ขาดๆ หายๆ "ขอ
เถอะ...แค่กๆ อย่าไม่...ขอร้อ...ไม่...ช่วย.ด้วย..อย่าง น้อย.เด็ก” เสียงผู้หญิงดังขาดๆ
หายๆ ออกมาจากลําโพงแบบไม่ทันตั้งตัวจนคุณนิโนะมิยะคิดว่าตนเองคงจะหูฝาดไป

คุณนิโนะมิยะรีบจอดรถที่ข้างทางทันทีหลังจากวิ่งพ้นอุโมงค์ เธอ ลองตรวจ
เช็กวิทยุแต่รายการวิทยุยังคงออกอากาศเป็นปกติ เสียงเพลงดัง ออกมาจากลําโพงโดย
เป็นเพลงรักหวานซึ้ง จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีท่อนเนื้อร้องของเสียงผู้หญิงที่ได้ยินเมื่อกี้

คุณนิโนะมิยะขับรถต่อไปอีกสักพักก็ถึงหมู่บ้านอะโอะคิ ตอนนั้นไม่รู้ ว่าทําไม
เธอรู้สึกหายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีความจําเป็นต้องซื้อยามากินแล้ว
เธอจึงรีบขับรถไปหาลูกค้าเพื่อจะได้เคลียร์งานของเธอให้เสร็จโดยเร็ว

38

แต่ทว่าตอนกําลังจะขับรถกลับตัวเมืองมะสึโมะโตะ อาการปวดหัวเข้าจู่โจมเธอ
อีกครั้งแถมยังรุนแรงกว่าเก่าด้วย คุณนิโนะมิยะเริ่มคิด จริงจังแล้วว่าตนเองกําลังป่วย
เป็นโรคทางสมองหรือเปล่า

เธอได้ตัดสินใจไปซื้อยามากินก่อนอย่างช่วยไม่ได้เนื่องจากไม่มีโรงพยาบาลภายใน
หมู่บ้าน จากนั้นก็หาที่พักค้างคืนแถวนั้นเพราะเธอรู้สึกไม่สะดวกที่จะนอนพักในรถ เธอ
โทรศัพท์ไปแจ้งบริษัทว่าวันนี้ไม่เข้าบริษัทแล้วเนื่องจากมีอาการป่วย

เช้าวันต่อมา คุณนิโนะมิยะหายปวดขมับจนเป็นปกติ ตอนที่เธอกําลังจะไปเช็ค
เอาท์ เธอเห็นสามีภรรยาเจ้าของที่พักกําลังคุยกันด้วยอาการ ตื่นตกใจตรงบริเวณประตู
ทางเข้า ด้วยความสงสัย คุณนิโนะมิยะจึงเดินเข้า ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"เกิดคดีฆาตกรรมฆ่าหั่นศพค่ะ ตรงสันเขาอะโอะคิ ไม่อยากจะเชื่อ เลยว่าจะมี
เหตุการณ์น่ากลัวขนาดนี้เกิดขึ้นที่นี่ทั้งๆ ที่เป็นแค่บ้านนอกในต่างจังหวัดแท้ๆ นี่มันเป็น
เรื่องใหญ่มากเลยนะคะ” ภรรยาเจ้าของที่พักเล่าให้ฟังและยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าให้
คุณนิโนะมิยะดู

เนื้อหาข่าวในหนังสือพิมพ์มีดังนี้ "ในวันที่ 13 พฤษภาคม พบศพเด็กผู้ชาย
กับผู้หญิงที่คาดว่าเป็นแม่ ใกล้ๆ สันเขาอะโอะคิในหมู่บ้านฮอนโจ้ เขตฮิกะชินิคุมะ จังหวัด
นะงะโนะ ภูเขาอันเงียบสงบและสวยงามถูกคุกคามด้วยคดีที่น่าสะพรึงกลัวและเงื่อนงํา
มากมาย สํานักงานตํารวจจังหวัดนะงะโนะจัดตั้งทีมสืบสวนเพื่อเร่งสืบหา ข้อมูลผู้เสีย
ชีวิต ข้อมูลของถุงซื้อของที่ตกอยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุกับความ เชื่อมโยงในคดี เจ้าหน้าที่
สืบสวน 15 คนช่วยกันค้นหาและเก็บชิ้นส่วนศพ ทั้งสองที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ลูกกันรวม
ถึงหลักฐานอื่นๆ ตั้งแต่เวลา 22:00 น. ในวันที่ 13 โดยนํากลับไปที่สถานีตํารวจมะสึ
โมะโตะ

39

พื้นที่รกร้างลาดเอียงที่เป็นจุดพบศพเพิ่งจะทําการถางหญ้า และต้น ไม้ไปเมื่อ
หนึ่งเดือนที่แล้ว โดยรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาสามารถมองเห็นไปถึงก้น หุบเขามุมลาดเอียง
อยู่ที่ 30-40 องศาซึ่งยากมากที่คนจะไปยืนอยู่โดยที่ไม่ ไถลลงไป

พบศพเด็กผู้ชายอายุประมาณ 2-3 ขวบตรงบริเวณกึ่งกลางของ ทางลาด
ลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบขาขวา แขนขวา ศีรษะใส่อยู่ในถุงดํา ฯลฯ ของผู้หญิงถูกทิ้ง
อยู่กระจัดกระจายอยู่

นายคะตะโอะคะ โยผู้กํากับสถานีตํารวจมะสึโมะโตะที่เดินทางมาที่ เกิดเหตุ
อธิบายภาพที่โหดร้ายนี้ว่า “หน้าของเด็กบวมจนคาดเดาไม่ออกว่า อายุเท่าไหร่ ศพผู้
หญิงถูกนั่นเป็นชิ้นๆ เห็นเส้นผมกับแขนขาบางส่วนโผล่ ออกมาจากถุงพลาสติก

ศพของผู้หญิงถูกยัดใส่ลงในถุงพลาสติกและถูกนํามาโยนทิ้ง แต่ คาดว่าถุงน่า
จะแตกตอนที่กระแทกกับพื้น คาดการณ์ว่าเด็กผู้ชายน่าจะอายุประมาณ 2-3 ขวบ ถ้า
การเจริญเติบโตของ ร่างกายเป็นปกติ ฟันน่าจะขึ้นเรียงหลายซี่แล้วและเริ่มพูดรู้เรื่อง
โดยอยู่ใน วัยน่ารักน่าชัง ส่วนผู้หญิงมีรูปร่างเล็กและดูท่าทางบอบบาง

เมื่อสังเกตจากสภาพการกระจัดกระจายของศพ พอจะสันนิษฐาน ได้ว่า
ฆาตกรน่าจะลงมือสังหารผู้หญิงที่อื่น ทําการนั่นศพและขนย้ายมา พร้อมกับศพของ
เด็ก จากนั้นก็โยนศพไปที่ทางลาดจากถนนหลวง

บริเวณสันเขาอะโอะคิเป็นสถานที่เงียบสงบที่ไม่มีรถประจําทางวิ่งผ่านถึงแม้จะ
เป็นถนนหลวง ตั้งแต่มีการเปิดใช้อุโมงค์ใหม่บนถนนหลวงอีก เส้นที่ขนานกับถนนหลวง
หมายเลข 143 จํานวนรถที่วิ่งผ่านลดน้อยลง กลายเป็นแค่ทางลัดสําหรับคนที่มาหา
ของป่าหรือเก็บเห็ด” (หนังสือพิมพ์ อาซาฮีฉบับเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม ปีค.ศ.
1989)

40

พอคุณนิโนะมิยะอ่านข่าวนี้เสร็จ เธอนึกถึงเรื่องเสียงที่ได้ยินตอนขับ รถเข้าไป
อยู่ในอุโมงค์เมื่อวานนี้ขึ้นมาได้ทันที เสียงที่ได้ยินนั่นอาจจะเป็นเสียงร้องสุดท้ายก่อนถูก
ฆ่าตายของคุณแม่ก็เป็นได้

เพียงแต่ว่าเธอได้ยินเสียงนั่นจากลําโพง วิทยุในรถและต่อให้เสียงนั่นดังมาจาก
ข้างนอกรถ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะได้ยินชัดเจนขนาดนั้นถึงแม้จะมีขาดๆ หายๆ ไปบ้าง
เธอน่าจะขับรถผ่าน ตรงจุดนั้นก่อนที่จะมีการสืบค้นประมาณครึ่งวัน และถ้าดูจากเนื้อหา
ข่าวในหนังสือพิมพ์ คุณแม่น่าจะถูกฆ่าหั่นศพและถูกนํามาทิ้งก่อนหน้านั้นอีก

ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทําไมตนเองถึงเลือกใช้เส้นทางเก่าที่
กลายเป็นแค่ทางลัดทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้แล้วว่าถนนเส้นใหม่สร้างเสร็จแล้ว

"มานึกอีกทีตอนนี้ รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเรียกให้ฉันไปทางนั้น อาจจะ
ต้องการให้ใครไปพบศพเร็วๆ ก็เป็นได้" คุณนิโนะมิยะจะพูดแบบนี้เสมอเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

ตอนขากลับ เธอใช้เส้นทางอื่นกลับเข้าตัวเมืองมะสึโมะโตะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เธอไม่ใช้ถนนเส้นนั้นอีกเลยเวลาไปทําธุระที่หมู่บ้านอะโอะคิ หลังจากนั้นไม่นาน ฆาตกรถูก
จับตัวได้และเป็นสามีของผู้หญิงตามที่เจ้าหน้าที่ตํารวจได้สันนิษฐานไว้

41

อุโมงค์ อะเคะโดชิ ถูกเปิดใช้ในปีเมจิที่ 23 (ปีค.ศ. 1890) โดยปัจจุบัน ถือว่า
เป็นอุโมงค์ที่เก่าแก่ที่สุดบนถนนหลวง ภายในอุโมงค์ อะเคะโดชิ ไม่มีหลอดไฟให้แสงสว่าง
และมีความกว้างแค่พอให้รถยนต์ผ่านได้ที่ละคันเท่านั้น จึงต้องมี สัญญาณไฟจราจรที่
คอยปล่อยให้รถผลัดกันวิ่งเข้าวิ่งออกทีละคันเท่านั้น

แต่ความน่าสะพรึงกลัวไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เคยเกิดคดีพบศพชายหญิง ถูกไฟ
ไหม้เสียชีวิตในอุโมงค์อะเคะโดชิซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุนี้ จึงมีเรื่อง
เล่าปรากฏการณ์ทางวิญญาณในอุโมงค์แห่งนี้ให้ได้ยิน ได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง และภาพด้าน
ล่างคือภาพสถานที่จริงของอุโมงค์สิง เอเคะโดชิ

42

"อยากไป สักครั้งไหม"

43


Click to View FlipBook Version