ตีความอาจบิดเบือนไปจากหลักฐานความเป็นจริง ด้านทัศนคติและบุคลิกภาพ ครูผู้สอนบางส่วนไม่เข้าใจ
บทบาทของตนเองว่า “ครู คือ ผู้ถ่ายทอด ผู้กากับ” ครูจึงควรต้องตระหนักเสมอว่า หน้าท่ีของครูคือการทาให้
ผู้เรยี นเขา้ ใจในเรื่องทส่ี อนและอยากที่จะเรียนรู้ รวมถึงลักษณะบุคลิกภาพของครูผู้สอน เช่น ครูผู้สอนพูดเสียง
อยู่ในลาคอ ใช้นา้ เสยี งโทนเดียวในการเล่าเร่ือ เป็นต้น ด้านรูปแบบและวิธีการสอน ครูผู้สอนไม่มีการเกริ่นนา
เนื้อหากอ่ นสอนเพอื่ กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน รวมท้ังมักลงรายละเอียดของเน้ือหาท่ีสอนมากเกินไปจนทา
ใหล้ ะเลยประเดน็ สาคญั ของเนื้อหาที่ผู้เรียนควรจะตอ้ งรู้ ซ่ึงอาจทาให้ผู้เรียนเกิดความสับสนในเน้ือหา ประเด็น
อ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ครูผู้สอนบางส่วนไม่เห็นความสาคัญของวิชาประวัติศาสตร์ สอนไม่ตรง
วชิ าเอก ขาดประสบการณ์และความรคู้ วามเข้าใจในวิชาประวัตศิ าสตรท์ ีช่ ัดเจน สง่ ผลให้ไม่สามารถจัดการเรียน
การสอนในรปู แบบหรอื วธิ กี ารท่เี หมาะสมกบั โครงสร้างของหลักสตู รได้ ประกอบกับมีข้อจากัดเร่ืองงบประมาณ
และการสนับสนุนให้เข้ารับการอบรมเก่ยี วกบั การจัดการเรยี นการสอนวิชาประวตั ิศาสตร์
3. ด้านหลักสูตร พบว่า มีทั้งส่วนที่คิดเห็นว่าหลักสูตรมีความเหมาะสมแล้ว และส่วนท่ีคิดว่า
ควรต้องปรับหลักสูตรใหม่ ในประเด็นต่าง ๆ ดังน้ี จุดมุ่งหมายของหลักสูตร หลักการ/แนวคิดของหลักสูตร
และเนือ้ หาสาระของหลักสูตร สะท้อนว่า (1) หลกั สูตรเนน้ ประวัติศาสตรข์ องส่วนกลางเปน็ หลัก ไม่ได้มีการบูร
ณาการประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ ประวตั ศิ าสตร์ของชนกล่มุ นอ้ ยในชาติ หรอื ประวัติศาสตร์อย่างอ่ืนที่เกี่ยวข้องกับ
ผู้เรียน มีเน้ือหาการสอนที่สร้างความขัดแย้งอยู่ รวมถึงบางเน้ือหายังซ้าซ้อน มีการเรียนเร่ืองเดียวกันในหลาย
ระดบั (2) หลักสูตรเน้นเพอ่ื ให้ความรู้ มีรายละเอียดและขอบเขตเนื้อหาความรู้ที่กว้างมากเกินไป ไม่สอดคล้อง
กบั บรบิ ทที่เปลี่ยนแปลง ชีวิตประจาวันและความแตกต่างของผู้เรียน บางเน้ือหาไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้เรียน
เห็นภาพได้ เน้นความจาและเนื้อหามากกว่าวิธีคิด เน้ือหาบางเรื่องขาดความน่าเช่ือถือเนื่องจากขาดแหล่ง
อ้างอิงทช่ี ดั เจน (3) คาอธิบายหลักสูตรไม่ชัดเจน เช่น จุดประสงค์รายวิชา บอกเรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์
แตห่ ลกั สตู รไมไ่ ด้มกี ารอธิบายว่าจะต้องนาวิธีการทางประวัติศาสตร์ไปใช้ในบทต่อไปด้วย ครูผู้สอนจึงสอนแยก
และไมไ่ ดส้ อนให้ประยกุ ต์ใช้กับเนอื้ หาอ่ืน เป็นตน้ รวมถึงในระดับมหาวิทยาลัย หลักสูตรเน้นที่เน้ือหา/การวิจัย
ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านมีความถนัดแตกต่างกัน จึงเกิดมุมมองคนละทิศทางและเข้าใจหลักฐานคนละมุมมอง
มาตรฐานและตัวช้ีวัดของหลักสูตร สะท้อนว่า (1) หลักสูตรไม่เหมาะสมกับช่วงวัยและระดับของการเรียน
เน้ือหาและตัวชี้วัดไม่สอดคล้องกัน หลักสูตรกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้บางข้อยากต่อการนาปฏิบัติได้จริง
เน้นการการสร้างมาตรฐาน จึงเกิดอุปสรรคที่หนีไม่พ้นกรอบเน้ือหาและการวัดประเมิน ไม่สามารถออกนอก
กรอบได้มากกว่านี้ รวมถึงยังเป็นหลักสูตรที่ไม่เข้าใจสภาพบริบทและความแตกต่างของสถานศึกษา (2) การ
กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดไว้มากและกว้างเกินไป ไม่สอดคล้องกับเนื้อหา เนื้อหาสาระบางส่วนไม่ได้
รับการตรวจทานอยา่ งเข้มขน้ และอธิบายให้ถูกต้อง มีบางส่วนบิดเบือนความจริง (3) บางโรงเรียนแยกรายวิชา
ประวัติศาสตร์จากวิชาสังคมศึกษา ส่งผลให้เน้ือหาสาระการเรียนรู้ของแต่ละชั้นปีค่อนข้างแตกต่างกัน ขาด
ความสอดคล้องเชื่อมโยงของเน้ือหาสาระและส่งผลต่อความเข้าใจของนักเรียน และสุดท้ายจานวนช่ัวโมงใน
การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ สะท้อนว่า การเรียนการสอนมีช่ัวโมงเรียนน้อยเกินไป (สัปดาห์ละ 1 คาบ)
เนอ่ื งจากถูกมองวา่ เปน็ สาระรองเลยไม่ใหค้ วามสาคัญ และเวลาเรียนอาจตอ้ งใช้ร่วมกับวชิ าสังคมศกึ ษา
4. ด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า ปัญหาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา
ประวัติศาสตร์เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากหลักสูตร หนังสือหรือตาราเรียน รวมท้ังยังพบว่าการสอนปัจจุบันยัง
ไม่ได้เน้นการให้เด็กคิดวิเคราะห์เท่าที่ควร สอนแบบ chalk and talk สอนตามแบบเรียนและท่องจา เน้น
เน้ือหามากว่าวิธีการ ส่งผลให้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับประวัติศาสตร์เป็นแบบท่องจามากกว่าความเข้าใจ
ไม่สามารถลาดับเหตุการณ์เชื่อมโยงกับทางประวัติศาสตร์ได้ ขาดการเรียนรู้จากสถานที่จริงและแหล่งข้อมูลท่ี
หลากหลาย แต่มีผู้เรียนบางส่วนท่ีสะท้อนว่า ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้ได้คิดวิเคราะห์ ต้ังคาถาม หาหลักฐานมา
ยืนยัน นามาถกกันในห้องเรียน สามารถแสดงความคิดเห็นส่วนตัว และเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียน
44
นอกจากน้ียังพบว่า กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีผู้เรียนชอบ คือ การออกไปศึกษานอกสถานที่ การได้ร่วม
พูดคุยกับครูผู้สอน การดูวิดีทัศน์ต่าง ๆ การได้เรียนรู้เร่ืองราวแปลกใหม่ ต่ืนเต้น รวมถึงการเรียนผ่านการเล่า
เรอ่ื งโดยครผู สู้ อน เปน็ ตน้
5. ด้านการวัดและประเมินผล พบว่า เป็นเป็นปัญหาต่อเน่ืองมาจากหลักสูตร ตาราเรียน/
หนังสือ (เช่นเดียวกับปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอน) โดยส่วนใหญ่สะท้อนว่า รูปแบบ / แนวทางการวัด
และประเมินผลยังไม่หลากหลาย เปน็ การวดั ประเมินผลทีม่ คี าตอบเดียว ประเมินเพียงความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้
มีการวัดทักษะของผู้เรียนเท่าท่ีควร รวมถึงบุคลากรไม่มีความรู้ในการวัดและประเมินผล สาหรับผู้เรียนระดับ
มัธยมศึกษา บางส่วนสะท้อนว่า การวัดประเมินผลยังเป็นการให้ท่องจาและนาไปสอบ ข้อสอบออกไม่ตรงกับ
เนื้อหาทีส่ อน บางครงั้ ครูผู้สอนใช้วิธีการบอกแนวข้อสอบก่อนสอบ ผู้เรียนระดบั ประถมศึกษา บางส่วนสะท้อน
ว่า ครูผูส้ อนไมไ่ ดช้ ี้แจงแนวทางในการวัดและประเมินผล ซึ่งผู้เรียนต้องการให้มีแนวทางการวัดและประเมินผล
ที่หลากหลาย เช่น การสอบย่อย / ทดสอบระหว่างเรียน - หลังเรียน (มีทั้งข้อกากบาทและข้อเขียน) สอบกลางภาค
สอบปลายภาค การเกบ็ คะแนนจากใบงาน / รายงาน (แบบรายบุคคลและรายกล่มุ ) Portfolio สะสมผลงาน เปน็ ตน้
6. ดา้ นตาราเรียน สอื่ และอปุ กรณก์ ารเรยี นรู้ พบปัญหาสาคัญตงั้ แตห่ นงั สอื เรียนหรือตารา
เรียนไม่ได้มาตรฐาน เน่ืองจากถูกผลิตข้ึนมาจากหลากหลายสานักพิมพ์ จะเห็นได้ว่า หนังสือหรือตาราเรียนมี
ความแตกต่างกันท้ังในด้านของเนื้อหาและข้อมูล เช่น เนื้อหาเรื่องเดียวกันแต่ให้ข้อเท็จจริงในรายละเอียด
แตกต่างกนั ผูเ้ รียนระดบั ช้นั เดียวกนั แตเ่ นือ้ เรอ่ื งที่ใชส้ อนต่างกัน เป็นต้น รวมถึงเน้ือหาในตาราเรียนไม่ได้มีการ
ใหข้ อ้ มูลในลักษณะเรื่องเล่า ซึ่งวิชาประวัติศาสตร์เทคนิคสาคัญของการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ คือ การเล่าเรื่อง แต่หนังสือเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้มีการไล่ข้อมูลตามเหตุการณ์ แต่เป็นเนื้อหาที่
ระบุผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องราว เช่น สาเหตุของการเสียกรุงฯ ในความเป็นจริงแล้วควรเล่าเร่ืองราวตั้งราวแต่
เร่ิมต้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและอยากเรียนรู้มากย่ิงข้ึน ยกตัวอย่างหนังสือเรียนระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย ใส่รายละเอียดเน้ือหาสาระท่ีผู้เรียนต้องรู้มากเกินไปและไม่สาคัญ เน้ือหาตาราเรียนใน
บางสานักพิมพ์ไม่ได้มีการใส่เนื้อหาของพระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี 9 พระพันปีหลวง บุคคลสาคัญของประเทศ
ไทย บุคคลสาคัญท่ีทาคุณงามความดี มีคุณธรรม เสียสละเพ่ือประเทศ ซ่ึงหนังสือเรียนควรใส่ข้อมูลบุคคล
สาคัญในการสร้างชาติก็ยังจาเป็นต้องคงไว้เน่ืองจากเป็นแก่นสาระสาคัญของการสร้างความเป็นชาติไทย
ขณะทบี่ ุคคลท่ที าคุณงามความดที ่ัวไปก็สามารถทาได้ นอกจากนี้ สอื่ การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่ีดีอยู่
ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม ทาให้เกิดปัญหาในการนาสื่อมาใช้ เพราะกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งเก็บอย่างเดียวไม่
แลกเปล่ยี นในวงการการศกึ ษา
สาหรับการใช้ตาราเรียน สื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ พบว่า มีการใช้ตาราเรียน ส่ือและอุปกรณ์
การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับระดับช้ันของผู้เรียน ความถนัดของครูผู้สอน และความพร้อมของ
โรงเรียน ระดับประถมศกึ ษา พบว่า ส่วนใหญ่มีการใช้สื่อพื้นฐาน เช่น การสอนผ่านเพลง “บางระจัน” (ผู้เรียน
สะท้อนว่า การสอนผ่านเพลงดังกล่าวช่วยให้รู้สึกรักชาติมากย่ิงข้ึน) มีการให้หาข้อมูลเก่ียวกับประวัติศาสตร์
จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ห้องสมุดแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เว็บไซต์ Youtube, Wikipedia, google etc.
ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นการหาข้อมูลจาก เว็บไซต์ google และจะมีวิธีการตรวจสอบข้อมูลโดยตรวจสอบข้อมูลใน
หนังสือเรียนประกอบกับทางเว็บไซต์ ท้ังนี้ ผู้เรียนจะเลือกเช่ือข้อมูลตามที่มีอยู่ในหนังสือเรียนมากกว่า ระดับ
มัธยมศึกษา ผู้เรียนสะท้อนว่า หนังสือและตาราเรียน ยังมีเน้ือหาท่ีไม่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของ
ประวัติศาสตร์ และให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงด้านเดียว การเข้าถึงสื่อ แหล่งการเรียนรู้ วิชา
ประวัติศาสตร์ยังเข้าถึงได้ยาก ไม่หลากหลายหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งส่งผล
กระทบต่อการเรยี นรู้ การเข้าถงึ การเรยี นร้ขู องผู้เรยี น
45
นอกจากน้ี พบปัญหาการขาดสื่อการเรียนท่ีน่าสนใจ/ขาดแคลนอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการเรียน เช่น
ขาดอินเทอร์เน็ต โทรทัศน์สาหรับเปิดส่ือการเรียนมีไม่เพียงพอต่อห้องเรียน/ระดับ รวมถึงขาดงบประมาณใน
การซ่อมบารุงสอ่ื และอปุ กรณ์การเรียนรู้
7. ด้านแหล่งเรียนรู้ บางส่วนสะท้อนว่า แหล่งเรียนรู้มีน้อยและขาดความหลากหลาย ไม่มี
แหล่งเรียนรู้ที่ตรงกับตัวช้ีวัด ไม่มีงบประมาณสาหรับศึกษาแหล่งเรียนรู้ มีการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้เข้ากับยุค
สมัยแต่ยังไม่มากเท่าที่ควร ในต่างจังหวัดผู้เรียนเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ได้ยาก เน่ืองจากแหล่งเรียนรู้อยู่ไกล
นอกจากนี้ แหลง่ ข้อมลู ทางประวัตศิ าสตร์ขาดความเช่ือมโยงกนั
8. ด้านการสนับสนุน บางส่วนสะท้อนว่า ยังขาดการสนับสนุนจากผู้บริหาร รวมถึงขาดการ
จดั สรรงบประมาณ เพื่อศกึ ษาเรียนรู้ในรายวชิ าประวัตศิ าสตร์ และการไปศึกษาจากแหล่งเรียนร้จู รงิ
9. ประเดน็ อื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับสภาพปัจจุบัน ปัญหา และอุปสรรคของการจัดการเรียนการ
สอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่ (1) คะแนนรายวิชาประวัตศิ าสตร์อยู่ในระดับต่ามาก จากผลคะแนน O-NET ใน
รายวิชาสังคมศึกษา ท่ีเน้ือหาข้อสอบออกคละกันในวิชาภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หน้าท่ีพลเมือง ศาสนา และ
ประวตั ิศาสตร์น้ัน พบว่า คะแนนในส่วนของศาสนา เด็กทาได้มากที่สุด รองลงมาคือ หน้าท่ีพลเมือง ภูมิศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ แตใ่ นวชิ าประวัตศิ าสตรเ์ ดก็ ได้คะแนนน้อยที่สุด เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 30 คะแนน (ปี 61 = 29.68 ปี
62 = 28 คะแนน ปี 63 = 29.30 คะแนน) (2) ขาดการบูรณาการและเช่ือมโยงให้มีความสอดคล้องกันต้ังแต่
การพัฒนาหลักสูตร หนังสือเรียน การจัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล และการพัฒนาครู เช่น
หลกั สตู รของไทยลดบทบาทและความสาคัญของรายวิชาประวัติศาสตร์ เน้ือหาสาระของหนังสือเรียนลดข้อมูล
บุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ลง เช่น พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ บุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ บุคคล
สาคัญของประเทศไทย บุคคลสาคัญท่ีทาคุณงามความดี มีคุณธรรม เสียสละเพื่อประเทศ เป็นต้น ซึ่งเป็น
เน้ือหาสาคัญของการสร้างชาติ (3) ปัญหาอ่ืน ๆ ท่ีไม่เกี่ยวข้องทางตรงแต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียน
การสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ เช่น การน่ังในตาแหน่งของผู้บริหารระดับสูงยังไม่สอดคล้องกับความรู้และ
ความเชี่ยวชาญของตาแหน่ง หรือในประเด็นที่ สพฐ. มี obec contents center แต่เกิดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์
ส่งผลให้ไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ได้ เป็นต้น (4) นโยบายเร่งด่วนจากส่วนกลาง ซ่ึงขัดกับนโยบายของ
หน่วยงานต้นสงั กดั ส่งผลใหต้ ้องยึดนโยบายจากส่วนกลาง และกจิ รรมอย่างอ่ืนไป เช่น ในวิชาหน้าท่ีพลเมือง มี
คาสง่ั ใหเ้ รยี นหนา้ เสาธงแบบบูรณาการ ไม่มีการสอนในห้องเรียน ส่งผลให้โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนใน
วิชาเพิ่มเติม และตัดกิจกรรมลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้ไป (5) ขาดการเอาใจใส่และการให้ความสาคัญอย่าง
จริงจัง เช่น ลดการสอบระดับชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ ไม่ได้มีการกาหนดเป้าหมายท่ีชัดเจนของการเรียน
ประวัติศาสตร์ ว่าประเทศไทยต้องการให้เด็กเรียนประวัติศาสตร์เพ่ืออะไร รวมถึงการปลูกฝังประวัติศาสตร์ท่ี
ถูกบิดเบือนไปจากความจริง และขาดการเชื่อมโยงอดีตให้เขา้ ถงึ ปจั จบุ ัน (6) การรับรู้ กรอบแนวคิดและมุมมอง
ที่มีต่อประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้ใหญ่เดิมมักอยู่ในมโนทัศน์ชาตินิยม เด็กอยู่ในกลุ่ม
หลงั ชาตนิ ิยม ทม่ี องประชากรเท่าเทยี มกัน เป็นต้น
46
ข้ อ เ ส น อ แ น ะ เ พื่ อ พั ฒ น า ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น วิ ช า
ประวตั ิศาสตร์ระดับการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม การสนทนากลุ่มย่อย รวมถึงการปรึกษาหารือ
ผทู้ รงคุณวฒุ ิเพ่อื ให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ สามารถสรุปข้อเสนอแนะเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ประกอบด้วย ด้านผู้เรียน ด้านครูผู้สอน ด้านหลักสูตร ด้านการ
จัดการเรียนการสอน ด้านการวัดและประเมินผล ด้านตาราเรียน ส่ือและอุปกรณ์การเรียนรู้ ด้านแหล่งเรียนรู้
ด้านการสนับสนนุ และประเดน็ อืน่ ๆ ที่เกย่ี วข้อง รายละเอียดดังนี้
2.1 ดา้ นผู้เรยี น
ขอ้ เสนอเพื่อพัฒนาดา้ นผ้เู รียน ไดแ้ ก่
ควรมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้เกิดข้ึนแก่ผู้เรียน นอกเหนือจากความจาและความเข้าใจ เช่น
ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ ความสามารถในการเชื่อมโยงวิเคราะห์ปัญหา หรือ หาวิธีแก้ปัญหาในปัจจุบัน สามารถ
เรียงลาดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ได้ เป็นต้น นอกจากน้ี ควรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเห็น
ความสาคัญ คุณค่า เข้าใจในแก่นของวิชา สนุกและอยากเรียน สามารถบอกความสาคัญและเห็นคุณค่าของ
ประวัติศาสตร์ชุมชน ความเป็นมาเป็นไปของชุมชนตนเอง มุ่งสู่จังหวัดและประเทศ รวมถึงเข้าใจว่าบุคคล
สาคญั ส่ิงประดิษฐ์ ภูมิปัญญาของคนในอดีต นามาซึ่งร่องรอยของปัจจุบัน สามารถนาความรู้ท่ีได้มาปรับใช้ใน
ชวี ติ ประจาวนั และปรับตัวให้เข้ากบั สภาพสงั คมปัจจุบันได้
2.2 ด้านครูผสู้ อน
ขอ้ เสนอเพอ่ื พัฒนาครผู ู้สอน ได้แก่
(1) การผลิตครู ควรเพ่ิมความสาคัญของวิชาประวัติศาสตร์ โดยอาจบรรจุให้สาขาวิชา
ประวัติศาสตร์เป็นหน่ึงในวิชาเอกของหลักสูตรการผลิตครูสอนสังคมศึกษา และผลิตครูสอนสังคมศึกษาเอก
ประวัติศาสตร์ให้มีมโนทัศน์ กระบวนการคิด กระบวนการสอน ท่ีสอดคล้องกับความต้องการและยุคสมัยที่
เปล่ียนแปลง
(2) การใช้ครู ควรจัดสรรบุคลากรครูที่ครบวิชาให้แก่ทุกโรงเรียน นอกจากน้ี ควรลดภาระงาน
อื่น ๆ ท่เี ข้ามาเปน็ อุปสรรค เพื่อให้ครูได้สอนอย่างเต็มท่ี โดยโรงเรียนต้องให้ความสาคัญ และตระหนักว่า วิชา
ประวัติศาสตร์คือศาสตร์สาคัญท่ีไม่ใช่ใครก็สอนได้ ไม่ใช่วิชาง่าย ๆ แค่ท่องจา ไม่ใช่วิชาที่ครูแค่เปิดหนังสือก็
สอนได้
(3) การพัฒนาครู ควรเพิ่มเติมในเรื่องของการอบรมและพัฒนาครูให้เท่าทันกับการสอนยุคใหม่
ความต้องการของผู้เรียนและสังคมมากย่ิงขึ้น อาทิ การนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนใน
วิชาประวัติศาสตร์ การมคี ูม่ อื ครู หรอื ตาราครู (มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ) เพื่อใช้เป็นแนวทางจัดการเรียน
การสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรพัฒนาครูท่ีไม่ได้จบตรงเอกให้ได้รับแนวทางการ
จัดการเรียนการสอนท่ีถูกต้อง พร้อมมอบสื่อการเรียนการสอน วัสดุอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน และ
ควรจดั อบรมและพฒั นาครูอย่างตอ่ เน่อื ง.
47
2.3 ด้านหลกั สูตร (นโยบายฯ และมโนทัศน์เก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน
ประวัตศิ าสตร์)
ข้อเสนอเพ่อื พฒั นาหลกั สตู ร คอื การรือ้ /ปรับ/จัดทาหลักสูตรใหม่ โดยปรับเนื้อหา มาตรฐาน
และตัวช้ีวัดให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับยุคสมัย เป็นเน้ือหาที่สามารถนาพาผู้เรียนไปสู่การคิด
วิเคราะห์และการพัฒนาตนเองเพ่ือนาไปสู่วิชาชีพของตนเอง ปรับเน้ือหาให้เหมาะสมกับช่วงวัยและระดับช้ัน
ของผู้เรียน เน้ือหากระชับ นาไปใช้ได้จริง ไม่เอนเอียงและสะท้อนความจริง เรียงลาดับเหตุการณ์อย่างถูกต้อง
เพ่ิมประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งประวัติศาสตร์หลัก ประวัติศาสตร์สากล ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ประวัติศาสตร์บุคคลสาคัญในแต่ละภูมิภาค เช่น ภาคเหนือเรียนประวัติศาสตร์ล้านนา ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือเรียนประวัติศาสตร์อีสาน และภาคใต้เรียนประวัติศาสตร์มุสลิม-มลายู เป็นต้น โดย
คานึงถึงการบรู ณาการเน้อื หาร่วมกบั รายวิชาอ่ืน การประยุกต์ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในการจัดการเรียนการ
สอน นอกจากนี้ ควรมีคณะทางานหลายส่วนเข้ามาร่วมดาเนินการในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ เช่น นักประเมิน
ผู้จัดการเรียนการสอน คนจัดทาหลักสูตร หนังสือเรียน สานักพิมพ์ นักประวัติศาสตร์ ผู้เรียน เป็นต้น เพ่ือให้
หลกั สูตรเกิดความหลากหลายและตอบโจทย์บริบทสังคมท่เี ปลีย่ นแปลงไปมากย่ิงข้ึน
ข้อเสนอเพอ่ื พฒั นามโนทศั น์การเรียนการสอนประวตั ศิ าสตร์ ดังน้ี
(1) ควรใหค้ วามสาคญั กับวิชาประวัติศาสตร์ โดยกาหนดเป็นวาระสาคัญระดับชาติท่ีทุกภาคส่วน
ตอ้ งรว่ มดาเนินการแกไ้ ข พฒั นา และปรบั ปรงุ ให้สอดคลอ้ งกบั ยุคสมัยมากยง่ิ ข้ึน
(2) ควรปรับมโนทัศน์ กรอบความคิดของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ใหม่ที่ไม่ใช่
การสร้างชาติจากความเกลียดชัง ไม่นาสังคมในปัจจุบันไปตัดสินสังคมในอดีต การสร้างความรู้ความเข้าใจท่ี
ถูกต้อง ยอมรับความจริงว่า ปัจจุบันไม่สามารถควบคุมการรับรู้ของนักเรียนได้ท้ังหมด ทุกภาคส่วนทาได้เพียง
อานวยความสะดวกและกาหนดขอบเขตในการเรยี นรูแ้ กผ่ เู้ รยี น
(3) ประยุกต์ใช้ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองในการดาเนินงาน คือ หาจุดร่วมตรงกลาง หรือ หลัก 4c
Continue คือ เร่ืองหรือเน้ือหาท่ีดีอยู่แล้วให้ดาเนินการอย่างต่อเนื่อง Combine คือ การรวบรวมหรือ
ผสมผสานเนื้อหาท่ีกระจัดกระจายเข้าด้วยกัน Collect คือ การปรับปรุงหรือพัฒนาเน้ือหาให้ถูกต้องมากข้ึน
Create คือ สร้างสรรค์เน้ือหาใหม่ ๆ ข้ึนมา นอกจากนี้ ควรส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่ายครูให้เกิดข้ึน
มีพ่ีเล้ียง หรือ collective teacher Efficiency ให้เกิดข้ึนจริง รวมถึงการทางานเชิงโครงสร้างตาม
พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาตฉิ บับใหม่ ควรให้สมัชชาการศึกษาจังหวัดเป็นเจ้าภาพประวัติศาสตร์ในระดับ
ทอ้ งถน่ิ เช่อื มโยงประสานการทางานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพ่ือมุ่งเน้นการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน
(4) ผลักดันให้เกิดแผนแม่บท หรือ Master Plan ของวิชาประวัติศาสตร์ โดยแต่งต้ัง
คณะกรรมการทปี่ รกึ ษาทางวิชาการท่ีมีองค์ประกอบจากผู้รู้หลายภาคส่วน เพื่อให้ลงลึกถึงเนื้อหาและแก่นทาง
ความคิดของความเป็นศาสตร์ในวิชาประวัตศิ าสตร์
2.4 ด้านการจัดการเรยี นการสอน
ขอ้ เสนอเพ่อื พัฒนาการจัดการเรียนการสอน ได้แก่
(1) ควรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ความ
พร้อมของนักเรียนแต่ละกลุ่ม/แต่ละบุคคล ให้ความสาคัญกับการเรียนการสอนอย่างมีความสุขไม่กดดันท้ัง
ผเู้ รียนและผูส้ อน สอดแทรกบูรณการทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ การสอนประวัติศาสตร์ในแง่อื่นให้ครอบคลุมทุก
มติ ิ รวมถงึ การสอนให้ผ้เู รยี นเห็นว่าประวัติศาสตร์อยใู่ กล้ตัวของผเู้ รียน หรอื ประวตั ิศาสตร์สามารถกนิ ได้
48
(2) ควรจัดการเรียนรู้ ออกแบบวิธีการสอนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีหลากหลาย
รปู แบบทนี่ า่ สนใจ เหมาะสมกบั วยั และระดับชั้นของผู้เรียน คานึงถึงการเรียนรู้ในระดับที่สูงข้ึนไปให้ครอบคลุม
ในระดับอุดมศึกษา ใช้สื่อประกอบการสอนท่ีให้ผู้เรียนติดตามการเรียนได้อย่างต่อเนื่องและเข้าใจในวิชา
ประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ควรมุ่งพัฒนาทักษะแก่ผู้เรียนผ่านการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติจริง
รวมถงึ การประยกุ ต์ใชห้ ลกั สูตรฐานสมรรถนะในการจัดการเรียนการสอนและการสอนที่บูรณาการนาความรู้ไป
ใชใ้ นชีวติ ประจาวัน
ยกตัวอย่างการจดั การเรยี นการสอนในแตล่ ะระดบั ไดแ้ ก่
(1) ระดับมธั ยมศกึ ษา
(1.1) การสอนที่ไม่เน้นว่าเรื่องใดถูกเร่ืองใดผิด แต่ควรเน้นว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไรจาก
ประวัติศาสตร์ จากประวัติเรื่องน้ี ส่งผลอะไรกับนักเรียน และนักเรียนจะสามรถนาไปใช้ได้อย่างไร นอกจากนี้
ไม่ควรสอนแต่ผล แต่ควรสอนให้เห็นว่ากว่าท่ีจะประสบความสาเร็จต้องทาอย่างไรบ้าง มีปัจจัยใดบ้าง เช่น
ทาไมพระเจ้าถึงกอบกู้บา้ นเมอื งใด ต้องผ่านอะไรมาบา้ ง ปัจจยั ใดทท่ี าให้ประสบความสาเร็จ
(1.2) ควรเน้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างรอบด้าน ท้ังด้านเศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์
สังคม เพื่อมาพิจารณาร่วมกัน การนาวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์มาใช้ การให้ข้อมูลหลายด้าน หลายมุมมอง
เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น และหาหลกั ฐานอา้ งองิ พจิ ารณาว่าหลักฐานนั้นมีความน่าเช่ือถือ มาก
นอ้ ยแคไ่ หน เพียงพอหรือไม่ เช่น การยกกรณีศึกษา (case-study) หรือ problem-based ให้เกิดแนวคิดการ
นาไปใช้ต่อในอนาคต มีพื้นท่ี debate หรือนาเรื่องสถานการณ์ชีวิตจริงมา debate เพ่ือให้เรื่องประวัติศาสตร์
เปน็ เรอ่ื งในชีวติ จรงิ ท่ีใกล้ตัวทุกคน
(1.3) ควรสอนให้นักเรียนเรียนรู้ประวัติด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจา โดยใช้เทคนิควิธีที่
หลากหลาย เช่น ใช้เทคโนโลยีการจาลองภาพเสมือนจริง ทาให้เด็กเห็นภาพมากข้ึน ใช้ APP เกม อินโฟรก
ราฟิค พาไปทัศนศึกษา มีคลิปประกอบ มัธยมปลายเน้นการสัมมนาวิชาการ เป็นต้น รวมถึงการสร้างให้มี
บรรยากาศทนี่ า่ เรียน เรยี นแล้วรู้สึกสนกุ
49
(2) ระดับประถมศกึ ษา
(2.1) ผู้เรียนระดับประถมยังจาเป็นต้องเรียนประวัติศาสตร์แบบไล่ลาดับเหตุการณ์ เพื่อ
วางพ้ืนฐานให้รู้ว่าประเทศไทยมีอะไรบ้าง โดยไม่ละเลยประวัติศาสตร์ท้องถ่ินเพื่อให้พื้นท่ีท้องถิ่นมีตัวตน เป็น
muti-linear history แล้วเพิม่ หลักการ historical method ตามระดบั ชั้น
(2.2) ควรเน้นการเรียนรู้จากสถานที่จริง การมีใบงานที่หลากหลาย และเน้นกิจกรรม
มากกว่าเน้ือหาวิชาการท่ีมากเกินไป รวมถึงออกแบบการเรียนการสอนที่ครอบคลุมท้ัง online และ onsite
โดย online ใช้ใบงาน รายงาน ทดสอบหลังเรียน ไม่มีสอบ และทางานกลุ่ม onsite ใช้การเก็บคะแนน สอบ
ยอ่ ย และงานกลุ่ม เป็นตน้
2.5 ด้านการวดั และประเมนิ ผล
ข้อเสนอเพ่ือพฒั นาการวัดและประเมนิ ผล ไดแ้ ก่
(1) ควรมีเปา้ หมายท่ีชดั เจนในการพัฒนาผูเ้ รียน ออกแบบวิธีการวัดและประเมินผลท่ีหลากหลาย
ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและทักษะที่ต้องการให้ผู้เรียนเป็น สอดรับความถนัดรายบุคคลและระดับช้ันของ
ผ้เู รยี น เนน้ การวิเคราะหห์ ลักฐานและใหเ้ หตผุ ลประกอบหลักฐาน
(2) ควรมีข้อสอบกลางในระดับชาติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีหลักเกณฑ์การให้คะแนนท่ีชัดเจน
เนน้ ให้นกั เรยี นได้รจู้ ักคดิ วเิ คราะห์ สามารถนาความรู้และทักษะท่ีมีอยู่มาสื่อสารใช้ในชีวิตประจาวันได้ โดยไม่
ติดกรอบตวั ชี้วดั ตามมาตรฐานของหลกั สูตรแกนกลาง
2.6 ด้านตาราเรียน สอ่ื และอุปกรณ์การเรียนรู้
ขอ้ เสนอเพอ่ื พัฒนาตาราและหนงั สือเรยี น ได้แก่
(1) ประเทศไทยควรใช้หนังสือเรียนเล่มเดียวกันและเป็นหนังสือเรียนที่ได้รับการตรวจสอบ การ
เขียนอย่างถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ โดยร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องและคณะผู้เชี่ยวชาญท่ี
หลากหลาย จากสาขาวิชาต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ทั้งอาจารย์ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษาในมหาวิทยาลัย
ศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอน และสมาคมวิชาการ รวมถึงนักวิชาการอิสระ เพ่ือเป็นแนวทางสาหรับการพัฒนาตารา
หนังสือแบบเรียน และสื่อการเรียนการสอน และเพื่อให้เกิดความเป็นมาตรฐานของหนังสือเรียน
กระทรวงศึกษาธกิ ารควรแตง่ ต้งั คณะทางานที่มีความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อจัดทาต้นแบบตาราเรียน
หรอื พมิ พ์เขยี ว (Blueprint) สาหรบั เป็นคู่มือครูท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอน และเป็นหนังสือ/ตาราเรียนท่ี
ได้มาตรฐานใช้ร่วมกันในภาพรวมของประเทศ
(2) กระทรวงศึกษาธิการ โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ควรพัฒนาความ
ร่วมมอื อยา่ งจริงจังรว่ มกบั หนว่ ยงานทร่ี บั ผดิ ชอบด้านประวตั ศิ าสตร์และวัฒนธรรมของประเทศ เพ่ือให้สามารถ
นาส่ือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาใช้ได้ พัฒนาระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกัน รวมถึงมีงบประมาณ
สนับสนนุ อย่างจริงในการเข้าถึงและพัฒนาหนังสือ/ตาราเรียน/หลักฐาน/ส่ือและอุปกรณ์การเรียนรู้ในรายวิชา
ประวัตศิ าสตร์
2.7 ด้านแหล่งเรียนรู้ ควรมีความหลากหลายในการให้ครูผู้สอนและผู้เรียนเข้าถึง
แหล่งการเรียนรู้ ฐานข้อมูลของแหล่งการเรียนรู้มีการเชื่อมโยงถึงกัน รวมทั้งควรพัฒนาความร่วมมือระหว่าง
50
ภาครัฐ แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ และภาคส่วนอ่ืน เพ่ือขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้อย่าง
กว้างขวางและหลากหลายข้นึ ในทกุ บริบทพนื้ ท่ี
2.8 ด้านการสนับสนุน
(1) ทุกฝ่ายท้ังภาครัฐ ท้องถิ่นและเอกชนควรร่วมมือและให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ตั้งแต่
บุคลากร หลกั สูตร ตัวชี้วดั เนอื้ หา การจดั การเรียนการสอน สือ่ และองคค์ วามรู้ จัดการสื่ออย่างเป็นระบบ การ
พัฒนาฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ (โดยศึกษาตัวอย่างท่ีดีจากต่างประเทศเพ่ิมเติม เช่น ประเทศนิวซีแลนด์
เป็นต้น) การสนับสนุนงบประมาณ อุปกรณ์เครื่องมือท่ีทันสมัย โดยคานึงถึงความพร้อม ความต้องการของ
ครผู ้สู อนและผู้เรยี น
(2) ควรมีการช่วยเหลือให้ครูผู้สอนเข้าถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีหลากหลาย มีการ
เช่ือมโยงการเข้าถึงแหล่งข้อมูลให้ท้ังครูผู้สอนและผู้เรียน และมีคู่มือสาหรับครูผู้สอนในต่างจังหวัด รวมถึงมี
หน่วยงานรับผิดชอบหลักทเี่ ป็นศนู ย์รวมภาคีเครอื ขา่ ยกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ซ่ึงเป็นฐานข้อมูลท่ีจะสามารถช่วย
ในการจัดการเรยี นการสอนของครูผ้สู อน
(3) ภาครัฐควรจัดทาระบบคลังข้อมูลท่ีเกี่ยวกับครู (web portal connect) เป็นศูนย์กลางใน
การเช่ือมโยงครูเข้าด้วยกัน (Online community) เพ่ือให้ครูได้ร่วมถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น
เติมเตม็ แนวทางการจดั การเรยี นการสอน โดยมีคณาจารย์/ผูท้ รงคุณวุฒชิ ว่ ยตรวจสอบอนุมตั ขิ ้อมูล
2.9 ประเดน็ อน่ื ๆ ที่เกย่ี วข้อง
กระทรวงศึกษาธิการควรมีแนวนโยบายท่ีชัดเจน นาทุกข้อเสนอไปปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิผลอย่าง
เป็นรปู ธรรม โดยอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาจเป็นการร่วมมือกับองค์กรท่ีผลักดันเร่ืองการศึกษา
ซ่ึงขับเคล่ือนด้วยครูหรือภาคประชาชน เช่น การให้ทุนสนับสนุน การดึงเข้ามาเพ่ือมีส่วนร่วมในการจัดทาสื่อ
และอปุ กรณจ์ ดั การเรียนการสอน เปน็ ต้น.
51
เอกสารอา้ งองิ
ณัฐหทัย มานาดี และขจรศักด์ิ สิทธิ. การจัดการเรียนการสอนวิชาสิทธิหน้าที่พลเมืองใน
ประเทศเยอรมนี.
[ออนไลน์]. 2563. แหล่งทม่ี า file:///C:/Users/User.DELL-58-30/Downloads/242587.pdf
วรินทร บญุ ย่ิง. การวิเคราะหจ์ ุดเนน้ หลักสตู รการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานของสาธารณรฐั เกาหลี. [ออนไลน์]. 2556.
แหล่งท่ีมา file:///C:/Users/User.DELL-58-30/Downloads/9231-Article%20Text-19274-1-10-
20130612.pdf
สุรยิ านนท์ พลสิม. การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมอื งในระดบั โรงเรียนของญ่ีปุ่น. [ออนไลน์].
2563. แหล่งทมี า
https://www.academia.edu/43372576/_Civic_Education_in_Japanese_School_
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. หลักสูตร. [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา
https://library.ipst.ac.th/handle/ipst/5560
สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. รายงานการวิจยั เพ่ือจัดทาขอ้ เสนอเชงิ นโยบายการพัฒนาการศึกษาเพ่ือ
สร้างความเปน็ พลเมือง. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่ีมา
https://dric.nrct.go.th/index.php?/Search/SearchDetail/290808
สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ .
เพ่ือนคู่คิด มิตรคู่ควร “แนวทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์”. [ออนไลน์]. 2554. แหล่งท่ีมา
http://academic.obec.go.th/images/document/1562725676_d_1.pdf
52
ภาคผนวก
53
ส ภ า พ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น วิ ช า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ใ น
ตา่ งประเทศ
สภาพการจัดการเรียนการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ในต่างประเทศ
คณะศึกษาวิจัยฯ ได้ศึกษาค้นคว้าหลักการ ทฤษฎี แนวคิด เอกสาร และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับ
สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาพลเมือง รวมถึงการ
พัฒนาความเป็นพลเมืองในต่างประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
สิงคโปร์ เวียดนาม และสาธารณรัฐเกาหลี เพ่ือใช้เป็นกรอบแนวคิดและแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียน
การสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้มีความหลากหลาย สอดคล้องและตอบโจทย์สภาพสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไปมาก
ยิ่งขึน้ รายละเอียดดังนี้
ตารางที่ 7 สภาพการจัดการเรียนการสอนในต่างประเทศ
ประเทศ สภาพการจัดการเรยี นการสอน
ประเทศสหรฐั อเมรกิ า มีการนิยามความหมายของการศึกษาเรื่องพลเมืองไว้อย่างชัดเจน เช่น
หมายถงึ การศึกษาเกย่ี วกับรฐั บาลของประเทศ
(วชิ า หน้าทีพ่ ลเมอื ง)
มีการกาหนดมาตรฐานเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน เพ่ือ
เป็นแนวทางในการจดั การเรยี นการสอนหนา้ ทพ่ี ลเมอื งและรัฐบาลมีการจดั ทามาตรฐาน
เนื้อหา
กลไกและวิธีการสร้างความเป็นพลเมือง มีการจัดตั้งศูนย์การศึกษาหน้าที่
พลเมืองและการสร้างความเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกามีอยู่ท้ังในรูปแบบทางการ
และไมท่ างการ
ปจั จยั การสร้างความเปน็ พลเมือง
1) หลักสูตร เนื้อหาของหลักสูตรการศึกษาพลเมือง ปรากฏอยู่ในวิชา
ประวัติศาสตรจ์ ดั การเรยี นการสอนในระดบั ชั้น K5 (ป. ๔ หรอื ๕) K8 (ม.ตอนตน้ หรอื ม.
ปลาย) และ K11 (ม.ปลาย)
2) ครู ในบางมลรัฐมกี ารทดสอบผทู้ ส่ี มคั รเข้าทางานเป็นครู ก่อนรับเข้าทางาน
เพอื่ ให้ไดค้ รูที่มคี ุณสมบัติของครวู ชิ าพลเมือง
3) ผู้บริหาร ผู้เรียน ครอบครัว และชุมชน มีอิทธิพลสาคัญเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในหลักสูตรอย่างไมเ่ ป็นทางการ
4) ภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน มสี ว่ นในการจัดทาเนื้อหา
วางแผนการสอนและโอกาสในการพัฒนาวิชาชีพสาหรับครู การจัดทามาตรฐาน
หลักสูตร การฝึกอบรม พัฒนาการเพ่ิมคุณภาพเน้ือหาหลักสูตร การประเมิน การวิจัย
ของครู ในระดบั ชาติ หลายภาคส่วนมสี ว่ นรว่ มในโครงการระดับชาติที่จัดขึ้นโดยองค์กร
วิชาชีพต่างๆ
กระบวนการสร้างความเป็นพลเมือง
1) การมีส่วนร่วม องค์กรต่างๆ ท้ังภาครัฐบาลและที่ไม่ใช่รัฐบาลมีส่วนสาคัญ
ในการศึกษาพลเมอื ง
2) การส่งเสริมสนับสนุน สภาคองเกรสได้ออกพระราชบัญญัติการคุ้มครอง
การศึกษาแห่งชาติข้ึน ต่อมามีการจัดทาพระราชบัญญัติการพัฒนาวิชาชีพการศึกษา
ท้ังน้ี ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้พลเมืองและการมีส่วนร่วมประชาธิปไตยรุ่นใหม่ใน
54
ประเทศ สภาพการจัดการเรยี นการสอน
ประเทศเยอรมนี
โรงเรียนวิทยาลยั และมหาวิทยาลยั
(วชิ า ประวตั ศิ าสตร์) 3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตา่ งกนั ไปในแตล่ ะมลรัฐและโรงเรียน ได้แก่ จัด
ประเทศญ่ีป่นุ สภาการศกึ ษา เป็นตน้
4) การประเมินผล ผู้เรียนในระดับต่ากว่ามัธยมศึกษาการให้คะแนนพลเมือง
(วชิ า ประวตั ศิ าสตร์)
จัดทาขึ้นพร้อมกับการให้คะแนนในรายวิชาทั่วไป สาหรับในระดับมัธยมศึกษา ศูนย์
สาหรบั การประเมนิ การศึกษาระดบั ชาติและการให้ความช่วยเหลือภูมิภาคสร้างคาถาม
ในการสารวจผเู้ รียนในระดับมธั ยมศึกษา
ณัฐหทัย มานาดี และขจรศักดิ์ สิทธิ (2563) ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดการ
เรียนการสอนวิชาสิทธิหน้าท่ีพลเมืองในประเทศเยอรมนี ระบุถึง การจัดการเรียนการ
สอนวิชาประวตั ศิ าสตรใ์ นประเทศเยอรมนไี วด้ งั นี้
ในชั้นเรียนประวตั ศิ าสตร์ของโรงเรียนในเยอรมนีจะมีการสอนเหตุการณ์
ในอดีตอยา่ งละเอียดและเน้นช่วงสาคัญ ในวิชาสังคมนิยมและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และ
ประวัติศาสตร์ศาสนาและวัฒนธรรมยิว เร่ิมต้ังแต่ปีค.ศ. 1918 ที่มีการเปลี่ยนรูปแบบ
การปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นประชาธิปไตยและเปล่ียนมาเป็นเผด็จการนาซี
จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกคร้ังที่ 2 ที่เกิดการแยกประเทศเยอรมนีออกเป็นตะวันตก
และตะวันออก จนสามารถกลับมารวมเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ในปี ค.ศ.
1990 จากการศึกษาประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลาไม่ถึง 100 ปีจะเห็นได้ถึงความไม่มี
เสถียรภาพของการเมืองการปกครอง และความสุดโต่ง ท้ังด้านนโยบาย อุดมการณ์
เศรษฐกจิ รวมถึงการกระทาการต่าง ๆ ในชว่ งเวลาน้ีท่สี ง่ ผลกระทบตอ่ ประเทศเยอรมนี
และประชาคมโลกอยา่ งรนุ แรง ทง้ั ด้านความสาเร็จและความผดิ พลาดล้มเหลว ดงั น้ันจงึ
เป็นนโยบายด้านการศึกษาของรฐั ที่มุ่งเน้นใหป้ ระชาชนเขา้ ใจท่มี าทไ่ี ปของเหตุการณ์
ตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขึน้ ดังกล่าว ทงั้ นี้เพ่ือปอ้ งกนั ไม่ให้เกิดเหตุการณร์ นุ แรงและการตัดสินใจที่
ผดิ พลาดเกิดข้ึนซ้าอีกโดยใช้กระบวนการสอนประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา เปิด
โอกาส ให้ นั กเรียน ไ ด้ต้ังคาถา มแล ะยอม รับใน สิ่ งท่ี เกิด ร วมไ ปถึงเข้าใ จนโ ยบาย ที่
พยายามจะชดเชยความผดิ พลาดในอดตี ทีเ่ ปรียบเสมอื นเป็นตราบาปของชาวเยอรมนั
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นการปลูกฝังและพัฒนาจากประสบการณ์
ทักษะ และชีวิตประจาวัน ทั้งนี้ เนื่องจากความเชื่อท่ีว่า ความเป็นพลเมืองน้ันไม่
สามารถสอนกันอย่างเดียวได้ ผู้เรียนต้องเรียนเอง โดยการเรียนดังกล่าวไม่ได้เป็นการ
เรียนโดยการฟังการบรรยาย การอ่าน หรือท่องตารา ต้องเรียนรู้โดยการลงมือ
ปฏิบัติการ เพ่ือสร้างความเข้าใจสะท้อนผ่านออกมาสู่ความเชื่อ และนาไปสู่การปฏิบัติ
ตามความคิด ความรู้ และความเชือ่ นั้น หาใช่การเรียนเพ่ือตอบข้อสอบ (ปริญญา เทวา
นฤมติ รกุล, 2555, น.55) โดยในส่วนน้ีจะพิจารณาบริบทการจัดส่ิงแวดล้อมในโรงเรียน
หรือ รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และกิจกรรมเสริมหนุน ได้แก่ การใช้เกม การทัศน
ศึกษาในพิพธิ ภณั ฑ์และสถานที่ทางประวตั ิศาสตร์ เปน็ ต้น
วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่คนญี่ปุ่นต้องเรียนต้ังแต่ก่อนสมัยปฏิรูป
การศกึ ษา ตัง้ แต่ยคุ ศตวรรษที่ 17 ที่เรียนเป็นชนช้ันในวัด และไม่เคยละท้ิงแม้จะมีการ
ปฏริ ูปการศึกษามาถึง 3 ครั้ง เป็นวิชาที่จัดการเรียนการสอนต้ังแต่ประถมศึกษาจนจบ
มัธยมศึกษา เน้ือหาการเรียนจะไม่ซ้ากันในแต่ละระดับช้ัน เป็นวิชาท่ีนาไปทดสอบ
ระดับชาติ เทียบเคียงกับ National Test หรือ NT ของประเทศไทย เรียนรู้อดีตเพ่ือ
เป็นบทเรียนสาหรบั การพัฒนาประเทศในปจั จุบันและอนาคต
การจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ของประเทศญ่ีปุ่นใช้หนังสือ
แบบเรียนเปน็ หลกั ซงึ่ หนงั สือแบบเรยี นท่ปี ระเทศญป่ี นุ่ ใชน้ นั้ เป็นหนงั สือท่มี คี ุณภาพผา่ น
การตรวจสอบคุณภาพและรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการฯ ของประเทศ ผู้แต่งคือ
55
ประเทศ สภาพการจัดการเรยี นการสอน
ประเทศออสเตรเลีย ผู้เชี่ยวชาญซ่ึงไม่ได้มีคนเดียว มีหลายคน เรียนท้ังประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและเรียน
ประวัติศาสตร์สากล โดยประวัติศาสตร์ของประเทศเน้นให้ความสาคัญกับเร่ืองหลัง
(วชิ า หนา้ ท่ีพลเมือง) สงครามโลกครั้งท่ี 2 ท่ปี ระเทศแพ้สงคราม ซ่ึงเรื่องดงั กลา่ วถกู บรรจไุ วใ้ นหนังสอื เรยี นให้
เดก็ ได้เรียนตามเหตกุ ารณ์จริงว่า อเมริกาท้ิงระเบิดที่เมืองฮิโรชิมากับนางาซากิเมื่อไหร่
อย่างไร เพราะเหตุใด มีการวิเคราะห์ วิพากษ์ เพื่อสรุปบทเรียนและหาทางนาข้อสรุป
หรอื ความรู้ไปใชใ้ นการพฒั นาสังคมและประเทศตอ่ ไป
การเรียนการสอนในห้องใช้วิธีการ active learning เน้นการเรียนจาก
หนังสอื เรยี น พดู คยุ วิพากษ์ ระหว่างครูกับนักเรียน จากสถานการณ์จริง มีการพาไปดู
อนุสาวรีย์ท่ีญ่ปี ุ่นแพส้ งครามโลกคร้ังที่ 2 เพ่ือราลึกและวิพากษ์ วิเคราะห์ เป็นบทเรียน
สาหรับการแก้ปัญหาเมื่อเกิดวิกฤตของประเทศจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยการไป
เยีย่ มอนสุ าวรีย์ทญี่ ีป่ ุ่นแพ้สงครามโลกนั้นเป็นเร่ืองสาคัญเชิงสัญลักษณ์ที่นายกรัฐมนตรี
ของญี่ปุ่นทุกคนต้องไปราลึกทุกปี รวมทั้งศึกษาประวัติศาสตร์สากลว่าในโลกประเทศ
สาคัญ ๆ เช่น อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน เกิดอะไรขึ้น ทาอะไรในอดีต เพ่ือวิเคราะห์
วิพากษ์ เรียนร้ใู นการนาประเทศญ่ปี ุ่นสู่การพฒั นาต่อไป
วิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จะถูกแยกออกมาจากวิชาสังคมศึกษา
นบั ต้งั แตส่ มัยศตวรรษท่ี 17 เป็นตน้ มา ถงึ แมส้ มยั ศตวรรษที่ 17 วิชาประวัติศาสตร์จะ
ให้ผ้ชู ายเรยี นโดยเฉพาะกต็ าม ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ประวัติศาสตร์ถูกแยกให้
อยใู่ นสว่ นของสายศลิ ปศาสตร์
หลักสูตรการสอนวชิ าสงั คมศึกษาและประวตั ิศาสตร์ในประเทศญ่ปี ุ่น
ป.1 - ป.2 วชิ าสงั คมศกึ ษาจะเรียนสอดแทรกอยใู่ นวิชา Life studies
ป.3 - ม.3 เรียนเปน็ วิชาสังคมศกึ ษา
ม.1 - ม.6 เรียนเรอื่ งภมู ศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์ และพลเมือง
การเรียนในระดับอนุบาลและประถมศึกษา เน้นเรียนแบบสนุกสนาน
(fun) เรียนปนเล่น เน้นการช่วยเหลือตนเอง อยู่ร่วมกับผู้อื่นท้ังเพ่ือนและครู เน้นเรื่อง
ความสะอาด ความมีระเบียบวินัย รับผิดชอบ เคารพผู้อื่น ฝึกคิด ฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ
ฝึกตั้งเป้าหมายในแต่ละวันและทาเป้าหมายให้สาเร็จ ฝึกแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง
เร่ิมสอบเกบ็ คะแนน ตั้งแตร่ ะดบั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 เปน็ ตน้ ไป
มัธยมศึกษาตอนต้น เน้นการค้นหาเป้าหมาย ค้นหาตัวเอง หรือ find
ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เน้นการเรียน การฝกึ ปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมาย
หรือ focus ในระดับอดุ มศึกษาเน้นการเรียนเพื่อทาเป้าหมายใหส้ าเรจ็ หรอื fulfill เน้น
การฝกึ ฝนความรู้และทกั ษะต่าง ๆ เพ่อื ความพรอ้ มในการทางานและรากฐานที่มั่นคงใน
ชวี ติ
ครูมีหน้าท่ีสอนความรู้ ดูแลเอาใจใส่ สนับสนุนการต้ังเป้าหมายของ
นกั เรียน กระตนุ้ ให้ทุกคนไปถงึ เปา้ หมายของตนท่ีตั้งไว้
ประเทศญี่ปุ่นไม่เน้นผลิตคนเก่งอย่างเดียว แต่เน้นผลิตคนที่มี
ความสามารถในการเรียนรู้ มีความพยายาม ความขยัน อดทน ซ่ือสัตย์ มีระเบียบวินัย
ต่อตนเอง มคี วามรับผิดชอบ ออ่ นน้อมถ่อมตน การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การทางาน
เป็นทีม และทางานกับผู้อ่ืนด้วยความกระตือรือร้น ทุกระดับชั้นครูจะต้องดึงศักยภาพ
และจุดเด่นของแต่ละบุคคลโดยนาความสามารถ ความถนัดมาพัฒนาอย่างต่อเน่ืองใน
แตล่ ะวัยของการเรียนเพือ่ ใหไ้ ดค้ นคุณภาพของประเทศ
มีการกาหนดเป้าหมายของการพัฒนาท่ีชัดเจน ออสเตรเลียได้กาหนด
เป้าหมายของการศึกษาโดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถขั้นพ้ืนฐาน 7 ประการ
ได้แก่
56
ประเทศ สภาพการจัดการเรยี นการสอน
ประเทศสิงคโปร์ 1. การฉลาดรู้ (Literacy)
2. การรูพ้ ้นื ฐานทางการคานวณ (Numeracy)
(วิชา หน้าทพ่ี ลเมอื ง) 3. ความสามารถทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information and
Communication Technology (ICT) capability)
4. ความคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ (critical and creative
thinking)
5. การรับรู้ตนเองและความสามารถทางสังคม (Personal and social
capability)
6. ความเขา้ ใจทางจรยิ ธรรม (Ethical understanding)
7. ความเขา้ ใจระหวา่ งวัฒนธรรม (Intercultural Understanding)
วิธีการสอน การประเมินไม่ถูกกาหนดไว้ชัดเจนในหลักสูตร กาหนดเป็น
กรอบกว้าง ๆ ไว้ ให้ครมู อี สิ ระในการเลือกวิธีการที่เหมาะสมท่ีสุดสาหรับผู้เรียน โดยใช้
ประสบการณ์หรอื แนวทางทีห่ ลากหลายของครู
มีการกาหนดเป้าหมายของการพัฒนาที่ชัดเจน โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนไปสู่
คนท่ีมีบุคลิกภาพเข้มแข็ง เป็นพลเมืองดี มีคุณค่า โดยได้กาหนดกรอบสมรรถนะของ
ผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 และผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา ท่ีจะต้องพัฒนาให้เกิด
ขน้ึ กบั คนสงิ คโปร์
ประเทศสิงคโปร์ใช้ DOE เป็นกรอบในการกาหนดนโยบายการศึกษา
ของประเทศ โดยได้กาหนดรายวิชาเพ่ือการพัฒนาผู้เรียนไว้ 7 วิชาหลัก และกิจกรรม
การเรียนรู้ 2 กิจกรรม ซ่ึงแต่ละวิชาและกิจกรรมจะต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีค่านิยม
สมรรถนะ และทักษะทป่ี ระเทศกาหนดไว้
การประเมิน ครจู ะตอ้ งประเมนิ วชิ าสังคมใน 3 รูปแบบ คือ ความรู้ ทักษะ
และคา่ นิยม วธิ ีการประเมนิ มีการประเมินจากข้อสอบ ทากจิ กรรม
การจดั การศึกษาเพอื่ สรา้ งความเปน็ พลเมือง
การศึกษาเพ่ือสร้างคุณลักษณะและความเป็นพลเมือง : นักเรียนทุก
คนต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวและชุมชน และมีความเข้าใจบทบาทความ
เปล่ียนแปลงในอนาคตของชาติสิงคโปร์ รวมทั้งผลกระทบของแนวโน้มและการพัฒนา
สังคมโลก
วิธกี ารสอน : เดก็ จะได้เรยี นการสร้างคุณลกั ษณะและความเป็นพลเมอื ง
จากครูท้ังเรื่องคุณค่า ความรู้ และทักษะ โดยใช้ภาษาแม่ในการสอน ครูจะต้องให้
คาแนะนาหรือแนะแนวเด็กมีสมรรถนะทางอารมณ์และสังคมรวมเรื่องด้านการศึกษา
และอาชพี และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครู ซึ่งวิธีในการสร้างคุณลักษณะ
และความเป็นพลเมือง มีทั้งการเรียนเป็นบทเรียน การให้คาแนะนาหรือแนะแนว การ
ใช้โรงเรียนเปน็ ฐานในการพัฒนาความเป็นพลเมอื ง
ครูจะต้องพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้มีประสบการณ์ชีวิต โดยสอน
ความรู้ที่เก่ียวข้อง ทักษะ และคุณค่า/ค่านิยม โดยสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการสร้าง
คุณลักษณะและความเป็นพลเมือง มี 6 เร่ือง คือ เร่ืองตนเอง ครอบครัว โรงเรียน
ชมุ ชน ชาติ โลก เนอื้ หาความรูใ้ นแตล่ ะระดบั ทเี่ ดก็ ควรรู้
ครูจะต้องทาให้เด็กเกิดการสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ผ่านการตั้ง
คาถามวา่ “ทาไม” “อย่างไร” แทนคาวา่ “อะไร” ครูจะเปน็ ผ้อู านวยความสะดวกผ่าน
การสะท้อนความคิดในทันทีให้กับผู้เรียนเม่ือพวกเขาทากิจกรรมเสร็จส้ิน ใช้ละครเป็น
การสร้างกระบวนการเรยี นรใู้ ห้ผ้เู รยี น โดยเลอื กสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงที่
สามารถช่วยพฒั นาเดก็ ใหเ้ กิดผลลัพธก์ ารเรียนร้ทู ่เี หมาะสม สาหรับการประเมนิ : ใช้ทั้ง
57
ประเทศ สภาพการจัดการเรยี นการสอน
ประเทศเวยี ดนาม
การประเมนิ ตนเอง การประเมินเพื่อนด้วยกัน และการประเมนิ ครู
(การพฒั นาความเปน็ พลเมอื ง)
สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2561) ศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบและ
ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี กลไกการเสริมสร้างวินัยในสถานศึกษา ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานของประเทศ
สาธารณรฐั สังคมนยิ มเวียดนาม ระบถุ ึงการจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาความมีวินัย
(การพัฒนาความเป็นพลเมอื ง) และความเปน็ พลเมอื ง สรปุ ใจความสาคญั ได้ดงั น้ี
รัฐบาลเวียดนาม ภายใต้นโยบายพรรคคอมมิวนิสต์จะมอบนโยบาย
ให้กับกระทรวงศึกษาและฝึกอบรมทาหน้าท่ีหลักให้แก่รัฐบาลในการเสริมสร้างความมี
วินัยให้แก่นักเรียน โดยมีหลักสูตรท่ีมีรายวิชาบังคับเพ่ือพัฒนาความมีวินัยแก่นักเรียน
โดยตรงคือ รายวิชาศีลธรรม (Moral education) สาหรับจัดการเรียนการสอนใน
ระดับชัน้ ประถมศึกษาและรายวชิ าหน้าท่ีพลเมือง (Citizen education) ใช้จัดการเรียน
การสอนในระดับช้ันมัธยมศึกษาสาหรับวัตถุประสงค์ของวิชาศีลธรรมจะมีเป้าหมาย
หลัก ๆ คอื
1) เพอื่ ใหร้ จู้ ักศีลธรรมและกฎหมายทเ่ี หมาะสมกบั วยั ความสัมพนั ธ์กับดา้ น
ต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์กับครอบครัวโรงเรียน ชุมชน ส่ิงแวดล้อมและการปฏิบัติตัว
ตามบรรทัดฐาน
2) เพอื่ ให้รูจ้ กั พจิ ารณาหนา้ ทขี่ องตนเอง ประเมินพฤตกิ รรมของตนเองและ
คนรอบข้าง มีทักษะในการสรรหาและปฏิบัติตนให้เหมาะสม และเรียบง่าย รู้จัก
ตักเตอื นเพ่ือนตามบรรทัดฐานทเ่ี รยี นมา
3) เพอื่ ใหเ้ รียนรคู้ วามสาเร็จตามลาดบั ขัน้ ตอนเก่ียวกับกริ ิยาทา่ ทาง แนวคดิ
ความม่ันใจ ความรักใคร่ ความเคารพนบั ถอื มนุษย์ รกั ความถกู ตอ้ ง ไม่เห็นด้วยกับส่ิงชั่ว
ร้ายและในระดับมัธยมศึกษาที่เรียนในรายวิชาหน้าท่ีพลเมืองจะมีเป้าหมายเพ่ือให้
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานการดาเนินชีวิตและนาไปสร้างเป็น
บุคลกิ ภาพที่สอดคล้องกบั สภาพการเปล่ยี นแปลงทางสงั คม ซึ่งการจัดการเรยี นการสอน
จะแบ่งเน้ือหาออกเป็นบท ๆ ในแต่ละบทจะมีกิจกรรมท่ีเป็นการมอบหมายงานหรือ
การบา้ นให้นักเรยี นไดฝ้ กึ หัดทาจากความง่ายไปหายากตามระดับชั้นของผู้เรียน เช่น ใน
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เน้ือหาท่ีเรียนประกอบไปด้วยการทาความสะอาด ความ
เป็นระเบียบ การดูแลน้อง การไม่คุยเสียงดัง ฯลฯ ในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3
เน้ือหาท่ีเรียนประกอบไปด้วย ความรักและเคารพลุงโฮ (โฮ จิ มินห์) คาสัตย์ การดูแล
ผู้สูงอายุในครอบครัว การร่วมงานในชั้นเรียน ฯลฯ ซึ่งเน้ือหาหรือมาตรฐานการศึกษา
ของเวียดนามจะถูกกาหนดตายตัวจากรัฐบาลกลาง ดังนั้นจะพบว่ารายละเอียดใน
เนื้อหาของบทเรียนจะไม่มีการเปล่ียนแปลงมากนัก และเน้ือหาในหนังสือเรียน
เวยี ดนามจะมเี นอื้ หาไม่มากเทา่ กับหนังสอื เรียนของนกั เรียนไทย
วรินทร บุญย่ิง (ม.ป.ป.) ศึกษาวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์จุดเน้นหลักสูตร
การศึกษาขั้นพ้ืนฐานของสาธารณรัฐเกาหลี สรุปแนวทางการพัฒนาความเป็นพลเมือง
ได้ดังนี้
ภาพรวมของการจัดการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน
1) นโยบายรัฐบาล เน้นการจัดการศึกษาเพ่ือสร้างทรัพยากรมนุษย์อันเป็น
การเตรียมการเพื่ออนาคต โดยใชว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน ฐานะเป็นฐาน
2) ใชร้ ะบบการศึกษาท่ีมีฐานกว้างและการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3) จุดเน้นของหลักสูตร การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ให้มีความรู้ในวิชาหลัก ซึ่ง
บูรณาการเปน็ สหวิทยาการ เพอ่ื ใหม้ ที ักษะทส่ี าคัญ เช่น ชวี ติ /ทักษะ อาชีพ มีทักษะการ
เรยี นรูแ้ ละสรา้ งนวัตกรรมใหม่ และทักษะดา้ นสอื่ สารสนเทศและเทคโนโลยี
สาธารณรัฐเกาหลีมีแนวโน้มในการพัฒนาความเป็นพลเมืองเกาหลีใน
58
ประเทศ สภาพการจัดการเรยี นการสอน
สงั คมยุคโลกาภวิ ัฒน์ทเี่ น้นการพฒั นาทรัพยากรมนุษยม์ งุ่ ท่ีระบบการศึกษาเพ่ือศตวรรษ
ท่ี 21 ควบคู่กับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดังเช่นการวิจัยของ วรินทร บุญย่ิง (2553,
หน้า 36-69) พบว่า สาธารณรัฐเกาหลีมีนโยบายท่ีเด่นชัดเก่ียวกับการจัดกิจกรรมเพื่อ
สังคมและสาธารณประโยชน์มีการกาหนดไว้ในหลักสูตรอย่างชัดเจน และให้แต่ละ
ท้องถิ่นจัดทาคู่มือการดาเนินงาน หลักการ กฎเกณฑ์ และแนวทางการบริหารจัดการ
กิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ ซึ่งกาหนดเวลาให้ทากิจกรรมนี้ในระดับประถมศึกษาปีละ
ประมาณ 10 ช่ัวโมง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายปีละประมาณ 20 ชั่วโมง ท้ังน้ีได้มี
การบูรณาการกับวิชาความฉลาดในการดารงชีวิต (Life Intelligence) ในชีวิตและ
สงั คม เพอื่ ให้เดก็ เรียนร้หู น้าท่ีต่อตนเองและสังคมทอี่ ยู่รอบตวั ในชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1
และ 2 แล้วยังกาหนดให้เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาต้ังแต่ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้นไป
โดยถือว่าการสร้างชาติเริ่มที่เด็กและเยาวชน และให้ยึดหลักความร่วมมือระหว่าง
ผูป้ กครอง หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชนท่ีเป็นภมู ลิ าเนาของนักเรยี น
จุดเน้นการพัฒนาผเู้ รียน
ระดบั ประถมศึกษา เน้นการปลูกฝังทักษะและการฝึกฝนเบื้องต้นท่ีจาเป็น
ในการใช้ชีวิตประจาวันและการเสริมสร้างลักษณะนิสัยในการใช้ชีวิตข้ันพื้นฐานของ
นักเรียน โดยเน้นการใช้ชีวิตท่ีถูกต้อง การใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด การใช้ชีวิตอย่างมี
ความสุข
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เน้นการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะพ้ืนฐานท่ี
จาเป็นในการใช้ชีวิตประจาวันของนักเรียน ปลูกฝังความเป็นตัวตนของตนเองในฐานะ
พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยเน้นสิทธิและหน้าท่ีของพลเมืองภายใต้ระบอบ
ประชาธิปไตย (เคารพศักด์ิศรีและเกียรติภูมิของมนุษย์ เคารพกฎหมายบ้านเมือง การ
ตดั สินใจทช่ี อบด้วยเหตุและผล เปน็ ตน้ )
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เน้นการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ไปสู่
อนาคตที่เหมาะกับความถนัดและพรสวรรค์ของนักเรียนตลอดจนเสริมสร้างความเป็น
ตวั ตนของตนเองในฐานะประชาคมโลก (ความเข้าใจอันดีต่อวัฒนธรรมอื่น ๆ สันติภาพ
ศกึ ษา มรรยาทสากล เป็นต้น)
จุดเน้นของหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานของสาธารณรัฐเกาหลี
พบว่า มีจุดเน้นเพ่ือสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนและความคิดสร้างสรรค์
เป็นการสร้างทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีสร้างสรรค์โดยการปลูกฝังคุณธรรมอย่างเป็นระบบ
และเหมาะสมกับนักเรียนแตล่ ะระดับช้ันโรงเรยี นมกี ารลดรายวชิ าทไี่ ม่สาคญั และบรู ณา
การการปลูกฝังคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์เข้าไปในทุกรายวิชา เช่นอนุบาลถึง
ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 เนน้ ปลกู ฝังความเป็นระเบียบในสังคม กฎจราจร และจิตสานึกการ
อยู่ร่วมกันในชุมชน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ถึงมัธยมศึกษาตอนต้นเน้นสิทธิและหน้าที่
ของพลเมืองภายใต้ระบอบ ประชาธิปไตย (เคารพศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของมนุษย์
เคารพกฎหมายบ้านเมือง การตัดสินใจที่ชอบด้วยเหตุและผล เป็นต้น) ชั้นมัธยมศึกษา
ตอนปลาย เน้นสิทธิและหน้าท่ีของการเป็นพลเมืองของโลก (ความเข้าใจอันดีต่อ
วัฒนธรรมอื่น ๆ สันติภาพศึกษา มรรยาทสากล เป็นต้น) มีการประเมินผลที่เป็นระบบ
เช่ือมโยงสู่การเขา้ ศึกษาในระดับที่สงู ขึน้ ในระดับวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั อีกท้ัง กิจกรรม
ในระดับวิทยาลัย มหาวิทยาลัยท่ีต้องสนับสนุนกิจกรรมบาเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่
สงั คม การพัฒนาคนที่สมบรู ณท์ กุ ด้าน มคี วามสามารถเชิงสร้างสรรค์บนฐานความรู้และ
ทักษะพื้นฐานท่ีจาเป็น สามารถประกอบอาชีพบนฐานความรู้ทางวิชาการที่กว้างขวาง
และทกั ษะที่หลากหลาย เข้าใจวฒั นธรรมของชาติ อุทศิ ตนเพื่อ พัฒนาประเทศและเป็น
พลเมอื งดขี องสังคมประชาธปิ ไตย
59
ข้อมูลจากครผู สู้ อน และผู้เรยี น
ข้อมูลจากครูผสู้ อน และผู้เรียน
ผลการศกึ ษาข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม สภาพการจดั การเรียนการสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์ ระดับการศึกษาขั้น
พ้ืนฐาน จากแบบสอบถามครูผู้สอน ผู้เรียน และการสนทนากลุ่มย่อยครูผู้สอน ผู้เรียน ในระหว่างวันท่ี 7 – 8
สิงหาคม 2564 ในการจัดทาข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับ
การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานให้มีประสิทธภิ าพ รายละเอยี ดดงั น้ี
ตารางที่ 8 ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมของครูผู้สอนท่ีมีต่อสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชา
ประวัตศิ าสตร์ ระดบั การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน
ดา้ น ข้อคดิ เห็น ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม
ดา้ นผเู้ รยี น
ขอ้ มลู จากแบบสอบถามและสนทนากลมุ่ ยอ่ ย
ด้านครูผู้สอน 1) ควรทาให้ผู้เรียนเห็นความสาคัญของวิชาประวัติศาสตร์ สร้างความตระหนักรู้ มุ่งให้
ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการศึกษาประวัติศาสตร์ เข้าใจในแก่นของวิชา และนามาเช่ือมโยง
วเิ คราะหป์ ญั หา หรือ หาวธิ แี กป้ ัญหาในปัจจุบัน รวมถงึ ควรมีการปลกู ฝงั จิตสานึกให้แก่ผู้เรียน
มีความรกั ชาติ สามารถบอกความสาคญั และเหน็ คุณคา่ ของประวัติศาสตร์ชุมชน ความเป็นมา
เปน็ ไปของชุมชนตนเอง มุ่งส่จู งั หวัดและประเทศ
2) ควรทาให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกและเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาท่ีน่าสนใจ อยู่รอบตัว
ผู้เรียนตลอดเวลา เพราะเม่ือผู้เรียนมีความสนใจ จะทาให้อยากรู้ในส่ิงน้ันและอยากเรียนรู้
สง่ ผลตอ่ บรรยากาศโดยรวมในการเรียนประวัติศาสตร์ทไ่ี มน่ า่ เบ่ือ
3) สงิ่ ท่ีจะทาใหก้ ารเรยี นการสอนวชิ าประวตั ศิ าสตรป์ ระสบความสาเร็จ คือ ผู้เรียนเข้าใจ
อธิบายและนาไปใช้ประโยชน์ได้ สามารถเรยี งลาดับเหตุการ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ได้ เข้าใจ
ว่าบุคคลสาคัญ สิ่งประดิษฐ์ ภูมิปัญญาของคนในอดีต นามาซึ่งร่องรอยของปัจจุบัน รวมถึง
สามารถนาความรทู้ ี่ได้มาปรบั ใชใ้ นชีวิตประจาวันและปรบั ตวั ให้เข้ากับสภาพสงั คมปัจจุบนั
ขอ้ มูลจากแบบสอบถามและสนทนากลุม่ ย่อย
1) การผลิตครู ปัจจุบันไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ ไม่มีวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกใน
หลักสูตรการผลิตครู การไม่ให้ความสาคัญต้ังแต่การผลิต ส่งผลต่อความลึกซึ้งในเนื้อหาวิชา
ครทู ่สี ามารถบูรณาการทุกเรอ่ื งหาได้ยากและครูสอนเก่งคอื ครทู ่คี น้ คว้าเอง
2) การใช้ครู ควรใช้ครูที่ตรงเอก ตรงสาขา และจัดสรรบุคลากรครูที่ครบวิชาให้แก่ทุก
โรงเรียน นอกจานี้ ควรลดภาระงานอน่ื ๆ ท่เี ข้ามาเป็นอปุ สรรค เพ่อื ให้ครไู ดส้ อนอย่างเต็มท่ี
3) การพัฒนาครู ควรจัดอบรมและพัฒนาครูอย่างต่อเน่ือง พาครูไปศึกษาประวิติศาสตร์
จากสถานที่จริง รวมถึงพัฒนาครูทีไ่ ม่ไดจ้ บตรงเอกให้ได้รบั แนวทางการจัดการเรียนการสอนที่
ถกู ต้อง พร้อมมอบส่ือการเรยี นการสอน วสั ดอุ ปุ กรณ์ในการจัดการเรยี นการสอน
4) ด้านการพัฒนาตนเองของครูผู้สอน ครูผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจในเน้ือหา มี
ความรู้รอบด้าน เตรียมการสอน เอาใจใส่และตั้งใจในการสอน ควรมีการส่ือสาร ทาความ
เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายของการเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อนการเรียน มีการจูงใจ
กระตุ้นและสร้างบรรยากาศในชั้นเรียน ให้มีความน่าสนใจ ไม่น่าเบ่ือ ออกแบบการเรียนการ
สอนและมีเทคนิคการสอนใหม่ ๆ ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย มีสื่อการเรียนการสอนที่ดีที่
สามารถบูรณาการเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันได้ เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถนามา
วิเคราะห์เหตุการณ์ รวมถึงการปลูกจิตสานึกในการใฝ่รู้ใฝ่เรียนในวิชาประวัติศาสตร์ให้เกิด
ข้นึ กับผเู้ รียน
60
ดา้ น ข้อคดิ เห็น ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เติม
ด้านหลกั สูตร ขอ้ มูลจากแบบสอบถามและสนทนากล่มุ ย่อย
1) การจดั ทาหลกั สตู ร ควรเร่มิ ต้นจากการมีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับหลกั สตู รแตล่ ะ
รายวิชาอย่างแทจ้ รงิ มกี ารกาหนดม่งุ หมายของหลกั สูตรท่ตี ้องสามารถตอบคาถามไดว้ า่ เรียน
ประวัติศาตรเ์ พราะอะไร จะใช้ประวตั ศิ าสตรม์ องสงั คมอยา่ งไร จะสอนอยา่ งไร และผสู้ อนและ
ผ้เู รยี นมีมมุ มองต่อประวตั ิศาสตรอ์ ยา่ งไร
2) การจัดทาเน้ือหาหลักสูตร ควรปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับช่วงวัยและระดับชั้นของ
ผู้เรยี น เนือ้ หากระชับ นาไปใช้ได้จริง ไม่เอนเอียงและสะท้อนความจริง ปรับเนื้อหาให้ทันต่อ
การเปล่ียนแปลง สอดคล้องกับยุคสมัย เป็นเน้ือหาที่สามารถนาพาเด็กไปสู่การคิดวิเคราะห์
และการพัฒนาตนเองเพื่อนาไปสู่วิชาชีพของตน ควรเพิ่มประวัติศาสตร์เร่ืองพระมหากษัตริย์
ไทย ประวัติศาสตร์สากล ประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน เน้ือหาที่ผู้เรียนสนใจ การบูรณาการเน้ือหา
รว่ มกบั รายวิชาอน่ื รวมถงึ ประยกุ ต์ใช้หลักสตู รฐานสมรรถนะในการจัดการเรยี นการสอน
3) การจัดทาตัวชี้วัด จานวนหน่วยกิต และจานวนช่ัวโมง ควรนาวิชาประวัติศาสตร์รวม
กบั วิชาสังคมศึกษา กาหนดตวั ชี้วัดให้ชดั เจนและเป็นรูปธรรม ลดตัวช้ีวดั ให้นอ้ ยลงในแต่ละช้ัน
มุ่งเนน้ เฉพาะความสาคัญและเปา้ หมายของการจัดสอนวิชาประวัติศาสตร์ ปรับตัวช้ีวัดให้ตรง
กับยุคสมยั สอดคล้องกับการเปลยี่ นแปลง และครอบคลุมประวตั ิศาสตร์แตล่ ะยุคสมัยของไทย
รวมถึงควรให้ความสาคัญเพิ่มข้ึน เช่น การกาหนดเวลาเรียนที่แน่นอนชัดเจน เพิ่มคาบการ
เรียน มีชัว่ โมงเพม่ิ เติม ใหเ้ วลาตอ่ คร้ังการสอนมากขนึ้ เป็นตน้
ด้านการจัดการเรียน ข้อมูลจากแบบสอบถามและสนทนากล่มุ ยอ่ ย
การสอน 1) ควรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ความพร้อมของนักเรียนแต่ละกลุ่ม/แต่ละบุคคล ให้ความสาคัญกับการเรียนการสอนอย่างมี
ความสขุ ไมก่ ดดนั ทง้ั ผเู้ รียนและผู้สอน สอดแทรกบูรณการทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้เพ่ือปลูกฝัง
คุณธรรมจริยธรรมและสอดแทรกในวชิ าอ่นื ๆ
2) ควรเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รียนไดค้ น้ พบความหมายของการเรียนประวัติศาสตร์จากการศึกษา
ข้อมูลหลายด้าน ไม่ควรเน้นเน้ือหาเป็นหลัก แต่ควรเน้นท่ีวิธีการ การให้ผู้เรียนรู้เท่าทัน
ประวตั ิศาสตร์ เนน้ การต้ังคาถาม และหาคาตอบจากหลักฐานในหลายแง่มุม เน้นการสอนให้
ผูเ้ รยี นมที กั ษะการคิดวิเคราะห์ สามารถคดิ และถ่ายทอดผ่านมุมมองทหี่ ลากหลาย
3) ควรจัดการเรียนรู้ วิธีการสอน และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีหลากหลาย
รูปแบบ น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการ
เรียนรู้ การลงมือปฏิบตั ิจริง ฝึกทกั ษะ รวมถึงการสอนบรู ณาการนาไปใช้ในขีวิตประจาวัน เน้น
สื่ อ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น ท่ี ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ติ ด ต า ม ก า ร เ รี ย น ไ ด้ อ ย่ า ง ต่ อ เ น่ื อ ง แ ล ะ เ ข้ า ใ จ ใ น วิ ช า
ประวัติศาสตร์ เน้นให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกทางความคิดเห็น แลกเปล่ียนความคิดเห็น และ
เรียนรู้อย่างเป็นข้ันตอน เช่น การ์ตูน วีดีทัศน์ แหล่งเรียนรู้และสถานที่จริง มีผู้เชี่ยวชาญ/
ปราชญ์ท้องถิ่นมาให้ความรู้ ศึกษาจากแหล่งประวัติศาสตร์จริง มีการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
การท่ีใหน้ ักเรยี นศกึ ษาดว้ ยตนเองจากแหล่งข้อมลู ทห่ี ลากหลาย การแสดงละครประวัติศาสตร์
การแสดงบทบาทสมมุติ สถานการณ์จาลอง เด็กเก่งช่วยสอนเด็กอ่อน การสอนผ่านเกม การ
สอนแบบโครงงาน สอนโดยใช้เพลง การสอนผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรใช้วิธีเสริมแรงจูงใจ เสริมความรู้ ช้ีแนะให้นักเรียนรู้และเข้าใจในทางท่ีถูกที่
ควร
ด้านการวดั และประเมินผล ขอ้ มลู จากแบบสอบถามและสนทนากลมุ่ ย่อย
1) ควรเริม่ ต้นจากการตัง้ เป้าหมายของการพัฒนาผูเ้ รยี นให้ชัดเจน เว้นทวี่ า่ ง เปดิ โอกาสให้
ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะอย่างอ่ืน นอกเหนือจากความจาความเข้าใจ และออกแบบวิธีการวัด
และประเมินให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมาย ทักษะ ที่ต้องการให้ผู้เรียนเป็น รวมถึงมี
เป้าหมายทิศทางชัดเจน และมุ่งเน้นการเข้าถึงของเด็กอย่างทั่วถึง และสอดรับต่อความถนัด
61
ดา้ น ขอ้ คิดเหน็ ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ
ด้านตาราเรียน สอ่ื และ รายบคุ คล
อุปกรณก์ ารเรยี นรู้ 2) ควรมีรูปแบบท่ีหลากหลายมากขึ้น เช่น ข้อสอบท่ีเป็นคาถามปลายเปิด คาตอบไม่
ด้านแหลง่ เรยี นรู้ จาเป็นต้องมีคาตอบเดียว ข้อสอบท่ีเป็นสถานการณ์ เหตุการณ์ และจากสถานการณ์น้ัน
ด้านการสนับสนนุ รูปแบบโครงงาน หรือ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานในรปู แบบตา่ ง ๆ
ประเดน็ อื่น ๆ 3) ควรมีข้อสอบกลางท่ีเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีหลักเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน
ออกแบบในลักษณะคาถามปลายเปิด โดยเน้นให้นักเรียนได้รู้จักคิด วิเคราะห์ สามารถนา
ความรแู้ ละทักษะท่ีมีอย่มู าสือ่ สารได้
ข้อมลู จากแบบสอบถามและสนทนากล่มุ ย่อย
1) ควรใชส้ อ่ื ท่ีหลากหลาย มีเน้ือหาที่สอดคล้องกับยุคสมัย เหมาะสมกับวัยและระดับชั้น
ของผ้เู รียน สื่อให้ผเู้ รยี นเห็นความสาคัญของเนอื้ หาประวัตศิ าสตร์ สือ่ ทเ่ี รา้ ความสนใจ กระตุ้น
ให้เกิดการเรียนรู้และอยากเรียนรู้ เช่น ยูทูป การ์ตูนอิมนิเมช่ัน สื่อประเภทวิดีโอ สารคดี
ประวัติศาสตร์ ใบงานและดูหนังเก่ียวกับประวัติศาสตร์ เร่ืองราวท่ีน่าสนใจ สื่อแบบนิทาน
ละคร การแสดง คลังความรู้ที่หลากหลาย แหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน สื่อการสอนเสมือนจริง
เปน็ ตน้
2) ควรปรับปรุงตาราเรียนให้เอ้ือสาหรับผู้สอน โดยด้านหลังของตาราเรียนควรมีข้อมูล
สาหรับค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพ่ิมเติม รวมถึงการมีคู่มือสาหรับครูผู้สอนที่เป็น
มาตรฐานเดียวกัน นอกจากน้ี ตาราเรยี นควรมีมาตรฐาน ไม่สร้างความสับสนหรือบิดเบือน
3) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ควรมีที่มาชัดเจน เป็นหลักฐานท่ีมีหลากหลายเพื่อให้เห็น
มมุ มองทางประวัตศิ าสตรใ์ นหลายมุมมอง
ขอ้ มลู จากแบบสอบถามและสนทนากลุ่มยอ่ ย
1) ควรมีความหลากหลายในการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ เหมาะสมและมีผู้ให้ความรู้ได้
อย่างแท้จริง เชน่ พพิ ิธภณั ฑอ์ อนไลน์ มีการแนะนาแหลง่ ข้อมลู ทสี่ ามารถไปศึกษาตอ่ ได้ แหล่ง
เรยี นร้ภู มู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ แหลง่ เรียนรขู้ องชมุ ชน เปน็ ต้น
ขอ้ มูลจากแบบสอบถามและสนทนากลุ่มย่อย
1) ทุกฝ่ายท้ังภาครัฐ ท้องถิ่นและเอกชนควรร่วมมือและให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
ตั้งแต่บุคลากร หลักสูตร ตัวชี้วัด เน้ือหา การจัดการเรียนการสอน ส่ือ องค์ความรู้
งบประมาณการจัดนทิ รรศการและทศั นศกึ ษา อปุ กรณ์เครือ่ งมอื ทที่ นั สมัย
2) ควรมีการชว่ ยเหลือใหค้ รูผสู้ อนเขา้ ถงึ หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ท่ีมีหลากหลาย มีการ
เช่ือมโยงการเข้าถึงแหล่งข้อมูลให้ท้ังครูผู้สอนและผู้เรียน และมีคู่มือสาหรับครูผู้สอนใน
ตา่ งจงั หวดั รวมถึงมีหน่วยงานรับผดิ ชอบหลักทีเ่ ปน็ ศูนย์รวมภาคีเครือข่ายกับแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ ซง่ึ เปน็ ฐานข้อมูลท่ีจะสามารถช่วยในการจดั การเรียนการสอนของครูผ้สู อน
ขอ้ มูลจากแบบสอบถามและสนทนากล่มุ ย่อย
1) ควรให้ความสาคัญกับวิชาประวัติศาสตร์ โดยกาหนดเป็นวาระสาคัญระดับชาติ เช่น
การสร้างหนังระดับชาติ จัดนิทรรศการคร้ังใหญ่ มีหน่วยงานท่ีสอบข้อมูลก่อนเผยแผ่ไปสู่
ผู้เรียนหรือสังคมการให้ความสาคัญกับความดี มีสานึกทางคุณธรรม จริยธรรม สามารถ
แยกแยะผิดถูก ไมต่ กเป็นเหยอื่ ไดง้ ่าย มจี ิตสาธารณะเพือ่ สว่ นรว่ มและชาติบ้านเมืองเป็นสาคญั
2) ควรปรบั มโนทศั น์ กรอบความคิดของการจัดการเรียนการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์ใหมท่ ี่
ไม่ใช่การสร้างชาติจากความเกลียดชัง ต้องไม่นาเอาสังคมในปัจจุบันไปตัดสินสังคมในอดีต
การสร้างความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้อง ยอมรับและเกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
นอกจากน้ี ต้องยอมรับความจริงว่า ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน ครูผู้สอนไม่สามารถควบคุม
การรับรู้ของนักเรียนได้ท้ังหมด นักเรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่สนใจได้
ครผู สู้ อนเปน็ เพยี งผูอ้ านวยความสะดวก กาหนดขอบเขตในการเรยี นรแู้ ก่ผเู้ รยี น
3) การใหค้ วามสาคญั กบั การมเี จตคตทิ ่ีดตี อ่ วชิ าประวตั ิศาสตร์ เหน็ ถงึ ความสาคญั ของวิชา
62
ด้าน ขอ้ คิดเหน็ ขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเติม
ประวัติศาสตร์ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง เกิดการวิเคราะห์และเรียนรู้จาก
สถานการณใ์ นอดีต
4) ควรมีแนวนโยบายทีช่ ัดเจน นาทุกขอ้ เสนอไปปฏิบตั ิใหเ้ กดิ สัมฤทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม
ตารางท่ี 9 ข้อคดิ เหน็ ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติมของผู้เรียนที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์
ระดบั การศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน
ดา้ น ข้อคดิ เห็น ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ
ด้านผเู้ รยี น
ด้านครูผูส้ อน ข้อมลู จากแบบสอบถามและสนทนากล่มุ ย่อย
-
ด้านหลกั สูตร
ขอ้ มูลจากแบบสอบถามและสนทนากลมุ่ ย่อย
ด้านการจดั การเรยี น 1) ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร และเลือกวิธีการท่ีสอดคล้องกัน
การสอน
นอกจากนี้ ควรคานงึ ถงึ ธรรมชาตขิ องผเู้ รียนท่ปี รับเปลีย่ นไปตามยุคสมัย ต้องปรับเปล่ียนให้ทัน
เด็ก หรือปรบั เปลยี่ นวธิ ีการสอนใหส้ อดคล้องกบั ผเู้ รียน
2) อยากให้ครูผู้สอนมีความสุขในการสอน สอนและส่ังงานให้ชัดเจนมากขึ้น เขียน
ตัวหนังสือให้พอเหมาะ สอบถามถามและตรวจทานความเข้าใจของนักเรียนมากขึ้น มีการ
ค้นคว้าข้อมูลนอกเหนือจากหนงั สือเรยี น
3) สถาบันผลิตครู ควรสอนให้ครูมีวิธีการสอนที่หลากหลายเข้ากับยุคสมัยที่เปล่ียนแปลง
และอบรมครูในโรงเรยี นใหเ้ ท่าทันกับการสอนยุคใหม่
4) ควรเพิม่ เตมิ การจดั อบรมครูเก่ียวกับกระบวนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้มากข้ึน เช่น
การนาเทคโนโลยีเขา้ มาใช้ในการจดั การเรียนการสอน การใช้เทคโนโลยี VR เป็นต้น
ข้อมูลจากแบบสอบถามและสนทนากลุม่ ย่อย
1) ควรปรับเน้ือหาให้หลากหลายมากข้ึน มีมุมมองในหลายด้าน การทาหลักสูตรควรมี
ผเู้ ชี่ยวชาญหลายกลุ่มมาชว่ ยกันทา และยกเลิกเนื้อหาทไ่ี มจ่ าเป็น
2) เนื้อหาสาระการเรยี นรู้ ควรมคี วามเหมาะสมกับระดับชนั้ ไมย่ ากจนเกินไป หากเร่อื งราว
มากเกินไปจะส่งผลต่อความสับสนที่เกิดขึ้นในการเรียน และมีเน้ือหาอื่นที่ผู้เรียนสนใจ เช่น
ประวตั ศิ าสตรป์ ระเทศญ่ีปุ่น ยคุ หิน ยุคไดโนเสาร์ ตานานเมอื ง สตั ว์ที่สูญพันธุ์ เป็นต้น
ขอ้ มูลจากแบบสอบถามและสนทนากลมุ่ ยอ่ ย
1) ควรมีการจัดการเรยี นการสอนท่ีหลากหลาย เชน่ การสรุปเนอ้ื หาใจความเข้าใจง่าย เน้น
การประยุกต์ให้เข้ากับสมัยปัจจุบัน มีรูปภาพประกอบ เล่าเรื่องอดีต ปัจจุบัน จดบันทึกลงใน
สมุดและมีภาพบรรยายประกอบ คลิบวีดีโอ สอนแบบบทบาทสมมุติและการจาลองเหตุการณ์
จดั กิจกรรมนานกั เรยี นไปทัศนศึกษานอกสถานที่ พบเห็นแหล่งประวัติศาสตร์จริง ให้ทาช้ินงาน
และค้นควา้ ข้อมลู ใช้รปู แบบเกมสเ์ ข้ามาสอดแทรก การสอนแบบมีการปฎิบตั ลิ งมอื ทา กจิ กรรม
กลุ่ม การต้ังคาถามปลายเปิดในช้ันเรียน ให้นักเรียนได้มีการคิดวิเคราะห์ มีวิทยากรมาสอน
ภาพยนตร์ สอดแทรกบูรณาการกับวิชาอ่ืน ๆ มีกิจกรรมหรือมีการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับ
ประวตั ิศาสตร์ เป็นตน้
2) ระดบั มัธยมศกึ ษา
- ไม่จาเป็นต้องเน้นว่าเร่ืองใดถูกเรื่องใดผิด แต่ควรเน้นว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไรจาก
ประวัติศาสตร์ จากประวัติเร่ืองน้ี ส่งผลอะไรกับนักเรียน และนักเรียนจะสามรถนาไปใช้ได้
อย่างไร
- การสอนประวัติศาสตร์ ไม่ควรสอนแต่ผล แต่ควรสอนให้เห็นว่ากว่าท่ีจะประสบ
ความสาเร็จตอ้ งทาอย่างไรบ้าง มปี จั จยั ใดบ้าง เช่น ทาไมพระเจา้ ถึงกอบกบู้ ้านเมืองใด ต้องผ่าน
63
ดา้ น ข้อคดิ เห็น ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม
อะไรมาบ้าง ปัจจัยใดที่ทาใหป้ ระสบความสาเร็จ
- ควรเน้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม
เพ่อื มาพจิ ารณาร่วมกนั การนาวิธกี ารศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์มาใช้ การให้ข้อมูลหลายด้าน หลาย
มมุ มอง เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น และหาหลักฐานอ้างอิง พิจารณาว่าหลักฐาน
นัน้ มคี วามนา่ เชือ่ ถือ มากนอ้ ยแคไ่ หน เพียงพอไหม
- ควรสอนให้นักเรียนเรียนรู้ประวัติด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจา โดยใช้เทคนิควิธีที่
หลากหลาย เช่น ใช้เทคโนโลยีการจาลองภาพเสมือนจริง ทาให้เด็กเห็นภาพมากขึ้น ใช้ APP
เกม อนิ โฟรกราฟคิ พาไปทัศนศกึ ษา มีคลปิ ประกอบ มัธยมปลายเน้นการสัมมนาวิชาการ ฯ,ฯ
รวมถงึ การสรา้ งใหม้ ีบรรยากาศทน่ี ่าเรยี น เรยี นแลว้ รสู้ ึกสนกุ
3) ระดบั ประถม
- ควรเน้นการเรียนรู้จากสถานท่ีจริง การมีใบงานที่หลากหลาย และเน้นกิจกรรมมากกว่า
เน้ือหาวชิ าการที่มากเกนิ ไป
- ควรออกแบบการเรียนการสอนท่ีครอบคลุมท้ัง online และ onsite โดย online ใช้ใบ
งาน รายงาน ทดสอบหลงั เรียน ไม่มสี อบ และทางานกลมุ่ onsite ใช้การเก็บคะแนน สอบย่อย
และงานกลมุ่ เป็นต้น
ด้านการวัดและประเมนิ ผล ข้อมูลจากแบบสอบถามและสนทนากลุ่มย่อย
1) ควรมีรูปแบบการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย และตรงกับสิ่งท่ีเรียนในห้องเรียน
เช่น ข้อสอบแบบปรนัยและอัตนัย ใบงาน ออกข้อสอบเป็นภาพให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
ประเมินผลโดยการใหท้ างานแล้วส่งอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ การแสดงความคดิ เห็นหรอื โต้วาทกี ลุ่ม
เก็บคะเเนนตามชิน้ งานเเละสอบปลายภาค แผนผงั ความคดิ ประเมนิ จากความรู้และพฤติกรรม
ออกขอ้ สอบโดยเน้นกิจกรรมท่ีนักเรียนได้ปฏิบัติจริง การเข้าเรียน/เช็คช่ือ ทารายงานและสรุป
ตามความเข้าใจของผู้เรยี น เปน็ ต้น
2) ระดับมัธยมศึกษา ควรเน้นใหผ้ ู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ แสดงความคิดเห็นมากขึ้น ให้อิสระ
ทางความคิด เช่น มีข้อมูลท่ีหลากหลายให้ไปศึกษา และมานาเสนอกับเพ่ือนในช้ันเรียน หา
หลกั ฐานยนื ยันความคดิ ความเชือ่ คะแนนไดจ้ ากข้อมูลท่หี ามา วธิ กี ารหาข้อมูล หลักฐานอ้างอิง
เป็นตน้
3) ระดบั ประถมศึกษา ควรมีรูปแบบการวัดประเมินผลท่ีหลากหลาย เช่น kahoot word-
war ใบงาน google form open book เกมส์ รวมถงึ การออกขอ้ สอบใหต้ รงกบั ทไี่ ด้เรยี นไป
ดา้ นตาราเรยี น สอื่ และ ขอ้ มลู จากแบบสอบถามและสนทนากลมุ่ ยอ่ ย
อุปกรณก์ ารเรยี นรู้ 1) ระดบั มัธยม
- ควรปรับตาราเรียนให้น่าสนใจมากข้ึน มีข้อมูลหลากหลายด้าน มีแหล่งอ้างอิง มี
ผ้เู ช่ียวชาญหลายดา้ นมาชว่ ยกันทา
- ควรประยุกต์นาเทคโนโลยีมาใช้เป็นสอ่ื มากขึ้น เพ่ือใหเ้ ห็นภาพมากขนึ้
2) ระดับประถม
- ควรมีสื่อการเรียนการสอนทหี่ ลากหลายมากขึน้ มีทัง้ วีดโิ อคลิป สอ่ื กิจกรรมตา่ ง ๆ ที่ช่วย
กระตุ้นความสนใจ การเล่าเรื่องโบราณสถานและเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนกัน มีใบงาน
และสอ่ื ออนไลนอ์ น่ื ๆ เช่น powerpoint google form
ด้านแหลง่ เรียนรู้ ข้อมูลจากแบบสอบถามและสนทนากลุ่มยอ่ ย
-
ด้านการสนบั สนนุ ข้อมูลจากแบบสอบถามและสนทนากลุ่มย่อย
- ควรสนับสนนุ ให้สอดคลอ้ งกับความพร้อมและความตอ้ งการของผเู้ รียน
ประเดน็ อื่น ๆ ข้อมูลจากแบบสอบถามและสนทนากล่มุ ย่อย
-
64
ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์เชิงลึก
อาจารยป์ ิง เจริญศิรวิ ัฒน์
จากการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ปิง เจริญศิริวัฒน์ (อาจารย์ปิง ดาวองก์) วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม
2564 เวลา 16.30 – 18.30 น. มีข้อคดิ เหน็ ขอ้ เสนอแนะต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์
ประกอบด้วย ภาพรวมของปัญหา ด้านตาราเรียน ดา้ นหลักสูตร ดา้ นครูผู้สอน ด้านการวดั และประเมินผล ด้าน
การจดั การเรยี นการสอน รายละเอยี ดดงั น้ี
ภาพรวมปัญหาของรายวิชาประวตั ศิ าสตร์
1) คะแนนรายวิชาประวัติศาสตร์อยู่ในระดับต่ามาก จากคะแนน O-NET ในรายวิชาสังคมศึกษา
ท่ีเน้ือหาข้อสอบต้องออกคละกันในวิชาภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศาสนา และประวัติศาสตร์
พบว่า คะแนนในสว่ นของศาสนา เด็กทาได้มากท่ีสุด คิดเป็นคะแนนประมาณ 45 คะแนน รองลงมาคือ หน้าที่
พลเมือง ภูมิศาสตร์ คิดเป็นคะแนนประมาณ 36 คะแนน เศรษฐศาสตร์ คิดเป็นคะแนนประมาณ 35 คะแนน
โดยประวตั ศิ าสตรเ์ ด็กได้คะแนนนอ้ ยที่สุด เฉลี่ยแลว้ ไมเ่ กิน 30 คะแนน (ปี 61 = 29.68 ปี 62 = 28 คะแนน ปี
63 = 29.30 คะแนน)
2) ขาดการบูรณาการและเชอ่ื มโยงใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกันตัง้ แต่การพัฒนาหลักสูตร หนังสือเรียน
การจัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล และการพัฒนาครู เช่น หลักสูตรของไทยลดบทบาทและ
ความสาคญั ของรายวิชาประวัตศิ าสตร์ เนอ้ื หาสาระของหนงั สอื เรยี นลดขอ้ มูลบุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ลง
เช่น พระมหากษตั ริย์ พระราชวงศ์ บุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ บุคคลสาคัญของประเทศไทย บุคคลสาคัญ
ทท่ี าคุณงามความดี มคี ุณธรรม เสียสละเพอื่ ประเทศ เป็นตน้ ซ่ึงเป็นเนื้อหาสาคัญของการสรา้ งชาติ
3) ปัญหาอ่ืน ๆ ท่ีไม่เกี่ยวข้องทางตรงแต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอนในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ เช่น การนั่งในตาแหน่งของผู้บริหารระดับสูงยังไม่สอดคล้องกับความรู้และความเช่ียวชาญของ
ตาแหน่ง เปน็ ต้น
สภาพปญั หารายดา้ นและข้อเสนอแนะ
ผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวถึงปัญหาและข้อเสนอเพ่ือการแก้ไขปัญหาที่มุ่งตรงประเด็นของการจัดการเรียนการ
สอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ ได้แก่
1) ดา้ นหนังสือเรยี น พบปญั หาสาคัญตัง้ แต่การผลิตหนังสอื เรยี นหลายสานักพิมพ์ หนังสือเรียนท่ี
ไม่ได้มาตรฐานเพราะเนื้อหาเร่ืองเดียวกันแต่ให้ข้อเท็จจริงในรายละเอียดแตกต่างกัน รวมท้ังเน้ือหาของแต่ละ
สานกั พมิ พไ์ ม่เหมือนกันและการไม่เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายท่ีแท้จริงของตาราเรียน (การทาให้ผู้เรียนรู้) นอกจากนี้
เนื้อหาในตาราเรียนไม่ได้มีการให้ข้อมูลในลักษณะเร่ืองเล่า ทั้งๆ ท่ีวิชาประวัติศาสตร์เทคนิคสาคัญของการ
จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ คือ การเล่าเรื่อง แต่หนังสือเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้มีการไล่
ข้อมูลตามเหตกุ ารณ์ แตเ่ ปน็ เนื้อหาทรี่ ะบุผลลพั ธ์สดุ ทา้ ยของเร่อื งราว เชน่ สาเหตุของการเสียกรุงฯ ซ่ึงในความ
เป็นจริงแล้วควรเล่าเรื่องราวต้ังราวแต่เร่ิมต้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและอยากเรียนรู้มากย่ิงขึ้น
ยกตัวอย่างหนังสือเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ใส่รายละเอียดเน้ือหาสาระที่ผู้เรียนต้องรู้มากเกินไป
และไมส่ าคญั เนื้อหาตาราเรยี นในบางสานกั พิมพไ์ ม่ไดม้ กี ารใสเ่ นือ้ หาของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 พระพันปี
หลวง บุคคลสาคัญของประเทศไทย บุคคลสาคัญที่ทาคุณงามความดี มีคุณธรรม เสียสละเพ่ือประเทศ ซึ่ง
65
หนังสือเรียนควรใส่ข้อมูลบุคคลสาคัญในการสร้างชาติก็ยังจาเป็นต้องคงไว้เนื่องจากเป็นแก่นสาระสาคัญของ
การสร้างความเปน็ ชาติไทย ขณะทบี่ ุคคลทีท่ าคุณงามความดที ว่ั ไปกส็ ามารถทาได้
ข้อเสนอแนะ ท้ังประเทศควรใช้หนังสือเรียนเดียวกันและเป็นหนังสือเรียนท่ีได้รับการ
ตรวจสอบ จากการเขียนอย่างถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ เพ่ือให้เกิดความเป็นมาตรฐานของหนังสือเรียน โดย
เนื้อหาสาระควรคงประวัติศาสตร์กระแสหลักไว้ มีรายละเอียดสาคัญท่ีผู้เรียนควรรู้เพื่อทาให้เด็กเห็นภาพ เกิด
ความรู้ ความเข้าใจ แตไ่ มค่ วรใส่รายละเอยี ดเนือ้ หาสาระโดยละเอียดทุกเร่ือง เพราะเด็กจะไม่สามารถรับข้อมูล
ได้ จากท่ีควรจะรู้ก็จะไม่รู้สักเร่ืองที่ควรรู้ และควรเพิ่มการเรียนประวัติของบุคคลที่ประสบความสาเร็จท่ีมี
คณุ ธรรมและความอ่อนนอ้ มถอ่ มตน โดยปรบั วธิ ีการนาเสนอเนื้อหาใหม่เป็นการเล่าเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์
ตามไลเ่ หตุการณ์และให้รายละเอยี ดพอให้ผเู้ รยี นเหน็ ภาพเพื่อได้มีโอกาสคิดวิเคราะห์ เน้ือหาควรเหมาะสมตาม
วัยและระดับช้ันของผู้เรียน รวมถึงควรมีการให้ข้อมูล หรือ รายละเอียดของการศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติม
สาหรับประวัติศาสตร์กระแสรอง หรือ ประวัติศาสตร์ของท้องถ่ินนั้น ให้เป็นความสนใจของแต่ละบุคคลและ
ของแต่ละทอ้ งถิ่นไป
2) ด้านครูผู้สอน พบปัญหาจากวิธีการสอนของครูผู้สอนที่ทาให้เด็กไม่อยากเรียนวิชา
ประวัติศาสตร์ คอื ครพู ดู เสยี งอยใู่ นลาคอ นา้ เสียงของครูเป็นโทนเดียวฟังแล้วน่าเบื่อ ไม่สามารถกระตุ้นความ
สนใจของเด็ก การสอนของครูไม่มชี ีวิตชีวา รวมถึงไม่มีการเกริ่นนาก่อนสอนเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
ครสู ่วนใหญไ่ มเ่ ขา้ ใจบทบาทของตนเองวา่ “ครู คือ ผ้ถู า่ ยทอด ผู้กากับ” ดังนั้น ครูต้องตระหนักเสมอว่า หน้าท่ี
ของครูคือการทาให้ผู้เรียนเข้าใจในเร่ืองที่สอนและอยากท่ีจะเรียนรู้ โดยครูต้องมุ่งสอนประเด็นสาคัญของ
เนื้อหาเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนต้องรโู้ ดยไมต่ ้องให้รายละเอียดมากเกินไปจนละเลยประเด็นสาคัญ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อ
ความสนใจและความอยากเรียนของผเู้ รยี น
ข้อเสนอแนะ ควรเพิ่มเติมในเรื่องของการอบรมและพัฒนาครู การมีคู่มือครู หรือ ตาราครู
(มาตรฐานเดยี วกนั ท้งั ประเทศ) เพ่ือใชเ้ ปน็ แนวทางจัดการเรยี นการสอนในรายวชิ าประวตั ศิ าสตร์
3) ด้านการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล พบปัญหาต้ังแต่ต้นทาง คือ หลักสูตร
และหนงั สอื เรียน สง่ ผลกระทบโดยตรงต่อการจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล ปกติแล้วการจัดการ
เรียนการสอนและการวัดประเมินผลจะต้องทาตามหลักสูตร แต่ประเทศไทยการจัดการเรียนการสอนกับการ
วดั ผล ประเมนิ ผลไม่ได้เปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกัน
ข้อเสนอแนะ กระทรวงศึกษาธิการจะต้องทาหลักสูตรให้ชัดเจน แยกออกระหว่าง
ประวตั ิศาสตรห์ ลักและประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน โดยเด็กต้องเรียนประวัติศาสตร์หลักเพ่ือสร้างความเป็นชาติและ
เรียนประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นตามความสนใจ หลกั สตู รอาจแยกเป็นประวัติศาสตร์หลัก ประวัติศาสตร์เสริม (แบบ
คณิตศาสตร์หลัก คณิตศาสตร์เสริม วิทยาศาสตร์หลัก วิทยาศาสตร์เสริม) หนังสือเรียนต้องมีความถูกต้อง
ไดร้ บั การกลน่ั กรองจากผู้ทรงคุณวุฒิแล้วก่อนนามาจัดพิมพ์เพื่อให้ครูใช้สอนเด็ก การวัดและประเมินผลเด็กครู
จะตอ้ งวดั สง่ิ ที่เดก็ ควรจะรู้ตามท่ีเรียน อย่าออกข้อสอบในเรื่องที่ไม่มีท่ีมาท่ีไป การจัดการเรียนการสอนจานวน
ช่ัวโมงในการจัดการเรียนการสอนพิจารณาให้เหมาะสมไม่ควรมาก หรือ น้อยจนเกินไป การศึกษาวิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ควรจัดให้เป็นตัวเสริม เพราะในความเปน็ จริงแลว้ การเรยี นรู้ประวัติศาสตร์คือการเรียนรู้เร่ืองราว
ผู้เรียนสามารถถ่ายทอด มีร่องรอยของการเรียนรู้ ถือได้ว่าประสบความสาเร็จในการจัดการเรียนการสอน
เทคนิคสาคัญของการจัดการเรียนการสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์ท่ีสาคัญคือ เน้นการเล่าเรื่อง ให้เด็กจดเพ่ือช่วยใน
การจดจา มีการทบทวนเนื้อหาสาระที่ได้สอน และที่สาคัญที่สุด ครูต้องมีไหวพริบ มีจิตวิทยา มองเด็กในเชิง
บวก ท้ังนี้ การเรียนการสอน การวัดประเมินผลแบบท่ีให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การทาใบงานที่ต้อง
สืบค้นจากอินเทอร์เน็ต ครูผู้สอนควรให้ขอบเขตท่ีชัดเจนท่ีชัดเจนแก่ผู้เรียนทุกครั้งก่อนให้ผู้เรียนไปศึกษาด้วย
66
ตนเอง ขณะท่ีสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. ต้องปรับการออกข้อสอบ
ระดับชาติดว้ ย
การเรียนวิขาประวัติศาสตร์คือการเรียนเพ่ือต่อยอดและพัฒนา การเรียนการสอนต้องเน้นจุดเด่น
หรือ highlight ของเน้ือหาสาระแต่ละเร่ืองว่าคืออะไร ต้องเน้นให้เห็นชัดเจน อย่าหลงทางใช้วิธีการทาง
ประวตั ศิ าสตร์เป็นเนือ้ หา จริงๆ แลว้ เดก็ ตอ้ งเรียนวิชาประวัตศิ าสตร์ไมใ่ ชเ่ รยี นวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
อาจารย์พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร์
จากการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ วันอังคารท่ี 17 สิงหาคม 2564 เวลา
16.30 – 18.30 น. มีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์
ประกอบดว้ ย ภาพรวมของปญั หา ดา้ นตาราเรียน ด้านหลักสูตร ดา้ นครูผู้สอน ด้านการวัดและประเมินผล ด้าน
การจดั การเรยี นการสอน รายละเอยี ดดังน้ี
ภาพรวมของปัญหา
ปัญหาของวิชาน้ีอยู่ที่กรอบแนวคิด มโนทัศน์ หรือ concept ทางประวัติศาสตร์ที่เราต้องการหรือรับรู้
ต่างกัน เกิดช่องว่างระหว่างวัย หรือ generation gap ระหว่างกลุ่มเด็ก – ผู้ใหญ่ Generation x y กับ z
เนอ่ื งจาก กลุม่ ผู้ใหญเ่ ดมิ มกั อย่ใู นคอนเซปท์ชาตินิยม เด็กอยู่ในกลุ่มหลังชาตินิยม ที่มองประชากรเท่าเทียมกัน
รวมถึงการสอนประวัติสอนตาม timeline อาจเบ่ือและเล่ียงเร่ืองราวบางอย่างไม่ได้ นอกจากน้ี การเรียกร้อง
ประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่น แต่ขาดเรื่องราว โดยทางแก้ปัญหาควรทาประชุมเชิงปฏิบัติการผู้รู้ทุกภาคส่วนเพื่อสร้าง
เนือ้ หา
ข้อเสนอเรื่องวชิ าประวตั ศิ าสตร์
การจะเปลยี่ นแปลงแนวทางหรือจัดรปู แบบการเรยี นการสอนใหม่จาเป็นต้องหาจุดสมดุลที่เป็นท่ียอมรับ
ได้ท้ังผู้ใหญ่ หรือเด็ก หรือกลุ่มความคิดใหม่ ต้องประนีประนอมให้ได้ จะสอนใต้มโนทัศน์ใด ชาตินิยม หลัง
ชาตินิยม หรืออีกทางเลือก อิงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพ้ืนที่ แนวคิดน้ีจะเป็นการให้พ้ืนที่ตัวตนของคนไปสู่การ
สรา้ งชาติเหมือนหลายประเทศ
2.1 ด้านการเรยี นการสอน
1) เริ่มต้นจาก เน้นและส่งเสริมวิธีการทางประวัติศาสตร์ กระบวนการวิจัย ลดการสอน
แบบไลต่ ามเหตกุ ารณ์ ให้เป็น multi linear history ท่ีเป็นการสอนที่ให้พ้ืนที่กับเรื่องรอง เช่น รัฐเล็กรัฐน้อยท่ี
เปน็ ไทยในปัจจุบัน การให้เดก็ เหนือได้เรยี นประวตั ิศาสตร์ล้านนา
2) เด็กประถมจาเป็นที่จะต้องเรียนประวัติศาสตร์แบบลาดับเหตุการณ์ หรือ timeline
เพ่ือวางพ้ืนฐานให้รู้ว่าประเทศไทยมีอะไรบ้าง โดยไม่ละเลยประวัติศาสตร์ท้องถ่ินเพ่ือให้พื้นที่ท้องถิ่นมีตัวตน
เป็น muti-linear history แล้วค่อย ๆ เพิ่มหลักการ วิธีการทางประวัติศาสตร์ตามระดับช้ัน ส่วนระดับมัธยม
เรียนแบบวิเคราะห์ วิพากษ์หลักฐานหลากหลายชุดท่ีมีเข้ากับการเรียนเป็นกรณีศึกษาหรือ problem base
หรือเรียนกรณีศึกษาที่ให้เกิดแนวคิดการนาไปใช้ต่อในอนาคต เช่น เม่ือเกิดรัฐประหาร ทาไมถึงมีการเร่งฉาย
พระนเรศวร ควรมีพื้นที่ debate หรือนาเรื่องสถานการณ์ชีวิตจริงมา debate เพื่อให้เร่ืองประวัติศาสตร์เป็น
เร่ืองในชีวิตจริงท่ีใกล้ตัวทุกคน หรือใช้เร่ืองลอยกระทง เป็นเส้นเรื่องหรือเป็นลาดับเหตุการณ์เพ่ือสอนเป็น
กรณีศกึ ษา
67
3) สง่ เสรมิ การจดั การเรียนรู้ประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่ิน มีข้อมูลของวัฒนธรรมจังหวัด แต่อยู่ใน
รูปเรื่องเล่าที่มีเนื้อหาไม่ชัดเจน ทาให้เนื้อหาท่ีมีกับกระบวนการเล่าที่ครูใช้ไม่ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้
ส่งผลให้ทั้งครูพื้นที่และครูต่างถ่ินขาดความเข้าใจที่ชัดเจน ดังนั้น หากจะเริ่มการเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
อาจสร้างจากระบบการเรียนรู้ผ่านเทคนิคให้ค่อยๆ หาคาตอบไปตามกระบวนการ สร้างเน้ือหาท่ีอิง
กระบวนการเรียนรู้ แต่ทัง้ นจ้ี าเป็นอยา่ งยิ่งทจ่ี ะตอ้ งสร้างเน้อื หาทีถ่ ูกต้อง ชัดเจน เพ่ือครูสามารถนาไปใช้จัดการ
เรยี นการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) กระทรวงศึกษาธิการ ควรมีฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ (Data base) ที่ ครู นักเรียน
สามารถนามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนท้ังรูปแบบเดิมและรูปแบบออนไลน์ เช่น ประวัติศาสตร์นอกตารา
panorama เกา่
5) ส่งเสริมการสอนเรื่องเปราะบางให้นักเรียนเข้าใจว่าเร่ืองผ่านไปแล้วเรียนเพ่ือเรียนรู้
รบั รยู้ อมรับมุมมองท่ตี า่ งไป เคารพผ้อู ื่น มองให้กวา้ ง เชื่อมโยงกับเรือ่ งที่ใหญ่กว่าเมืองไทย เหตุการณ์เร่ืองราวที่
เกยี่ วข้อง เชน่ การค้าโลก และ global citizen
6) หากลยทุ ธก์ ารสอนเด็กเก่ียวกับราชาชาตนิ ิยม ทาให้เดก็ และครูมอง วิเคราะห์ด้วยความ
เข้าใจ เช่น อาจนารัชสมัยใดรัชสมัยหนึ่งมาเป็นกรณีศึกษาโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์เพื่อลดกระแสความ
กดดันและรนุ แรง
2.2 ด้านหนังสือเรียน
ส่งิ ทส่ี าคัญทีส่ ดุ คือ การสงั คายนาหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยลดความซ้า
ของเนอ้ื หาให้มากท่สี ดุ ต้องวางกลยทุ ธ์กับสานกั พมิ พเ์ ร่ืองของการจดั พิมพ์หนังสือเรียน เพราะหนังสือเรียนเป็น
เครอื่ งมอื สาคญั ในการเรยี นการสอน โดย
1) กระทรวงศึกษาธิการต้องต้ังคณะทางานเพ่ือทา blue print หรือ ต้นแบบตารา โดย
การทา blue print อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี ซ่ึงหนังสือเรียนที่เป็น blue print จะต้องเป็นคู่มือครูท่ีใช้ในการ
จดั การเรยี นการสอน โดย
1.1) ประธานคณะทางานตอ้ งเป็นท่ียอมรบั ไม่จาเป็นต้องเป็นนักประวัติศาสตร์ แต่
ต้องมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ มีความเป็นกลาง และเป็นผู้ใหญ่ท่ีทุกฝ่ายให้การยอมรับ สามารถเป็นผู้นาใน
การนา blue print ไปสูก่ ารปฏบิ ัตจิ รงิ ได้
1.2) องค์ประกอบของคณะทางาน ประกอบด้วย นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา
นกั ประวัตศิ าสตร์ อาจารย์มหาลัย นักการศึกษา/นักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็ก ผู้แทนสานักพิมพ์ ผู้จัดทาสื่อ/
อปุ กรณ์
1.3) เน้ือหาควรแบ่งตามยุคสมัย นักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ ก็มีความ
เชี่ยวชาญหรือความถนัดตามยุคสมัย อาจใช้ความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเป็นแกนของการทาหนังสือ บน
พื้นฐานความตระหนักวา่ ประวัตศิ าสตร์เปน็ ศาสตร์ ไมใ่ ช่พงศาวดาร
2) หนังสือเรียนท่ีใช้สอนเด็กประถมและมัธยม เน้นเนื้อหาตามความสาคัญ และนาไปสู่
การจดั การเรียนการสอนตามวิธีการทางประวัติศาสตร์ได้ง่าย รายละเอียดครบแต่ไม่ต้องใส่รายละเอียดให้มาก
จนเกนิ ไป เช่น การเรยี นการสอนเกี่ยวกับราชวงศก์ อ็ าจไมต่ ้องเรียนทกุ รัชสมัย แตน่ ามาใส่ในหนังสือบางรัชสมัย
ท่สี าคญั และเน้นการสอนแบบกรณีศกึ ษาเพอื่ อยูร่ ่วมกันได้
3) การทาหนังสือเรียนประวัติศาสตร์จะต้องมีรายงานการวิจัยแบบละเอียดเพ่ือสนับสนุน
การทาหนังสือเรียนใหม่ หนังสอื เรยี นทเี่ ป็น blue print อาจมีชดุ หลักฐานแพ็คเกจ database ให้ครูดึงไปใช้ใน
การสอนได้ (historical fact ไม่เปล่ยี น)
68
4) ทา pilot project ทดลองใช้หนังสือเรียนร่วมกับหลักสูตรใหม่ (ถ้ามี) ช่วงสั้นๆ เป็น
ตัวอยา่ งตน้ แบบการใช้งาน 1 ห้อง 1 เทอม
2.3 ดา้ นขอ้ สอบ
1) ต้องปลดล็อคข้อสอบ ให้มีประวัติศาสตร์ท้องถ่ินด้วย ข้อสอบควรผสมข้อเท็จจริงจาก
ปรนยั สง่ ต่อไปวเิ คราะหอ์ ตั นัย เรยี นอย่างไร ออกข้อสอบอย่างนนั้
2) ทดลองการประเมินข้อสอบ 2-3 หวั ขอ้ แบ่งกลมุ่ ชั้นเรียน
ตัวอย่างการเรยี นในต่างประเทศ
1) จีน รัฐให้ความสาคัญกับการปลูกฝังมาก นักเรียนจีนรู้ประวัติศาสตร์ดีมาก มีแหล่งเรียนรู้
รองรบั เขา้ ถึงได้ ใช้ตน้ ทนุ ทางสังคม ชมุ ชนเปน็ ฐาน
2) อังกฤษ ใช้การเรยี นแบบยกกรณีศึกษา เรอื่ งเล่าในทอ้ งถน่ิ เรียนรู้การวิพากษ์ ใช้ข้อมูลรอบตัว
เป็นจัดการทัศนศึกษาแบบให้นกั เรียนได้ตัง้ คาถาม
แนวโน้มการจดั การเรยี นการสอนประวัติศาสตร์ อาจมีการประยุกต์กับศาสตร์อื่นมากข้ึน สื่อ การ
คดิ สร้างสรรค์
อาจารย์เฉลมิ ชัย พนั ธเ์ ลิศ
จากการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์เฉลิมชัย พันธ์เลิศ วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2564 เวลา 16.30 –
18.30 น. มีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย
ภาพรวมของปัญหา ด้านตาราเรียน ด้านหลักสูตร ด้านครูผู้สอน ด้านการวัดและประเมินผล ด้านการจัดการ
เรยี นการสอน รายละเอยี ดดังน้ี
ภาพรวมปญั หาของรายวิชาประวัติศาสตร์
1) การจัดทาหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีงานวิจัยรองรับ สมัยก่อนหน่วยงานที่ทาหลักสูตร
และหนังสือเรียนคือ กรมวิชาการ แต่เมื่อมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กรมวิชาการถูกยุบ
ข้าราชการและเจ้าหน้าท่ีจาก 200 คน เหลือเพียง 20 คน เพราะมีการโยกย้ายไปอยู่หน่วยงานอ่ืน เช่น
มหาวิทยาลัย ดังน้ัน การศึกษาในปัจจุบันที่ใช้หลักสูตรปี 2551 ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือ หลักสูตรการศึกษาขั้น
พ้ืนฐานปี 2544 ที่ได้ปรับปรุงในรายละเอียดจากเน้นเน้ือหาเป็นอิงมาตรฐาน ดังน้ัน หลักสูตรจึงเขียนขึ้นจาก
การใช้ทฤษฎีอ้างอิง ประสบการคณะทางาน ไม่มีการนาข้อมูลที่ได้ติดตามตรวจสอบในแต่ละช่วงที่ผ่านมา
ประกอบการเขียนหลักสูตรเพ่ือปรับใช้ให้เหมาะตามสภาพในปัจจุบัน และเหตุผลอีกประการ คือการทางาน
แบบแยกฝ่าย การส่งมอบงาน ไม่ได้เกิดการทางานประสานกันตง้ั แต่ต้น
2) จากหลักสูตรท่ีเน้นการการสร้างมาตรฐาน จึงเกิดอุปสรรคไม่พ้นกรอบเน้ือหาและการวัด
ประเมนิ ไมส่ ามารถออกนอกกรอบไดม้ ากกวา่ น้ี
3) คาอธิบายหลักสูตรไม่ชัด เช่น จุดประสงค์รายวิชา 4.1 วิธีการทางประวัติศาสตร์
4.2 ประวัตศิ าสตรส์ ากล และการพัฒนาการมนุษย์ 4.3 ประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย โดยหลักสูตรไม่อธิบาย ต้องเอา
4.1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ ไปใช้ในบทต่อ ๆ ไป ครูเลยสอนแยก ไม่ได้สอนให้ประยุกต์ใช้ประกอบ และ
หลักสูตรท่ีเน้นเน้ือหา/การวิจัยในมหาลัยเป็นหลัก โดยอาจารย์แต่ละท่านถนัดคนละด้าน จึงเกิดมุมมองคนละ
ทิศทาง เขา้ ใจหลกั ฐานคนละมุมมอง
69
4) สื่อการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ดีอยู่ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม ทาให้เกิดปัญหาใน
การนาสอ่ื มาใช้ เพราะกระทรวงวัฒนธรรมมุง่ เก็บอย่างเดยี วไม่แชร์ในวงการการศึกษา
5) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานมี obec contents center เกิดปัญหาติด
ลิขสิทธ์ิตา่ ง ๆ เผยแพร่ไม่ได้
ข้อเสนอ
1) จัดทาหลักสูตรฐานสมรรถนะ เพื่อแก้ปัญหาของการจัดทาหลักสูตรท่ีไม่มีเจ้าภาพหลัก
(สถาบันพฒั นาหลกั สตู ร) และปญั หาอิทธพิ ล การเมอื งแทรกแซงการทางาน การทางานไม่ต่อเนื่อง และที่สาคัญ
หลกั สตู รฐานสมรรถนะจะต้องแปลงเนื้อหาเป็นมโนทัศน์หลัก มุ่งสร้างมโนทัศน์หลัก ถือเป็นภาพกรอบแนวคิด
หรือ Big Idea ซ่ึง Big Idea คือ มโนทัศน์สาคัญ การเข้าใจบริบทในอดีต และปัจจุบัน ไม่ตัดสินยุคนั้น ๆ และ
การทราบถงึ เหตุการณท์ ีส่ ง่ ผลกระทบจากอดีตมาปัจจุบัน (historical significant) ให้การเรียนรู้เกิดมโนทัศน์น้ี
มีวิสัยทัศน์ร่วม สอดคล้องหลักสูตร สมรรถนะ และการปรับตามโครงสร้าง (เป็นงานยากเน่ืองจากต้องมีการ
monitoring และใชข้ อ้ มูลมาประกอบการปรบั เปลี่ยนหรือการจัดทาหลักสตู รด้วย)
2) โครงสร้างของหลักสูตรควรจะต้องกาหนดวิสัยทัศน์ให้ชัด ใช้ภาพของคนเป็นแกน คุณค่าของ
ประวัติศาสตร์ จะเพ่ิมคุณค่าของคนอย่างไร แก่นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ (โดย อาจารย์เฉลิมชัย หารือกับ
อาจารย์วินัย) เรียนเพ่ือเป็นนักคิด เป็นปัญญาชน มีเหตุผลถกเถียงได้ เป็นการสร้างคุณลักษณะของนัก
ประวัติศาสตร์ที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ซ่ึงหลักสูตรสมรรถนะจะสามารถตอบโจทย์ปัจจุบัน ใช้ความรู้วิชา
ประวตั ิศาสตรใ์ นการประกอบวชิ าชพี จริงได้ โดยแบ่งเกณฑ์ตามบรบิ ทชว่ งวัยของผเู้ รียน
3) การจัดการเรียนการสอน ครูควรนาหลักการวิธีการทางประวัติศาสตร์มาประยุกต์ใช้โดย
ยกตัวอย่างของต่างประเทศ กรณีใช้หลักฐานจริงจากร่างกายของมนุษย์มาใช้ในการสอนหลายมิติ หลายวิชา
เพอื่ หาขอ้ สรปุ ทีแ่ ตกตา่ งกัน สง่ิ ทไี่ ดค้ อื กระบวนการคดิ วิพากษ์ สบื คน้ จากหลักฐาน
4) การเรียนประวัติศาสตร์ระดับประถมควรเรียนเป็นไล่ตามลาดับเหตุการณ์ระดับมัธยมเรียน
แบบถกเถยี งตามชุดหลักฐาน
5) การเรียนประวัตศิ าสตร์ซ่ึงมีเน้ือหาท่ีหลากหลาย ต้องเรียนแบบเรียนรู้ความผิดพลาดของอดีต
โดยใชว้ ิธกี ารทางประวัตศิ าสตรว์ ิเคราะห์ ถกเถยี ง เปน็ กรณีศกึ ษา
6) กระทรวงศึกษาธิการโดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานทาข้อตกลงความ
ร่วมมือ หรอื MOU กบั กรมศลิ ปากร เพ่อื ให้สมารถนาส่อื มาใชไ้ ด้
7) รฐั บาลตอ้ งลงทุนและจัดการเรื่องส่ืออย่างเป็นระบบ รวมท้ังเร่ืองฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์
ต้องมีการใช้และติดตามเก็บไว้เป็นข้อมูล โดยศึกษาตัวอย่างท่ีดีจากต่างประเทศเพิ่มเติม เช่น ประเทศ
นวิ ซีแลนดท์ ม่ี ีเวบ็ ไซต์ดี ๆ
8) การพัฒนาหลักสูตร หนังสือเรียน ควรมีคณะทางานหลายส่วนเข้ามาร่วมดาเนินการ เช่น นัก
ประเมิน ผู้จัดการเรียนการสอน คนจัดทาหลักสูตร หนังสือเรียน สานักพิมพ์ นักประวัติศาสตร์ ฯลฯ ทุกฝ่าย
ตอ้ งเข้ามารว่ มดาเนินการ
9) สร้างแหล่งเรียนรู้พิพิธภัณฑ์ที่ทางานร่วมกัน รัฐร่วมลงทุนจัดการสื่อ ได้ผลประโยชน์สองฝ่าย
รัฐได้ข้อมูล และตอ่ ยอดรายได้
10) ใช้ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองในการดาเนินงาน หาจุดร่วมตรงกลางให้ได้ (ส่วนท่ีต้องเก็บรักษา
ต่อก็คงไว้ ส่วนที่ปรับก็สร้างเพ่ิม) ตอบรับ การผสมผสาน การอยู่ร่วมกัน รวมทั้งเชียร์ให้เกิดชมรมเครือข่ายครู
ใหเ้ กิดขน้ึ มีพเี่ ล้ียงไปชว่ ยให้เกิดจริง
9) ปัจจยั ทีส่ ่งผลสาเร็จ คอื
70
9.1) collective teacher efficacy หรือเรียกว่าเครือข่ายครู (เช่น ครูขอสอน อาสาสอน
ฯลฯ)
9.2) มีข้อมูลพ้ืนฐาน การเก็บข้อมูล (solid foundation) ท่ีสามารถยกระดับไปเป็น
หลักสูตรได้
9.3) การทางานเชิงโครงสร้างตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ จะมี
สมัชชาการศกึ ษาจงั หวดั ใหส้ มัชชาการศกึ ษาจงั หวดั เป็นเจ้าภาพประวัตศิ าสตร์ในระดับท้องถนิ่
9.4) การทางานลักษณะแบบค่ขู นาน โดย
(1) การทาวิสัยทัศน์ให้ชัด การดึงคุณค่าประวัติศาสตร์การพัฒนาคน เพิ่มคุณภาพ
อะไร อย่างไร
(2) มองคนเป็นพลเมืองต่าง ๆ ประวัติศาสตร์ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันยังไง (ระดับ
เมือง ระดับประเทศ ระดบั ภมู ิภาค ตลอดทัง้ ระดับโลกดิจทิ ลั ) ฝกึ การสร้าง platform ปรับ mind set ของคน
(3) เสนอ concept โดยระดับหน่วยงานคิดแทนและนาไปใช้ก่อน โดยยึด key
concept / big idea เด็กเล็กเรียนอะไร เด็กโตเรียนอะไร ใหเ้ ป็นมาตรฐาน
(4) ใช้หลัก 4c Continue (เป็นการขยายความโดยใช้ของเก่าเป็นพ้ืนฐาน ไม่ตัดสิน
ถูกต้อง) Combine (การรวบรวมผสมผสาน) Collect (การรับโดยไม่ตัดสินและรับในมุมมองต่าง ๆ เพื่อ
ประโยชน์ ) Create (เติมมลู คา่ เพ่มิ ) ตอบโจทยส์ มรรถนะ เด็กพัฒนาตาม key concept
ขอ้ มลู จากการประชุมมหกรรมการศกึ ษาไทย
หวั ข้อ ขอ้ เสนอการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์
ระดับการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน: ความเขา้ ใจ ความเชื่อ หรอื ความม่ันคง
1) ชอื่ หวั ขอ้ การประชมุ
ข้อเสนอการจดั การเรียนการสอนวชิ าประวัติศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน : ความเข้าใจ ความเช่ือ
หรือ ความม่ันคง
2) รายชอื่ วทิ ยากรท่เี ข้ารว่ มการประชุม
2.1) ดร.เฉลิมชยั พนั ธเ์ุ ลิศ ผ้อู านวยการสถาบนั สงั คม สพฐ.
2.2) รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี อาจารย์ประจาสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2.3) ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจาสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2.4) ว่าที่เรอื ตรีธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูผสู้ อน โรงเรียนราชดาริ
2.5) นายภาคนิ นิมมานนรวงศ์ ครผู ู้สอน โรงเรยี นกาเนดิ วทิ ย์
3) สรุปสาระสาคญั ของการประชุม (ทไ่ี ด้จากการเสวนาของวทิ ยากร)
สรปุ สาระสาคัญจากการประชมุ โดยลาดบั ตามรายชือ่ วทิ ยากร ดงั นี้
3.1) ดร.เฉลิมชยั พันธเุ์ ลศิ กลา่ วประเด็นสาคญั ที่เกีย่ วขอ้ งกับหลกั สูตร ดังนี้
การจดั ทาหลกั สูตร พฒั นาการที่สาคัญของหลักสูตรเกิดขึ้นภายหลังประกาศใช้พรบ.การศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542 ซ่ึงได้มีการกระจายอานาจไปสู่สถานศึกษาให้สามารถจัดทา “หลักสูตรสถานศึกษา” ปัจจุบันการ
พฒั นาหลกั สูตรกาลังปรับเปลี่ยนสู่ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” (Competency Based Education) ผู้เรียน
71
ควรทาอะไรได้ What student should do? มุ่งเน้นการนาไปใช้ประโยชน์ของผู้เรียนเป็นหลัก ปรับองค์
ความรู้ไปสู่การนาไปใช้ได้จริง (Action) ในอดีตการจัดทาหลักสูตรอยู่ในลักษณะเส้นตรง ใช้ต่อเน่ืองยาวนาน
(เฉลี่ย 20 ป)ี อานาจในการปรับหลักสูตรมาจากศนู ย์รวม ขาดการศกึ ษาวจิ ยั ปรับครั้งเดียวท้ังเล่ม ผลสาเร็จคือ
การมีเอกสารเล่มใหม่ แต่มาภายหลังได้มีความพยายามปรับเปลี่ยนหลักสูตร โดยมองในหลากหลายมิติ มี
การศึกษาวิจัยการใช้หลักสูตร ติดตามผลการใช้หลักสูตรทันทีที่เร่ิมมีการนาไปใช้ ท้ังจากครู รูปธรรมใน
หอ้ งเรยี น การวดั และประเมินผล ประมวลผลนาไปสู่การพัฒนาหลักสูตร ซึ่งต้องอาศัยฐานข้อมูลจานวนมากใน
การพัฒนา เน้นการกระจายอานาจและการมีส่วนร่วม ผู้เรียนต้องได้คุณภาพ ไม่ใช่แค่ผลผลิตอยู่ในรูปเล่ม
เอกสารอยา่ งสมยั กอ่ น
ปัจจบุ ัน การนาไปสู่ หลักสูตรฐานสมรรถนะ ต้องเตรียมผู้เรียนสาหรับการทางานท่ียังไม่เกิดข้ึน โดยใช้
เทคโนโลยีท่ียังไม่ได้สร้างเพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทิศทางการพัฒนาพลเมืองของโลก มุ่งเน้นการเป็น
พลเมืองที่รับผิดชอบ มีส่วนร่วมและมีความยุติธรรม สาหรับในแง่ของมิตินอกจากมิติของการเป็นพลเมือง
ท้องถิ่นแล้ว ในขณะเดียวกันบุคคลก็เป็นพลเมืองของประเทศไทย พลเมืองอาเซียน พลเมืองโลก (รวมถึงโลก
ออนไลน์) ดังนั้นแนวคิดพหุสังคมนิยมที่สามารถอยู่ท่ามกลางความหลากหลายจึงมีความจาเป็นมากในยุค
ปัจจุบนั
แกนสาคญั ของ หลักสตู รฐานสมรรถนะ เน้นสมรรถนะท่ีผู้เรียนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย
ขา้ มวิชาไดไ้ ม่ติดกบั เน้ือหาโดยเฉพาะ จึงจาเป็นต้องมีสมรรถนะหลัก 6 ด้าน คือ การจัดการตนเอง การสื่อสาร
การคิดข้ันสูง การรวมพลังทางานเป็นทีม การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการ
อย่างย่ังยืน ซึ่งในวิชาประวัติศาตร์ด้วยเช่นกันท่ีมีทั้งความรู้เชิงความจริง ความรู้เชิงกระบวนการ เชิงทฤษฎี
เป็นต้น ท่ีจะต้องกาหนดกรอบตามสมรรถนะหลักให้ชัดเจน และในแง่การนาความรู้ประวัติศาสตร์ไปใช้
ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งไร ท้งั ในการทางาน การดาเนนิ ชีวติ การเผชิญสถานการณ์ การแก้ปัญหา หรือการสร้างสรรค์
สิง่ ตา่ ง ๆ
การตอบประเด็นคาถาม “ในกรณีท่ีแนวคิดของหลักสูตรระดับชาติและหลักสูตรระดับท้องถิ่นมี
ความขดั แยง้ กัน ในมมุ ของผู้จัดทาหลกั สตู รจะทาอย่างไรให้เกิดหลกั สตู รสถานศึกษาทลี่ งตวั ได้”
อาจารย์เฉลิมชัยให้คาตอบว่า “กระบวนการพัฒนาหลักสูตร (ตัดสินใจ รับผิดชอบ มุมมองหลายมิติ)
ต้องอาศัยกลไกเชิงโครงสร้างในรูปแบบของคณะกรรมการ อาทิ คณะกรรมการระดับชาติการรับฟังความ
คิดเห็น คณะกรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการพัฒนางานวิชาการและบริหารหลักสูตรระดับสถานศึกษา
เพราะฉะนน้ั โดยตัวของหลกั สูตรเองจะมีลักษณะของความเป็นพลวัตรท่ีปรับได้ เมื่อหลายส่วนหลายฝ่ายหลาย
มมุ มองมาช่วยกันดู โดยกลไกเชิงโครงสรา้ งแลว้ ก็เอ้ือให้เกดิ ความสมดุลได้”
3.2) รศ.ดร.ปรีดี พศิ ภมู ิวถิ ี สรุปใจความสาคญั ดังน้ี
หน่วยงานหลักท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ยังคงขับเคล่ือนและพัฒนาอย่าง
ต่อเนื่อง สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ต้องนาข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้รับ ส่งต่อไปยังหน่วยงาน
ระดับนโยบายท่ีมีอานาจสั่งการ โดยจะต้องเน้นย้าให้ผู้มีอานาจส่ังการเข้าใจและตระหนักถึงในเร่ือง 1) การ
ส่งเสริมระบบการจัดการเรยี นการสอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ และ 2) เนื้อหา / กระบวนการทางประวัติศาสตร์
เมื่อสอนหรือเม่ือเรียนวิชาประวัติศาสตร์แล้วจะต้องปล่อยวางให้ได้ ไม่มีอคติ และไม่มีความแข็งกร้าวทาง
วชิ าการ โดยจะตอ้ งสามารถพดู คุย / แลกเปลยี่ น / โตแ้ ย้งได้
3.3) ผศ.ดร.พพิ ฒั น์ กระแจะจันทร์ สรปุ ใจความสาคญั ดังนี้
ผศ.พิพัฒน์ ให้ความเห็นว่า การสอนประวัติศาสตร์ กระบวนการสาคัญกว่าเน้ือหา สมัยก่อน
การสอนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมหรือราชานิยมเป็นสิ่งท่ีเข้ายุคเข้าสมัย เพราะในช่วงน้ันยังต้องการสร้าง
ความคิดร่วม รวมพลัง แต่เม่ือยุคสมัยเปล่ียน สังคมเปล่ียนไป มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทุกคนสามารถเข้าถึง
72
ข้อมูล ส่งผลให้ปัจจุบันประวัติศาสตร์เร่ิมถูกต้ังคาถามและต้องการความหลากหลายมากขึ้น การสอน
ประวัติศาสตร์ที่เน้นชาตินิยมมากเกินไปอาจสร้างความเกลียดชังหรืออาจเป็นเคร่ืองมือในการสร้างความชอบ
ธรรมให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะเป็นการสอนด้วยข้อมูลชุดเดียวหรือกล่าวถึงกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว จึงควร
ปรบั เปล่ยี น โดยใหค้ วามสาคญั กบั คนทกุ กล่มุ ซงึ่ มีคนช้นั ปกครองเปน็ สว่ นหนึ่งในนนั้
สาหรับแนวทางการสอนประวัติศาสตร์ควรปรับเปล่ียนเป็นเชิง concept หรือให้แนวคิด ไม่ใช่เน้น
เพียงการเล่าเร่ืองว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ควรนาวิธีทางประวัติศาสตร์มาใช้ รวมถึงเปิดโอกาสให้คิดวิเคราะห์
วิพากษ์มากข้ึนเพราะการเรียนประวัติศาสตร์สามารถช่วยพัฒนาการคิดเชิงเหตุผล การตัดสินใจ จินตนาการ
ทั้งยังสามารถเช่ือมโยงกับศาสตร์สาขาอ่ืนที่เก่ียวข้องได้ ไม่ว่าจะเป็น “โบราณคดี” ท่ีสามารถนาวิธีการทาง
โบราณคดีมาใช้หาข้อมูล หลักฐานในสมัยก่อนและสามารถศึกษาจากโบราณวัตถุ โบราณสถาน
“มนุษยวิทยา” ท่ีทาให้เข้าใจความหมายของชาติพันธุ์ ผลกระทบของชาติพันธุ์ท่ีมีบางกลุ่มมีอานาจนา บาง
กลมุ่ เปน็ ผตู้ าม “วรรณคดี” ในวรรณคดีมกั มเี ร่อื งเลา่ ท่ีเช่ือมโยงกับประวัติศาสตร์และผูกโยงความคิดของคนใน
สังคม “ภูมิศาสตร์” ท่ีทาให้ทราบสภาพภูมิประเทศ ท่ีตั้ง ขอบเขตดินแดน ซ่ึงช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์หรือการ
ตัดสินใจของคนสมัยก่อนมากข้ึน เป็นต้น “การต้ังคาถาม” เป็นอีกวิธีที่ควรนามาใช้สอน และควรเชื่อมโยงให้
เห็นว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่เร่ืองไกลตัว ควรสอนเรื่องท่ีใกล้ตัวเก่ียวข้องกับวิถีชีวิตมากขึ้น เช่น เร่ืองความ
เป็นอยู่ การเพาะปลูก สิ่งแวดล้อม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น การเปล่ียนแปลงจากสังคมชนบทเป็นสังคม
เมือง ปรากฏการณ์ทางการเมือง การเกิดข้ึนของ SME สภาพสังคมท่ีเกิดจากสื่อต่าง ๆ เช่น เกม ภาพยนตร์
อินเทอร์เน็ต ฯลฯ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจ และสามารถนาบทเรียนในอดีต มาปรับใช้ในอนาคต การสอน
ประวัติศาสตร์แบบเดิมจะได้พลเมืองที่เช่ือง แต่ถ้าปรับการสอนแบบใหม่ เน้นให้คิดวิเคราะห์ จะได้พลเมืองท่ี
คดิ เป็น มีคณุ ภาพมากขน้ึ
3.4) วา่ ทเ่ี รือตรีธนวรรณ์ สวุ รรณปาล เริ่มต้นด้วยการต้ังคาถามเพ่ือเปิดประเด็นโดยมีการเชื่อมโยงกับ
การศึกษาวิจัยท่ีวา่ ...จากงานวิจยั พบประเด็นทน่ี า่ สนใจเรื่อง ตาราเรียน ในประเด็นของความถูกต้อง ต้องมีการ
ทบทวนว่าเป็นความถูกต้องของใคร ใครจะเป็นคนกาหนดว่าส่ิงใดถูกต้อง ส่ิงใดใช่หรือไม่ใช่ และเน้ือหาใดควร
ถูกระบุไว้ในตาราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงเน้ือหาของประเด็นการสนทนาในวันนี้ ท่ีต้องกลับมาทบทวน
ว่า ความมั่นคงนัน้ หมายถึงความมั่นคงของใคร รวมถึงการให้ข้อคิดเห็นว่า หากประวัติศาสตร์มีการขัดแย้งกัน
เกิดความขัดแย้งระหว่างชาติและท้องถิ่น หลักฐานมีการขัดแย้งกันจะทาอย่างไร นอกจากนี้ กล่าวถึง
ประวัติศาสตร์ในแง่ของการเปลี่ยนแปลง ซ่ึงเม่ือลองพิจารณาทบทวนแล้วน้ัน การเปลี่ยนแปลงเกิดจากความ
ขัดแย้ง ถ้าไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ไม่นาไปสู่ความเปล่ียนแปลง ความขัดแย้งถือเป็นสิ่งท่ีดี นาไปสู่การต้ัง
คาถามและเปล่ียนแปลงส่ิงท่ีเกิดข้ึนในสังคม ซึ่งการมองประวัติศาสตร์ในลักษณะน้ี เรียกว่า การมอง
ประวัตศิ าสตร์แบบวิภาษวธิ ี
การทาความเข้าใจประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มีหลายรูปแบบ เช่น ประวัติศาสตร์สนใจความ
เปล่ยี นแปลง โดยเฉพาะทมี่ คี วามหมายต่อปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ปริศนาตัดต่อ ความรู้ประวัติศาสตร์เพ่ือ
หาบทเรียน หรือความรู้ประวัติศาสตร์เพ่ืออธิบายว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ดังน้ัน ประวัติศาสตร์ท่ีพึง
ปรารถนา ควรเป็นการเรียนรู้เพื่อยกระดับศักยภาพความคิดอย่างน้อยในสองมิติควบคู่กัน คือ ความสัมพันธ์
ของหลักฐานและข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพ่ืออธิบายการเปล่ียนแปลงทางสังคมและเห็นข้อเท็จจริงและปัจจัยต่าง ๆ
ในบรบิ ทการเปล่ียนแปลง เชื่อมโยงไปสู่เร่ืองของอานาจและใครจะเป็นคนกาหนดชุดความคิดหลัก นอกจากนี้
หัวใจสาคญั คอื การทาความเข้าใจถึงหลักฐานและเชื่อมโยงกับความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น เมื่อมองผ่านบริบท
ท่ีเปล่ียนแปลงไปเราจะมองอย่างไร ซ่ึงแน่นอนว่าเราไม่สามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ท้ังหมด เรารู้ส่วนหน่ึง
ของอดีต รู้เพียงส่วนหนง่ึ ของการเปล่ียนแปลง และความรู้เหล่านั้นได้กลายเป็นอุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์ท่ี
กาหนดพฤติกรรม การกระทา กิจกรรม เทศกาล กิจวัตรประจาวัน ย่ิงไปกว่าน้ัน ความรู้ส่วนใหญ่ท่ีถ่ายทอดใน
73
สถานศึกษา เป็นความรู้ท่ีเป็นทางการ และเป็นการเมืองความรู้ ชุดของความรู้ ครูหลายคนจึงพยายามจะหา
วิธีการถ่ายทอดความรู้ แต่ในชั้นเรียนไม่ถูกทาให้เกิดพ้ืนท่ีของการยื้อแย่งช่วงชิง การรักษาอานาจของกลุ่มคน
ช้นั หลงั ไว้ ทั้งในรูปแบบของเนอื้ หา หลักสตู ร การเรียนการสอน การประเมินการเรียนการสอน ซ่ึงคือการรักษา
อานาจครอบงาของกลุ่มและชนชั้นหลักไว้
สาหรบั การสอนและผสู้ อน ในแง่ความหมายของการสอน การสอนหมายถึง การถ่ายทอด การอบรมขัด
เกลา การสนับสนนุ ใหผ้ เู้ รยี นเรียนรู้ การสร้างการเปล่ยี นแปลงทัง้ ระดับบคุ คลและสังคม การสนับสนุนให้ผู้เรียน
ค้นพบตัวเอง ทั้งนี้ ครูผู้สอนจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องทบทวนกับตัวเองว่า กระทาการอยู่บนความเชื่ออะไร
พ้ืนฐานทางปรัชญาอะไร ให้น้าหนักกับอะไร เช่น ถ้าให้ความสาคัญกับผู้เรียน ห้องเรียนก็จะเทน้าหนักไปท่ี
ผู้เรียน ซึ่งการเรียนการสอนต้ังอยู่บนปรัชญาพื้นฐาน ได้แก่ สารัตถนิยม นิรันตรนิยม พิพัฒนาการนิยม ปฏิรูป
นิยม อัตถิภาวนิยม ครูผู้สอนเองมองออกหรือไม่ ว่าเราตั้งอยู่บนความเชื่อแบบไหน ส่ิงที่เราทาสอดคล้องไป
ด้วยกันหรือไม่ นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์เป็นส่วนหน่ึงของวิชาสังคมศึกษา และวิชาสังคมศึกษามีหัวใจสาคัญ
คอื การสรา้ งพลเมอื ง ดังนน้ั เราควรตระหนกั เปน็ อยา่ งยิ่งว่า เรากาลังสร้างพลเมืองแบบไหนขึ้นในช้ันเรียนของ
เรา ผูเ้ รยี นของเราตัง้ คาถามหรอื ไม่
ยกตวั อย่างการเรยี นการสอนในวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่ การสอนผ่านเน้ือหาประวัติศาสตร์ การสอน
ผ่านประเด็นทางสังคม historical thinking, historical empathy และ reasoning process รวมถึงทักษะ
ทางประวัติศาสตร์ที่ครูควรสอน ได้แก่ ทักษะการหาแหล่งท่ีมา ทักษะการทาความเข้าใจในบริบท ทักษะการ
ยืนยันหลักฐาน และทักษะการอ่านอย่างละเอียดเพื่อตีความ ตัวอย่างการสอนในรูปแบบบรรยาย มีกลยุทธ์ใน
การสอน ดังน้ี close reading, create representation, critique reasoning, debate, debriefing,
discussion groups, fishbowl, graphic organizer, guided discussion, jigsaw, look for a pattern,
making connection, match claims and evidence, questioning a source, quickwrite, self/peer
revision, socratic seminar กล่าวโดยสรปุ คอื การสอนวชิ าประวตั ิศาสตรค์ วรมงุ่ เน้นให้ผู้เรียนต้ังคาถาม เกิด
การคดิ วเิ คราะหจ์ ากหลกั ฐาน ทาใหผ้ เู้ รยี นสามารถเชอ่ื มโยงกับสิง่ ท่อี ยใู่ กลต้ ัวผูเ้ รียน ชีวิตประจาวัน นาไปสู่การ
อภปิ รายและสรุปการเรียนรู้ร่วมกัน
3.5) นายภาคนิ นิมมานนรวงศ์ สรุปใจความสาคัญ ดังน้ี
ปัญหาของเราทุกคน ตลอดมาที่เราสอน เราไม่เคยสอนให้ตั้งคาถาม ประวัติศาสตร์มีวิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ท่ีดี สอนอย่างไร เรียนไปทาไม เม่ือก่อนสอนประวัติศาสตร์บนฐานความเช่ือ
ต้องออกแบบการสอนใหม่ เลิกวางการสอนประวัติศาสตร์ด้วยการสอนให้เช่ือ แต่ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
สอนให้สามารถต้ังคาถาม สอนให้คิดวิเคราะห์หาหลักฐานก่อน แล้ววิเคราะห์ตีความต่อ หาหลักฐานเมื่อเรา
สงสัย สอนให้คนมุ่งหาความจริง แต่ต้องอยู่บนพ้ืนฐานของการรับฟัง เน่ืองจากเร่ือง ๆ เดียวกันมุมมองของแต่
ละคนขน้ึ อยกู่ บั ประสบการณ์
ควรใช้ประวัติศาสตร์ในฐานะเครื่องมือในการคิดวิเคราะห์หาความจริง ผ่านการใช้คาถาม 5 ข้อ ได้แก่
(1) ต้องร้เู รอ่ื งอะไร จะรเู้ ร่อื งนีต้ อ้ งรอู้ ะไรบา้ ง (2) จะรู้ได้จากทไ่ี หน มีหลักฐานอะไรบ้าง หาได้จากที่ไหน (3) จะ
ร้ไู ดอ้ ยา่ งไร วธิ กี ารเรยี นรู้ เชน่ อ่าน วิเคราะห์ พูดคยุ ถกเถยี ง รบั ฟงั ฯลฯ (4) ตอ้ งรู้เมื่อไหร่ ลาดับของการสอน
รู้ตอนนี้หรอื รู้ตอนหน้า เน้นสร้างความสงสัย (5) ตอ้ งรเู้ พราะเหตุใด
ตัวอย่างการจัดการเรียนการสอนการออกแบบตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ เช่น ก่อนการจัดการเรียน
การสอน ครูควรตั้งคาถามกับสิ่งท่ีทาว่าทาไมส่วนกลางถึงต้องการให้ครูเรื่องนั้น ถ้าเราตั้งคาถาม จงตั้งคาถาม
กับส่งิ ทีท่ าอยู่ แล้วจะค้นพบความสาคญั วธิ กี าร การเปล่ยี นแนวคดิ ใหม่ในการจัดการเรียนการสอน เช่น ชุมชน
ในอินเทอร์เน็ต เช่น inskru ก่อการครู ครูปล่อยของ (เพ่ือนพลเรือน) จะได้เทคนิคที่เราสอน ได้ไอเดีย
74
หลากหลาย รวมถึงในบางเรือ่ งทมี่ ีความขัดแย้ง เด็กต้องแสดงให้เห็นทักษะสมรรถนะ การวิเคราะห์ สาระ ด้วย
การแสดงความคิดเห็น ผ่านการตัง้ คาถามท่มี ากพอ การหาหลักฐาน ซ่งึ จะเปน็ การสอนให้เคา้ คิดเปน็
4) สรปุ การอภปิ ราย/ข้อเสนอแนะของผเู้ ข้ารว่ มการประชุม
4.1) ดร.เฉลิมชัย พนั ธเ์ุ ลศิ สาหรับวิธีคิดในการจัดทาหลักสูตร คอื continue อะไรที่ควรดาเนินการต่อ
cut/correct ตัด ลดทอน ปรับให้ดีมากข้ึนหรือทันสมัยมากข้ึน Create สร้างสรรค์เพ่ิมขึ้นในแง่ความรู้ ทักษะ
เจตคติ ซง่ึ หลายประเทศนาประวตั ศิ าสตรบ์ าดแผลมาเป็นบทเรียน ไม่กลับไปทาซ้าเช่นเดิม ท้ังนี้ หลักสูตรของ
ประเทศไทยได้แก่ หลักสูตรระดับชาติ (แกนกลาง) หลักสูตรระดับท้องถิ่น (จังหวัด เขตภูมิศาสตร์ ชาติพันธ์ุ
วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา อาชีพ ฯลฯ) จาเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของกลุ่มคน นาไปสู่การจัดทาหลักสูตร
สถานศึกษา (การทางาน การดาเนินชีวติ ฯลฯ)
4.2) ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาหรับข้อเสนอที่จะปรับเปล่ียนการเรียนการสอนวิชา
ประวัติศาสตร์ให้เท่าทันยุคใหม่นั้น กระทรวงศึกษาธิการควรมีการตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคลท่ีมี
ความเช่ียวชาญในด้านตา่ ง ๆ เช่น ด้านประวัติศาสตร์ ด้านการสอน ด้านการประเมินผล ฯลฯ ดาเนินการปรับ
หลกั สตู ร ตาราเรียน แนวทางการจัดการเรียนการสอนอย่างจรงิ จัง มแี ผนแมบ่ ท และดาเนนิ การอย่างต่อเนื่อง
4.4) ว่าที่เรือตรีธนวรรณ์ สุวรรณปาล เร่ือง สมรรถนะ ต้องสามารถพัฒนาผู้เรียนให้ครบทุกด้าน
สาหรับวิธีการท่ีสอนให้ผู้เรียนต้ังคาถาม คิดวิเคราะห์ เหมาะสาหรับการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียน เหนือส่ิง
อ่ืนใดครูผู้สอนไม่ควรยึดติดเทคนิค ควรตั้งคาถามให้ลึกถึงสิ่งต้องการให้ผู้เรียนเกิดขึ้น การเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นของ
ผู้เรียน รวมถึงจานวนช่ัวโมงในการสอนน้อย หน่วยกิตน้อย ส่งผลให้มีเวลาที่ไม่เพียงพอสาหรับการพัฒนา
ผ้เู รยี น ผสู้ อนเองตอ้ งเปน็ บคุ คลแห่งการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน ส่งเสริมให้มี community ของครูผู้สอนเพื่อช่วย
ครูผสู้ อน ปัญหาการสอนตามแบบเรียนของครูผู้สอน ซ่ึงตัวแบบเรียนเองกาหนดตายตัว เป็นการสอนสิ่งตามลู่
ดงั นัน้ ควรมีการทบทวนเร่อื งแบบเรยี น ตาราเรยี น สดุ ทา้ ย ประวตั ิศาสตร์ต้องสอนวิธคี ิดและสอนให้คนคิดได้
5) ขอ้ เสนอเชิงนโยบายทไ่ี ดจ้ ากการประชมุ
5.1) ดร.เฉลิมชัย พันธ์เุ ลิศ ใหข้ ้อเสนอเชิงนโยบายไว้ ดงั นี้
(๑) การทางานในเชิงโครงสร้าง โดยเชื่อมโยงประสานการทางานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มุ่งเน้น
การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
(2) ภาครัฐควรส่งเสริมสนับสนุนหรือออกแบบระบบให้เกิดประสิทธิภาพการรวมกลุ่มของครู
(collective teacher Efficiency) ตลอดจนความต่อเนือ่ งในการพัฒนาศักยภาพครู ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญในการ
ส่งเสริมการเรยี นรู้และสง่ เสริมคณุ ภาพการเรยี นการสอนไดด้ ที ี่สดุ
(3) ภาครัฐควรจัดทาระบบคลังข้อมูลท่ีเก่ียวกับครู (web portal connect) เป็นศูนย์กลางใน
การเชื่อมโยงครูเข้าด้วยกัน (Online community) เพื่อให้ครูได้ร่วมถ่ายทอด แลกเปล่ียนความรู้ความคิดเห็น
เตมิ เต็มแนวทางการจัดการเรยี นการสอน โดยมคี ณาจารย์/ผทู้ รงคุณวุฒิชว่ ยตรวจสอบอนุมัตขิ อ้ มูล
5.2) รศ.ดร.ปรีดี พิศภมู วิ ถิ ี ให้ข้อเสนอเชิงนโยบายไว้ ดังน้ี
(1) ควรจะต้องต้ังคาถามใหม่ว่า “การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาข้ัน
พ้ืนฐานมีการเรียงลาดับเนื้อหาถูกต้องแล้วหรือไม่ และจะต้องปรับปรุงเน้ือหาการเรียนการสอนหรือไม่
อยา่ งไร”
(2) สกศ. ต้องเน้นย้าว่าการสร้างบุคลากรทางการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้เพิ่ม
มากข้ึน มีความจาเป็นและสาคัญต่อการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ และการเรียนวิชา
ประวัติศาสตร์ในระดับอุดมศึกษามีความจาเป็นมากพอ ๆ กับระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จึงควรส่งเสริมการ
เรียนการสอนวิชาประวตั ิศาสตร์ในระดบั อดุ มศกึ ษาด้วย
(3) ควรลดปริมาณภาระงานทีไ่ มจ่ าเป็นของครู
75
(4) ควรกระจายความเท่าเทียมทางการศึกษา ด้วยการสร้างส่ือทางการศึกษา / บทเรียน ท่ี
สามารถเขา้ ถงึ ผ้เู รยี น ผู้สอน ไดอ้ ยา่ งเท่าเทยี ม
(5) ควรมกี ารสร้างบทเรียนเฉพาะกจิ ทางประวตั ศิ าสตร์ จากเหตุการณ์ท่ีมีความสาคัญและจาเป็น
โดยจดั ทาเปน็ สรรพวิทยาทีบ่ รู ณาการหลากหลายศาสตร์เขา้ ดว้ ยกนั
5.3) นายภาคนิ นมิ มานนรวงศ์ ใหข้ ้อเสนอเชงิ นโยบายไว้ ดงั น้ี
(1) จัดทาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท่ีเน้นหลักฐาน การคิดวิเคราะห์หาเหตุผล อาจอิงกับคาถาม
หลัก 5 ขอ้ ขา้ งต้น
(2) ปรบั เปล่ียนวธิ ีการวัดผล เน้นหลักฐานและคิดวเิ คราะหห์ าเหตุผล
(3) ร่วมมือกับองค์กรท่ีผลักดันเรื่องการศึกษาที่ขับเคลื่อนโดยครูหรือภาคประชาชน ให้ทุน
สนบั สนุน ดงึ เขา้ มามีสว่ นรว่ มในการจัดทาสื่อ การเรยี นการสอน ฯลฯ.
76
การประชุมสนทนากลุ่มยอ่ ย (Focus Group)
ระหว่างวนั ที่ 7 – 8 สงิ หาคม 2564
(รปู แบบออนไลน์)
สนทนากลมุ่ ยอ่ ย (Focus Group) “ครูผสู้ อน”
วนั ที่ 7 สงิ หาคม พ.ศ. 2564
77
สนทนากลุ่มยอ่ ย (Focus Group) “ผเู้ รยี น”
วนั ท่ี 8 สงิ หาคม พ.ศ. 2564
78
การประชุมมหกรรมการศึกษาไทย
หัวขอ้ ข้อเสนอการจัดการเรยี นการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์
ระดับการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน: ความเขา้ ใจ ความเชื่อ หรือ ความม่นั คง
วันท่ี 27 กันยายน 2564
(รปู แบบออนไลน์)
79
80
คณะผู้จดั ทา การศกึ ษาวจิ ัยเร่ือง
สภาพการจดั การเรยี นการสอนวิชาประวตั ศิ าสตร์
ระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
ทีป่ รึกษา เลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา
ดร. อานาจ วิชยานวุ ตั ิ รองเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา
ดร. อุษณยี ์ ธโนศวรรย์ รองเลขาธกิ ารสภาการศึกษา
ดร. พรี ศกั ด์ิ รัตนะ ผชู้ ว่ ยเลขาธกิ ารสภาการศึกษา
ดร. คมกฤช จันทร์ขจร ผู้อานวยการสานักมาตรฐานการศกึ ษาและพัฒนาการเรยี นรู้
นายสาเนา เน้อื ทอง
ผู้ทรงคุณวฒุ ิ ท่ีปรึกษางานวิจยั ผู้เช่ียวชาญด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม
ศาสตราจารย์พเิ ศษ ธงทอง จันทรางศุ เรอื่ งราวประวัตศิ าสตร์ทางราชสานกั และพระราชพิธี
ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการวิจยั เชิงปรมิ าณ
ดร. วเิ ชยี ร เกตสุ งิ ห์ ผเู้ ชย่ี วชาญด้านหลักสูตรประวัติศาสตร์
ดร. เฉลมิ ชยั พนั ธ์เลศิ สถาบนั สังคมศึกษา สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน (สพฐ.)
ผทู้ รงคณุ วุฒิ ให้ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ คดิ เหน็ (In-depth)
ดร. เฉลมิ ชยั พันธ์เลศิ ผู้เชย่ี วชาญด้านหลกั สตู รประวัติศาสตร์
สถาบนั สังคมศึกษา สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน (สพฐ.)
ผศ.ดร. พพิ ัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจาสาขาวิชาประวตั ศิ าสตร์ คณะศลิ ปะศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
อาจารย์ปิง เจรญิ ศิริวฒั น์ (อาจารยป์ ิง ดาวอ้ งก์) เจ้าของสถาบนั กวดวชิ าดาว้องก์
ครูผสู้ อน ใหข้ อ้ เสนอแนะ ขอ้ คิดเห็น (สมั ภาษณท์ างโทรศัพท์และผา่ นแบบแสดงความคิดเหน็ )
นายกา้ วกรณ์ สขุ เสงย่ี มกลุ ครผู ู้สอนวิชาสังคมศึกษา ประวตั ิศาสตร์
นายฉัตรพงศ์ ปิ่นป่ัน ครูผ้สู อนวชิ าสงั คมศึกษา ประวตั ิศาสตร์
นายณัฐพนธ์ โสใหญ่ ครูผู้สอนวิชาสงั คมศึกษา ประวตั ิศาสตร์
นายนวพรรษ ศภุ วรางกูล ครูผูส้ อนวิชาสงั คมศึกษา ประวัตศิ าสตร์
นายนวพล เสนยี ์วงศ์ ณ อยุธยา ครผู ู้สอนวชิ าสังคมศกึ ษา ประวัติศาสตร์
ครูผสู้ อน ผู้เขา้ ร่วมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) วนั ท่ี 7 สงิ หาคม พ.ศ. 2564
นางศศธิ ร คกู่ ระสงั ข์ โรงเรียนเทศบาล 4 (วดั มหาธาตุวรวิหาร)
นางสาวเกณิกา บรบิ รู ณ์ โรงเรียนสตรศี รีสุรโิ ยทยั
นายสิปปกร จันทร์แกว้ โรงเรยี นเพลินพฒั นา
81
นายปยิ ะ บริสทุ ธ์เิ พช็ ร์ โรงเรียนเบญจมราชานสุ รณ์
นายปรัชญา นาสมภกั ดิ์ โรงเรียนเบญจมราชานสุ รณ์
นางทัศนยี ์ นามโคตร โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์
นายสาวชยานันท์ หาวชิ า โรงเรียนสตรีชัยภูมิ
นายจกั รกฤษ์ ตอ่ พนั ธ์ุ โรงเรยี นหนองบัวแดงวทิ ยา
นางชุติมา แก้วหลา้ โรงเรยี นทุ่งเสลย่ี มชนปู ถมั ภ์
นายฉดุ ดนี สันง๊ะ โรงเรียนสตูลวทิ ยา
ว่าทีเรือตรีธนวรรธน์ สุวรรณปาล โรงเรยี นราชดาริ
นายภาคิน นมิ มานนรวงศ์ โรงเรยี นกาเนิดวทิ ย์
นายทุติพงศ์ รกั จรรยาบรรณ โรงเรยี นสุจปิ ุลิ
นายวรวชั ร วงศส์ ธุ า วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาอุบลราชธานี
ผู้เรยี น ผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนากล่มุ ย่อย วันท่ี 8 สิงหาคม พ.ศ. 2564
ระดบั ประถมศึกษา
เดก็ ชายกฤตภาส จนั ทรล์ ะออ โรงเรยี นราชวินิต
เด็กชายธนบูลย์ อัสโย โรงเรยี นเซนตค์ าเบรยี ล
เด็กชายชลธี โชตจิ ิรภาส โรงเรียนเซนตค์ าเบรียล
เด็กหญงิ กฤตยา ผดุงเดชสริ ิ โรงเรยี นโสมาภาพฒั นา
เดก็ หญงิ ชดาษา ชนิ วฒั นโชติ โรงเรยี นสาธติ พัฒนา
ระดบั มธั ยมศกึ ษา โรงเรยี นเทพศริ ินทร์
นายณชพล จึงสาราญ โรงเรียนหาดใหญร่ ฐั ประชาสรรค์
นางสาวธนดั ดา แก้วสุขศรี โรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
นางสาวพทิ ยาภรณ์ พทุ ธสินธุ์ โรงเรียนทวธี าภิเศก
นางสาววรรษมน งามสอาด โรงเรียนกาญจนาภิเษกวทิ ยาลยั ชยั ภูมิ
นายสิรภัทร์ เหลา่ อุตร์ โรงเรยี นเจริญวทิ ยานุสรณ์
นายอานิส ลมี ะ โรงเรยี นเตรียมอดุ มศึกษา
นายนนท์นที จิตรรังสรรค์ โรงเรยี นราชดาริ
นายวสุ ธรี าโชติทรงชัย โรงเรยี นกาเนดิ วทิ ย์
นายเสฏฐนันท์ ทรวงบูรณกลุ โรงเรียนกาเนดิ วิทย์
นายสขุ ปวฒั น์ เมืองสมบตั ิ โรงเรยี นระดับมธั ยมศึกษา จงั หวัดนนทบุรี
นางสาวแพรวพลอย ศรีพรมั วรรณ โรงเรยี นศรีวชิ ัยวิทยา
เด็กชายนครินทร์ บุญนาค
82
คณะทางานศกึ ษาวิจัย สานกั มาตรฐานการศกึ ษาและพัฒนาการเรยี นรู้
นางสาวกรกมล จงึ สาราญ นกั วชิ าการศึกษาชานาญการพิเศษ
นางสาวทศั น์วลยั เนยี มบุบผา นักวชิ าการศกึ ษาชานาญการพเิ ศษ
นายชัชวาล อัชฌากุล นติ ิกรชานาญการ
นางสาวอบุ ล ตรีรตั น์วชิ ชา นกั วชิ าการศึกษาปฏบิ ตั ิการ
นางสาวนรู ยี า วาจิ นักวิชาการศึกษาปฏิบัตกิ าร
นางสาวสิริกานต์ แก้วคงทอง นักวิชาการศึกษาปฏบิ ตั กิ าร
นางสาวสุชาดา กลางสอน นกั วชิ าการศึกษาปฏิบตั ิการ
นางสาวภควดี เกิดบณั ฑิต นักวชิ าการศึกษาปฏิบัตกิ าร
นายศัพทสร ทองดี นักวชิ าการศกึ ษาปฏบิ ตั กิ าร
นางสาวบญุ นภัส ขาหนิ ตง้ั นกั วชิ าการศึกษาปฏบิ ัตกิ าร
นางสาวสริ วิ มิ ล เวทสรากลุ นักจัดการงานท่ัวไปปฏบิ ัตกิ าร
หนว่ ยงานผูร้ บั ผิดชอบ
สานักมาตรฐานการศกึ ษาและพฒั นาการเรยี นรู้
สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
โทร. 02-668-7123 โทรสาร 02-243-1123
83
สำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
99/20 ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 รวบรวมเอกสารวิชาการ
โทรศัพท์ 0-2668-7123 ต่อ 2513, 2522 สำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ (สมร.)
โทรสาร 0-2243-1128
เว็บไซต์ http://www.onec.go.th