๔๔
๗.๑.๒.๔ “…ลงบนั ไดไปข้ึนสีหมอกม้ำ เรยี กโหงพรำยมำทั้งน้อยใหญ่
ออกจำกกำญจน์บุรรี ้ีเข้ำไพร โหงพรำยตำมไปเปน็ โกลำ
ตดั มำห้วยโรงหนองตะพำน ข้ำมธำรจระเขแ้ ลว้ เข้ำป่ำ
ถงึ หนองนำ้ บ้ำนพลบั ระยับตำ รบี มำใกลบ้ ำ้ นขุนชำ้ งนั้น…”
(จำกเร่ือง เสภำขนุ ชำ้ งขุนแผน)
๗.2 พรรณนำโวหำร
พรรณนำโวหำรมีจุดมุ่งหมำยในกำรเขียนต่ำงจำกบรรยำยโวหำร คือมุ่งให้ควำมแจ่มแจ้ง
ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่ำนเกิดอำรมณ์ซำบซึ้งเพลิดเพลนิ ไปกับข้อควำมน้ันกำรเขียนพรรณำ โวหำรจึงยำวกว่ำ
บรรยำยโวหำรมำก แต่มิใช่กำรเขียนอย่ำงเยิ่นเย้อ เพรำะพรรณนำ-โวหำรต้องมุ่งให้ภำพ และอำรมณ์ ดังน้ัน
จึงมักใช้กำรเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภำพพจน์ แม้เนื้อควำมที่เขียนจะน้อยแต่เต็มดว้ ยสำนวนโวหำรท่ีไพเรำะ อ่ำน
ได้รสชำติเป็นโวหำรที่ใช้ถ้อยคำอธิบำยหรือบรรยำยส่ิงท่ีพบเห็นอย่ำง ละเอียด โดยใช้สำนวนโวหำรท่ีไพเรำะ
สอดแทรกอำรมณ์ควำมร้สู ึกของผู้เขียน เพ่ือใหผ้ ู้อ่ำนเกิดควำมประทับใจและควำมซำบซ้ึงมีควำมรสู้ ึกและเห็น
ภำพตำมไป ด้วยกับคำพรรณนำโวหำร วิธีกำรเขียนพรรณนำโวหำร ผู้เขียนต้องรู้จักใช้ถ้อยคำท่ีประณีตให้
ควำมรู้สึกโดยหยิบยกลักษณะสำคัญมำ กล่ำว กำรใช้ถ้อยคำในกำรบรรยำยลักษณะจะใช้ถ้อยคำที่แสดง
รูปธรรม เช่น บอกลักษณะ สีสัน รูปร่ำง เวลำเพ่ือให้ผู้อ่ำนเห็นภำพชัดเจน หรือ ใช้ถ้อยคำทำให้เกิด
ควำมไพเรำะ
๗.๒.๑. หลกั กำรเขียนพรรณนำโวหำร
๗.๒.๑.1 ต้องใชค้ ำดี หมำยถึง กำรเลือกสรรถอ้ ยคำ เพ่ือให้สื่อควำมหมำย ส่อื ภำพ
ส่ืออำรมณ์เหมำะสมกับเน้ือเรื่องที่ต้องกำรบรรยำยควรเลือกคำ ที่ให้ควำมหมำยชัดเจน ทั้งอำจต้องเลือกให้
เสียงคำสมั ผัสกนั เพื่อเกดิ เสยี งเสนำะอยำ่ งสัมผัสสระ สัมผัสอักษรในงำนร้อยกรอง
๗.๒.๑.2 ต้องมใี จควำมดี แม้จะพรรณนำยืดยำว แต่ใจควำมตอ้ งมงุ่ ใหเ้ กดิ ภำพ และ
อำรมณค์ วำมรู้สึกสอดคลอ้ งกบั เนอื้ หำที่กำลงั พรรณนำ
๗.๒.๑.3 อำจตอ้ งใช้อปุ มำโวหำร คือ กำรเปรียบเทยี บเพื่อให้ได้ภำพชัดเจน และมัก
ใช้ศิลปะกำรใช้คำท่ีเรียกว่ำ ภำพพจน์ประเภทต่ำง ๆ ท้ังนี้เป็นวิธีกำรท่ีจะทำให้พรรณนำโวหำรเด่น ทั้งกำรใช้
คำ และกำรใชภ้ ำพทแ่ี จ่มแจ้ง อ่ำนแล้วเกดิ จินตนำกำรและควำมรสู้ กึ คล้อยตำม
๗.๒.๑.4 ในบำงกรณีอำจต้องใช้สำธกโวหำรประกอบด้วย คือ กำรยกตัวอย่ำง
เพ่ือให้เกิดควำมแจ่มแจ้ง โดยยกตัวอยำ่ งส่ิงทล่ี ะม้ำยคล้ำยคลึงกัน เพ่อื ให้เกิดภำพและอำรมณเ์ ดน่ ชัดพรรณนำ
โวหำรมกั ใช้กบั กำรชมควำมงำมอื่น ๆ เชน่ ชมสถำนที่ สรรเสริญบุคคล หรือใช้พรรณนำอำรมณ์ ควำมรู้สึก เช่น
รกั เกลียด โกธร แค้น เศรำ้ สลด เป็นต้น
๔๕
๗.๒.๒ ตัวอย่ำงกำรพรรณนำโวหำร
๗.๒.๒.๑ “ … จิ๋วยืนอยู่ห่ำงจำกเต่ำน้ันเล็กน้อย เขำนุ่งกำงเกงขำสั้นสีน้ำเงินเข้ม
ทอ่ บนของรำ่ งกำยเปล่ำเปลือยผิวขำวจัดของเขำถูกกระไอร้อนของน้ำมันที่เดือด พล่ำนอยู่ในกระทะรมเสียจน
ขน้ึ เสียระเรื้อแดง และเหงื่อท่ีพรั่งผุดออกมำตำมขมุ ขนสะท้ำนกับเปลวไฟท่ีแลบเลียอยู่ขอบกระทะแล เป็นเงำ
วบั เขำกำลงั ใชต้ ะหลวิ ด้ำวยำวคนกวนช้ันมันหมูทีก่ ำลังถกู เค่ยี วลอย ฟอ่ งอยมู่ นกระทะอย่ำงขะมักเขมน้ สองมือ
ของเขำกำอยู่ที่ด้ำวตะหลิวท่อนแขนที่ค่อยๆกวนตะหลิวไปมำน้ันเกร็งเล็ก น้อย จนแลเห็นกล้ำมเน้ือข้ึนเป็น
ลอนเม่ือมองผำดผ่ำนมำยังลำตัวของเขำหล่อนก็ ประจักษ์ถึงควำมล่ำสันแข็งแรงแผงอก แม้จะไม่กำยำผำย
กว้ำง แต่ก็มีมัดกล้ำมขึ้นเป็นลอนดูทรงพลังหน้ำท้องรำบเรียบบ่งบอกว่ำทำงำนออก กำลังอยู่เป็นนิจ
เอวค่อนข้ำงคอดเป็นรูปสวยรบั กับทอ่ นขำที่ยำวแบบคนสงู เม่อื เขำยืนแยกขำออก ห่ำงจำกกันเพือ่ ได้รบั นำ้ หนัก
ได้เหมำะสมด้วยเช่นน้ี แลดูเหมือนเสำกลมเรียวสองต้นท่ีประสำนลำค้ำจุนร่ำงกำยของเขำอย่ำงม่ันคง… ”
(จำกเร่ือง กตัญญูพศิ วำส ของ หยก บรู พำ)
๗.๒.๒.๒ “เขำใชแ้ ขนยนั พน้ื ดิน อำกำรเหนื่อยอ่อน กลิ่นนำ้ ฝนบนในหญ้ำและกล่ิน
ไอดินโชยเข้ำจมูกวำบหวิว อยำกให้มีใครซักคนผ่ำนมำพบ เพื่อพำเขำกลับไปหำหมอในหมู่บ้ำน มดหลำยตัว
เดินขบวนสวนผ่ำนไปมำ มันไม่มีทีท่ำจะสนใจเขำเลยแม้แต่น้อย เขำมองดูมันอย่ำงเลื่อนลอย ทำไมมันจึง
เฉยเมยกับฉัน มันคงรู้แน่ ฉันอยำกให้มันเป็นคนจริง ๆ ฉันจะต้องกลับบ้ำนให้ได้ เขำคิดพลำง เหม่อมองดูยอด
สนของหมบู่ ้ำนหำดเสยี้ วเห็นอยูไ่ มไ่ กลนกั ดวงอำทิตยส์ แี ดงเข้มกำลงั คลอ้ ยลงเหนือยอดไม้ทำงทิศตะวันตก”
(จำกเรือ่ ง คนบนตน้ ไม้ ของ นคิ ม รำยวำ)
๗.๒.๒.๓ “ช่ัวเหยี่ยวกระหยับปกี กลำงเปลวแดด ร้อนทแ่ี ผดกผ็ อ่ นเพลำพระเวหำ
พอใบไหวพลกิ รกิ ริกมำ กร็ ู้ว่ำวันนี้มลี มวก
เพยี งกระเพอ่ื มเลื่อมรบั วับวับไหว กร็ ู้วำ่ นำ้ ใสใชก่ ระจก
เพยี งแววตำคู่นั้นหวน่ั สะทก กร็ ู้วำ่ ในอกมีหวั ใจ”
(จำกเร่ืองเพียงควำมเคล่ือนไหว ของเนำวรัตน์ พงศไ์ พบลู ย์)
๗.๒.๒.๔ “ครน้ั ส้นิ แสงสรุ ิยำภำนมุ ำศ พระจนั ทรเ์ คลื่อนเลือ่ นรำชรถร่อน
ดำรำรำยพรำยพรำ่ งกลำงอำพร ประภสั สรแสงรื่นพื้นแผ่นดิน
สว่ำงไสวในวงั ดงั เมืองสวรรค์ ดว้ ยแสงจันทร์นนั้ สอ่ งกระจำ่ งส้ิน
พระพำยเฉ่ือยเรือ่ ยพดั มำรินรนิ พระองค์ทรงถวลิ ถงึ สองนำง”
(จำกเร่อื ง เสภำขุนชำ้ งขุนแผน)
๔๖
๗.3 เทศนำโวหำร
เทศนำโวหำร หมำยถึง โวหำรที่มีจุดหมำยแสดงควำมแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่ำนคล้อยตำมหรือ
อำจกล่ำวได้ ว่ำมุ่งชักจูงให้ผู้อ่ำน คิดเห็นหรือคล้อยตำมควำมคิดเห็นของผู้เขียนเทศนำโวหำร จึงยำกกว่ำ
โวหำรท่ีกล่ำวมำแล้วทั้ง 2 โวหำร เพรำะต้องใช้กลวิธีในกำรชักจูงใจเป็นถ้อยคำโวหำรท่ีใช้อธิบำยควำมคิด
เหตุผล โดยต้องกำรให้ผู้อำ่ นเขำ้ ใจและเห็นดว้ ย เกดิ ควำมเช่ือถือและปฏิบัตติ ำม วธิ ีกำรเขียน ผู้เขียนต้องเขยี น
อธิบำย หรือให้คำจำกัดควำมของส่ิงที่จะชี้แจงก่อน จำกน้ันจึงกล่ำวถึงเหตุผลท่ีจะเกิดตำมมำ อธิบำยคุณและ
โทษพร้อมยกตัวอย่ำงประกอบหรือเปรยี บเทียบใหผ้ ู้อ่ำนเข้ำใจดี ข้ึน กำรยกตัวอย่ำงประกอบเรื่องรวในเทศนำ
โวหำรน้ันเป็นสำธกโวหำรประกอบเทศนำโวหำรเสมอ
๗.๓.๑ หลกั กำรเขยี นเทศนำโวหำร
กำรเขียนเทศนำโวหำรต้องใช้โวหำรประเภทต่ำง ๆ มำประกอบ กล่ำวคือทั้งใช้
บรรยำยโวหำร พรรณนำโวหำร รวมทั้งอุปมำโวหำร และ สำธกโวหำรดว้ ย ทั้งน้ีเพื่อให้ใจควำมชดั เจนแจ่มแจ้ง
มีทั้งควำมหลักและควำมรองเป็นที่เข้ำใจจนเกิดควำมรู้สึกนึกคิดคล้อยตำมผู้ เขียน ไปได้หำกเป็นกำรแสดง
ควำมคิดเห็นควรอธิบำยท้ังด้ำนที่เป็นประโยชน์และโทษ หรือแสดงเหตุและผลกำรเขียนเทศนำโวหำร ผู้เขียน
ต้อง มีควำมรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนเป็นอย่ำงดี สำมำรถอธิบำยอย่ำงชัดเจน ทั้งควรพรรณนำให้เกิดควำมเข้ำใจ
อย่ำงลึกซึ้ง ต้องรู้จักใช้เหตุผล และหลักฐำนสนับสนุนควำมคิดเห็นท่ีตนเสนอด้วย กำรลำดับควำมให้สัมพันธ์
กันอย่ำงมีเหตุผลจึงเปน็ หลักสำคัญอีกประกำรหนึ่ง ในกำรเขียนเทศนำโวหำรโดยท่ัวไปมักเข้ำใจกันว่ำ เทศนำ
โวหำร แปลว่ำ โวหำรที่มุ่งสั่งสอน โดยตีควำมคำว่ำเทศนำ ว่ำส่ังสอน ควำมจริงเทศนำในท่ีนี้ หมำยถึง แสดง
กล่ำวคือ แสดงอย่ำงแจ่มแจ้งเพื่อให้เห็นคล้อยตำม รูปแบบงำนเขียนที่ควรใช้เทศนำโวหำรคือ งำนเขียน
ประเภทบทควำมชกั จงู ใจ หรือบทควำมแสดงควำมคิดเหน็ ควำมเรียง เป็นตน้
๗.๓.๒ ตวั อยำ่ งเทศนำโวหำร
๗.๓.๒.๑ “กำรอบรม ส่ังสอนลูกเคร่งครัดมำกมำยเกินไป ก็อำจเป็นผลร้ำยได้
เหมือนกัน เพรำะฉะน้ันวิธีเล้ียงลูกท่ีดีก็คือ เดินตำมทำงสำยกลำง อย่ำให้ตึงหรือหย่อนเกินไป ควรเปิดโอกำส
ให้เด็กหรือลูกได้ใช้ควำมคิด ได้ทดลอง ได้มีประสบกำรณ์ต่ำงๆได้รู้วิธีช่วยตัวเอง ได้ฝึกแก้ปัญหำของตัวเองให้
มำกส่วนที่จะควบคุมกันควรเปน็ แต่เรื่องกรอบของ กฎหมำยและศีลธรรมเท่ำนั้นกำรสอนให้เขำได้ทำกิจกกรม
ทเ่ี ป็นประโยชน์ท่เี ขำพอ ใจใหม้ ำกยอ่ มกี วำ่ กำรตัง้ แต่ข้อห้ำม หรอื กำรใหท้ ำตำมคำส่งั แต่ฝ่ำยเดยี ว”
(จำกเรื่อง เหมือน ๆ จะแพ้แต่ไมแ่ พ้ ของธรรมจักร สร้อยพกิ ุล)
๗.๓.๒.๒ “ บัดเดยี๋ วดังหงำ่ งเหง่งวังเวงแว่ว สะดงุ้ แลว้ เหลียวแลชะแงห้ ำ
เห็นโยคีขี่ร้งุ พุง่ ออกมำ ประคองพำขึ้นไปจนบนบรรพต
แล้วสอนว่ำอย่ำไว้ใจมนษุ ย์ มนั แสนสุดลึกลำ้ เหลอื กำหนด
อันเถำวลั ย์พันเกีย่ วทเ่ี ลย้ี วลด ก็ไมค่ ดเหมอื นหนึ่งในนำ้ ใจคน”
(จำกเรอื่ งพระอภัยมณี)
๔๗
๗.๓.๒.๓ “สิ่งใดในโลกลว้ น อนิจจัง
คงแตบ่ ำปบุญยงั เที่ยงแท้
คอื เงำติดตวั ตรัง ตรึงแนน่ อยนู่ ำ
ตำมแตบ่ ำปบุญแล้ ก่อเกือ้ รกั ษำ”
๗.๓.๒.๔ “ยำงขำวขนเรยี บร้อย ดดู ี (จำกเรอ่ื ง ลลิ ิตรพระลอ)
ภำยนอกหมดใสสี เปรียบฝำ้ ย (จำกเร่ือง โคลงโลกนิติ)
กนิ สัตว์เสพปลำมี ชีวิต
เฉกเชน่ ชนชำติรำ้ ย นอกนั้นดูงำม”
๗.๔ สำธกโวหำร
สำธกโวหำร คือ โวหำรที่มุ่งให้ควำมชัดเจน โดยกำรยกตัวอย่ำงเพื่ออธิบำยใหแ้ จ่มแจ้งหรือ
สนับสนุนควำมคิดเห็นที่เสนอให้ หนักแน่น น่ำเช่ือถือ สำธกโวหำรเป็นโวหำรเสริม บรรยำยโวหำร พรรณนำ
โวหำร และเทศนำโวหำรเช่นกำรเลือกยกตัวอย่ำงมีหลักท่ีควรเลือกให้เข้ำกับเนื้อควำม อำจยกตัวอย่ำงส้ัน ๆ
ในบรรยำยโวหำรหรอื อำจยกตวั อย่ำงทีม่ รี ำยละเอยี ดประกอบในพรรณนำโวหำร และเทศนำโวหำร เป็นต้น ใน
กำรเขียนข้อเขียนต่ำง ๆ นิสิตควรรู้จักเลือกใช้โวหำรให้เหมำะกับจุดมุ่งหมำยในกำรเขียนและเนื้อหำใน
บำงโอกำส อำจตอ้ งใชโ้ วหำรหลำยชนดิ ในงำนเขยี นชิ้นหนึ่งก็ได้ หลกั สำคญั อยู่ท่ีว่ำตอ้ งเลอื กใชใ้ ห้เหมำะสมกับ
โอกำส จุดมุ่งหมำยและเขียนได้อย่ำงถูกต้อง ตำมลักษณะโวหำรน้ัน ๆ เป็นกำรยกตัวอย่ำงประกอบเรื่องรำว
เพอื่ ใหข้ ้อควำมนัน้ เดน่ ชัดขน้ึ หรือข้อเปรียบเทยี บประกอบอยำ่ งมเี หตุผล
๗.๔.๑ หลักกำรเขยี นสำธกโวหำร
๗.๔.๑.๑ กำรเขยี นสำธกโวหำรจะเขียนควบคู่กับเทศนำโวหำร หรอื บรรยำยโวหำร
โดยกำรยกตวั อยำ่ งประกอบ
๗.๔.๑.๒ ตัวอย่ำงที่ยกมำประกอบต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับเน้ือควำมในเทศนำ
โวหำรหรือบรรยำยโวหำร
๗.๔.๑.๓ ต้องยกตัวอย่ำงชัดเจนใช้ถ้อยคำง่ำย และควรสรุปหลังจำกยกตัวอย่ำง
ประกอบแลว้ ใหเ้ หน็ ควำมสำพนั ธ์ของเทศนำโวหำรกับสำธกโวหำรหรอื บรรยำยโวหำรกบั สำธกโวหำร
๔๘
๗.๔.๒ ตวั อยำ่ งสำธกโวหำร
๗.๔.๒.๑ “ใน เรื่องน้ำ เรำมองว่ำประเทศไทยมีน้ำเยอะแยะ เรำไม่เคยคิด
ประหยัดว่ำจะใช้น้ำคุ้มค่ำที่สุดอย่ำงไร เช่น น้ำท่ีเหลือจำกกำรซักล้ำง เรำก็ควรจะเอำไปรดน้ำ ต้นไม้
ควำมประหยัดเป็นจุดหน่งึ ของกำรลดควำมต้องกำรท่ีเพิ่มขน้ึ กำรที่เรำจะต้องกำรพื้นทก่ี ำรเกษตรปลูกผลิตผล
กำรเกษตรให้มำกขึ้น ถ้ำเรำรู้จักประหยัด เรำก็จะไม่ต้องกำรเพ่ิมพ้ืนที่เพำะปลูกมำกขึ้น เร่ืองอำหำรก็จะลดลง
ไป อย่ำงเช่นกำรดื่มกำแฟในกำรประชุมหลำยแห่ง แม้แต่กำรประชุมนำนำชำติ ผมไม่รู้ว่ำกำแฟเททิ้งกัน
เท่ำไหร่ แล้วกำแฟมำจำกไหน ก็มำจำกปำ่ เขตร้อนป่ำเขตรอ้ นทีโ่ ดนทำลำยไปเพรำะคนพื้นเมอื งต้องกำรทำลำย
ปำ่ เพอื่ ขยำยพนื้ ทป่ี ลกู กำแฟ เพรำะกำแฟรำคำดี มันมีผลถงึ กนั หมด”
(จำกสุรพล ดวงแข : นติ ยำสำร “สำระคด”ี ฉบับท่ี ๖๕ ปีที่ ๖ กรกฎำคม ๒๕๓๓)
๗.๔.๒.๒ “ผู้คนชอบท่ีจะย้อนคิดถึงอดีต เช่น เม่ือเรำย้ำยบ้ำนใหม่ ไม่ว่ำบ้ำนใหม่
ของเรำจะดีอย่ำงไรเรำก็มักจะคิดถึงท่ีเก่ำ และอยำกกลับไปดู เมื่อเรำซ้ือของชน้ิ ใหม่ เรำมักยังคงจำของช้ินเก่ำ
ทีม่ คี ุณภำพดีได้ และเม่ือเรำซ้ือเส้อื ผ้ำชุดใหม่หรือรองเท้ำคู่ใหม่ เรำมกั จะรูส้ ึกวำ่ มันใสไ่ ม่สบำยเท่ำของเกำ่ ของ
เรำ ซ่ึงกำรย้อนคิดถึงอดีตโดยไม่หมกมุ่นเกินไปเป็นสิ่งที่ดี และยังเป็นจิตสำนึกของกำรไม่ลืมรำกฐำน
ควำมเป็นมำของเรำดว้ ย”
(จำกเร่อื ง รำกฐำนชวี ติ ของ เรณู ทวนิ นั ท์)
๗.๔.๒.๓ “ควรชมนยิ มจัด คุรุวัสสกำรพรำหมณ์
เปน็ เอกอุบำยงำม กลงำกระทำมำ
พทุ ธำทบิ ัณฑิต พเิ ครำะหต์ ิดพนิ ิจปรำ-
รภสรรเสรญิ สำ- ธุสมัครภำพผล”
(จำกเรื่อง สำมัคคเี ภทคำฉนั ท์)
๗.5 อุปมำโวหำร
อุปมำโวหำร หมำยถึง โวหำรเปรียบเทียบ โดยกตัวอย่ำง สง่ิ ทคี่ ล้ำยคลึงกนั มำเปรียบเพือ่ ให้
เกิดควำมชัดเจนด้ำนควำมหมำย ด้ำนภำพ และเกิดอำรมณ์ ควำมรู้สึกมำกยิ่งขึ้น กล่ำวได้ว่ำอุปมำโวหำร
คือ ภำพพจน์ประเภทอุปมำน่ันเอง อุปมำโวหำร ใช้เป็นโวหำรเสริม บรรยำยโวหำร พรรณนำโวหำร และ
เทศนำโวหำร เพ่ือให้ชัดเจนน่ำอ่ำน โดยอำจเปรียบเทียบอย่ำงส้ัน ๆ หรือเปรียบเทียบอย่ำงละเอียดก็ได้ ท้ังน้ี
ขึ้นอยู่กับอุปมำ โวหำรนั้นจะนำไปเสริมโวหำรประเภทใดเป็นโวหำรสำนวนเปรียบเทียบ เพื่อใช้ประกอบ
ข้อควำมในสำธกโวหำร บรรยำยโวหำร พรรณนำโวหำรได้เด่นชัดขึ้น ดังตัวอย่ำงในพรรณนำโวหำรจำกเร่ือง
กตัญญูพิศวำสที่กล่ำวมำแล้วดังข้อควำม “แลดูเหมือนเสำกลมเรียวสองต้นที่ประสำนลำค้ำจุนร่ำงกำยของเขำ
อย่ำงมั่นคง”
๔๙
๗.๕.๑ หลักกำรเขียนอปุ มำโวหำร
๗.๕.๑.๑ เปรียบเทียบของสง่ิ หน่ึงเหมือนสง่ิ หน่ึง จะมีคำว่ำ เหมือน รำวดุจว่ำ เช่น
ดัง เป็นตัวเชอื่ มข้อควำม
๗.๕.๑.๒ เปรียบเทียบโดยโยงควำมคดิ ผอู้ ่ำนไปสสู่ ิ่งหน่ึง เชน่ ชีวิตเหมือนนวนิยำย
เร่อื งตลกเหมือนเร่ืองศรธี นญชยั เปน็ ต้น
๗.๕.๒ ตัวอยำ่ งอปุ มำโวหำร งำมละมำ้ ยคล้ำยอูฐกะหลำปำ๋
ทงั้ สองแกม้ กัลยำดังลูกยอ
“สงู ระหงทรงเพรียวเรียวรูด จมูกละม้ำยคลำ้ ยพรำ้ ขอ
พิศแต่หวั ตลอดเท้ำขำวแต่ตำ ลำคอโตตันสัน้ กลม”
ควิ้ กง่ เหมอื นกงเขำดดี ฝ้ำย
หูกลวงดวงพกั ตรห์ ักงอ (จำกเรอื่ ง ระเดน่ ลันได)
๘. กำรจดั กำรเรียนรู้ เร่ือง วิเครำะห์ภำพพจน์
๘.๑ ควำมหมำยของภำพพจน์
ภาพพจน์เป็นการใช้ภาษาท่ีสร้างสรรค์ในการสะท้อนความคิดของผู้ประพันธ์หากกล่าวถึง
ความหมายของภาพพจน์ ก็จะมีความหมายที่แตกต่างกัน โดยมีนักวิชาการ ได้นิยามถึงความหมายของ
ภาพพจน์ ไว้หลายความหมาย ดงั น้ี
กาญจนา นาคสกลุ และคณะ (๒๕๒๔: ๒๐๓) ให้ความหมายของภาพพจน์ไวว้ ่า ภาพพจน์ (Figures of
Speech) คือ คา หรือ กลุ่มคาที่เกิดจากกลวิธีการใช้คา เพ่ือให้เกิดภาพที่แจ่มชัดและลึกซ่ึงข้ึนในใจของผู้อ่าน
และผู้ฟัง คาสามารถส่ือให้เห็นภาพได้ เช่น ผู้ชาย ผู้หญิง แต่คาที่สื่อภาพเหล่านี้ไม่เรียกว่า ภาพพจน์ เพราะ
ภาพพจน์เป็นผลของการใช้คาอยา่ งมศี ิลปะโดย กลวธิ กี ารเปรยี บเทียบ ซง่ึ มีต่าง ๆ กัน
กหุ ลาบ มัลลิกะมาส (๒๕๑๗: ๓๗) ได้กล่าวไว้ว่า ภาพพจน์ คือ พจน์หรือ ถ้อยคาซึ่งสร้างภาพทาให้
เกิดความเข้าใจและความประทับใจ เป็นเช่นน้ันเช่นนี้ สวย-ไม่สวย ดี-ไม่ดี ในบทละครเรื่อง เห็นแก่ลูก ผู้อ่าน
จะเห็นภาพได้ถนัดวา่ แมล่ ออ เป็นหญงิ ผูด้ ี เรียบร้อยส่วนบา่ ว (อา้ ยคา) ก็มีลักษณะของคนที่ซื่อสัตย์ และไดร้ ับ
การอบรมมาดีคอื ไม่ แสดงกริ ิยาดถู กู แขก แตก่ ็คุมเชิงอยู่ตลอด ร้จู ักหนา้ ท่ีของตน และทาตนเหมือนสภุ าพบุรุษ
กมลทิพย์ สมบูรณ์พงษ์ และคณะ (๒๕๖๐: ๒๐๘) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ภาพพจน์ หรือ Figure of
Speech คือถ้อยคาท่ีทาให้เกิดภาพภาพขึ้นในใจ โดยใช้กลวิธีในการเรียบเรียงถ้อยคาสามารถสัมผัสอารมณ์
ของผู้อา่ นจนเกิดความประทับใจ เกิดความเข้าใจลึกซ้ึงและเกดิ อารมณ์สะเทือนใจมากกว่าถ้อยคาท่ีกล่าวอย่าง
ตรงไปตรงมา
ธเนศ เวศร์ภาดา (๒๕๔๙: ๔๑) ได้กล่าวไว้ว่า ภาพพจน์ คือการเขียนอย่างแจ่มแจ้งจนมองเห็น
ภาพโดยใชค้ วามเปรียบเป็นหลกั
บรรจง ชาครัตรัตพงศ์ (๒๕๕๑: ๒๓๑) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ภาพพจน์ คือการใช้ถ้อยคาอย่าง
แจ่มแจ้ง เด่นชัดและลึกซึ้งในใจของผู้อ่านและผู้ฟังการสร้างภาพพจน์เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการแต่งคา
ประพันธซ์ ึ่งผ้แู ต่งใชก้ ลวิธกี ารเปรยี บเทยี บอยา่ งคมคายในลกั ษณะต่าง ๆ กนั
๕๐
พจนยี ์ พลสทิ ธ์ (๒๕๔๒: ๓๒) ใหค้ วามหมายของภาพพจน์ไว้วา่ ภาพพจน์ (Figures of Speech) คือ
การใช้ถ้อยคาเพ่ือให้เกิดภาพในใจเป็นความสามารถของผู้ใช้ภาษาเรียบเรียงถ้อยคาอย่างละเมียดละไม
จนผู้อ่านผู้ฟังนึกเหน็ ภาพตามถอ้ ยคานน้ั ไปด้วย
สจุ รติ เพียรชอบ (๒๕๔๐: ๘๔) ได้กล่าวไวว้ ่า ภาพพจน์ เป็นคาท่ีนกั วรรณกรรมตงั้ ข้ึน เพ่ือใหต้ รงกับ
คาว่า Figure of Speech ถ้าตีความหมายของคาก็คือคาท่ีทาให้เกิดภาพหรือเห็นภาพ ภาพพจน์จึงหมายถึง
คาหรือสานวนโวหารที่กวีหรือผู้ประพันธ์ใช้เพื่อสร้างมโนภาพให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อ่านหรือผู้ฟังบทกวีน้ัน
ภาพพจนเ์ ป็นสิ่งทีช่ ่วยให้ผู้อ่านหรือผ้ฟู งั เหน็ ภาพได้กระจ่างชัด เข้าใจความหมาย เข้าถึงความคดิ หรือความรู้สึก
ของผู้ประพันธ์ และสามารถถ่ายทอดความรู้สึกและความคิดเหล่านั้นออกมาเป็นของผู้อ่านเอง จนเกิด
ความซาบซ้งึ ในวรรณกรรม ข้อความหรือคาพดู เหล่านนั้ อาจจะเป็นรอ้ ยแกว้ หรอื ร้อยกรองก็ได้
กล่าวโดยสรุปว่า ภาพพจน์ หมายถึง การใช้ถ้อยคาหรือภาษาในการสร้างสรรค์เรื่องราวโดยอาศัย
กลวิธีการเปรียบเทียบคาหรือการสร้างคาอย่างแยบคายของผู้เขียน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ไปยัง
ผู้อ่านหรือผู้ฟังให้สัมผัสกับอารมณ์ท่ีสะเทือนใจและเกิดความคิด จินตนาการท่ีเกิดจากการอ่านหรือฟัง ทาให้
เกิดความประทับใจและซาบซ้งึ ในวรรณกรรม
๘.๒ อปุ มา
อุปมา คือ การเปรียบเทียบส่ิงใดส่ิงหน่ึงกับอีกส่ิงหน่ึงท่ีมีความแตกต่างกัน แต่คล้อยตามกันได้
เพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเห็นภาพชัดเจน ซึ่งมีลักษณะการใช้คาที่มีความหมาย เหมือน หรือ คล้าย ได้แก่คาว่า
เฉก เฉกเชน่ ดัง ด่ัง ดุจ ประดุจ ประดุจด่ัง เพยี ง เทียบ เหมือน เสมือน คล้าย ละม้าย ราว ราวกับ ประหน่ึง
เปรียบ ปาน เพียง เทียบเพยี ง เป็นต้น
๘.๒.๑ ตวั อยา่ งการใชภ้ าพพจน์อปุ มา ผลบญุ สง่ นา
๘.๒.๑.๑ “สทิ ธิฤทธเ์ิ รอื งเดชดว้ ย บ่ร้อน
สรา้ งกุศลเป็นทนุ ไหลหลง่ั มานา
สมบตั ิดงั่ มกี ุล เลศิ ล้วนสมบรู ณ์”
สรรพพภิ พช้าช้อน
(จากเร่ือง ลิลติ พระลอ)
๘.๒.๑.๒ “จะเสยี แรงไปว่าพยายาม แมจ่ ะเปรียบเน้อื ความให้เขา้ ใจ
นางพมิ พริ้มเพราดงั จนั ทรา เอง็ เหมือนเตา่ นาอยู่ใต้”
๘.๒.๑.๓ “เหลือบเห็นดอกปะหนนั สาคัญผดิ (จากเรื่อง เสภาขนุ ช้างขุนแผน)
เห็นดอกไมไ้ หลลอยในคงคา เหมอื นวนั พ่ีลิขิตด้วยขนา
เล็บนางเหมอื นอยา่ งเล็บนอ้ ง เหมอื นเม่อื ลอยมาลาใหเ้ ทวี
เหน็ โศกสาขารมิ วารี พี่ประคองเนอื้ นวลเจ้าข่วนพี่
เหมอื นทรงโศกโศกีระกาใจ
(จากเรื่อง อิเหนา)
๕๑
๘.๒.๑.๔ “สุวรรณหงส์ทรงภหู่ ้อย งามชดชอ้ ยลอยหลงั สนิ ธ์ุ
เพียงหงส์ทรงพรหมนิ ทร์ ลินลาศเล่ือนเตือนตาชม”
(จากเรื่อง กาพย์เห่เรอื )
๘.๒.๑.๕ “ใดใดโอษฐโ์ อ่อา้ ง ตนดี
เอาปากเป็นกวี คลอ่ ยคลอ้ ย
หากหาญแต่วาที เฉลยกลา่ ว ไฉนนา
ดจุ หน่ึงแสงหิง่ ห้อย สอ่ งกน้ ตนเอง
(จากเร่ือง นิราชนรินทร์)
๘.๒.๑.๖ “เจา้ งามพกั ตรผ์ อ่ งเพียงบหุ ลันฉาย
เจ้างามเนตรประหนึง่ นยั นาทราย เจ้างามก่งละม้ายคันศรทรง
เจา้ งามนาสายลดงั กลขอ เจ้างามสอเหมอื นคอสวุ รรณหงส์
เจา้ งามกรรณกลกลบี บุษบง เจา้ งามวงวิลาสเรียบระเบยี บไร”
(จากเรอ่ื ง เพลงยาวพระราชนิพนธพ์ ระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยหู่ วั )
๘.๒.๑.๗ “ครั้นวางพระโอษฐน์ ้า เวยี นวน อยูน่ า
เหน็ แก่ตาแดงกล ชาดย้อม
หฤทยั ระทดทน ทุกขใ์ หญ่ หลวงนา
ถนัดดัง่ ไม้ร้อยออ้ ม ทา่ วทา้ วทับทรวง”
(จากเรือ่ ง ลลิ ิตพระลอ)
๘.๓ อปุ ลกั ษณ์
อปุ ลักษณ์ คือการเปรียบเทียบส่ิงใดส่ิงหน่ึงกับอีกสิ่งหน่ึงเช่นเดียวกับการอุปมา แต่การอุปลักษณ์
แตกต่างกับการอุปมาตรงที่ การอุปลักษณ์คือการให้ส่ิงน้ันมีความหมายเดียวกันโดยมีความหมายแฝงให้ผู้อ่าน
หรือผู้ฟังเข้าใจเอง มกั จะใช้ คาวา่ เป็น หรือ คือ เปน็ คาเชื่อมในการอุปลกั ษณ์ หรอื ในวรรณคดีมรดกบางตอน
จะไม่มีคาเชื่อมปรากฏอยู่ ผู้อ่านจะต้องคิดพิจารณาด้วยตัวเองว่าสิ่งนั้นคือการอุปลักษณ์ท่ีกวีได้สอดแทรก
เอาไว้ ซงึ่ จะเรียกการอปุ ลกั ษณ์เชน่ นี้วา่ การอุปลักษณโ์ ดยนยั
๘.๓.๑ ตัวอยา่ งการใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์
๘.๓.๑.๑ “โอเ้ สยี ดายปราสาทราชฐาน ได้อยมู่ าช้านานแตป่ ่ยู า่
คงย่อยยับเยอื กเยน็ เป็นป่าช้า จะรกรา้ งโรยราลงทุกวนั ”
(จากเรอื่ ง เสภาขุนชา้ งขนุ แผน)
๘.๓.๑.๒ “คดิ แล้วจึงว่าช่างน่าหัว มาหลงตวั หลงห้องไม่เหน็ สม
แคน้ นักทีม่ าลักมาลอบชม มายกยอใหน้ ยิ มเหมือนเยย้ กนั
เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง มใิ ชย้ งู จะมาย้อมให้เห็นขัน
หิ่งหอ้ ยฤาจะแขง่ แสงพระจนั ทร์ อยา่ ปัน้ น้าใหห้ ลงตะลงึ เงา”
(จากเรอ่ื ง เสภาขนุ ชา้ งขุนแผน)
๕๒
๘.๓.๑.๓ “ออกท้าวฟังลกู ไท้ ทูลสาร
ถนดั ด่งั ใจจักลาญ สวาทไหม้
น้าตาทา่ นคอื ธาร แถวถงั่ ลงนา
ไหบ้ ร่ ูก้ ไี่ ห้ สระอนื้ อาดูร”
(จากเรือ่ ง ลลิ ิตพระลอ)
๘.๓.๑.๔ “ถงึ ม้วยดินสิ้นฟา้ มหาสมทุ ร ไมส่ ้ินสดุ ความรกั สมัครสมาน
แมเ้ กิดในใต้ฟ้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เน้ือเยน็ เป็นห้วงมหรรณพ พีข่ อพบศรสี วสั ด์ิเป็นมัจฉา
แมเ้ ปน็ บวั ตัวพี่เปน็ ภมุ รา เชยผกาโกสุมปทุมทอง”
(จากเรอ่ื ง พระอภยั มณ)ี
๘.๓.๑.๕ “นานาประเทศลว้ น นับถือ
คนที่รหู้ นังสอื แตง่ ได้
ใครเกลียดอักษรคอื คนปา่
ใครเยาะกวไี ซร้ แนแ่ ท้คนดง”
(จากเรือ่ ง พระนลคานล)
๘.๔ อติพจน์ หรอื อธิพจน์
อติพจน์ เป็นการเปรียบเทียบโดยการกล่าวข้อความท่ีเกินจริง มักเปรียบเทียบในเรื่องปริมาณว่ามี
มากเหลือเกนิ มเี จตนาเน้นขอ้ ความทกี่ ลา่ วนั้นให้มีน้าหนักยิง่ ข้ึน เช่น ร้อนตบั แตก คอแหง้ เป็นผง รกั คณุ เทา่ ฟ้า
รอตัง้ โกฏิปแี ลว้ ใจดีเป็นบ้า อกไหม้ไส้ขม เหนื่อยสายตวั แทบขาด
๘.๔.๑ ตวั อย่างการใชภ้ าพพจน์อตพิ จน์
๘.๔.๑.๑ “ทง้ั ตวั ถูกลกู ธนูดงั พหู่ ้อย โลหิตย้อยหยดชุมทุกขมุ ขน
ออกเอบิ อาบซาบเสือ้ จนเหลือทน เห็นไมพ่ น้ กองทัพจะจบั เปน็
เรียกอังกฤษศษิ ยส์ ่งั ให้ตดั หวั ศรี ษะตัวอย่าให้ผู้ใดเหน็
อา้ ยยันตงั ฟังว่าน้าตากระเด็น แต่จาเป็นจาทาดว้ ยจาใจ
เฝา้ อดิ เออ้ื นเตอื นหนักชักกระบ่ี ออกตดั ศรี ษะเชือดจนเลือดไหล
คลเ่ี ช็ดหนา้ ผ้าหอ่ ผูกคอไว้ แลว้ ควา้ ได้ขวานครเู ปน็ คู่มือ”
(จากเรื่อง พระอภัยมณี)
๘.๔.๑.๒ “ตราบขุนคิรขิ ัน ขาดสลาย ลงแม่
รักบ่หายตราบหาย หกฟา้
สรุ ยิ จันทรขจาย จากโลก ไปฤา
ไฟแลน่ ลา้ งสี่หล้า ห่อนล้างอาลยั ”
(จากเร่ือง นิราศนรนิ ทร)์
๘.๔.๑.๓ “เจา้ ไขท้ ุกข์แม่เพ้ียง ๕๓
เจา้ เคล่ือนทุกขบ์ างเบา
มาเห็นพอ่ เงียบเหงา ภูเขา ลูกเอย
ทกุ ขเ์ ร่งซอ้ นเหลอื ซอ้ น สว่างรอ้ น
หนักกว่า กอ่ นนา
๘.๔.๑.๕ “รถเอยรถทนี่ ่ัง ย่งิ ฟ้าทับแด”
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาฬ
ดุมวงกงหันเปน็ ควันควา้ ง (จากเรื่อง ลลิ ติ พระลอ)
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน บุษบกบัลลงั ก์ต้งั ตระหงา่ น
นทตี ีฟองนองระลอก ยอดเยีย่ มเทยี มวิมานเมืองแมน
เขาพระเมรเุ อนเอียงออ่ นละมุน เทียมสงิ หว์ ่ิงวางขา้ งละแสน
ทวยหาญโหร่ อ้ งกอ้ งกมั ปนาท พน้ื แผน่ ดินกระเดน็ ไปเปน็ จุณ
บดบงั สุริยนั ตะวันเดือน คลื่นกระฉอกกระฉ่อนชลขน้ ขนุ่
อานนท์หนนุ ดินดานสะท้านสะเทือน
๘.๔.๑.๖ “นฤ่ี าบุตรพี ระดาบส สธุ าวาศไหวหว่ันล่นั เลือ่ น
อนิจจาบดิ าท่านแสรง้ ใช้ คลาดเคลอ่ื นจตุรงคต์ รงมา”
ดูผิวสนิ วลละอองออ่ น
สองเนตรงามกว่ามฤคนิ (จากเรื่อง รามเกียรติ์)
งามหมดหาใครจะเปรียบได้
๘.๔.๑.๗ “เรียมร่าน้าเนตรถว้ ม มารดต้นไม้พรวนดิน
พาหมูส่ ัตว์จอ่ มจม มะลซิ อ้ นดดู าไปหมดสน้ิ
พระสเุ มรุเป่อื ยเปน็ ตม นางนี้เป็นป่นิ โลกา”
อกั นพิ รหมฉว้ ย
(จากเรอื่ ง ศกนุ ตลา)
ถงึ พรหม
ชีพม้วย
ทบทา่ ว ลงนา
พ่ีไว้จง่ึ คง”
(จากเรอ่ื ง กาสรวลศรีปราชญ)์
๕๔
๘.๕ สัทพจน์
สัทพจน์ คอื คือการทกี่ วไี ด้สร้างบทประพันธ์ในการสร้างสรรค์คาให้เลียนเสียงธรรมชาติ เสยี งดนตรี
เสียงสัตว์ร้อง หรือแม้กระทั่งเสียงอากัปกริยาของคน เพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเหล่านั้น
แลว้ มีจนิ ตนาการท่ีเกดิ ภาพทาใหเ้ กิดความเข้าใจมากย่ิงขึน้
๘.๕.๑ ตัวอย่างการใช้ภาพพจน์สทั พจน์
๘.๕.๑.๑ “ดหู นูส่รู ูงู งูสุดสูห้ นสู ู้งู
หนงู สู ดู้ อู ยู่ รปู งทู ูห่ นูมทู ู
ดูงูขูฝ่ ูดฝู้ พรพู รู
หนูส่รู งู งู ู สุดสู้
งสู ู้หนูหนสู ู้ งอู ยู่
หนรู งู้ งู ูรู้ รูปถมู้ ูทู”
(จากเรื่อง กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง)
๘.๕.๑.๒ “นกเขาเงอื้ มเขาแล้วเคล้าคู่ จ้ฮู กุ กูจู้ฮกุ กเู ฝ้าคูขนั
อญั ชนั จบั กิง่ ต้นชงิ ชนั เบญจวรรณจับเจา่ เถาวลั ย์เปรยี ง
ไกป้ า่ วิง่ กรากกระต๊ากลนั่ ตวั ผู้ขันเอกอเี อก๊ วเิ วกเสยี ง
เขา้ กนิ ขดุ คุย้ เขี่ยตัวเมียเคยี ง เห็นคนเลย่ี งลัดแลงเข้าแฝงกาย”
(จากเร่อื ง เสภาขนุ ชา้ งขนุ แผน)
๘.๕.๑.๓ “เสียงชะนที เ่ี หล่าเขาย่ีสาน วิเวกหวานหววั หวัวผัวผัวโวย
หวิวหววิ ไหวไดย้ นิ ย่งิ ด้ินโดย ชะนโี หยหาคู่ไม่รู้วาย”
(จากเรอื่ ง นิราศเมอื งเพชร)
๘.๕.๑.๔ “แอดออดออดแอดแอดออด ไผ่สอดพลอดซอพ้อส่ง
นยิ ายนา้ ค้างกลางคืน เศษผงใบไผ่ไปลป่ ลิว”
(จากเร่อื ง บนพนมไม้ไผ่ ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบลู ย)์
๘.๕.๑.๕ “พระมารดรขอ้ นทรวงเสยี งผางผาง กันแสงพลางตรงมาหาลูกเขย
เห็นควา้ รปู ลูบต้องประคองเชย เอะกรรมเอย๋ กรรมกรรมทากระไร
ข้ึนแท่นรตั น์ตรัสถามว่าสวาท ได้กระดาษเลขามาแต่ไหน
ขอให้แม่แลดรู ปู ผใู้ ด พระอภยั รู้สึกให้นกึ อาย”
(จากเรอ่ื ง พระอภยั มณี)
๘.๕.๑.๖ “กลองทองตีคร่มุ คร้ึม เดินเรยี ง
ทา้ ตะเติงเตงิ เสยี ง คร่มุ ครนื้
เสียงที่ป่รี เ่ี รอ่ื ยเพียง การเวก
แตร้นแตรแ่ ตรฝรัง่ ขึ้น หวหู่ วู้เสยี งสังข์”
(จากเรอื่ ง กาพยห์ อ่ โคลงประพาสธารทองแดง)
๕๕
๒.๖ สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ คือ คือการเปรียบเทียบส่ิงใดสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งโดยใช้คาอื่นแทน และคาท่ีนามาใช้
แทนความหมายน้ันจะต้องเป็นคาที่ผู้อ่านหรือผู้ฟังมีความคุ้นชินและเข้าใจคาเหล่านั้นเป็นอย่างดี เช่น สีขาว
หมายถึง ความบริสุทธิ์ นกพิราบ หมายถึง สันติภาพ ซึ่งการตีความว่ากวีได้ใช้ภาพพจน์สัญลักษณ์ใน
การประพันธน์ น้ั ผ้ฟู งั หรอื ผูอ้ ่านจะตอ้ งพิจารณาบริบทความสมั พันธข์ องบทประพันธด์ ว้ ยตัวเอง
๒.๖.๑ ตัวอยา่ งการใชภ้ าพพจน์สญั ลักษณ์
๒.๖.๑.๑ “นกเขาจับข่อยอยู่เคียงคู่ ผัวมาอยู่ไกลพมิ เจา้ เหลือแหล่
คับแคทารังบนตน้ แค พ่หี ่างแหหอเหินมาเดนิ ไพร
กระลมุ พจู กิ พวงชมพเู ทศ สังเกตเหมือนผ้าชมพพู สิ มยั
พะยอมหอมหวานมายวนใจ เหมอื นกล่นิ สไบเจ้ายังตดิ มา”
(จากเรอ่ื ง เสภาขนุ ชา้ งขุนแผน)
๒.๖.๑.๒ “ค่อยอิงแอบแนบเนอื้ ที่เจอื จติ นางเบือนบดิ พระกเ็ บยี ดพอเสียดสี
ปทุมมาลยย์ งั ไมบ่ านเกสรดี พ่ึงจะคลีย่ งั ไมจ่ รงิ ก็เชิงบาน
แมงภูผ่ ึ้งคลงึ เคล้าเกสรออ่ น ลงเฟ้นฟอนของสดเพราะรสหวาน
พริ ุณโรยโปรยช่อพอประมาณ ในท้องธารไม่สชู้ มุ่ พอนุม่ นวล”
(จากเร่อื ง พระอภยั มณ)ี
๒.๖.๑.๓ “เจา้ ไปแลว้ เจ้าจัก คนื เมอื ลูกเอย
เนื้อสู่เสอื ฤาเสอื จักไว้
ฟังคาพอ่ คิดเหลือ เหลอื ท่ี คดิ นา
คดิ บ่ ไดล้ ว้ นได้ แตร่ ้อนฤาเสบย”
(จากเรอ่ื ง ลิลติ พระลอ)
๒.๖.๑.๔ “คดิ คลงึ สาโรชสรอ้ ย เสาวมาลย์ แมน่ า
ภชุ เคนทรสาราญ แหลง่ เหลน้
สรรสวรรคน์ ริ าสนาน ไฉนนาฏ เรียมเอย
สระเกษมสระสมรเฟน้ ฝั่งฟา้ ฝันถงึ ”
(จากเร่ือง นิราศนรินทร์)
๕๖
๒.๗ บุคลาธษิ ฐาน
บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต คือ คือการเปรียบส่ิงไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึกเช่น สิ่งของ เครื่องใช้
ตา่ ง ๆ หรือส่งิ มชี วี ติ อ่ืน ๆ เช่น สตั ว์นานาชนิด ให้มีชีวติ มี มีความร้สู กึ กระทากิริยาเฉกเช่นมนษุ ย์ เพือ่ ใหผ้ ูอ้ ่าน
หรือผู้ฟงั เหน็ ภาพที่ชดั เจนมากยิ่งขึ้น
๒.๗.๑ ตัวอยา่ งการใช้ภาพพจน์บุคลาธษิ ฐาน
๒.๗.๑.๑ “พระสมุทรไหวหวาดหว้ ย คลองสรวล
เมรุพลวกปลวกสารวจ ร่าเร้า
สีหราชร่าครา่ ครวญ สนุ ขั เยาะ หยนั นา
สรุ ยิ ส่องยามเย็นเขา้ หงิ่ หอ้ ยยนิ ดี”
(จากเรอื่ ง โคลงโลกนิต)ิ
๒.๗.๑.๒ “ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ หมายจะรับไปดว้ ยชว่ ยอาสา
เพราะได้เคยเหน็ ใจแตไ่ รมา จะไปไดฤ้ าว่าท่านหยอ่ นแรง
สหี มอกดีใจจะไปทพั เต้นหรบั รอ้ งรา่ ดัดขาแขง้
ดงั บอกว่าข้าจะไปอยา่ ได้แคลง ขุนแผนแจง้ ท่วงทีกด็ ีใจ”
(จากเรอ่ื ง เสภาขนุ ชา้ งขุนแผน)
๒.๗.๑.๓ “นางแยม้ เหมอื นแม่แย้ม ยวนสมร
ใบโบกกลกวกั กร เรยี กไท้
ชอ้ งนางคลีส่ ร่ายขจร โบกเรยี ก พระฤา
เชิญราชชมไมไ้ หล้ กิ่งก้มถวายกร”
(จากเรอื่ ง ลลิ ติ พระลอ)
๙. กำรจัดกำรเรียนรู้ เรอื่ ง รสวรรณคดี
๙.๑ ควำมหมำย
รสวรรณคดี คือ รสของความไพเราะในการใชถ้ ้อยคาให้เกิดความงดงามและเกิดอารมณค์ วามรู้สึก
๙.๒ เสาวรจนี
การกล่าวชมความงดงามของตัวละคร ธรรมชาติ และสัตว์
๙.๒.๑ ตวั อยา่ งเสาวรจนี
๙.๒.๑.๑ “รปู ทรงส่งศรไี ม่มแี มน้ อรชรออ้ นแอน้ ประหนงึ่ เหลา
ผมสลายสวยขางามเงา ให้ชอ่ื เจ้าว่าพมิ พิลาไลย”
(จากเร่อื ง เสภาขนุ ช้างขุนแผน)
๕๗
๙.๒.๑.๒ “เหลือบเหน็ กวางขาดาขลบั งามสรรสะพรั่งดังเลขา
งามเขาเปน็ ก่ิงกาญจนา งามนิลรัตนร์ ูจี
คอกง่ เปน็ วงราววาด รปู สะอาดคราวนางสาอางศรี
เหลียวหนา้ มาดูภมู ี งามดังนารชี าเลืองอาย
ยามว่ิงล่ิวล้าดงั ลมส่ง ตัดตรงทุม่ พลนั ผนั ผาย”
(จากเรือ่ ง สกนุ ตลา)
๙.๓ นารีปราโมทย์
การกล่าวแสดงความรัก ทง้ั การเก้ียวพาราสกี นั ในระยะแรก ๆ หรอื การพรรณนาบทโอโ้ ลมปฏโิ ลม
ก่อนจะถึงบทสังวาสนน้ั ด้วย
๙.๓.๑ ตัวอย่างเสาวรจนี
๙.๓.๑.๑ “ถึงม้วยดนิ สน้ิ ฟ้ามหาสมุทร ไมส่ ้นิ สุดความรักสมัครสมาน
แม้นเกิดในใต้ฟา้ สุธาธาร ขอพบพานพศิ วาสไม่คลาดคลา
แมน้ เนือ้ เย็นเป็นหว้ งมหรรณพ พ่ีขอพบศรสี วสั ดเิ์ ป็นมจั ฉา
แมน้ เปน็ บัวตัวพ่เี ป็นภมุ รา เชยผกาโกสมุ ปทุมทอง
เจ้าเปน็ ถ้าอาไพขอให้พี่ เปน็ ราชสีหส์ มสูเ่ ปน็ คสู อง
จะตดิ ตามทรามสงวนนวลละออง เปน็ ค่คู รองพิศวาสทุกชาติไป”
(จากเร่ือง พระอภยั มณ)ี
๙.๓.๑.๒ “เมอ่ื นน้ั พระสุรยิ ์วงศ์เทวญั อสัญหยา
โลมนางพลางกลา่ ววาจา จงผินมาพาทีกับพีช่ าย
ซึง่ สญั ญาวา่ ไว้กับนวลนอ้ ง จะคงครองไมตรีไมห่ นีหน่าย
มิไดแ้ กลง้ กลอกกลบั อภิปราย อยา่ สงกาว่าจะวายคลายรัก”
(จากเรอื่ ง อิเหนา)
๙.๔ พโิ รธวาทงั
การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งแตเ่ ร่อื งเล็กน้อยไปจนถึงเร่ืองใหญ่ ต้ังแต่ ไม่พอใจ โกรธ
ตดั พ้อ ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรยี บเปรย เสียดสี และด่าว่าอย่างรุนแรง
๙.๔.๑ ตวั อย่างพโิ รธวาทงั
๙.๔.๑.๑ “จะเจ็บจาไปถึงปรโลก ฤๅรอยโศกรู้รา้ งจางหาย
จะเกดิ ก่ฟี ้ามาตรมตาย อยา่ หมายวา่ จะใหห้ ัวใจ”
(จากเรือ่ ง เสียเจา้ ของอังคาร กลั ยาณพงศ์)
๙.๔.๑.๒ “รูปงามนามเพราะน้อยไปหรือ ใจไม่ซือ่ สมศักด์ิเท่าเสน้ ผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีท่ีนยิ ม สมาคมก็แตถ่ งึ ฤดูมัน
มงึ น่ถี ่อยย่ิงกวา่ ถ่อยอีทา้ ยเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สกั สง่ิ สรรพ์
ละโมบมากตัณหาตาเปน็ มัน สกั รอ้ ยพนั ให้มึงไม่ถึงใจ
วา่ หญิงชวั่ ผัวยงั คราวละคนเดยี ว มาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผน่ ดินกจู ะอยู่ไย อา้ ยไวมึงอยา่ นับว่ามารดา
(จากเรื่อง ขนุ ช้างขนุ แผน)
๕๘
๙.๕ สลั ลาปังคพิสัย
สลั ลาปังคพสิ ัย คือ การกลา่ วข้อความแสดงอารมณโ์ ศกเศรา้ อาลยั รัก
๙.๕.๑ ตัวอย่างสลั ลาปังคพิสัย
๙.๕.๑.๑ “วา่ พลางทางชมคณานก โผนผกจบั ไมอ้ งึ มี่
เบญจวรรณจับวลั ยช์ าลี เหมือนวนั พ่ีไกลสามสุดามา
นางนวลจบั นางนวลนอน เหมอื นพแี่ นบนวลสมรจินตะหรา
จากพรากจบั จากจานรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี
แขกเต้าจับเตา่ รา้ งร้อง เหมอื นรา้ งห้องมาหยารัศมี
นกแก้วจบั แก้วพาที เหมอื นแกว้ พีท่ งั้ สามสัง่ ความมา”
(จากเรอ่ื ง อเิ หนา)
๙.๕.๑.๒ “ลกู กแ็ ลดูแมแ่ ม่ดลู ูก ตา่ งพันผูกเพยี งว่าเลือดตาไหล
สะอ้ืนรา่ อาลาดว้ ยอาลยั แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลงั ยังเห็นแมแ่ ลเขม้น แม่กเ็ ห็นลกู น้อยละห้อยหา
แตเ่ หลยี วเหลียวเลี้ยวลับวนั วญิ ญาณ์ โอ้เปลา่ ตาต่างสะอืน้ ยืนตะลงึ ”
(จากเรื่อง ขนุ ชา้ งขุนแผน)
๕๙
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๓
ฝกึ วเิ คราะห์ วิจารณ์
๑. กำรจดั กำรเรยี นกำรสอน เรือ่ ง กำรฟงั และกำรดู เพอื่ วิเครำะห์ วจิ ำรณ์ แสดงควำมคดิ เหน็
และประเมินเรอื่ ง
กำรฟงั และกำรดู คือ กำรรับรู้ควำมหมำยของเสียงและภำพผำ่ นทำงประสำทหูและประสำทตำ เป็นกำรทำ
ควำมเข้ำใจ ควำมคิด เกิดสติปัญญำ รวมถึงควำมสนุกสนำนเพลิดเพลิน ผู้ฟังและดูเป็นผู้รับสำร ได้รับ
ประโยชน์จำกกำรฟังและดูส่ือแล้ว ผู้รับสำรจะต้องพูดแสดงควำมคิดเห็น วิเครำะห์ วิจำรณ์และประเมินเรื่อง
จำกกำรฟังและกำรดู เป็นกำรพูดเพื่อให้เกิดควำมรอบรู้ และส่งเสริมกำรมีควำมคิดเห็นที่กว้ำงขวำง ดังนั้น
นักเรียนจึงควรฝึกทักษะเหล่ำนี้ให้เกิดควำมชำนำญและควรเป็นผู้ที่มีมำรยำทในกำรฟัง ดูและพูดเพื่อนำไป
ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวัน
๑.๑ ควำมหมำยของกำรฟังและกำรดู
กำรฟัง หมำยถึง กระบวนกำรรับสำรโดยผ่ำนสื่อ คือ เสียง ผู้รับสำรได้ยินเสียงน้ันแล้วเกิดกำรรับรู้
ตีควำมจนกระทงั่ เข้ำใจสำร แลว้ เกิดปฏกิ ริ ยิ ำตอบสนอง
กำรดู หมำยถึง กระบวนกำรรับสำรโดยผ่ำนส่ือ คือ ภำพหรือตัวอักษร ผู้รับสำรเกิดกำรรับรู้ ตีควำม
จนกระทั่งเข้ำใจสำร แล้วเกิดปฏิกิรยิ ำตอบสนอง
๑.๒ ควำมสำคัญของกำรฟังและกำรดู
กำรฟังและกำรดู เป็นกระบวนกำรรับสำรที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมเป็นอย่ำงมำกใน
ชีวติ ประจำวนั มนษุ ยฟ์ ังและดูส่งิ ตำ่ ง ๆ มำกมำย ควำมสำคญั ของกำรฟังและกำรดูมหี ลำยประกำร ดงั นี้
๑.๒.๑ ให้ควำมรู้และเพ่ิมควำมคิด มนุษย์เริ่มฟังและดูตั้งแต่วัยเด็ก ซ่ึงเป็นกำรเรียนรู้สิ่งต่ำง ๆ
จำกระดับที่ง่ำยจนกระท่ังพัฒนำสู่ระดับที่ยำก กำรฟังและกำรดูเป็นวิธีกำรหำควำมรู้อย่ำงหนึ่ง อำจเป็น
กำรแลกเปล่ียนทัศนคติเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง ซ่ึงเป็นกำรแลกเปล่ียนควำมคิดเห็นกันทำให้รับควำมรู้และเพิ่ม
ควำมคิด
๑.๒.๒ เพลิดเพลนิ จิตและสร้ำงควำมจรรโลงใจ กำรรับสำรบำงประเภทจะทำให้เกิดควำมเพลิดเพลิน
ใจและสรำ้ งควำมจรรโลงใจ บำงคร้ังหำกเหน่ือยลำ้ จำกกำรเรยี นหรือกำรทำงำนมำทงั้ วัน กำรฟังเพลงทไี่ พเรำะ
สักเพลงหรือดูภำพยนตร์ท่ีสนุกสนำนสักเร่ือง จะทำให้รู้สึกผ่อนคลำยเป็นวิธีกำรพักผ่อนประเภทหน่ึง
นอกจำกน้ีเนื้อหำสำระของเร่ืองยังให้แง่คิดบำงประกำร ซึ่งอำจเป็นกำรกระตุ้นควำมรู้สึกของผู้รับสำรได้อีก
ทำงหนงึ่
๑.๒.๓ เสริมสร้ำงโลกทัศน์ให้กว้ำงไกล กำรรับสำรท่ีหลำกหลำยอย่ำงสม่ำเสมอ ย่อมทำให้ผู้รับสำร
ได้รับสงิ่ ใหม่ ๆ มำกขึ้น ก่อใหเ้ กดิ ควำมคิดและมมี ุมมองใหม่ ๆ ซงึ่ แตกตำ่ งจำกเรือ่ งทเี่ คยรับมำ
๑.๒.๔ ใช้พัฒนำตนเองและสังคม กำรรับสำรด้วยกำรฟังและกำรดูทำให้เกิดควำมรู้ สร้ำงควำมคิด
สร้ำงควำมเพลิดเพลินใจ และเสริมสร้ำงโลกทัศน์ของผู้รับสำรให้กว้ำงไกล ที่กล่ำวมำท้ังหมดน้ีล้วนเป็น
กำรพฒั นำในส่วนของผ้รู ับสำรเอง เมอ่ื ผู้รับสำรนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งสรำ้ งประโยชนใ์ หผ้ ู้คนรอบข้ำง
หรอื หนว่ ยงำน กจ็ ะเป็นกำรพฒั นำสังคมได้ดีวธิ หี น่ึง
๖๐
๑.๓ ประเภทของสำรทีฟ่ ังและดู
๑.๓.๑ สำรที่ให้ควำมรู้ เช่น กำรฟังและกำรดูข่ำวสำรข้อมูลต่ำง ๆ กำรฟงั และกำรดูเรื่องทำงวิชำกำร
และกำรฟังและดเู ร่ืองเก่ยี วกบั สำขำวชิ ำชพี ทต่ี นสนใจ เปน็ ต้น
๑.๓.๒ สำรท่ีโน้มน้ำวใจ เช่น กำรฟังและกำรดูโฆษณำชวนเช่ือต่ำง ๆ ไม่ว่ำจะเป็นโฆษณำสินค้ำหรือ
โฆษณำหำเสยี ง กำรเชิญชวนใหร้ ่วมกนั ทำกจิ กรรมตำ่ ง ๆ กำรโต้วำที และกำรอภปิ รำยในบำงเรอื่ ง เปน็ ต้น
๑.๓.๓ สำรท่ีสร้ำงควำมจรรโลงใจ ในท่ีนี้หมำยถึง กำรรับสำรท่ีทำให้เกิดควำมเพลิดเพลินใจเพิ่ม
ควำมสุข คลำยควำมทุกข์ และให้แง่คิดเตือนใจแก่ผู้รับสำร เช่น กำรฟังนิทำน กำรฟังเพลง กำรดูกำร์ตูนหรือ
ภำพยนตร์ กำรฟงั เทศน์ กำรฟงั และกำรดเู รือ่ งที่ทำใหต้ ระหนักถงึ คุณค่ำของสิ่งตำ่ ง ๆ ในชวี ิต
๑.๔ กำรวเิ ครำะห์และประเมินคำ่ สำรจำกกำรฟังและกำรดู
๑.๔.๑ กำรวิเครำะห์สำร กำรรับสำรจำกสื่อในแต่ละคร้ัง ผู้รับสำรควรพิจำรณำเน้ือหำเป็นส่วน ๆ
โดยอำศัยกำรตรึกตรองด้วยเหตุผล สำมำรถแยกเนื้อหำสว่ นทเี่ ป็นขอ้ เท็จจริงและขอ้ คิดเหน็ ได้
๑.๔.๒ กำรตคี วำม นอกจำกผรู้ บั สำรจะแยกข้อเทจ็ จรงิ และข้อคดิ เห็นของสำรไดแ้ ล้วข้นั ตอนตอ่ ไปคือ
จะต้องพยำยำมเข้ำใจควำมหมำยท่ีแท้จริงของสำรนั้นด้วย โดยอำศัยกำรตีควำมทั้งตีควำมตัวอักษร เน้ือหำ
และน้ำเสยี งของสำร
๑.๔.๓ กำรวินิจฉัยเพ่ือประเมินค่ำ เป็นขั้นตอนกำรพิจำรณำไตร่ตรองอย่ำงรอบคอบเพ่ือหำคุณค่ำ
ของสำร ทีส่ ำคญั คอื ต้องตรกึ ตรองสำรอยำ่ งปรำศจำกอคติ
๑.๕ กำรประเมนิ ผลกำรรบั สำร
๑.๕.๑ ท่ำทีและกำรวำงตัว เช่น กำรแต่งกำย กำรย้ิมแย้มแจ่มใส ควำมเชื่อมั่น ควำมกระตือรือร้น
ควำมสำมำรถในกำรควบคมุ ตนเอง
๑.๕.๒ เสียง เช่น ควำมดัง ควำมนำ่ ฟัง กำรออกเสยี งทีถ่ กู ตอ้ งชัดเจน ควำมเปน็ กนั เอง ควำมนุ่มนวล
น่ำฟงั ของเสยี ง อตั รำชำ้ เร็ว กำรย้ำ กำรเน้นเสียง เปน็ ต้น
๑.๕.๓ อำกปั กิริยำท่ำทำง เช่น กำรทรงตัว กำรเคล่ือนไหว กำรประสำนสำยตำกับผู้ฟงั กำรใช้กิริยำ
ทำ่ ทำงให้เหมำะสมกับคำพดู และบรรยำกำศของทปี่ ระชมุ เปน็ ต้น
๑.๕.๔ ภำษำที่ใช้ เช่น ควำมชัดเจนของภำษำที่ใช้สื่อสำรและควำมถูกต้องตำมหลักไวยำกรณ์ไทย
เปน็ ต้น
๑.๕.๕ ควำมคิดและเน้ือหำสำระ เช่น กำรนำเสนอท่ีมีจุดมุ่งหมำยชัดเจน ข้อเท็จจริงถูกต้อง
มกี ำรอ้ำงอิงเหตผุ ลประกอบทีส่ ัมพันธ์กัน และควรเปน็ ควำมคิดท่สี รำ้ งสรรค์ เปน็ ตน้
๑.๕.๖ กำรเรียบเรียงเร่ือง เช่น เริ่มอำรัมภบทน่ำสนใจ ลำดับเน้ือหำสำระได้เหมำะสมและสรุป
ควำมคดิ ไดร้ ัดกมุ เป็นตน้
๖๑
๑.๖ มำรยำทในกำรฟงั และกำรดู
มำรยำทในกำรฟงั และกำรดู คือ วิธีปฏิบัติขณะฟงั หรือดูเพ่อื ควำมเป็นระเบียบ และได้รับประโยชน์
สงู สุด มขี ้อปฏบิ ัติดังน้ี
๑.๖.๑ เข้ำไปนั่งกอ่ นกำรพูดหรอื กำรแสดงจะเริม่ ข้ึน และนั่งตำมลำดบั ทน่ี ั่งของตน
๑.๖.๒ ให้ควำมสำคัญและสนใจกับกำรฟังหรือดูผู้พูดหรือกำรแสดง โดยไม่ทำกิจกรรมอ่ืนรบกวน
ผพู้ ูด
๑.๖.๓ ปรบมือในโอกำสที่สมควร เชน่ ช่วงเริ่มและจบกำรพดู หรอื กำรแสดง
๑.๖.๔ ไมแ่ สดงกิริยำไม่พอใจหรอื เบือ่ หน่ำยผพู้ ูดหรือส่ิงทดี่ ูอยู่ เชน่ หำว สง่ เสียงฮำ หรือกระทบื เท้ำ
๑.๖.๕ บนั ทึกข้อควำมทส่ี นใจหรอื มคี วำมสำคญั
๑.๖.๖ ถ้ำมีข้อสงสัยให้เก็บไว้ถำมผู้พูดเมื่อผู้พูดเปิดโอกำสหรือจบกำรพูดแล้ว และควรถำมอย่ำง
สภุ ำพกำรพูดของคนเรำจำเปน็ อย่ำงยิ่งท่ีจะต้องมหี ลักเกณฑ์ รู้จกั กำลเวลำ และที่สำคัญต้องคำนึงถึงมำรยำทท่ี
ดีในกำรพูดด้วย
๑.๗ ประเภทของกำรฟงั และกำรดู
๑.๗.๑ มำรยำทในกำรพดู ระหวำ่ งบคุ คล มดี ังน้ี
1.๗.1.๑ เร่อื งที่พูดควรเปน็ เรือ่ งที่ทง้ั 2 ฝำ่ ย มีควำมสนใจและพอใจร่วมกัน
1.๗.๑.2 ไม่พูดเรื่องของตนเองมำกจนเกินไป ควรฟังในขณะที่อีกฝ่ำยหน่งึ พดู ไมส่ อดแทรก
เมอ่ื เขำพูดยังไม่จบ
1.๗.๑.3 พูดตรงประเดน็ อำจออกนอกเร่ืองบ้ำงพอผอ่ นคลำยอำรมณ์
1.๗.๑.4 เคำรพควำมคดิ เห็นของผอู้ ่ืน ไมบ่ งั คบั ใหผ้ อู้ ืน่ เช่ือหรือคิดเหมอื นตน
๑.๗.๒ มำรยำทในกำรพูดในทีส่ ำธำรณะ มีดงั นี้
กำรพดู ในทีส่ ำธำรณะต้องรักษำมำรยำทให้มำกกว่ำกำรพูดระหว่ำงบุคคล เพรำะกำรพดู ในที่
สำธำรณะนั้น ย่อมมีผู้ฟังซึ่งมำจำกที่ต่ำง ๆ กัน มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ และพื้นฐำนควำมรู้ ควำมสนใจและรสนิยม
ตำ่ งกนั ไป มำรยำทในกำรพดู ระหว่ำงบุคคลอำจนำมำใช้ไดแ้ ละควรปฏิบตั เิ พ่ิมเติมดงั น้ี
๑.๗.๒.1 แตง่ กำยใหส้ ุภำพเรียบรอ้ ยเหมำะแก่โอกำสและสถำนที่
๑.๗.๒.2 มำถึงสถำนทีพ่ ูดใหต้ รงเวลำหรือกอ่ นเวลำเลก็ น้อย
๑.๗.๒.3 กอ่ นพดู ควรแสดงควำมเคำรพต่อผูฟ้ งั ตำมธรรมเนยี มนิยม
๑.๗.๒.4 ไม่แสดงกริ ยิ ำอำกำรอันไมส่ มควรต่อหน้ำทปี่ ระชมุ
๑.๗.๒.5 ใช้คำพูดที่ให้เกยี รติแก่ผฟู้ ังเสมอ
๑.๗.๒.6 คำนงึ ถึงเรือ่ งส่วนตัวของบุคคลอื่นในท่ปี ระชมุ
๑.๗.๒.7 ไมพ่ ดู หยำบโลนหรือตลกคะนอง
๑.๗.๒.8 พูดใหด้ ังพอไดย้ ินทว่ั กนั และไมพ่ ูดเกนิ เวลำที่กำหนด
กำรส่ือสำรด้วยกำรพูดไม่ว่ำจะเป็นกำรพูดกับคนเพียงคนเดียวหรือพูดกับคนจำนวนมำก
จำเป็นอย่ำงย่ิงท่ีผู้พูดทุกคนต้องมีมำรยำท ถ้ำขำดหรือละเลยต่อมำรยำทในกำรพูด แล้วอำจทำให้กำรพูด
ประสบควำมลม้ เหลว หรอื ไม่ประสบควำมสำเร็จได้
๖๒
๑.๘ การพดู วเิ คราะห์ วิจารณ์
การพูดวิเคราะห์ คือ การพูดที่มุ่งการแยกแยะ แจกแจงข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยที่มีความสัมพันธ์
กนั ขั้นตอนในการพดู วเิ คราะห์นั้น ผู้พดู ต้องการแยกแยะขอ้ มูลเพื่อแสดงให้เห็นว่าแต่ละส่วนมีลักษณะอย่างไร
และมีความสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองกันอย่างไร ซ่ึงจะช่วยให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจส่ิงที่ผู้พูดนาเสนอได้อย่างละเอียด
ชดั เจน
การพูดวิจารณ์ คือ การพูดท่ีมุ่งนาเสนอความคิดเห็นเชิงติชมตอ่ เรอื่ งที่ฟังและดูตามมุมมองของผู้
พูด ซ่ึงการวิจารณ์นั้นจะต้องปฏิบัติตามหลักการวิจารณ์ที่ดี เช่น ศึกษาเรื่องนั้นมาเป็นอย่างดี ใช้เหตุผลใน
การวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็น ไม่นาความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้องและวิจารณ์เฉพาะผลงาน ไม่กล่าว
พาดพิงเร่อื งส่วนตวั ของบคุ คลใด
๑.๙ ขอ้ ควรปฏิบัติในการพูดวเิ คราะห์และวจิ ารณท์ ด่ี ี
๑.๙.๑ วัตถปุ ระสงค์ต้องเด่นชัด ผพู้ ูดที่ดคี วรคานงึ ถงึ วัตถุประสงค์เป็นลาดบั แรกเพราะการทราบ
วตั ถปุ ระสงคท์ ่ีชัดเจน ก็เหมือนกบั มเี ข็มทิศให้ผู้พูดใช้ดาเนินการพูดไปในทิศทางที่เหมาะสม โดยเฉพาะการพูด
วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณถ์ า้ ผพู้ ดู พูดไม่ชัดเจนตงั้ แต่ขัน้ ต้นกจ็ ะทาให้เกิดปญั หาการพดู ในขนั้ ต่อ ๆ ไปได้
๑.๙.๒ หาข้อมูลให้เพียงพอ ผู้พูดที่ดีและประสบความสาเร็จจะต้องศึกษาข้อมูลท่ีจะพูดมาเป็น
อย่างดีเพื่อให้สามารถพูดได้ชัดเจน และสิ่งที่พูดถูกต้อง ผู้ฟังยอมรับ โดยเฉพาะการพูดวิจารณ์ หากผู้พูดมี
ข้อมูลเพียงพอกจ็ ะสามารถวิจารณ์ได้ละเอยี ดและน่าสนใจ
๑.๙.๓ เตรียมบทพูด ผู้พูดท่ีดีควรคานึงถึงการเรียบเรียงบทพูด เพราะแสดงถึงการเตรียมตัวท่ีดี
ทั้งในส่วนของเน้ือหาและการใช้ภาษา ย่ิงผู้พูดมีโอกาสขัดเกลาเร่ืองราวมากเท่าใด ยิ่งทาให้บทพูดนั้นได้รับ
การกลั่นกรองและสามารถนาไปใช้พูดได้อย่างมีคุณภาพ ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ สิ่งสาคัญท่ีควรคานึง
เสมอ คือ การพูดนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง มีเหตุผลสนับสนุนอย่างเด่นชัด ใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย
และเหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง
๑.๙.๔ ฝึกซ้อมให้พร้อม ผู้พูดท่ีดีควรคานึงถึงเวลาในการฝึกซ้อม เพราะความเชี่ยวชาญในการพูด
ลว้ นเกิดข้ึนจากการฝกึ ซ้อมทั้งสิ้น การฝึกซ้อมเป็นการสรา้ งเสริมความม่ันใจของผู้พดู เก่ียวกับเนื้อหาและการใช้
ภาษา นอกจากนน้ั ยังเปน็ การตรวจสอบบคุ ลกิ ภาพของตนให้พรอ้ มก่อนการพูดจริง
๑.๙.๕ มีความมั่นใจ ผู้พูดท่ีดีเมอ่ื ถงึ เวลาพูดตอ้ งมีความม่ันใจ ทาหนา้ ที่ของตนใหด้ ีที่สุด รกั ษาเวลา
แสดงท่วงท่าการพูดให้ดูสง่างาม น่าเชื่อถือ ใช้ส่ือประกอบการพูดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีจะพูด
การแตง่ กายเหมาะสม ประสานสายตาและมรี อยย้มิ ทเี่ ป็นมิตรกับผู้ฟัง ใช้ภาษาให้เกิดประโยชน์ ให้เกียรตผิ ู้ฟัง
เสมอ และต้องดาเนินการพูดไปตามลาดับข้ัน ตั้งแต่การทักทายท่ีเหมาะสม มีข้ันนาท่ีน่าสนใจ นาเสนอเน้ือ
เรื่องเป็นลาดับ ไม่วกวน และข้ันสรุปต้องย้าความคิดให้ชัดเจนประกอบกับสร้างความประทับใจให้ผู้ฟังเป็น
การทิ้งท้ายดว้ ย
๑.๙.๖ ประเมินผลเพ่ือพัฒนา ผู้พูดที่ดีจะต้องไม่ละเลยการประเมินผล ท้ังการประเมินผลด้วย
ตนเองหรือให้ผู้อื่นประเมิน การประเมินผลการพูดส่วนใหญ่มุ่งเน้นท่ีการเตรียมตัวของผู้พูด การใช้ภาษา
การให้ข้อมูลต่าง ๆ บุคลิกภาพและท่าทางการแสดงออก ท่ีสาคัญคือ มีเนื้อหาท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
เม่ือประเมินผลแล้วพบว่าเนื้อหาท่ีพูดไปน้ันสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กาหนด ผู้ฟังเกิดการตอบสนองตาม
วตั ถปุ ระสงค์ แสดงวา่ การพูดในครงั้ นั้นประสบความสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์
๖๓
๒. กำรจัดกำรเรียนกำรสอน เร่ือง กำรพูดรำยงำนเร่ืองหรือประเด็นที่ศึกษำค้นคว้ำจำกกำรฟัง
กำรดู
กำรพดู รำยงำนคือ กำรให้ข้อมูลควำมรู้ท่ไี ดศ้ ึกษำมำอย่ำงเปน็ ระบบ และเปน็ ขอ้ มลู ท่ีเป็นประโยชน์สำหรับ
ผรู้ บั ข่ำวสำรจึงจำเป็น ท่ผี ูเ้ รียนจำเป็นท่จี ะต้องเรียนรู้กำรพูดรำยงำนกำรคน้ ควำ้ ได้อยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ
๒.๑ ขันตอนในกำรพดู รำยงำน
๒.๑.๑ เตรยี มตัวให้พรอ้ ม ดงั น้ี
๒.๑.๑.๑ ทำควำมเขำ้ ใจกับเร่ืองทีจ่ ะพดู
๒.๑.๑.2 ลำดับควำมสำคัญของเร่อื งทจี่ ะพดู ใหเ้ หมำะสมกับเวลำ
๒.๑.๒ พูดเสนอรำยงำน
๒.๑.๒.1 พดู แนะนำชื่อผ้ทู ำรำยงำน
๒.๑.๒.2 พูดแนะนำรำยงำน ประกอบด้วย ช่ือเรื่อง วัตถุประสงค์ วิธีค้นคว้ำ สำระของ
รำยงำนหนังสอื อำ้ งองิ และประโยชน์ท่ไี ดร้ ับ
๒.๑.๒.3 พูดโดยใชน้ ้ำเสียงดงั พอสมควร ออกเสยี งคำและเว้นวรรคตอนใหถ้ กู ต้อง ตำมองผู้ฟงั
๒.๑.๒.4 พูดโดยมีเอกสำรแสดงใหผ้ ู้ฟงั ได้รับร้ขู ้อมูลของรำยงำน
๒.๑.๒.5 สร้ำงบรรยำกำศที่ดี ด้วยกำรแสดงสีหน้ำย้ิมแย้มแจ่มใสและแสดงท่ำทำง
ประกอบกำรพดู อย่ำงเหมำะสม
๒.๑.๒.6 เปิดโอกำสให้ผู้ฟังได้ซักถำมควำมคิดเห็นหรือข้อสงสัยต่ำง ๆ ด้วยกำรตอบคำถำม
อย่ำงสภุ ำพ
๒.๑.๒.7 กลำ่ วคำขอบคณุ ผูฟ้ ังและผู้ทชี่ ว่ ยใหก้ ำรทำรำยงำนประสบควำมสำเรจ็
๓. กำรจดั กำรเรียนกำรสอน เร่อื ง กำรพูดในโอกำสตำ่ ง ๆ
กำรพูดในโอกำสต่ำง ๆ คือ กำรใช้ภำษำเพื่อกำรส่ือสำรที่มีรูปแบบและวิธีพูดท่ีแตกตำ่ งกัน ผู้พูดควรศึกษำ
ให้ถูกต้อง เพื่อให้สำมำรถพูดได้เหมำะสม อีกทั้งยังต้องมีควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอด โดยเลือกใช้ภำษำ
น้ำเสยี ง กิริยำท่ำทำงใหเ้ หมำะสม คำนงึ ถงึ มำรยำทจึงจะได้รับกำรยอมรับและยกย่องจำกผู้อื่น
๓.๑ องคป์ ระกอบของการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ
การพูดในโอกาสต่าง ๆ เป็นการพูดท่ีปรากฏอยู่ในชีวิตประจาวันตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มี
องคป์ ระกอบสาคัญที่ผู้พูดจะต้องคานึงถึงอยู่เสมอ
๓.๑.๑ กาละ หมายถึง วัน เวลา ที่การพูดเกิดข้ึน เช่น ตอนเช้า สาย บ่าย ค่า หรือระหว่าง
การรบั ประทานอาหาร การน่งั ฟังบรรยาย
๓.๑.๒ เทศะ หมายถงึ สถานทท่ี กี่ ารพูดนั้นไดก้ ระทาหรือแสดงออกเช่น ในสานกงาน ในห้องประชุม
ในหอ้ งรบั แขก ในครัว ในโรงภาพยนตร์ ในห้องเรียน ฯลฯ
๓.๑.๓ สมั พนั ธภาพ หมายถึง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งผู้พูดกับผฟู้ ัง เชน่ ความสนิทสนมความเปน็ เพอ่ื น
พนักงานกับนายจ้าง ครูกับศิษย์ บิดากับมารดา หรือบิดา-มารดากับบุตร ประชาชนผู้มาติดต่อราชการกับ
เจ้าหน้าที่ ฯลฯ สังคมได้กาหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไว้ตามครรลองของวัฒนธรรมขนบธรรมเนียม
ประเพณี
๖๔
๓.๑.๔ จุดมุ่งหมายของการพูด หมายถึง ความต้องการในเจตนาในการพูดท้ังของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น
เพ่ือสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อหาข้อมูลและวิธีการในการปฏิบัติ เพ่ือโน้มน้าวใจเพื่อให้เกิดการคล้อยตาม
เห็นด้วย เพอ่ื ให้เกิดความสบายใจ อบอนุ่ เพอ่ื ใหเ้ กดิ กาลงั ใจ ฮึกเหิม ฯลฯ
๓.๑.๕ เนื้อหาของการพูด หมายถึง สารที่ผู้พูดและผู้ฟังพูดโต้ตอบกันโดยอาศัยระบบสัญลักษณ์ทั้ง
อวัจนภาษาและวัจนภาษา เนื้อหาของการพูดควรจะมีความต่อเน่ือง ตอบได้ซ่ึงกันและกันระหว่างคู่สนทนา
หากเป็นการพูดต่อกลุ่มการพูดต่อสาธารณชนนอกจากความต่อเนื่องแล้ว ควรจะมีความกระจ่างชัดเจน
ความถูกต้องดา้ นการใชภ้ าษา เรยี งลาดับความไดด้ ี ฯลฯ
๓.๑.๖ โอกาส หมายถึง เหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ทาให้เกิดการพูดนั้น ๆ โดยมักจะเกี่ยวพัน
กับกาลเทศะ ซึ้งทาให้เกิดการพูดตามโอกาสข้ึน อันเป็นเร่ืองเฉพาะเจาะจงลงไป เชน่ การกล่าวอวยพรเนื่องใน
วันขึ้นปีใหม่ การกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวในงานสมรส การกล่าวขอบคุณวิทยากร การกล่าวแสดงความคิดเห็น
ในการพฒั นาการขายผลิตภัณฑ์ของบริษทั ฯลฯ
๓.๑.๗ มารยาท หมายถึง แนวทางในการออกแสดงของพฤติกรรมการพูด หรือกฎเกณฑ์
ขนบธรรมเนียม ตลอดจนคณุ ธรรมประจาใจทงั้ ของผู้พูดและผู้ฟัง เชน่ ในการกล่าวขอบคุณวิทยากร ซ่ึงเชิญมา
บรรยาย แม้ว่าการบรรยายจะน่าเบ่ือหน่ายอยู่บ้าง ผู้กล่าวขอบคุณก็ไม่ควนพูดกระทบกระเทีย บตาหนิ
เย้ยหยัน และสรุปจบลงด้วยคาขอบคุณอันไพเราะ เพราะจนแสดงถึงความไม่จริงใจของผู้พูดและถือว่าไม่
เหมาะสมวฒั นธรรมไทย เป็นตน้
องคป์ ระกอบท้ัง ๗ ประการนี้ จะเป็นต้นกาหนดลักษณะภาษาท่ีใชใ้ นการพดู ทุกระดับ การพูดในแต่ละ
สถานการณ์จะมคี วามแตกตา่ งกันออกไปกเ็ พราะความแตกตา่ งขององคป์ ระกอบเหลา่ น้ีน่นั เอง
๓.๒ แนวเนือ้ หาของการพูดในโอกาสต่าง ๆ
๓.๒.๑ การกล่าวคาแนะนา
ส่วนมากจะเป็นการกล่าวแนะนาผู้บรรยาย ผู้อภิปราย ผู้โต้วาทีหรือผู้เข้าสัมมนา เป็นต้น
ความมุ่งหมายของการแนะนาก็เพ่ือให้ผู้ฟังสนใจ “ผู้พดู ” และ “เรอ่ื งทจี่ ะพดู ” ซงึ้ มขี ึน้ ตอนในการแนะนา คอื
๓.๒.๑.๑ กลำ่ วทกั ทำยผูฟ้ งั เช่น ทำ่ นผฟู้ งั ทีเ่ คำรพ ทำ่ นผฟู้ ังที่รักทั้งหลำย ฯลฯ
๓.๒.๑.๒ เรียกร้องควำมสนใจ โดยกล่ำวย่อ เก่ียวกับตัวผู้พูด วุฒิทำงกำรศึกษำ (ถ้ำจำเป็น)
ตำแหนง่ ควำมสำมำรถและประสบกำรณใ์ นเรอื่ งที่จะพูด
๓.๒.๑.๓ เรียกร้องให้เกิดควำมสนใจในเร่ืองที่พูด กล่ำวส้ัน ๆ ถึงควำมสำคัญและ
ควำมเหมำะสมของเรอ่ื งท่ีจะพูด เร่งเรำ้ ให้ฟงั สนใจท่จี ะฟงั
๓.๒.๑.๔ ประกำศชื่อผพู้ ดู โดยเน้นเสยี งให้หนกั แน่นชดั เจน
๓.๒.๑.๕ พยำยำมแนะนำตัวปำกเปล่ำ ไม่ควรอ่ำนจำกเอกสำรท่ีเตรียมไว้ และไม่ควรท่องจำ
แต่แนะนำจำก “ควำมทรงจำ” เพ่อื แสดงให้เห็นวำ่ มีควำมสนใจอย่ำงจริงจงั ต่อผู้พดู
๖๕
๓.๒.๒ การแนะนาตนเอง จะต้องบอกรายละเอยี ดดงั นี้
๓.๒.๒.๑ คานา กล่าวทกั ทายผฟู้ งั เช่น “ทา่ นประธาน พธิ กี รและเพอื่ นสมาชิกทกุ ท่าน”
๓.๒.๒.๒ ชอ่ื -สกลุ
๓.๒.๒.๓ ถน่ิ กาเนิด
๓.๒.๒.๔ การศกึ ษา
๓.๒.๒.๕ ความรคู้ วามสามารถพิเศษ
๓.๒.๒.๖ งานอดเิ รก
๓.๒.๒.๗ หลักหรือแผนการดาเนนิ ชวี ิต
๓.๒.๒.๘ ท่อี ยู่ปจั จบุ ัน
ตัวอย่าง
“เรยี นอาจารย์ทเี่ คารพ สวัสดคี ่ะเพ่อื น ๆ ทกุ คน ดิฉัน ด.ญ. ............ เกดิ ที่จงั หวัดชยั ภูมิ ยา้ ยตาม
บดิ ามารดามาอยู่ทีจ่ ังหวดั นี้ได้ ๓ ปแี ลว้ ดิฉนั เปน็ บตุ รคนสุดทอ้ ง ดฉิ ันจบชน้ั ประถมปีท่ี ๖ จากโรงเรียนวดั น้อย
ในจังหวัดชัยภูมิ ดิฉันชอบเรยี นวชิ าศิลปะมาก เคยเขา้ ประกวดงานศิลปะนานาชาติได้รับรางวัลชนะเลศิ อันดับ
ที่ ๒ เม่ือดิฉันมเี วลาว่าง ดิฉนั จะวาดภาพและช่วยคณุ พ่อปลูกต้นไม้ ดิฉันคิดว่าถ้าดฉิ นั เรียนจบมธั ยมศกึ ษาตอน
ปลาย ดฉิ นั จะไปเรยี นต่อวิทยาลัยเพาะช่าง ในอนาคตดฉิ นั จะเป็นนักวาดภาพท่ีดีคะ่ ”
๓.๒.๓ การแนะนาผอู้ ่ืน มีหลกั การดงั นี้
๓.๒.๓.๑ แนะนาส้ัน ๆ
๓.๒.๓.๒ แนะนาเฉพาะสิ่งท่ีดี ไม่กล่าวเรื่องทไี่ มเ่ หมาะสม
๓.๒.๓.๓ ตอ้ งแนะนาใหส้ ุภาพบรุ ุษไดร้ จู้ ักกับสภุ าพสตรี
๓.๒.๓.๔ แนะนาผอู้ ่อนอาวโุ สให้รจู้ กั ผ้อู าวุโส
๓.๒.๓.๕ การแนะนาบุคคลต่อที่ประชุมหรอื ชุมชนต่าง ๆ ใหเ้ อ่ยถงึ กลุ่มชนกอ่ น
ตวั อยา่ ง
“ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผู้ที่จะพูดต่อไปนี้ คุณเย็นใจ รักฤดู ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบริษัทธนากร
พืชผลจากัด ท่านจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตทางด้านการตลาด
ท่านปฏิบัติงานด้วยความมานะ อุตสาหะ จนได้รับโล่เกียรติยศดีเด่นในด้านพนักงานผู้มีความขยันเป็นเลิศ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ จากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ท่านเคยไปศึกษาดูงานที่ประเท ศ
แคนนาดา สหรัฐอเมริกา รัสเซียเป็นประจา และในวันน้ีท่านสละเวลาอันมีค่าให้เกียรติมาบรรยาย
เรอื่ ง “แรงงานไทยคอื หัวใจของชาติ” ขอเชิญท่านรบั ฟังแนวคดิ ของท่านวทิ ยากรได้แล้วครับ”
๓.๒.๔ การกล่าวให้เกียรติหรือมอบรางวัล เมื่อมีการมอบทุน ให้รางวัล ให้เกียรติยศ หรือทาพิธี
ระลกึ ถึงคุณงามความดีแก่ผู้ใด มักจะมีการพดู เพ่อื ให้เกียรติแก่ผู้ไดร้ ับผล หรือเกียรตหิ รือเกยี รติแหง่ ความดีนั้น
ปกติจะพูดประมาณ ๒-๓ นาที มีหลกั เกณฑ์ ดังน้ี
๒.๑ กล่าวถึงเหตุผลในการมอบ โดยกล่าวถึงความสาเร็จ ความดีหรือความสามารถของผู้ได้รับว่า
สมควรจะไดร้ บั เกียรตนิ ้นั อย่างไร ควรเปน็ การพูดอยา่ งจรงิ ใจไม่เสแสร้ง
๒.๒ แสดงความพอใจในเกียรติที่มอบให้ และควรระบุให้ชัดว่าใครคือบุคคลท่ีได้รับเกียรตินี้
เพื่อเป็นการแสดงว่า ผู้ให้ตระหนักถึงคุณความดีน้ันอย่างแม้จริง และเพ่ือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติคุณแก่ผู้
ไดร้ บั รางวลั หรอื ของขวญั
๒.๓ มอบของขวัญหรือรางวัลเมื่อได้กล่าวต่อผู้ฟังจบแล้ว โดยหันไปพูดกับผู้รับโดยตรงด้วยเสียงท่ี
ดังพอได้ยนิ กนั ทวั่ พรอ้ มกบั มอบของขวัญหรอื ของรางวัลให้
๖๖
๓.๒.๕ การกล่าวตอบการให้เกียรติหรือมอบรางวัล ผู้ท่ีได้รับทุน รางวัลเกียรติคุณ หรือการแสดง
ความระลึกถงึ ความดี มักจะกล่าวตอบรบั ซง่ึ ควรพูดส้นั ๆ ให้สอดคลอ้ งกบั สภาพในขณะนน้ั โดยมแี นวทางดงั น้ี
๓.๒.๕.๑ แสดงความขอบคุณ แสดงความพอใจในของขวัญหรือรางวัลนั้นว่า นอกจากจะมี
ประโยชน์ในตัวของมนั เองแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์แหง่ น้าใจหรือความปรารถนาดีอนั สูงส่งใชภ้ าษาง่าย ๆ ชดั เจน
จริงใจ
๓.๒.๕.๒ ถอ่ มตวั และยกยอ่ งผรู้ ่วมงาน อยา่ โอ้อวดความสามารถของตนเกนิ ไป และไม่ควรถอ่ ม
ตนจนไรค้ วามหมาย ควรชมเชยผรู้ ่วมงานทีไ่ ดช้ ่วยเหลือเปน็ ผลสาเร็จ
๓.๒.๕.๓ สรรเสริญผู้ให้ของขวัญหรือรางวัลด้วยความสุจริตใจ กล่าวถึงผลงานและ
ความปรารถนาดี
๓.๒.๕.๔ กล่าวสรุป โดยเน้นถึงความพึงพอใจที่ได้รับของขวัญหรือของรางวัล ในขณะท่ีกล่าว
ควรมองไปยงั ของขวญั หรือรางวลั ดว้ ย
๓.๒.๖ การกล่าวต้อนรับ ในกรณที ่ีมบี ุคคลสาคญั หรือคณะบุคคลมาประชุมกันหรือมาเยยี่ มเยียนอาจ
มีการกลา่ วตอ้ นรับ เพอื่ แสดงความปรารถนาดีและใหผ้ ู้มาเยือนร้สู ึกอบอ่นุ ใจ การพดู ไม่ควรยาวนกั มีการเตรียม
ลว่ งหน้าเปน็ อย่างดี มีแนวทาง ดงั น้ี
๓.๒.๖.๑ กลา่ วแสดงความยินดีแก่ผู้มาเยือน
๓.๒.๖.๒ กลา่ วสรรเสริญหรือยกย่องผมู้ าเยอื น เช่น เป็นใคร มีผลงานดเี ด่นอะไร มีความสัมพนั ธ์
อยา่ งไรกับผู้ตอ้ นรับ โดยการอธิบายหน่วยงานหรืองานอย่างย่อ ๆ
๓.๒.๖.๓ แสดงความยนิ ดีทีไ่ ดใ้ ห้การตอ้ นรบั ควรกลา่ วเพยี งสน้ั ๆ ย้าการตอ้ นรบั อกี ครั้งหนง่ึ
๓.๒.๖.๔ ขออภยั หากมีสิ่งใดบกพรอ่ งไป และหวงั ว่าผ้มู าเยือนจะกลับมาเยอื นอีก
๓.๒.๗ กำรกล่ำวตอบกำรต้อนรับ เม่ือมีกำรกล่ำวต้อนรับ ควรมีกำรกล่ำวขอบคุณอย่ำงสั้น ๆ ให้
สอดคล้องกับกำรพูดต้อนรับน้ัน ๆ ส่วนมำกต้องพูดฉับพลัน เพ่ือควำมไม่ประมำท ควรเตรียมแนวทำงกำรพูด
ไว้ล่วงหน้ำดังน้ี
๓.๒.๗.๑ แสดงควำมยนิ ดที ่ไี ดม้ ำเยือน
๓.๒.๗.๒ แสดงควำมขอบคณุ อยำ่ งจริงใจต่อเกยี รติท่ไี ด้รับ
๓.๒.๗.๓ กล่ำวอย่ำสรรเสริญฝ่ำยที่ให้กำรต้อนรับ เช่น กล่ำวถึงช่ือเสียงขององค์กำรหรือคุณ
งำมควำมดีของสถำบนั นัน้ ๆ
๓.๓.๒.๗.๔ กลำ่ วเชื้อเชญิ ผู้ตอ้ นรบั ไปเยอื นตนบ้ำง
๓.๒.๘ การกลา่ วขอบคุณ ใช้ในโอกาสท่ีมีผู้ช่วยเหลือหรือมบี ุญคุณแกเ่ รา โดยใช้
ขอบใจ ใช้กบั คนที่มีอายนุ ้อยกวา่
ขอบคณุ ใช้กบั คนทเ่ี สมอกันหรือผ้ทู ี่อาวโุ สกวา่
ขอบพระคณุ ใช้กบั คนที่ต้องการยกย่องหรอื ผู้ท่ีเคารพมาก เช่น
“ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งท่ีได้ให้ความรัก ความอนุเคราะห์
ดิฉนั มาโดยตลอด ดิฉันขอกราบขอบพระคณุ อาจารยท์ ดี่ ิฉันรกั ประดุจแม่คะ่ ขอบพระคณุ คะ่ ”
๖๗
๓.๒.๙ การกล่าวในการเข้ารับตาแหน่ง ผู้ท่ีได้รับตาแหน่งใหม่ โดยเฉพาะผู้ท่ีเป็นหัวหน้าควรจะ
เรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาประชุมกัน เพ่ือแถลงนโยบายและแผนการดาเนินงาน ตลอดจนความรู้ความคิดของ
ผรู้ ับตาแหนง่ ใหม่ มแี นวทางการกล่าวดังนี้
๓.๒.๙.๑ กลา่ วยนิ ดที ไี่ ดร้ บั โอกาสทางานร่วมกับผูใ้ ตบ้ ังคับบญั ชา
๓.๒.๙.๒ กล่าวยกย่อง หรือคุณคา่ ของสถาบันของสถานท่ีทีต่ นทางาน
๓.๒.๙.๓ กล่าวถงึ หลกั การ นโยบาย อุดมคติในการทางานของตน
๓.๒.๙.๔ พูดให้สาคัญแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และเชิญชวนให้มาร่วมใจในการทางานเพ่ือ
ความก้าวหน้า ของหนว่ ยงาน
๓.๒.๑๐ การกล่าวอวยพร เป็นการแสดงความยินดีแก่งานมงคล เช่น งานมงคลสมรส งานวันเกิด
งานปีใหมง่ านฉลลองการเล่อื นยศ เป็นต้น
๓.๒.๑๐.๑ งานมงคลสมรส ผไู้ ดร้ บั เชิญให้พดู ควรใชแ้ นวทางการพูดดังนี้
๑) รู้สกึ เป็นเกียรติที่ได้รับเชญิ มากลา่ วอวยพร
๒) กล่ำวถึงควำมสัมพันธ์ของผูพ้ ูดกับค่สู มรสฝ่ำยใดฝ่ำยหน่งึ หรอื ทั้งสองฝำ่ ย โดย
เนน้ ควำมดขี องค่สู มรส
๓) กลา่ วแสดงความยินดที ท่ี ้ังสองได้สมรสกัน และเป็นคคู่ รองทเ่ี หมาะสม
๔) กลา่ วให้ขอ้ คิดในการครองเรือนแกค่ ่สู มรส
๕) กล่าวคาอวยพรโดยการชกั ชวนใหด้ ม่ื แสดงความยนิ ดี
๓.๒.๑๐.๒ งานวันเกิด
๑) กล่าวแสดงความยนิ ดที ี่ไดร้ บั เกียรตใิ ห้ขน้ึ มาพดู กลา่ วอวยพร
๒) กลา่ วถึงความสัมพนั ธข์ องผู้พดู ต่อเจ้าภาพ
๓) กลา่ วถึงคณุ ความดี และเกยี รตคิ ณุ หรอื ผลงานเด่น ๆ ของเจ้าภาพ
๔) กล่าวอวยพรให้เจ้าภาพมีอายุยืนนาน มีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ
ข้ึนไป
๓.๒.๑๑ การกล่าวตอบคาอวยพร ผู้ที่ได้รับการอวยพรควรจะกล่าวตอบขอบคุณ เพ่ือแสดงมารยาท
อนั ดีงามและน้อมรบั คาอวยพรนั้น มีแนวทางกลา่ วกวา้ ง ๆ ดังน้ี
๓.๒.๑๑.๑ ขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานทุกคน และซาบซ้ึงท่ีได้ให้เกียรติมาในงานคร้ังน้ี และ
ขอบคณุ ผูม้ ีส่วนร่วมในการจดั งาน
๓.๒.๑๑.๒ กล่าวขออภัย หากมีสิง่ ใดบกพร่อง
๓.๒.๑๑.๓ กลา่ วขอให้ร่วมสนกุ ในงานตอ่ ไป
๓.๒.๑๒ การกล่าวไว้อาลัย กรกล่าวไว้อาลัยมีหลายอย่าง เช่น ไว้อาลัยผู้ตาย ไว้อาลัยผู้ท่ีย้ายไปรับ
ตาแหน่งใหม่ หรอื ไปศึกษาตอ่ เปน็ ต้น การกล่าวไวอ้ าลยั ผตู้ ายหรือในงานศพ ควรยดึ แนวดังน้ี
๓.๒.๑๒.๑ กล่าวแสดงความเสียใจแกค่ รอบครวั ผู้เสียชวี ติ
๓.๒.๑๒.๒ สรรเสรญิ ผ้เู สยี ชีวติ โดยบอกเล่าถงึ ประวตั ิ ผลงานดเี ดน่ คุณความดี
๓.๒.๑๒.๓ ความอาลยั ของผอู้ ย่เู บ้ืองหลัง ท่ีตอ้ งสูญเสียบคุ คลอันเป็นทรี่ กั ไป
๓.๒.๑๒.๔ แสดงความหวังว่าวญิ ญาณของผู้ตายคงไปสสู่ คุ ติ
๖๘
๓.๒.๑๓ การกลา่ วแสดงความเสียใจผทู้ ี่ย้ายไปรบั ตาแหน่งใหม่ แนวทางการกล่าวมีดังน้ี
๓.๒.๑๓.๑ กล่าวแสดงความอาลัยท่ีต้องจากไป หลังจากได้ร่วมทางานกันจนคุ้นเคยรักใคร่
กัน แตก่ ็ดีใจท่เี ขาไดเ้ ล่ือนตาแหนง่ และมอี นาคตสดใสรุ่งโรจนด์ ีขึน้
๓.๒.๑๓.๒ สรรเสริญยกย่องคุณความดขี องบคุ คลทจี่ ากไป
๓.๒.๑๓.๓ กล่าวอวยพรใหแ้ ก่ผทู้ ่ีจากไป ใหเ้ ขาประสบความสาเร็จในตาแหน่งใหม่
๓.๒.๑๔ การกล่าวอาลา ในกรณีทต่ี อ้ งจากถ่ินทเ่ี คยอยู่มานาน เพือ่ ไปประกอบธรุ กิจ รับราชการ หรือ
ไปประจา ณ สถานท่ีอื่น ถ้ามีการจัดเลี้ยงส่งและมีการมอบของขวัญที่ระลึก ควรมีการพูดขอบคุณท่ีได้รับ
ของขวัญน้ี และกลา่ วคาอาลา แนวทางการกล่าวดังน้ี
๓.๒.๑๕.๑ แสดงความเสียใจท่ีต้องจากไป กลา่ วให้ทราบว่าทาไมจงึ ไม่อยากจากไป ความสุข
ท่ีได้รับและความคุ้นเคยท่ีมีกับบุคคลต่าง ๆ ในที่ทางานเดิม เล่าถึงเหตุการณ์ท่ีประทับใจในระหว่างที่ได้อยู่มา
นานและการระลกึ ถงึ ความภูมใิ จตลอดไป
๓.๒.๑๕.๒ สรรเสริญคณะผูจ้ ดั ทาหรือร่วมเลีย้ งส่งจากใจจรงิ
๓.๒.๑๕.๓ คาดหมายความสัมพนั ธ์อันแน่นแฟ้นที่จะยงั คงมีตลอดไปโดยแสดงคามมั่นใจว่าแม้
จะออกไปแต่ความสัมพันธ์ที่ดียังคงไม่มีวันจางหาย หากผู้รับคากล่าวไปสถานท่ีท่ีจะไปอยู่ใหม่ ขอให้แวะเย่ียม
เยยี น
๓.๒.๑๕.๔ กล่าวสรุปโดยกล่าวคาอาลาและอวยพร ควรพูดให้ส้ัน ขอลาท่านท้ังหลายไปก่อน
ขอให้ท่านจงมคี วามสุขความเจริญ
๔. การจดั การเรียนการสอน เร่ือง การพดู โน้มนา้ วใจ
กำรพูดโน้มน้ำวใจเป็นกำรใช้ภำษำเพ่ือส่ือสำรประเภทหนึ่ง คือกำรใช้คำพูดเพ่ือเปล่ียนควำมเช่ือ ทัศนคติ
ค่ำนิยมและกำรกระทำของบคุ คลอื่น ให้เกิดควำมสนใจและคิดเห็นคล้อยตำมยอมเปลี่ยนควำมคิด ควำมเช่ือท่ี
มตี อ่ เร่ืองใดเร่อื งหน่ึงตำมที่ผูโ้ นม้ นำ้ วใจประสงค์
๔.๑ ความหมายของการพดู โน้มน้าวใจ
การพูดโน้มน้าวใจ หมายถึง การพูดสื่อสารอย่างหน่ึงโดยการใช้ความพยายามเปล่ียนความเชื่อ
ทัศนคติ ค่านิยม และการกระทาของบุคคลอื่น โดยใช้กลวิธีท่ีเหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลจนเกิด
การยอมรบั และยอมเปลยี่ นตามที่ผ้โู นม้ น้าวใจประสงค์
๔.๒ จุดมุ่งหมายของการพดู โน้มน้าวใจ
๔.๒.๑ โน้มนำ้ วใจเพอ่ื ให้เหน็ คล้อยตำม
๔.๒.๒ โน้มน้ำวใจใหเ้ กดิ กำรกระทำหรอื เปลี่ยนกำรกระทำ
๔.๒.๓ โนม้ น้ำวใจเพอ่ื กระต้นุ หรือเร้ำควำมรูส้ ึก
๖๙
๔.๓ กลวธิ ีกำรโนม้ น้ำวใจ
๔.๓.๑ แสดงใหเ้ ห็นควำมหนักแนน่ ของเหตุผล กำรแสดงเหตุผลเปน็ สว่ นหนึ่งในกำรจูงใจ ซงึ่ สำมำรถ
ดึงดูดควำมสนใจ ทำให้เกิดควำมเช่อื ถือและคล้อยตำมได้ กำรให้เหตุผลจะต้องสมเหตุสมผล
๔.๓.๒ เร้ำให้เกิดควำมรู้สึกหรืออำรมณ์ร่วมกัน บุคคลที่มีควำมรู้สึกหรือมีอำรมณ์ร่วมกัน เป็น
แรงผลักดันสำคญั ของมนุษย์ทีจ่ ะนำไปสู่เปำ้ หมำยหรือประสบผลสำเร็จรว่ มกัน
๔.๓.๓ แสดงให้เห็นถึงควำมน่ำเช่ือถือของผู้โน้มน้ำวใจ บุคลิกภำพหรือชอื่ เสยี งของผู้พูดเป็นเครื่องมือ
หนง่ึ ทท่ี ำให้กำรโนม้ นำ้ วใจสัมฤทธิ์ผล
๔.๓.๔ เสนอแนะเพื่อโน้มน้ำวใจ กำรโน้มน้ำวใจโดยกำรเสนอแนะเป็นกำรเปิดโอกำสให้ผู้ฟัง ผู้อ่ำน
ใชค้ วำมคดิ กอ่ นท่จี ะเชื่อถือหรือกระทำตำม
๔.๔ กำรโนม้ น้ำวใจจะประสบควำมสำเรจ็ ต้องประกอบดว้ ยส่ิงต่ำง ๆ ดังต่อไปนี
๔.๔.๑ กำรทำใหเ้ ป็นส่วนหน่งึ ของผู้ฟงั
๔.๔.๒ กำรเสนอสง่ิ ทต่ี รงกบั ควำมตอ้ งกำร
๔.๔.๓ บุคลิกและทัศนคติของผ้โู นม้ นำ้ วใจท่ีมีผลตอ่ ปฏกิ ริ ิยำของผู้ถูกโนม้ น้ำวใจ
๔.๕ ข้อพงึ ระวงั ในกำรโนม้ น้ำวใจ
๔.๕.๑ กำรโน้มน้ำวใจมิใช่กำรกระทำให้มนุษย์เปลี่ยนควำมรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมด้วยวิธีขู่เข็ญ
คกุ คำม หลอกลวง
๔.๕.๒ กำรโน้มน้ำวใจมิใช่พฤติกรรมที่ดีหรือเลว แต่เป็นพฤติกรรมกลำง ๆ ข้ึนอยู่กับเจตนำท่ีอยู่
เบอื้ งหลงั
๔.๕.๓ กำรโน้มน้ำวใจเป็นกำรกระทำทมี่ จี ุดมงุ่ หมำยเสมอและตอ้ งใช้กลวธิ ที ำให้เกิดผลสมั ฤทธิ์
๔.๕.๕ กำรเรียนรกู้ ลวธิ ีกำรโนม้ นำ้ วใจต้องมคี วำมรบั ผดิ ชอบทำงจรยิ ธรรมควบคไู่ ปด้วยเสมอ
๔.๖ ภำษำเพอ่ื กำรโน้มนำ้ วใจ
๔.๖.๑ ผโู้ น้มนำ้ วใจควรใช้ภำษำที่มนี ้ำเสียงในเชิงเสนอแนะ ขอรอ้ ง วิงวอน เร้ำใจ โดยคำนึงถงึ จังหวะ
และควำมนมุ่ นวล
๔.๖.๒ ผู้พูดต้องหำวิธีโน้มน้ำวใจคนฟังให้เอนเอียงมำฝ่ำยตน ให้ผู้ฟังเกิดศรัทธำ ไม่ควรใช้คำพูดและ
น้ำเสียงเด็ดขำด แข็งกระด้ำง หรือกล่ำวตรงไปตรงมำในเชิงตำหนิ ไม่ควรใช้น้ำเสียงในลักษณะของคำสั่ง
หรอื กำรแสดงอำนำจซึง่ จะกระทบกระเทือนใจผรู้ ับสำร ทำให้กำรโนม้ นำ้ วใจไม่บรรลุผลตำมตอ้ งกำร
๗๐
๔.๗ วธิ กี ำรพูดเพือ่ โน้มนำ้ วใจ
กำรพดู โน้มน้ำวใจที่ดปี ระกอบด้วยลกั ษณะดังน้ี
๔.๗.๑. ผฟู้ งั เกดิ ควำมเลอ่ื มใสศรัทธำในตวั ผู้พูด
๔.๗.๒. ผฟู้ ังเกดิ ควำมสนใจ
๔.๗.๒.๑ ผพู้ ดู จะตอ้ งสร้ำงควำมพอใจใหแ้ กผ่ ้ฟู งั
๔.๗.๒.๒ สร้ำงควำมไวว้ ำงใจให้แกผ่ ฟู้ ัง
๔.๗.๒.๓ สรำ้ งควำมเช่อื ม่ัน ผพู้ ูดอำจยกตวั อย่ำง เหตผุ ล ข้อเท็จจริง ข้อโตแ้ ย้งตำ่ ง ๆ ขน้ึ มำ
อำ้ งองิ เพ่อื ใหผ้ ฟู้ ังเห็นด้วย ซ่ึงมโี อกำสที่จะชักชวนได้สำเร็จ
๔.๗.๓ กำรเร้ำหรือกำรกระตนุ้ ให้ผฟู้ งั ลงมอื กระทำ
๔.๘ ขนั ตอนกำรเตรียมกำรพูดเพื่อโนม้ น้ำวใจ
๔.๘.๑ ขน้ั กำหนดหัวขอ้ เรอ่ื ง
๔.๘.๒ ขนั้ เขียนโครงรำ่ ง หรือโครงเรอ่ื ง
๔.๘.๓ ขน้ั ศึกษำคน้ คว้ำ
๔.๘.๔ ขัน้ จัดเนื้อเรือ่ ง
๔.๘.๕ ข้นั เขยี นตน้ ฉบบั
๔.๘.๖ ขั้นฝึกซ้อมพดู
๕. กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนวรรณคดี เรื่อง อศิ รญำณภำษิต
อิศรญาณภาษิต หรือ เพลงยาวอิศรญาณ คือ ผลงานการนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณ เพื่อสะท้อน
ความคิดเห็นท่ีมีต่อสังคมในยุคนั้น พร้อมเสนอแนวทางปฏิบัติตนแต่ไม่ถึงขั้นสอน นักเรียนจึงควรเรียนรู้
การวิเคราะห์วถี ีไทย และคณุ คา่ ทางด้านสงั คม รวมถึงการนาแนวทางปฏบิ ัติจากวรรณคดีเร่ืองอิศรญาณภาษิต
มาประยกุ ต์ใชใ้ นการดารงชวี ติ ในประจาวนั เพื่อให้สามารถดาเนนิ ชีวิตได้อย่างรอบคอบและมีความสุข
๕.๑ ประวตั ิผู้แตง่
หม่อมเจ้ำอิศรญำณ มหำกุล (พ.ศ. 2367 - 15 พฤษภำคม พ.ศ. 2423) เป็นโอรสในพระเจ้ำบรม
วงศ์เธอ กรมหลวงมหิศวรินทรำมเรศร์ พระองค์ผนวชที่วัดบวรนเิ วศวหิ ำร สมณฉำยำขณะผนวชคอื หม่อมเจ้ำ
อิศรญำณ อิสสรญำโน มีพระชนม์ชีพอยู่ในช่วงรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว เล่ำกันว่ำคร้ัง
หน่ึงพระองค์มีพฤติกรรมแปลกประหลำด ทำให้ถูกใคร ๆ มองว่ำสติไม่ดี ด้วยควำมน้อยพระทัยของหม่อมเจ้ำ
อศิ รญำณจึงทรงนิพนธ์เพลงยำวอิศรญำณข้ึนในเชงิ ประชด เสยี ดสีสังคม
หม่อมเจ้ำอิศรญำณ ส้ินชีพิตักษัยเม่ือวันที่ 15 พฤษภำคม พ.ศ. 2423 ในรัชสมัยพระบำทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว โดยพระองค์ทรงแต่งเรื่อง อิศรญำณภำษิต ในขณะระหว่ำงผนวช โดยแต่งเป็น
กลอนยำวจำนวน 52 คำกลอน
๗๑
๕.๒ ลกั ษณะคาประพนั ธ์
กลอนเพลงยำว ซึ่งข้ึนต้นด้วยวรรคสดับ(มีชื่อเรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำเพลงยำวอิศรญำณหรือภำษิต
อิศรญำณ)
๕.๓ จุดมุ่งหมำยในกำรแต่ง
เพ่อื ส่งั สอนเตือนใจใหฉ้ กุ คิด ก่อนทีจ่ ะทำสงิ่ ใดและสอนเก่ยี วกับกำรปฏบิ ัติตนต่อผ้อู ื่นในสงั คมเพ่อื ให้
อยู่ร่วมกนั อยำ่ งมีควำมสขุ
๕.๔ เนอื เรือ่ ง
อศิ รญำณภำษิตมีเน้ือหำท่ีเป็นคำสัง่ สอนแบบเตือนสติ และแนะนำเก่ียวกับกำรประพฤติปฏบิ ัติให้เป็นท่ี
พอใจของผู้อ่ืน โดยเฉพำะผู้ที่มีอำนำจมำกกว่ำ สอนว่ำควรจะทำอย่ำงไรจึงจะอยู่ในสังคมได้โดยปรำศจำกภัย
แก่ตน ทำอย่ำงไรจึงจะประสบควำมสำเร็จสมหวังบำงตอนก็เน้นเรื่องกำรเห็นคุณค่ำและควำมสำคัญของผู้อ่ืน
โดยไม่สบประมำทหรือดูแคลนกัน โดยทั้งนี้กำรสอนบำงคร้ังอำจเป็นกำรบอกตรงๆ หรือบำงครั้งก็สอนโดยคำ
ประชดประชันเหน็บแนม เน้ือหำส่วนใหญ่จะสั่งสอนให้คนมีปัญญำ ไม่หลงใหลกับคำเยินยอ สอนให้รู้จักคิด
ไตร่ตรองกอ่ นพูด รูจ้ ักเคำรพผู้อำวุโส รู้จกั ทำตำมท่ผี ู้ใหญแ่ นะนำรู้จักกตัญญผู ู้ใหญ่
แปลอศิ รญำณภำษิต
๕.๕ กำรแปลเนอื ควำม
เน้ือหำโดยรวมของอิศรญำณภำษิตเป็นกำรสอนและเตือนสติผู้อ่ำนเก่ียวกับกำรประพฤติปฏิบัติตัวเม่ือ
อยู่ร่วมกับคนท่ีมีอำนำจมำกกว่ำ หรือผู้ที่อำวุโสกว่ำ โดยไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ท้ังเร่ืองกำรวำงตัว กำรมีสติ
คิดไตร่ตรองก่อนลงมอื ทำ และกำรเคำรพผใู้ หญ่ อย่ำงไรก็ตำมกำรสอนเหล่ำน้ี อยใู่ นบรบิ ทของยุคสมัยรัชกำลท่ี
4 บำงอย่ำงอำจจะยังนำมำปรับใช้กับชีวิตในปัจจุบันได้เหมือนเดิม แต่บำงอย่ำงอำจจะต้องพิจำรณำบริบทใน
ยุคปัจจบุ ันเพ่มิ เติม
บทที่ ๑
อศิ รญำณชำญกลอนอักษรสำร
เทศนำคำไทยให้เป็นทำน โดยตำนำนศภุ อรรถสวสั ดี
คำศัพทท์ ่ีนำ่ สนใจ
ชำญ หมำยถึง เชี่ยวชำญ
เทศนำ หมำยถึง สอน
ตำนำน หมำยถงึ คำโบรำณ
ศุภอรรถ หมำยถึง ถ้อยคำที่ดี
แปลควำมหมำย
ท่อนน้ีเป็นกำรเกริ่นว่ำ หม่อมเจ้ำอิศรญำณเช่ียวชำญด้ำนกำรแต่งกลอน จึงได้นำคำสอน
โบรำณและถ้อยคำท่ดี มี ำประพันธ์เป็นคำสอนเตือนใจ มอบให้ไวเ้ ปน็ ทำน
๗๒
บทที่ ๒
“..สำหรบั คนเจอื จติ จริตเขลำ ดว้ ยมัวเมำโมหม์ ำกในซำกผี
ต้องหำมำ้ มโนมัยใหญย่ ำวรี สำหรับข่เี ปน็ มำ้ อำชำไนย..”
คำศัพทท์ น่ี ่ำสนใจ
เจือ หมำยถึง ผสม
โมห์ หมำยถึง ควำมลมุ่ หลง
มำ้ มโนมยั หมำยถึง มำ้ ท่ีขบั ขี่ได้รวดเร็วด่ังใจ (มำจำกคำวำ่ มโน = ใจ และ มย =
ควำมสำเรจ็ )
ม้ำอำชำไนย หมำยถงึ มำ้ ที่ได้รบั กำรฝกึ มำดี
แปลควำมหมำย
ในบทน้ีเริ่มด้วยเร่ืองกำรฝึกจิต โดยเปรียบเทียบม้ำ เหมือนพำหนะหรือหนทำงฝึกจิตใจของ
คนเรำ ซึง่ แปลควำมหมำยได้วำ่ คนทมี่ ีควำมประพฤติโง่เขลำ เพรำะลุ่มหลงยึดติดกบั กเิ ลสตัณหำ (ในทนี่ เี้ ปรียบ
เหมอื นซำกผี) เลยต้องรู้จักหำวิธีฝกึ จิตใจใหท้ ันกิเลสอย่ำงรวดเรว็ เหมือนม้ำมโนมัย เมื่อเท่ำทันกิเลสแล้ว จติ ใจ
ทไี่ ด้รบั กำรฝกึ ฝนแล้วนั้นเปรียบเสมือนม้ำอำชำไนยทไี่ ด้รับกำรฝึกมำอย่ำงดี
บทที่ ๓
“…ชำยขำ้ วเปลอื กหญิงข้ำวสำรโบรำณวำ่ นำ้ พึ่งเรอื เสอื พึ่งป่ำอัชฌำสัย
เรำก็จติ คิดดูเล่ำเขำก็ใจ รักกนั ไว้ดีกว่ำชงั ระวงั กำร…”
คำศัพทท์ น่ี ่ำสนใจ
อชั ฌำสัย หมำยถึง ควำมมนี ำ้ ใจเกื้อกลู กนั
แปลควำมหมำย
โบรำณกล่ำวไว้ว่ำ ชำยเปรียบเสมือนข้ำวเปลือก หญงิ เปรียบเสมือนข้ำวสำร ซ่งึ เป็นกำรสอน
ให้ผู้หญิงรู้จักรักนวลสงวนตัว เพรำะผู้หญิงคล้ำยกับข้ำวสำรที่ผ่ำนกำรขัดสีพร้อมท่ีจะนำไปหุงอย่ำงเดียว
ไม่สำมำรถนำมำปลูกใหม่ได้อีก ขณะที่ผู้ชำยเปรียบเสมือนข้ำวเปลือกที่สำมำรถนำไปเพำะปลูกและเจริญงอก
งำมใหม่ได้เรื่อย ๆ ซึ่งท้ังชำยและหญิงต่ำงก็ต้องช่วยเหลือเก้ือกูลกัน เหมือนกับสำนวน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ำ
และตอ้ งนึกถึงใจเขำใจเรำ รักกันไว้กอ่ นจะดีกวำ่ กำรเกลียดชงั กนั
สำนวนสภุ ำษติ ท่ีปรำกฏ
ชำยข้ำวเปลือกหญิงข้ำวสำร หมำยถึง กำรเปรียบเทียบควำมแตกต่ำงระหว่ำงชำยหญิงใน
สังคมไทย ซึ่งสอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว โดยผู้ชำยเปรียบเหมือนข้ำวเปลือกที่สำมำรถนำไปหว่ำนหรือ
เพำะปลูก งอกใหม่ได้อีก ส่วนผู้หญิงเปรียบเหมือนข้ำวสำรคือผ่ำนกำรขัดสีแล้วพร้อมท่ีจะนำไปหุงไม่สำมำรถ
นำไปปลกู ไดอ้ กี
นำ้ พ่งึ เรือเสือพึ่งป่ำ หมำยถงึ กำรพ่งึ พำอำศยั กนั เอ้ือประโยชนแ์ กก่ นั
มติ รจิตรมติ รใจ หมำยถึง ถ้อยทีถ้อยอำศัยกัน
๗๓
บทที่ ๔
“…ผู้ใดดดี ตี ่ออย่ำกอ่ กจิ ผู้ใดผิดผ่อนพักอยำ่ หักหำญ
สิบดีก็ไม่ถงึ กบั กง่ึ พำล เป็นชำยชำญอย่ำเพ่อคำดประมำทชำย…”
คำศัพท์ทีน่ ำ่ สนใจ
หกั หำญ หมำยถงึ กำรบังคบั โดยใชก้ ำลงั หรืออำนำจ
อย่ำเพ่อ หมำยถึง ห้ำมไมใ่ ห้กระทำ
แปลควำมหมำย
บทนี้พูดถึงเรอื่ งกำรทำควำมดี คอื คนดีมำเรำก็ดตี อบ แตถ่ ้ำรำ้ ยมำเรำไม่จำเป็นต้องร้ำยตอบ
แต่ควรให้อภัยกันและกันแทน ซึ่งกำรทำควำมดีนั้น ต่อให้ทำมำสิบคร้ัง พอผิดครั้งเดียวคนก็ลืมควำมดีท่ีทำมำ
ท้ังหมดได้ ดังนนั้ มนษุ ยจ์ งึ ไมค่ วรประมำท และไมค่ วรดหู มน่ิ ผู้อ่ืน
สำนวนสุภำษติ ที่ปรำกฏ
คนล้มอยำ่ ขำ้ ม หมำยถึง คนที่ตกตำ่ ไมค่ วรลบหลดู่ ูถูก เพรำะอำจจะกลับมำเฟื่องฟไู ด้อกี
บทท่ี ๕
“…รักส้ันน้นั ใหร้ อู้ ยเู่ พียงส้ัน รักยำวน้ันอยำ่ ใหเ้ ยิน่ เกนิ กฎหมำย
มิใช่ตำยแตเ่ ขำเรำกต็ ำย แหงนดฟู ำ้ อย่ำให้อำยแก่เทวดำ…”
คำศพั ท์ทน่ี ำ่ สนใจ
เย่นิ หมำยถงึ ยำว หรอื นำนออกไป
แปลควำมหมำย
บทน้ีพูดถึงกำรทำให้ควำมรักควำมสัมพันธ์เป็นไปอย่ำงยำวนำน ต้องอำศัยกำรทำดีต่อกัน
อย่ำงสม่ำเสมอ และไม่ทำอะไรเกินขอบเขตกฎหมำย ยังไงเรำทุกคนก็ต้องตำย ทำควำมดีไว้ก่อนดกี ว่ำจะได้ไม่
อำยเทวดำที่อยูบ่ นสวรรค์
สำนวนสภุ ำษิตทปี่ รำกฏ
รักยำวให้บ่ันรักส้ันให้ต่อ หมำยถึง รักท่ีจะมีมิตรไมตรีต่อกันต้องตัดสิ่งท่ีไม่ดีออก อย่ำไปพูด
ถงึ แต่ถำ้ จะคบกันในเวลำส้ัน ๆ ใหพ้ ดู ตอ่ ปำกต่อคำ ในที่นต้ี ้องกำรเฉพำะส่วนแรกคอื ตัดสิ่งทไี่ ม่ดีออกไปรักยำว
ให้บ่ัน รักสั้นให้ต่อ ..เป็นสำนวนเก่ำที่ประกอบด้วยคำชวนให้สงสัย คือคำที่มีควำมหมำยขัดกันอยู่ ด้วยวรรค
แรกส่ือควำมหมำยว่ำ ชอบทำงยำวแต่ให้บ่ัน คือตัดหรือทอนออกเสีย วรรคหลังบ่งว่ำ ชอบทำงสั้น แต่กลับให้
ต่อคือเพ่ิมออกไป กำรเรียบเรียงข้อควำมโดยใช้คำท่ีมีควำมหมำยขัดกันนั้น ในทำงภำษำถือเป็นกลวิธีอย่ำง
หน่งึ ทที่ ำใหป้ ระโยคมีนำ้ หนัก ชว่ ยใหเ้ กิดรสสะดุดใจนำ่ ฟัง
รกั ยำว คือ ต้องกำรให้เร่อื งเป็นไปโดยรำบร่ืน ไม่ตดิ ขัด ไมส่ ะดุดจะเป็นกำรดำเนนิ ธรุ กจิ กำรคบ
เพ่ือน กำรปฏบิ ัตงิ ำน หรอื เร่ืองอะไรกต็ ำม
ใหบ้ ่นั คอื ให้ตดั หรือทอนส่วนทขี่ ดั ข้อง ควำมกินแหนงแคลงใจเร่อื งเล็กน้อยนัน้ เสีย ไมต่ อ้ งถือ เปน็
อำรมณ์
รักสนั คอื ตอ้ งกำรให้เร่อื งส้ินสุดแค่นั้น แตกหักหรือดำเนินตอ่ ไม่ได้
๗๔
ให้ต่อ คือ ใหต้ ่อควำมยำวสำวควำมยดื ต่อไป ให้นำมำพิจำรณำให้ถกเถียง ให้ถือเอำ ให้วำ่ กนั ตอ่ ไป
หำกรักจะคบกนั ตอ่ ไป กใ็ หต้ ัดเรือ่ งรำวนั้นเสยี โดยไมถ่ ือโทษโกรธเคอื งไมโ่ ตเ้ ถียงเป็นตน้ ลักษณะนคี้ ือ รักยำว
ใหบ้ ั่น แตห่ ำกรกั ทำงส้นั ไม่ต้องกำรคบกนั อกี ต้องกำรให้แตกหักกันเลยก็ให้ต่อเรอ่ื งออกไป ลกั ษณะน้คี ือ รัก
ส้ันใหต้ ่อ
บทท่ี ๖
“…อยำ่ ดูถูกบุญกรรมว่ำทำน้อย น้ำตำลย้อยมำกเม่ือไรได้หนกั หนำ
อยำ่ นอนเปล่ำเอำกระจกยกออกมำ ส่องดหู นำ้ เสยี ทีหน่ึงแล้วจงึ นอน…”
แปลควำมหมำย
บทนพ้ี ดู ถงึ กำรทำบุญทแี่ ม้จะทำเพียงเล็กนอ้ ย แต่ถ้ำทำอย่ำงสม่ำเสมอก็กลำยเปน็ กศุ ลผลบุญ
ย่ิงใหญ่ได้เหมือนกัน คล้ำยกับกำรปำดน้ำตำลที่แม้จะไหลออกมำเพียงเล็กน้อย แต่หำกเวลำผ่ำนไป น้ำตำลก็
สำมำรถจะเพ่ิมจำนวนขนึ้ มำกเรอ่ื ย ๆ ได้เชน่ กนั
ส่วนวรรคท่ีบอกว่ำ ‘อย่ำนอนเปล่ำเอำกระจกยกออกมำ’ ไม่ได้หมำยถึงกำรส่องกระจกเช็ค
หน้ำผมแต่อย่ำงใด แต่สื่อถึงกำรสำรวจสภำพร่ำงกำย จิตใจ และกำรกระทำของตัวเองในแต่ละวัน คล้ำยกับ
กำรเตือนใจให้ผคู้ นมสี ติหม่ันทบทวนตวั เองในทกุ ๆ วันน่ันเอง
บทที่ ๗
“…เห็นตอหลักปักขวำงหนทำงอยู่ พิเครำะหด์ ูควรทงึ้ แลว้ จงึ ถอน
เหน็ เตม็ ตำแลว้ อยำ่ อยำกทำปำกบอน ตรองเสียก่อนจึงค่อยทำกรรมทัง้ มวล…”
คำศพั ท์ท่นี ำ่ สนใจ
พเิ ครำะห์ หมำยถึง คิดพจิ ำรณำอยำ่ งรอบคอบ
ท้ึง หมำยถึง พยำยำมดึง
ปำกบอน หมำยถึง ปำกอยู่ไม่สขุ ชอบพูด
ตรอง หมำยถึง คดิ ทบทวน
แปลควำมหมำย
เมือ่ เหน็ ตอไมป้ ักขวำงทำง ก่อนท่ีจะลงมือถอนควรพิจำรณำให้ดีก่อน เพรำะหำกถอนโดยไม่ดู
ให้ดีอำจได้รับควำมเดือดร้อนได้ เมื่อเรำเห็นส่ิงใดก็อย่ำเพิ่งพูด ควรคิดพิจำรณำให้ดีเสียก่อนก่อนที่จะพูดหรือ
กระทำอะไร
สำนวนสภุ ำษติ ที่ปรำกฏ
คิดก่อนพูด แต่อย่ำพูดก่อนคิด หมำยถึง อยำกพูดอะไรก็เก็บไว้ในใจ อย่ำพูดทุกอย่ำงตำมท่ี
คิด พดู มำกโอกำสพลำดกม็ ีมำก พดู นอ้ ยกพ็ ลำดนอ้ ย
๗๕
บทที่ ๘
“…คอ่ ยดำเนนิ ตำมไต่ผ้ไู ปหน้ำ ใจควำมว่ำผ้มู ีคุณอย่ำหุนหวน
เอำหลังตำกแดดเปน็ นจิ คดิ คำนวณ ร้ถู ถ่ี ว้ นจงึ สบำยเมื่อปลำยมือ…”
คำศพั ท์ท่นี ำ่ สนใจ
ดำเนิน หมำยถึง เดิน
หลังตำกแดด หมำยถึง ก้มหน้ำทำงำนหนกั แบบชำวนำ ทำให้หลังถูกแดดตลอดเวลำ
คดิ คำนวณ หมำยถึง คดิ ใคร่ครวญ
เมื่อปลำยมือ หมำยถึง ในภำยหลงั
แปลควำมหมำย
บทนี้เล่ำถึงกำรใช้ชีวิตและประพฤติตัวโดยมีผู้ใหญ่เป็นแบบอย่ำง และไม่ควรอกตัญญูต่อผู้มี
พระคณุ รวมท้ังมคี วำมขยันอดทนเหมือนกบั ชำวนำท่ที ำงำนหนัก หลังสฟู้ ้ำหน้ำสดู้ ินตลอดเวลำ ซงึ่ สงิ่ เหล่ำนีจ้ ะ
ทำใหเ้ รำสบำยในวันข้ำงหน้ำ
สำนวนสุภำษติ ที่ปรำกฏ
เดินตำมผใู้ หญ่หมำไม่กัด หมำยถงึ ประพฤตติ ำมอย่ำงผใู้ หญ่ย่อมปลอดภัย
หลังสู้ฟำ้ หนำ้ สดู้ ิน หมำยถึง ท่ตี ้องตรำกตรำทำงำนหนกั มักหมำยถึงชำวไร่ชำวนำซึ่ง
ในเวลำทำไร่ทำนำหลงั ต้องสู้กับแดด และหน้ำต้องก้มลงดิน
บทที่ ๙
“…เพชรอย่ำงดมี ีค่ำรำคำยงิ่ ส่งใหล้ งิ จะรคู้ ำ่ รำคำหรอื
ตอ่ ผดู้ มี ปี ญั ญำจึงหำรือ ให้เขำลอื เสียวำ่ ชำยน้ีขำยเพชร…”
แปลควำมหมำย
กำรนำของมคี ่ำให้กับคนท่ีไม่ร้คู ่ำ ก็เหมือนกบั กำรนำเพชรไปใหก้ ับลิง ดังน้ันเรำควรอยู่กบั คน
ท่ีมองเห็นคุณค่ำของเรำเอง ซ่ึงในที่น้ีคือเร่ืองสติปัญญำ โดยวรรคท่ีบอกว่ำ ‘ให้เขำลือเสียว่ำชำยนี้ขำยเพชร’
หมำยถงึ ให้คนร่ำลือว่ำตนเองมปี ญั ญำรำวกบั มีเพชรมำกพอที่จะอวดได้
สำนวนสุภำษิตทีป่ รำกฏ
ยนื่ แกว้ ใหว้ านร หมายถงึ เอาของมีคา่ ให้กบั ผู้ท่ไี มร่ ู้คณุ คา่ ของ ของสิ่งน้นั
ลิงได้แก้ว หมายถึง ผู้ท่ีไม่รู้คุณค่าของส่ิงมีค่าท่ีได้มาหรือท่ีมีอยู่ มีความหมายเดียวกับ
คาวา่ ไก่ได้พลอย และ หัวล้านไดห้ วี
๗๖
บทท่ี ๑๐
“…ของสิง่ ใดเจา้ ว่างามตอ้ งตามเจา้ ใครเลยเล่าจะไมง่ ามตามเสดจ็
จาไวท้ กุ สิ่งจริงหรือเทจ็ พรกิ ไทยเม็ดนดิ เดยี วเค้ียวยงั รอ้ น…”
คาศัพท์ที่นา่ สนใจ
เจ้า หมายถึง เจ้านาย
แปลความหมาย
บทน้ีพูดถึงการเห็นดีเห็นงามตามเจ้านาย ต่อให้ไม่เห็นด้วยก็ต้องเก็บไว้ข้างใน เพ่ือให้ไม่
เดือดร้อนตนเองเพราะหากเดอื ดร้อนข้นึ มาต่อให้เป็นเรื่องเล็กเหมือนพรกิ ไทยเมด็ เดยี วก็กลายเป็นเรอ่ื งใหญ่โต
ได้เช่นกัน ซ่ึงผู้เขียนมองว่าบทนี้สะท้อนให้เห็นการความสาคัญกับผู้มีอานาจหรืออาวุโสกว่าตนมาก ๆ โดย
เนน้ หนักไปท่ีความถกู ใจมากกวา่ ความถูกต้อง และผ้คู นยงั ไม่ไดม้ ีสทิ ธิมีเสยี งในการแสดงความคดิ เห็นตา่ ง ๆ ได้
อยา่ งเปิดกว้างและเทา่ เทยี มกนั
สำนวนสุภำษิตที่ปรำกฏ
เห็นดเี ห็นงาม หมายถึง คดิ หรอื รูส้ กึ คลอ้ ยตาม
ลกู ขนุ พลอยพยัก หมายถงึ ผทู้ ค่ี อยวา่ ตามหรือเหน็ ด้วยกับผใู้ หญ่เปน็ เชงิ ประจบสอพลอ
นา้ ทว่ มปาก หมายถงึ พูดไม่ออกเพราะอาจจะมีภยั แก่ตนเองและผอู้ ่นื
บทที่ ๑๑
“…เกดิ เป็นคนเชงิ ดูใหร้ เู้ ทา่ ใจของเราไมส่ อนใจใครจะสอน
อยากใชเ้ ขาเราต้องกม้ ประนมกร ใครเลยหอ่ นจะวา่ ตัวเปน็ ววั มอ…”
คาศัพทท์ ี่นา่ สนใจ
ประนมกร หมายถึง ประนมมือ
ใครเลยหอ่ นจะวา่ ตวั เปน็ ววั มอ หมายถึง ไมม่ ใี ครที่จะคิดวา่ ตนเป็นวัวให้คนอ่นื ใชง้ าน
แปลความหมาย
การเกิดเป็นมนุษย์ต้องรู้จักเท่าทันของผู้อ่ืน เราควรหมั่นสอนใจตนเอง หากเราต้องการขอ
ความช่วยเหลือจากเขา เราก็ควรมีความสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน เพราะไม่มีใครท่ีจะคิดว่าตนเป็นวัวให้
คนอ่นื ใชง้ าน
สำนวนสภุ ำษติ ทีป่ รำกฏ
“อตฺตนำ โจทยตฺตำน” แปลโดยใจควำมว่ำ บุคคลพึงเตือนตนด้วยตน หรือพูดให้เข้ำใจง่ำยๆ
ก็คือ คนควรเตือนตนเอง โดยกำรสำรวจ ตรวจสอบพฤติกรรม หรือกำรกระทำท้ังทำงกำย และทำงวำจำ
ตลอดเวลำ หำกพบว่ำมีควำมบกพร่อง ผิดพลำดอันเกิดจำกกำรกระทำของตนก็ควรเร่งรีบปรับปรุงแก้ไขด้วย
ตนเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นมำตักเตือนหรือทักท้วง นี่คือพุทธพจน์ที่ปรำกฏในพระไตรปิฎกเล่มท่ี 25
ขุททกนิกำย ธัมมบท
๗๗
บทที่ ๑๒
“…เปน็ บ้าจ้นี ิยมชมวา่ เอก คนโหยกเหยกรกั ษายากลาบากหมอ
อันยศศักดิ์มใิ ชเ่ หล้าเมาแต่พอ ถา้ เขายอเหมือนอย่างเกาใหเ้ ราคัน…”
คาศัพทท์ ่นี ่าสนใจ
บา้ จ้ี หมายถึง บ้ายอ
คนโหยกเหยก หมายถงึ คนทไี่ ม่ไดเ้ รอื่ ง แก้ไขยาก
แปลความหมาย
บทน้ีกล่าวถึงคนบ้ายอที่มักจะชอบให้คนอื่นช่ืนชม คนประเภทน้ีเป็นคนที่ไม่ได้เร่ือง
หากนาไปรักษากส็ ร้างความลาบากให้กับหมอ ซ่ึงคนท่ลี ุ่มหลงมัวเมาอยใู่ นยศศักด์ิ จะตอ้ งคดิ ให้ดีว่าส่งิ ทเ่ี ขายก
ยอ่ งสรรเสริญเรานัน้ มาจากความจริงใจมากน้อยแค่ไหน หรือแค่พดู ใหเ้ หมาะกับจริตของเราเทา่ น้นั
บทท่ี ๑๓
“…บา้ งโลดเลน่ เตน้ ราทาเปน็ เจ้า เป็นไรเขาไม่จบั ผิดคดิ ดขู ัน
ผมี นั หลอกชา่ งผตี ามทมี ัน คนเหมอื นกันหลอกกนั เองกลัวเกรงนกั …”
คาศัพทท์ น่ี ่าสนใจ
ทาเป็นเจา้ หมายถึง ทาทวี ่าเจ้าเข้าสงิ
แปลความหมาย
บางคนทาตัวเหมือนเจ้าเข้าสิง ไม่มีใครคิดจับผิดว่าเป็นผีจริงหรือไม่ แต่ต่อให้เป็นผีจริงก็
ปล่อยให้หลอกไป เพราะยังไงก็นา่ กลวั นอ้ ยกวา่ คนที่มาหลอกกนั เอง
บทที่ ๑๔
“…สงู อยา่ ให้สูงกว่าฐานนานไปลม้ จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปดิ ฝัก
คนสามขามปี ญั ญาหาไวท้ ัก ทีไ่ หนหลักแหลมคาจงจาเอา…”
คาศพั ท์ท่ีนา่ สนใจ
อย่าเปิดฝัก หมายถงึ อย่าอวดรู้
คนสามขา หมายถึง คนแก่ ขาทสี่ ามคือไม้เทา้
แปลความหมาย
ถ้าจะสร้างส่ิงไหนท่ีสูงเกินสมดุลของฐานก็อาจจะทาให้ล้มได้ เช่นเดียวกับการศึกษาหา
ความรู้ก็ต้องขยันหม่ันเพียรโดยไม่อวดรู้จนเกินไป และเราควรที่จะปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่เพราะเขามี
ประสบการณม์ ากอ่ นเรา หากสงิ่ ไหนทด่ี ีงามกค็ วรจะจดจาและนาไปใช้
สำนวนสุภำษติ ท่ีปรำกฏ
คมในฝัก หมายถงึ คนท่เี ขาฉลาดจรงิ ๆ เขาไม่โอ้อวด
๗๘
บทที่ ๑๕
“…เดินตามรอยผใู้ หญห่ มาไม่กัด ไปพดู ขดั เขาทาไมขัดใจเขา
ใครทาตึงแลว้ หย่อนผ่อนลงเอา นกั เลงเก่าเขาไมห่ าญราญนักเลง…”
คาศพั ทท์ น่ี า่ สนใจ
หาญ หมายถึง กล้า
ราญ หมายถึง รบ
แปลความหมาย
เราควรประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างผู้ใหญ่ซ่ึงมีประสบการณ์มาก่อน เหมือนกับสานวน
เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด และไม่ควรไปพูดขัดผู้อื่นเพราะอาจขัดใจเขาได้ นอกจากน้ี เราควรรู้จักยืดหยุ่น ถ้ามี
คนหาเร่ืองก่อนเราก็จะไม่หาเร่ืองตอบ เพราะนักเลงที่แท้จริง (หรือจะเรียกว่า คนจริง แบบที่เราใช้กันใน
ปจั จุบนั ก็ไดน้ ะ) จะไม่หาเร่ืองผอู้ ื่นกอ่ น
สำนวนสภุ ำษติ ท่ปี รำกฏ
เดนิ ตามผูใ้ หญห่ มาไมก่ ดั หมายถึง ประพฤตติ ามอยา่ งผ้ใู หญ่ยอ่ มปลอดภยั
รยู้ าวรสู้ ้ัน หมายถึง รู้จักผอ่ นปรน รู้จักผ่อนสนั้ ผอ่ นยาว
บทที่ ๑๖
“…เป็นผู้หญงิ แมห่ ม้ายที่ไร้ผวั ชายมักย่ัวทาเลยี บเทยี บข่มเหง
ไฟไหมย้ ังไมเ่ หมอื นคนท่จี นเอง ทาอวดเก่งกบั ขือ่ คาวา่ กระไร…”
คาศพั ทท์ ีน่ ่าสนใจ
ทาเลยี บ หมายถึง พูดจาแทะโลม
คนท่ีจนเอง หมายถงึ คนทท่ี าตนเองใหย้ ากจน
ขื่อคา หมายถึง เคร่ืองจองจานักโทษ แต่ในคาประพันธ์นี้ หมายถึง แสดงอานาจท้าทาย
บทลงโทษ
แปลความหมาย
ในยุคสมัยนั้นมีมุมมองว่า การเป็นหญิงหม้ายไม่มีสามีคอยปกป้อง มีโอกาสถูกชายอ่ืนพูดจา
แทะโลมข่มเหง ส่วนไฟไหม้บ้านยังไม่ร้ายแรงเท่ากับคนที่ทาตนเองให้ยากจน (ในท่ีนี้หมายถึงการหมดเงินไป
กับกิเลสตณั หาตา่ ง ๆ) และอยา่ ทาตัวท้าทายกฎหมาย และบทลงโทษ
๗๙
บทท่ี ๑๗
“…อนั เสาหินแปดศอกตอกเป็นหลกั ไปมาผลกั บ่อยเข้าเสายงั ไหว
จงฟังหูไว้หูคอยดไู ป เช่อื น้าใจดกี วา่ อยา่ เช่อื ยุ…”
คาศพั ทท์ ่นี ่าสนใจ
ศอก หมายถงึ มาตราวดั ๑ ศอก เทา่ กบั ๒ คบื
แปลความหมาย
เสาหนิ ขนาด ๘ ศอกถูกตอกลงบนพนื้ ดินอย่างมนั่ คง เมื่อมีคนมาผลักเสาหินอยู่เสมอ เสาหิน
ย่อมส่ันคลอน เหมือนกับคนหูเบาเช่ือคนง่ายมักจะคล้อยตามผู้อื่น ดังน้ันเราควรพิจารณาความคิดของผู้อื่น
ก่อนว่าเขาพดู ดว้ ยความจรงิ ใจหรอื ไม่แล้วค่อยตัดสินใจเช่อื
สำนวนสุภำษติ ท่ปี รำกฏ
ฟังหูไวห้ ู หมายถึง รับฟังไว้แตไ่ มเ่ ชอื่ ท้งั หมด
บทที่ ๑๘
“…หญงิ เรียกแมช่ ายเรียกพ่อยอไว้ใช้ มันชอบใจข้างปลอบไม่ชอบดุ
ทีห่ ่างปิดท่ชี ดิ ไชให้ทะลุ คนจกั ษเุ หลห่ ล่วิ ไพลพ่ ลิ้วพลกิ …”
คาศพั ทท์ ่นี า่ สนใจ
คนจักษเุ หล่ หมายถึง คนตาเข หรือ คนตาเหล่
แปลความหมาย
บทนีก้ ลา่ วถึงการใชค้ าพูดเป็นหลัก ถ้าเราต้องการขอความช่วยเหลอื ก็ควรใช้คาพูดออ่ นหวาน
เพราะไม่มีใครชอบให้ใช้คาพูดห้วน ๆ หรือดุดัน และควรพูดจาให้รู้จักกาลเทศะ เช่น เม่ือเจอคนตาเหล่ก็ควร
รจู้ ักเล่ยี งไมพ่ ูดตรง ๆ เพ่ือมิให้เสียน้าใจ
สำนวนสุภำษติ ทีป่ รำกฏ
น้าร้อนปลาเป็นน้าเย็นปลาตาย หมายถึง คาพูดท่ีตรงไปตรงมา ฟังดูแล้วรู้สึกว่าไม่ไพเราะ
ไม่น่าฟัง แต่เป็นคาพูดท่ีมาจากความหวังดี ที่ต้องการเตือนให้ระมัดระวังตัว และคาพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน
ทาใหเ้ ราตายใจ เพอ่ื หวังผลประโยชน์ หรอื เป็นโทษกบั เราได้
บทท่ี ๑๙
“…เอาปลาหมอเป็นครูดปู ลาหมอ บนบกหนออตุ สา่ หเ์ สอื กกระเดือกกระดิก
เขาย่อมว่าฆา่ ควายเสยี ดายพรกิ รักหยอกหยิกยบั ท้ังตวั อย่ากลัวเลบ็ …”
คาศัพท์ท่นี ่าสนใจ
เสอื ก หมายถงึ ทาใหเ้ คลือ่ นไปบนพ้ืนโดยแรง
กระดิก หมายถึง ทาปลายอวยั วะใหเ้ คลอ่ื นไหว
แปลความหมาย
บทน้ีเปรียบเทียบว่า เราควรเพียรพยายามแบบปลาหมอท่ีอยู่บนบกแล้วพยายาม
ตะเกียกตะกายกลับไปในน้าให้ได้ ส่วนการฆ่าควายแล้วอย่าเสียดายพริกน้ัน หมายถึง หากจะทาการใหญ่ก็ไม่
๘๐
ควรกลัว แตค่ วรทาใหเ้ ต็มท่ี ส่วนวรรคสุดท้ายต้องการจะสอ่ื ว่า หากเราอยากจะหยอกล้อผู้อนื่ เราก็ควรไม่กลัว
ท่ีผูอ้ น่ื จะหยอกลอ้ เรากลับบา้ ง
สำนวนสุภำษิตท่ปี รำกฏ
ฆา่ ควายเสียดายพริก หมายถึง ทาการใหญไ่ ม่ควรตระหนี่
ปลาหมอแตกเหงือก หมายถงึ กระเสือกกระสนดิ้นรน
บทท่ี ๒๐
“…มใิ ชเ่ นอื้ เอาเปน็ เน้ือก็เหลือปล้า แตห่ นามตาเข้าสกั นดิ กรีดยงั เจ็บ
อันโลภลาภบาปหนาตณั หาเยบ็ เมยี รู้เกบ็ ผัวร้ทู าพาจาเรญิ …”
คาศพั ท์ทนี่ า่ สนใจ
เน้ือ หมายถงึ เนอื้ คู่
ตณั หา หมายถงึ ความทะยานอยาก
จาเริญ หมายถงึ เจรญิ
แปลความหมาย
ถ้าเราแตง่ งานกับคนท่ีไม่ใช่เน้อื คู่หรอื เขา้ กันไม่ได้จรงิ ๆ ตอ่ ไปกจ็ ะมีแต่ปญั หา แม้จะเปน็ เร่ือง
เล็กน้อยก็เจ็บปวดได้ เหมือนกับหนามตาเพียงนิดเดียวก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อย นอกจากน้ีการใช้ชีวิต
ร่วมกันระหว่างสามีภรรยา ควรตัดความโลภ บาป และตัณหา ฝ่ายสามีต้องขยันทางานเล้ียงครอบครัว
ส่วนภรรยาต้องรู้จักเก็บหอมรอมริบจะทาให้ครอบครัวเจริญยิ่งข้ึน ซ่ึงผู้เขียนมองว่าอิศรญาณภาษิตบทน้ี
สะท้อนค่านิยม “ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า” ของคนในยุคสมัยก่อน ต่างจากปัจจุบันท่ีชายหญิงสามารถทางาน
หรอื เป็นผนู้ าครอบครวั ไดท้ ้งั คู่
สำนวนสุภำษิตทปี่ รำกฏ
ผัวหาบเมียคอน หรือ ชายหาบหญิงคอน หมายถงึ ช่วยกันทามาหากินท้ังผวั ทง้ั เมยี
บทท่ี ๒๑
“…ถงึ รจู้ ริงนิง่ ไวอ้ ย่าไขรู้ เต็มทีค่ รเู่ ดยี วเทา่ นั้นเขาสรรเสรญิ
ไม่ควรก้าเกินหน้ากอ็ ย่าเกนิ อยา่ เพลดิ เพลินคนชงั นักคนรกั นอ้ ย…”
คาศัพท์ทน่ี า่ สนใจ
ไข หมายถึง บอก อธบิ าย
ชงั หมายถึง เกลยี ด
แปลความหมาย
สะท้อนมุมมองของคนในยุคสมยั นั้นว่า การพูดถงึ สิง่ ที่ตนรนู้ ับเป็นการอวดรู้ และจะได้รบั การ
ช่ืนชมจากผู้อื่นในระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้น อย่าทาอะไรเกินหน้าเกินตาผู้อ่ืน เพราะจานวนคนท่ีรักเราจะมีน้อย
กว่าคนทีเ่ กลยี ดเรา
สำนวนสภุ ำษติ ทีป่ รำกฏ
คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ หรือ คนชังมีนัก คนรักมีน้อย หมายถึง คนรักมีน้อย คน
เกลยี ดมีมาก
๘๑
บทที่ ๒๒
“…วาสนาไมค่ ู่เคียงเถียงเขายาก ถึงมีปากมีเสียเปลา่ เหมือนเต่าหอย
ผเี รอื นตวั ไมด่ ีผอี ื่นพลอย พดู พล่อยพลอ่ ยไมด่ ปี ากข้ีร้ิว…”
คาศัพทท์ ่ีน่าสนใจ
พูดพลอ่ ยพลอ่ ย หมายถงึ พดู ออกมาโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลทจี่ ะเกดิ
ปากข้รี ้ิว หมายถึง พดู จาไม่สุภาพ พดู ไมเ่ หมาะสม
แปลความหมาย
ผู้มีอานาจน้อยกว่าย่อมไม่สามารถเถียงผู้ท่ีมีอานาจสูงกว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีปากในการพูดแต่
พูดไปไม่มีประโยชน์ หากไม่ระวังกายและใจของตนเองให้ดี ตัวเราจะประพฤติช่ัวได้โดยง่าย การพูดพล่อย ๆ
โดยไมค่ ิดใหด้ ีก่อนพูดเปน็ ส่งิ ท่ไี มค่ วรกระทา
สำนวนสุภำษติ ที่ปรำกฏ
ผบี ้านไม่ดีผปี ่าก็พลอย หมายถึง คนในบ้านไม่ดีชักนาใหค้ นนอกบ้านเขา้ มาทาความเดือดร้อน
หรือความเสียหายได้
ปลาหมอตายเพราะปาก หมายถึง คนทพี่ ดู พล่อย หรือพดู ไม่ระวังปากจนได้รบั อันตราย
บทท่ี ๒๓
“…แต่ไมไ้ ผ่อันหนงึ่ ตันอันหนึ่งแขวะ สแี หยะแหยะตอกตะบันเปน็ ควนั ฉวิ
ชา้ งถีบอยา่ ว่าเล่นกระเดน็ ปลวิ แรงหรือหิวช่ังใจดจู ะสู้ช้าง…”
คาศัพทท์ นี่ ่าสนใจ
แขวะ หมายถงึ เอาสง่ิ มคี มแหวะคว้านให้กว้าง
ไม้ไผแ่ ขวะ หมายถึง ไมไ้ ผ่เจาะรู
สีแหยะแหยะ หมายถึง ถูกนั เบา ๆ
ตะบนั หมายถึง แทงกดลงไป
แปลความหมาย
บทนส้ี อนให้ไม่ประมาทเพราะบางอย่างอาจจะมีพิษภัยกว่าท่ีคิด อย่างไม้ไผ่อันท่ีตันกับอกี อัน
ทีเ่ จาะเป็นรู เม่ือนามาสีกันเบา ๆ ก็เกดิ ความร้อนได้เหมือนกัน และหากเราโดนช้างถีบหรือทาร้าย หากคิดจะ
แก้แค้นเอาคืน ควรพิจารณาตวั เองให้ดกี ่อนว่ามพี ละกาลงั มากพอจะสกู้ บั ช้างหรือไม่
สำนวนสุภำษติ ท่ีปรำกฏ
ไมซ้ ีกงัดไมซ้ งุ หมายถงึ คนผมู้ ฐี านะต่าไปคัดค้านหรือไปกอ่ ความกบั ผ้มู ีอานาจสงู กวา่
บทท่ี ๒๔
“…ลอ้ งูเห่าเล่นกไ็ ดใ้ จกล้ากล้า แตว่ ่าอยา่ ยักเยือ้ งเข้าเบ้อื งหาง
ตอ้ งว่องไวในทานองคลอ่ งทา่ ทาง ตบหวั ผางเดยี วมว้ นจงึ ควรลอ้ …”
คาศัพท์ทน่ี า่ สนใจ
เบ้ือง หมายถงึ ขา้ ง ดา้ น
ผาง หมายถงึ เสียงดังอย่างเสยี งเอามือตบส่งิ ของ
๘๒
แปลความหมาย
ถ้าเราจะล้อเล่นกับงูเห่า (สิ่งท่ีดูอันตรายและเสี่ยงภัย) จะต้องมีใจท่ีกล้าหาญ คล่องแคล่ว
วอ่ งไว ตอ้ งรู้วิธีการจับงู ไมจ่ ับงูเห่าข้างหาง และสามารถตบหวั งเู ห่าให้ตายในครัง้ เดยี วได้ หากไม่สามารถทาได้
งูเห่าจะย้อนกลับมากัดเราตายได้
สำนวนสุภำษิตทีป่ รำกฏ
จบั งูขา้ งหาง คือ ทาสิ่งท่เี สีย่ งตอ่ อนั ตราย
บทที่ ๒๕
“…ถึงเพ่อื นฝูงทชี่ อบพอขอกนั ได้ ถ้าแมใ้ หเ้ สยี ทุกคนกลัวคนขอ
พอ่ แม่เลย้ี งปดิ ปกเป็นกกกอ จนแลว้ หนอเหมือนเปรตเหตดุ ว้ ยจน…”
คาศพั ทท์ น่ี า่ สนใจ
ปดิ ปกเป็นกกกอ หมายถึง โอบอ้มุ ทะนถุ นอมไว้
แปลความหมาย
บทนี้สอนเร่ืองการให้แต่พอดี สาหรับเพื่อนฝูงก็ให้ได้ตามปกติ แต่เราไม่สามารถให้ทุกคนท่ี
เขา้ มาขอได้ เพราะยังไงพ่อแม่ก็ดูแลทะนุถนอมเรามาอยา่ งดี กว่าเราจะมีทกุ สงิ่ อยา่ งจนวันนี้ แตถ่ ้าเราให้คนอื่น
ไปจนหมดตัว สดุ ท้ายแลว้ เราจะกลายเปน็ เหมอื นเปรตท่ีต้องไปขอสว่ นบญุ กบั ผู้อน่ื
สำนวนสุภำษิตท่ปี รำกฏ
พง่ึ ลาแขง้ ตัวเอง หมายถงึ การช่วยเหลอื ตวั เอง โดยไมข่ อความความช่วยเหลือจากผอู้ ืน่
บทท่ี ๒๖
“…ถงึ บญุ มีไม่ประกอบชอบไม่ได้ ต้องอาศัยคิดดีจึงมีผล
บญุ หาไมแ่ ลว้ อยา่ ไดท้ ะนงตน ปุถุชนรักกบั ชังไม่ย่ังยนื …”
คาศัพท์ท่ีน่าสนใจ
ประกอบ หมายถึง ทา
ทะนง หมายถงึ ถอื ตวั หยงิ่ ในตนเอง
ปถุ ชุ น หมายถึง สามญั ชน
แปลความหมาย
บทนี้พูดถึงเร่ืองการทาดีอย่างสม่าเสมอ ไม่ยึดติดกับบุญเก่าที่เราทามา โดยต้องเร่ิมจากการ
คิดดีก่อน เพราะมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงความรู้สึกได้ง่าย คนที่เรารักอาจจะกลับมาเกลียดเรา ส่วนคนที่เกลียด
เราอาจจะกลับมารักเรากไ็ ด้
สำนวนสภุ ำษติ ที่ปรำกฏ
ทาดไี ด้ดี หมายถึง คนเราทาอย่างไรก็จะได้อยา่ งน้ัน
๘๓
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๔
สอ่ื สารสัมฤทธ์ิ
๑. การจัดการเรียนการสอน เรอ่ื ง การคดั ลายมอื
การคัดลายมือ คือ การเขียนตัวอักษรไทยให้ถูกต้องตามหลัก รูปแบบ และสวยงาม การคัดลายมือให้
สวยงามเป็นส่ิงสาคัญที่นักเรียนควรรู้และสามารถปฏิบัตไิ ด้ เพราะเปน็ พน้ื ฐานอย่างหนงึ่ ของการสอ่ื สารที่ทาให้
ผรู้ บั สารเข้าใจเพราะสามารถอา่ นลายมือท่ีเขียนได้ และนักเรียนตอ้ งเขยี นอักษรไดถ้ ูกตอ้ งตามหลักและรูปแบบ
การเขยี นและมคี วามสวยงามเพ่ือสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ในการเขียนเนอื่ งในโอกาสตา่ ง ๆ
๑.๑ ความหมายการเขียนคดั ลายมือ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายคาว่า คัดลายมือ ไว้ว่า ลอก
ขอ้ ความออกมาเขยี นดว้ ยตัวบรรจง
๑.๒ หลกั การคดั ลายมือ
๑.๒.๑ คัดดว้ ยลายมือเป็นระเบยี บ สวยงาม อ่านง่าย
๑.๒.๒ ไม่ผิด ตก หรอื ตา่ งไปจากตน้ ฉบบั
๑.๒.๓ พยายามอย่าให้มีรอยลบ ขูด ขีด ฆ่า
๑.๒.๔ คดั ตัวอักษรตัวตรง มหี วั ตวั อักษรชดั เจน ไม่เลน่ หาง หรอื ลวดลายในลกั ษณะตัวอกั ษรแบบ
ประดษิ ฐ์
๑.๒.๕ เวน้ ชอ่ งไฟ เวน้ วรรค ใหถ้ ูกต้อง
๑.๒.๖ เม่อื คดั เรยี บร้อยแลว้ ควรอา่ นตรวจทานเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด
๑.๒.๗ บอกที่มาของขอ้ ความ คือ ชอ่ื ผู้แตง่ ช่อื เรื่อง ชือ่ หนังสือ เมืองที่พิมพ์ สานักพิมพ์ ปีที่พมิ พ์และ
เลขหน้า เพ่ือความสะดวกแก่การอ้างอิงและค้นควา้ สอบทานในภายหลงั
๑.๒.๘ คัดข้อความบทรอ้ ยกรองให้ถูกต้องตามแผนผังของบทร้อยกรองชนิดนั้น
๑.๒.๙ คัดลอกข้อความดว้ ยตัวหวัดแกมบรรจงให้จัดเจนเพอ่ื มใิ หอ้ ่านสบั สน
ในภายหลัง อักษรไทยหลายตัวมรี ปู คล้ายกนั มาก ต่างกนั ตรงส่วนปลกี ย่อยเทา่ นน้ั เช่น ช ซ ค ศ ฌ ณ ด
ต ท ฑ เป็นต้น
๑.๒.๑๐ คัดข้อความให้ครบถ้วน ไม่ขาด ไมเ่ กิน คาใดเขยี นตกใหเ้ ขยี นเพิม่ และแสดงเครือ่ งหมายตกไว้
คาใดเขียนเกินให้ขดี ฆ่าออก
๘๔
๑.๓ รูปแบบตัวอกั ษรภาษาไทย
๑.๓.๑ ตวั อักษรประเภทหวั กลม คือ อักษรท่ีมีลกั ษณะกลมมน เรยี กตามโครงสรา้ งของตวั อกั ษรว่า
หัวกลมมน ไดแ้ ก่ รปู แบบตวั อักษรของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
๘๕
๑.๓.๒ ตัวอักษรแบบอำลักษณ์ คือ ตัวอักษรแบบคัดลำยมือ ตัวบรรจง มีควำมประณีตสวยงำม
สญั ลักษณค์ วำมเป็นไทยเหมำะทีจ่ ะนำไปใชก้ บั งำนเขียนบัตรอวยพร บัตรเชญิ เกยี รติบัตร และประกำศนียบัตร
เป็นต้น
๘๖
๑.๓.๓ แบบภำควิชำประถมศึกษำ คณะครุศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย คล้ำยแบบของพระยำ
ผดุงวทิ ยำเสริม เกิดขึ้นจำกดำรึของศำสตรำจำรย์อำไพ สุจริตกุล หัวหน้ำแผนกวิชำประถมศึกษำ ที่ตอ้ งกำรให้
มตี ัวอกั ษรของแผนกวชิ ำท่งี ่ำยต่อกำรฝึกเดก็ เขียน และเพ่อื ใชเ้ ป็นแบบฝกึ ลำยมือของนิสิตทกุ คนของแผนกวิชำ
ทีจ่ ะนำไปสอนศษิ ย์เมอ่ื จบไปเปน็ ครู
๘๗
๒. การจัดการเรยี นการสอน เรอ่ื ง การเขียนตามสถานการณ์และโอกาสตา่ ง ๆ
การเขียนคาอวยพร คือ การเขียนเพื่อแสดงความยินดีและอวยพรแก่บุคคลที่เคารพและใกล้ชิดสนิทสนม
การเขียนคาอวยพรเป็นการส่ือสารท่ีจะต้องรู้หลักเกณฑ์และวิธีการเขียน เพ่ือที่จะสามารถเลือกใช้ถ้อยคาใน
การสอื่ สารไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม และเป็นผมู้ มี ารยาททีด่ ใี นการเขียน
การเขยี นคาขวัญ คือ ถ้อยคาทแ่ี ตง่ ขึ้นเพ่ือเตือนใจหรือเพอ่ื ให้เป็นสิรมิ งคล มีจุดประสงค์เชิญชวนให้ปฏิบัติ
ควรเลอื กใชถ้ ้อยคาใหถ้ ูกตอ้ งและกระชับ
การเขียนคาคม คือ การใช้ถ้อยคาท่ีชวนให้คิด คาคมที่ดีต้องแสดงถึงการใช้ความคิดหรือแสดงให้เกิด
ความรู้สึกอย่างใดอย่างหน่ึง ผู้เขียนต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคาท่ีมีความหมายลึกซ้ึง สื่อข้อคิดและโลกทัศน์แก่
ผูอ้ า่ น
๒.๑ การเขยี นคาคม
๒.๑.๑ ความหมาย
คาคม คือ ถ้อยคาท่ีหลักแหลมชวนให้คิด หรือถ้อยคาหรือข้อความที่มีความหมายอยู่ในตัว
ด้วยการกล่าวซ้าคา บางคาในข้อความน้ันๆ ให้มีความหมายเกี่ยวพันกับเน้ือความเดิม คาคมท่ีดีต้องแสดงถึง
การใช้ความคิด หรือแสดงให้เกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหน่ึงอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านเกิด ความลึกซ้ึงเม่ือได้
อา่ น
๒.๑.๒ แนวทางการเขียนคาคม
๒.๑.๒.๑ ใช้ถอ้ ยคาสัมผสั คลอ้ งจอง สละสลวย
๒.๑.๒.๒ ใชค้ าท่ีมคี วามหมายคมคาย
๒.๑.๒.๓ มุ่งใหเ้ กิดความคิดทด่ี ีและอยากปฏบิ ัตติ าม
๒.๑.๒.๔ มีความลึกซ้ึงกินใจ
๒.๑.๓ ลักษณะของคาคม
คาคม มหี ลายลกั ษณะ ดงั นี้
๒.๑.๓.๑ คาคมทเ่ี ป็นคาพูดธรรมดา ไม่มสี ัมผสั โดยมากใช้คางา่ ยๆ ไม่ต้องแปล อ่านแล้ว
เข้าใจทันที เช่น
“ความรกั ทาให้คนตาบอด” “ลืมทอ่ี ันตรายคือลมื ตัว”
“ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่” “อดตี คือส่งิ ทีผ่ ่าน อนาคตคือสิ่งทฝี่ นั ปัจจุบันเทา่ น้ัน
คอื ความจรงิ ”
๒.๑.๓.๒ คาคมท่เี ป็นคาสัมผัสคลอ้ งจองกนั ส้นั ๆ ส่วนมากมี ๒ วรรค เพื่อจดจาได้ง่าย เชน่
“ซอื่ กนิ ไม่หมด คดกนิ ไม่นาน”
“โกรธคือนรก งกคือเปรต”
“ความงามไมค่ งที่ ความดีซิคงทน”
“ความสาเรจ็ ของลูก คือความสุขของพอ่ แม่”
“อันนารีไม่ใชเ่ ลขคณิต อยา่ ไปคิดใหห้ นักสมอง”
๘๘
๒.๑.๓.๓ คาคมท่ีแต่งด้วยคาประพนั ธ์ เช่น
ใครลมื ใครใจรู้ ใครอยูใ่ ครไปใจเห็น
ใครสุขใครเศร้าเชา้ เย็น ใจเปน็ ท่ีแจ้งแหง่ เรา
ใครชอบใครชงั ชา่ งเถดิ ใครเชิดใครชชู ่างเขา
ใครเบ่อื ใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเปน็ พอ
๒.๒ การเขยี นคาขวญั
๒.๒.๑ ความหมาย
คาขวัญ คือ คาพูดหรือข้อความท่ีมุ่งให้กาลังใจ มักจะมีข้อคิดท่ีผู้อ่านสามารถนาไปใช้เป็น
แนวทางในการดาเนนิ ชวี ติ ได้
๒.๒.๒ แนวทางการเขียนคาขวัญ
๒.๒.๒.๑ ใช้ถอ้ ยคากะทัดรดั สละสลวย โดยเฉพาะคาท่มี สี ัมผัสคล้องจองกัน
๒.๒.๒.๒ มคี วามลึกซงึ้ กินใจ มคี วามหมายในดา้ นดี
๒.๒.๒.๓ ใช้คาทมี่ ีขอ้ คิดซง่ึ เหมาะสมกบั แต่ละโอกาสทจ่ี ะใช้คาขวญั
๒.๒.๒.๔ ใชถ้ อ้ ยคาหรือระดบั ภาษาใหเ้ หมาะกับฐานะทางสงั คมของผใู้ หแ้ ละผู้รบั
๒.๒.๓ ตวั อยา่ ง
๒.๒.๓.๑ คาขวญั เพอ่ื แสดงจดุ มงุ่ หมายหรืออุดมคตขิ องบคุ คล เช่น
ตารวจอย่ไู หน ประชาอ่นุ ใจ
ธนาคารกรงุ เทพ เพอื่ นคคู่ ิด มิตรคู่บา้ น
กาชาดบรรเทาทุกข์ เพ่อื ความสุขของปวงประชา
๒.๒.๓.๒ คาขวญั เพือ่ เตอื นใจให้ตระหนักถึงภัยอนั ตราย เช่น
เม่อื สิ่งแวดลอ้ มเปน็ พษิ ชวี ิตจะมภี ัย
รกั ษาชีวติ ดีกว่าพิชติ เวลา
ขับรถให้เตือนตน ขา้ มถนนใหเ้ ตือนตา
เมอ่ื ใช้ยาเสพติด ชีวติ รอความตาย
๒.๒.๓.๓ คาขวัญเพอื่ เรียกร้อง เชญิ ชวน จงู ใจใหเ้ ช่อื ม่ัน หรือปฏบิ ัตใิ นเรอ่ื งใดเรือ่ งหนึ่ง เชน่
บรจิ าคดวงตา ได้มหากศุ ล
ภมู ใิ จไทยทา ดีใจไทยใช้
อ่านหนังสือวันละหนา้ เพิม่ คณุ คา่ แกช่ ีวิต
รักไทย นิยมไทย รว่ มกันใช้ของไทยทา
ยัง้ คิดกอ่ นซ้ือ ย้ังมือก่อนส่ัง ของนอกยังยงั้ ใช้แต่ของไทย
๒.๓ การเขยี นอวยพร
๒.๓.๑ ความหมาย
คาอวยพร คือ คาพูดแสดงความปรารถนาดีต่อกัน ตามปกติคนเรามักใช้คาอวยพรใน
ชวี ิตประจาวนั ในโอกาสต่างๆ เช่น เมื่อเราต้องจากกัน เม่ือต้องการส่งข่าวคราวถึงกันและกัน หรือใช้ในโอกาส
พิเศษ เช่น วันคล้ายวันเกิด วันข้ึนปีใหม่ การข้ึนบ้านใหม่ หรือเม่ือยามมีผู้ประสบเภทภัย เช่น ได้รับ
ความเจบ็ ปว่ ย ได้รับอบุ ัตเิ หตุ นอกจากนีค้ าอวยพรมักใช้ตอนท้ายของคากลา่ วตอ่ ที่ประชมุ ในโอกาสต่าง ๆ
๘๙
๒.๓.๒ แนวทางการเขยี นอวยพร
๒.๓.๒.๑ เขียนเปน็ บัตรอวยพร จดหมาย หรือเขียนลงสมดุ ลงนามอวยพรในบริเวณงานก็ได้
๒.๓.๒.๒ ใชถ้ อ้ ยคาใหเ้ หมาะสมกบั วยั เพศ และยศตาแหน่งของผู้รบั เพ่ือเป็นการให้เกยี รติ
๒.๓.๒.๓ ใชห้ มึกสีสุภาพ เชน่ สีนา้ เงนิ ไมค่ วรใช้สดี า เขียว แดง หรือหลายสี
๒.๓.๒.๔ รกั ษาความสะอาดของบตั รอวยพรหรือจดหมาย
๒.๓.๓ ตัวอย่าง
๒.๓.๓.๑ อวยพรปใี หม่
เน่ืองในศุภวารดิถีข้ึนปีใหม่ ขอน้อมอานาจคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบันดาลให้
ทา่ นและครอบครัวประสบแตค่ วามสุขความเจริญ ปรารถนาสิ่งใดขอให้สัมฤทธผ์ิ ลทกุ ประการ
๒.๓.๓.๒ อวยพรวันเกดิ
วันนี้เป็นวันเกิด พ่ีขออวยพรให้น้องเล็กมีความสุขมาก ๆ คิดส่ิงใดขอให้สมปรารถนา
สขุ ภาพแข็งแรง เรยี นหนงั สอื เก่ง ๆ
๒.๓.๓.๓ อวยพรเล่อื นตาแหน่ง
ความสาเร็จในวันน้ีเกิดจากความสามารถท่ียอดเย่ียมของคณุ จงเป็นความสงา งามท่ีนา
ภาคภูมิใจยิ่ง ขออวยพรให้มีความสุขกับการทางาน มีพลังกาย พลังใจ และพลังปัญญาอันรุ่งโรจนเพ่ือการก้าว
ยา่ งสู่ความสาเร็จยิ่ง ๆ ขนึ้ ไปในอนาคต
๓. กำรจดั กำรเรยี นกำรสอน เร่อื ง กำรเขียนชีวประวัติ
การเขียนชีวประวัติ คือ งานเขียนท่ีนาเสนอเร่ืองราวและเหตุการณ์สาคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตของบุคคลที่ควร
นามาเป็นแบบอย่าง ผู้เขียนชีวประวัติจะต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลน้ันในแง่มุมท่ีน่าสนใจ
ท้ังในอดีต ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต อาจเพ่ิมทรรศนะของผู้เขียนไปด้วย ควรมีการเลือกใช้ภาษาใน
การนาเสนอทนี่ ่าสนใจและเรียบเรียงเน้ือหาให้เปน็ ไปตามลาดับอย่างชัดเจน
๓.๑ ความหมายของชีวประวตั ิ
ชีวประวัติ คือ งานเขียนชนิดหน่ึงที่เป็นการกล่าวถึงเร่ืองราวของบุคคลในช่วงชีวิต ชีวประวัติของ
บุคคลหน่ึงๆ ไม่เพียงแต่กล่าวถึง วันเกิด อาชีพ การศึกษา แต่จะมีการถึงเรื่องราวของแต่ละช่วงชีวิต และ
เหตุการณส์ าคญั ทีเ่ กดิ ขนึ้ ในชีวติ ทัง้ น้หี ากเปน็ ประวตั ิของผเู้ ขียนเอง จะนยิ มเรียกวา่ อตั ชีวประวัติ
ซง่ึ เป็นคานาม มาจากคาวา่ ชวี + ประวตั ิ หมายถึง ประวัตชิ ีวิตบุคคล
ชวี ประวัติ เป็นงานเขียนประเภทหนึง่ ท่ีเปน็ การนาเสนอขอ้ มลู และเรือ่ งราวเกีย่ วกับบุคคล โดยปกติจะ
นาเสนอในรูปแบบของหนังสือหรือบทความ บางคร้ังอาจนาเสนอในรูปแบบของภาพยนตร์ก็ไ ด้
ซึ่งองค์ประกอบของชีวประวัตินั้น อาจนอกเหนือไปจากข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การศึกษา การทางาน
ความสัมพันธ์ หรือการเสียชีวิตก็ได้ โดยลักษณะของชีวประวัติจะไม่เหมือนกับประวัติโดยย่อ หรือประวัติ
ส่วนตัวโดยสังเขป ทั้งน้ีอาจเป็นการนาเสนอเร่ืองราวประสบการณ์ มุมมองของบุคคล รวมท้ังเกร็ดต่าง ๆ
ในชีวติ และการวิเคราะหบ์ ุคลกิ ลักษณะของบคุ คล
อัตชีวประวัติ นั้นเป็นคานาม มาจากคาว่า อัต + ชีว และ ประวัติ หมายถึง ประวัติชีวิตท่ีเจ้าของ
เขียนหรือเล่าด้วยตนเอง ซ่ึงหมายถึง การบอกเล่าชีวประวัติของตนเอง การทางานก็เป็นชีวประวัติได้
หากครอบคลุมช่วงชีวิตของบุคคลนั้น เช่น ชีวประวัติการทางาน โดยปกติจะเป็นงานเขียนที่ได้จากเร่ืองจริง
๙๐
แต่บางครั้งก็สามารถใช้บันเทิงคดีในการนาเสนอชีวิตของบุคคลได้ หน่ึงในรูปแบบการเขียนจะชีวประวัติ
จะครอบคลุมไปถึงการเขียนที่สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน รวมท้ังชีวประวัติในวรรณกรรม ภาพยนตร์ และสื่อ
รูปแบบอนื่ ๆ
๓.๒ ลักษณะของชีวประวตั ิทีด่ ี
๓.๒.๑ เป็นชีวประวัติของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง มีความน่าสนใจและน่าศึกษา ท้ังที่เป็นบุคคลที่ควร
นามาเปน็ แบบอย่างและไมค่ วรนามาเป็นแบบอย่างในการดาเนนิ ชวี ติ
๓.๒.๒ สามารถแสดงเร่ืองราวของบุคคลว่า เป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร บุคคลนั้นมี
หลักการคิดและอุดมคติในการดารงชีวิต มีความสาเร็จและความล้มเหลวอย่างไรบ้าง ซ่ึงส่ิงต่าง ๆ สามารถ
นาไปใช้เป็นแบบอย่างหรือบทเรยี นแก่บคุ คลอื่นได้
๓.๒.๓ ใชภ้ าษาก่งึ แบบแผน หรอื ใช้ภาษามาตรฐาน
๓.๓ มารยาทในการเขียนชีวประวัติทีด่ ี
๓.๓.๑ ผเู้ ขียนชวี ประวัติต้องมีคณุ ธรรม ไมย่ กย่องสรรเสริญจนเกินงาม ไม่ใสร่ า้ ยปา้ ยสี หรือมีขอ้ ความ
ทจ่ี ะทาให้เกิดผลเสยี ตอ่ บคุ คลนั้น ๆ อยา่ งรุนแรง
๓.๓.๒ ต้องมีศิลปะในการเขยี นให้น่าอา่ น เขา้ ใจงา่ ย และสร้างความสนใจผูอ้ า่ นใหต้ ดิ ตาม
๓.๓.๓ ผู้เขียนชีวประวัติควรแสดงหลักการหรือแนวความคิดท่ีบุคคลน้ัน ๆ ยึดถือ ไม่ควรใส่อารมณ์
หรือความคิดของตนเองมากจนเกินไป และไม่เขยี นในทานองสัง่ สอนผู้อา่ น ซึง่ ต้องเขียนดว้ ยความบรสิ ทุ ธ์ิใจ ไม่
มอี คติกับบุคคลทเ่ี ขียนถงึ
๓.๔ ตวั อยา่ งการเขยี นประวตั บิ คุ คลสาคญั
ชีวิตสุนทรภู่
สุนทรภกู่ วเี อกของไทย “กวี ๔ สมัย” ในยามรุ่งเรืองมีท้ังชื่อเสยี งและเกยี รติยศ แตใ่ นยามตกอับกลับ
แสนลาบากยากแค้น สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ท่ี ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ในสมัย-พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช บิดาเป็นคนบ้านกร่า อาเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นคนเมืองใด
ไม่ปรากฏ แต่เป็นนางในพระองค์เจ้าจงกล พระธิดาในกรมพระราชวังหลัง สุนทรภู่เรียนหนังสือกับพระท่ีวัด
ชปี ะขาวหรือวดั ศรีสุดาราม ต่อมามารดาพาเขา้ ไปถวายตัวเป็นขา้ ในกรมพระราชวงั หลงั
เมื่อเป็นหนุ่มสุนทรภชู่ อบผหู้ ญิงคนหนึ่ง ชื่อจัน ด้วยความเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนจึงแต่งเพลงยาวให้
นางจัน บิดาของนางไม่พอใจจึงนาความขึ้นกราบทูลกรมพระราชวังหลัง ทาให้สุนทรภู่ถูกจองจา สุนทรภู่ถูก
ขังไมน่ านกไ็ ด้รับการปลอ่ ยตัว หลังจากน้ันจึงไปหาพ่อทีเ่ มอื งแกลง ทาให้แต่งนิราศเมอื งแกลงขน้ึ เปน็ เร่อื งแรก
เม่ือกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้รับเมตตาจากเจ้าครอกทองอยู่ พระอัครชายาของกรมพระราชวัง
หลัง ทรงช่วยให้สุนทรภู่ได้แต่งงงานอยู่กินกับนางจันแต่ก็ไม่มีความสุขเพราะสุนทรภู่กินเหล้าและเจ้าชู้ทาให้
นางจันโกรธ ต่อมาสุนทรภู่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ และได้ตามเสด็จไปนมัสการ
พระพุทธบาทในพ.ศ. ๒๓๕๐ ทาให้แต่งนิราศเร่ืองท่ีสอง คือ นิราศพระบาท เม่ือกลับจากพระพุทธบาทแล้ว
นางจันก็ไมย่ อมคนื ดดี ้วย สุนทรภ่ดู ื่มเหล้าแก้กลุ้มใจมากข้ึนจนพระองค์เจ้าปฐม-วงศ์ทรงระอา สนุ ทรภู่น้อยใจ
จึงตัดสินใจเดินทางไปเมืองเพชรบุรีได้ไปอาศัยอยู่กับหม่อมบุนนาคในกรมพระราชวังหลัง และได้แต่งนิราศ
เมืองเพชร
๙๑
เมื่ออายุ ๓๕ ปี ชีวิตสุนทรภู่เริ่มดีข้ึน ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดการกวี
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการตาแหน่งอาลักษณ์ ต่อมาโปรดเกล้าให้เป็นกวีที่ปรึกษาและทรง
แต่งต้ังให้เป็นขุนสุนทรโวหารในกรมพระอาลักษณ์ สุนทรภู่ได้อยู่กับภรรยาคือนางจันและบุตรคือหนูพัด แต่
สุนทรภู่ยังคงกินเหล้าและเจา้ ชู้ จนมีภรรยาอีกคนหน่ึง ชื่อนิ่มทาให้นางจันโกรธ เกิดทะเลาะกันรนุ แรงสุนทร
ภู่ไปทารา้ ยลงุ ของนางจันท่ีมาห้ามปรามทาให้ตอ้ งถกู จองจาระหว่างตดิ คกุ สุนทรภู่ได้แต่งเร่ือง พระอภยั มณขี าย
พอเลี้ยงตัวในยามยาก
ภายหลังพ้นโทษสุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรพระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๒ นับได้ว่าในสมัย
รัชกาลท่ี ๒ เป็นช่วงท่ีสุนทรภู่มีชีวิตที่รุ่งเรืองที่สุด เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่ออกจากราชการและออก
บวช เมื่อลาสิกขาแล้วถวายตัวอยู่กับพระองค์เจ้าลักขณานุคุณอยู่ได้ปีหน่ึง คร้ันเมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ
ส้ินพระชนม์ สุนทรภู่ขาดท่ีพึ่งจึงได้รับความยากลาบากต้องพายเรือและแต่งหนังสือขายเพื่อเล้ียงชีพใน บ้ัน
ปลายของชีวิตสุนทรภู่ได้รับความอุปถัมภ์จากกรมหมื่นอัปสรสุดา-เทพ ในสมัยในรัชกาลท่ี ๔ สุนทรภู่ได้รับ
การแต่งตง้ั เปน็ พระสุนทรโวหารเจา้ กรมอาลักษณ์ฝ่าย-พระราชวงั บวร ถึงแก่กรรมเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๘ รวมอายุ ๗๐ ปี
๔. การจดั การเรยี นการสอน เร่อื ง การเขียนย่อความ
กำรเขียนย่อควำม คือ กำรจับใจควำมสำคัญสำรแล้วนำใจควำมสำคัญมำเรียบเรียงใหม่เป็นภำษำของ
ตนเอง จำกนั้นเขียนบันทึกตำมรูปแบบกำรเขียนย่อควำม หลักกำรเขียนย่อควำม 2 รูปแบบ คือ
กำรตัดข้อควำม และกำรใช้หลักจับใจควำม 5w1H และรูปแบบกำรเขียนย่อควำม ซ่ึงผู้เรียนจะได้ใช้ท้ังทักษะ
กำรคิด และทักษะกำรสอ่ื สำร
๔.๑ ควำมหมำยของกำรเขียนยอ่ ควำม
การเขยี นยอ่ ความ หมายถงึ การนาใจความสาคัญของเรื่องมาเรียบเรยี งใหม่ ให้มีเนอ้ื ความทสี่ ั้น
กระชับ และเขา้ ใจง่าย เพ่ือให้สะดวกในการอา่ น การเขียนย่อความเปน็ การเขียนจากการอา่ นเกบ็ ใจความ
สาคัญเรื่องทอ่ี า่ น แลว้ นามาเรียบเรยี งใหมเ่ ปน็ ถ้อยคาสานวนของผูเ้ ขยี นเอง โดยเขยี นในรูปแบบของย่อความ
หลังจากทอี่ ่านเนอ้ื หาทย่ี อ่ ความแลว้ ยังสามารถที่จะเขา้ ใจเนอ้ื หาได้ท้ังหมด
๔.๒ สว่ นประกอบของย่อความ
ยอ่ ความประกอบดว้ ยส่วนสาคญั ๒ ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนคานา และสว่ นเนือ้ เร่ือง
๔.๒.๑ สว่ นนาเปน็ แบบขึ้นตน้ ยอ่ ความเพื่อบอกทีม่ าของเรอ่ื งให้ผู้อ่านทราบ
๔.๒.๒ สว่ นเน้ือเรื่อง เป็นสว่ นเนอ้ื หาที่เรยี บเรียงแล้ว มีย่อหน้าเดียว
๔.๓ หลกั ในการเขียนย่อความ
๔.๓.๑ อา่ นเนอื้ เรื่องโดยละเอียดอยา่ งน้อย ๒ รอบ เพื่อทาความเขา้ ใจเน้ือหา อะไร ใครทาอะไร กบั
ใคร ท่ีไหน
เมอ่ื ไร มผี ลเปน็ อย่างไร และสุดท้ายเปน็ แบบใด
๔.๓.๒ แยกวา่ เน้ือหาทนี่ าเสนอเป็นงานเขยี นแบบใด ข้อเท็จจรงิ ข้อคดิ เหน็ หรือแสดงอารมณ์
๔.๓.๓ บนั ทกึ เนอื้ หาที่สาคญั เปน็ ถอ้ ยคาของผเู้ ขียน
๔.๓.๔ ตัดเนื้อหาท่ไี ม่จาเปน็ ออก เชน่ การยกตัวอยา่ ง รายละเอียด ส่วนผสม การเปรยี บเทยี บ
๔.๓.๕ ถ้ามีเน้อื หาเกยี่ วกบั คาพูด ตอ้ งเปลี่ยนสรรพนามบุรุษท่ี ๑ และ ๒ กลายเป็นสรรพนามบรุ ุษ
ที่ ๓
๙๒
๔.๓.๖ ไม่ควรยอ่ ความเปน็ อักษรย่อ ยกเว้นคาที่เข้าใจดี เชน่ พ.ศ.
๔.๓.๗ ใชค้ าส้ันท่สี ดุ และเขา้ ใจงา่ ย
๔.๓.๘ ใช้คาทีค่ รอบคลุม เช่น ชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ ให้ใชค้ าวา่ เกษตรกร แทน
๔.๓.๙ ในกรณที ี่เปน็ คาราชาศพั ท์กต็ ้องเขียนให้ถูกต้อง ห้ามยอ่ ความ
๔.๓.๑๐ คาบางคาท่ีต้องแปลความหมายควรเปลี่ยนเป็นคาท่ีอ่านง่าย เช่น มวลบุปผาชาติสุมาลีส่ง
กลิน่ ขจรอบอวลในไพรสณฑ์ ควรเขยี นใหมว่ ่า เหล่าดอกไม้ในป่าสง่ กล่นิ หอม
๔.๔ ประโยชนข์ องการย่อความ
๔.๔.๑ ช่วยให้การอ่านการฟงั ไดผ้ ลดยี ิง่ ขึน้ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจและจดจาข้อความทส่ี าคัญที่ไดอ้ ่าน หรือฟัง
ไดส้ ะดวกรวดเรว็
๔.๔.๒ ชว่ ยในการจดบนั ทกึ เม่ือได้ฟงั หรือศึกษาวิชาใด ร้จู กั จดข้อความทสี่ าคัญลงในสมดุ ได้ทันเวลา
และ ได้เร่ืองราว
๔.๔.๓ ช่วยในการเขยี นตอบแบบฝึกหัดหรอื ข้อสอบ
๔.๔.๔ ช่วยเตอื นความจานกั เรียนอ่านหนังสือ แล้วทาบทยอ่ เปน็ ตอนๆ จะชว่ ยใหไ้ ม่ต้องอา่ นหนังสอื
ซา้
๔.๕ รูปแบบการเขยี นขนึ้ ตน้ ย่อความสาหรบั งานเขียนประเภทตา่ ง ๆ
๔.๕.๑ งานเขียนประเภทบทร้อยกรองต่าง ๆ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ต้องบอกประเภท
ของบทรอ้ ยกรอง ช่อื เรอ่ื ง ผแู้ ตง่ ทม่ี า ว่ามาจากหนังสืออะไร หนา้ ใด
รูปแบบ
ย่อ.....(ประเภทของร้อยกรอง).......เรื่อง......(ชื่อบทรอ้ ยกรอง).......ของ......(ผ้แู ต่ง).............
ตอน.....(ช่อื ตอน)......จาก.......(ชื่อหนงั สอื )........หนา้ .......(เลขหนา้ )........ความว่า
............................ใจความ……………………………………………………………………………………………………………
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ตวั อย่าง
ย่อ นทิ านคากลอน เรอื่ ง พระอภัยมณี ของ สนุ ทรภู่ ตอน พระอภยั มณีหนีผีเส้ือสมุทร จากหนงั สอื
เร่อื งพระอภยั มณี หน้า ๑๔๕- ๑๖๐ ความว่า
พระอภยั มณีอย่กู บั ผีเสอ้ื สมทุ รจนมลี ูกอยู่ดว้ ยกนั คือสินสมทุ ร.......
๔.๕.๒ งานเขยี นประเภทรอ้ ยแกว้ เช่น นทิ าน ตานาน บทความ สารคดี ต้องบอก ประเภทของความ
เรยี งร้อยแก้ว ชือ่ เร่ือง ผแู้ ตง่ ช่อื หนงั สอื หนา้ ใด
รปู แบบ
ย่อ.....(ประเภทของความเรียงรอ้ ยแกว้ ).......เรื่อง......( ช่อื เรื่อง).......ของ.......(ชอื่ ผูแ้ ตง่ ).....
จาก.......(ชือ่ หนังสอื )........หนา้ .......(เลขหนา้ )........ความว่า
............................ใจความ……………………………………………………………………………………………………………
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๙๓
ตัวอย่าง
ย่อ บทความ เรอ่ื ง กรงุ เทพฯ เมืองสีเขียว ปลอดขยะ ของ สุนริ ินธน์ จิระตรัยภพ จากเนชัน่ สุด
สปั ดาห์ ปีที่ ๑๗ ฉบบั ท่ี ๘๕๙ วนั ที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ หน้า ๑๕ ความว่า
กรุงเทพเปน็ เมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นเมืองที่ตดิ อันดับน่าท่องเทย่ี ว....................
๔.๕.๓ งานเขียนประเภท ประกาศ แถลงการณ์ กาหนดการณ์ ระเบียบคาสั่ง ให้บอกช่ือประเภท
ชื่อเร่อื ง ผู้แต่ง วนั เดอื น ปี
รปู แบบ
ย่อ.....(ประเภทของงานเขยี น).......เรอ่ื ง......( ชอ่ื เรอื่ ง)..............ของ.......(ช่ือผูแ้ ตง่ )........
วัน เดือน ปี ............. ความวา่
.................ใจความ...............................................................................................................................
................................................................................................................ ..............................................................
ตวั อย่าง
ยอ่ กาหนดการ เรื่อง พระราชพธิ ีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเดจ็ พระเจา้ พนี่ างเธอเจ้าฟา้ กัลยาณิ
วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครนิ ทร์ ของ สานักพระราชวัง (วนั เดอื น ป)ี ระหว่างวัน ที่ ๑๔-๑๙
พฤศจิกายน ๒๕๕๑ความวา่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวและสมเดจ็ พระราชินีเสด็จพระราชดาเนินยังพธิ เี พื่อ..............
๔.๕.๔ งานเขียนประเภท พระราชดารัส พระบรมราโชวาท โอวาท ปาฐกถา สุนทรพจน์ คา
ปราศัย ให้ระบุว่าพระราชดารัส พระบรมราโชวาท โอวาท ฯลฯ เป็นของใคร แสดงแก่ใคร ช่ือเร่ือง โอกาส
สถานท่ี วนั เดอื น ปี
รูปแบบ
ยอ่ .....(ประเภทของงานเขยี น)....... ของ.......(ชื่อผู้แต่ง)........ พระราชทานแก.่ ................
เร่อื ง......( ช่อื เรือ่ ง)..............ในโอกาส..............ณ..............เมอื่ วนั ที่............. ความวา่
............................ใจความ……………………………………………………………………………………………………………
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ตวั อยา่ ง
ย่อ พระราโชวาท ของ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในโอกาส พิธีพระราชทาน
ปรญิ ญาบตั รแก่ผู้สาเรจ็ การศึกษาจากมหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประจาปีการศกึ ษา ๒๕๔๙ ณ
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ วทิ ยาเขตองครกั ษ์ จังหวัดนครนายก เม่ือ วันจันทร์ ที่ ๑๒ ธนั วาคม ๒๕๔๙
ความว่า
ขอให้ผทู้ ี่สาเรจ็ การศึกษาพงึ ตระหนักไวว้ า่ ทุกท่านเป็นผูซ้ ง่ึ ..............