The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการศึกษาวิจัยสภาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chaiwut, 2022-02-27 23:39:18

รายงานการศึกษาวิจัยสภาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

รายงานการศึกษาวิจัยสภาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

รายงานการศึกษาวิจัย

สภาพการจัดการเรียนการสอน
วิชา ประวัติศาสตร์

ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

รายงานการศกึ ษาวจิ ัย

สภาพการจดั การเรยี นการสอน
วิชาประวัตศิ าสตร์

ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

สานักมาตรฐานการศกึ ษาและพฒั นาการเรียนรู้
สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา
กระทรวงศึกษาธิการ
1

372.89 รายงานการศกึ ษาวิจยั เรื่อง สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์
ส 691 ร ระดบั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน
กรุงเทพฯ: 2564
91 หนา้
ISBN (E-book) : 978-616-270-335-5
1. สภาพการจัดการเรยี นการสอน 2. วชิ าประวัติศาสตร์ 3. ระดบั การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน

รายงานการศกึ ษาวิจยั เรอ่ื ง สภาพการจดั การเรยี นการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน

สงิ่ พมิ พ์ สกศ. ลาดบั ท่ี 81/ 2564
ISBN (e – book) 978-616-270-335-5

จดั ทา เรยี บเรียง และเผยแพร่
กลุ่มพฒั นานโยบายด้านการมสี ่วนรว่ มและสมัชชาการศกึ ษา และกลุ่มพัฒนานโยบายด้านการเรยี นรู้
สานักมาตรฐานการศกึ ษาและพัฒนาการเรยี นรู้
สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
99/20 ถนนสุโขทยั เขตดุสติ กรงุ เทพฯ 10300
โทรศัพท์ 0-2668-7123 ตอ่ 2522 โทรสาร 0-2243-1128
เวบ็ ไซต์ http://www.onec.go.th

ปกและภาพประกอบ design by canva.

1

คานา

การศึกษาวิจัย เรื่อง สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เป็นหน่ึงในนโยบาย quick win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวตรีนุช เทียนทอง) ที่ได้
มอบหมายให้ทกุ หนว่ ยงานในกระทรวงศกึ ษาธิการดาเนินการเกยี่ วกบั เรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์ตามบทบาท
และภารกิจของหน่วยงาน สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาโดยสานักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการ
เรยี นรู้ จึงไดด้ าเนินการศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ในลักษณะการวิจัย
คู่ขนานกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนท่ีจะต้องจัดตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึงการวิจัยมี
วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับประถมศึกษาและ
มธั ยมศกึ ษา และจัดทาเป็นขอ้ เสนอแนะทีม่ ีประสทิ ธิภาพในการจดั การเรียนการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ในระดับ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเน้นศึกษาแบบประเมินสภาพจริงของการจัดการเรียนการสอนในด้านผู้เรียน
ครูผู้สอน หลักสูตร วิธีการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล ส่ือ/ อุปกรณ์การเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้
และประเด็นอน่ื ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง

การศึกษาวิจัยคร้ังนี้ สานักงานฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากหลายภาคส่วนในการให้ข้อมูลทั้ง
เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยข้อมูลเชิงปริมาณจัดทาเป็นแบบสอบถามออนไลน์สอบถามไปยังสถานศึกษา
ทุกสังกัดทั่วประเทศ และข้อมูลเชิงคุณภาพมาจากข้อเสนอแนะเพิ่มเติม การสนทนากลุ่มย่อยครูผู้สอนและ
ผู้เรียน รวมถึงการปรึกษาหารือผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความเช่ียวชาญด้านประวัติศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ อย่างไรก็ดี
ในอดีตสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้เคยมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข
การจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ พบปัญหาร่วมสมัยของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสต ร์
ได้แก่ ผู้เรียนไม่เห็นความสาคัญของวิชาประวัติศาสตร์ การจัดเวลาสอนในหลักสูตรที่ไม่เพียงพอ ทาให้ไม่
สามารถจัดการเรียนการสอนได้ครบถ้วนตามเน้ือหาและไม่สามารถลงลึกในรายละเอียด ส่ือการเรียนการสอน
ไม่เพียงพอ สถานศึกษาให้ความสาคัญน้อยและไม่ค่อยจัดสรรงบประมาณเพ่ือจัดหาส่ือในกลุ่มสาระ
ประวตั ิศาสตร์ รวมทัง้ ครูท่ีสอนวชิ าประวัติศาสตร์เองกไ็ มไ่ ดจ้ บการศกึ ษาวิชาเอกประวัติศาสตร์โดยตรง เป็นต้น
ซ่ึงจากสภาพปัญหาในอดีตที่เคยศึกษาวิจัยถือว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในประเทศยังไม่
ประสบความสาเร็จเทา่ ท่คี วร

ในปี 2564 จึงถือได้ว่าเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ทุกฝ่ายหันมาให้ความสนใจต่อการพัฒนาการจัดการ
เรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และความ
ตอ้ งการของสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาวิจัย

ทางการศึกษาของประเทศ จึงมุ่งหวังเป็นอย่างย่ิงว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย รวมถึง
เอกสารฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์ ช่วยให้เกิดการเปล่ียนแปลงท้ังในระดับนโยบายและ
ระดบั ปฏบิ ตั ิ เกิดการวางรากฐานใหม่ของการจัดการศกึ ษาวิชาประวตั ศิ าสตร์ให้มีความ
น่าสนใจ เปิดโอกาสให้มีคิดวิเคราะห์ ถกแถลงประวัติศาสตร์ในหลากหลายแง่มุมบน
ข้อเท็จจริง และเกิดชุดความคิดหรือองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการแลกเปล่ียน เพ่ือนา

วิธีการบนชุดความคิดไปใช้เป็นฐานในการดาเนินชีวิต สาหรับการเป็น “คนไทย”
ทจี่ ะใชช้ ีวติ ต่อไปใน “ประเทศไทย”

(นายอานาจ วชิ ยานุวัติ)
เลขาธกิ ารสภาการศึกษา

2

สารบัญ

คานา หนา้
บทสรุปผู้บริหาร
1

บทนา 8
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 8
วิธดี าเนนิ การวจิ ยั 8
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 9
เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการศกึ ษาวิจยั 9
การเก็บรวบรวมข้อมูล 9
การวิเคราะห์ขอ้ มลู 10

ผลการศึกษาเอกสาร 12
12
ความหมาย ความสาคัญ และคณุ ค่าของประวัตศิ าสตร์ 14
พฒั นาการของหลกั สตู รวชิ าประวัติศาสตร์ 19
สภาพการจดั การเรยี นการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ 21
ข้อเสนอเพอ่ื พัฒนาการจดั การเรียนการสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์

ผลการศึกษาวจิ ยั 27
27
การศกึ ษาวิจยั เชิงปรมิ าณ 43
การศึกษาวจิ ัยเชงิ คุณภาพ

ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับ 47
การศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน

เอกสารอ้างองิ 52

ภาคผนวก 54
60
สภาพการจัดการเรียนการสอนวชิ าประวัติศาสตร์ในตา่ งประเทศ 65
ขอ้ มูลจากครผู ู้สอนและผู้เรยี น 71
ข้อมลู จากการสัมภาษณ์เชงิ ลึก 77
ขอ้ มลู จากการประชมุ มหกรรมการศึกษาไทย 79
การประชมุ สนทนากลุม่ ยอ่ ย (Focus Group) 81
รูปภาพการประชุมมหกรรมการศึกษาไทย
คณะผ้จู ัดทา

3

สารบญั ตาราง

ตารางที่ 1 ตารางสรุปแนวทางการศกึ ษาวจิ ัย หนา้
ตารางที่ 2 ความสาคญั /จาเปน็ ความชอบ ความตอ้ งการสอนในวิชาประวตั ศิ าสตร์ 10
ตารางท่ี 3 ความพร้อมในการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ 32
ตารางที่ 4 ความเหมาะสมของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เก่ียวข้องกับการจัดการ 35
เรยี นการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์ 36
ตารางที่ 5 การจดั การเรยี นรูใ้ นรายวิชาประวัติศาสตร์ในช่วง 3 ปีการศึกษาท่ีผ่านมา (2562
– 2564) 37
ตารางที่ 6 ความพึงพอใจท่ีมีตอ่ การจัดการเรยี นการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์
ตารางที่ 7 สภาพการจดั การเรียนการสอนในตา่ งประเทศ 42
ตารางท่ี 8 ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของครูผู้สอนท่ีมีต่อสภาพการจัดการเรียนการ 54
สอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน 60
ตารางท่ี 9 ข้อคดิ เห็น ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของผู้เรียนท่ีมีต่อสภาพการจัดการเรียนการสอน
วชิ าประวัตศิ าสตร์ ระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 63

4

สารบัญรปู ภาพ

ภาพท่ี 1 หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ หนา้
ภาพที่ 2 หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ 12
ภาพท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 13
ภาพที่ 4 หลกั สตู รประโยคประถมศึกษาตอนปลาย พทุ ธศกั ราช 2503 15
ภาพท่ี 5 หลักสูตรประถมศึกษา พทุ ธศกั ราช 2521 16
ภาพที่ 6 หลกั สูตรมัธยมศึกษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521 16
ภาพที่ 7 หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2544 17
ภาพท่ี 8 หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 17
ภาพท่ี 9 เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม (ครผู ู้สอน) 18
ภาพท่ี 10 อายขุ องผตู้ อบแบบสอบถาม 28
ภาพที่ 11 ระดับการศกึ ษาของผู้ตอบแบบสอบถาม 28
ภาพที่ 12 ประสบการณ์การทางานของผู้ตอบแบบสอบถาม 29
ภาพที่ 13 ข้อมูลโรงเรยี นของผู้ตอบแบบสอบถาม 29
ภาพที่ 14 สาขาวิชาเอกท่ีจบของผู้ตอบแบบสอบถาม 30
ภาพที่ 15 ระดับช้นั ที่สอนของผู้ตอบแบบสอบถาม 30
ภาพท่ี 16 งานอื่นทไี่ ด้รบั มอบหมายของผู้ตอบแบบสอบถาม 31
ภาพที่ 17 การได้รบั ความรู้ หรือ การฝกึ อบรมเก่ยี วกบั การสอนประวตั ิศาสตร์ 31
ภาพที่ 18 การได้รับความรู้/การฝึกอบรมด้านการออกแบบการสอนและวิธีการสอนของวิชา 33
ประวัติศาสตร์ 33
ภาพท่ี 19 การได้รับความรู้/การฝึกอบรมด้านการฝึกปฏิบัติ กิจกรรมในชั้นเรียน การนา
ความรทู้ ่ีเรียนไปปฏบิ ตั ิในชัน้ จรงิ หรอื การฝกึ สอน 34
ภาพท่ี 20 การไดร้ ับความรู้/การฝกึ อบรมดา้ นการผลติ และใช้สอ่ื การสอนวชิ าประวัติศาสตร์
ภาพที่ 21 การไดร้ ับความรู้/การฝึกอบรมด้านการวัดและประเมนิ ผลในวชิ าประวตั ศิ าสตร์ 34
ภาพท่ี 22 ความเหมาะสมของหลกั สูตรวชิ าประวตั ศิ าสตร์ 35
ภาพท่ี 23 เพศของผูต้ อบแบบสอบถาม (ผเู้ รียน) 36
ภาพท่ี 24 ระดับชั้นทีศ่ ึกษาของผูต้ อบแบบสอบถาม 38
ภาพที่ 25 การเหน็ ความสาคญั ของวชิ าประวตั ศิ าสตรข์ องผตู้ อบแบบสอบถาม 39
ภาพท่ี 26 การเห็นความจาเป็นของวิชาประวตั ศิ าสตร์ของผ้ตู อบแบบสอบถาม 39
ภาพที่ 27 ความชอบทมี่ ีตอ่ วิชาประวัตศิ าสตรข์ องผู้ตอบแบบสอบถาม 40
27

1

บทสรปุ ผู้บริหาร

การศึกษาวิจัย เรื่อง สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
เป็นหนึ่งในนโยบาย quick win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวตรีนุช เทียนทอง) ท่ีได้
มอบหมายให้ทกุ หน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการดาเนนิ การเกี่ยวกบั เร่ืองการศึกษาประวัติศาสตร์ตามบทบาท
และภารกิจของหน่วยงานสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยสานักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการ
เรียนรู้จึงได้ดาเนินการศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ในลักษณะการวิจัย
คู่ขนานกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนท่ีจะต้องจัดตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระหว่างเดือน
มิถุนายน – กันยายน พ.ศ. 2564 การศึกษาวิจัยฯ ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมากจากทุกภาคส่วนที่
เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ ครูผู้สอน ผู้เรียน และภาคประชาสังคม ซ่ึงความสนใจใน
ประเด็นการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์สะท้อนจากจานวนข้อมูลผู้ตอบแบบสอบถามท่ีได้รับจาก
ครผู ู้สอนจานวน 10,884 คน และผู้เรียนจานวน 60,887 คน ทว่ั ประเทศ รวมถึงการได้รับความอนุเคราะห์จาก
ผูท้ รงคณุ วุฒิ ผู้เช่ียวชาญ อาทิ ศาสตรจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ดร.วิเชียร เกตุสิงห์ ดร.เฉลิมชัย พันธ์เลิศ
ผศ.ดร.พพิ ฒั น์ กระแจะจันทร์ และอาจารยป์ ิง เจริญศิริวัฒน์ (อาจารย์ปิง ดาว้องก์) ในการให้ข้อเสนอแนะและ
ขอ้ คดิ เหน็ เพอื่ พฒั นาการจัดการเรยี นการสอนประวตั ิศาสตร์ ระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน

การศกึ ษาวิจัยฯ ประกอบดว้ ยวตั ถุประสงค์หลักสาคญั คอื การศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์ ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และจัดทาเป็นข้อเสนอแนะท่ีมีประสิทธิภาพในการจัดการ
เรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยเน้นศึกษาแบบประเมินสภาพจริงของการ
จดั การเรยี นการสอนในดา้ นผ้เู รยี น ครูผสู้ อน หลกั สูตร วธิ ีการจัดการเรยี นการสอน การวัดและประเมินผล ส่ือ/
อุปกรณ์การเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้มี
การศึกษาวิจยั เร่ืองการจัดการเรยี นการสอนวชิ าประวัติศาสตร์ฯ ไว้เม่ือปี 2551 พบปัญหาสาคัญหลายประการ
ท่ีเป็นปญั หาตอ่ เน่อื งมาจนถงึ ปัจจุบนั อาทิ ผเู้ รียนไม่เหน็ ความสาคัญของวชิ าประวตั ิศาสตร์ การจัดเวลาสอนใน
หลักสูตรท่ีไม่เพียงพอ ส่ือการเรียนการสอนไม่เพียงพอ สถานศึกษาให้ความสาคัญน้อยและไม่ค่อยจัดสรร
งบประมาณเพื่อจัดหาส่ือในกลุ่มสาระประวัติศาสตร์ รวมท้ังครูที่สอนประวัติศาสตร์เองไม่ได้จบการศึกษา
วิชาเอกประวัติศาสตร์โดยตรง เป็นต้น คาถามสาคัญท่ีต้องกลับมาทบทวนและทางานอย่างหนักร่วมกันต่อไป
คือ “เพราะเหตุใด ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่” “ทุกภาคส่วนของสังคมได้มีการดาเนินการเพ่ือพัฒนาการจัดการ
เรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังหรือไม่” เพ่ือท้ายที่สุดแล้ว ภาพอนาคตของประเทศจะถูกสร้าง
จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคมรวมถึงวิชาประวัติศาสตร์จะกลายเป็นศาสตร์ท่ีสามารถกาหนด
จติ สานึกและวิธคี ดิ ของคนในสงั คมได้อย่างแท้จริง

ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับ
การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พบวา่ จากการสนทนากลมุ่ (Focus Group) ทง้ั กลุ่มครผู ้สู อนและผู้เรียน (วันที่ 7 – 8
กันยายน 2564) ให้ข้อมูลท่ีสอดคล้องตรงกันว่า “กระทรวงศึกษาธิการยังไม่จริงจังที่จะให้นักเรียนเรียนรู้
ประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่ิน ประวตั ศิ าสตรส์ งั คม และประวัตศิ าสตรภ์ ูมปิ ญั ญา เพ่ือเป็นจุดเริ่มต้นให้นักเรียนเข้าในใน
รากเหง้าและภาคภูมิใจในความเป็นมาของตน” และเม่ือสอบถามครูผู้สอนและผู้เรียนนอกวงสนทนากลุ่ม ใน
รูปแบบการเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์ การส่งเอกสารให้แสดงความคิดเห็น พบเสียงสะท้อนจานวนมากจากท้ัง
ครูผู้สอนและผู้เรยี นทมี่ คี วามคดิ เหน็ คลา้ ยคลงึ กนั ในประเด็นดงั กล่าว

จากการศึกษาวิจัยฯ ทาให้พบปัญหารายด้านซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คือ ปัญหาร่วมสมัยและมีความ
คล้ายคลึงกับผลการศึกษาในอดีต การศึกษาวิจัยคร้ังน้ีจึงได้กาหนดประเด็นท่ีจะศึกษาเรื่องสภาพการจัดการ

1

เรียนการสอนในด้านผ้เู รียน ดา้ นครูผู้สอน ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านหลักสูตร ด้านการ
จัดการเรยี นการสอน ดา้ นการวัดและประเมินผล ด้านตาราเรียน สื่อ และอุปกรณ์การเรียนรู้ ด้านแหล่งเรียนรู้
ด้านการสนบั สนนุ และประเดน็ อ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง สรปุ ผลการศกึ ษาไดด้ ังน้ี

ด้านผเู้ รยี น พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 80.0 มีความเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์สาคัญ (ร้อย
ละ 94.50) จาเป็น (ร้อยละ 89.40) และชอบเรียน (ร้อยละ 82.44) ทั้งน้ี การไม่เห็นความสาคัญ คิดว่าไม่
จาเป็นต้องเรียน และไม่ชอบเรียน อาจมีสาเหตุมาจากไม่ทราบจุดประสงค์และเห็นความสาคัญของการเรียน
รวมถงึ ไมส่ ามารถเช่อื มโยงกับชีวติ ประจาวนั ได้ รวมถึงเนื้อหาสาระของการเรียนมีมากเกินไป และการเรียนการ
สอนส่วนใหญ่เป็นแบบท่องจาไม่ได้มีการคิดวิเคราะห์ รวมถึงการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว การสอนเพียง
ประวัติศาสตร์กระแสหลัก ทาใหเ้ รยี นแล้วเกดิ ความรู้สกึ เบือ่ หน่าย ไมอ่ ยากเรยี นและไมม่ ีแรงจูงทจ่ี ะเรียน

ด้านครูผู้สอน พบว่า ครูผู้สอนเกินกว่าคร่ึง (ร้อยละ 51.30) เห็นว่า วิชาประวัติศาสตร์มีความสาคัญ
และมีความจาเป็นท่ีจะต้องเรียน พร้อมท่ีจะสอน (ร้อยละ 59.30) โดยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 70 ได้รับการ
ฝึกอบรมเก่ียวกับการสอนวิชาประวัติศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตาม พบครูผู้สอนที่ตอบแบบสอบถามน้อยกว่า
ครงึ่ หน่งึ ท่ียังคงชอบสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์ (ร้อยละ 39.20) และต้องการที่จะสอนวิชานี้ต่อไป (ร้อยละ 36.50)

ท้ังน้ี ผู้เรียนบางส่วนสะท้อนว่าระดับความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ส่งผลจาก ครูผู้สอน
บางส่วนไม่เข้าใจบทบาทของตนเองว่า “ครู คือ ผู้ถ่ายทอด ผู้กากับ” การไม่เห็นความสาคัญของวิชา
ประวัติศาสตร์ สอนไม่ตรงวิชาเอก ขาดประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจในวิชาประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน
ส่งผลให้ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบหรือวิธีการที่เหมาะสมกับโครงสร้างของหลักสูตรได้
ประกอบกับมีขอ้ จากัดเร่ืองงบประมาณและการสนับสนุนให้เข้ารับการอบรมเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน
วชิ าประวัตศิ าสตร์ อยา่ งไรกด็ ี ครผู ู้สอนและผ้เู รียนสะท้อนความคิดเหน็ ใกล้เคยี งกันว่า ความรู้และความเข้าใน
ใจเนื้อหาของครูผู้สอน ทัศนคติและบุคลิกภาพ รูปแบบและวิธีการสอนของครูผู้สอน ส่งผลโดยตรงต่อความ
สนใจและความอยากเรยี นของผเู้ รยี น

ด้านหลักสูตร รวมถึงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์ พบว่า จากการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ครูและผู้เรียนส่วนใหญ่เห็นว่า หลักสูตรมีความเหมาะสม
(ร้อยละ 74.3) แต่จากการเกบ็ ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ สะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ สภาพปัญหาของหลกั สูตรฯ ว่า หลักสูตรเน้น
รายละเอียดขอบข่ายของตัวช้ีวัดซึ่งส่งผลต่อเน้ือหาและสาระการเรียนรู้แกนกลางท่ีครูจะต้องจัดการเรียนการ
สอน เน้ือหาสาระบางเร่ืองไม่สอดคล้องกับบริบทท่ีเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้เรียนเห็นภาพได้
ตัวชี้วัดแม้มีการลาดับของเนื้อหาท่ีดีทั้งประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์สากลแต่ขาดความต่อเนื่องของ
เนื้อหา รวมถึงมาตรฐานและตัวชี้วัดขาดความเชื่อมโยงกับสาระอ่ืนและชีวิตประจาวันของผู้เรียน ส่งผลให้
ผเู้ รียนไม่เห็นคณุ คา่ ของส่งิ ทีเ่ รียนและกลายเปน็ วิชาทีน่ ่าเบ่อื ในท่สี ุด นอกจากนี้ ครูผสู้ อนและผเู้ รียนมีความเห็น
วา่ หลักสูตรไมเ่ หมาะสมกับช่วงวัยและระดับของการเรียน มาตรฐานการเรียนรู้บางข้อยากต่อการนาไปปฏิบัติ
ได้จริง รวมถึงในการจัดทาหลักสูตร หรือ การปรับหลักสูตรในแต่ละยุคสมัยไม่สามารถสะท้อน/แสดงให้สังคม
เห็นว่าหลักสูตรเหล่านั้นมาจากการวจิ ัยและการรบั ฟังเสยี งของทุกภาคส่วนอยา่ งแทจ้ ริง

ด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า ปัญหาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์เป็น
ปญั หาตอ่ เนอ่ื งมาจากหลักสตู ร ตาราเรียน/หนังสือ เน่ืองจากการจัดการเรียนการสอนต้องทาตามหลักสูตรการ
เรยี นรู้ เนือ้ หาจากตาราเรียน/หนังสือ เมื่อสอบถามผู้เรียนถึงความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์จากการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจในระดับต่า เพียงร้อยละ 38.10
อย่างไรก็ดี จากการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า ทั้งครูผู้สอนและผู้เรียนสะท้อนปัญหาท่ีน่าสนใจเกี่ยวกับการ
จัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่ การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเป็นวิชาเด่ียว ส่งผลให้การ
สอนขาดการบูรณาการกับเป้าหมายของวิชาสังคมท่ีเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนเป็นพลเมือง การจัดการเรียนรู้

2

วชิ าประวตั ิศาสตรม์ กั เปน็ ประวัตศิ าสตร์ที่เกีย่ วข้องกับสถาบันและการทาสงคราม การสอนปัจจุบันยังไม่ได้เน้น
การใหเ้ ด็กคดิ วเิ คราะหเ์ ทา่ ที่ควร สอนแบบ chalk and talk สอนตามแบบเรียนและท่องจา เน้นเน้ือหามากว่า
วิธีการ ส่งผลให้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับประวัติศาสตร์เป็นแบบท่องจามากกว่าความเข้าใจ ไม่สามารถ
ลาดับเหตุการณเ์ ชอ่ื มโยงกับทางประวัติศาสตร์ได้ ขาดการเรียนรู้จากสถานท่ีจริงและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
แตม่ บี างสว่ นทสี่ ะท้อนว่า ครูผู้สอนให้มีการวิเคราะห์ ตั้งคาถาม หาหลักฐานมายืนยัน นามาถกกันในห้องเรียน
เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นแสดงความคิดเห็นและเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น สะท้อนให้เห็นว่า การจัดการเรียนการ
สอนวิชาประวัตศิ าสตรข์ ึน้ อยู่กับการออกแบบของครูผู้สอนและสังกัดโรงเรียน นอกจากน้ี เม่ือได้เก็บข้อมูลจาก
ครูผู้สอนบางส่วนเพ่ิมเติมผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์และผ่านแบบแสดงความคิดเห็นนั้น ได้สะท้อนถึง
ปัญหาการเปิดกว้างทางวิชาการในเรื่องการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาส ตร์ในอีกมิติหนึ่งท่ีน่าสนใจว่า
การมีข้อจากัดทางกฎหมายทาให้การพูดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ท่ีเปราะบาง หรือ เป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์
ร่วมสมัยหรือประเด็นทางสังคมไม่สามารถทาได้อย่างเต็มที่ ครูสังคมศึกษาและครูประวัติศาสตร์ มักหลีกเล่ียง
การตอบถามที่เก่ียวขอ้ งกับประเดน็ อ่อนไหวเหลา่ น้ี หากทาใหเ้ รื่องเหล่านส้ี ามารถพูดคุยกันได้ในวงกว้างโดยถือ
เปน็ การถกเถียงกนั ทางวชิ าการท่ีตั้งอยู่บนวิธีการทางประวัติศาสตร์โดยมีหลักฐานและข้อเท็จจริง จะทาให้การ
จัดการเรยี นการสอนวชิ าประวตั ิศาสตรม์ ีความนา่ สนใจมากยง่ิ ข้ึน

นอกจากนี้ จากการสนทนากลุ่มย่อยครูผู้สอนและผู้เรียนรวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิต่าง
สะทอ้ นปัญหาท่ีน่าสนใจเกีย่ วกับการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่ การแยกวิชาประวัติศาสตร์
ออกมาเป็นวิชาเดี่ยว ส่งผลให้การสอนขาดการบูรณาการกับเป้าหมายของวิชาสังคมท่ีเตรียมความพร้อมให้
ผเู้ รยี นเปน็ พลเมอื ง การจดั การเรียนรูว้ ชิ าประวัติศาสตร์มักเป็นประวัติศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับสถาบันและการทา
สงคราม การสอนปัจจุบันยังไม่ได้เน้นการให้เด็กคิดวิเคราะห์เท่าที่ควร สอนแบบ chalk and talk สอนตาม
แบบเรียนและท่องจา เน้นเนื้อหามากว่าวิธีการ ส่งผลให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นแบบ
ท่องจามากกว่าความเข้าใจ ไม่สามารถลาดับเหตุการณ์เชื่อมโยงกับทางประวัติศาสตร์ได้ ขาดการเรียนรู้จาก
สถานที่จริงและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย แต่มีบางส่วนท่ีสะท้อนว่า ครูผู้สอนให้มีการวิเคราะห์ ตั้งคาถาม
หาหลักฐานมายนื ยนั นามาถกกนั ในห้องเรียน เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนแสดงความคิดเหน็ และเปิดกวา้ งรับฟงั ความ
คดิ เห็น สะท้อนให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ข้ึนอยู่กับการออกแบบของครูผู้สอนและ
สังกดั โรงเรียน

ด้านการวัดและประเมินผล พบว่า เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากหลักสูตร ตาราเรียน/หนังสือ
(เช่นเดียวกับปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอน) จากการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณกลุ่มครูผู้สอนเรื่องการเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดแนวทางการวัดและประเมินผล รวมถึงการวัดและประเมินผลท่ี
หลากหลาย พบว่า ครูผ้สู อนสว่ นใหญม่ ากกวา่ ร้อยละ 90.13 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดแนว
ทางการวัดและประเมินผลและวิธีการวัดและประเมินผลของครูผู้สอน ซึ่งสวนทางกับข้อมูลเชิงปริมาณกลุ่ม
ผู้เรียนที่คณะผู้วิจัยได้รับ พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจกับการวัดและประเมินผลของครูผู้สอน เพียงร้อยละ
39.60 โดยให้ขอ้ มลู วา่ รปู แบบ / แนวทางการวัดและประเมนิ ผลของครูผู้สอนยังไม่มีความหลากหลายมากพอ
เป็นการวัดประเมินผลท่ีมีคาตอบเดียว ประเมินเพียงความรู้ความเข้าใจ และไม่ได้มีการวัดทักษะของผู้เรียน
เมื่อสอบถามผู้เรียนเฉพาะเจาะจงในแต่ละระดับจากการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสนทนากลุ่ม พบว่า
ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา บางส่วนสะท้อนว่า การวัดประเมินผลยังเป็นการให้ท่องจาและนาไปสอบ บางคร้ัง
ข้อสอบออกไม่ตรงกับเรื่องท่ีสอน บางคร้ังครูผู้สอนใช้วิธีการให้อ่านหนังสือและติวก่อนสอบ การสอบยังเป็น
เรื่องการจา ขณะท่ี ผู้เรียนระดับประถมศึกษา บางส่วนสะท้อนว่า ครูผู้สอนมีทั้งสื่อสารและไม่สื่อสารถึงแนว
ทางการวัดและประเมินผล ท้ังน้ี ผู้เรียนต้องการให้ครูผู้สอนสื่อสารและมีแนวทางการวัดและประเมินผลท่ี
หลากหลาย เช่น การสอบย่อย / ทดสอบระหว่างเรียน - หลังเรียน (มีทั้งข้อกากบาทและข้อเขียน) สอบกลาง

3

ภาค / ปลายภาค การเก็บคะแนนจากใบงาน / รายงาน (แบบรายบุคคลและรายกลุ่ม) Portfolio สะสมผลงาน
เป็นตน้

นอกจากนี้ จากการเก็บข้อมูลเพ่ิมเติมจากครูผู้สอน มีข้อค้นพบท่ีน่าสนใจ สะท้อนถึงการวัดและ
ประเมินผลในระดบั ชาตทิ ี่ส่งผลกระทบตอ่ การวัดและประเมินผลในวชิ าประวัติศาสตร์ว่า การทดสอบระดับชาติ
หรือ O-NET มักออกข้อสอบตามตามตัวชี้วัด ซ่ึงย้อนแย้งกับการจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินของ
ครผู สู้ อน/สถาบันกวดวิชา ทอ่ี อกข้อสอบหรือเก็งข้อสอบตามหนังสือและตาราเรยี น ส่งผลใหผ้ ู้เรยี นสว่ นใหญไ่ ม่
สามารถทาข้อสอบได้

ด้านตาราเรยี น ส่อื และอปุ กรณก์ ารเรยี นรู้ พบว่า ในหลายภาคส่วนคิดเห็นตรงกันว่าเป็นปัญหา
สาคัญและตอ้ งดาเนินการอย่างเรง่ ดว่ น และเป็น quick win ทห่ี ากดาเนนิ การสาเร็จจะส่งผลกระทบต่อด้านอื่น
ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลท่ีได้มาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกว่า “พบปัญหาสาคัญตั้งแต่การผลิต
หนังสือเรียนหลายสานักพิมพ์ หนังสือเรียนท่ีไม่ได้มาตรฐานเพราะเน้ือหาเร่ืองเดียวกันแต่ให้ข้อเท็จจริงใน
รายละเอียดแตกต่างกัน รวมท้ังเนื้อหาของแต่ละสานักพิมพ์ไม่เหมือนกันและการไม่เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายท่ี
แท้จริงของหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์... หนังสือเรียนท่ีมีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้มีการไล่ข้อมูลตามเหตุการณ์
ใส่รายละเอียดเน้ือหาสาระที่ผู้เรียนต้องรู้มากเกินไปและไม่สาคัญ... และควรใส่ข้อมูลบุคคลสาคัญในการสร้าง
ชาติกย็ งั จาเปน็ ต้องคงไวเ้ นือ่ งจากเปน็ แก่นสาระสาคญั ของการสรา้ งความเปน็ ชาติไทย...”

เมื่อสอบถามครูผูส้ อนและผู้เรียนถงึ ความพึงพอใจท่ีมีต่อตาราเรียน สื่อ และอุปกรณ์การเรียนรู้ จากการ
เกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณและเชงิ คุณภาพ พบวา่ ยังไม่น่าพึงพอใจ เน่ืองจากปัญหาของหนังสือเรียนที่นามาสอนมา
จากหลายสานกั พมิ พ์ มเี น้ือหาสาระท่ีไม่ได้มาตรฐานเพราะเนื้อหาเรื่องเดียวกันแต่ให้ข้อเท็จจริงในรายละเอียด
แตกต่างกัน นอกจากน้ันครูผู้สอนได้สะท้อนเพ่ิมเติมในประเด็นเน้ือหาของแต่ละสานักพิมพ์ท่ีจัดพิมพ์ไม่
เหมอื นกันและการไมเ่ ข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของตาราเรียน ซ่ึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริง คือ การทาให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้ นอกจากน้ี เนื้อหาในตาราเรียนไม่ได้มีการให้ข้อมูลในลักษณะเรื่องเล่า ท้ัง ๆ ที่ วิชา
ประวัติศาสตร์เทคนิคสาคัญของการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ คือ การเล่าเรื่อง แต่หนังสือ
เรียนท่ีมีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้มีการไล่ข้อมูลตามเหตุการณ์ แต่เป็นเน้ือหาที่ระบุผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องราว เช่น
สาเหตุของการเสียกรุงฯ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรเล่าเรื่องราวต้ังราวแต่เร่ิมต้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความ
สนใจและอยากเรียนรู้มากย่ิงข้ึน และผู้เรียนบางส่วนยังสะท้อนว่า หนังสือและตาราเรียน มีเน้ือหาที่ไม่
ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของประวัติศาสตร์ ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงด้านเดียว ประกอบกับปัญหาอื่น
ๆ อาทิ การขาดส่ือการเรียนที่น่าสนใจ/ขาดแคลนอุปกรณ์ท่ีเอ้ือต่อการเรียน เช่น ขาดสัญญาณอินเทอร์เน็ต
หรอื สถานศึกษาบางแหง่ ขาดแคลนโทรทศั น์สาหรับเปิดส่ือการเรียนซ่ึงมีไม่เพียงพอต่อทุกห้อง/ระดับ การขาด
งบประมาณในการซอ่ มบารุงส่ือและอุปกรณ์การเรียนรู้ การเข้าถงึ สื่อและแหลง่ การเรียนรู้ทเ่ี ข้าถึงไดย้ ากและไม่
หลากหลายหลาย นอกจากน้ี พบปัญหาที่ทับซ้อนกัน คือ ส่ือการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่ีดีอยู่ภายใต้
กระทรวงวัฒนธรรม ทาให้เกิดปัญหาในการนาสื่อมาใช้ เพราะกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งเก็บอย่างเดียวไม่เปิด
โอกาสใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยนในวงการการศกึ ษา

ด้านแหล่งเรียนรู้ พบว่า จากการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ครูผู้สอนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 95.33) มีการ
สอดแทรกการสอนเร่ือง ภูมิปญั ญาไทย/ ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน หรอื แหล่งเรยี นรู้ รวมถงึ ใชแ้ หลง่ เรียนรู้/ ภมู ปิ ญั ญา
ท้องถ่ินในการจัดการเรียนการสอน แต่อย่างไรก็ตาม พบเสียงสะท้อนสาคัญเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ ได้แก่ แหล่ง
เรียนรู้มีน้อยและขาดความหลากหลาย ไม่มีแหล่งเรียนรู้ที่ตรงกับตัวชี้วัด ไม่มีงบประมาณสาหรับศึกษาแหล่ง
เรียนรู้ มีการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้เข้ากับยุคสมัยบ้างแต่ยังไม่มากเท่าท่ีควร ในต่างจังหวัดผู้เรียนเข้าถึงแหล่ง
การเรียนรู้ได้ยาก เนือ่ งจากแหล่งเรยี นรอู้ ยไู่ กล นอกจากนี้ แหลง่ ขอ้ มูลทางประวตั ิศาสตร์ขาดความเช่อื มโยงกนั

4

ด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอกต้นสังกัด พบว่า จากการเก็บ
ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ครูผู้สอนให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัด
(ร้อยละ 75.86) และไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก (ร้อยละ 45.62) ทั้งน้ี พบว่า ในบาง
โรงเรียนยังขาดการสนับสนนุ จากผู้บรหิ าร และการไมใ่ หค้ วามสาคัญกับวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ โดย
มีทัศนคติที่ว่า “วิชาประวัติศาสตร์ใคร ๆ ก็สอนได้ หรือ เป็นวิชาง่าย ๆ แค่ท่องจา ครูเปิดหนังสือสอนก็ได้ไม่
เหน็ ยากอะไร” นอกจากน้ี ขาดการจัดสรรงบประมาณเพ่ือศึกษาเรียนรู้ในรายวิชาประวัติศาสตร์และการศึกษา
แหลง่ เรียนรจู้ รงิ

ประเดน็ อื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง พบว่า สภาพปัจจุบัน ปัญหา และอุปสรรคของการจัดการเรียนการสอน
วชิ าประวัตศิ าสตร์ ไดแ้ ก่

(1) คะแนนรายวิชาประวัติศาสตร์อยู่ในระดับต่ามาก จากคะแนน O-NET ในรายวิชาสังคมศึกษาท่ี
เนื้อหาข้อสอบต้องออกคละกันในวิชาภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หน้าท่ีพลเมือง ศาสนา และประวัติศาสตร์
พบว่า คะแนนในสว่ นของศาสนา เด็กทาได้มากที่สุด คิดเป็นคะแนนประมาณ 45 คะแนน รองลงมาคือ หน้าท่ี
พลเมือง ภูมิศาสตร์ คิดเป็นคะแนนประมาณ 36 คะแนน เศรษฐศาสตร์ คิดเป็นคะแนนประมาณ 35 คะแนน
โดยประวตั ิศาสตรเ์ ด็กได้คะแนนนอ้ ยทส่ี ดุ เฉลย่ี แล้วไมเ่ กิน 30 คะแนน (ปี 61 = 29.68 ปี 62 = 28 คะแนน ปี
63 = 29.30 คะแนน)

(2) ขาดการบรู ณาการและเช่ือมโยงให้มีความสอดคล้องกันต้ังแต่การพัฒนาหลักสูตร หนังสือเรียน การ
จัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล และการพัฒนาครู เช่น หลักสูตรของไทยลดบทบาทและความสาคัญ
ของรายวิชาประวัติศาสตร์ เน้ือหาสาระของหนังสือเรียนลดข้อมูลบุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ลง เช่น
พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ บุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ บุคคลสาคัญของประเทศไทย บุคคลสาคัญที่ทา
คุณงามความดี มคี ุณธรรม เสียสละเพอื่ ประเทศ เป็นตน้ ซ่ึงเป็นเน้ือหาสาคญั ของการสร้างชาติ

(3) ปัญหาเร่ืองการเข้าถึงฐานข้อมูลและส่ือสาหรับการเรียนรู้ของครูผู้สอนและผู้เรียน เช่น สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มี obec contents center แต่เกิดปัญหาเรื่องลิขสิทธ์ิส่งผลให้ไม่
สามารถเผยแพร่ข้อมลู ตา่ ง ๆ ได้ เปน็ ตน้

(4) นโยบายเร่งดว่ นจากส่วนกลาง ซึ่งขัดกบั นโยบายของหนว่ ยงานต้นสังกัด ส่งผลให้ตอ้ งยึดนโยบายจาก
สว่ นกลาง และกจิ รรมอย่างอ่ืนไป เช่น ในวิชาหน้าท่ีพลเมือง มีคาส่ังให้เรียนหน้าเสาธงแบบบูรณาการไม่มีการ
สอนในห้องเรียน ส่งผลให้โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนในวิชาเพิ่มเติม และตัดกิจกรรมลดเวลาเรียน เพ่ิม
เวลารไู้ ป

(5) ไม่ได้มีการกาหนดเป้าหมายท่ีชัดเจนของการเรียนประวัติศาสตร์ ว่าแท้จริงแล้ว ไทยต้องการให้เด็ก
เรียนประวัติศาสตร์เพ่ืออะไร รวมถึงการปลูกฝังประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือนไปจากความจริง และขาดการ
เชอื่ มโยงอดีตใหเ้ ขา้ ถงึ ปจั จบุ นั

(6) การรับรู้ กรอบแนวคิดและมุมมองที่มีต่อประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้ใหญ่
เดิมมกั อย่ใู น Concept ชาตินยิ ม ขณะท่ีเด็กอยใู่ นกล่มุ หลังชาตินิยม เปน็ ตน้

อยา่ งไรกด็ ี ปัญหาสาคัญและจาเป็นอยา่ งยงิ่ ที่จะต้องดาเนินการอย่างเร่งด่วน เพ่ือเป็นจุดเร่ิมต้นของการ
แก้ปัญหาอ่ืนในอนาคต คือ การร้ือ/ปรับ/จัดทามโนทัศน์ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
หลักสูตร หนังสือและตาราเรียนใหม่ ให้เชื่อมโยงกันและสอดคล้องกับความต้องการของยุค
สมัย รวมถึงการให้ความสาคัญกับการพัฒนาครูผู้สอนให้สามารถปฏิบัติการสอนได้สอดคล้อง
กับความตอ้ งการของผเู้ รยี นและยคุ สมัยทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป ดงั น้ี

5

1) การรื้อ/ปรับ/จัดทามโนทัศน์ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ หลักสูตร หนังสือ
และตาราเรียนใหม่

1.1) มโนทัศน์ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ข้อเสนอเพ่ือพัฒนามโนทัศน์
การเรียนการสอนประวัตศิ าสตร์ ดงั น้ี

(1) ควรใหค้ วามสาคญั กับวิชาประวัติศาสตร์ โดยกาหนดเป็นวาระสาคัญระดับชาติที่ทุกภาคส่วน
ต้องรว่ มดาเนนิ การแก้ไข พฒั นา และปรับปรงุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ยคุ สมยั มากยิ่งข้นึ

(2) ควรปรับมโนทัศน์ กรอบความคิดของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ใหม่ท่ีไม่ใช่
การสร้างชาติจากความเกลียดชัง ไม่นาสังคมในปัจจุบันไปตัดสินสังคมในอดีต การสร้างความรู้ความเข้าใจท่ี
ถกู ต้อง ยอมรบั ความจรงิ ว่า ปจั จุบันไม่สามารถควบคมุ การรับรขู้ องนกั เรียนได้ทัง้ หมด ทกุ ภาคสว่ นทาได้เพยี ง
อานวยความสะดวกและกาหนดขอบเขตในการเรยี นร้แู ก่ผูเ้ รยี น

(3) ประยุกต์ใช้ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองในการดาเนินงาน คือ หาจุดร่วมตรงกลาง หรือ หลัก 4c
Continue คือ เรื่องหรือเนื้อหาท่ีดีอยู่แล้วให้ดาเนินการอย่างต่อเนื่อง Combine คือ การรวบรวมหรือ
ผสมผสานเน้ือหาที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน Collect คือ การปรับปรุงหรือพัฒนาเน้ือหาให้ถูกต้องมากข้ึน
Create คือ สร้างสรรค์เน้ือหาใหม่ ๆ ข้ึนมา นอกจากนี้ ควรส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่ายครูให้เกิดขึ้น มีพี่
เลยี้ งไปชว่ ยให้เกิดข้ึนจรงิ รวมถงึ การท างานเชิงโครงสรา้ งตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตฉิ บบั ใหม่ ควร
ให้สมัชชาการศึกษาจังหวดั เป็นเจ้าภาพประวตั ิศาสตรใ์ นระดบั ท้องถนิ่

(4) ผลักดันให้เกิดแผนแม่บท หรือ Master Plan ของวิชาประวัติศาสตร์ โดยแต่งต้ัง
คณะกรรมการท่ีปรึกษาทางวชิ าการที่มีองค์ประกอบจากผรู้ ู้หลายภาคส่วน เพอ่ื ให้ลงลึกถึงเนื้อหาและแกน่ ทาง
ความคิดของความเป็นศาสตรใ์ นวิชาประวัติศาสตร์

1.2) การร้ือ/ปรับ/จัดทาหลักสูตรใหม่ ข้อเสนอเพ่ือพัฒนาหลักสูตร คือ การรื้อ/
ปรบั /จัดทาหลักสูตรใหม่ โดยปรบั เนอ้ื หา มาตรฐานและตัวชี้วดั ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับยุค
สมยั เป็นเนอื้ หาทีส่ ามารถนาพาผู้เรยี นไปสูก่ ารคิดวิเคราะห์และการพัฒนาตนเองเพ่ือนาไปสู่วิชาชีพของตนเอง
ปรับเน้ือหาให้เหมาะสมกับช่วงวัยและระดับช้ันของผู้เรียน เนื้อหากระชับ นาไปใช้ได้จริง ไม่เอนเอียงและ
สะท้อนความจริง เพิ่มประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งประวัติศาสตร์หลัก ประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประวัติศาสตร์บุคคลสาคัญในแต่ละภูมิภาค เช่น ภาคเหนือเรียนประวัติศาสตร์ล้านนา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียนประวัติศาสตร์อีสาน และภาคใต้เรียนประวัติศาสตร์มุสลิม-มลายู เป็นต้น โดย
คานงึ ถงึ การบูรณาการเนอ้ื หาร่วมกับรายวิชาอ่ืน การประยุกต์ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในการจัดการเรียนการ
สอน นอกจากนี้ ควรมีคณะทางานหลายส่วนเข้ามาร่วมดาเนินการในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ เช่น นักประเมิน
ผู้จัดการเรียนการสอน คนจัดทาหลักสูตร หนังสือเรียน สานักพิมพ์ นักประวัติศาสตร์ ผู้เรียน เป็นต้น เพ่ือให้
หลักสูตรเกิดความหลากหลายและตอบโจทยบ์ ริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปมากย่ิงขน้ึ

1.3) การร้ือ/ปรับ/จัดทาหนังสือและตาราเรียนใหม่ ข้อเสนอเพ่ือพัฒนาตาราและ
หนังสอื เรยี น ได้แก่

(1) ประเทศไทยควรใช้หนังสือเรียนเล่มเดียวกันและเป็นหนังสือเรียนท่ีได้รับการตรวจสอบ การ
เขียนอย่างถูกต้องจากผู้เช่ียวชาญ โดยร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องและคณะผู้เช่ียวชาญที่
หลากหลาย จากสาขาวิชาต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ทั้งอาจารย์ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษาในมหาวิทยาลัย
ศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอน และสมาคมวิชาการ รวมถึงนักวิชาการอิสระ เพื่อเป็นแนวทางสาหรับการพัฒนาตารา
หนังสือแบบเรียน และสื่อการเรียนการสอน และเพื่อให้เกิดความเป็นมาต รฐานของหนังสือเรียน
กระทรวงศกึ ษาธิการควรแตง่ ต้ังคณะทางานท่ีมีความเช่ียวชาญจากหลายภาคส่วนเพ่ือจัดทาต้นแบบตาราเรียน

6

หรือ พิมพ์เขียว (Blueprint) สาหรบั เป็นคู่มือครูที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน และเป็นหนังสือ/ตาราเรียนท่ี
ได้มาตรฐานใช้รว่ มกนั ในภาพรวมของประเทศ

(2) กระทรวงศึกษาธิการ โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ควรพัฒนาความ
ร่วมมืออยา่ งจริงจังร่วมกับหนว่ ยงานที่รบั ผิดชอบด้านประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมของประเทศ เพือ่ ให้สามารถ
นาส่ือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาใช้ได้ พัฒนาระบบฐานข้อมูลท่ีเช่ือมโยงถึงกัน รวมถึงมีงบประมาณ
สนับสนนุ อย่างจริงในการเข้าถึงและพัฒนาหนังสือ/ตาราเรียน/หลักฐาน/ส่ือและอุปกรณ์การเรียนรู้ในรายวิชา
ประวตั ิศาสตร์

2) การพัฒนาครูผู้สอนให้สามารถปฏิบัติการสอนได้สอดคล้องกับความต้องการของ
ผู้เรียนและยุคสมยั ท่เี ปล่ียนแปลงไป ข้อเสนอเพ่ือพฒั นาครูผูส้ อน ได้แก่

2.1) การผลิตครู ควรเพิ่มความสาคัญของวิชาประวัติศาสตร์ โดยอาจบรรจุให้สาขาวิชา
ประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในวิชาเอกของหลักสูตรการผลิตครูสอนสังคมศึกษา และผลิตครูสอนสังคมศึกษาเอก
ประวัติศาสตร์ให้มีมโนทัศน์ กระบวนการคิด กระบวนการสอน ที่สอดคล้องกับความต้องการและยุคสมัยท่ี
เปลีย่ นแปลง

2.2) การใช้ครู ควรจัดสรรบุคลากรครูท่ีครบวิชาให้แก่ทุกโรงเรียน นอกจากนี้ ควรลดภาระงาน
อนื่ ๆ ท่ีเขา้ มาเปน็ อุปสรรค เพื่อให้ครูได้สอนอย่างเต็มท่ี โดยโรงเรียนต้องให้ความสาคัญ และตระหนักว่า วิชา
ประวัติศาสตร์ คือ ศาสตร์สาคัญท่ีไม่ใช่ใครก็สอนได้ ไม่ใช่วิชาง่าย ๆ แค่ท่องจา ไม่ใช่วิชาที่ครูแค่เปิดหนังสือก็
สอนได้

2.3) การพัฒนาครู ควรเพ่ิมเติมในเร่ืองของการอบรมและพัฒนาครูให้เท่าทันกับการสอนยุคใหม่
สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและสังคมมากย่ิงข้ึน อาทิ การนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการเรียน
การสอนในวิชาประวัติศาสตร์ การมีคู่มือครู หรือ ตาราครู (มาตรฐานเดียวกันท้ังประเทศ) เพื่อใช้เป็นแนวทาง
จัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้น นอกจากน้ี ควรพัฒนาครูที่ไม่ได้จบตรงเอกให้ได้รับแนว
ทางการจดั การเรียนการสอนทถ่ี ูกตอ้ ง พรอ้ มมอบสอ่ื การเรยี นการสอน วสั ดอุ ุปกรณใ์ นการจัดการเรียนการสอน
และควรจัดอบรมและพัฒนาครูอยา่ งตอ่ เนือ่ ง

ทั้งน้ี ในส่วนข้อเสนอแนะเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้น
พ้นื ฐานไดม้ กี ารรวบรวมข้อเสนอแนะเพ่ือพัฒนาด้านอ่ืน ๆ ประกอบด้วย ด้านผู้เรียน ด้านการจัดการเรียนการ
สอน ด้านการวดั และประเมินผล ด้านแหล่งการเรยี นรู้ และด้านการสนับสนุน ซึ่งจะนาเสนอในสว่ นต่อไป.

7

บทนา

การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ถือเป็นวิชาสาคัญที่ทุกประเทศให้ความสาคัญ เนื่องจากวิชาประวัติศาสตร์
เป็นวิชาที่มีเป้าหมายหลักให้ผู้ที่ศึกษาเกิดความเข้าใจในตนเองและรากเหง้าของตนเอง โดยใช้ใช้หลักฐาน
ข้อเท็จจริงและการตีความ (Fact of Evidence and Interpretation) เป็นเคร่ืองมือสาคัญในการอธิบาย
เรอื่ งราวทางประวัติศาสตร์ นอกจากน้ีวิชาประวัติศาสตร์ยังมีวิธีการหรือขั้นตอนการศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่
ใหค้ วามสาคัญกับการต้ังคาถามเพ่ือรวบรวมสืบค้นข้อมูลอย่างลึกซ้ึงร่วมกับการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานต่างๆ
ก่อนการประเมินความน่าเชื่อถือและตัดสินใจเลือกข้อมูลเหล่าน้ันมาตีความแล้วอธิบาย เน้ือหาสาระของ
ปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์น้ันๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล อันนาไปสู่การค้นพบข้อเท็จจริง ความรู้ ความ
เข้าใจเรื่องราวในอดีต โดยอธิบายเหตุผลของเหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบัน ดังนั้นจุดมุ่งหมาย
ของการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์จึงเป็นการช่วยฝึกทักษะกระบวนการคิดให้เกิดการเรียนรู้ อย่างมีวิจารณญาณ
รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ตัดสินใจ ช่วยพัฒนาคุณลักษณะทางความคิด โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
สืบค้นเรื่องราวอย่างเป็นระบบตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตามมิติเวลาจากร่องรอยแหล่งข้อมูล ซึ่งสิ่งที่
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ในปัจจุบันก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากมีการค้นพบหรือมีข้อมูล ร่อยรอย หลักฐานใหม่ท่ี
น่าเช่ือถือ หรอื มีการตคี วามใหมจ่ ากหลักฐานเดิม

สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะหน่วยงานร ะดับนโยบายด้านการศึกษาของชาติ
เห็นความสาคัญของการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ท่ีสถานศึกษาจะต้องจัดการเรียนการสอนให้ บรรลุ
วัตถุประสงค์และตัวช้ีวัดตามที่หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กาหนดไว้ สานักงานเลขาธิการ
สภาการศึกษา จึงจัดทาโครงการศึกษาวิจัยสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน โดยมุ่งศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และจัดทาเป็น
ข้อเสนอแนะการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่ีมีประสิทธิภาพของโรงเรียนระดับการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐานท่ัวประเทศ การศึกษาคร้ังน้ีเน้นศึกษาแบบประเมินสภาพจริงของการจัดการเรียนการสอนใน
ด้านผู้เรียน ครูผู้สอน หลักสูตร วิธีการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล สื่อ/อุปกรณ์การเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ และประเด็นอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยผลจากการศึกษาในครั้งน้ีคาดว่าจะได้องค์ความรู้ท่ีจะ
นาไปใช้ในการจัดทาเป็นข้อเสนอแนะที่มีประสิทธิภาพในด้านการออกแบบการเรียนการสอน การวัดและ
ประเมินผล การพัฒนาครู การพัฒนาหลักสูตร ตลอดจนการสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง ทั้งน้ี
ประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาวิจัย น้ัน สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเสริมหนุน
การยกระดบั การพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาของผ้เู รยี นและนาไปสู่การจัดการศกึ ษาทีม่ คี ณุ ภาพตอ่ ไป

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการเรยี นการสอนวิชาประวตั ศิ าสตรใ์ นระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน
2. จัดทาข้อเสนอแนะเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่ีมีประสิทธิภาพในระดับ

การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน

วิธดี าเนนิ การวจิ ัย
การศกึ ษาวิจยั ครั้งนี้ เป็นการวจิ ยั แบบบรรยายที่ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

โดยมขี ้ันตอนได้แก่ ศึกษาสภาพปัจจุบันและจัดทาข้อเสนอแนะการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่ีมี

8

ประสทิ ธิภาพในระดับการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน ประกอบด้วย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการวิเคราะหข์ อ้ มลู ดังนี้

ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ ประชากร ประกอบด้วย ครูผู้สอน ระดับประถมศึกษา

และมัธยมศึกษาทุกสังกัด ทั่วประเทศ มากกว่า 520,000 คน (จากรายงานสถิติการศึกษาฉบับย่อ ปีการศึกษา
2563 สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) และผู้เรียน ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกสังกัด ทั่ว
ประเทศ มากกวา่ 6.6 ล้านคน (จากรายงานสถติ ิการศกึ ษาฉบบั ยอ่ ปกี ารศึกษา 2563 สานักงานปลัดกระทรวง
ศึกษาธิการ) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ครูผู้สอน จานวน 10,000 คน ผู้เรียน จานวน 10,000 คน มาจาก
การสมุ่ แบบแบ่งช้นั โดยจาแนกตามสังกัด

การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ครูผู้สอน จานวน 14 คน
ผู้เรียน จานวน 14 คน จากสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน สานักงานคณะกรรมการ
ส่งเสรมิ การศกึ ษาเอกชน และเครอื ข่ายโรงเรียนสาธติ ฯ

เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) สภาพการจัดการ
เรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยแบบสอบถามฯ 2 ชุด คือ
แบบสอบถามครูผู้สอนและแบบสอบถามผู้เรียน โดยแบบสอบถามแต่ละชุดแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1
ข้อมูลท่ัวไป ตอนท่ี 2 ข้อมูลสภาพปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวชิ าประวัติศาสตร์ รายละเอียดดังนี้

แบบสอบถามครูผู้สอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา
สูงสุด ประสบการณ์การทางาน (ตั้งแต่เร่ิมสอน) ข้อมูลโรงเรียน (สังกัด) สาขาวิชาเอกท่ีจบการศึกษา ระดับชั้น
ท่ีสอน เอกสาร/หนงั สือวชิ าประวัติศาสตร์ที่ใช้ วิชาอ่ืน/งานอ่ืนท่ีได้รับมอบหมาย มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ
(Checklist) ตอนที่ 2 ข้อมูลสภาพปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย ด้าน
ผู้เรียน ด้านครูผู้สอน ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดและประเมินผล ด้านสื่อและ
อุปกรณ์การเรียนรู้ ด้านแหล่งเรียนรู้ และประเด็นอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ (Checklist)
และมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการจัดการเรียน
การสอนวิชาประวัตศิ าสตร์ เปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ (Open Ended)

แบบสอบถามผู้เรียน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ ระดับช้ันที่ศึกษา อายุ มี
ลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ (Checklist) ตอนท่ี 2 ข้อมูลสภาพปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวตั ิศาสตร์ ประกอบดว้ ย ดา้ นผู้เรยี น ดา้ นครผู ูส้ อน ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการเรยี นการสอน ดา้ นการวัด
และประเมินผล ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ ด้านแหล่งเรียนรู้ และประเด็นอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง มีลักษณะเป็น
แบบเลือกตอบ (Checklist) และมาตราส่วนประมาณค่า ระดับ (Rating Scale) ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
เก่ยี วกบั การจดั การเรยี นการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์ เปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ (Open Ended)

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ
คณะทางานฯ ติดต่อ ประสานไปยังหน่วยงานกลุ่มเป้าหมายฯ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการ

ตอบแบบสอบถามฯ โดยระบุ QR code ของแบบสอบถามฯ ระยะเวลาในการตอบแบบสอบถามฯ (ตั้งแต่
กรกฎาคม – สิงหาคม 2564) พร้อมไปกับหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถามฯ จากน้ันนาผล
ที่ได้รับจากการตอบแบบสอบถามฯ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และดาเนินการวิเคราะห์ แปล
ความหมายของผลการวเิ คราะห์ต่อไป

9

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ
คณะทางานฯ ดาเนนิ การเก็บข้อมูลเชงิ คณุ ภาพโดย
 การสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) ระหว่างวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 2564 โดยในวันเสาร์ท่ี
7 สิงหาคม 2564 ดาเนินการจัดประชุมสนทนากลุ่มย่อย “กลุ่มครูผู้สอน” จานวน 14 คน และวันอาทิตย์ที่ 8

สิงหาคม 2564 ดาเนินการจัดประชุมสนทนากลุ่มย่อย “กลุ่มผู้เรียน” ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
จานวน 14 คน

 การสมั ภาษณ์เชิงลึก (Indepth Interview) ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 คน ระหว่างวันท่ี 16 –
18 สิงหาคม 2564

 การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และการส่งแบบแสดงความคิดเห็นในเชิงให้ข้อเสนอแนะ กลุ่ม
ครผู ้สู อน จานวน 8 คน ช่วงเดอื นกรกฎาคม – กนั ยายน 2564

จากนั้นดาเนินการสรุปประเด็นจากการสนทนากลุ่มย่อยให้ครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของการ
ศึกษาวจิ ยั

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การวิเคราะห์ข้อมูลเชงิ ปริมาณใช้สถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ฐานนิยม ค่าเฉลี่ยหรือมัชฌิม

เลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลสาเร็จรูป SPSS และวิเคราะห์ข้อมูล

เชิงคุณภาพดว้ ยการวิเคราะห์เชงิ เนื้อหา (Content Analysis)

ตารางที่ 1 ตารางสรปุ แนวทางการศกึ ษาวจิ ยั

วัตถปุ ระสงค์ ประชากรและกลุ่ม เครือ่ งมือที่ใช้ ผลลัพธ์
ตัวอยา่ ง ในการวิจัย
และการวิเคราะหข์ ้อมลู

1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของ ประชากร เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย ข้อมูลสภาพปัจจุบัน (เชิง

การจดั การเรียนการสอนวิชา 1. ครู ผู้ สอน ท่ัวประเทศ 1. แบบสอบถามครูผู้สอน ปริมาณและคุณภาพ) การ

ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ใ น ร ะ ดั บ มากกวา่ 520,000 คน 2. แบบสอบถามผ้เู รียน จัดการเรียนการสอนวิชา

การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2. ผู้เรียน มากกว่า 6.6 ล้าน การวิเคราะหข์ ้อมูล ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ร ะ ดั บ
คน 1. เชิงปริมาณ : ใช้สถิติ การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
กลมุ่ ตวั อยา่ ง พื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่
1. ครูผู้สอน 10,000 คน ค่าร้อยละ ฐานนิยม ค่าเฉล่ีย
2. ผเู้ รียน 10,000 คน หรือมัชฌิมเลขคณิต ส่วน

เบีย่ งเบนมาตรฐาน

2. เชิงคุณภาพ : การวิเคราะห์

เ ชิ ง เ นื้ อ ห า ( Content

Analysis)

2. จัดทาข้อเสนอแนะการ กลุม่ ตวั อยา่ ง เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย ข้อมูลสภาพปัจจุบันและให้

จัดการเรียนการสอนวิชา 1. เชิงปริมาณ 1. แบบสอบถามครูผสู้ อน ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการ

ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ท่ี มี 1.1 ครูผูส้ อน 10,000 คน 2. แบบสอบถามผเู้ รยี น จัดการเรียนการสอนวิชา

ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ใ น ร ะ ดั บ 1.2 ผู้เรียน 10,000 คน 3. ประเด็นสนทนากลุ่มย่อย ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ร ะ ดั บ

การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน 2. เชิงคุณภาพ (ครูผ้สู อน และผูเ้ รยี น) การศึกษาข้นั พื้นฐาน

2.1 ครูผู้สอนในการ 4. ประเด็นสัมภาษณ์เชิงลึก

focus group 14 คน ผู้ทรงคณุ วฒุ ิฯ

10

วตั ถุประสงค์ ประชากรและกลุ่ม เคร่ืองมอื ท่ีใช้ ผลลพั ธ์
ตัวอยา่ ง ในการวิจยั
และการวิเคราะห์ขอ้ มลู

2.2 ผู้เรียนในการ focus การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
group 14 คน เชิงคุณภาพ : การวิเคราะห์
เ ชิ ง เ นื้ อ ห า ( Content
2.3 ผู้ทรงคุณวุฒิในการ Analysis)
สัมภาษณ์เชิงลึก 3 คน

2 . 4 ก ลุ่ ม ค รู ใ น ก า ร

สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์และ

ให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม 8

คน

11

ผลการศกึ ษาเอกสาร

คณะศึกษาวิจัยฯ ได้ศึกษาค้นคว้าหลักการ ทฤษฎี แนวคิด เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษา
สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ พบสาระสาคัญประกอบด้วย ความหมาย ความสาคัญและ
คุณค่าของประวัติศาสตร์ พัฒนาการของหลักสูตรประวัติศาสตร์ สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์ และขอ้ เสนอเพอื่ พฒั นาการจดั การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ รายละเอียดดังน้ี

1. ความหมาย ความสาคญั และคุณค่าของประวัตศิ าสตร์

1.1 ความหมายของประวตั ิศาสตร์

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พืน้ ฐาน (2554) ให้ความหมายว่า เป็นการศึกษาเร่ืองราว
สาคัญๆ ที่เช่ือว่าได้เกิดข้ึนจริงเก่ียวกับประสบการณ์ ด้าน
ตา่ งๆ ของมนษุ ยใ์ นสังคมใดสังคมหน่ึง บนพ้ืนฐานของการ
วิพากษ์วิเคราะห์หลักฐาน เอกสารชั้นต้น และหลักฐาน
ร่วมสมัยอ่ืนๆ เพ่ือความเข้าใจปัญหาในสังคมปัจจุบัน
นอกจากน้ี ได้มีการขยายความเพ่ิมเติมเพ่ือให้เข้าใจ
ประวัติศาสตร์ในฐานะของศาสตร์ของการเรียนรู้ ซึ่ง
ประกอบด้วยกระบวนการสาคัญ ดังน้ี 1) เป็นการสืบค้น
เร่ืองราวที่เช่ือว่าเกิดข้ึนจริง โดยตรวจสอบร่องรอย
หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ 2) เป็นการศึกษาเร่ืองราวสาคัญ
ๆ ที่เกี่ยวกับประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ในสังคม
3) เป็นศาสตร์ของการรวบรวม แยกแยะ จัดระบบ
วิเคราะห์ วิพากษ์ และการใช้ข้อมูลสารสนเทศเพ่ือค้นหา
ขอ้ เทจ็ จริงในสังคมมนุษย์ 4) เป็นการแสวงหา การไต่สวน
การสืบค้น การสารวจ การสอบถาม การสังเกต การย้อน
พินิจ การเปรียบเทียบ การตีความ การอภิปราย การ
วิพากษ์ การเล่าเรื่อง 5) เป็นศาสตร์ของการอธิบาย ภาพท่ี 1 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ (ท่ีมา สานักงาน
ปรากฏการณ์ในสังคมเพ่ือให้รู้รากเหง้าของปัญหา 6) เป็น คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน, 2554)
กระบวนการพฒั นาปญั ญาดว้ ยการสืบคน้ รวบรวม วิเคราะห์ ประเมินค่า ข้อมูลรอบด้าน 7) เป็นศาสตร์ที่สร้าง
ความผูกพันทางด้านจติ ใจและความรู้สึกร่วมกับประเทศชาติ สังคม ชุมชน และครอบครัวของคน และ 8) เป็น
การเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจปัจจบุ นั มองไปสู่อนาคต

1.2 ความสาคัญของการเรยี นประวตั ศิ าสตร์

สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน (2554) ได้ระบุถึงความสาคัญของประวัติศาสตร์
ในแง่ของประโยชน์ตอ่ การดาเนินชวี ิตในปัจจุบนั ได้แก่ 1) สร้างความเข้าใจปัญหาและสิ่งแวดล้อมของสังคม
ปจั จบุ ัน ประวัติศาสตร์หรือการสืบสวนอดีตของมนุษย์ ทาให้เราได้รู้ว่า พฤติกรรมและความคิด ความเช่ือของ
ผคู้ นในสงั คมเกิดขน้ึ ได้อย่างไร มีการเปลย่ี นแปลงหรอื มีพัฒนาการมาอย่างไร อันจะนาไปสู่การวิเคราะห์เพื่อให้
เข้าใจปัญหาอย่างมีเหตุมีผล มาตรการในการแก้ปัญหา เรียกว่าเป็นการศึกษาอดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน เห็น

12

แนวทางก้าวสู่อนาคต 2) รู้รากเหง้าความเป็นไทย เข้าใจและภูมิใจในชาติตน เหตุการณ์สาคัญในอดีตของ

สังคมไทย เริ่มต้ังแต่การตั้งถ่ินฐาน การสร้างบ้านเมือง การขยายอาณาเขตเพ่ือสร้างความม่ันคง ซ่ึงเป็นผลมา

จากวีรกรรมและความเสียสละของบรรพบุรุษ ล้วนเป็นความรู้จากประวัติศาสตร์ ซึ่งศาสตร์อ่ืนๆ ย่อมไม่

สามารถทาบทบาทหน้าท่ีนี้ได้ดีเท่าประวัติศาสตร์ 3) รู้บทเรียนในอดีต เห็นข้อบกพร่อง-ความผิดพลาด

ความสาเร็จ ความดีงาม ของบรรพบุรุษ การเรียนรู้ในลักษณะนี้ จึงจะทาให้ “อดีต” เป็นบทเรียนสาหรับการ

มองเห็นปัญหาในปัจจุบันได้ชัดเจน ซึ่งจะสามารถ นาไปสู่การเป็นบทเรียนที่มีค่าสาหรับใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ

ในอนาคตตอ่ ไป ซึง่ ยอ่ มแน่นอน ประวัตศิ าสตร์ไมใ่ ช่เรื่องของคนใดคนหน่ึง แต่เป็นเร่ืองของความเป็นชาติ หรือ

สงั คมโดยรวม จึงจาเป็นต้องรวมพลังกันช่วยกันขับเคล่ือนโดยใช้อดีตเป็นบทเรียน ความรู้ในแง่น้ี แต่จะเกิดข้ึน

หรือไม่ ยอ่ มท้าทายตอ่ ผสู้ อนประวัติศาสตร์ในระดบั มืออาชีพ 4) รคู้ วามเปน็ มาและวฒั นธรรมของประเทศตน

และประเทศอ่ืน ๆ วัฒนธรรมในนัยของประวัติศาสตร์ ย่อมรวมถึงวิถีคิด วิถีปฏิบัติ ซึ่งสะท้อน ออกมาเป็น

รูปแบบตา่ งๆ เช่น ความเปน็ ไทย คงไมไ่ ด้แสดงที่รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย การนับถือศาสนา อาหารการกิน

ซ่ึงแทบจะแยกแยะได้ยากกับความเป็นคนในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ หรือผู้คนในภูมิภาคอื่นในยุค

โลกาภิวัฒน์ การเรียนรู้ความเป็นมาของวิถีคิด และวิถีปฏิบัติ หรือรากเหง้าของวัฒนธรรมไทยจะทาให้เรา

สามารถแยกแยะ “ความเป็นคนไทย วัฒนธรรมไทย วิถีไทย” ออกจากสังคมมนุษย์อ่ืนๆ ได้ นอกจากนี้

ประวัติศาสตร์ไม่ได้หมายถึงการทาความเข้าใจรากเหง้าความเป็นไทยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงความเข้าใจ

รากเหง้าของมนุษยชาติที่อยู่ในพ้ืนท่ีต่างๆ กันด้วย ดังน้ันการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์อย่างถูกต้องจะทาให้เข้าใจ

ลกั ษณะเฉพาะของชนชาติอื่น ประเทศอื่น หรือภูมิภาค อื่นด้วย อันเป็นการสร้างความเข้าใจอันดีอย่างแท้จริง

5) รบู้ นั ทกึ เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต คุณค่าของประวัติศาสตร์ในแง่นี้มาจากแนวคิดท่ีว่า การรับรู้

เร่ืองราวในอดีต ไม่จาเป็นท่ีจะต้องมาจากการเรียนจากครูในห้องเรียนเท่านั้น แต่ผู้เรียนหาความรู้ได้จากการ

อ่านบันทึกของเหตุการณ์ โดยการอ่านที่จาเป็นในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ คือ การอ่านอย่างกว้างขวาง ซึ่ง

หมายถึงไม่ใช่อ่านเล่มใดเล่มหนึ่งแล้วเชื่อตามนั้น และการจับใจความสาคัญให้ชัดเจน การอ่าน เพื่อให้ได้

ขอ้ เทจ็ จรงิ จาเปน็ ต้องใชท้ กั ษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การแยกแยะ และจัดระบบข้อมูล การสรุปใจความ

สาคัญ ความสขุ ุมรอบคอบในการตรวจสอบขอ้ มลู ที่สาคัญคือ ความเพียร พยายาม และความอดทน อดกล้ันท่ี

จะสืบค้นข้อเท็จจริง อันเป็นพลังสาคัญท่ีจะทาให้เกิด การอ่านอย่างกว้างขวางได้ 6) รู้วิธีการศึกษาเร่ืองราว

สาคญั ๆ ท่ีเช่ือว่าเกิดข้ึนจริง ถือว่าเป็นหัวใจของประวัติศาสตร์ในแง่ของการสร้างความรู้ใหม่ ท่ีทุกคนสามารถ

ทาได้ และมีคุณค่าสาคัญมากต่อมนุษยชาติเน่ืองจากการสร้างสรรค์ความรู้ในเชิงวิทยาการ ท้ังหลายในโลกนี้

เจรญิ สืบเน่ืองได้ตลอดมา สาหรับวิธีการ

ศึกษาเร่ืองราวที่เกิดขึ้นมาแล้วในสังคม

มนุษย์ มีวิธีการท่ีไม่ยาก และเป็นส่ิงที่

ทุกคนสามารถทาได้ในชีวิตประจาวัน

เ ป็ น ป ก ติ อ ยู่ แ ล้ ว เ พี ย ง แ ต่ ใ น

ประวัติศาสตร์ได้จัดระเบียบ เรียงลาดับ

ข้ันตอนเพื่อให้เป็นระบบท่ีชัดเจนขึ้น

โดยเริ่มต้นท่ีความอยากรู้อยากเห็นเร่ือง

ใดเรื่องหน่ึง โดยท่ีไม่สามารถหาคาตอบ

ได้จากคนใดคนหน่ึง หรือหนังสือเล่มใด ภาพท่ี 2 หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์
(ที่มา: https://sites.google.com/site/suxkarsxnkhnitsastrp1/hnwy-thi-1/1-4-
เล่มหน่ึงได้ เราจึงต้องสืบสวนค้นคว้าหา kar-reiyng-ladabcanwn?tmpl=%2Fsystem%2Fapp
คาตอบประเด็นที่อยากรู้ดังกล่าวด้วย %2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1)
ตนเอง

13

นอกจากนี้ ได้ระบุถึงความสาคัญของประวัติศาสตร์ในแง่ของประโยชน์ต่อผู้เรียน ได้แก่
1) ประวัติศาสตร์สอนให้รู้จักตนเอง รู้ประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นและประเทศชาติของตน เข้าใจ
พฒั นาการของผคู้ นทอ่ี าศยั อยูใ่ นแผน่ ดนิ ไทยตั้งแต่อดตี และความรุ่งเรืองท่ีวิวัฒนาการสืบทอดมาอย่างต่อเน่ือง
จนถึงปัจจุบัน 2) ประวัติศาสตร์สร้างจิตสานึกในความเป็นชาติ เกิดความรักความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษที่
ก่อตั้งชาติบ้านเมือง ยังความเป็นปึกแผ่นดารงเอกราชมาจนปัจจุบัน รวมถึงการสืบทอดขนบธรรมเนียม
ประเพณี ศลิ ปวัฒนธรรมทค่ี งความเป็นเอกลักษณ์ ซ่ึงถือเป็นหน้าท่ี คนรุ่นหลังจะต้องสืบทอดให้คงอยู่ตลอดไป
3) ประวัติศาสตร์ส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นนักคิด มีเหตุมีผล เพราะกระบวนการศึกษา ทางประวัติศาสตร์ หรือ
วิธีการทางประวัติศาสตร์มุ่งเสริมสร้างจิตใจให้ใฝ่รู้ (Inquiring mind) ต้ังคาถาม ค้นคว้าหาคาตอบ โดยศึกษา
จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน วิเคราะห์ กลั่นกรอง ข้อเท็จจริง และสรุปผลการสืบค้นอย่างมีเหตุผล 4)
ประวตั ิศาสตร์เปน็ บทเรียนจากอดตี ทาให้ผูค้ นในสงั คมได้เรียนรู้ความเป็นมา ในสังคม ในพื้นท่ีและบริบทของ
เวลาต่างๆ กัน เห็นบทเรียนในอดีตที่มีทั้งความสาเร็จและความ ล้มเหลว เพ่ือเป็นเคร่ืองเตือนใจ และช่วย
ตัดสินใจท่ีจะดาเนินการในเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับสังคม และชาติบ้านเมือง บทเรียนในอดีตจะช่วยสร้างความรู้สึก
ร่วมในชะตากรรมใหก้ บั คนในสังคม เดยี วกนั ปลกู ฝงั ความรสู้ ึกในความเปน็ ชาติ หวงแหนอิสรภาพ และเอกราช
ของชาติตน

1.3 คณุ คา่ ของประวัติศาสตร์

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2554) ระบุถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์ แบ่ง
ออกเปน็ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเนือ้ หา ประวัติศาสตร์ทาให้รู้รากเหงา้ ของตนเอง เพ่ือเข้าใจและภูมิใจในชาติตน
เข้าใจปัญหาและสภาพแวดล้อมของสังคมในปัจจุบัน เห็นข้อบกพร่อง ความผิดพลาด ความสาเร็จ ความดีงาม
ของบรรพบรุ ษุ รูค้ วามเป็นมาและวฒั นธรรมของประเทศตนและประเทศอ่ืน ๆ และเป็นบทเรียนท่ีมีค่า สาหรับ
ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ 2) พัฒนาสติปัญญา ได้แก่ ทักษะในการตรวจสอบและประเมินค่า ทักษะในการ
จัดระบบข้อมูล ทักษะในการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล ทักษะในการวินิจฉัยแยกแยะข้อเท็จจริง และทักษะ
การคิดวิเคราะห์ 3) พัฒนาทักษะกระบวนการ ได้แก่ การอ่านอย่างกว้างขวาง การสังเกต/ เปรียบเทียบ การ
แยกแยะและจัดระบบข้อมูล ความเพียรพยายามรวบรวมข้อมูล ความสุขุมรอบคอบและตรวจสอบหลักฐาน
การสรุปจับประเด็นได้ชัดเจน การย่อความและเรียงความให้น่าสนใจ การเขียนด้วยภาษาสละสลวยและส่ือ
ความหมาย การอดทนอดกล้ันที่จะสืบข้อเท็จจริง 4) สร้างเจตคติ/ ค่านิยม ได้แก่ สร้างความรู้สึกร่วมเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม ตระหนักในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม ยอมรับในความแตกต่างของ
มนุษยชาติ การอย่รู ว่ มกับสงั คมอ่ืนได้อย่างปกติสขุ และใชเ้ หตผุ ลในการดาเนินชีวติ

2. พฒั นาการของหลักสูตรวิชาประวัตศิ าสตร์

2.1 วชิ าประวัติศาสตร์ในหลกั สตู รก่อนการเปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เมื่อ
มีการใช้หลักสูตรในระยะแรก ๆ คือหลักสูตรประโยคต่าง ๆ ท่ีออกใช้ในปี พ.ศ. 2438 ส่งผลให้เร่ิมมีการสอน
วิชาประวตั ิศาสตร์ โดยนักเรยี นไดเ้ รยี นรวู้ ชิ าประวัตศิ าสตรข์ องประเทศจากการอ่านในวิชาภาษาไทย ในปี พ.ศ.
2445 มีการกาหนดให้เรยี นวชิ าภูมิศาสตร์และพงศาวดาร ปี พ.ศ. 2452 กรมศึกษาธิการออกหลักสูตรประโยค
มลู ศกึ ษา กาหนดใหม้ วี ิชาจรรยา วิชาความรู้เรื่องเมืองไทย ซ่ึงก็คือภูมิศาสตร์และพงศาวดารสาหรับเด็ก ต่อมา
ในปี พ.ศ. 2456 มีการประกาศใชห้ ลกั สตู รหลวงในส่วนของพงศาวดารหรือเน้ือหาประวัติศาสตร์ระดับประโยค
ประถม ชั้นมัธยมตอนต้น มัธยมตอนกลาง มีเน้ือหาสาระเหมือนเดิมทุกประการ ส่วนในชั้นมัธยมตอนปลาย
วิชาพงศาวดารซ่ึงแต่เดิมเขียนไว้อย่างละเอียด หลักสูตรใหม่เพียงแต่สรุปความลง ในปี พ.ศ. 2464 มีการ

14

ปรับปรงุ หลักสูตรและโครงการศึกษา แต่วชิ าจรรยาภมู ศิ าสตร์และพงศาวดาร ยังคงใช้ตามที่ปรับปรุงในปี พ.ศ.
2456 และหลักสตู รน้กี ไ็ ดใ้ ชต้ ่อมา จนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครอง

2.2 วิชาประวัติศาสตร์ในหลักสูตรหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง ภายหลังการ
เปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หลักสูตรที่ต้องเปล่ียนไป คือ หลักสูตรสังคมศึกษา เนื่องจากต้องสอนให้
นักเรียนเข้าใจระบอบการปกครองใหม่ วิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์น้ันยังคงมีอยู่ตามเดิม แต่ในชั้นประถม
เรียกว่า ความรู้เร่ืองเมืองไทย ในหลักสูตรปี พ.ศ. 2480 ส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ชั้นประถมศึกษา ได้นาเอา
รายการของหลักสตู รเดมิ มาใช้โดยท่ีมไิ ดเ้ ปลี่ยนแปลงในสาระสาคญั แต่อย่างใด แตม่ ีหัวข้อใหม่ท่ีไม่เคยมีอยู่ เดิม
คือ การพาเท่ียวดูสถานท่ี โดยเขียนไว้ว่า “ให้พานักเรียนเท่ียวดูสถานท่ีบริเวณใกล้เคียง เพ่ือส่งเสริม ความรู้
รอบตัว ความรู้ทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ กับท้ังปลุกใจให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และ
รัฐธรรมนญู ” ส่วนวชิ าประวตั ิศาสตร์ในชนั้ มธั ยมตอนต้นใหเ้ รยี นประวัติคนไทยท่ีสาคัญ 10 คน รู้จักประวัติเดิม
ของชนชาติไทยเฉพาะท่ีสาคัญและให้เรียนประวัติศาสตร์สมัยราชธานีต้ังอยู่ท่ีกรุงสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และ
กรุงเทพ ฯ คอื ประวัตศิ าสตร์ไทยโดยสงั เขปน้ันเอง หัวข้อการพาเทย่ี วดสู ถานที่เหมือนชั้นประถม ในช้ันมัธยม 4
5 และ 6 วชิ าประวัติศาสตรใ์ ห้เรียนประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมัยต่าง ๆ ละเอยี ดข้นึ เรยี นประเทศต่าง ๆ ในแหลมอิน
โดจีน เรยี นเรือ่ งประเทศจนี แต่ ค.ศ. 1834 จนถงึ ปัจจุบัน ประเทศญ่ีปุ่น และโลกภายหลังมหาสงคราม สาหรับ
หลักสูตรเตรียมอุดมศึกษากาหนดข้ึนใหม่ใน ปี พ.ศ. 2491 ให้เรียนประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์โดย
ละเอียด ประวัติศาสตร์สากลเรียนสังเขปประวัติศาสตร์ของยุโรป อเมริกา เอเชีย และออสเตรเลียนับแต่
ประมาณ พ.ศ. 2000 จนถึงปจั จบุ ัน ต่อมามีการปรับปรงุ หลกั สูตรแต่ชั้นประถมจนจบมัธยม ซ่ึงออกประกาศใช้
ปี พ.ศ. 2491 และ พ.ศ. 2493 หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2491 ให้เรียนประวัติศาสตร์อย่างย่อของชาติไทย
สมัยต่าง ๆ ให้สอนประวัติของวีรชนในประวัติศาสตร์ประมาณ 10 ท่าน และให้สอนความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศไทยกับจีน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝร่ังเศส โดยสังเขป ในหลักสูตรมัธยมตอนต้น พ.ศ. 2493 วิชา
ประวัติศาสตร์กาหนดให้เรียนหัวข้อสาคัญ ดังน้ี ประวัติชาติไทย ประวัติคนไทยท่ีสาคัญ ประวัติชาติใกล้เคียง
ส่วนหลักสูตรมัธยมตอนปลาย พ.ศ. 2493 วิชาประวัติศาสตร์ให้เรียนในหัวข้อ ดังนี้ ประวัติศาสตร์ไทย
ประวัติศาสตร์ทั่วไป การพบดินแดนใหม่และการสารวจ การขนส่งการสื่อสาร สงครามและสันติภาพ และ
ประวัติบุคคลสาคัญของโลก ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2498 มีการปรับปรุงหลักสูตรเฉพาะชั้นเตรียมอุดมศึกษา
กาหนดภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์เป็นวิชาบังคับสาหรับเตรียมอักษรศาสตร์ปีที่ 1 และสังคมศึกษา ข. บังคับ
สาหรบั เตรียมอักษรศาสตร์ปีที่ 2 นอกจากน้ี ยังมีสังคมศึกษา ก. เป็นวิชาเลือกสาหรับแผนกวิชาวิทยาศาสตร์
ในส่วนวิชาบังคับภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์น้ัน วิชาประวัติศาสตร์กาหนดให้เรียนประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุง
ธนบรุ แี ละรัตนโกสินทรจ์ นถึงส้ินรชั กาลท่ี 3 ประวตั ิศาสตร์ต่างประเทศนน้ั เหมือนหลักสูตรเตรยี มอุดม 2491

ภาพที่3 การเปล่ียนแปลงการ
ปกครอง พ.ศ.2475
(ท่มี า
https://sites.google.com/sit
e/politics2223242538612/k
ar-peliynpaelng-kar-
pkkhrxng-ph-s-2475)

15

2.3 วิชาประวตั ศิ าสตร์ในหลักสูตรประถมศึกษา

และมัธยมศึกษา พุทธศักราช 2503 ต่อมามีการ

ประกาศใช้หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนต้น และ

หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2503

และหลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนต้น และหลักสูตร

ประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2503 โดย

หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2503

หลักสตู รนีห้ ลอมรวมเนอ้ื หาเป็นหมวดใหญ่ ๆ 6 หมวด หมวด

สังคมศึกษา ได้เพิ่มความสาคัญข้ึนมาก สาหรับเนื้อหาท่ี

เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์น้ัน ให้เรียนเกี่ยวกับประวัติตนเอง

ประวัติของโรงเรียนและชุมชน บุคคลสาคัญของชาติไทย

ประวัติศาสตร์ของชาติไทยโดยย่อ ในหลักสูตรประโยค

ประถมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2503 วิชา

ประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดท่ีให้นักเรียนเรียนในแต่ละปี ดังน้ี ภาพที่ 4 หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอน
ช้ันประถมปีที่ 5 ให้เรียนประวัติชนชาติไทย โดยสังเขป ปลาย พุทธศักราช 2503

ประวัตศิ าสตรส์ มัยกรุงสุโขทัย ประวัติบุคคลสาคัญ สถานท่ีและ (ที่มา: https://library.ipst.ac.th/handle/ipst/5560)

วัตถุสาคัญของชาติ ข่าวและเหตุการณ์ ช้ันประถมปีที่ 6 ให้

เรียนประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรี ประวัติบุคคลสาคัญ สถานท่ีและวัตถุสาคัญของชาติ ข่าวและเหตุการณ์ ชั้น

ประถมปที ี่ 7 ให้เรยี นประวัติศาสตรส์ มยั กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ การกู้อิสรภาพ และการต้ังกรุงธนบุรี การ

ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ประวัติบุคคลสาคัญ สถานท่ีและวัตถุสาคัญของชาติ ข่าว

และเหตุการณ์ สาหรับหลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนต้นและหลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย

พุทธศักราช 2503 หมวดสังคมศึกษาแยกเป็น 4 วิชา คือ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม ภูมิศาสตร์ และ

ประวตั ิศาสตร์ ในส่วนของวชิ าประวตั ิศาสตร์ หลกั สูตรประโยคมธั ยมศกึ ษาตอนต้น พุทธศักราช 2503 นั้น เน้น

การเรียนประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยาและประวัติศาสตร์ต่างประเทศ ส่วนหลักสูตรประโยค

มัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2503 ในส่วนของวิชา

ประวัติศาสตร์ไทย ให้เรียนประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี และ

รัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน ส่วนประวัติศาสตร์ท่ัวไป เรียน

ตง้ั แต่การปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรมจนถึงมหาสงครามโลกครั้งท่ี 2

และองคก์ ารสหประชาชาติ

ภาพท่ี 5 หลกั สูตรประถมศึกษา พทุ ธศกั ราช 2521 2.4 วิชาประวัติศาสตร์ในหลักสูตร
(ทม่ี า: https://library.ipst.ac.th/handle/ipst/5560)
ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พุทธศักราช 2521

และ หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช
2524 ในส่วนของหลักสูตรสังคมศึกษาได้มีการปรับ
โครงสรา้ งของเนอ้ื หารายวชิ าต่าง ๆ จัดหลักสูตรแบบบูรณา
การในส่วนของวิชาบังคับและมีรายวิชาเลือกจานวนหนึ่ง
(2.4.1) หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 กลุ่มที่
เก่ียวกับสังคมศึกษามากที่สุดคือ กลุ่มสร้างเสริม
ประสบการณ์ชวี ติ ในส่วนของวิชาสังคมศึกษาประกอบด้วย
หน่วยต่าง ๆ หลายหน่วย และหน่วยที่เก่ียวกับเน้ือหาสาระ

16

ประวัติศาสตร์ คือ หน่วยชาติไทย และหน่วยข่าวและเหตุการณ์วันสาคัญ ซึ่งจัดให้เรียนทุกช้ันปี คือช้ัน

ประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 (2.4.2) หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 หลักสูตรมัธยมศึกษา

ตอนต้น พุทธศักราช 2521 มีโครงสร้างประกอบด้วยกลุ่มวิชา 5 กลุ่ม การจัดหลักสูตรกลุ่มวิชาสังคมศึกษา

ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 ประกอบด้วยวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าท่ีพลเมือง

ศีลธรรม สังคมวิทยา ประชากรศึกษาและส่ิงแวดล้อม และเศรษฐศาสตร์ โดยนาเนื้อหาสาคัญของแต่ละ

รายวิชามาจัดรวมกันในลักษณะบูรณาการและจัดเป็นรายวิชาเดียวกันโดยเรียกว่า สังคมศึกษา ประกอบด้วย

รายวิชา ส 101 ส 102 ส 203 ส 204 ส 305 และ ส 306 สาหรับเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ตามหลักสูตร

มัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 น้ัน ได้จัดบูรณาการไว้ใน

รายวิชาบังคับ ส่วนเน้ือหาประวัติศาสตร์โดยตรง จัดเป็นรายวิชา

เลือกสาหรับผู้เรียนที่สนใจวิชาประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ (4.3)

หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 หลักสูตร

มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 กาหนดให้กลุ่มวิชาสังคม

ศึกษาประกอบด้วยวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์

จริยธรรม สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย และประชากร

ศกึ ษาและส่งิ แวดลอ้ ม โดยให้เรียนท้ังส่วนท่ีเป็นวิชาบังคับและส่วน

ท่ีเป็นวิชาเลือก ในส่วนท่ีเป็นรายวิชาบังคับนั้น ได้จัดรายวิชา ส

605 เป็นวิชาท่ีเกี่ยวข้องกับเนื้อหาประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ

นอกจากน้ัน ยังมีวิชาเลือกท่ีเกี่ยวข้องกับเน้ือหาประวัติศาสตร์

เพื่อให้ผู้เรียนที่สนใจวิชาประวัติศาสตร์หรือต้องการศึกษาต่อใน

ระดับอุดมศึกษาได้ เลือกถึง 11 วิชา ต่อมามีการปรับปรุงและ ภาพที่ ... ทมี่ า ...

พัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพของสังคม โดยมีการ ภาพท่ี 6 หลักสตู รมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521
(ท่มี า: https://library.ipst.ac.th/handle/ipst/5560)
ประกาศใช้ประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น

พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) และมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง

พ.ศ. 2533)

2.5 สาระประวัติศาสตร์ในหลักสูตรการศึกษา ภาพที่ 6 หลกั สูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2544
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้ (ทีม่ า: http://www.krukird.com/boon/curiculum-2544/)
กาหนดสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม นับเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สาคัญใน
หลักสูตร สาระท่ีเป็นองคความรู้ของกลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ประกอบด้วย 5 สาระ ได้แก่ สาระศาสนา ศีลธรรม
จริยธรรม สาระหน้าท่ีพลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชีวิตใน
สังคม สาระเศรษฐศาสตร์ สาระประวัติศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์
สาหรับสาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ สาระน้ีเน้นความคิดรวบยอดท่ี
เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ปรัชญา มานุษยวิทยา สังคมวิทยา และ
โบราณคดีท่ีมุ่งให้มีความเข้าใจว่าวิวัฒนาการการดาเนินชีวิตของ
มนุษยชาติน้ันมีการส่ังสมมาตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่องและ
เปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย การศึกษาเรื่องราวในอดีตทาให้เกิดการ

17

เรียนรู้ว่ามนุษย์ในอดีตเผชิญปัญหาต่างๆ ในขณะดารงชีวิตอยู่อย่างไร มีวิธีการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ท้ังท่ี
ประสบความสาเร็จและความผิดพลาดอย่างไร เหตกุ ารณ์และการกระทาในอดีตมีผลต่อการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ
ในเวลาต่อมาอย่างไร อันจะเป็นการสร้างประสบการณ์และทางเลือกในการดารงชีวิตแก่คนรุ่นหลังต่อไป การ
เรียนการสอนสาระที่ 4 ประวัติศาสตร์นี้ โรงเรียนจะจัดหลักสูตรโดยจัดทารายวิชาท่ีจะสอน โดยยึดมาตรฐาน
การเรียนรจู้ านวน 3 มาตรฐาน รวมทัง้ มาตรฐานการเรียนรูช้ ว่ งชนั้ อกี ด้วย

2.6 สาระประวัติศาสตร์ในหลักสูตรแกนกลางขั้น

พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551

กระทรวงศึกษาธิการได้มีการทบทวนหลักสูตรการศึกษา

ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ประกอบกับมีนโยบายในการพัฒนา

เยาวชนเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม

รักความเป็นไทย มีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้าน

เทคโนโลยี สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืน และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนใน

สังคมโลกได้อย่างสันติ จึงนาไปสู่การพัฒนาหลักสูตรแกนกลาง

การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ท่ีมีความเหมาะสม ชัดเจน ท้ัง

เป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการ

นาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพ้ืนที่การศึกษาและสถานศึกษา

โดยได้มีการกาหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดท่ีชัดเจน

เพื่อใชเ้ ป็นทศิ ทางในการจัดทาหลักสตู รสถานศึกษาในแต่ละระดับ กลุ่ม

สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็น 1 ใน 8 กลุ่ม ภาพท่ี 8 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
สาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ท่ีมา: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พุทธศักราช 2551 โดยกาหนดสาระการเรียนรู้ย่อยไว้ 5 สาระ เหมือน พนื้ ฐาน, 2551)
หลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2544 ดงั น้ี

 สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม

 สาระท่ี 2 หนา้ ที่พลเมือง วฒั นธรรม และการดาเนนิ ชวี ิตในสงั คม

 สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์

 สาระที่ 4 ประวตั ิศาสตร์

 สาระท่ี 5 ภมู ิศาสตร์

สาระประวัติศาสตร์ท่ีจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้น นับเป็นวิชาท่ีมีความสาคัญยิ่ง

เป็นสาระท่ีจะหล่อหลอมเยาวชนให้เป็นพลเมืองท่ีมีคุณภาพ มีความรัก ความหวงแหน ความภูมิใจ ตลอดจน

ความผูกพันกับท้องถิ่น ประเทศชาติ รวมทัง้ มนษุ ยชาติในภูมภิ าคและสังคมโลกดว้ ยกนั

สาระที่ 4 ประวัตศิ าสตรป์ ระกอบด้วย 3 มาตรฐาน ได้แก่
 มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยุคสมัยทาง

ประวตั ิศาสตร์ สามารถใชว้ ิธีการทางประวตั ศิ าสตร์มาวิเคราะหเ์ หตุการณต์ า่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
 มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้าน

ความสัมพนั ธ์และการเปลย่ี นแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสาคัญ และสามารถวิเคราะห์

ผลกระทบทีเ่ กดิ ข้ึน

18

 มาตรฐาน ส 4.3 เขา้ ใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก
ความภมู ิใจและธารงความเปน็ ไทย

นอกจากน้นั หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ยังได้กาหนดตัวชี้วัดชั้นปี
(ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น) และตัวช้ีวัดช่วงช้ัน (ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย) ของ
สาระท่ี 4 ประวตั ิศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย การจัดการเรียนการสอนสาระประวัติศาสตร์ในสถานศึกษานั้น
จากคาสั่งของคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ.) ที่กาหนดให้สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(ป.1- ม.6) ในทกุ สงั กดั จัดการเรยี นการสอนประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาเฉพาะขึ้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ช่ัวโมง
ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยสถานศึกษาจะต้องดาเนินการปรับโครงสร้าง
เวลาเรียนของหลักสูตรสถานศึกษาในรายวิชาพ้นื ฐานใหส้ อดคลอ้ งกบั คาสงั่ ท่กี าหนดไว้ ดงั นี้

 ระดับประถมศึกษา กาหนดให้เรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ 40 ช่ัวโมง แนวปฏิบัติ
สาหรับการจัดตารางเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์นั้น สถานศึกษาจัดตารางเรียนสาหรับรายวิชาประวัติศาสตร์
เป็นสปั ดาห์ละ 1 ชั่วโมง เปน็ เวลา 40 สปั ดาห์รวม 40 ชว่ั โมง 2)

 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น กาหนดให้เรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ 40 ชั่วโมง (1 หน่วย
กิต) แนวปฏิบัติสาหรับการจัดตารางเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์นั้น สถานศึกษาสามารถจัดเป็น 2 ภาคเรียน
โดยจัดเปน็ รายวชิ าละ 0.5 หนว่ ยกิต หรือจดั ไว้ในภาคเรียนใดภาคเรียนหน่งึ โดยจดั เป็นรายวิชาละ 1 หน่วยกิต
ทั้งนี้ ขึน้ อยกู่ ับบริบทของสถานศึกษา

 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กาหนดให้เรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ 80 ช่ัวโมง (2
หน่วยกติ ) แนวปฏิบัตสิ าหรับการจดั ตารางเรยี นรายวิชาประวัติศาสตร์น้ัน สถานศึกษาสามารถจัดได้หลายแบบ
เชน่ จัดเป็นรายวิชาละ 0.5 หน่วยกิต จานวน 4 ภาคเรียน/จัดเป็นรายวิชาละ 1 หน่วยกิต จานวน 2 ภาคเรียน
การจัดไว้ในระดบั ชัน้ ใด ภาคเรยี นใดกข็ ้ึนอยู่กบั บริบทของสถานศึกษา และคานึงหลักของพัฒนาการการเรียนรู้
ของผ้เู รยี นเปน็ สาคญั

3. สภาพการจดั การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์

จากการศึกษาเอกสาร แนวคิด และทฤษฎีต่าง ๆ พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพและปัญหาการจัดการ
เรียนรรู้ ายวชิ าวชิ าประวัตศิ าสตร์ รายละเอยี ดดังนี้

สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2551) การศึกษาวิจยั เร่ือง สภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข
การจัดการเรียนการสอนสาระหน้าท่ีพลเมือง ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม ศาสนา เรียงความและย่อความ พบ
ปัญหาการเรียนการสอนสาระประวัติศาสตร์ ได้แก่ 1) ปัญหาเกี่ยวกับครู พบว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่ไม่ใช่ครูท่ี
จบวชิ าเอกดา้ นสังคมศึกษาโดยตรงทาให้ไม่มีความถนัด ขาดความลุ่มลึกในเน้ือหาวิชาและขาดความชานาญใน

การสอนประวัติศาสตร์ มีภาระงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
กับภาระงานสอนมากท้ังงานภายในและภายนอก
สถานศึกษา ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรและ
สาระการเรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์อย่างลึกซ้ึง การแปลง
หลักสูตรไปสู่การจัดการเรียนการสอนยังทาได้ไม่ดี
ไม่สามารถจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรสู้ าเร็จรปู ขาดการวิเคราะห์
ถึงค ว าม เห มาะ สม กับบ ริบ ทท่ีเ ป็น จริง ขอ ง
สถานศึกษาของตนเอง รวมถึงไม่ได้รับการฝึกอบรม

19

และพัฒนาทั้งในด้านความรู้เน้ือหาวิชาและทักษะในการจัดการเรียนรู้ 2) ปัญหาเกี่ยวกับนักเรียน พบว่า
นักเรียนไม่เห็นความสาคัญของวิชาประวัติศาสตร์ 3) ปัญหาเกี่ยวกับหลักสูตรและการบริหารจัดการสอน
พบว่า หลักสูตรสถานศึกษาไม่ครอบคลุมและไม่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา ผู้บริหารและครูยังขาด
ความร้แู ละความเข้าใจในการจัดทาหลกั สตู รสถานศกึ ษาทถี่ ูกตอ้ ง รวมถงึ การจัดเวลาสอนในหลักสูตรกาหนดไว้
เพยี งสปั ดาห์ละ 2 -3 คาบเท่าน้ัน ทาให้ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนให้ครบถ้วนตามเน้ือหาและไม่สามารถ
ลงลกึ ในรายละเอยี ด 4) ปัญหาเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน พบว่า ส่วนใหญ่ครูใช้การบรรยาย เล่าเร่ือง
และมีการศึกษาสถานที่ทางประวัติศาสตร์บ้าง ส่วนใหญ่เน้นการเรียนในห้องเรียน บรรยากาศการเรียนการ
สอนน่าเบื่อหน่ายสาหรับผู้เรียน ครูยังเน้นการท่องจา ขาดกระบวนการคิดวิเคราะห์ การสร้างจิตสานึก ความ
ภาคภมู ใิ จในความเปน็ ชาตยิ ังมีข้อจากัด เนื้อหาท่ีครูเลือกมาสอนครูจะเลือกเฉพาะท่ีตนสนใจ หรือมีความถนัด
ทาให้ขาดสาระท่ีสาคัญบางส่วนไป 5) ปัญหาเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน พบว่า สื่อการเรียนการสอนไม่
เพียงพอ ไมเ่ ร้าความสนใจผเู้ รียน สถานศกึ ษาให้ความสาคญั นอ้ ยและไมค่ อ่ ยจดั สรรงบประมาณเพ่ือจัดหาส่ือใน
กลุม่ สาระประวตั ิ ครูผสู้ อนส่วนใหญ่ยังคงใช้หนังสือแบบเรียนเป็นส่อื การเรียนการสอนในระดับมาก ขาดการใช้
สื่อท่ีทันสมัย ส่ือสร้างสรรค์ และสื่อที่มีคุณภาพมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ครูขาดความรู้และทักษะใน
การผลิตสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน 6) ปัญหาเก่ียวกับนิเทศการเรียนการสอน พบว่า ขาด
อัตรากาลังของศึกษานิเทศก์ในเขตพื้นท่ีการศึกษา ขาดศึกษานิเทศก์ที่มีความเช่ียวชาญเฉพาะกลุ่มสาระสังคม
ศึกษาโดยตรง ระบบการนิเทศงานวิชาการภายในสถานศึกษายังไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถให้การนิเทศได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ 7) ปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ พบว่า การสอบโอเน็ต และการตัดสาระบางเร่ือง
ออกไปเพ่ือสอนให้ทันกับเวลาที่สอบ การกาหนดนโยบายไม่ให้นักเรียนซ้าช้ัน นโยบายท่ีไม่ให้ลงโทษนักเรียน
นโยบายทางการศึกษาท่ีมีการเปล่ียนแปลงบ่อย ขาดความต่อเน่ือง การดาเนินการตามนโยบายขึ้นอยู่กับการ
เปล่ียนแปลงผู้บริหารระดับสูง

ณฐกรณ์ ดาชะอม (2553) เสนอปัญหาเก่ียวกับการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ แบ่ง
ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) ปัญหาเก่ียวกับตัวครู พบว่า ความรู้ของครูยังไม่ได้มาตรฐาน การเตรียมการสอนยัง
ไม่สม่าเสมอ ครูไม่มีเวลาหาความรู้เพิ่มเติม 2) ปัญหาเก่ียวกับตัวนักเรียน พบว่า นักเรียนให้ความสนใจในการ
เรยี นนอ้ ย 3) ปญั หาเก่ียวกับสภาพการเรียนการสอน พบว่า ครูผู้สอนเป็นผู้นาเสนอแต่ผู้เดียว เน้นการพูด เล่า
อธิบายส่งิ ทต่ี ้องการสอนให้แกน่ กั เรียน

จุฑาภรณ์ หวังกุลา (2557) พบปัญหาสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่
ห้องเรียนในบางโรงเรียนไม่เหมาะสมกับการสอนวิชาประวัติศาสตร์และไม่มีห้องสาหรับใช้ส่ือ โรงเรียนขาด
ห้องสมุดและหนังสือประกอบอ่ืน ๆ เกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์ที่จะช่วยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้
โรงเรียนขาดครูเช่ียวชาญเฉพาะด้านและสอนไม่ตรงวิชาเอก ครูขาดสื่อที่น่าสนใจประกอบการจัดการเรียนรู้
ผู้บริหารในบางโรงเรียนไม่เข้าใจหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์และไม่ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
เพอ่ื ส่งเสริมการเรียนรูป้ ระวตั ศิ าสตร์

สุไรยา หมะจิ (2563) ศึกษาวิจัยเร่ือง
สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์
สาหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนเอกชนใน
สังกัดสานักงานศึกษาธิการ อาเภอหัวไทร จังหวัด
นครศรีธรรมราช พบปัญหาการจัดการเรียนรู้รายวิชา
ประวัติศาสตร์ตามสภาพจริงและสะท้อนจากมุมมอง
ครูผู้สอน แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านหลักสูตร
พบว่า หลกั สูตรไม่ได้มาจากความต้องการของชุมชนและ

20

ทอ้ งถน่ิ การกาหนดมาตรการเรียนร้บู างขอ้ ยากต่อการปฏิบัติได้จริง จานวนบทเรียนมากเกินไปไม่สามารถสอน
ใหค้ รบถว้ นตามเวลาทกี่ าหนด ครผู ู้สอนบางคนไมไ่ ด้รบั การอบรมให้ออกแบบการสอนท่ีสอดคล้องกับสาระและ
มาตรฐานการเรียนรู้ อาศัยการปฏิบัติตามเพ่ือนร่วมงาน ซ่ึงอาจไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ 2) ด้านครูผู้สอน
พบปัญหาการขาดความรู้ ทักษะ รวมถึงส่ือการเรียนรู้ต่าง ๆ อาทิ ความเช่ียวชาญเฉพาะด้านเนื่องจากสอนไม่
ตรงวิชาเอก สอื่ ท่ที นั สมยั และน่าสนใจเพื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ ทักษะในการใช้ส่ือเทคโนโลยีสมัยใหม่มา
ช่วยเสริมในการสอน เทคนิคการสอนที่หลากหลาย ทักษะในการสร้างบทเรียนเสริมการสอน รวมถึงไม่มีเวลา
เตรียมความพร้อมในการสอนเนื่องจากสอนหลายวิชาและหลายระดับชั้น 3) ด้านผู้เรียน พบว่า นักเรียนส่วน
ใหญ่ไม่กล้าพูดหรือกล้าแสดงออกในกิจกรรมการเรียนการสอน เห็นความสาคัญของการเรียนรู้เรื่องราว
ประวัติศาสตร์น้อยมาก ไม่เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ ไม่สนใจเรียน ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้าง
ตา่ 4) ด้านตาราเรยี นและสอ่ื การสอน พบว่า ส่วนใหญใ่ ช้การบรรยายเพยี งอยา่ งเดยี ว เน้นการท่องจาเป็นหลัก
และครูเปน็ ผู้ถา่ ยทอดความรใู้ หผ้ เู้ รียน ไม่ไดเ้ นน้ กระบวนการคดิ ให้ผูเ้ รียน การจัดทาสื่อการสอนส่วนใหญ่จัดทา
ข้ึนเอง ซื้อมาด้วยตนเอง หรือ จัดซื้อด้วยเงินงบประมาณของโรงเรียน ไม่ได้มีการเรียนรู้นอกสถานที่มากนัก
นอกจากน้ี ส่วนใหญโ่ รงเรยี นขาดแคลนอุปกรณ์ใสตทัศนูปกรณ์ เชน่ เครือ่ งเสียง ทีวี ซีดี และคอมพิวเตอร์ ขาด
แคลนหนังสืออ่านนอกเวลา ขาดแหล่งค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม จานวนอุปกรณ์การสอนมีไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการ 5) ด้านปริมาณงานในความรับผิดชอบของครู พบว่า ครูมีจานวนน้อยและขาดความเช่ียวชาญ
เฉพาะด้านเน่ืองจากสอนไม่ตรงวิชาเอก ครูมีช่ัวโมงสอนมากเกินไป รวมถึงมีภาระงานอื่นมากเกินไป 6) ด้าน
การสนับสนนุ พบวา่ ขาดการสนบั สนุนทง้ั ในแงข่ องการเพิ่มจานวนครูผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ งบประมาณใน
การจดั กิจกรรมวชิ าประวัติศาสตร์

สรุปได้ว่า พบปัญหาสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา

ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 9 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านผู้เรียน 2) ด้าน
ครูผู้สอน 3) ด้านหลักสูตร 4) ด้านการจัดการเรียนการสอน 5) ด้านการวัดและ
ประเมนิ ผล 6) ดา้ นตาราเรียน ส่ือและอุปกรณ์การเรียนรู้ 7) ด้านแหล่งเรียนรู้ 8) ด้าน
การสนับสนนุ และ 9) ประเด็นปัญหาอน่ื ๆ ท่ีเก่ียวข้อง

4. ขอ้ เสนอเพ่อื พัฒนาการจัดการเรียนการสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์

จากการศึกษาเอกสาร แนวคิด และทฤษฎีต่าง ๆ พบข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับสภาพและปัญหาการจัดการ
เรียนรู้รายวิชาวิชาประวัตศิ าสตร์ รายละเอียดดังน้ี

สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา (2551) การศกึ ษาวิจยั เร่ือง สภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข
การจัดการเรียนการสอนสาระหน้าท่ีพลเมือง ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม ศาสนา เรียงความและย่อความ พบ
ปัญหาการเรียนการสอนสาระประวัติศาสตร์ ได้แก่ 1) ปัญหาครูผู้สอนประวัติศาสตร์ พบว่า ควรเพ่ิมกรอบ
อตั รากาลังของครูในสถานศึกษาให้เพียงพอ จัดสรรครูให้สอนในกลุ่มสาระท่ีตรงกับวุฒิการศึกษาท่ีจบหรือตรง
กับความเชี่ยวชาญของครู พัฒนาครูอย่างต่อเนื่องเพ่ือให้มีความรู้ความสามารถในการสอนกลุ่มสาระที่ได้รับ
มอบหมาย ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันการผลิตครูได้ดาเนินการผลิตครูในลักษณะเป็นวิชาเอกคู่ หรือ
วิชาเอก – โท เพ่ือเพมิ่ ขดี ความสามารถในการสอนของครูให้มากขึ้น พัฒนาศักยภาพของครูท้ังด้านเทคนิคการ
สอนและเนื้อหาวิชาให้มีความชานาญหรือความเช่ียวชาญในการสอน 2) ปัญหาครูผู้สอนมีภาระงานอ่ืนที่ไม่
เกี่ยวข้องกับภาระงานสอน พบว่า ควรมีนโยบายสาคัญและเร่งด่วนในการจัดสรรอัตรากาลังบุคลากรสาย
สนับสนุนการสอน ควรกาหนดภาระงานของครูให้ชัดเจนและเป็นภาระงานท่ีมุ่งเน้นการเรียนการสอนเป็น

21

สาคัญ กากับ ติดตามตรวจสอบให้ครูได้ปฏิบัติตามภาระงานที่กาหนด พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านครูให้
สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารควรพิจารณากลั่นกรองกิจกรรมที่โรงเรียนจะเข้าไปมีส่วนร่วม
ควรเป็นกจิ กรรมทเี่ ก่ยี วข้องกบั ภารกิจของสถานศกึ ษาใหม้ ากทีส่ ดุ 3) ปญั หาครผู ูส้ อนสาระประวัติศาสตร์ขาด
ความรู้ ความเขา้ ใจในหลักสูตร พบว่า ควรกาหนดนโยบายและแผนในการพัฒนาครูประจาการแบบเข้มด้าน
หลักสูตร เทคนิคและเน้ือหาในการจัดการเรียนการสอน มีวงรอบการพัฒนาอย่างชัดเจน ควรกาหนดนโยบาย
ส่งเสริมสนับสนุนการนิเทศการเรียนการสอน มีการพัฒนาครูประจาการด้วยรูปแบบและวิธีการท่ีหลากหลาย
ควรให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นท่ีแท้จริง 4) ปัญหานักเรียนไม่ให้ความสาคัญในกลุ่มสาระสังคม
ศึกษา พบว่า ควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย สอดคล้องกับความสนใจและ
ความถนัดของผู้เรียน ใช้สื่อที่สร้างความสนใจและให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เกิดความเช่ือมโยงและประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจาวนั และเรียนรู้ได้อย่างมคี วามสุข สง่ เสริมและสนับสนนุ การจดั การเรียนการสอน จัดแหล่งเรียนรู้ ส่ือ
การเรียนรู้ให้มีความพร้อม พอเพียงและมีคุณภาพ 5) ปัญหาหลักสูตรสถานศึกษาไม่ครอบคลุมและไม่
เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา พบว่า ควรเร่งรัดพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารและครูในการจัดทา
หลกั สตู รสถานศึกษา ควรมกี ารนิเทศตดิ ตามและประเมินผลการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา มีระบบกลั่นกรองและ
อนุมัติการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ปรับปรุงสาระของหลักสูตรแกนกลางให้มีความเหมาะสม สามารถจัดการเรียน
การสอนได้ตามเวลาทกี่ าหนด ควรกาหนดนโยบายส่งเสริมและเร่งรัดการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการอย่าง
จริงจัง มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเน่ือง พัฒนาครูให้มีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ มีการ
นิเทศ ติดตาม และประเมินผลอย่างต่อเนื่อง 6) ปัญหาส่ือการเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา พบว่า ควร
สนับสนุนส่งเสริมให้ครูพัฒนาสื่อ จัดหาสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ มี
ความเพยี งพอต่อการใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน พฒั นาศกั ยภาพครูในด้านการผลิตส่ือและการใช้สื่อ ส่งเสริมให้
ครูใช้ส่ือ จัดกิจกรรมยกย่องครูผลิตส่ือดีเด่น 7) ปัญหาขาดอัตรากาลังของศึกษานิเทศก์เป็นจานวนมาก พบว่า
ควรมีนโยบายเพิ่มอัตรากาลังศึกษานิเทศก์ สรรหาศึกษานิเทศก์ท่ีมีความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นให้เพียงพอ พัฒนา
ศักยภาพของศึกษานิเทศก์ให้มีความรู้ในเนื้อหาและความเช่ียวชาญในการนิเทศ ลดภาระงานอ่ืนลงที่ไม่ใช่
การศึกษานิเทศ จัดระบบการนิเทศงานวิชาการภายในให้เข้มแข็ง พัฒนาผู้บริหารทุกระดับและครูผู้นิเทศให้มี
ความสามารถในการนิเทศ นาผลการนเิ ทศมาใชใ้ นการพฒั นาการจัดการเรียนการสอน

พัชรี ม้าลออ (2556) ศึกษาวิจัยการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาประวัติศาสตร์ เร่ือง ประวัติศาสตร์
เมืองกาญจนบุรี สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาหลักสูตรรายวิชา
ประวัตศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ 1) การนาหลักสูตรไปใช้ครูผ้สู อนควรออกแบบกจิ กรรมหรือใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้
ท่ีส่งเสรมิ การใหน้ กั เรียนรบั ความรูอ้ ย่างเต็มที่และเต็มศักยภาพ อีกทั้งควรเน้นให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วย

22

ตนเองซ่ึงจะส่งผลให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้น 2) การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ควรมีการยืดหยุ่นเร่ือง
ของเวลาและเน้ือหาสาระให้มีความเหมาะสม อีกท้ังควรมีวิธีการจัดการเรียนรู้หลาย ๆ วิธี เป็นการให้นักเรียน
ได้มีการปฏิบัติกิจกรรมท่ีหลากหลายรูปแบบ ท้ังน้ีต้องดูความเหมาะสมระหว่างเนื้อหาสาระกับวิธีการจัดการ
เรยี นรู้ 3) ครูผสู้ อนควรจัดกจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่เี ช่ือมโยงเก่ียวกับวิธีการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น
การจัดประกวดการแสดงบทบาทสมมติเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น การโต้วาที และ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูผู้สอนควรใช้คาถามหรือการสร้างสถานการณ์เพ่ือช่วยกระตุ้นให้นักเรียนได้
แสวงหาวิธีการในด้านการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถ่ิน และหาความสาคัญว่าเหตุใดต้องทาเช่นน้ัน
หากไม่ทาจะเป็นเช่นไร เป็นต้น โดยครูผู้สอนจะเป็นคนคอยให้ความช่วยเหลือ แนะนา ให้คาปรึกษาและให้
ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นักเรียนสนใจหรือเร่ืองท่ีนักเรียนไม่
เข้าใจ 4) การให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร โดยการสอนด้วยผู้รู้ในท้องถิ่นเพ่ือให้ความรู้ ทาให้
นักเรียนก้าวกรอบความคิดเดิม ๆ ก่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ดังน้ัน สถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูผู้สอน
พัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับชุมชน และเน้นการสอนด้วยผู้รู้ในท้องถิ่นในกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน 5)
สถานศึกษาควรส่งเสริมให้มีการรวบรวมข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน โดยจัดตั้งเป็นโรงเรียนแกนนา
ด้านข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน 6) ผู้สอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการถ่ายทอด
ความรู้ไปสู่นักเรียน สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาควรมีงบประมาณสนับสนุนการจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูผู้สอน
เนือ่ งจากปจั จบุ นั มีครูหลายโรงเรียนไม่ได้สอนตรงตามวิชาเอกทีเ่ รียนมาแต่ตอ้ งสอนในสาระการเรียนร้ทู ่ตี นไม่ถนัด

ศริ ิวรรณ สุโขทัย (ม.ป.ป.) ได้ระบุถึง
แนวทางการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์
ดังนี้ 1) การจัดเน้ือหาสาระเพ่ือการศึกษา
ประวตั ิศาสตร์ สามารถจัดได้เป็น 6 แนวทาง ได้แก่
การจัดเนื้อหาตามกาลเวลา ตามสภาพภูมิศาสตร์
ตามสภาพการเมอื ง ตามสภาพวัฒนธรรมตามสภาพ
สถาบัน และตามชีวประวัติบุคคล ส่วนมโนมติทาง
ประวัติศาสตร์มีอยู่หลายมโนมติด้วยกันที่สาคัญ
ได้แก่ อารยธรรม เหตุปัจจัย การเปลี่ยนแปลง
ความขัดแย้ง วิกฤตการณ์การปฏิวัติลัทธิชาตินิยม
การสารวจหลกั ฐาน และอคตทิ างประวัติศาสตร์มโน
มติสาคัญเหล่าน้ีจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจ
ประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง 2) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 2.1) การ
กาหนดวัตถปุ ระสงค์ของการจัดการเรียนการสอน โดยมีวัตถุประสงค์อยู่หลายประการ ได้แก่ การพัฒนาความ
เป็นพลเมอื งดีการพฒั นาความรักชาติ ความภูมใิ จในชาตขิ องตน และความจงรักภักดีต่อชาตกิ ารเรียนรู้อดีตเพื่อ
เข้าใจสภาพและปัญหาในปัจจุบัน รวมท้ังที่จะเกิดข้ึนในอนาคต และการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล
2.2) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ เพ่ือให้นักเรียนได้องค์ความรู้ใหม่ทาง
ประวัติศาสตร์บนพ้ืนฐานของการกาหนดประเด็นปัญหา การต้ังสมมุติฐาน การรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์
และตคี วามหลักฐานหรือข้อมลู เพือ่ นาไปส่ขู อ้ สรปุ หรือผลของการศึกษาค้นคว้า 2.3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
โดยการศกึ ษานอกสถานท่ี เป็นการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ได้สัมผัสกับสภาพท่ีแท้จริงของส่ิงที่ได้
ศึกษาไปแล้ว หรือที่กาลังศึกษาอยู่ 2.4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับลาดับ
เหตุการณ์จะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ท่ีเกิดข้ึนอย่างต่อเน่ืองอย่างเป็นเหตุ
เป็นผล และยังสามารถทาให้นักเรียนจดจาเหตุการณ์สาคัญ ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์และ

23

สามารถเชื่อมโยงเหตกุ ารณ์เหลา่ นั้นมาสู่ปัจจุบัน โดยเน้นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับกิจกรรมการนับช่วงเวลาและ
การเทียบศักราชในวิชาประวัติศาสตร์กิจกรรมการสร้างแผนภูมิและกิจกรรมการสร้างเส้นเวลา 2.5) กิจกรรม
การเขยี น การอ่าน และการพูดในวิชาประวัติศาสตร์ นับเป็นกิจกรรมท่ีเน้นนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม
ด้วยตนเอง เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาประวัติศาสตร์ได้ดีย่ิงขึ้น 2.6) การจัดกิจกรรมการ
แสดงในการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์นับเป็นกิจกรรมที่เหมาะจะ นามาใช้ในการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์ เพราะเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถลงมือปฏิบัติด้วยตนเองทาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการ
เรียนประวตั ิศาสตร์ยง่ิ ขึ้น ตลอดจนสามารถพัฒนาและสะท้อนความรู้สึกของบุคคลในเหตุการณ์ได้อีกด้วย โดย
ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการแสดงได้หลายรูปแบบ ได้แก่ กิจกรรมการแสดงละคร และกิจกรรมการแสดง
บทบาทสมมุติ 3) ส่ือ แหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศสาหรับการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์
ประกอบด้วย 3.1) การใช้สื่อประกอบการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
และเข้าใจเนอื้ หาประวัตศิ าสตรม์ ากย่ิงขึ้น สื่อการเรียนการสอนวชิ าประวัติศาสตร์มีอยู่หลายประเภท ได้แก่ ส่ือ
ประเภทโสตทัศน์สื่อสิ่งพิมพ์สื่อภาพ และเสียง และส่ืออิเล็กทรอนิกส์ 3.2) แหล่งการเรียนรู้สาหรับการจัดการ
เรียนการสอนวชิ าประวัติศาสตรน์ บั ว่ามีความสาคญั อยา่ งยิง่ ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์เพื่อ
ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง แหล่งการเรียนรู้ประกอบการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์มีท้ังท่ีปรากฏในประเทศและในท้องถิ่น 3.3) เทคโนโลยีสารสนเทศ มีความสาคัญต่อการเรียน
การสอนประวัติศาสตร์ในปัจจุบันครูผู้สอน ควรให้นักเรียนรู้จักใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นส่ือในการหาข้อมูล
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จากเว็บไซต์ทั้ง ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเพื่อให้นักเรียนมีความรู้ท่ีทันสมัย 4)
การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 4.1) สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ของการจัดการเรยี นการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ในสถานศึกษา โดยพฤติกรรมท่ีต้องวัดและประเมินผลการเรียน
การสอนวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจในวิชาประวัติศาสตร์หรือด้านสติปัญญา เจตคติ
และค่านิยมในวิชาประวัติศาสตร์และทักษะในวิชาประวัติศาสตร์ 4.2) เคร่ืองมือการวัดและประเมินผลการ
เรียนการสอนในวชิ าประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี าคญั คอื เครอื่ งมอื วดั ความกา้ วหน้าผู้เรียนเพื่อประเมินความรู้และทักษะ
คือแบบทดสอบ ส่วนเคร่ืองมือวัดและประเมินด้านเจตคติและค่านิยม หรือด้านความรู้สึกและอารมณ์น้ัน คือ
วธิ ีการทอ่ี ยูบ่ นพนื้ ฐานของการสังเกตและวธิ กี ารท่ีใหน้ ักเรยี นรายงานตนเอง

สรุปได้ว่า แนวทางพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในประเทศไทย

ซง่ึ ประกอบดว้ ย ดา้ นผูเ้ รียน ด้านครูผู้สอน ผู้บริหาร ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนการสอน
ด้านการวัดและประเมนิ ผล ด้านส่อื และอุปกรณก์ ารเรียนรู้ สามารถดาเนินการดงั นี้

1) ดา้ นครูผู้สอน ประกอบด้วย 1.1) ด้านการผลติ ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันการผลิตครูได้
ดาเนินการผลิตครูในลักษณะเป็นวิชาเอกคู่ หรือวิชาเอก – โท เพื่อเพ่ิมขีดความสามารถในการสอนของครูให้
มากขนึ้ 1.2) ด้านการพัฒนา ได้แก่ (1.2.1) ควรกาหนดนโยบายและแผนในการพัฒนาครูประจาการแบบเข้ม
ด้านหลักสูตร เทคนิคและเนื้อหาในการจัดการเรียนการสอน มีวงรอบการพัฒนาอย่างชัดเจน สอดคล้องกับ
ความตอ้ งการจาเป็นทแ่ี ท้จริง รวมถงึ พัฒนาครอู ยา่ งตอ่ เนอื่ งเพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการสอนกลุ่มสาระ
ที่ได้รับมอบหมาย (1.2.2) ควรเร่งรัดพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารและครูในการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา
(1.2.3) ควรกาหนดนโยบายส่งเสริมสนับสนุนการนิเทศการเรียนการสอน (1.2.4) ควรสนับสนุนส่งเสริมให้ครู
พัฒนาสื่อ จัดหาและใช้สื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ รวมถึงการจัด
กิจกรรมยกย่องครูผลิตส่ือดีเด่น 1.3) การใช้ ได้แก่ (1.3.1) ควรมีนโยบายสาคัญและเร่งด่วนในการจัดสรร
อัตรากาลังบุคลากรสายสนับสนุนการสอน เพ่ิมกรอบอัตรากาลังของครูในสถานศึกษาให้เพียงพอ รวมถึง

24

จัดสรรครูให้สอนในกลุ่มสาระที่ตรงกับวุฒิการศึกษาที่จบหรือตรงกับความเชี่ยวชาญของครู (1.3.2) ควร
กาหนดภาระงานของครูให้ชัดเจนและเป็นภาระงานที่มุ่งเน้นการเรียนการสอนเป็นสาคัญ กากับ ติดตาม
ตรวจสอบให้ครูได้ปฏิบัตติ ามภาระงานทกี่ าหนด

2) ด้านหลักสูตร ควรปรับปรุงสาระของหลักสูตรแกนกลางให้มีความเหมาะสม สามารถจัดการเรียน
การสอนได้ตามเวลาที่กาหนด มีการนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา มีระบบ
กล่ันกรองและอนุมัติการใช้หลักสูตรสถานศึกษา รวมถึงการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรท่ี
สอดคล้องกับชุมชน และเน้นการสอนด้วยผูร้ ใู้ นท้องถ่นิ ในกลมุ่ สาระการเรียนรอู้ ่ืน

3) ด้านการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ 3.1) ควรกาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน
อย่างชัดเจนและหลากหลาย ได้แก่ การพัฒนาความเป็นพลเมืองดีการพัฒนาความรักชาติ ความภูมิใจในชาติ
ของตน และความจงรกั ภักดีต่อชาตกิ ารเรยี นรู้อดีตเพื่อเข้าใจสภาพและปัญหาในปัจจุบัน รวมทั้งท่ีจะเกิดขึ้นใน
อนาคต และการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล 3.2) ควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอนท่ี
หลากหลาย สอดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน ใช้ส่ือที่สร้างความสนใจและให้เกิดการเรียนรู้ท่ี
ดี เกิดความเชื่อมโยงและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันและเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข 3.3) ควรกาหนดนโยบาย
ส่งเสรมิ และเรง่ รดั การจดั การเรียนการสอนแบบบูรณาการอยา่ งจรงิ จัง มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเนื่อง พัฒนา
ครูให้มีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ มีการนิเทศ ติดตาม และประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
3.4) ครผู สู้ อนควรออกแบบกจิ กรรมหรือใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมการให้นักเรียนรับความรู้อย่าง
เต็มท่ีและเต็มศักยภาพ อีกท้ังควรเน้นให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองซ่ึงจะส่งผลให้นักเรียนเกิดความ
เข้าใจมากข้ึน 3.5) การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ควรมีการยืดหยุ่นเรื่องของเวลาและเน้ือหาสาระให้มีความ
เหมาะสม อกี ทั้งควรมีวิธีการจัดการเรียนรู้หลาย ๆ วธิ ี เป็นการให้นกั เรยี นได้มีการปฏิบัติกิจกรรมที่หลากหลาย
รูปแบบ ท้ังน้ีต้องดูความเหมาะสมระหว่างเน้ือหาสาระกับวิธีการจัดการเรียนรู้ 3.6) ครูผู้สอนควรจัดกิจกรรม
ตา่ ง ๆ ท่ีเชื่อมโยงเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถ่ิน เช่น การจัดประกวดการแสดงบทบาท
สมมติเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถ่ิน การโต้วาที และในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ครูผู้สอนควรใช้คาถามหรอื การสรา้ งสถานการณเ์ พอื่ ช่วยกระต้นุ ใหน้ ักเรียนไดแ้ สวงหาวิธีการในด้านการอนุรักษ์
และสืบทอดภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน และหาความสาคัญว่าเหตใุ ดต้องทาเช่นน้ัน หากไม่ทาจะเป็นเช่นไร เป็นต้น โดย
ครูผสู้ อนจะเปน็ คนคอยให้ความช่วยเหลือ แนะนา ให้คาปรึกษาและให้ความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการอนุรักษ์
และสืบทอดภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ ทน่ี ักเรียนสนใจหรือเร่อื งทีน่ ักเรียนไมเ่ ขา้ ใจ

4) ด้านการวัดและประเมินผล ได้แก่ 4.1) ควรดาเนินการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ
จัดการเรียนการสอนวิชาประวัตศิ าสตรใ์ นสถานศกึ ษา โดยพฤติกรรมทต่ี อ้ งวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
วิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจในวิชาประวัติศาสตร์หรือด้านสติปัญญา เจตคติและ
ค่านยิ มในวิชาประวัตศิ าสตร์และทักษะในวิชาประวัติศาสตร์ 4.2) ควรมีเคร่ืองมือในการวัดและประเมินผลการ
เรียนการสอนในวิชาประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย เช่น แบบทดสอบเพ่ือประเมินความรู้และทักษะ การสังเกต
และวิธีการที่ให้นักเรียนรายงานตนเองเพ่ือวัดและประเมินด้านเจตคติและค่านิยม หรือด้านความรู้สึกและ
อารมณ์

5) ด้านตาราเรียน สื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ ได้แก่ 5.1) ควรใช้สื่อการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์อย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเข้าใจเน้ือหาประวัติศาสตร์มากยิ่งข้ึน ได้แก่
สือ่ ประเภทโสตทัศนส์ ือ่ สิ่งพิมพ์ส่ือภาพ และเสียง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 5.2) ควรให้นักเรียนรู้จักใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศเปน็ ส่อื ในการหาข้อมูลเกีย่ วกับประวัติศาสตร์จากเว็บไซต์ท้ังภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเพ่ือให้
นักเรยี นมคี วามรู้ทท่ี ันสมยั

25

6) ด้านแหล่งเรียนรู้ ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ใช้แหล่งการเรียนรู้ทั้งที่ปรากฏในประเทศและใน
ท้องถ่ินสาหรับการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์
จรงิ

7) ด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานภายนอก ควรมีการส่งเสริมและ
สนับสนุนการจัดการเรียนการสอน จัดแหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ให้มีความพร้อม พอเพียงและมีคุณภาพ
นอกจากน้ี สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาควรมีงบประมาณสนับสนุนการจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูผู้สอน
เน่ืองจากปัจจุบันมีครูหลายโรงเรียนไม่ได้สอนตรงตามวิชาเอกที่เรียนมาแต่ต้องสอนในสาระการเรียนรู้ที่ตนไม่
ถนดั

8) ประเด็นอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ 8.1) ควรมีนโยบายเพ่ิมอัตรากาลังศึกษานิเทศก์ สรรหา
ศึกษานิเทศก์ท่ีมีความเชี่ยวชาญเพิ่มข้ึนให้เพียงพอ พัฒนาศักยภาพของศึกษานิเทศก์ให้มีความรู้ในเน้ือหาและ
ความเชีย่ วชาญในการนิเทศ ลดภาระงานอ่นื ลงทไ่ี มใ่ ชก่ ารศึกษานิเทศ จดั ระบบการนิเทศงานวิชาการภายในให้
เข้มแข็ง รวมถึงพัฒนาผู้บริหารทุกระดับและครูผู้นิเทศให้มีความสามารถในการนิเทศ นาผลการนิเทศมาใช้ใน
การพฒั นาการจัดการเรยี นการสอน 8.2) สถานศกึ ษาควรสง่ เสรมิ ให้มกี ารรวบรวมข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์
ทอ้ งถิน่ โดยจดั ตัง้ เป็นโรงเรียนแกนนาด้านข้อมูลประวัติศาสตรท์ ้องถน่ิ

ท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาอย่างครอบคลุมในทุกด้านจะส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียน ความต้องการที่จะ
เรยี นรู้ และเห็นความสาคัญของการเรยี นวชิ าประวตั ศิ าสตร์

26

ผลการศกึ ษาวิจัย

คณะศึกษาวิจัยฯ ได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ด้วยแบบสอบถาม
ครูผู้สอนและผู้เรียนจากสถานศึกษาทุกสังกัดท่ัวประเทศ ระหว่างเดือนกรกฎาคม – กันยายน พ.ศ. 2564 มี
ครผู สู้ อนและผู้เรยี นใหค้ วามสนใจตอบแบบสอบถามฯ เป็นจานวนมาก ประกอบด้วย ครูผู้สอนจานวน 10,884
คน ผู้เรียนจานวน 60,887 คน โดยแบบสอบถามฯ แบง่ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลออกเป็น 3 สว่ น คือ ข้อมูลทั่วไป
ของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลสภาพปจั จุบนั ของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ และข้อเสนอแนะ
เพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นอกจากนี้ ได้ดาเนินการ
สนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพ่ือรับฟังสภาพปัญหาจริงจากครูผู้สอนและผู้เรียน ระหว่างวันท่ี 7 – 8
สิงหาคม 2564 การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 คน ได้แก่ 1) ดร.เฉลิมชัย พันธ์เลิศ 2) ผศ.ดร.
พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ และ 3) อาจารย์ปิง เจริญศิริวัฒน์ (อาจารย์ปิง ดาว้องก์) ระหว่างวันท่ี 16 – 18
สิงหาคม 2564 รวมถึงการปรึกษาหารือผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ 1) ศาสตรจารย์พิเศษ ธงทอง
จนั ทรางศุ 2) ดร.วเิ ชยี ร เกตุสงิ ห์ 3) ดร.เฉลิมชัย พันธ์เลิศ เพื่อให้ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นในการพัฒนาการ
จัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งผลการศึกษาวิจัยแบ่งการนาเสนอข้อมูล
ออกเปน็ 2 ส่วน คอื การศึกษาวิจยั เชงิ ปรมิ าณ และการศกึ ษาวิจัยเชิงคุณภาพ รายละเอยี ดดังนี้

การศกึ ษาวจิ ัยเชงิ ปริมาณ

การศึกษาวจิ ัยเชงิ ปริมาณ สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน
แบ่งการนาเสนอข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ ข้อมูลจากครูผู้สอนและผู้เรียน ซ่ึงข้อมูลดังกล่าวมาจากการ
วิเคราะห์ข้อมูลในส่วนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามฯ และส่วนท่ี 2 ข้อมูลสภาพปัจจุบันของการ
จัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ของแบบสอบถามฯ จากนั้นนาเสนอในรูปแบบกราฟและตาราง
ประกอบคาอธบิ าย ผลการศึกษาวิจยั ดังนี้

1. ข้อมลู จากครผู ู้สอน

การเก็บรวบรวมข้อมูลจากครูผู้สอน ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในหลากหลายประเด็น ได้แก่ 1)
ข้อมูลทั่วไปของครูผู้สอน ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทางาน สังกัดโรงเรียนท่ี
สอน ระดับชนั้ ที่สอน การใช้เอกสาร/หนังสือเรยี นวชิ าประวตั ศิ าสตร์ ภาระงานอ่ืน/งานอ่ืนท่ีได้รับมอบหมาย 2)
ข้อมูลสภาพปัจจุบันฯ ประกอบด้วย การเห็นถึงความสาคัญ/จาเป็นของวิชาประวัติศาสตร์ ความชอบ อยาก
สอนและพรอ้ มในการสอน การผ่านการศึกษา/เรียนรู้/ฝึกอบรมเก่ียวกับการสอนประวัติศาสตร์ ความคิดเห็นที่
มีตอ่ นโยบายของกระทรวงและหลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ การจดั การเรียนรใู้ นรายวิชาประวัติศาสตร์ในช่วง 3 ปีที่
ผา่ นมา (ปี 2562 – 2564) รายละเอียดดังนี้

1.1 ข้อมูลทั่วไป
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 74) อายุระหว่าง 25 – 30 ปี (ร้อยละ 27.2) และ
มากกว่า 50 ปี (ร้อยละ 27.2) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 75.3) วิชาเอกที่จบ คือ สังคมศึกษา
(ร้อยละ 33.2) และอื่น ๆ (บรรณารักษศาสตร์ คอมพิวเตอร์ คหกรรมศาสตร์ หลักสูตรและการสอน บริหาร

27

การศึกษา อุตสาหกรรม สุขศึกษา นาฏศิลป์ ศิลปศึกษา ฯลฯ) (ร้อยละ 29.6) ส่วนใหญ่เป็นครูผู้สอนในสังกัด
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (ร้อยละ 77.2) และสอนในระดับชั้นประถมศึกษา มี
ประสบการณ์การทางานต้ังแต่เร่ิมสอนระหว่าง 1 – 5 ปี (ร้อยละ 31.8) และมากกว่า 20 ปี (ร้อยละ 22.3)
ครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้เอกสาร/หนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของสานักพิมพ์เอกชน องค์การค้าของ สกสค.
สถาบนั พฒั นาคุณภาพวิชาการ สานกั พิมพ์อักษรเจริญทศั น์ และสานักอ่ืน ๆ นอกจากน้ี เมื่อสอบถามถึงงานอื่น
ที่ได้รับมอบหมายพบว่า มากกว่าร้อยละแปดสิบ (ร้อยละ 89.1) ได้รับมอบหมายให้สอนวิชาอื่น ได้แก่
ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา การงานอาชีพ สอนทุกวิชา และวิชาอ่ืน ๆ ภาระงานอ่ืน
ได้แก่ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน งานวิชาการ งานแนะแนว งานการเงิน/พัสดุ งานปกครองนักเรียน งานอาคาร
สถานท่ี งานทะเบยี นวัดผล งานกีฬา และงานอืน่ ๆ ขอ้ มลู แสดงดังกราฟและตารางประกอบคาอธบิ ายดงั นี้

 เพศ

26

เพศหญงิ
เพศชาย

74

ภาพที่ 9 เพศของผูต้ อบแบบสอบถาม

จากภาพท่ี 9 แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ถึงร้อยละ 74 ขณะท่ี
เพศชาย มเี พยี งร้อยละ 26

 อายุ

4.1 นอ้ ยกว่า 25 ปี
20.4

27.2 25 - 30 ปี

8.9 31 - 35 ปี
36 - 40 ปี

12.5 13.5 41 - 45 ปี
13.4 46 - 50 ปี

ภาพที่ 10 อายุของผูต้ อบแบบสอบถาม

จากภาพที่ 10 แสดงให้เห็นว่า มีการกระจายอายุของผู้ตอบ อายุระหว่าง 25 – 30 ปี ร้อยละ 27.2
รองลงมาอายุมากกว่า 50 ปีข้ึนไป ร้อยละ 20.4 อายุระหว่าง 31 - 35 ปี , 36 – 40 ปี และ 41 – 45 ปี

28

คดิ เป็นสดั สว่ นเทา่ ๆ กนั คอื ร้อยละ 13.5 , 13.4 และ 12.5 ตามลาดับ ขณะท่ีอายุระหว่าง 46 - 50 ปี คิดเป็น
รอ้ ยละ 8.9 และอายุนอ้ ยกว่า 25 ปี คิดเปน็ รอ้ ยละ 4.1

 ระดับการศึกษา

0.6 0.7 ปรญิ ญาตรี
23.3 ปรญิ ญาโท
ปริญญาเอก
75.3 ไมร่ ะบุ

ภาพที่ 11 ระดบั การศึกษาของผตู้ อบแบบสอบถาม

จากภาพที่ 11 แสดงให้เห็นวา่ ผู้ตอบแบบสอบสว่ นใหญ่มกี ารศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ร้อยละ 75.3
รองลงมาคือ ระดับปริญญาโท ร้อยละ 23.3 ไม่ระบุระดับการศึกษาและปริญญาเอก คิดเป็นสัดส่วนเท่าๆ กัน
คือ รอ้ ยละ 0.7 และ 0.6 ตามลาดบั

 ประสบการณก์ ารทางาน (ตัง้ แตเ่ รม่ิ สอน)

22.3 5.5 น้อยกวา่ 1 ปี
31.8 1 - 5 ปี
6.6 6 - 10 ปี
13.2 11 - 15 ปี
16 - 20 ปี
มากกว่า 20 ปี

20.6

ภาพที่ 12 ประสบการณ์การทางานของผตู้ อบแบบสอบถาม

จากภาพที่ 12 แสดงให้เห็น การกระจายค่าเฉล่ียของผู้ตอบแบบสอบถามได้อย่างครอบคลุม โดย
ผู้ตอบที่มีประสบการณ์การทางาน 1 – 5 ปี คิดเป็นร้อยละ 31.8 รองลงมาคือประสบการณ์การทางาน
มากกวา่ 20 ปี รอ้ ยละ 22.3 ประสบการณ์การทางาน 6 – 10 ปี ร้อยละ 20.6 ขณะที่ประสบการณ์การทางาน
11 – 15 ปี , 16 – 20 ปี และน้อยกว่า 1 ปี คิดเปน็ รอ้ ยละ 13.2 , 6.6 และ 5.5 ตามลาดับ

29

 ขอ้ มลู โรงเรียน

6.3 1.7 0.3 สพฐ.
14.3 สช.
โรงเรียนสาธติ ฯ
อปท.
อน่ื ๆ

77.2

ภาพที่ 13 ขอ้ มูลโรงเรยี นของผู้ตอบแบบสอบถาม

จากภาพท่ี 13 แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นครูในสังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน คิดเปน็ ร้อยละ 77.2 รองลงมาคือสังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
รอ้ ยละ 14.3 สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ รอ้ ยละ 6.3 สงั กดั อ่ืน ๆ รอ้ ยละ 1.7 และโรงเรียนสาธิต ร้อยละ
0.3

 สาขาวชิ าเอกท่จี บ

29.6 33.2 สงั คมศกึ ษา
11.4.8 ภาษาไทย
การประถมศกึ ษา
3.4 5.5 ภาษาอังกฤษ
4.60.74.9 3.5 3.9 4.2 2.8 ประวัตศิ าสตร์
คณติ ศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์
ปฐมวยั

ภาพที่ 14 สาขาวิชาเอกทจ่ี บของผู้ตอบแบบสอบถาม

จากภาพที่ 14 แสดงให้เห็นถึงการกระจายของข้อมูลในสัดส่วนที่มีค่าเฉล่ียไม่ห่างกันว่า ครูผู้สอนที่สอน
ประวัติศาสตร์จบการศึกษาในสาขาวิชาสังคมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 33.2 รองลงมาคือ จบสาขาวิชาอื่น ๆ
(บรรณารักษศาสตร์ คอมพิวเตอร์ คหกรรมศาสตร์ หลักสูตรและการสอน บริหารการศึกษา อุตสาหกรรม สุข
ศึกษา นาฏศิลป์ ศิลปศึกษา ฯลฯ) ร้อยละ 29.6 ขณะท่ีจบสาขาวิชาภาษาไทย วิทยาศาสตร์ รัฐศาสตร์
ภาษาอังกฤษ คิดเป็นร้อยละ 5.5 , 4.9 , 4.6 และ 4.2 ส่วนจบสาขาวิชาประวัติศาสตร์โดยตรงมีน้อย คิดเป็น
ร้อยละ 3.9 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 3.5 สาขาวิชาการจัดการ คิดเป็นร้อยละ 3.4 สาขาวิชา

30

ประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 2.8 สาขาวิชาพลศึกษา ร้อยละ 1.8 สาขาวิชาพัฒนาชุมชน คิดเป็นร้อยละ 1.4
และสาขาวชิ าปฐมวัย คิดเป็นรอ้ ยละ 0.7
 ระดบั ชัน้ ที่สอน

10.6

27.1 ป.1 - 6
ม.1 - 3
ม.4 - 6

76.1

ภาพท่ี 15 ระดับช้ันท่ีสอนของผู้ตอบแบบสอบถาม
จากภาพที่ 15 ครทู ่ตี อบแบบสอบถามสว่ นใหญส่ อนในระดับชน้ั ประถมศึกษา ร้อยละ 76.1 รองลงมาคือ
สอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 27.1 และระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ร้อยละ 10.6
 งานอน่ื ที่ไดร้ บั มอบหมาย

10.9

ไดร้ บั มอบหมาย
ไมไ่ ด้รับมอบหมาย

89.1

ภาพท่ี 16 งานอ่ืนท่ีได้รบั มอบหมายของผตู้ อบแบบสอบถาม
จากภาพที่ 16 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญไ่ ด้รบั มอบหมายให้สอนวชิ าอนื่ หรอื งานอน่ื ควบคู่ไปกับการ
สอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย คิดเป็นร้อยละ 89.1 ขณะที่ไม่ได้รับมอบหมายให้สอนวิชาอื่น หรืองานอื่นมีส่วน
น้อย คดิ เป็นรอ้ ยละ 10.9 โดยวชิ าอื่นทีส่ อน ได้แก่ ภาษาไทย วทิ ยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา การงาน

31

อาชีพ สอนทุกวิชา และวิชาอื่น ๆ สาหรับภาระงานอ่ืน ๆ ที่ครูได้รับมอบหมาย ได้แก่ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
งานวชิ าการ งานแนะแนว งานการเงิน/พัสดุ งานปกครองนักเรียน งานอาคารสถานท่ี งานทะเบียนวัดผล งาน
กฬี า และงานอ่ืน ๆ ตามลาดับ

1.2 ขอ้ มลู สภาพปจั จบุ นั การจัดการเรียนการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์
การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 1)
ภาพรวมของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ (ความสาคัญ/ จาเป็น ความชอบสอน ความอยาก
สอน) 2) การผ่านการศึกษา เรียนรู้ หรือ การฝึกอบรม 3) ความพร้อมในการสอนวิชาประวัติศาสตร์ 4) ความ
เหมาะสมของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ 5)
ดา้ นความเหมาะสมของหลักสตู รวิชาประวัติศาสตร์ 6) ทักษะท่ีผู้เรียนจะได้จากการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 7)
การจดั การเรียนรใู้ นรายวิชาประวัตศิ าสตร์ในช่วง 3 ปกี ารศกึ ษาท่ผี ่านมา (2562 – 2564) ขอ้ มูลแสดงดังตาราง
และคาอธบิ ายดังน้ี

โดย การแปลความหมายของค่าเฉลี่ยทั้ง 5 ระดบั ดังนี้
คา่ เฉลย่ี 4.50 – 5.00 หมายถึง มีสภาพปจั จุบันอยใู่ นระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง มสี ภาพปจั จบุ นั อยู่ในระดับมาก
คา่ เฉล่ีย 2.50 – 3.49 หมายถงึ มสี ภาพปัจจบุ นั อยู่ในระดบั ปานกลาง
คา่ เฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง มสี ภาพปัจจุบนั อยูใ่ นระดับน้อย
ค่าเฉลย่ี 1.00 – 1.49 หมายถงึ มีสภาพปจั จุบนั อย่ใู นระดบั น้อยท่ีสุด

(1) ภาพรวมของการจดั การเรียนการสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์

ตารางที่ 2 ความสาคัญ/จาเป็น ความชอบ ความต้องการสอนในวิชาประวตั ิศาสตร์

ดา้ น/สภาพปัจจุบัน ค่าเฉล่ยี ความ ระดบั ความ
เบ่ยี งเบน พึงพอใจ
ภาพรวม 4.34
ความสาคัญ/จาเป็นของวชิ าประวตั ศิ าสตร์ 4.00 0.78 มาก
ความชอบในการสอนวิชาประวัติศาสตร์ 3.92 0.91 มาก
ความตอ้ งการสอนในวิชาประวตั ศิ าสตร์ 0.98 มาก

จากตารางท่ี 2 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามเห็นวา่ วชิ าประวตั ิศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสาคัญและมีความ

จาเป็น ( = 4.34, S.D.=0.78) ชอบสอน ( = 4.00, S.D.=0.91) และต้องการสอน อยู่ในระดับมาก ( =
3.92, S.D.=0.98)

32

(2) การไดร้ ับความรู้ หรือ การฝกึ อบรมเกี่ยวกบั การสอนประวตั ิศาสตร์
 ภาพรวม

30

ได้รบั
ไม่ไดร้ บั

70

ภาพท่ี 17 การไดร้ ับความรู้ หรอื การฝกึ อบรมเก่ียวกบั การสอนประวัติศาสตร์
จากแผนภาพที่ 17 แสดงใหเ้ หน็ ว่า ภาพรวมในการได้รับความรู้หรือการฝึกอบรมอ่ืนๆ เก่ียวกับการสอน
ประวัติศาสตร์ ผตู้ อบแบบสอบถามสว่ นใหญ่ได้ผา่ นการศึกษา เรียนรู้ หรือ การฝึกอบรม คิดเป็นร้อยละ 70.0 ที่
เหลอื อีกรอ้ ยละ 30.0 ไมไ่ ด้ผ่านการศึกษา เรยี นรู้ หรือ การฝกึ อบรม
 ด้านการออกแบบการสอนและวิธีการสอนของวชิ าประวตั ิศาสตร์

36.2
ไดร้ บั
ไม่ไดร้ ับ

63.8

ภาพที่ 18 การได้รับความรู้/การฝึกอบรมด้านการออกแบบการสอนและวธิ ีการสอนของวิชาประวัตศิ าสตร์
จากแผนภาพที่ 18 แสดงให้เห็นว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่ได้รับความรู้หรือการฝึกอบรมด้านการออกแบบ

การสอนและวิธีการสอนของวิชาประวัติศาสตร์ ร้อยละ 63.8 ที่เหลืออีกร้อยละ 36.2 ไม่ได้ผ่านการศึกษา
เรียนรู้ หรอื การฝกึ อบรม

33

 ด้านการฝกึ ปฏบิ ัติ กจิ กรรมในช้นั เรยี น การนาความรทู้ ่ีเรยี นไปปฏบิ ตั ใิ นช้ันจรงิ หรอื การฝึกสอน

28.9

ไดร้ ับ
ไม่ได้รบั

71.1

ภาพท่ี 19 การไดร้ บั ความรู้/การฝึกอบรมดา้ นการฝกึ ปฏิบัติ กจิ กรรมในชั้นเรียน การนาความรู้ท่ีเรียนไป
ปฏิบตั ิในชน้ั จรงิ หรือ การฝกึ สอน

จากแผนภาพท่ี 19 แสดงให้เหน็ วา่ ครูผสู้ อนส่วนใหญไ่ ด้รับความรู้/การฝึกอบรมด้านการปฏิบัติกิจกรรม
ในชั้นเรียนและมีการนาความรู้ท่ีเรียนไปใช้ปฏิบัติจริงหรือฝึกสอนจริง ร้อยละ 71.1 และไม่ได้ผ่านการศึกษา
เรยี นรู้ หรือ การฝกึ อบรม ร้อยละ 28.9
 การผลิตและใชส้ อื่ การสอนวชิ าประวตั ศิ าสตร์

31.6
ไดร้ บั
ไม่ได้รับ

64.8

ภาพที่ 20 การได้รับความรู้/การฝึกอบรมด้านการผลิตและใช้ส่ือการสอนวิชาประวัติศาสตร์
จากแผนภาพที่ 20 แสดงให้เห็นว่า ครูผู้สอนท่ีตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ได้รับความรู้ ผ่านการศึกษา
เรียนรู้ หรือ การฝึกอบรมด้านการผลิตและใช้สื่อการสอนวิชาประวัติศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 68.4 ท่ีเหลืออีก
รอ้ ยละ 31.6 ไมไ่ ด้ผา่ นการศึกษา เรียนรู้ หรือ การฝึกอบรม

34

 ดา้ นการวดั และประเมนิ ผลในวชิ าประวตั ิศาสตร์

22.4

ได้รบั
ไม่ได้รับ

77.6

ภาพท่ี 21 การได้รบั ความรู้/การฝึกอบรมดา้ นการวดั และประเมนิ ผลในวชิ าประวตั ิศาสตร์

จากแผนภาพที่ 21 แสดงให้เห็นว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่ได้รับความรู้/การฝึกอบรมด้านการวัดและ
ประเมินผลวิชาประวัติศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 77.6 ขณะครูที่เหลือไม่ผ่านการศึกษา ได้รับความรู้ด้านการวัด
และประเมินผลวชิ าประวัติศาสตร์ ร้อยละ 22.4

(3) ความพรอ้ มในการสอนวชิ าประวัติศาสตร์

ตารางที่ 3 ความพรอ้ มในการสอนวชิ าประวตั ศิ าสตร์

ด้าน/สภาพปัจจุบัน ค่าเฉลย่ี ความ ระดับความ
เบ่ยี งเบน พึงพอใจ
ความพร้อมในการสอนวิชาประวัติศาสตร์ 3.07
ด้านความรู้ เน้ือหาของวชิ าประวัตศิ าสตร์ 2.96 0.67 ปานกลาง
ด้านการออกแบบการสอนและวิธีการสอนของวิชา 0.69 ปานกลาง
ประวตั ศิ าสตร์ 2.98
ด้านการฝึกปฏิบัติ กิจกรรมในช้ันเรียน การนาความรู้ที่ 0.70 ปานกลาง
เรยี นไปปฏบิ ตั ใิ นชั้นจริง หรอื การฝกึ สอน 2.91
ด้านการผลิตและใชส้ ื่อการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์ 3.08 0.72 ปานกลาง
ด้านการวดั และประเมินผลในวิชาประวัติศาสตร์ 0.68 ปานกลาง

จากตารางท่ี 3 ด้านความพร้อมของผู้ตอบแบบสอบถามในการสอนวิชาประวัติศาสตร์ พบว่า ทุกด้านมี
ค่าเฉล่ียในระดับปานกลาง ท้ังด้านความรู้ เน้ือหาของวิชาประวัติศาสตร์ ( = 3.07, S.D.=0.67) ด้านการ
ออกแบบการสอนและวิธีการสอนของวิชาประวัติศาสตร์ ( = 2.96, S.D.=0.69) ด้านการฝึกปฏิบัติ กิจกรรม
ในช้ันเรียน การนาความรู้ท่ีเรียนไปปฏิบัติในช้ันจริง หรือ การฝึกสอน ( = 2.98, S.D.=0.70) ด้านการผลิต

35

และใช้ส่ือการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ( = 2.91, S.D.=0.72) และด้านการวัดและประเมินผลในวิชา
ประวตั ิศาสตร์ ( = 3.08, S.D.=0.68)

(4) ความเหมาะสมของนโยบายขของกระทรวงศึกษาธิการที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนการสอน
วชิ าประวตั ศิ าสตร์

ตารางที่ 4 ความเหมาะสมของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัตศิ าสตร์

ดา้ น/สภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ย ความ ระดับความ
3.62 เบ่ยี งเบน พึงพอใจ
นโยบาย
ความเหมาะสมของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการท่ี 0.95 มาก
เกี่ยวขอ้ งกบั การจดั การเรียนการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์

จากตารางท่ี 4 พบว่า ความเหมาะสมของนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ
เรียนการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ ครผู ู้สอนให้คา่ เฉลยี่ อย่ใู นระดับมาก ( = 3.62, S.D.=0.95)

(5) ความเหมาะสมของหลกั สตู รวชิ าประวัตศิ าสตร์

25.7

เหมาะสม
ไม่เหมาะสม ควรปรับ

74.3

ภาพที่ 22 ความเหมาะสมของหลกั สูตรวิชาประวัตศิ าสตร์
จากแผนภาพท่ี 22 แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความเห็นว่า หลักสูตรวิชา
ประวัติศาสตร์ มีความเหมาะสม ร้อยละ 74.3 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า หลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์
ไม่เหมาะสมและควรปรบั ร้อยละ 25.7 โดยใหเ้ หตุผลว่า
ด้านตัวช้ีวัด ตัวช้ีวัดไม่สอดคล้องกับบริบทและการเปล่ียนแปลง ไม่สอดคล้องกับระยะเวลาการ
เรยี นการสอน ไมส่ อดคล้องกับเนอื้ หา ไม่สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ และมีมากเกินไป
ด้านเน้ือหา เนื้อหาท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรไม่สอดคล้องกับบริบทและการเปลี่ยนแปลง ควรเน้น

36

เนอ้ื หาประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ประวตั ศิ าสตร์สากล และประวัติศาสตร์อาเซียน เน้ือหาท่ีครูต้องสอนมีมากเกินไป
ควรปรบั ปรุงเนื้อหาสาระท่ีเป็นข้อมูลใหม่ทางประวัติศาสตร์ท่ีค้นพบใหม่และเป็นท่ียอมรับในทางวิชาการ เน้น
เนื้อหาการสอนแบบคู่ขนาน (Parallel History) และการบูรณาการให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน เน้นกระบวนการ
ทางประวัตศิ าสตร์เป็นสาคัญ และมุง่ เน้นด้านแนวคิด การแกป้ ัญหา การนาไปประยุกต์ใช้

ด้านระยะเวลาในการเรียนการสอน ประกอบด้วย จานวนชั่วโมงที่สอนต่อสัปดาห์น้อยเกินไปแต่
เนื้อหาสาระวิชามมี ากทาให้สอนไมท่ ัน จดั สรรการสอนยากเนื่องจากต้องสอนร่วมกับรายวชิ าอื่น

(6) ทักษะทผ่ี เู้ รยี นจะได้จากการเรยี นวชิ าประวัตศิ าสตร์
ผตู้ อบแบบสอบถามสว่ นใหญ่ มีความเห็นว่า ทักษะท่ีผู้เรียนจะได้จากการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการ
สื่อสาร ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี และทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ วิพากษ์

(7) การจัดการเรียนรใู้ นรายวชิ าประวตั ศิ าสตรใ์ นชว่ ง 3 ปีการศกึ ษาท่ีผ่านมา (2562 – 2564)

ตารางที่ 5 การจดั การเรยี นรใู้ นรายวชิ าประวตั ศิ าสตร์ในชว่ ง 3 ปีการศกึ ษาท่ผี ่านมา (2562 – 2564)

ด้าน/สภาพปจั จบุ ัน คา่ เฉล่ยี คา่ ระดบั การ
เบ่ียงเบน ปฏบิ ัติ
การศึกษาหลักสูตรและตัวช้ีวัดตามหลักสูตรแกนกลาง/สถานศึกษา 3.76
ก่อนการจัดทาแผนการเรยี นรู้ 0.80 มาก
การจัดทาแผนการเรียนรู้และแผนรายคาบที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและ 3.70
หลกั สตู รแกนกลาง/ สถานศึกษา 3.72 0.87 มาก
การบรู ณาการความรตู้ ่าง ๆ ในการเรยี นรู้ 3.66 0.80 มาก
การจดั กิจกรรมใหผ้ ้เู รียนอย่างหลากหลาย 3.69 0.80 มาก
การใช้สื่อและเทคโนโลยที หี่ ลากหลาย 3.56 0.82 มาก
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดแนวทางการ 3.70 0.89 มาก
ประเมินผล 0.78 มาก
การวดั และประเมินผลท่หี ลากหลาย 3.68
การสอดแทรกการสอนเรื่อง ภูมิปัญญาไทย/ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน หรือ 0.82 มาก
แหล่งเรียนรู้ รวมถึงใช้แหล่งเรียนรู้/ ภูมิปัญญาท้องถ่ินในการจัดการ 3.28
เรยี นการสอน 1.06 ปานกลาง
การได้รับการสนบั สนนุ จากหน่วยงานต้นสังกัดในการจัดการเรียนการ 2.80
สอนวิชาประวัตศิ าสตร์ 1.24 ปานกลาง
การได้รับการสนับสนนุ จากหนว่ ยงานภายนอกในการจัดการเรียนการ
สอนวชิ าประวัตศิ าสตร์

จากตารางท่ี 5 การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาประวัติศาสตร์ในช่วง 3 ปีการศึกษาท่ีผ่านมา (2562 –
2564) ในรายด้านพบว่า มีจานวน 8 ด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่ การศึกษาหลักสูตรและตัวชี้วัด

37

ตามหลกั สตู รแกนกลาง/สถานศึกษากอ่ นการจัดทาแผนการเรียนรู้ ( = 3.76, S.D.=0.80) การจัดทาแผนการ
เรียนรู้และแผนรายคาบที่สอดคล้องกับตัวช้ีวัดและหลักสูตรแกนกลาง/ สถานศึกษา ( = 3.70, S.D.=0.87)
การบูรณาการความรู้ต่าง ๆ ในการเรียนรู้ ( = 3.72, S.D.=0.80) การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนอย่างหลากหลาย
( = 3.66, S.D.=0.80) การใช้ส่ือและเทคโนโลยีท่ีหลากหลาย ( = 3.89, S.D.=0.62) การเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดแนวทางการประเมินผล ( = 3.56, S.D.=0.89) การวัดและประเมินผลที่
หลากหลาย ( = 3.70, S.D.=0.78) การสอดแทรกการสอนเร่ือง ภูมิปัญญาไทย/ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน หรือ
แหล่งเรียนรู้ และการใช้แหล่งเรียนรู้/ ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการเรียนการสอน ( = 3.68, S.D.=0.82)
นอกจากนี้ มจี านวน 2 ด้านทีม่ ีการปฏบิ ตั ิอยู่ในระดบั ปานกลาง ได้แก่ การได้รบั การสนับสนุนจากหน่วยงานต้น
สังกัดในการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ( = 3.28, S.D.=1.06) การได้รับการสนับสนุนจาก
หนว่ ยงานภายนอกในการจดั การเรียนการสอนวชิ าประวัติศาสตร์ ( = 2.80, S.D.=1.24)

2. ขอ้ มลู จากผู้เรยี น

การเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เรียน ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในหลากหลายประเด็น ได้แก่ 1) ข้อมูล
ทั่วไปของผู้เรียน ประกอบด้วย เพศ ระดับช้ันที่ศึกษา 2) ข้อมูลสภาพปัจจุบันฯ ประกอบด้วย ความสาคัญ
จาเปน็ และความชอบท่ีมีตอ่ วชิ าประวัตศิ าสตร์ ความมุง่ หมายของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ความพึงพอใจท่ี
มตี ่อการจดั การเรยี นการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์ รายละเอยี ดดังน้ี

2.1 ข้อมลู ท่วั ไป

 เพศ

39.2
เพศหญงิ
เพศชาย

60.8

ภาพท่ี 23 เพศของผตู้ อบแบบสอบถาม
จากแผนภาพที่ 23 แสดงข้อมูลข้างต้น พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ
60.8 ทเ่ี หลอื เปน็ เพศชาย คดิ เปน็ ร้อยละ 39.2

38

 ระดบั ชน้ั ทศี่ ึกษา

22.7

34.4

ป.1 - 6
ม.1 - 3
ม.4 - 6

49.9

ภาพท่ี 24 ระดับชน้ั ท่ศี กึ ษาของผตู้ อบแบบสอบถาม
จากแผนภาพที่ 24 แสดงข้อมูลข้างต้น พบว่า ผู้เรียนที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ กาลังศึกษาอยู่ใน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1 - 3) ร้อยละ 42.9 รองลงมากาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา (ป.1 - 6)
รอ้ ยละ 34.4 และระดับชน้ั มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 - 6) รอ้ ยละ 22.7 ตามลาดับ

2.2 ข้อมลู สภาพปจั จุบนั การจดั การเรยี นการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์
การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 1)
ความสาคญั จาเป็น และความชอบที่มีต่อวิชาประวัติศาสตร์ 2) ความมุ่งหมายของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์
3) ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ข้อมูลแสดงดังกราฟและตารางประกอบ
คาอธิบายดงั น้ี

(1) ความสาคญั จาเปน็ และความชอบท่มี ตี อ่ วชิ าประวตั ิศาสตร์

 ความสาคัญของวิชาประวัตศิ าสตร์

5.5

สาคัญ
ไมส่ าคัญ

94.5

39

ภาพท่ี 25 การเห็นความสาคัญของวชิ าประวัติศาสตรข์ องผ้ตู อบแบบสอบถาม
จากแผนภาพท่ี 25 แสดงข้อมูลข้างต้น พบว่า ผู้เรียนท่ีตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90
เหน็ วา่ วิชาประวตั ศิ าสตร์มีความสาคัญ (ร้อยละ 94.5) โดยมีผู้เรียนที่เห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีความสาคัญ
เพยี งร้อยละ 5.5 ทง้ั นี้ ผเู้ รยี นที่ตอบแบบสอบถามท่ีเหน็ ว่าวิชาประวัติศาสตร์มีความสาคัญให้เหตุผลว่า เพราะ
การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ทาให้ได้ความรู้ ได้รับรู้เร่ืองราวประวัติความเป็นมาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น
ตั้งแต่อดตี เช่ือมโยงสู่ปัจจุบัน ได้รับรู้ถึงความเป็นมาของประวัติศาสตร์ชาติไทยในแต่ละยุคสมัย ประวัติศาสตร์
ยังช่วยให้เกิดความเข้าใจในมรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เข้าใจในความคิดได้อย่างกว้างขวาง ทัน
เหตุการณ์ และสามารถเข้าใจคุณค่าในสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น สามารถนาความรู้ทางประวัติศาสตร์มาเป็น
บทเรียน นาไปปรับใช้และเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตในปัจจุบันได้ นอกจากนี้ การเรียนวิชา
ประวัติศาสตร์ ยังทาให้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของบุคคลสาคัญ/สถานที่สาคัญทางประวัติศาสตร์ และ
ยังทาให้เกิดทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูล พิจารณาไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์ รู้จักตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้อย่างมีเหตุมีผล และเห็นว่าวิชาประวตั ศิ าสตร์นับเป็นปัจจัยหน่ึงในการสร้าง
คุณค่าทางคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและปลกู ฝงั ให้เกดิ ความรักและสามัคคีต่อถิ่นกาเนิดและประเทศชาติสู่คนรุ่นหลัง
สืบไป
สาหรับผู้ตอบแบบสอบถามท่ีเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีความสาคัญ เพราะเนื้อหาสาระวิชา
ประวัติศาสตร์ค่อนข้างยาก ซับซ้อน ไม่สนุก และไม่น่าสนใจ เนื้อหาสาระบางเร่ืองยังขาดความชัดเจน ทาให้
เรียนแล้วเกิดความไม่เข้าใจ และมองว่าวิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้จัดอยู่ในวิชาหลักพ้ืนฐานที่จาเป็นต้องเรียนรู้
สามารถศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมได้ด้วยตนเอง จึงเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีความสาคัญ เมื่อเรียนแล้วไม่
สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการสอบหรือต่อยอดทางการศึกษาหรือนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ และยังคงมี
ผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนที่เห็นว่า เน้ือหาสาระวิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ไม่
สามารถเปลยี่ นแปลงหรอื แก้ไขได้ จึงไมม่ คี วามสาคญั ทจี่ ะต้องศกึ ษาเรอื่ งราวเหล่านน้ั

 ความจาเปน็ ของวิชาประวตั ศิ าสตร์

10.6

จาเป็น
ไมจ่ าเปน็

89.4

ภาพท่ี 26 การเหน็ ความจาเปน็ ของวิชาประวตั ิศาสตร์ของผตู้ อบแบบสอบถาม
จากแผนภาพที่ 26 แสดงข้อมูลข้างต้น พบว่า ผู้เรียนท่ีตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ร้อยละ 89.4 หรือ
เกือบร้อยละ 90 เห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์มีความจาเป็น คิดเป็นจานวน 54,459 คน และเห็นว่าวิชา

40

ประวตั ิศาสตรไ์ มม่ ีความจาเปน็ ร้อยละ 10.6 หรือคดิ เป็นจานวน 6,428 คน ทั้งนี้ ผู้เรียนทตี่ อบแบบสอบถามที่
เห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์มีความจาเป็น เพราะส่วนใหญ่เห็นว่าการเรียนวิชาประวัติศาสตร์จะได้เรียนรู้ถึง
ข้อผิดพลาดท่ีเกิดขึ้นในอดีตแล้วนามาเป็นบทเรียนในการดาเนินชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนผู้ตอบ
แบบสอบถามทเ่ี ห็นวา่ วิชาประวตั ิศาสตร์ไม่มีความจาเป็น เพราะเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์นามาใช้ประโยชน์ได้
เพียงการทาขอ้ สอบเพื่อเก็บคะแนนเท่าน้ัน แต่ไม่ได้ถูกนามาใช้ประโยชน์ในการดาเนินชีวิตประจาวัน เร่ืองราว
ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากต่อการทาความเข้าใจ เนื้อหาสาระค่อนข้างมากและนาไปใช้
ประโยชน์ได้น้อย หน่วยกิตรายวิชาค่อนข้างน้อยหากเปรียบกับวิชาอื่น ปัจจุบันสามารถศึกษาหาข้อมูลทาง
ประวตั ิศาสตรไ์ ด้ดว้ ยตนเองผา่ นทางสือ่ ออนไลน์จงึ ไมจ่ าเป็นตอ้ งเรียนในชั้นเรียน และเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์
ควรจดั ไวใ้ นหมวดหมูข่ องรายวชิ าเลอื กท่ีสามารถเลือกเรียนได้ตามความชอบและความสนใจแตล่ ะบุคคล

 ความชอบที่มีต่อวชิ าประวตั ศิ าสตร์

17.6

ชอบ
ไม่ชอบ

82.4

ภาพท่ี 27 ความชอบทม่ี ตี ่อวิชาประวัติศาสตร์ของผูต้ อบแบบสอบถาม
จากแผนภาพที่ 27 แสดงข้อมูลข้างต้น พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์จานวน
50,194 คน คิดเป็นร้อยละ 82.44 และไม่ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ จานวน 10,693 คน คิดเป็นร้อยละ
17.60 โดยผู้ท่ีชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า วิชาประวัติศาสตร์เรียนแล้วสามารถนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์ได้ วิชาประวัติศาสตร์มีเน้ือหาสนุกน่าสนใจ ชอบเรียนเพราะครูผู้สอนและวิธีการสอนของครูมีความ
น่าสนใจ ขณะที่ผู้ท่ีไม่ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า เน้ือหาวิชาประวัติศาสตร์ยาก ไม่น่าสนใจ
รองลงมาคอื เรยี นแล้วไมส่ ามารถนาเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ วิธีการสอนของครูไม่น่าสนใจ และอ่ืน ๆ เช่น
เน้ือหาสาระมากเกนิ ไป ซับซอ้ น เข้าใจยาก เรยี นแลว้ ไมเ่ ข้าใจ เปน็ ตน้

(2) ความมงุ่ หมายของการเรยี นวชิ าประวตั ศิ าสตร์
ผู้เรียนท่ีตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ เพ่ือรับรู้ถึงความเป็นมา วิวัฒนาการความ
เปล่ยี นแปลงของสังคมในอดีตสู่ปัจจุบัน และนาความรู้ท่ีได้มาปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ประวัติศาสตร์
จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากอดีตเพ่ือเป็นบทเรียนสาหรับปัจจุบัน เพ่ือเข้าใจถึงปัญหา สาเหตุของปัญหาและ
ผลกระทบจากปัญหานน้ั นาสกู่ ารแก้ไขปญั หา เตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีอาจเกิดขึ้น เพ่ือ
ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ พิจารณาไตร่ตรอง ใช้เหตุผลในการเปรียบเทียบส่ิงต่าง ๆ จากหลักฐานและ

41

แหล่งข้อมูลอ้างอิงสู่การทาความเข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดข้ึนในแต่ละยุคสมัย เพ่ือช่วยให้มนุษย์เกิดความ
ตระหนัก สานึก และเข้าใจสังคมมากยิ่งขึ้น สร้างความภาคภูมิใจและความรู้สึกในชาติหรือเผ่าพันธุ์ตลอดจน
ตระหนักถงึ คุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษส่ังสมไว้ และประวัติศาสตร์ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจสู่การ
ตอ่ ยอดในสายอาชพี สาหรบั ผู้ทต่ี อ้ งการประกอบอาชพี เก่ียวกับประวัติศาสตร์ได้

(3) ความพงึ พอใจทม่ี ตี อ่ การจดั การเรียนการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์
การวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 1)
ภาพรวมของความพึงพอใจ 2) การจัดการเรียนการสอนในรายด้าน ได้แก่ ด้านครูผู้สอน ด้านส่ือ/เทคโนโลยี
และแหล่งเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ 3) ด้านการวัดและประเมินผลวิชาประวัติศาสตร์ ข้อมูลแสดงดังตาราง
ประกอบคาอธิบายดังน้ี
โดย การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ดังน้ี

คา่ เฉลีย่ 4.50 – 5.00 หมายถงึ มสี ภาพปัจจุบันอย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ
ค่าเฉล่ีย 3.50 – 4.49 หมายถงึ มีสภาพปจั จบุ นั อยู่ในระดบั มาก
คา่ เฉลีย่ 2.50 – 3.49 หมายถงึ มีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดบั ปานกลาง
คา่ เฉลย่ี 1.50 – 2.49 หมายถงึ มสี ภาพปจั จุบนั อยใู่ นระดับน้อย
ค่าเฉลีย่ 1.00 – 1.49 หมายถึง มสี ภาพปจั จุบนั อยใู่ นระดบั น้อยทีส่ ุด

ตารางที่ 6 ความพงึ พอใจท่ีมีต่อการจดั การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์

ด้าน/สภาพปัจจุบนั คา่ เฉลยี่ คา่ เบ่ียงเบน ระดับความ
3.75 0.91 พึงพอใจ
ภาพรวม
ดา้ นการเรียนการสอนวิชาประวตั ิศาสตร์ 4.29 0.82 มาก
1) ด้านครผู ้สู อน 3.98 0.93
1.1) ความรใู้ นเน้ือหาวิชาที่สอน 4.44 0.80 มาก
1.2) เนอ้ื หาท่ีสอนมีความนา่ สนใจ 4.27 0.88 มาก
1.3) ความตง้ั ใจและมงุ่ ม่ันในการสอน มาก
1.4) การรับฟังความคดิ เหน็ ของผู้เรยี น 4.36 0.84 มาก
1.5) การเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน เช่น
การถามตอบในห้องเรียน การรวมกลุ่มระดมความ 3.96 0.99 มาก
คิดเหน็ เป็นต้น 3.83 0.96
1.6) กจิ กรรมการเรยี นการสอนสนกุ น่าสนใจ 4.14 0.87 มาก
1.7) บรรยากาศการเรียนการสอนมีชีวิตชีวาไม่ 4.11 0.89 มาก
เครง่ เครียด มาก
1.8) การใหค้ าแนะนาในการทากิจกรรมอย่างชัดเจน 4.18 0.86 มาก
1.9) การสรุปบทเรียน/เน้ือหา และทาให้ง่ายต่อการ
เข้าใจ มาก
2) ดา้ นสอ่ื /เทคโนโลยแี ละแหลง่ เรียนรู้วิชาประวตั ศิ าสตร์
2.1) การเตรียมส่ือและใช้สื่อการสอนท่ีเหมาะสมกับ

42

ด้าน/สภาพปจั จบุ ัน คา่ เฉล่ีย คา่ เบี่ยงเบน ระดับความ
พงึ พอใจ
เนื้อหา
3) ด้านการวดั และประเมนิ ผลวิชาประวัตศิ าสตร์ 4.13 0.84 มาก
3.1) การออกขอ้ สอบตรงกับเนอ้ื หาท่สี อน

จากตารางที่ 6 ความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ พบว่า ภาพรวมอยู่ใน
ระดับมาก ( = 3.75, S.D.=0.91) สาหรับรายด้านอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย 1) ด้านครู้
ผู้สอน ความรู้ในเน้ือหาวิชาที่ ( = 4.29, S.D.=0.82) เนื้อหาที่สอนมีความน่าสนใจ ( = 3.98, S.D.=0.93)
ความต้ังใจและมุ่งม่ันในการสอน ( = 4.44, S.D.=0.80) การรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียน ( = 4.27,
S.D.=0.88) การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน เช่น การถามตอบในห้องเรียน การรวมกลุ่มระดม
ความคิดเห็น เป็นต้น ( = 4.36, S.D.=0.84) กิจกรรมการเรียนการสอนสนุก น่าสนใจ ( = 3.96,
S.D.=0.99) บรรยากาศการเรียนการสอนมีชีวิตชีวาไม่เครง่ เครียด ( = 3.83, S.D.=0.96) การให้คาแนะนาใน
การทากิจกรรมอย่างชัดเจน ( = 4.14, S.D.=0.87) การสรุปบทเรียน/เน้ือหา และทาให้ง่ายต่อการเข้าใจ (

= 4.11, S.D.=0.89) 2) ด้านส่ือ/เทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ การเตรียมสื่อและใช้สื่อการ
สอนที่เหมาะสมกับเนื้อหา ( = 4.18, S.D.=0.86) 3) ด้านการวัดและประเมินผลวิชาประวัติศาสตร์ การออก
ขอ้ สอบตรงกบั เนอ้ื หาท่ีสอน ( = 4.13, S.D.=0.84)

การศึกษาวจิ ยั เชิงคุณภาพ

การศกึ ษาวจิ ยั เชิงคุณภาพ สภาพการจดั การเรยี นการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน
เป็นการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามครูผู้สอนและผู้เรียน การสนทนากลุ่มย่อยครูผู้สอน
และผู้เรียน ระหว่างวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 2564 การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ท่าน ระหว่าง
วันที่ 16 – 18 สิงหาคม 2564 และการสัมภาษณ์ทางโทรศพั ทแ์ ละการแสดงความคิดเห็นผ่านแบบแสดงความ
คดิ เห็นและข้อเสนอแนะ ซ่ึงมรี ายละเอียด ดงั น้ี

1. ด้านผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนมีทั้งชอบและไม่ชอบวิชาประวัติศาสตร์ ในส่วนที่ ชอบเรียน
เนื่องจาก เนอื้ หาของประวตั ศิ าสตร์มคี วามน่าสนใจ มเี รอ่ื งราวมากมายให้ติดตาม ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ได้คิดวิเคราะห์ ไม่ได้ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว นาเทคโนโลยีมาใช้ประกอบการสอน สามารถนาเร่ืองที่เรียนมา
เชื่อมโยงกับชีวิตในปัจจุบันได้ ในส่วนที่ ไม่ชอบเรียน เนื่องจาก ผู้เรียนไม่เห็นถึงความสาคัญของการเรียน ไม่
สามารถนาเร่ืองทีเ่ รียนมาเชื่อมโยงกับชวี ิตในปัจจุบันได้ รวมถึงเนื้อหาสาระของการเรียนมีมากเกินไป และการ
เรยี นส่วนใหญ่เน้นการท่องจาผ้สู อนไมไ่ ดเ้ ปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นได้คิดวิเคราะห์ ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว สอนเพียง
ประวตั ิศาสตรก์ ระแสหลกั ทาให้ผูเ้ รียนเกิดความรู้สกึ เบ่ือหน่าย ไมอ่ ยากเรียนและไมม่ แี รงจูงที่จะเรยี น

2. ด้านครูผู้สอน พบว่า บุคลิกภาพ ทัศนคติ และวิธีการสอนของครูผู้สอนส่งผลโดยตรงต่อ
ความสนใจ ความอยากเรียน ความชอบ แรงจูงใจ ในการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของผู้เรียน โดยประเด็นที่
ส่งผลกระทบต่อการเรียนของผูเ้ รียนน้ัน ประกอบด้วย ด้านความรู้และความเข้าในใจเนื้อหา ผู้สอนบางคนยัง
มีความคิดว่าตนเองมีความรู้ในเน้ือหาสาระวิชาประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ทาให้การถ่ายทอดความรู้หรือการ

43


Click to View FlipBook Version