๕๖
เน้ือหา
(๒) ชุดความรสู้ ิทธิมนษุ ยชน
ชุดความรูส้ ทิ ธมิ นุษยชน ประกอบด้วย (๑) การส่งเสรมิ สิทธแิ ละเสรีภาพ (๒) การพิทักษส์ ิทธิ
และเสรีภาพ (๓) การสง่ เสรมิ การระงับข้อพิพาท (๔) การทรมาน (๕) การปฏิบัติท่ีไรม้ นุษยธรรม ยา่ ยีศกั ดิ์ศรี
(๖) การกระท่าใหบ้ คุ คลสูญหาย (๗) การทรมาน หรอื เทคนิคการสอบสวน
การสง่ เสรมิ สทิ ธิและเสรภี าพ
ดร.อภริ ัชศกั ด์ิ รชั นวี งศ์
สิทธิ คือ อ่านาจทางกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองกับบุคคลซ่ึงก่อให้เกิดหน้าท่ีท่ีต้องปฏิบัติให้เป็นไป
ตามประมวลกฎหมาย มีการรับรอง คุ้มครอง และต้องไม่เป็นการรบกวนสิทธิหรือหน้าท่ีอันสมควรเป็นไปตาม
สิทธิท่ีตนเองพึงได้รับ เป็นความชอบธรรมที่บุคคลสามารถใช้กับผู้อื่นเพื่อคุ้มครองและรักษาประโยชน์
อนั สมควรได้๑
เสรีภาพ คือ การท่ีบุคคลสามารถมีอิสระในการท่าส่ิงต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สามารถที่จะกระท่า
หรือไม่กระท่าก็ได้ ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง มีอ่านาจในการก่าหนดส่ิงท่ีตนเองต้องการ แต่ทั้งนี้
ต้องไม่สรา้ งความเดอื ดรอ้ นให้กับผู้อ่ืนด้วยเช่นเดยี วกนั ๑
ความแตกต่างระหว่างสิทธิกับเสรีภาพ “สิทธิ” เป็นอ่านาจท่ีบุคคลพึงมีเพื่อเรียกร้องให้คนอื่น
กระท่าหรือละเว้นการกระท่าส่ิงใดสิ่งหนึ่ง สิทธิจึงเป็นเหมือนอ่านาจอันถูกต้องที่ใช้ระหว่างตนเองกับผู้อื่น
ปราศจากการครอบง่าหรือแทรกแซงใดๆ ท้ังส้ิน ส่วนเสรีภาพน้ันจริงๆ แล้วจะไม่ก่อให้เกิดหน้าท่ีต่อบุคคลอ่ืน
อาทิ เสรีภาพต่อการนับถือศาสนา ซ่ึงทุกคนมีเสรีภาพมากพอในการเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรือไม่
นบั ถือศาสนาก็ได้ ซ่ึงเราจะเห็นว่าเสรีภาพในกรณีดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดหน้าท่ีต่อบุคคลใดๆ ท้ังส้ิน แต่ถ้าหาก
เป็นสิทธิในเสรีภาพย่อมมีความหมายว่า บุคคลนั้นมีสิทธิในการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญท่ีมีการรับรองใน
ความหมายดังกล่าว ก่อให้เกิดความผูกพันกับบุคคลอ่ืน กล่าวโดยสรุปคือ บุคคลมีหน้าท่ีต้องไม่ละเมิดการใช้
เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของบุคคลอ่ืนๆ ส่วน “สิทธิเสรีภาพ” เป็นค่าที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีด้วย
ความท่ีประเทศไทยของเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เหนือสิ่งอื่นใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิหรือ
เสรีภาพสิง่ ส่าคญั ก็คือทุกคนตอ้ งอยูภ่ ายใต้กฎระเบียบและรัฐธรรมนูญที่ได้ร่างเอาไว้ ที่ส่าคัญต้องไม่สร้างความ
เดือดร้อนใหก้ ับผอู้ ืน่ ทัง้ ทางตรงและทางอ้อม ไม่อย่างน้ันการใช้สิทธิเสรีภาพแบบนี้ย่อมไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน
เปน็ การเลือกใชต้ ามความเหมาะสมและความจ่าเปน็ ในสถานการณต์ า่ งๆ
สทิ ธแิ ละเสรีภาพในทีน่ เ้ี ปน็ สทิ ธิและเสรภี าพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี ๒๕๖๐๒
ดังนี้
๕๗
รัฐธรรมนูญกับศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์: สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมของคนหมู่มาก มีความ
แตกต่างกัน ท้ังเพศ วัย ฐานะ การศึกษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง แต่ท่ีอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
เพราะต่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซ่ึงกันและกันไม่มีใครมีความเป็นคนมากกว่าคนอื่น จึงไม่มีใครท่ีจะมี
สิทธิไปดูหมิ่นเหยียดหยามกันหรือกระท่าต่อกันเสมือนมิใช่มนุษย์ให้รู้สึกด้อยคุณค่า หรือขาดความมั่นใจใน
ตนเอง รัฐธรรมนูญได้ให้ความส่าคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 4 ว่า “ศักด์ิศรีความ
เป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับ
ความคุ้มครองตามรัฐธรรมนญู เสมอกัน”
สิทธิและเสรีภาพของประชาชน: หลักการประชาธิปไตยที่ส่าคัญประการหนึ่ง คือ หลักสิทธิและ
เสรีภาพ รัฐธรรมนูญของเราจึงมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยไว้เพื่อเป็น
หลักประกันว่ารัฐจะรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน, สิทธิ หมายถึง ประโยชน์ท่ีกฎหมาย
รับรองและให้ความคุ้มครองป้องกัน เช่น สิทธิในชีวิตและร่างกาย มิให้ใครมาท่า ร้ายทุบตีเรา หรือสิทธิใน
ทรัพย์สิน หากมีใครมารุกล่้า หรือเอาทรัพย์สินของเราไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็จะถือว่าละเมิดสิทธิ ท่าผิด
กฎหมาย สา่ หรับเสรีภาพนั้น หมายถึง ความเป็นอิสระของคนเราท่ีจะท่า หรือไม่ท่าอะไรก็ได้ การใช้เสรีภาพ
ตอ้ งอยใู่ นขอบเขต เชน่ เรามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ก็ต้องไม่พูดให้ร้ายคนอ่ืน หรือมีเสรีภาพในการ
ประกอบอาชพี แตไ่ ปคา้ ยาเสพติดกถ็ ือว่าทา่ ผดิ กฎหมาย
ความเสมอภาค: คนเราอาจจะมีความไม่เท่าเทียมกันในหลายๆ ด้าน ท้ังฐานะทางเศรษฐกิจ ความ
เหลือ่ มลา่้ ทางสังคม การศกึ ษา แต่สิ่งหน่ึงทีท่ กุ คนมเี หมือนกนั คือ มีความเป็นคนเสมอกัน หลักการส่าคัญของ
การปกครองระบอบประชาธิปไตย คือ หลักความเสมอภาค ซึ่งไม่ได้หมายถึงทุกคนจะต้องได้รับทุกอย่างเท่าๆ
กัน แต่เป็นความเสมอภาคในโอกาสที่ทุกคนจะได้รับเพ่ือให้สามารถเข้าถึงการใช้สิทธิและเสรีภาพ
ได้เช่นเดยี วกันกับผู้อ่นื ตวั อย่างในต่า บลแห่งหน่ึงมี 10 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านมั่งมีศรีสุขแล้ว 9 หมู่บ้าน อีก 1
หมู่บ้าน ผคู้ นยังยากจนขน้ แคน้ ขาดแคลนแหล่งน้่า ถนนหนทางไม่สะดวก ถ้าเราจะจัดสรรงบประมาณพัฒนา
หมู่บ้านท้ัง 10 หมู่น้ีเราจะจัดสรรอย่างไร? ต่ถ้าใช้หลักความเสมอภาค โดยช่วยเหลือหมู่บ้านท่ียากจนเป็น
พิเศษ คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านนั้นก็จะดีขึ้น อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันกับหมู่บ้าน
อน่ื ๆ
การหา้ มเลอื กปฏิบัติโดยไมเ่ ปน็ ธรรม: สงั คมประชาธิปไตยให้คุณค่ากับศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ และ
ความเสมอภาคของบุคคล แต่ความเป็นจริงยังมีการให้คุณค่ากับคนในสังคมแตกต่างกัน เกิดการเลือกท่ีรัก
มักที่ชงั ลา่ เอยี งเข้าข้างพวกเดียวกันกลุ่มเดียวกัน และกีดกันรังเกียจหรือดูถูกคนบางกลุ่มที่ด้อยกว่าหรือไม่ใช่
พวกตน มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนเหล่านั้น ตัวอย่าง การบุกรุกป่าสงวนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ถ้าคนหนึ่งบุกรุกเข้าไปท่ากินถูกจับ แต่อีกคนหนึ่งบุกรุกตัดถนน เดินสายไฟฟ้าเข้าไปสร้างบ้านในเขตป่าสงวน
แล้วไมถ่ ูกจบั คนที่ถกู จบั ก็ย่อมรูส้ ึกวา่ ตนไมไ่ ด้รบั ความเปน็ ธรรมถูกเลือกปฏิบัติ รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติห้ามมิให้
มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมไว้ในมาตรา 27 วรรค 3 ว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล
ไม่ว่าด้วยความแตกต่างด้านถ่ินก่า เนิด เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ
๕๘
สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเช่ือทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็น
ทางการเมืองอนั ไมข่ ัดต่อบทบัญญตั แิ ห่งรฐั ธรรมนูญ หรือเหตอุ น่ื ใด จะกระท่า มิได้”
การเลือกปฏิบัติท่ีเป็นธรรมหรือเป็นคุณต่อผู้ด้อยโอกาส: รัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามมิให้มีการเลือก
ปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลในเรื่องต่างๆ ไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนในสังคมใช่ว่าจะมีขีดความสามารถ
เท่าเทียมกนั ในทุกเร่อื ง ถ้าเราปล่อยใหท้ กุ คนดน้ิ รน แข่งขนั กนั เพอื่ เข้าถึงทรัพยากรจากรัฐ คนท่ีเสียเปรียบก็จะ
ย่ิงเสียเปรียบ คนที่ได้เปรียบก็จะได้เปรียบมากขึ้น ช่องว่างความเหล่ือมล่้าของคนในสังคมก็จะยิ่งห่างมากข้ึน
รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติให้รัฐสามารถก่าหนดมาตรการพิเศษต่างๆ เพ่ือช่วยให้ผู้ท่ีเสียเปรียบในสังคมได้มีโอกาส
เช่นเดียวกับคนอ่ืนๆ โดยไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ดังนั้น การท่ีหน่วยงานต่างๆ มีห้องน่้า
เฉพาะส่าหรบั ผสู้ งู อายุหรอื คนท้อง ทจ่ี อดรถส่า หรับคนพิการ มีเงินช่วยเหลือค่ายังชีพคนพิการ ผู้สูงอายุที่ไม่มี
รายไดเ้ พียงพอและคนยากจน หรือแม้แต่ล่ามภาษามือส่าหรับคนหูหนวกในรายการโทรทัศน์ จึงเป็นมาตรการ
ท่ีรฐั ทา่ เพื่อสง่ เสรมิ ให้ผู้ทีด่ ้อยโอกาสให้สามารถใช้สทิ ธิเสรีภาพได้เช่นเดยี วกบั คนอน่ื
ประชาชนที่โดนละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมได้รับการเยียวยา: รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิ
และเสรีภาพ เพื่อเป็นหลักประกันว่ารัฐจะรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่การละเมิดสิทธิ
เสรีภาพก็ยังมีอยู่ โดยท่ีบางคร้ังผู้ได้รับความเสียหายเดือดร้อน ไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะ
ไมท่ ราบวา่ เป็นความผดิ ของใคร หรือไม่สามารถน่าตัวผู้กระท่าความผิดมาลงโทษได้ รวมถึงบางคนต้องตกเป็น
แพะ ต้องติดคุกติดตะราง ท้ังท่ีไม่ได้กระท่าความผิด รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติไว้ในมาตรา 25 ให้บุคคลซ่ึงถูก
ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ สามารถยกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีใน
ศาลได้ รวมท้ังผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือการกระท่าความผิดทางอาญา
ของบุคคลอนื่ มสี ทิ ธิทจี่ ะได้รบั การเยยี วยาหรอื ความช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ
สทิ ธิในชีวิตและร่างกาย: ชวี ิตและเนื้อตัวร่างกายของใคร ใครก็ย่อมรักและหวงแหน รัฐธรรมนูญให้
ความส่าคัญกับสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล โดยห้ามมิให้มีการทรมาน ทารุณกรรม หรือ
ลงโทษด้วยวธิ กี ารโหดรา้ ยหรือไร้มนษุ ยธรรม การจบั กุมคุมขังจะท่า ได้ต้องมคี า่ สง่ั หรือหมายศาล หรือมีเหตุอ่ืน
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่น เป็นการกระท่าความผิดซ่ึงหน้า หรือมีความพยายามกระท่าความผิด มีอาวุธ
ท่ีอาจใช้กระท่าความผิดหรือท่าผิดแล้วก่าลังจะหลบหนี นอกจากนั้น ในการค้นตัวบุคคลหรือกระท่าการใด
อันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกายในเร่ืองอื่นๆ เช่น การบุกเข้าไปตรวจค้นในบ้าน
โดยอ้างว่าเข้าไปค้นหายาเสพติดหรือหาตัวคนร้าย หรือการต้ังด่านตรวจแล้วยึดกุญแจรถไว้ ก็ไม่สามารถ
กระท่า ไดโ้ ดยพลการ เว้นแตม่ ีเหตุตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ
สิทธิได้รับบริการสาธารณสุข: ปัญหาสุขภาพอนามัยเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย และการ
รักษาพยาบาลเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย โดยเฉพาะผู้ยากไร้ในสังคมที่ขาดโอกาสได้รับบริการสาธารณสุข
ท่ีมีคุณภาพและได้มาตรฐาน รัฐธรรมนูญได้ให้ความส่า คัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม โดย
บัญญัติไว้ในมาตรา 47 ให้ประชาชนมีสิทธิท่ีจะได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ และยังก่าหนดให้บุคคล
ผู้ยากไร้มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขของรัฐฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามท่ีกฎหมายบัญญัติ นอกจาก
๕๙
ประชาชนจะมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขแล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 55 ยังก่า หนดให้รัฐมีหน้าที่ต้อง
ด่าเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างท่ัวถึง โดยรัฐต้องพัฒนาบริ การ
สาธารณสขุ ให้มคี ณุ ภาพและมมี าตรฐานสงู อย่างต่อเน่ืองดว้ ย
สิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร: ประชาธิปไตยให้ความส่าคัญกับประชาชนผู้เป็น
เจ้าของอ่านาจอธิปไตย แต่เป็นการยากที่ประชาชนทุกคนจะมาตัดสินใจร่วมกันได้ทุกเรื่องในการปกครอง
บริหารประเทศ การออกกฎหมายมาบังคับใช้ รวมถึงการตัดสินคดีเมื่อมีกรณีพิพาท ประชาชนจึงมอบหมาย
ตวั แทนให้มาใชอ้ ่านาจรัฐแทนตนมหี ลายเร่ืองทตี่ ัวแทนกระท่า โดยพลการ โดยปกปิดความจริงไม่ให้ประชาชน
รู้ สังคมประชาธิปไตยจงึ ก่า หนดหลักการว่า “รัฐรู้อะไร ประชาชนต้องรู้อย่างนั้น” รัฐธรรมนูญของเราบัญญัติ
ให้บคุ คลและชมุ ชน มีสิทธไิ ดร้ ับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของ
รัฐ และก่าหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐท่ีจะต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในความครอบครองของรัฐ
ท่ีมิใช่ข้อมูลเก่ียวกับความม่ันคงของรัฐหรือเป็นความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งต้อง
จดั ใหป้ ระชาชน สามารถเขา้ ถึงข้อมลู หรอื ข่าวสารดงั กล่าวได้โดยสะดวก
สิทธิในการร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐ: รัฐมีหน้าท่ีต่อประชาชนหลายอย่าง ทั้งการปกป้อง
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การจัดหาบริการสาธารณะและให้บริการอ่านวยความสะดวกต่างๆ
แกป่ ระชาชน รฐั จงึ เป็นท่ีพึ่งบ่า บัดทุกข์บ่ารุงสุขของประชาชนด้วย แต่ก็มีหลายกรณี เมื่อประชาชนถูกละเมิด
สิทธิหรือได้รับความเสียหายเดือดร้อนไปร้องเรียนร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐ มีการพิจารณาท่ีล่าช้าหรือ
ไมไ่ ด้รบั ความเปน็ ธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีหรือหน่วยงานของรัฐเสียเอง รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติ
ไว้ในมาตรา 41 ให้บุคคลและชุมชนมีสิทธิเสนอเร่ืองราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐและได้รับแจ้งผลการ
พิจารณาโดยรวดเรว็ ทั้งยงั ใหส้ ิทธิในการฟ้องหน่วยงานของรัฐใหร้ บั ผดิ เนื่องจากการกระท่าหรือการละเว้นการ
กระท่าของขา้ ราชการ พนกั งาน หรือลกู จา้ งของหนว่ ยงานของรัฐอีกด้วย
เสรีภาพในการชุมนุม: การชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมหรือการชุมนุมทางการเมือง ถือเป็นเรื่อง
ปกติธรรมดาท่ีเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยท่ีประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก อีกทั้ง
การชมุ นุมยังเปน็ ช่องทางแสวงหาความเป็นธรรมนอกเหนือจากการขอความเปน็ ธรรมจากกลไกอ่นื ท่ีเรยี กร้อง
แล้วยังไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความล่าช้าในการแก้ปัญหา รัฐธรรมนูญของเรามีบทบัญญัติรับรอง
เสรีภาพในการชุมนุมไว้ โดยการชุมนุมต้องเป็นไปด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ โดยไม่ฝ่าฝืนกฎหมายท่ี
เกย่ี วกบั ความมนั่ คงของรฐั ความปลอดภัยของสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี และไม่กระทบ
ตอ่ สิทธแิ ละเสรภี าพของคนอื่น
เสรีภาพในการถือศาสนา: สังคมไทยเราประกอบด้วยคนหมู่มากท่ีมีความแตกต่างหลากหลายท้ัง
เพศ วัย ฐานะ การศึกษา ความคิดเห็นทางการเมือง รวมท้ังมีการนับถือศาสนาท่ีแตกต่างกัน รัฐธรรมนูญได้
บัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนา
ของแต่ละคน แต่เพ่ือให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และยอมรับความแตกต่างหลากหลายใน
การนับถือศาสนาตามความเช่ือของแต่ละคน โดยไม่มีความขัดแย้งอันเน่ืองจากความเช่ือทางศาสนา
รัฐธรรมนูญจึงก่าหนดขอบเขตไว้ว่าการใช้เสรีภาพจะนับถือศาสนาใด ปฏิบัติศาสนกิจอย่างไร มีพิธีกรรมทาง
๖๐
ศาสนาอย่างไร ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และ
ไมข่ ัดต่อความสงบเรยี บร้อยหรอื ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน
สิทธิของผู้บริโภค: ก่อนหน้าน้ี หากเราไปซ้ือสินค้าหรือบริการแล้วถูกเอารัดเอาเปรียบ เช่น สินค้า
ไม่มีคุณภาพ ไม่ติดป้ายราคา โฆษณาเกินความจริง หรือขายของเกินกว่าราคาที่ก่าหนด วิธีการแก้ปัญหาคือ
เอาของไปคืน หรอื เอาไปเปล่ียน ซงึ่ หลายครั้งที่ผู้ขายสินค้าไม่ยอมรับคืนสินค้านั้น แม้ว่าจะมีการร้องเรียนไปท่ี
หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ดูแลคุ้มครองผู้บริโภคแต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ รัฐธรรมนูญ จึงก่าหนดให้เป็น
สิทธขิ องผู้บริโภคทจ่ี ะได้รับความคุ้มครองมิให้ต้องถูกละเมิด และยังให้ประชาชนมีสิทธิรวมตัวกันจัดตั้งองค์กร
ผู้บริโภคข้ึน เพ่ือคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของตนเอง โดยองค์กรผู้บริโภคดังกล่าว สามารถรวมกันจัดต้ังเป็น
องคก์ รทีม่ ีความเป็นอิสระ และจะได้รับการสนบั สนุนจากรฐั ในดา้ นต่างๆ รวมทั้งทางดา้ นการเงนิ เพื่อสนับสนุน
การด่าเนินการ
สิทธิของผู้สูงอายุ: สังคมปัจจุบันก่าลังก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุ ผู้สูงวัยแต่ละคนล้วนผ่าน
ประสบการณท์ า่ คุณประโยชนใ์ หส้ ังคมมาชา้ นาน จนถึงวันที่ต้องเขา้ สู่วัยชราภาพ รัฐธรรมนูญจึงได้บัญญัติไว้ว่า
บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ รวมท้ังผู้ท่ียากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับความ
ช่วยเหลือท่ีเหมาะสมจากรัฐตามท่ีกฎหมายบัญญัติ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าผู้สูงอายุทุกคนจะขอใช้สิทธิรับความ
ช่วยเหลือ ยังมีผู้สูงอายุที่มีรายได้เพียงพอต่อการด่ารงชีวิต มีลูกหลานดูแลอบอุ่นใกล้ชิดอยู่เป็นจ่านวนมาก
ท่ไี ม่ประสงค์รับความช่วยเหลือ เพ่ือให้รัฐมีงบประมาณไปช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป จึงเป็นตัวอย่างของการกระท่า
ที่น่าช่นื ชมยกยอ่ ง
ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน: รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และความเสมอ
ภาคของบุคคลไว้ในหลายมาตรา รวมทั้งมาตรา 27 ที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งว่า “บุคคลย่อมเสมอกันใน
กฎหมาย มสี ิทธิและเสรีภาพ และไดร้ บั ความคมุ้ ครองตามกฎหมายเทา่ เทียมกัน” แตก่ ็ยงั ต้องบัญญัติไว้ในวรรค
สองอีกว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” ท่านผู้ฟังบางท่านอาจแปลกใจว่า ค่าว่า “บุคคล” น้ันหมายถึง
คนทุกคน รวมทั้งชายและหญิงอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องระบุเน้นย้่า ไปอีกครั้งว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียม
กัน” ท่ีเป็นเช่นน้ีเพราะค่านิยมในสังคม ซึ่งแม้แต่ระเบียบกฎหมายยังให้คุณค่าของเพศชายมากกว่าหญิง
ท่า ให้ที่ผ่านมาผู้หญิงถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมหลายประการ เช่น ถูกจ่ากัดกีดกันในการเข้าท่างาน
ไม่ได้รับการแต่งต้ังให้ก้าวหน้าในหน้าท่ีการงาน นอกจากนี้การอบรมเล้ียงดูของบางครอบครัวในสังคมไทย
ยังให้คุณค่ากับลูกชายมากกว่าลูกสาว บทบัญญัติในกฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอท่ีจะท่า ให้บุคคลมีศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์และความเสมอภาคเท่าเทียมกันได้ ความรู้ความเข้าใจกับคนในสังคมจึงมีความส่าคัญแล ะ
จา่ เปน็ ดงั นั้น การระบุคา่ วา่ ชายและหญิงมสี ทิ ธิเท่าเทยี มกัน จงึ เป็นการสรา้ งความตระหนกั เพม่ิ ขน้ึ
หน้าท่ีพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย: รัฐธรรมนูญจึงเปรียบได้ด่ังเสาหลัก เป็นกลไกในการจัด
ระเบียบก่าหนดโครงสร้าง อ่านาจรัฐ และสร้างความเข้มแข็งแก่การปกครองเพื่อพัฒนาและแก้ไขวิกฤติของ
ประเทศ รวมถึงการรับรอง ป้องกัน คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของ
บุคคล ดังนั้น ในฐานะปวงชนชาวไทยซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากจะประพฤติ
ปฏิบัติตนให้เป็นพลเมืองตามวิถีประชาธิปไตย กล่าวคือ 1) เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 2) เคารพสิทธิ
๖๑
เสรีภาพ และกฎ กตกิ าของสงั คม และ 3) รบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง ผู้อื่น สังคม และประเทศชาติแล้ว รัฐธรรมนูญ
ไดก้ ่าหนดใหป้ วงชนชาวไทยมีหน้าที่อีก 10 ประการ ที่คนไทยทุกคนต้องยึดถือและปฏิบัติตามบทบัญญัติของ
รัฐธรรมนูญ
หน้าทีข่ องปวงชนชาวไทยตามรฐั ธรรมนูญ: รฐั ธรรมนูญยังบัญญัติให้คนไทยมีหน้าท่ีท่ีต้องยึดถือและ
ปฏบิ ัติอีก 10 ประการดว้ ยจิตส่านกึ รับผดิ ชอบ ไดแ้ ก่
1. พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ
2. ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ รวมตลอดท้ังสาธารณสมบัติของ
แผ่นดิน และให้ความร่วมมอื ในการบรรเทาสาธารณภัย
3. ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยค่า นึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็น
สา่ คญั
4. ร่วมมอื และสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลาย
ทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวฒั นธรรม
5. ไม่รว่ มมอื หรอื สนับสนุนการทจุ รติ และประพฤตมิ ิชอบทกุ รปู แบบ
๖. เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอ่ืน และไม่กระท่าการใดท่ีอาจก่อให้เกิดความ
แตกแยกหรือเกลยี ดชงั ในสังคม
๗. ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายอยา่ งเคร่งครัด
๘. เขา้ รับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบงั คับ
๙. รบั ราชการทหารตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ
๑๐. เสยี ภาษอี ากรตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ
หนา้ ท่ีปวงชนชาวไทยต้องพิทักษ์ รักษาสถาบันหลักของชาติ: ปวงชนชาวไทย จึงมีหน้าท่ีรักษาชาติให้
มีเสถยี รภาพ มีเอกภาพ รกั ษาศาสนาดว้ ยการปฏิบัติตามหลกั ธรรม ค่าสอน รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์และ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการรักษาเทิดทูนสถาบันและองค์
พระมหากษตั รยิ ไ์ ว้ดว้ ยชีวติ ใชส้ ทิ ธิเลือกตั้งโดยสจุ รติ เลือกคนดมี าปกครองบ้านเมือง พทิ ักษร์ กั ษาสถาบนั หลัก
ทัง้ 3 น้ี จะนา่ มาสคู่ วามม่นั คงแหง่ ชาตแิ ละความสงบเรียบร้อยของสงั คม
หนา้ ทปี่ วงชนชาวไทยตอ้ งรักษาผลประโยชนช์ าติ: หนา้ ทข่ี องปวงชนชาวไทย นอกจากจะต้องพิทักษ์
รักษาสถาบนั ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ คนไทยทกุ คนตอ้ งป้องกันประเทศ มใิ ห้ใคร ผู้ใดมาท่าร้าย หรือ
ท่าลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการท่าลายจากสถานการณ์การเมืองจากระบบเศรษฐกิจ หรือจากปัญหาสังคม
คนไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องร่วมกัน เสียสละท่างานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แก้ไขปัญหาของสังคมของ
ประเทศชาติด้วยการร่วมแสดงความคิดเห็น ในส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน ร่วมคัดค้าน
ตรวจสอบ หากมคี วามไม่ถูกต้องเกดิ ขึ้นในสังคม รว่ มส่งเสรมิ สนบั สนุนแนวทางด่า เนินงานของรัฐที่มีประโยชน์
ตอ่ สงั คม รว่ มเสนอแนะและร่วมดา่ เนินการเพื่อให้ปัญหาของสังคมได้รับการแก้ไข จึงถือเป็นหน้าที่ของปวงชน
๖๒
ชาวไทยทุกคน ท่ีจะต้องมีจิตสาธารณะในการป้องกัน พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และ
สาธารณสมบัติของแผน่ ดนิ ใหอ้ ย่คู คู่ นไทยตลอดไป
หนา้ ที่ของปวงชนชาวไทยต้องปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย: ทุกคนต้องยึดถอื และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
น่ันคือ การปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะกล่าวถึงเร่ืองดังกล่าวไว้อย่างกว้างๆ แต่ความหมายน้ัน
ครอบคลุมถึงกฎหมายทุกประเภทที่ออกมาบังคับใช้ให้ทุกคน ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม เช่น การให้ทุกคนต้อง
เคารพสัญญาณไฟจราจร เม่ือขบั ขีร่ ถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกกันน็อค เมื่อขับรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันและลดอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน การห้ามท้ิงขยะในท่ีสาธารณะ เพื่อให้บ้านเมือง
สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนั้น รัฐจึงมีหน้าที่ก่ากับดูแลให้คนภายในรัฐมีการปฏิบัติตามและบังคับใช้
กฎหมายอย่างเคร่งครดั
หนา้ ท่ีของปวงชนชาวไทยต้องเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ: การศึกษาถือเป็นรากฐานของการพัฒนา
คนในประเทศ หากคนมีความรู้ มีการศกึ ษา ย่อมไม่เป็นภาระของสงั คม ย่อมเข้ามามสี ่วนร่วมเปน็ กา่ ลังส่าคัญ
ในการพัฒนาประเทศชาติ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติให้รัฐมีหน้าที่ต่อประชาชนด้วยการจัดให้เด็กเล็กได้รับ
การดูแลและพัฒนากอ่ นเข้ารบั การศกึ ษาชัน้ อนุบาล และต้องจดั ใหเ้ ด็กทกุ คนได้รับการศึกษาเปน็ เวลา 12 ปี
อย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และเมื่อจบการศึกษาภาคบังคับ รัฐต้องด่าเนินการให้ประชาชนทุกคน
ได้รับการศึกษาตามความต้องการ ความชอบความถนัด โดยอาจตั้งกองทุนเพ่ือลดความเหล่ือมล้่าทางการ
ศึกษา และให้เด็กทุกคนมีโอกาสในการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น ในฐานะคนไทยทุกคนที่มีบุตรหลาน
วัยเยาว์ มีหน้าที่ต้องน่าบุตรหลานเข้ารับการศึกษาในการศึกษาภาคบังคับ ตั้งแต่ก่อนวัยเรียน (อายุ 3 ปี
บริบูรณ์) จนจบการศึกษาภาคบังคบั (ม.3) เปน็ อย่างน้อย
หน้าที่ของปวงชนชาวไทยต้องรับราชการทหาร: การรับใช้ชาติ โดยการรับราชการทหาร ถือเป็น
หน้าทสี่ า่ คัญและมีเกียรติที่ชายไทยทุกคนได้รับในการท่า หน้าท่ีเป็นร้ัวของชาติ ท่าหน้าท่ีพิทักษ์รักษาเอกราช
และความมั่นคง ป้องกันประเทศเม่ือเกิดภัยสงคราม และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในชาติ เพ่ือให้
ประชาชนได้อยู่อย่างมีความสุข กินอ่ิม นอนหลับอย่างไม่ต้องหวั่นเกรงอันตรายใด ๆ ชายไทยที่ผ่านการฝึก
แบบทหารจะเป็นผู้มีความเสียสละ มีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา มีน่้าใจเป็นนักกีฬา มีความสามัคคี
และถูกฝึกให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยปกติสุข ดังน้ัน ชายท่ีมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปี มีหน้าท่ีต้องไปลงบัญชี
ทหารกองเกิน เมื่ออายุ 21 ปี ต้องไปรับการตรวจเลือกรับราชการทหาร หรือท่ีเรียกว่าการเกณฑ์ทหาร
แต่หากยังผู้ท่ีอยู่ในวัยเรียนก็สามารถขอผ่อนผันได้จนกว่าจะส่า เร็จการศึกษา หรือสามารถสมัครเข้าเป็น
นักศกึ ษาวิชาทหารเพ่อื เป็นกองกา่ ลังส่ารองส่าหรับเตรียมพร้อมรบั ใช้ชาติไดอ้ ีกทาง
หนา้ ท่ขี องปวงชนชาวไทยต้องเคารพสิทธิซ่ึงกันและกัน: การท่า ให้สังคมไทยมีความสงบสุขและเกิด
สันตสิ ขุ ได้ คนไทยทกุ คนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองตามวิถีประชาธิปไตย ยึดหลักประชาธิปไตยในการ
ดา่ รงชีวติ ปฏบิ ัติตามกฎหมายและด่ารงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม รู้และเข้าใจถึงสิทธิและหน้าท่ีท่ีตนเองพึงมี
ด้วยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระท่าการใดท่ีอาจก่อให้เกิดความ
แตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม การตระหนักในสิทธิซ่ึงกันและกัน ไม่กระท่าการใดท่ีเป็นการละเมิดสิทธิของ
ผู้อื่น จะท่าให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคีเกิดสังคมช่วยเหลือเก้ือกูล ใช้สติปัญญาในการ
๖๓
แก้ไขปัญหาด้วยเหตุและผลอันจะน่าไปสู่การบริหารจัดการวิกฤติการณ์ของประเทศที่มีประสิทธิภาพ และ
ท่าให้สังคมไทยได้รบั การพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแทจ้ รงิ
หน้าท่ีของปวงชนชาวไทยต้องไปเลือกต้ัง: ประชาชนชาวไทยที่มีอายุ 18 ปีข้ึนไป มีหน้าท่ีต้องไปใช้
สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยค่า นึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นส่าคัญ เพราะการ
ปกครองท่ีเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพ่ือประชาชน โดยการยึดเสียงข้างมาก แต่ก็เคารพสิทธิ
เสรีภาพของเสียงขา้ งน้อยเปน็ ทีม่ าของการเลือกผูแ้ ทนประชาชนไปท่าหนา้ ที่ท้ังฝ่ายนติ ิบัญญัติ และฝา่ ยบริหาร
การเลือกต้ัง ถือเป็นกิจกรรมที่จ่า เป็นอย่างยิ่งในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เปน็ ประมุข เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงเจตนารมย์และสทิ ธขิ องตน ในการเลอื กผู้แทนท่ีดมี คี ุณภาพ
ไดใ้ ช้สทิ ธขิ องตน และเป็นการเปดิ โอกาสให้เกดิ การมสี ่วนรว่ มของประชาชนในทางการเมืองอีกประการหนึง่
หน้าที่ของปวงชนชาวไทยกับการรักษาสิ่งแวดล้อม: หลายคร้ังท่ีการด่า เนินโครงการต่างๆ ของรัฐ
สง่ ผลกระทบตอ่ การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพส่ิงแวดล้อม จนน่ามาสู่ความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับ
รัฐ รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาได้ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ บ่ารุงรักษา และการใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2560 ได้ก่าหนดให้เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยในการร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และ
คุ้มครองส่ิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม ดังนั้น
โ ค ร ง ก า ร ห รื อ กิ จ ก ร ร ม ข อ ง รั ฐ ท่ี อ า จ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ชุ ม ช น อ ย่ า ง รุ น แ ร ง ท้ั ง ด้ า น สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม
ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จึงเป็นหน้าท่ีของประชาชนชาวไทยทุกคนที่จะต้องมีส่วนร่วมในการจัดการ
เพอ่ื ประโยชนส์ งู สุดและคุณภาพชีวิตที่ดีของทกุ คนในสังคม
หน้าที่ของปวงชนชาวไทยต้องเสียภาษี: ภาษี คือเงินที่เรียกเก็บจากประชาชน เพ่ือน่า มาใช้ในการ
พฒั นาประเทศ สามารถแบ่งเปน็ ภาษีทางตรง ทเี่ รียกเก็บจากประชาชนที่มีรายได้จากการประกอบอาชีพ และ
ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีท่ีเรียกเก็บจากประชาชนเมื่อซื้อสินค้าและบริการต่างๆ หรือที่เรียกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษเี หล่านี้ล้วนน่ามาเป็นเงินงบประมาณในการพัฒนาประเทศ ภาครัฐจ่าเป็นต้องน่าภาษีที่ได้ไปใช้ประโยชน์
เพ่ือการน่าไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ส่งเสริมอาชีพ รายได้ ดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนทุกคนภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรี คนชรา ผู้สูงอายุ คนไทยทุกคนจึงต้องเสียภาษีอากร
ตามที่กฎหมายบัญญัติด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือรัฐ พลเมืองดีจึงไม่ควรที่จะหลบเลี่ยงภาษี เพราะ
เงินภาษรี ัฐนา่ ไปพฒั นาประเทศและยอ้ นกลับมาเป็นประโยชนต์ ่อทุกคนเช่นกัน
หน้าท่ีของปวงชนชาวไทยต้องป้องกันการทุจริต: เมื่อกล่าวถึงการทุจริต การคอร์รัปชัน หรือการ
ฉ้อราษฎร์บังหลวงล้วนเป็นการประพฤติมิชอบท่ีไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะเหตุการณ์เหล่าน้ี
เป็นส่ิงซึ่งแสดงถึงการไม่ซื่อสัตย์สุจริต การท่าความชั่วโดยเจตนา ซ่ึงการกระท่าดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อ
สังคมและประเทศชาตใิ ห้เกดิ ความเสยี หาย รฐั ธรรมนูญจงึ วางกลไกป้องกัน ตรวจสอบและขจัดการทุจรติ และ
ประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด เด็ดขาด เพื่อไม่ให้ผู้บริหารท่ีปราศจากคุณธรรมจริยธรรม และธรรมาภิบาลที่มี
อ่านาจในการปกครองบ้านเมืองได้ใช้อ่านาจตามอ่าเภอใจ จึงก่าหนดมาตรการป้องกัน ตลอดจนกลไกต่างๆ
เพ่ือให้การบริหารและพฒั นาเกดิ ความมัน่ คง ม่ังคง่ั และย่ังยืนปราศจากการทจุ ริต
๖๔
หนา้ ทขี่ องรัฐตอ่ ปวงชนชาวไทย: สทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชนนน้ั เปน็ หลักสา่ คญั ของหลักสิทธิ
มนุษยชน และหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง
สิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคนภายในรัฐเป็นหลกั ประกนั ว่าคนทกุ คนภายในรฐั จะได้รับการปกป้อง คุ้มครอง
ดแู ลสิทธิ เสรีภาพ อย่างเสมอภาคเทา่ เทียมกนั รฐั จงึ ต้องมีหนา้ ที่ดแู ลและจัดให้ประชาชนมีสทิ ธิเสรีภาพในด้าน
ต่างๆ เช่น สิทธิด้านการศึกษา รัฐจึงต้องจัดการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี อย่างมีคุณภาพและไม่เรียกเก็บ
ค่าใช้จ่าย สิทธิด้านสาธารณสุข รัฐต้องจัดบริการสาธารณสุขท่ีมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน สิทธิด้านชุมชน
รัฐต้องส่งเสริมภูมิปัญหาท้องถิ่น และบริหารจัดการให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล
และยั่งยืน โดยประชาชนและชมุ ชนมสี ว่ นรว่ มดว้ ยการก่าหนดให้รฐั มหี นา้ ที่ตอ่ ประชาชน ก็เฉกเช่นเดียวกับการ
ก่าหนดให้ประชาชนมีหน้าที่ต่อรัฐ จึงเป็นการก่า หนดหน้าท่ีของท้ัง 2 ฝ่าย เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการ
พัฒนาประเทศชาติร่วมกัน ัฐนอกจากจะมีหน้าท่ีพื้นฐานในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ และมี
หน้าที่ในการส่งเสริมให้ประชาชนได้รับสิทธิด้านต่างๆ แล้ว รัฐยังมีหน้าที่จัดบริการสาธารณะ เพื่อรองรับสิทธิ
และเสรภี าพของประชาชน โดยจะต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงโดยสะดวก จัดให้มี
องค์กรท่มี ีอิสระดูแลคล่นื ความถี่ และรกั ษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ
และประชาชน ให้การค้มุ ครองและพิทักษ์สทิ ธิของผูบ้ ริโภค รกั ษาวินัยการเงินการคลัง และจัดระบบภาษีให้
เกิดความเป็นธรรม เพื่อให้ฐานะทางการเงินของรัฐมีเสถียรภาพ และหน้าท่ีท่ีส่าคัญที่สุดคือ รัฐต้องส่งเสริม
สนับสนุน ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริต ประพฤติมิชอบ และจัดให้มีมาตรการ กลไก
ป้องกัน และขจัดการทุจริตอย่างเข้มงวด ท้ังหมดนี้ก็เพ่ือความอยู่เย็นเป็นสุขของทุกคนในชาติ ประชาชนและ
ชุมชนมีสิทธิท่ีจะติดตามและเร่งรัด รวมถึงฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ เพ่ือประชาชนหรือชุมชนได้รับบริการ
ตามท่รี ัฐมหี น้าท่ีจดั ทา่ ให้
แนวนโยบายแห่งรัฐ คือ แนวทางท่ีก่า หนดให้รัฐต้องออกกฎหมายและก่าหนดนโยบายในการ
บริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศชาติอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงก่า หนดให้รัฐต้องจัดท่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพ่ือเป็นกรอบในการ
จัดท่าแผนพัฒนาประเทศโดยการจัดท่าแผนงานต่างๆ จะต้องมีความสอดคล้อง มีการบูรณาการการท่างาน
ร่วมกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือและเกิดเป็นพลังในการผลักดันร่วมกันไป ในอันท่ีจะน่า พาประเทศไปสู่
เปา้ หมายการพฒั นาชาติใหเ้ จรญิ รุ่งเรืองอย่างย่ังยืนในระยาวด้วยหลักธรรมาภิบาล แนวนโยบายแห่งรัฐ จึงถูก
สร้างขึ้นเพื่อเป็นกลไกควบคุมทางการเมืองผูกพันต่อการด่า เนินงานของหน่วยงานของรัฐท้ังหลาย ซ่ึงรวมถึง
รัฐสภา ศาล อัยการ และองค์กรอิสระ และผูกพันกับการจัดท่า งบประมาณรายจ่ายประจ่าปีของหน่วยงาน
ต่างๆ ต้องสอดคล้องกับแผนแม่บท และน่ามาสู่กระบวนการติดตามตรวจสอบการด่าเนินงานตามยุทธศาสตร์
ชาตดิ ว้ ย
สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญนั้น จ่าแนกออกได้ 3
ประเภท คือ (1) สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล (2) สิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ และ (3) สิทธิและ
เสรีภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมือง สิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากจะได้รับการคุ้มครอง
โดยรัฐธรรมนูญแล้ว ในความเป็นประชาคมโลกที่มีความแตกต่างกันตามอัตลักษณ์ของแต่ประเทศ จึงมี
๖๕
วิถีปฏิบัติต่อประชาชนของตนแตกต่างกัน และเพ่ือให้มนุษย์ได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพ้ืนฐาน
เหมือนกัน จึงได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับที่ประเทศภาคีสมาชิกยึดถือปฏิบัติ เช่น ปฏิญญาสากล
ว่าด้วยสทิ ธมิ นษุ ยชน หากพบวา่ ประเทศภาคีสมาชิกใดละเมดิ หรอื ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ย่อมได้รับการลงโทษ
ตอบโต้ หรือน่ามาตรการทางเศรษฐกิจมากา่ หนดด้านความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศได้๓
ประเภทของสิทธิเสรีภาพมี 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ๔ (๑) สิทธิเสรีภาพการแพ่งและทางการเมือง ที่
ส่าคัญจริง ๆ คือสิทธิทางการเมือง ความเสมอภาค สิทธิท่ีจะไม่ถูกทรมานหรือได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย
สิทธิท่ีจะได้รับความเช่ือมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและร่างกายสิทธิท่ีจะมีความเป็นตัวของตัวเองคือ ไม่ถูก
สอดแทรกในชีวิตส่วนตัวจะเห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิทธิเก่ียวกับตัวเราท่ีจะไม่ถูกกระท่าในทางที่ท่าร้ายที่
ไร้มนุษยธรรมในทางที่สอดแทรกชีวิตส่วนตัว (๒) สิทธิเศรษฐกิจและสังคม ในยุคแรก ๆ จะเน้นในเร่ืองการ
ยอมรับในความเป็นมนุษย์ ความมีศักดิ์ศรีและความเป็นตัวของตัวเอง แต่ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจและสังคม
พัฒนามากขึ้น ซับซ้อนมากข้ึน กลายเป็นภารกิจของรัฐ ไม่ได้เป็นเฉพาะสิทธิในชีวิตและร่างกายเท่านั้น
ข้อจ่ากัดและขอบเขตแห่งสิทธิและเสรีภาพ สิทธิและเสรีภาพจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับ
ปรัชญาหรือลัทธิการปกครองของสังคม และการบังคับใช้ การบังคับการให้เกิดการยอมรับในสิทธินั้น ๆ
เพียงใด บางรัฐแม้จะเขียนรัฐธรรมนูญเอาไว้ก่าเนิดสิทธิและเสรีภาพอย่างกว้างขวางในทางปฏิบัติแล้ว
มีขอ้ จา่ กดั ต่าง ๆ มากมาย ทั้งในแง่ของกฎหมายที่ใช้อยู่ในความเป็นจริง ท้ังในแง่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของ
รัฐในทุกระดับ และอาจจะท่าให้สิทธิและเสรีภาพที่จ่าเป็นเพียงแค่ตัวอักษรท่ีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ
ลักษณะของสิทธิและเสรีภาพท่ีปรากฏอยู่ตามรัฐธรรมนูญของประเทศต่าง ๆ เป็นสิทธิสมบูรณ์ หมายถึง
เมอ่ื ได้มกี ารให้สทิ ธเิ สรภี าพไว้อย่างสมบูรณ์จะมีการจ่ากัดสิทธิเสรีภาพน้ันไม่ได้เป็นลักษณะที่ว่าสิทธิเสรีภาพที่
มีเงื่อนไขคืออาจจะอยู่ภายใต้ข้อจ่ากัดหรือ ข้อก่าหนดบางประการได้ สิทธิเสรีภาพที่จ่ากัดมากคือ รัฐสามารถ
พรากไปไดต้ ลอดเวลา ตราบใดท่ีรฐั นิยมยังไม่ได้ออกกฎหมายมาก็แปลว่ามีสิทธิเสรีภาพนั้นถ้าออกกฎหมายมา
เมอื่ ไรแปลว่าไม่มีสิทธเิ สรีภาพน้นั วธิ จี า่ กัดเสรีภาพ ออกเปน็ กฎหมายโดยตรง แต่ให้ดูว่ามุ่งหมายกับคนกลุ่มใด
กา่ หนดเปน็ หน้าทีใ่ ห้เคารพสิทธติ า่ ง ๆ เกิดจากความรู้สึกของเราเองว่า เราเขา้ ใจสาระหรือความส่าคัญของการ
อยู่ร่วมกันในสังคมคืออะไร เราควรจะปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อื่น หรือต่อสังคมในฐานะท่ีเป็นนามธรรม
โดยส่วนรวมอย่างไร ลักษณะการคุ้มครองมีรูปแบบดังนี้ (๑) คุ้มครองไว้เด็ดขาด จ่ากัดเสรีภาพไม่ได้
(๒) คุ้มครองโดยมีเงื่อนไขจ่ากัดได้เหมือนกัน แต่รัฐธรรมนูญก่าหนดเงื่อนไข (๓) สามารถออกกฎหมายจ่ากัด
เสรีภาพใด ๆ ก็ได้ การท่ีจะพิสูจน์ว่าสังคมไหน ประเทศใด รับรองเสรีภาพได้ดีหรือไม่เพียงใด พิจารณาจาก
(๑) รัฐธรรมนูญรับรองไว้เด็ดขาดหรือขนาดกลาง หรือภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย (๒) การบังคับใช้
กฎหมายว่าเปน็ อยา่ งไร คอื การรบั รองในทางบทบญั ญตั ิ
กระทรวงยุติธรรม กรมค้มุ ครองสทิ ธิและเสรภี าพ กองส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ มีอ่านาจหน้าที่ดังน้ี
(1) พัฒนาระบบและมาตรการส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน
(2) ประสานงานและส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องท้ังภาครัฐและภาคเอกชน ท้ังในประเทศ
และต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่ความรู้และการฝึกอบรมด้านสิทธิและเสรีภาพ (3) รณรงค์และส่งเสริมให้มีการ
ปฏบิ ตั ติ ามมาตรการทางกฎหมายและพนั ธกรณีระหว่างประเทศทีเ่ กย่ี วข้องกบั การคุ้มครองสทิ ธแิ ละเสรีภาพ
๖๖
(4) สง่ เสริมและด่าเนนิ การปฏิบตั ติ ามแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชน (5) ศึกษา วิเคราะห์เพื่อพัฒนาระบบ
การส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (6) ปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือข้อบังคับ ตลอดจน
มาตรการต่างๆท่ีเก่ียวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (7) ติดตามและประเมินผลการด่าเนินงานคุ้มครอง
สิทธิและเสรีภาพ (8) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับ
มอบหมาย
การส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ ส่ิงส่าคัญคือ การเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและสิทธิเสรีภาพแก่
ประชาชน การเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการติดตามและประเมินผลการด่าเนินงาน
คมุ้ ครองสิทธแิ ละเสรีภาพ
อ้างอิง
๑ stiftung-freiheit. ๒๕๖๑. ความหมายสิทธเิ สรภี าพคอื ... เข้าถงึ ข้อมลู ได้จาก https://stiftung-freiheit.org
วนั ทสี่ บื คน้ ข้อมลู ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๒ ส่านกั งานคณะกรรมการเลือกตง้ั . ๒๕๖๐. สาระนา่ รเู้ ก่ยี วกับรัฐธรรมนูญ ชุดสทิ ธิ เสรีภาพและหน้าทข่ี อง
ปวงชนชาวไทย. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ได้จาก https://www.ect.go.th/lamphun/ewt_dl_link.php?nid=483
วันทส่ี บื ค้นข้อมลู ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๖๔.
๓ สเุ ทพ เอี่ยมคง. ม.ป.พ. สิทธแิ ละเสรภี าพของชนชาวไทย. เขา้ ถึงขอ้ มลู ไดจ้ ากสถาบันพระปกเกลา้
http://wiki.kpi.ac.th/index.php? วันที่สืบค้นขอ้ มลู ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๔ โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลัยพะเยา. ๒๕๕๑. ความหมายของเสรีภาพ. เข้าถงึ ข้อมูลไดจ้ าก http://www.
satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/pol/70.htm วนั ทีส่ บื ค้นขอ้ มูล ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๖๔.
๖๗
การพทิ กั ษ์สทิ ธแิ ละเสรีภาพ
ดร.อภริ ัชศกั ด์ิ รัชนวี งศ์
สมชั ชาใหญแ่ ห่งสหประชาชาติ๑ ประกอบด้วยสมาชิกประเทศต่างๆ ได้ลงมติรับรองและประกาศใช้
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพ่ือเป็นหลักการส่าคัญในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาคมโลก
เมื่อวันท่ี 10 ธันวาคม พ.ศ.2491 ณ กรุงปารีส ประเทศฝร่ังเศส และถึงแม้ว่าปฏิญญาฉบับน้ีจะไม่ใช่
สนธิสัญญาระหว่างประเทศแต่ก็จัดเป็นกฎหมายจารีตระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนท่ีส่าคัญที่สุด
ซ่ึงประเทศต่างๆ จ่าต้องเคารพต่อหลักการสิทธิมนุษยชนท่ีได้ตราไว้ในปฏิญญาฉบับนี้ โดยที่ปฏิญญาฉบับน้ี
ยังเป็นพ้ืนฐานส่าคัญของสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอ่ืนๆ อีกหลายฉบับ
รวมท้ังกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและกติการะหว่างประเทศว่าด้วย
สทิ ธทิ างเศรษฐกิจสงั คมและวัฒนธรรม
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน๑ ค่าปรารภด้วยเหตุที่การยอมรับศักดิ์ศรีแต่ก่าเนิด และสิทธิ
ซึ่งเสมอกันและไม่อาจโอนแก่กันได้ ของสมาชิกท้ังปวงแห่งครอบครัวมนุษยชาติอันเป็นรากฐานของเสรีภาพ
ความยุติธรรม และสันติภาพในโลก ด้วยเหตุท่ีการเมินเฉย และดูหมิ่นเหยียดหยามสิทธิมนุษยชนได้ก่อให้เกิด
การอนั ปา่ เถอื่ นโหดร้ายทารุณ ซึ่งเป็นการละเมิดมโนธรรมของมนุษยชาติอย่างร้ายแรง และโดยเหตุท่ีได้มีการ
ประกาศปณิธานอันสูงสุดโดยสามัญชน ว่าถึงวาระแห่งโลกแล้วที่มนุษย์จะมีเสรีภาพในการพูดและในความ
เช่ือถือ รวมท้ังมีเสรีภาพจากความกลัวและความต้องการ ด้วยเหตุท่ีเป็นส่ิงจ่าเป็น สิทธิมนุษยชนควรได้รับ
ความคุ้มครองโดยหลักนิติธรรม ถ้าไม่พึงประสงค์ให้มนุษย์ต้องถูกบีบบังคับให้หาทางออก โดยการกบฏต่อ
ทรราชและการกดข่ีอันเป็นที่พึ่งแห่งสุดท้าย ด้วยเหตุที่ประดาประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันไว้ใน
กฎบัตรถึงความเช่ือมั่นในสิทธิมนุษย์ชนขั้นพ้ืนฐาน ในศักด์ิศรีและคุณค่าของตัวบุคคล และในความเสมอกัน
แหง่ สิทธิของทง้ั ชายและหญงิ และได้ตดั สนิ ใจท่ีจะส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมตลอดจนมาตรฐานแห่งชาติ
ใหด้ ีข้ึนได้มีเสรีภาพมากขึ้น ด้วยเหตุท่ีรัฐสมาชิกได้ปฏิญาณที่จะให้ได้มา โดยร่วมมือกับสหประชาชาติ ซึ่งการ
ส่งเสริมการเคารพและการถือปฏิบัติโดยสากลต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพข้ันพ้ืนฐาน ด้วยเหตุท่ีความเข้าใจ
ตรงกันในเรื่องสิทธิและเสรีภาพมีความส่าคัญย่ิงเพื่อให้ปฏิญาณนี้เกิดสัมฤทธิผลอย่างเต็มเป่ียม ดังนั้น บัดน้ี
สมัชชาจึงประกาศให้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนน้ีเป็นมาตรฐานร่วมกันแห่งความส่าเร็จส่าหรับ
ประชาชนทั้งมวลและประชาชาติท้ังหลาย เพื่อจุดมุ่งหมายท่ีว่าปัจเจกบุคคลทุกคนและทุกส่วนของสังคม
โดยการค่านึงถึงปฏิญญานี้เป็นเนืองนิตย์ จะมุ่งมั่นส่งเสริมการเคารพสิทธิ และอิสรภาพเหล่านี้ ด้วยการสอน
และการศึกษา และให้มีการยอมรับและยึดถือโดยสากลอย่างมีประสิทธิผล ด้วยมาตรการอันก้าวหน้าใน
ประเทศและระหว่างประเทศ ท้ังในบรรดาประชาชนของรัฐสมาชิกด้วยกันเองและในบรรดาประชาชนของ
ดนิ แดนท่ีอยู่ใต้เขตอ่านาจแห่งรัฐน้นั
๖๘
๑. ทกุ คนเกดิ มาเท่าเทยี ม มนษุ ย์ทง้ั ปวงเกิดมามีอสิ ระและเสมอภาคกันในศักดศ์ิ รแี ละสิทธิ ต่างในตน
มีเหตผุ ลและมโนธรรม และควรปฏบิ ตั ิต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ
๒. ไม่แบง่ แยก ทุกคนยอ่ มมสี ทิ ธิและอสิ รภาพท้งั ปวงตามท่กี า่ หนดไว้ในปฏญิ ญานี้ โดยปราศจากการ
แบ่งแยกไม่ว่าชนิดใดอาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอ่ืน พ้ืนเพทาง
ชาตหิ รือสงั คม ทรัพย์สิน ก่าเนิดหรือสถานะอืน่ นอกเหนือจากนี้ จะไม่มีการแบ่งแยกใด บนพื้นฐานของสถานะ
ทางการเมือง ทางกฎหมาย หรือทางการระหว่างประเทศของประเทศหรือดินแดนท่ีบุคคลสังกัด ไม่ว่าดินแดน
น้จี ะเป็นเอกราช อยใู่ นความพทิ กั ษ์ มไิ ด้ปกครองตนเองหรอื อยู่ภายใต้การจา่ กัดอธิปไตยอ่นื ใด
๓. สทิ ธิในการมชี วี ติ ทุกคนมีสทิ ธิในการมชี วี ิต เสรีภาพ และความมัน่ คงแห่งบคุ คล
๔. ไมต่ กเปน็ ทาส บุคคลใดจะตกอยู่ในความเป็นทาสหรือสภาวะจ่ายอมไมไ่ ด้ ทงั้ น้ีห้ามความเปน็
ทาสและการคา้ ทาสทกุ รูปแบบ
๕. ไมถ่ ูกทรมาน บุคคลใดจะถูกกระท่าการทรมาน หรอื การปฏิบตั ิ หรือการลงโทษทโี่ หดร้าย
ไร้มนษุ ยธรรม หรือย่ายีศักดศ์ิ รไี ม่ได้
๖. ได้รับการคุ้มครองทางกฏมาย ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับทุกแห่งหน ว่าเป็นบุคคลตาม
กฎหมาย
๗. เท่าเทียมกันตามกฏหมาย ทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายและมีสิทธิท่ีจะได้รับความคุ้มครอง
ของกฎหมายอย่างเทา่ เทยี มกนั โดยปราศจากการเลอื กปฏิบัตใิ ด ทุกคนมีสิทธิท่ีจะได้รับความคุ้มครองเท่าเทียม
กนั จากการเลือกปฏิบัติใด อนั เป็นการลว่ งละเมิดปฏญิ ญานี้ และจากการยยุ งให้มกี ารเลือกปฏบิ ัตดิ งั กล่าว
๘. สิทธิท่ีจะได้รับการคุ้มครองตามกฏหมาย ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอันมีประสิทธิผลจาก
ศาลที่มอี า่ นาจแหง่ รฐั ต่อการกระทา่ อันล่วงละเมดิ สทิ ธิข้นั พ้ืนฐาน ซง่ึ ตนไดร้ บั ตามรฐั ธรรมนญู หรอื กฎหมาย
๙. ไม่ถูกคมุ ขงั โดยพลการ บุคคลใดจะถกู จบั กมุ กกั ขงั หรอื เนรเทศตามอ่าเภอใจไม่ได้
๑๐. ได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ทุกคนย่อมมีสิทธิในความเสมอภาคอย่างเต็มที่ในการได้รับ
การพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและเปิดเผยจากศาลที่อิสระและไม่ล่าเอียงในการพิจารณาก่าหนดสิทธิและหน้าที่
ของตนและขอ้ กล่าวหาอาญาใดตอ่ ตน
๑๑. เปน็ ผู้บรสิ ทุ ธ์จิ นกว่าศาลจะตดั สนิ
๑๑.๑ ทุกคนท่ีถูกกล่าวหาว่ากระท่าผิดทางอาญา มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า
บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมาย ในการพิจารณาคดีที่เปิดเผยซึ่งตนได้รับหลักประกัน
ที่จา่ เปน็ ท้งั ปวงส่าหรับการตอ่ ส้คู ดี
๑๑.๒ บคุ คลใดจะถูกตดั สนิ ว่ามคี วามผดิ ทางอาญาใดอนั เน่อื งจากการกระทา่ หรือละเว้นใด
อันมิได้ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายแห่งชาติหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ในขณะท่ีได้กระท่า
การน้นั ไม่ได้และจะกา่ หนดโทษหนักกวา่ ที่บังคบั ใชใ้ นขณะที่ได้กระทา่ ความผดิ ทางอาญานนั้ ไม่ได้
๑๒. สทิ ธิความเป็นสว่ นตวั บคุ คลใดจะถกู แทรกแซงตามอา่ เภอใจในความเป็นส่วนตัว ครอบครัว
ที่อยู่อาศัยหรือการส่ือสาร หรือจะถูกลบหลู่เกียรติยศ และชื่อเสียงไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิท่ีจะได้รับการคุ้มครอง
ของกฎหมายจากการแทรกแซงสิทธหิ รอื การลบหลดู่ ังกลา่ วนนั้
๖๙
๑๓. เสรีภาพในการเดนิ ทาง
๑๓.๑ ทุกคนมสี ิทธใิ นอิสรภาพแห่งการเคลื่อนยา้ ยและการอยู่อาศยั ภายในพรมแดนของ
แต่ละรฐั
๑๓.๒ ทุกคนมีสทิ ธทิ ่ีจะออกนอกประเทศใด รวมท้งั ประเทศของตนเองด้วย และสิทธิท่ีจะกลับ
สปู่ ระเทศตน
๑๔. สทิ ธทิ ่ีจะลี้ภยั
๑๔.๑ ทุกคนมีสทิ ธทิ ่จี ะแสวงหาและได้ที่ลภี้ ยั ในประเทศอนื่ จากการประหัตประหาร
๑๔.๒ สิทธินจ้ี ะยกขึน้ กลา่ วอ้างกับกรณีทก่ี ารดา่ เนนิ คดที ่เี กดิ ข้ึนโดยแท้ จากความผดิ
ทีม่ ใิ ชท่ างการเมืองหรอื จากการกระทา่ อนั ขัดต่อวตั ถปุ ระสงค์และหลักการของสหประชาชาติไม่ได้
๑๕. สทิ ธิท่จี ะมีสัญชาติ
๑๕.๑ ทกุ คนมสี ทิ ธิในสัญชาติหนึ่ง
๑๕.๒ บุคคลใดจะถูกเพกิ ถอนสัญชาตขิ องตนตามอ่าเภอใจ หรอื ถกู ปฏิเสธสทิ ธิท่ีจะเปลยี่ น
สัญชาตขิ องตนไม่ได้
๑๖. เสรภี าพในการแตง่ งาน
๑๖.๑ บรรดาชายและหญิงท่ีมีอายุครบบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิท่ีจะท่าการสมรสและก่อร่างสร้าง
ครอบครวั โดยปราศจากการจ่ากัดใด อันเน่ืองจากเช้ือชาติ สัญชาติหรือศาสนา ต่างย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันใน
การสมรส ระหวา่ งการสมรสและขาดจากการสมรส
๑๖.๒ การสมรสจะกระท่ากนั โดยความยนิ ยอมอย่างอสิ ระ และเตม็ ทข่ี องผู้ท่จี ะเป็นค่สู มรส
เท่านน้ั
๑๖.๓ ครอบครัวเป็นหนว่ ยธรรมชาตแิ ละพน้ื ฐานของสังคม และยอ่ มมสี ทิ ธทิ ่ีจะไดร้ ับความ
ค้มุ ครองจากสงั คมและรฐั
๑๗. สิทธใิ นการครอบครองทรพั ยส์ ิน
๑๗.๑ ทกุ คนมสี ทิ ธทิ จ่ี ะเปน็ เจา้ ของทรัพยส์ ินโดยตนเอง และโดยรว่ มกบั ผู้อ่นื
๑๗.๒ บคุ คลใดจะถูกเอาทรพั ยส์ นิ ไปจากตนตามอา่ เภอใจไม่ได้
๑๘. เสรภี าพในการนับถือศาสนา ทกุ คนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความคิด มโนธรรม และศาสนา ทั้งน้ี
สทิ ธินี้รวมถึงอิสรภาพในการเปล่ียนศาสนาหรือความเชื่อ และอิสรภาพในการแสดงออกทางศาสนาหรือความ
เชื่อถือ ของตนในการสอน การปฏิบัติ การสักการบูชา และการประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าจะโดยล่าพัง หรือใน
ชมุ ชนรว่ มกับผอู้ นื่ และในทสี่ าธารณะหรอื ส่วนบุคคล
๑๙. เสรีภาพในการแสดงออก ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออกรวมท้ัง
อิสรภาพในอันที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง แสวงหา รับ และส่งข้อมูลข่าวสารตลอดจน
ข้อคิดผ่านสอ่ื ใด โดยไม่คา่ นึงถงึ พรมแดน
๗๐
๒๐. เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ
๒๐.๑ ทกุ คนมสี ิทธใิ นอิสรภาพแหง่ การชุมนุม รว่ มประชมุ และการตง้ั สมาคมโดยสันติ
๒๐.๒ บุคคลใดไม่อาจถูกบงั คับใหส้ งั กัดสมาคมหน่งึ ได้
๒๑. การมสี ่วนรว่ มในการปกครองประเทศ
๒๑.๑ ทุกคนมีสทิ ธทิ จ่ี ะมีสว่ นร่วมในการปกครองประเทศตนโดยตรงหรือผ่านทางผู้แทน ซึ่งได้
เลือกต้งั โดยอิสระ
๒๑.๒ ทุกคนมสี ิทธทิ จ่ี ะเขา้ ถงึ บริการสาธารณะในประเทศตนโดยเสมอภาค
๒๑.๓ เจตจ่านงของประชาชนจะต้องเป็นพื้นฐานแห่งอ่านาจการปกครอง ท้ังน้ี เจตจ่านงนี้
จะต้องแสดงออกทาง การเลือกตั้งตามก่าหนดเวลาและอย่างแท้จริง ซ่ึงต้องเป็นการออกเสียงอย่างทั่วถึงและ
เสมอภาค และต้องเปน็ การลงคะแนนลบั หรือวธิ ีการลงคะแนนโดยอิสระในท่านองเดยี วกัน
๒๒. การได้รับการดูแลและคุ้มครองจากรัฐ ทุกคนในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมมีสิทธิใน
หลักประกันทางสังคม สิทธิในการบรรลุถึงซ่ึงสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม อันจ่าเป็นยิ่งส่าหรับ
ศักดิ์ศรีของตนและการพัฒนาบุคลิกภาพของตนอย่างอิสระ ผ่านความพยายามแห่งชาติและความร่วมมือ
ระหว่างประเทศและตามการจัดการและทรัพยากรของแตล่ ะรฐั
๒๓. สิทธใิ นการท่างาน
๒๓.๑ ทกุ คนมสี ิทธใิ นการงาน ในการเลือกงานโดยอิสระในเง่อื นไขทยี่ ุติธรรมและเอ้ืออ่านวยต่อ
การท่างาน และในการคุ้มครองต่อการว่างงาน
๒๓.๒ ทุกคนมีสิทธิท่ีจะได้รับเงินค่าจ้างท่ีเท่าเทียมกันส่าหรับงานที่เท่าเทียมกัน โดยปราศจาก
การเลอื กปฏิบตั ิใด
๒๓.๓ ทุกคนท่ีท่างานมีสิทธิท่ีจะได้รับค่าตอบแทนท่ียุติธรรม และเอ้ืออ่านวยต่อการประกัน
ความเป็นอยู่อันควรค่าแก่ศักดิ์ศรีของมนุษย์ส่าหรับตนเองและครอบครัว และหากจ่าเป็นก็จะได้รับการ
คมุ้ ครองทางสงั คมในรปู แบบอืน่ เพ่ิมเตมิ ด้วย
๒๓.๔ ทุกคนมสี ิทธิทจ่ี ะจัดตง้ั และเข้าร่วมสหภาพแรงงานเพ่ือความค้มุ ครองแห่งผลประโยชน์
ของตน
๒๔. สิทธิในการพักผ่อน ทุกคนมีสิทธิในการพักผ่อนและการผ่อนคลายยามว่าง รวมท้ังจ่ากัดเวลา
ทา่ งานตามสมควรและวันหยดุ เป็นครง้ั คราว โดยไดร้ บั ค่าจา้ ง
๒๕. คุณภาพชวี ิตที่ดี
๒๕.๑ ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพอันเพียงพอส่าหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
ของตนและครอบครัว รวมทั้ง อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัยการดูแลรักษาทางแพทย์ และบริการทางสังคม
ที่จ่าเป็น และมีสิทธิในหลักประกัน ยามว่างงาน เจ็บป่วย พิการ หม้าย วัยชรา หรือปราศจากการด่ารงชีพอ่ืน
ในสภาวะแวดล้อมนอกเหนอื การควบคมุ ของตน
๗๑
๒๕.๒ มารดาและเด็กย่อมมีสิทธิท่ีจะรับการดูแลรักษาและการช่วยเหลือเป็นพิเศษ เด็กท้ังปวง
ไม่วา่ จะเกดิ ในหรอื นอกสมรส จะต้องไดร้ บั การคมุ้ ครองทางสงั คมเช่นเดยี วกัน
๒๖. สิทธิในการศกึ ษา
๒๖.๑ ทุกคนมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะต้องให้เปล่าอย่างน้อยในชั้นประถมศึกษาและ
ข้ันพื้นฐาน การประถมศึกษาจะต้องเป็นการบังคับ การศึกษาทางเทคนิคและวิชาอาชีพจะต้องเป็นการทั่วไป
และการศึกษาระดับท่ีสูงขึ้นไปจะต้องเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคส่าหรับทุกคนบนพื้นฐานของคุณสมบัติความ
เหมาะสม
๒๖.๒ การศึกษาจะต้องมุ่งไปสู่การพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่ และการเสริมสร้าง
ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพขั้นพ้ืนฐาน การศึกษาจะต้องส่งเสริมความเข้าใจ ขันติธรรมและ
มิตรภาพระหว่างประชาชาติ กลุ่มเช้ือชาติหรือศาสนาท้ังมวล และจะต้องส่งเสริมกิจกรรมของสหประชาชาติ
เพื่อการธ่ารงไว้ซ่งึ สันติภาพ
๒๖.๓ ผู้ปกครองยอ่ มมีสทิ ธเิ บอื้ งแรกท่ีจะเลือกประเภทการศกึ ษาให้แกบ่ ตุ รของตน
๒๗. การมสี ่วนร่วมทางวัฒนธรรม
๒๗.๑ ทุกคนมีสิทธิท่ีจะเข้าร่วมโดยอิสระในชีวิตทางวัฒนธรรมของชุมชนท่ีจะเพลิดเพลินกับ
ศลิ ปะและมีสว่ นในความรุดหนา้ และคุณประโยชนท์ างวทิ ยาศาสตร์
๒๗.๒ ทุกคนมสี ทิ ธิทจี่ ะได้รบั การคุม้ ครองผลประโยชน์ทางศีลธรรมและทางวตั ถุ อันเป็นผลจาก
ประดษิ ฐกรรมใดทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรม และศิลปกรรมซง่ึ ตนเปน็ ผูส้ รา้ ง
๒๘. สันตภิ าพระหว่างประเทศ ทกุ คนย่อมมีสทิ ธิในระเบียบทางสังคมและระหว่างประเทศ ซ่ึงจะเป็น
กรอบใหบ้ รรลสุ ิทธิและอิสรภาพท่กี ่าหนดไว้ในปฏญิ ญานีอ้ ยา่ งเต็มท่ี
๒๙. เคารพสทิ ธผิ ู้อืน่
๒๙.๑ ทุกคนมีหน้าที่ต่อชุมชน ซึ่งการพัฒนาบุคลิกภาพของตนโดยอิสระและเต็มที่จะกระท่าได้
กแ็ ตใ่ นชุมชนเทา่ น้ัน
๒๙.๒ ในการใช้สิทธิและอิสรภาพแห่งตน ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ข้อจ่ากัดเพียงเท่าที่มีก่าหนดไว้
ตามกฎหมายเทา่ นัน้ เพ่ือวตั ถปุ ระสงคข์ องการได้มาซึ่งการยอมรบั และการเคารพสิทธิและอิสรภาพอันควรของ
ผู้อื่น และเพื่อให้สอดรับกับความต้องการอันสมควรทางด้านศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ
สวัสดกิ ารทั่วไปในสงั คมประชาธิปไตย
๒๙.๓ สิทธิและอิสรภาพเหล่าน้ี ไม่อาจใช้ขัดต่อวัตถุประสงค์และหลักการของสหประชาชาติ
ไม่ว่ากรณีใดๆ
๓๐. ไมม่ ีใครเอาสทิ ธิเหล่าน้ีไปจากเราได้ ไม่มบี ทใดในปฏิญญาน้ที อ่ี าจตีความได้ว่า เป็นการให้สิทธิใด
แก่รฐั กล่มุ คน หรือบคุ คลใดในการดา่ เนินกจิ กรรมใด หรือการกระทา่ ใด อนั มงุ่ ต่อการท่าลายสิทธิและอิสรภาพ
ใดที่ก่าหนดไว้ ณ ที่น้ี
๗๒
ประเภทของสทิ ธิ๑
หน่วยงานของรัฐท่ีดูแลการพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพคือ กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครอง
สิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม๒ มีหน้าที่ดังนี้ (1) พัฒนาระบบและมาตรการส่งเสริมให้ประชาชน
ได้รบั ความชว่ ยเหลือทางกฎหมายดว้ ยความรวดเร็วและทวั่ ถึง (2) รบั เร่อื งราวร้องทุกข์เก่ียวกับการละเมิดสิทธิ
และเสรภี าพ (3) ใหค้ ่าปรึกษา แนะน่าดา้ นกฎหมายและสิทธิตา่ งๆ แกป่ ระชาชนและหรือส่งต่อหน่วยงานอื่นที่
เกย่ี วขอ้ ง (4) ประสานงานใหค้ วามชว่ ยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม (5) รวบรวมและวิเคราะห์
ข้อมูลเกี่ยวกับอรรถคดีเพื่อการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือข้อบังคับอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวกับการพิทักษ์
สิทธิและเสรีภาพ (6) ติดตามและประเมินผลการด่าเนินงานพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ (7) ปฏิบัติงานร่วมกับ
หรือสนบั สนุนการปฏิบัตงิ านของหน่วยงานอ่นื ที่เกี่ยวข้องหรอื ที่ได้รับมอบหมาย
อา้ งองิ
๑ Amnesty International Thailand. ม.ป.พ. ปฏญิ ญาสากลวา่ ด้วยสิทธมิ นษุ ยชน. เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จาก
https://www.amnesty.or.th/our-work/hre/udhr/ วนั ที่สืบคน้ ขอ้ มูล ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๒ กรมค้มุ ครองสทิ ธิและเสรีภาพ. ๒๕๕๘. แผนภมู ิโครงสร้างการแบง่ สว่ นราชการ กรมคุม้ ครองสทิ ธแิ ละ
เสรีภาพ. เขา้ ถึงขอ้ มลู ไดจ้ าก https://moc.ocsc.go.th/sites/default/files/04_2okhrngsraangam
naacchhnaathiiaelaatraakamlang.pd วนั ท่สี ืบค้นขอ้ มูล ๑๙ ตลุ าคม ๒๕๖๔.
๗๓
การส่งเสริมการระงบั ข้อพพิ าท
ดร.อภิรชั ศกั ดิ์ รัชนวี งศ์
พระราชบัญญตั ิไกลเ่ กล่ยี ขอ้ พิพาท พ.ศ.2562๑ ถือเป็นมติ ใิ หม่ของกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้สร้างการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายอาสาสมัคร
ภาคประชาชน และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการส่งเสริมพัฒนาและขับเคลื่อนการระงับ
ข้อพิพาททางเลือกด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพ่ือให้ประชาชนมีทางเลือกในการเข้าถึงความยุติธรรมอย่าง
สะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม พระราชบัญญัติการไกล่เกล่ียข้อพิพาท พ.ศ.2562 ซ่ึงเป็นกฎหมายกลางเพ่ือให้
หน่วยงานของรัฐ พนักงานสอบสวน และ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนใช้ในการจัดกระบวนการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอย่างมีระบบและเป็นมาตรฐานเดียวกัน พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้ท้ังฉบับ
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 สาระส่าคัญเก่ียวกับการไกล่เกล่ียข้อพิพาททางแพ่ง ได้แก่ ข้อพิพาท
ท่ีเก่ียวกับทดี่ นิ ที่มิใชข่ ้อพพิ าทเกย่ี วด้วยกรรมสิทธ์ิ ขอ้ พิพาทระหว่างทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก และข้อพิพาท
อนื่ ท่ีมีทุนทรัพย์ไมเ่ กินห้าล้านบาท ประเภทข้อพิพาททางอาญา ไดแ้ ก่ ความผิดอาญาอันยอมความได้ ความผิด
ลหโุ ทษ ท่ียอมความไดเ้ ปน็ ความผิดต่อส่วนตัวไม่กระทบต่อส่วนรวม และความผิดท่ีมีอัตราโทษจ่าคุกอย่างสูง
ไม่เกิน 3 ปี ปรากฏตามท้ายพระราชบัญญัติให้สามารถยุติหรือระงับได้ด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอันเกิดจาก
ความสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย พระราชบัญญัติการไกล่เกล่ียข้อพิพาท พ.ศ.2562 ถือเป็นกฎหมาย
ท่ีจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐ และภาคประชาชนสามารถอ่านวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้โดยสะดวก
รวดเรว็ และไมต่ ้องเสยี ค่าใช้จ่ายค่าทนาย ค่าธรรมเนียมศาล เป็นการด่าเนินการให้คู่กรณีมีโอกาสเจรจาตกลง
กนั ในการระงับขอ้ พิพาท โดยสันติวิธแี ละปราศจากการวินจิ ฉัยข้อพิพาท และให้ข้อตกลงอันเกิดจากความตก
ลงยินยอมของคู่กรณีมีสภาพบังคับตามกฎหมาย ประชาชนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่าง
แท้จริง ท่าให้ปริมาณคดีท่ีขึ้นสู่ศาลลดน้อยลง ลดปัญหาความขัดแย้งและเกิดความสมานฉันท์ในการยุติ
ข้อพิพาท กลไกที่ส่าคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการด่าเนินงานตามพระราชบัญญัติฉบับน้ีคือ “ผู้ไกล่เกล่ีย”
ซึ่งได้บัญญัติคุณสมบัติของบุคคลท่ีประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยต้องผ่านการฝึกอบรมการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทตามหลักสูตรที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยการ
พัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับรอง กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ท่าการ
เปดิ อบรมเตรยี มความพร้อมผู้ไกล่กลี่ย เพื่อขนึ้ ทะเบยี นตามพระราชบัญญตั ิการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562
โดยเล็งเห็นถึงความส่าคัญในการเตรียมความพร้อมให้ผู้ไกล่เกลี่ยได้มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาท กฎหมายเบื้องต้นท่ีเก่ียวข้อง ความสามารถและทักษะการเป็นคนกลางเพื่อไกล่เกล่ียข้อพิพาท
รวมถงึ จรยิ ธรรมในการปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ผไู้ กล่เกลยี่ จึงไดร้ ว่ มมือกับสถาบนั พระปกเกล้า จัดท่าเนื้อหาหลักสูตรและ
คู่มือการฝึกอบรมส่าหรับฝึกอบรมบุคคลท่ีจะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนที่สามารถด่าเนินการไกล่เกล่ียข้อพิพาท
ได้อย่างเป็นระบบมาตรฐาน รวมถึงสร้างผู้ไกล่เกลี่ยที่มีความรู้ความเช่ียวชาญ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมี
๗๔
ประสิทธิภาพ อีกท้ังเพ่ือส่งเสริมและสนับสนุนให้เครือข่ายภาคประชาชนและทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมใน
การด่าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพ่ือจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีและเป็นมิติใหม่ในการไกล่เกล่ียของ
กระทรวงยุติธรรมท่ีมีระบบข้ึนทะเบียน โดยจัดท่าบัญชีผู้ไกล่เกล่ียครอบคลุมท่ัวประเทศท้ัง 76 จังหวัด
โดยยกระดับผู้ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน ปราชญ์ชาวบ้านท่ีมีความสามารถและประสบการณ์ในการระงับ
ข้อขัดแย้งในชุมชนขึ้นมาเป็นผู้ไกล่เล่ียข้อพิพาทโดยวิชาชีพ เหตุผลของพระราชบัญญัตินี้๒ โดยที่ปัจจุบัน
ข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญาเกิดข้ึนเป็นจ่านวนมาก เห็นสมควรให้น่ากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททาง
แพ่ง ซ่ึงมีทุนทรัพย์ไม่มากนักและข้อพิพาททางอาญาบางประเภทมาก่าหนดเป็นกฎหมายกลาง เพื่อให้
หนว่ ยงานของรฐั พนักงานสอบสวน หรอื ศูนยไ์ กล่เกลย่ี ขอ้ พิพาทภาคประชาชนใชใ้ นการยตุ หิ รือระงับข้อพิพาท
ดังกล่าว โดยค่านึงถึงความยินยอมของคู่กรณีเป็นส่าคัญซึ่งจะท่าให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในสังคม ท่าให้
ปริมาณคดีขนึ้ ส่ศู าลลดนอ้ ยลง ลดปัญหาความขดั แย้ง ลดงบประมาณแผ่นดนิ และเสริมสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกัน
อย่างปกตสิ ขุ
ประโยชน์ของการไกล่เกล่ียข้อพิพาท๒ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อให้เกิดประโยชน์ท้ังกับคู่กรณีและ
เปน็ การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการอา่ นวยความยุติธรรมใหแ้ ก่ประชาชน ดังน้ี
1) ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย (Saving of Time and Money) การไกล่เกล่ียข้อพิพาทหรือ
อนุญาโตตุลาการแลว้ อาจใช้เวลาเพียงสปั ดาห์ วนั หรอื ชวั่ โมง อนั เปน็ การประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยของท้ังคู่ความและ
ทางราชการ โดยท่ีหน่วยงานหรือองค์กรผู้จัดการไกล่เกล่ียจัดบริการให้ฟรี คู่กรณีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่เสีย
ค่าป่วยการผ้ไู กล่เกลยี่ และการไกลเ่ กลย่ี ไม่จ่าเปน็ ตอ้ งมีทนายความ ดังนนั้ การจัดการความขัดแยง้ ด้วยวธิ กี าร
ไกล่เกลีย่ จึงประหยัดค่าใชจ้ า่ ยได้มาก
2) เป็นที่ยุติ (Finally) คดีท่ีคู่พิพาทสามารถตกลงกันได้โดยวิธีการไกล่เกล่ียน้ันท่าให้ข้อพิพาท
ไดข้ อ้ ยุติลดปญั หาของการอทุ ธรณ์ต่อไป
3) การยอมรับของคู่พิพาท (Compliance) การท่ีคู่ความสามารถหาข้อยุติได้ด้วยตนเอง มีการ
ยอมรับปฏิบตั ติ ามข้อตกลงนนั้ มากกวา่ การที่ศาลมีคา่ พพิ ากษาซึ่งจะต้องมกี ารบังคับคดตี ่อไป
4) ข้อยุติที่ได้น้ันมีความเหมาะสมกับคู่พิพาท (Custom Made Solution) เนื่องจากคู่พิพาท
สามารถเลอื กทีจ่ ะท่าให้ขอ้ ตกลงอย่างไรก็ไดต้ ราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย
5) เป็นความลับ (Confidentiality) การไกล่เกลี่ยเป็นเร่ืองเฉพาะระหว่างคู่กรณีการประชุม
ไกล่เกลี่ย จะมีเฉพาะคู่กรณีกับผู้ไกล่เกลี่ย และบุคคลภายนอกท่ีคู่กรณีเห็นพ้องต้องกันให้เข้าร่วมประชุมได้
เท่านั้น ทงั้ ขอ้ เทจ็ จริงท่คี ู่กรณีพดู คยุ กันในการไกล่เกลย่ี ถอื เปน็ ความลับ หา้ มคู่กรณแี ละผ้ไู กลเ่ กลี่ยเปดิ เผยตอ่
บุคคลภายนอก นอกจากน้ี คู่กรณยี งั อาจมขี อ้ ตกลงกันอกี ดว้ ยว่า ขอ้ เทจ็ จริงทไ่ี ด้จากการไกลเ่ กล่ีย ห้ามไม่ให้
ค่กู รณีน่าไปใชอ้ ้างอิงในการพิจารณาคดีของศาล
6) การควบคุมกระบวนการระงับข้อพิพาท (Process Control) คู่พิพาทสามารถควบคุม
กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้มากกว่าการด่าเนินคดีในศาล โดยสามารถคัดเลือกบุคคลที่เป็นกลางให้มา
ท่าหน้าท่ีก่าหนดประเด็นหรือความต้องการท่ีแท้จริงในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและแสวงหาทางออกเพื่อยุติ
๗๕
ข้อพิพาท โดยคู่พิพาทมีโอกาสท่ีจะได้พูดและตัดสินว่าผลที่ได้รับจะผูกพันกันหรือไม่ ซ่ึงจะเป็นการหลีกเล่ียง
ความไมแ่ น่นอนท่ีอาจเกิดขึ้นโดยการพิพากษาคดี
7) ข้อตกลงระหว่างคู่พิพาทสามารถบังคับได้ (Enforceable Agreement) ผลของการระงับ
ข้อพิพาทจากวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นข้อตกลงร่วมกันอันมีลักษณะสัญญาที่คู่พิพาทลงนาม และมีผล
ผกู พันเป็นสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ แมว้ ่าอาจมีการตรวจสอบจากศาลในบางกรณี
8) รักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้หรือก่อให้เกิดความสัมพันธ์ในระยะยาว (Preservation or
Enhancement of Long-term Relationships) การระงับข้อพิพาทเปิดโอกาสให้คู่พิพาทสามารถหาข้อยุติ
ในปัญหาทแี่ ท้จรงิ ไดแ้ ละคพู่ พิ าทย่อมสามารถแก้ไขปัญหาระหวา่ งกนั ได้
9) ความยืดหยุ่น (Flexibility) คู่พิพาทสามารถเลือกใช้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งหมด หรือ
ในประเดน็ ใดประเด็นหนึง่ ในคดกี ็ได้ สว่ นทเ่ี หลืออาจให้มกี ารดา่ เนนิ คดใี นศาลต่อไป
10) คุณภาพ (Quality) บุคคลที่มาท่าหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมักเป็นบุคคลที่มี
ความสามารถหรือเชย่ี วชาญในเรอ่ื งน้ัน ๆ โดยมกี ารควบคมุ การทา่ งานโดยประมวลจริยธรรม
11) ยงั คงสทิ ธิในการด่าเนินคดีในศาล (Right to Trial) การไกล่เกล่ยี ขอ้ พิพาทเปน็ เพียงสว่ นเสริม
ส่าหรับการด่าเนินคดใี นศาลไม่ใชเ่ ปน็ การแทนท่ี ค่กู รณียังคงมีสิทธใิ นการดา่ เนินคดใี นศาล หากคู่กรณมี ีความ
ตอ้ งการเชน่ นน้ั
12) ไมเ่ ปน็ ทางการ การไกล่เกลี่ยมวี ิธีพจิ ารณาทีแ่ ตกตา่ งจากการพิจารณาคดีของอนุญาโตตลุ าการ
หรือศาล โดยการไกล่เกล่ียต้องการบรรยากาศการพูดคุยเจรจาที่ไม่เป็นทางการ แต่เป็นกันเอง และยืดหยุ่น
ผ่อนคลาย ไม่เครง่ ครดั เพ่ือให้คกู่ รณไี ด้พดู คยุ เจรจากนั ด้วยความสบายใจไมต่ งึ เครียด เกดิ ความไวว้ างใจและ
กล้าเปิดเผยความตอ้ งการท่ีแท้จรงิ ของตน
พระราชบญั ญัตกิ ารไกลเ่ กลี่ยขอ้ พพิ าท พ.ศ.๒๕๖๒๓
รัฐบาลเห็นเห็นสมควรให้น่ากระบวนการไกล่เกลี่ยมาใช้ในคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่มากนัก และ
คดีอาญาบางประเภท โดยก่าหนดเป็นกฎหมายกลางเพื่อให้หน่วยงานของรัฐหรือศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค
ประชาชนใช้ในการยุติหรือระงับข้อพิพาทดังกล่าว โดยค่านึงถึงความยินยอมของคู่กรณี เพ่ือท่าให้ปริมาณคดี
ขึ้นสู่ศาลให้น้อยลง ลดปญั หาความขัดแยง้ เกดิ ความสมานฉนั ทข์ น้ึ ในสังคม
"การไกล่เกล่ียข้อพิพาท" หมายความว่า การด่าเนินการเพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสเจรจาตกลงแล้วครับ
ข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญาโดยสันติวิธีและปราศจากการวินิจฉัยชี้ข าดข้อพิพาททั้งนี้ไม่รวมถึงการไก ล่
เกลี่ยเพราะรีดผ้าทด่ี า่ เนินการในชนั้ ศาลและในชน้ั การบังคบั คดี
“ผไู้ กล่เกล่ีย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับการข้ึนทะเบียนและได้รับการแต่งต้ังให้ท่าหน้าที่ในการ
ไกล่เกล่ียขอ้ พิพาท
“นายทะเบยี น” หมายความว่า หวั หนา้ หน่วยงานของรฐั ซง่ึ ดา่ เนนิ การไกลเ่ กลยี่ ขอ้ พพิ าท
๗๖
บททั่วไปของกระบวนการไกล่เกล่ียข้อพิพาท: หน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะด่าเนินการไกล่เกล่ีย
ข้อพิพาท ให้แจ้งให้กระทรวงยุติธรรมทราบด้วย ผู้ท่ีจะท่าหน้าท่ีเป็นผู้ไกล่เกล่ีย ต้องขึ้นทะเบียนต่อ
นายทะเบียนคอื หัวหนา้ หนว่ ยงานของรฐั ทีด่ ่าเนินการไกล่เกล่ียข้อพิพาท โดยต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะ
ต้องห้ามตามมาตรา 10 ที่ส่าคัญคือต้องผ่านการอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรท่ีคณะกรรมการ
พัฒนาการบรหิ ารงานยุติธรรมแห่งชาติ รับรอง และมีประสบการณ์ในด้านท่ีจะเป็นประโยชน์ต่อการไกล่เกล่ีย
ผูไ้ กลเ่ กลี่ยมอี ่านาจหนา้ ทต่ี ามมาตรา11 และต้องถือปฏบิ ตั ติ ามจริยธรรมตามมาตรา12
กระบวนการไกล่เกล่ียข้อพิพาททางแพ่ง ข้อพิพาททางแพ่งที่จะท่าการไกล่เกล่ียได้คือ ข้อพิพาท
เก่ียวกับที่ดิน ที่ไม่ใช่เรื่องกรรมสิทธิ์ ข้อพิพาทระหว่างทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดก หรือข้อพิพาทตามท่ีจะมี
การกา่ หนดในพระราชกฤษฎีกา และข้อพิพาทอ่ืนท่ีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าล้านบาทหรือตามที่ก่าหนดในพระราช
กฤษฎีกา ข้อพิพาทที่ไกล่เกลี่ยไม่ได้คือ ที่เก่ียวกับสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว กรรมสิทธิ์ใน
สังหาริมทรัพย์ คู่กรณีท่ีมีข้อพิพาทท่ีประสงค์จะให้มีการไกล่เกล่ียข้อพิพาทให้ยื่นค่าร้องต่อหน่วยงานท่ีด่าเนิน
ไกล่เกลี่ย ซึ่งหน่วยงานน้ันต้องสอบถามความสมัครใจของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ถ้าไม่สมัครใจก็ด่าเนินการ
ไกล่เกล่ียไม่ได้ โดยคู่กรณีตกลงแต่งตั้งผู้ไกล่เกล่ียหน่ึงคนหรือหลายคนก็ได้จากบัญชีรายช่ือที่หน่วยงานน้ัน
จัดท่าไว้ ถ้าคู่กรณีเลือกกันเองไม่ได้ จะขอให้หน่วยงานน้ันเป็นผู้เลือกผู้ไกล่เกลี่ยก็ได้ ในการด่าเนินการ
ไกล่เกลี่ย ถ้าคู่กรณีตกลงกันได้ให้ผู้ไกล่เกล่ียบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทน้ันไว้ให้ท้ังสองฝ่ายลงชื่อไว้ด้วย
ถา้ คกู่ รณีฝ่ายหนง่ึ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง คู่กรณีอกี ฝา่ ย อาจยน่ื คา่ ร้องต่อศาล เพื่อให้บงั คบั ตามข้อตกลงได้
การไกล่เกล่ียข้อพิพาททางอาญา ข้อพิพาททางอาญาท่ีจะด่าเนินการไกล่เกลี่ยได้ ต้องเป็นความผิด
อันยอมความไดห้ รือความผดิ ลหโุ ทษตามมาตรา 390 ถึงมาตรา 395 และมาตรา 397 หรือความผิดลหุโทษ
อ่ืนที่ไม่กระทบต่อส่วนรวมตามที่ก่าหนดในพระราชกฤษฎีกา เม่ือมีการท่าข้อตกลงระงับข้อพิพาทกันแล้ว
สิทธิน่าคดีมาฟ้องระงับไปเฉพาะคู่กรณีที่ท่าความตกลง แต่ถ้าคู่กรณีมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งเก่ียวเน่ืองกับคดีอาญา
สทิ ธิการฟอ้ งคดีอาญาระงับเมื่ออีกฝ่ายไดป้ ฏบิ ัติตามขอ้ ตกลงส่วนแพง่ แลว้
กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาให้น่ากระบวนการไกล่เกล่ียข้อพิพาททางแพ่งมาใช้
โดยอนุโลม
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ให้เป็นหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ส่งเสริม
สนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกัน เป็นศูนย์ไกล่เกล่ียภาคประชาชน และอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการด่าเนินการ
คดีท่ีศูนย์ไกล่เกล่ียภาคประชาชน จะด่าเนินการไกล่เกล่ียได้ คือ (๑) ข้อพิพาททางแพ่งท่ีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน
ห้าแสนบาทหรือไม่เกินจ่านวนท่ีก่าหนดในพระราชกฤษฎีกา และข้อพิพาททางแพ่งอื่นตามที่ก่าหนดในพระ
ราชกฤษฎีกา แต่ถ้าเป็นการพิพาทกันเรื่องท่ีดินต้องไม่เก่ียวกับกรรมสิทธ์ิ ถ้าเป็นเร่ืองมรดกก็เป็นเร่ืองการ
พิพาทระหว่างทายาทและไม่สามารถไกล่เกล่ียเร่ืองที่เก่ียวกับสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือ
กรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ (๒) ข้อพิพาททางอาญาที่ไกล่เกล่ียได้คือ ความผิดอันยอมความได้หรือความผิด
ลหุโทษตามมาตรา390ถึงมาตรา 395 และมาตรา 397 หรือความผิดลหุโทษอื่นที่ไม่กระทบต่อส่วนรวม
ตามที่ก่าหนดในพระราชกฤษฎีกา เมื่อมีการตกลงตามข้อไกล่เกลี่ยและกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพออก
๗๗
หนังสือรบั รองใหแ้ ลว้ ขอ้ ตกลงระงับข้อพิพาทนั้นใชบ้ งั คับกันได้ ถ้าเป็นคดอี าญาสทิ ธิน่าคดีอาญามาฟ้องให้เป็น
อันระงบั
กระบวนการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน๖ การรวมตัวของประชาชนเพ่ือจัดตั้งเป็น
ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับ
ภาคประชาชนในรูปแบบของเครอื ข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้น
มา ภายใต้ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยเครือข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พ.ศ. 2548
โดยเครือข่ายและอาสาสมัครได้รวมตัวกันเป็นศูนย์ประสานงานในชุมชน เพื่อด่าเนินงานเกี่ยวกับการเผยแพร่
ประชาสัมพันธ์ หรือจัดการรณรงค์และใหค้ วามรู้ การใหค้ า่ ปรึกษา ชว่ ยเหลอื เป็นผดู้ ่าเนินการหรือประสานงาน
ที่เก่ียวข้องกับการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและการจัดการความขัดแย้ง การระงับข้อพิพาทชุมชน
เสรมิ สรา้ งและพัฒนาเครือข่ายในการท่างานด้านสิทธิเสรีภาพ ตลอดจนด่าเนินการหรือให้ข้อเสนอแนะในการ
พัฒนากลไกการจัดการความขัดแย้งในชุมชน และประสานงานหน่วยงานที่เก่ียวข้องในกรณีที่มีเหตุความ
ไม่เป็นธรรมในชุมชน การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
เพ่ือด่าเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนได้ โดยประชาชนจ่านวนไม่น้อยกว่า 5 คน
ท่ีประสงคจ์ ะด่าเนนิ การเก่ียวกับการไกล่เกลย่ี ข้อพิพาท ต้องมีคณุ สมบตั แิ ละไมม่ ีลักษณะตอ้ งหา้ ม ดังตอ่ ไปนี้
คุณสมบตั ิ
(1) เป็นบคุ คลธรรมดาทมี่ ีสัญชาตไิ ทย
(2) เปน็ บุคคลท่บี รรลุนิติภาวะ
(3) มีภมู ิล่าเนา หรือถิ่นทอ่ี ยู่ในเขตท่จี ะขอข้ึนทะเบยี นศูนย์ไกลเ่ กลย่ี ข้อพิพาทภาคประชาชน
ลักษณะต้องห้าม
(1) เปน็ บคุ คลลม้ ละลาย
(2) เป็นบุคคลที่ศาลมีค่าสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถหรือ
คนวกิ ลจรติ หรือจติ ฟนั่ เฟือนไม่สมประกอบ
(3) เป็นผู้เคยรับโทษจ่าคกุ โดยคา่ พิพากษาถงึ ท่ีสดุ ใหจ้ า่ คุก เวน้ แต่เป็นโทษส่าหรบั ความผิดท่ีได้
กระท่าโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ท้ังนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะด่าเนินการตรวจสอบ
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะท่างานบริหารประจ่าศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน
จากเอกสารหลกั ฐานและฐานข้อมลู ของทางราชการ หากมคี ุณสมบตั ิครบถ้วนจึงมีค่าสั่งแต่งต้ังเป็นคณะท่างาน
บริหารประจ่าศนู ยไ์ กล่เกลย่ี ขอ้ พิพาทภาคประชาชน
การจัดต้ังศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน เม่ือภาคประชาชนรวมตัวกันเป็นศูนย์ไกล่เกล่ีย
ข้อพิพาทภาคประชาชน (ศกช.) ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และคัดเลือกกันเอง
เพื่อท่าหน้าที่เป็นคณะท่างานบริหารประจ่าศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ประกอบด้วย ประธาน
รองประธาน เหรัญญิกและเลขานุการ ท้ังนี้ ประธานควรมีคุณสมบัติเป็นผู้น่าชุมชน ผู้น่าท้องที่หรือท้องถ่ิน
หรือเป็นผู้น่าภาคประชาสังคมที่ด่าเนินการอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมีผู้ผ่าน
การอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
๗๘
ตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับรอง อย่างน้อย 1 คน และอาจแต่งต้ัง
ท่ีปรกึ ษาคณะทา่ งานได้ตามความเหมาะสม คณะท่างานบริหารประจ่าศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนมี
วาระด่ารงตา่ แหนง่ คราวละ 3 ปี มหี น้าทแ่ี ละอ่านาจ ดงั นี้
(1) ประสานจดั กระบวนการไกลเ่ กลย่ี ข้อพิพาท
(2) จัดท่าแผนการด่าเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ภาคประชาชน
(3) เสนอขอรับเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการด่าเนินการของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ภาคประชาชน
(4) ส่งเสริมการรับรู้เก่ียวกับการไกล่เกล่ียข้อพิพาทและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและ
สทิ ธมิ นษุ ยชน
(5) ประสานการด่าเนินงานเก่ียวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญาระหว่าง
หน่วยงานในพ้ืนท่ี
(6) รายงานผลการดา่ เนนิ งานต่อกรมค้มุ ครองสิทธแิ ละเสรีภาพเปน็ ประจ่าทุกเดอื น
ทั้งน้ี คณะกรรมการบรหิ ารประจา่ ศูนย์ไกลเ่ กลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน พ้นจากตา่ แหน่ง เมอ่ื
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) นายทะเบยี นให้ออก เพราะบกพร่องไมส่ จุ รติ ตอ่ หน้าท่ี มคี วามประพฤตเิ ส่ือมเสีย หรือหยอ่ น
ความสามารถ
(4) เปน็ บคุ คลล้มละลาย
(5) เป็นบุคคลที่ศาลมีค่าสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือ
คนวิกลจรติ หรอื จิตฟ่นั เฟือนไม่สมประกอบ
(6) ได้รับโทษจ่าคุกโดยค่าพิพากษาถึงที่สุดให้จ่าคุก เว้นแต่เป็นโทษส่าหรับความผิดท่ีได้กระท่า
โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
การข้ึนทะเบียนศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน ระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
วา่ ด้วยการไกล่เกลี่ยขอ้ พิพาทของศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน พ.ศ. 2562 หมวด 3 ศูนย์ไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทภาคประชาชน ส่วนท่ี 2 การข้ึนทะเบียนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ก่าหนดข้ันตอนการ
ข้นึ ทะเบยี นศนู ย์ไกล่เกล่ยี ขอ้ พพิ าทภาคประชาชน ดังนี้
ข้ันตอนท่ี 1 ประธานคณะท่างานยื่นค่าขอข้ึนทะเบียนศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนต่อ
อธบิ ดีกรมค้มุ ครองสทิ ธแิ ละเสรีภาพตามแบบค่าขอพร้อมแนบเอกสารประกอบคา่ ขอใหค้ รบถว้ น
ข้ันตอนที่ 2 กองส่งเสริมการระงับข้อพิพาทหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย รับค่าขอข้ึนทะเบียน และ
ดา่ เนินการตรวจสอบข้อความในคา่ ขอและเอกสารหลกั ฐานประกอบค่าขอ เมอื่ เหน็ ว่าถูกตอ้ งครบถว้ นแล้วให้
ลงทะเบียนรบั ค่าขอและออกใบรบั ค่าขอให้แก่ผ้ยู ืน่ คา่ ขอ หากขอ้ ความในค่าขอและเอกสารหลักฐานประกอบ
๗๙
ค่าขอไม่ถูกต้องครบถ้วนให้มีหนังสือแจ้งผู้ยื่นค่าขอทราบเพื่อด่าเนินการแก้ไข ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
นบั แต่วันทใี่ ด้รบั หนงั สือหากพน้ ระยะเวลาดังกล่าวใหจ้ ่าหนา่ ยคา่ ขอ
ขั้นตอนที่ 3 ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ที่จะได้รับการข้ึนทะเบียนต้องได้รับการตรวจ
ศนู ยไ์ กลเ่ กล่ยี ข้อพพิ าทภาคประชาชน โดยผ่านเกณฑ์ตามทนี่ ายะเบียนกา่ หนด คอื ต้องผา่ นเกณฑ์มาตรฐาน
ศูนยไ์ กล่เกล่ียขอ้ พิพาทภาคประชาชน ไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 50 โดยแบง่ เกณฑ์การประเมิน 4 ด้าน จา่ นวน 35
ตัวชวี้ ดั
ขน้ั ตอนที่ 4 กรมคมุ้ ครองสิทธแิ ละเสรีภาพ โดยอนุกรรมการตรวจประเมินมาตรฐานศูนยไ์ กลเ่ กลี่ย
ข้อพิพาทภาคประชาชน ซง่ึ มีผอู้ ่านวยการกองส่งเสรมิ การระงับขอ้ พิพาท หรอื ผ้อู ่านวยการสา่ นกั งานยตุ ิธรรม
จังหวัด หรือยุติธรรมจังหวัด เป็นประธาน ด่าเนินการตรวจมาตรฐานศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน
สรปุ และรายงานผลการตรวจประเมินเสนอนายทะเบยี น
ขั้นตอนที่ 5 กรณีผ่านมาตรฐาน อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในฐานะนายทะเบียน
มีประกาศขึ้นทะเบียนเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมาย ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค
ประชาชนท่ีได้รบั การข้นึ ทะเบยี นเปน็ ศนู ยไ์ กลเ่ กล่ยี ข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมายมภี ารกจิ ดงั นี้
(1) รบั คา่ ร้องขอไกลเ่ กลี่ยข้อพิพาท
(2) ด่าเนินงานเกี่ยวกับการไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกล่ีย
ข้อพพิ าท
(3) ประสานงานและสนบั สนุนการด่าเนินงานไกล่เกลยี่ ข้อพิพาท
(4) สง่ เสรมิ และเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เกีย่ วกับการไกลเ่ กล่ียข้อพิพาท
(5) ด่าเนนิ งานอืน่ ๆ ตามทีน่ ายทะเบียนก่าหนด
การประเมนิ มาตรฐานศนู ยไ์ กล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ระเบียบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ว่าด้วยการไกล่เกล่ียข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน พ.ศ. 2562 ก่าหนดให้มี
คณะกรรมการสง่ เสรมิ และกา่ กับการด่าเนินงานศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน โดยอธิบดีกรมคุ้มครอง
สิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานก่าหนดมาตรฐานและประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน
และข้อ 19 ก่าหนดให้นายทะเบียนจัดให้มีการประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนอย่าง
น้อยปีละหน่ึงครั้งหรือตามที่คณะกรรมการก่าหนด อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในฐานะประธาน
คณะกรรมการส่งเสริมและก่ากับการด่าเนินงานศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน จึงมีประกาศเร่ือง
มาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ก่าหนดมาตรฐานศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน
แบ่งเป็น 4 ด้าน จ่านวน 35 ตวั ช้ีวดั
การขอรับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาค
ประชาชนทม่ี ีผลการด่าเนนิ งานเกี่ยวกับการไกลเ่ กลย่ี ข้อพิพาทภาคประชาชนตามกฎหมายว่าดว้ ยการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาท และผ่านการประเมินมาตรฐานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนประจ่าปี คณะท่างานบริหาร
ประจ่าศูนย์ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนอาจก่าหนดให้มีการประชุมเพ่ือพิจารณาเสนอขอรับเงินอุดหนุน
๘๐
ค่าใช้จ่ายการด่าเนินการของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน เช่น โครงการเกี่ยวกับการด่าเนินงานตาม
กฎหมายวา่ ดว้ ยการไกลเ่ กลี่ยขอ้ พิพาทของศนู ย์ไกลเ่ กลยี่ ข้อพพิ าทภาคประชาชน หรือการพัฒนาศักยภาพและ
ประสิทธิภาพของคณะท่างาน หรือพัฒนาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือโครงการดา้ นการไกลเ่ กลีย่ ข้อพพิ าทอนื่ ๆ ทมี่ ปี ระโยชนต์ อ่ ส่วนรวม
รูปแบบการไกลเ่ กล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนโดยหลักพุทธสันติวิธี กรณีต่าบลสวาย อ่าเภอปรางค์กู่
จังหวัดศรีสะเกษ๗ รปู แบบการไกลเ่ กลีย่ ขอ้ พิพาทภาคประชาชนโดยหลักพุทธสันติวิธีของ ต่าบลสวาย อ่าเภอ
ปรางคก์ ู่ จงั หวัดศรสี ะเกษ สามารถออกแบบมาเปน็ รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนโดยหลักพุทธ
สันติวิธี ประกอบด้วย (1) หลักการไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน ประกอบด้วย การสมัครใจของทุกฝ่าย
การผ่อนปรนให้แก่กัน การฟ้ืนฟูความสัมพันธ์ของคู่กรณี และการยุติคดีด้วยความพึงพอใจ (2) ข้ันตอนการ
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนโดยหลักพุทธสันติวิธี ประกอบด้วย วิเคราะห์ปัญหาตามหลักอริยสัจส่ี
เปิดเวทีพูดคุยด้วยพรหมวิหาร จัดสานเสวนาแบบกัลยาณมิตร สร้างทางเลือกโดยไม่มีอคติส่ี และจบลงด้วยดี
บนสามัคคีธรรม โดยรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ใช้หลักการและวิธีการทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้
เพอื่ แก้ไขปัญหาโดยวธิ ีการไกล่เกล่ียข้อพิพาท ซึ่งหลักการและขั้นตอนในการด่าเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น
ผู้ท่าหน้าท่ีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต้องมีหลักการใหญ่ คือการมีสติ ขันติธรรม เพ่ือก่อให้เกิดสันติภายใน เพ่ือให้
สามารถใช้หลักความรู้รอบด้าน ตั้งแต่ การรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล โดยการ
แสดงออกสู่สันติภาพภายนอก ด้วยการน่าหลักการใหญ่ คือ หลักอริยสัจส่ี ประกอบหลักการย่อย
อันประกอบด้วย หลักพรหมวิหาร หลักกัลยาณมิตรธรรม หลักอคติสี่ และหลักสามัคคีธรรม เพ่ือบูรณาการ
พุทธสันติวิธีกับหลักการและขั้นตอนในการไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน โดยสามารถน่ารูปแบบการ
ไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนโดยหลักพุทธสันติวิธีไปปรับใช้กับการแก้ปัญหาข้อพิพาทให้แก่ของคู่กรณีได้
ในพน้ื ที่ชุมชนอื่นได้ท่วั ประเทศ
๘๑
ภาพที่ ๑ รปู แบบการไกล่เกลีย่ ข้อพพิ าทภาคประชาชนโดยหลกั พทุ ธสันตวิ ิธี๗
1. หลักการไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชน ประกอบด้วย หลักการสมัครใจของทุกฝ่ายทุกคน
หลักการผ่อนปรนให้แกก่ ัน หลักการฟืน้ ฟูสานสมั พนั ธข์ องค่กู รณี และหลกั การยตุ คิ ดดี ้วยความพงึ พอใจ ดงั น้ี
1) หลักการสมัครใจของทุกฝ่ายทุกคน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนเป็นด่าเนินการ
ที่เน้นวิถีชุมชนเป็นหลัก โดยผู้ท่าหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจะไม่มีอ่านาจช้ีขาดข้อพิพาท (Uprasert, 2008)
หรือไม่มีข้อบังคับใด ๆ ให้คู่กรณีต้องเข้าร่วมไกล่เกล่ียข้อพิพาท โดยกระบวนการไกล่เกล่ียข้อพิพาทเกิดข้ึน
ไดด้ ว้ ยการตัดสินใจของคู่กรณีเป็นส่าคัญโดยคู่กรณีทกุ ผ่ายต้องสมคั รใจเขา้ ร่วมเจรจาไกลเ่ กลี่ยขอ้ พิพาทตงั้ แต่
เรม่ิ ต้นของกระบวนการไกลเ่ กล่ยี ขอ้ พิพาท
2) หลักการผ่อนปรนให้แก่กัน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนจะเน้นการเสนอแนะให้
คู่กรณีมองไปข้างหน้าในอนาคตท่ีต้องอยู่อาศัยใกล้ชิดกันในชุมชนเดียวกัน มากกว่าการมองย้อนกลับไป
ว่าให้ถูกใครผิดหรือใครถูก โดยในการไกล่เกล่ียน้ันจะเน้นให้คู่กรณีผ่อนปรนให้แก่กัน เพ่ือให้เกิดบรรยากาศ
แหง่ การฟงั ความคิดเหน็ อย่างเข้าใจกนั รับฟงั ความต้องการที่แทจ้ รงิ ของคู่กรณี (Wattanasub, 2012)
๘๒
3) หลักการฟ้ืนฟูสานสัมพันธ์ของคู่กรณีเป็นหลักการไกล่เกล่ียข้อพิพาทภาคประชาชนที่ผู้ท่า
หน้าทไี่ กล่เกล่ียขอ้ พพิ าทจะคอยด่าเนินการโน้มนา้ วใหค้ ู่ความเจรจากัน เปดิ เผยความตอ้ งการอนั แท้จรงิ ของ
ตนเอง พร้อมทั้งเปิดใจรับฟังความต้องการของอีกฝ่ายและลดความรุนแรงของอารมณ์ ด้วยการแสดงความ
เห็นอกเห็นใจของผู้ท่าหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (Chotisakunrat, 2011) โดยเน้นให้คู่กรณีมีความเมตตาต่อ
เพ่ือนร่วมทุกข์สุขในโลกและเป็นเพื่อนร่วมสังคม เพื่อนร่วมชุมชน และเป็นเพ่ือนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังน้ัน
ไมค่ วรมองกนั เปน็ ศัตรคู ่แู คน้ ตอ้ งเอาชนะกัน เพื่อควรหันกลับมารัก เมตตาต่อกัน ให้อภัยกัน เพ่ือให้อยู่ร่วมกัน
ในชมุ ชนดงั เดิมท่ีผา่ นมาเพื่อมงุ่ ชว่ ยเหลือเกอ้ื กูลกนั ในชุมชนต่อไปได้
4) หลักการยุติคดีด้วยความพึงพอใจ เป็นหลักการยุติข้อพิพาทด้วยความพึงพอใจของคู่กรณี
ทุกฝ่าย ไม่บีบบังคับ ข่มขู่ หรือหลอกลวงให้คู่กรณียินยอม (Teresa Moore, 2017) โดยเน้นให้คู่กรณี
เปน็ คนตัดสินใจเอง ไมว่ า่ คูก่ รณีจะตัดสนิ ใจเลอื กทางออกของขอ้ ตกลงเป็นเช่นไร ยอมต้องอยู่บนฐานของความ
ยนิ ยอมด้วยความพงึ พอใจเป็นส่าคัญ
2. ข้ันตอนในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ประกอบด้วย วิเคราะห์ปัญหาตามหลัก
อริยสัจ 4 เปิดเวทีพูดคุยด้วยพรหมวิหาร จัดสานเสวนาแบบกัลยาณมิตร สร้างทางเลือกโดยไม่มีอคติ
ยตุ ปิ ัญหาด้วยดีบนสามคั คีธรรม โดยมีรายละเอียด ดงั นี้
1) วเิ คราะห์ปญั หาตามหลกั อรยิ สัจ 4 เป็นการที่ผูท้ า่ หน้าท่ีไกล่เกล่ียข้อพิพาทเร่ิมต้นจากการใช้
หลกั อรยิ สัจส่ี เป็นกรอบในการวิเคราะห์ คือ เข้าใจทุกข์หรือปัญหาท่ีเกิดข้ึน สาเหตุของปัญหา เพื่อหาหนทาง
ของการฟื้นคนื ดี ลดตณั หา มานะ ทิฎฐิ ท่าให้บรรลไุ ปสเู่ ป้าหมาย (P.A.Payutto, 2019) โดยเป็นการวิเคราะห์
ปญั หาเพ่อื จดั การกับปัญหาหรือข้อพิพาทจ่าเป็นท่ีต้องรู้สาเหตุของ ความขัดแย้ง โดยการวิเคราะห์ปัญหาหรือ
ข้อพิพาท ตลอดจนมองหาวธิ กี ารจดั การปัญหาหรือข้อพพิ าทเพือ่ นา่ ไปสู่การอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ผู้ท่าหน้าที่
ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทควรเริ่มต้นจากการใช้หลักอริยสัจสี่ เป็นกรอบในการวิเคราะห์ คือ เข้าใจทุกข์หรือปัญหาท่ี
เกิดข้ึน สาเหตุของปัญหา ไปให้ถึงเป้าหมายของการฟื้นคืนดี ลดตัณหา มานะ ทิฎฐิ และหาวิธีการไปสู่
เป้าหมาย คอื ขอ้ ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์หรือหาวิธีการแก้ไขความขัดแย้งให้ยุติลงด้วยวิธีสมานฉันท์เพื่อการ
อยู่รว่ มกันต่อไปในสงั คม
2) เปิดเวทีพูดคุยดว้ ยพรหมวิหาร เป็นการท่ผี ู้ทา่ หนา้ ทไี่ กล่เกล่ยี ข้อพพิ าทใชห้ ลักพรหมวหิ าร
เป็นหลักใจและก่ากับความประพฤติ และปฏิบัติตนต่อคู่กรณีโดยชอบ (P.A.Payutto, 2008) เพื่อเอ้ืออ่านวย
ต่อการไกล่เกล่ียข้อพิพาทในชุมชน การแสดงความรักความหวังดีต่อคู่กรณีทุกฝ่ายด้วยหลักพรหมวิหาร โดย
การบอกใหค้ ู่กรณเี ข้าใจถึงผลดีผลเสียของการเข้าสู่การเจรจาด้วยความรักความปรารถนาดีต้องการให้ทุกฝ่าย
หันหน้ามาคุยกันเพ่ือให้มีทางออกของปัญหาโดยหลักกรุณาให้คู่กรณีพ้นจากปัญหาหรือทุกข์น้ัน และหาก
คู่กรณีไม่ยอมเข้าสู่การพูดคุย จะไปฟ้องร้องเป็นคดีต่อกันไม่สมัครใจพูดคุย ก็จ่าเป็นท่าใจวางเฉยมองด้วย
ใจสงบตามหลกั อุเบกขาเพราะคู่กรณีเป็นฝา่ ยเลือกแลว้
3) จัดสานเสวนาแบบกัลยาณมิตร เป็นการจัดเวทีสานเสวนาเพื่อแก้ปัญหาด้วยความเป็นกลาง
ในชมุ ชนภายใตอ้ า่ นาจและหนา้ ท่ขี องผทู้ ่าหน้าท่ไี กลเ่ กลี่ยข้อพิพาทที่ใช้หลักกัลยาณมิตรด้วยการแสดงการเป็น
มิตรผมู้ ีคณุ อนั บัณฑติ พึงนบั หรือเพ่ือนท่ีดี (P.A.Payutto, 2008) ในการไกล่เกล่ียข้อพิพาท ควรมีเป้าหมายใน
๘๓
การท่าให้คู่กรณีคืนดีกันหรือสามารถมีข้อตกลงร่วมกันและน่าพาไปสู่สันติสุขได้ อย่างเหมาะสมถูกต้อง
โดยการส่ือสารด้วยการเจรจาค้นหาความต้องการที่แท้จริง ด้วยความสุภาพอ่อนโยน พูดความจริง พูดถูก
กาลเทศะ มีน่้าใจงามพร้อมช่วยเหลือเก้ือกูลคู่กรณี คอยชี้แนะแนวทางท่ีให้คู่กรณี ท่าให้คู่กรณีลดอัตตา
การยดึ มั่นความเห็นแกต่ นมากจนเกนิ ไป ชว่ ยให้ทางแกป้ ัญหาด้วยความรักความหวังดีกับคู่กรณที กุ ฝา่ ย
4) สร้างทางเลือกโดยไม่มีอคติ เป็นการประสานความสัมพันธ์เพื่อสร้างทางเลือกในการ
แก้ปัญหาโดยไม่มีอคติ เพ่ือช่วยหาทางขจัดอคติหรืออกุศลมูลในใจของคู่ขัดแย้งให้ได้ (Phra Phaisan Visalo,
2013) โดยผู้ท่าหน้าท่ีไกล่เกลี่ข้อพิพาทต้องต้องขจัดอคติหรืออกุศลมูลในใจของตัวเองก่อนที่จะหาทางขจัด
อคติหรืออกุศลมูลในใจของคู่กรณี (วิทูล หนูยิ้มซ้าย, 2019) ด้วยการไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วย
เหตุเพราะรัก เพราะเกลียด เพราะเกรงใจ หรือการหลงผิดไม่รู้เท่าทัน โดยควรแนะน่าแนวทางท่ีเป็นกลาง
เพ่อื ใหท้ กุ ฝา่ ยไดป้ ระโยชนส์ งู สดุ และพงึ พอใจด้วยกันทุกฝา่ ย
5) ยตุ ิปัญหาด้วยดีบนสามัคคีธรรม เป็นการท่าหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยใช้หลักธรรม
ท่ีมีอยู่ภายในและหลักธรรมที่แสดงออกภายนอก น่ามาสร้างความสามัคคีและท่าให้การไกล่เกลี่ยบรรลุผล
ส่าเร็จได้ด้วยดี (Nuyimsai, 2019) เพ่ือเอ้ืออ่านวยผลให้ยุติปัญหาด้วยความสัมฤทธิ์ผล โดยอ่านวยการ
ไกล่เกล่ียข้อพิพาทให้ยุติลงได้ด้วยดีและสามารถสานสัมพันธภาพที่ดีให้คู่พิพาทอยู่ร่วมกันได้ต่อไป และช่วย
ตดิ ตามผลการปฏิบัตติ ามขอ้ ตกลง
การไกล่เกล่ียข้อพิพาททางอาญาในขั้นการสอบสวน ความหมายของการไกล่เกลี่ยคดีอาญา
ในชั้นพนักงานสอบสวน คือ การไกล่เกล่ียข้อพิพาททางอาญาในข้ันสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนจัดให้
คู่กรณีในคดีอาญามีโอกาสเจรจาตกลงหรือเยียวยาความเสียหายเพื่อระงับคดีอาญา คดีอาญาที่จะไกล่เกล่ีย
ในช้ันสอบสวนได้ เป็นคดีเช่นเดียวกับคดีในกระบวนการไกล่เกลี่ยคดีอาญา โดยเพิ่มความผิดที่มีอัตราโทษ
จ่าคุกไม่เกินสามปีตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติด้วย ท้ังน้ีกระบวนการไกล่เกลี่ยในช้ันนี้เป็นตามกระบวนการ
ที่มีลักษณะเฉพาะ ซ่ึงแตกต่างจากจากกระบวนการไกล่เกล่ียข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญาท่ีกล่าวมาแล้ว
ข้างต้นอยู่หลายประการ และผู้ประสงค์จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน ให้ย่ืนค่าขอต่อ
ผบ.ตร. ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลดั กระทรวงมหาดไทย หรืออัยการสูงสดุ แล้วแต่กรณี ในฐานะนายทะเบียน
เมื่อคู่กรณีได้มีการตกลงเป็นประการใดให้จัดให้มีการท่าบันทึกข้อตกลงและให้คู่กรณีลงช่ือไว้ด้วย เม่ือคู่กรณี
ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว ให้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบ เพื่อจัดท่าบันทึกส่งให้พนักงานอัยการเพื่อยุติคดี
และสิทธิฟอ้ งคดเี ปน็ อันระงบั แตถ่ า้ ผู้ตอ้ งหาไม่ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลงกต็ ้องมีการดา่ เนินคดีต่อไป
๘๔
การไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาทคดีอาญาชั้นพนักงานอัยการ มาตรการยุติธรรมทางเลือก
ชัน้ พนกั งานอัยการ มีไดห้ ลายกรณีดังน้ี๔
(1) การส่ังยุติคดีกรณีความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) ที่บัญญัติว่าในคดีความผิดอันยอมความได้สิทธิน่าคดีอาญามาฟ้อง
ระงับไปเม่ือถอนค่าร้องทุกข์ถอนฟ้อง หรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยส่านักงานอัยการสูงสุด
ได้ก่าหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของการสั่งยุติคดีไว้ในระเบียบส่านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการด่าเนิน
คดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ และต่อมาได้ออกระเบียบส่านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วย
การไกล่เกล่ียและประนอมขอ้ พิพาทคดีอาญาในช้นั พนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๕
(๒) ความผิดตามกฎหมายฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกท่ี
พนักงานอัยการเข้าไปมีส่วนส่าคัญในกระบวนการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟู
สมรรถภาพผ้ตู ิดยาเสพตดิ ตาม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยในระดบั นโยบาย อยั การสูงสุดเป็นกรรมการในคณะกรรมการ
ฟื้นฟซู งึ่ มหี น้าที่กา่ หนดนโยบายและระเบียบต่างๆ ในระดับปฏิบัติปลัดกระทรวงยุติธรรมได้ขอความร่วมมือให้
ส่านักงานอัยการสูงสุดจัดหาผู้แทนเพื่อแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการฟื้นฟูฯ ในแต่ละพื้นท่ีและพนักงาน
อัยการเจ้าของส่านวนก็มีหน้าที่ในการพิจารณาว่าผู้ต้องหามีสิทธิท่ีจะได้รับการฟื้นฟูหรือไม่ ทั้งน้ีส่านักงาน
อัยการสูงสุดได้ก่าหนดแนวทางในการด่าเนินคดีฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดและเวียนแจ้งให้ถือปฏิบัติ
(๓) คดีความผิดตามกฎหมายเยาวชนและครอบครัว พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๘๖ ก่าหนดให้มีการจัดท่าแผนแก้ไขฟื้นฟู
ผู้กระท่าผิดซึ่งเป็นเด็กหรือเยาวชน ก็ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกในชั้นพนักงานอัยการท่ีสามารถ
ลดปรมิ าณคดีขนึ้ ส่ศู าลได้
(๔) คดีที่พนักงานอัยการเห็นว่า การฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนหรือจะมี
ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ห รื อ ค ว า ม มั่ น ค ง ข อ ง ช า ติ ห รื อ ต่ อ ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ อั น ส่ า คั ญ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ
พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๑ วรรคสอง บัญญัติให้เสนอต่อ
อยั การสงู สุดและอัยการสูงสุดมอี ่านาจสงั่ ไม่ฟ้องไดท้ ัง้ นี้ตามระเบียบท่ีส่านักงานอัยการสูงสุดก่าหนด โดยความ
เห็นชอบของ ก.อ. ซึ่งส่านักงานอัยการสูงสุดได้ออกระเบียบส่านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญา
ที่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความม่ันคงของชาติหรือต่อ
ผลประโยชน์อันสา่ คญั ของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ ทงั้ นี้การดา่ เนนิ คดตี ามระเบียบน้ีนับเป็นการเบี่ยงเบนคดีออก
จากศาล ซง่ึ ถอื ว่าเป็นกระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลือกชน้ั พนกั งานอยั การอกี ทางหนง่ึ
ความผิดอันยอมความได้: ความผิดต่อส่วนตัว “ความผิดอันยอมความได้” น้ัน ตามกฎหมายเดิมๆ
เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) เรียกว่า “ความผิดต่อส่วนตัว” ความผิด
ประเภทนี้ผลการกระท่าผิดจะมีผลกระทบต่อผู้เสียหายโดยตรงเป็นส่วนใหญ่ หากผู้เสียหายยินยอมคดีก็ระงับ
ลงได้กฎหมาย จึงบัญญัติให้ในคดีความผิดอันยอมความได้หรือคดีความผิดต่อส่วนตัว เม่ือได้ถอนค่าร้องทุกข์
ถอนฟ้องหรอื ยอมความกนั โดยถูกต้องตามกฎหมายสิทธิน่าคดีดังกล่าวมาฟ้องย่อมระงับไป แตกต่างไปจากคดี
ความผิดทีก่ ฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความกันได้ที่เรียกกันว่า “คดีอาญาแผ่นดิน” ซ่ึงผลของ
๘๕
การกระท่าผิดจะมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นส่วนรวม คดีเหล่านี้
แมผ้ ูเ้ สียหายจะยนิ ยอมก็ไม่ท่าให้สิทธนิ า่ คดีอาญามาฟ้องระงับลงไป ความผิดทีก่ ฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด
อันยอมความได้แบ่งออกเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดอันยอมความ
ได้ตามกฎหมายเฉพาะต่างๆ ดังนี้ (๑) ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติความผิดอันยอมความได้เอาไว้ตามราย
มาตรา โดยจะเร่ิมต้นตั้งแต่ลักษณะ ๘ ความผิดเก่ียวกับการค้าเป็นต้นไป ๑. ลักษณะ ๘ ความผิดเกี่ยวกับ
การคา้ มาตรา ๒๗๒ มี ๓ ฐานความผิด ได้แก่ ๑.๑ ความผิดฐานเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความในการ
ประกอบการค้าของผูอ้ ่นื มาใช้ ๑.๒ ความผดิ ฐานเลยี นป้ายผู้อน่ื ๑.๓ ความผิดฐานไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความ
เท็จเกี่ยวกับการคา้ ของผู้อ่ืน ๒. ลักษณะ ๙ ความผดิ เกีย่ วกับเพศ มี ๔ ฐานความผดิ ได้แก่ ๒.๑ ความผิดฐาน
ข่มขืนกระท่าช่าเราผู้อื่น (โดยไม่มีเหตุฉกรรจ์) ๒.๒ ความผิดฐานกระท่าอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ซึ่งความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคแรกและมาตรา ๒๗๘ น้ัน ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารก่านัล ไม่เป็นการให้
ผู้ถูกกระท่ารับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตายหรือมิได้เป็นการกระท่าแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้า ปี
ซ่ึงมิใช่ภริยาหรือสามีของตน ๒.๓ ความผิดฐานพาผู้อ่ืนไปเพ่ือการอนาจาร ๒.๔ ความผิดฐานซ่อนเร้นบุคคล
ซ่ึงถูกพาไปเพื่อการอนาจาร ๓. ลักษณะ ๑๑ ความผิดเก่ียวกับเสรีภาพและช่ือเสียง หมวด ๑ ความผิดต่อ
เสรีภาพ มี ๓ ฐานความผิด ได้แก่ ๓.๑ ความผิดฐานท่าให้เสื่อมเสียเสรีภาพ (ไม่มีเหตุฉกรรจ์) ๓.๒ ความผิด
ฐานหน่วงเหน่ยี วกักขังผอู้ ืน่ (ไม่มเี หตฉุ กรรจ)์ ๓.๓ ความผดิ ฐานหน่วงเหน่ียวกักขังผู้อ่ืนโดยประมาท (ไม่มีเหตุ
ฉกรรจ์) ๔. ลักษณะ ๑๑ ความผิดเก่ียวกับเสรีภาพและช่ือเสียง หมวด ๒ ความผิดฐานเปิดเผยความลับ มี ๒
ฐานความผิด ได้แก่ ๔.๑ ความผิดฐานเปิดเผยความลับในจดหมาย โทรเลขหรือเอกสารปิดผนึกของผู้อ่ืน
๔.๒ ความผิดฐานเปิดเผยความลับของผู้อื่นที่ล่วงรู้มาโดยหน้าท่ี ๔.๓ ความผิดฐานเปิดเผยความลับในทาง
อุตสาหกรรมหรือวิทยาศาสตร์ ๕. ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด ๓ ความผิดฐาน
หม่ินประมาท มี ๓ ฐานความผิด ได้แก่ ๕.๑ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ๕.๒ ความผิดฐานหม่ินประมาท
คนตาย ๕.๓ ความผิดฐานหม่ินประมาทด้วยการโฆษณา ๖. ลักษณะ ๑๒ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หมวด ๓
ความผิดฐานฉ้อโกง มี ๖ ฐานความผิด ได้แก่ ๖.๑ ความผิดฐานฉ้อโกง ๖.๒ ความผิดฐานฉ้อโกงโดยแสดงตน
เป็นคนอื่น หรืออาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูก
หลอกลวง ๖.๓ ความผิดฐานหลอกลวงคนให้ไปท่างาน ๖.๔ ความผิดฐานสั่งซ้ืออาหารหรือเข้าอยู่ในโรงแรม
โดยไม่มีเงิน ๖.๕ ความผิดฐานชักจูงให้เด็กเบาปัญญาขายของโดยเสียเปรียบ ๖.๖ ความผิดฐานฉ้อโกงในการ
ประกันวนิ าศภัย ๗. ลักษณะ ๑๒ ความผดิ เกยี่ วกบั ทรพั ย์ หมวด ๔ ความผิดฐานโกงเจ้าหน้ี มี ๒ ฐานความผิด
ได้แก่ ๗.๑ ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ผู้รับจ่าน่า ๗.๒ ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ท่ัวไป) ๘. ลักษณะ ๑๒ ความผิด
เก่ียวกับทรัพย์ หมวด ๕ ความผิดฐานยักยอก มี ๔ ฐานความผิด ได้แก่ ๘.๑ ความผิดฐานยักยอก
๘.๒ ความผิดฐานยักยอกในฐานะเปน็ ผจู้ ดั การทรพั ย์ ๘.๓ ความผดิ ฐานยักยอกในฐานะเป็นผู้จัดการทรัพย์ตาม
ค่าสั่งศาลหรือตามพินัยกรรมหรือฐานเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจ ๘.๔ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์เก็บตก
๙. ลักษณะ ๑๒ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หมวด ๗ ความผิดฐานท่าให้เสียทรัพย์ มี ๒ ฐานความผิด ได้แก่
๙.๑ ความผิดฐานทา่ ใหเ้ สียทรัพย์ ๙.๒ ความผดิ ฐานท่าให้เสยี ทรัพย์ท่ีมีเหตุฉกรรจ์ ๑๐. ลักษณะ ๑๒ ความผิด
เก่ียวกับทรัพย์ หมวด ๘ ความผิดฐานบุกรุก มีฐานความผิด ได้แก่ ๑๐.๑ ความผิดฐานบุกรุกอันเป็นการ
๘๖
รบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ๑๐.๒ ความผิดฐานบุกรุกโดยย้ายเครื่องหมายอสังหาริมทรัพย์
๑๐.๓ ความผิดฐานเข้าไปซ่อนตัวในอาคารของคนอื่น ๑๑. ความผิดอันยอมความได้เพราะเหตุความสัมพันธ์
ระหว่างผู้กระท่าผดิ และผูเ้ สยี หาย ยังมีความผิดอันยอมความได้อันเกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระท่า
ผิดและผู้เสียหาย ตามความในประมวลกฎหมายอาญา “มาตรา ๗๑ ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๔
ถึงมาตรา ๓๓๖ วรรคแรก และมาตรา ๓๔๑ ถึงมาตรา ๓๖๔ น้ัน ถ้าเป็นการกระท่าที่สามีกระท่าต่อภริยา
หรือภริยากระท่าต่อสามีผู้กระท่าไม่ต้องรับโทษ ความผิดดังระบุมาน้ีถ้าเป็นการกระท่าท่ีผู้บุพการีกระท่าต่อ
ผ้สู ืบสนั ดาน ผ้สู บื สันดานกระท่าตอ่ ผู้บพุ การีหรือพหี่ รอื นอ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั กระท่าต่อกนั แมก้ ฎหมาย
มิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้และนอกจากนั้นศาล จะลงโทษ
นอ้ ยกวา่ ทีก่ ฎหมายกา่ หนดไวส้ ่าหรับความผิดนนั้ เพยี งใดก็ได้”
ความผิดอันยอมความได้ตามกฎหมายเฉพาะ (๑) พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พ.ศ. ๒๕๓๗
(๒) พระราชบญั ญัติวา่ ดว้ ยความผดิ อันเกดิ จากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ (๓) พระราชบัญญตั คิ วามลับทางการค้า
พ.ศ. ๒๕๔๕ (๔) พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ (๕) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท่าด้วย
ความรนุ แรงในครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๐ (๖) ความผดิ อนั ยอมความไดต้ ามกฎหมายอืน่
การไกลเ่ กล่ยี และประนอมขอ้ พพิ าทคดีอาญาในความผดิ ต่อส่วนตวั
๑. การไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาท พนักงานอัยการเจ้าของเรื่องจะต้องกระท่าด้วยความเท่ียง
ธรรมและเป็นกลาง และต้องไม่กระท่าการใดเพื่อเป็นการจูงใจ ให้ค่ามั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดย
มิชอบประการอนื่ เพอ่ื ใหค้ ู่กรณยี นิ ยอมในการไกลเ่ กลย่ี และประนอมข้อพิพาท
๒. พนักงานอัยการผู้มีอ่านาจหน้าที่ไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาท ได้แก่ อัยการพิเศษ
ฝ่ายช่วยเหลือทางกฎหมาย สคช. หรือ อัยการจังหวัดประจ่าส่านักงานอัยการสูงสุดรับผิดชอบงานคุ้มครอง
สิทธิแก่ประชาชนประจา่ ส่านักงานอัยการจังหวัด (อจ.สคช.) แล้วแต่กรณี ทั้งน้ีอัยการพิเศษฝ่ายช่วยเหลือทาง
กฎหมาย สคช. หรือ อจ.สคช. อาจมอบหมายพนักงานอัยการคนหน่ึงหรือหลายคนที่รับผิดชอบงานคุ้มครอง
สทิ ธแิ ละช่วยเหลอื ทางกฎหมายแกป่ ระชาชนเป็นเจา้ ของเรอ่ื งผู้รบั ผิดชอบ
๓. กรณีส่านักงานอัยการจังหวัดใดไม่มี อจ.สคช. ประจ่าอยู่ ให้อัยการจังหวัดนั้น มอบหมาย
พนักงานอยั การซึง่ มใิ ชผ่ รู้ ับผิดชอบในการดา่ เนนิ คดอี าญาเรื่องนั้นเปน็ พนักงานอยั การเจ้าของเรื่อง
๔. เมือ่ สง่ เร่อื งให้ สคช. หรือ อจ.สคช. เพ่ือด่าเนินการไกล่เกล่ียแล้วให้พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบ
ในการดา่ เนินคดีอาญาพิจารณาส่ังคดนี ้ันต่อไปโดยไม่ต้องรอผลการไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาท และเม่ือมี
คา่ สั่งถงึ ที่สดุ แลว้ ให้มหี นงั สือแจ้ง สคช. หรอื อจ.สคช. แลว้ แต่กรณที ราบทันที
๕. คดีอาญาในความผิดต่อส่วนตัวท่ีมีลักษณะดังต่อไปน้ีต้องห้ามมิให้ด่าเนินการไกล่เกล่ียประนอม
ขอ้ พพิ าท
๕.๑ คดีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระท่าผิดของผู้ต้องหาเป็นการประกอบอาชญากรรมเป็น
อาชีพ หรือกระท่าความผดิ ติดนสิ ัย
๕.๒ คดที มี่ ขี ้อเทจ็ จริงเปน็ ท่ีแนช่ ดั แลว้ ว่าพนกั งานอัยการจะต้องมีค่าส่งั ยุตคิ ดเี พราะเหตุอื่น
๘๗
๖. การไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาท ให้ด่าเนินการ ณ ส่านักงานอัยการ หรือสถานท่ีราชการอ่ืน
ตามที่พนักงานอัยการเห็นสมควร โดยสถานที่ไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาทควรจัดแยกเป็นสัดส่วนเพื่อ
รักษาความลบั
๗. คู่กรณมี สี ิทธใิ หบ้ ุคคล ซึ่งตนไวว้ างใจเขา้ รบั ฟงั ได้ฝ่ายละไมเ่ กนิ สองคน
๘. การไกลเ่ กลีย่ และประนอมขอ้ พิพาทไมใ่ หว้ ินจิ ฉัยวา่ คกู่ รณีฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก
๙. การไกล่เกลย่ี และประนอมขอ้ พพิ าท ถา้ มีการเรียกร้องค่าเสียหายหรือเงื่อนไขอย่างหน่ึง อย่างใด
ให้คู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึงต้องปฏิบัติหากคู่กรณีทั้งสองฝ่ายยินยอมให้พนักงานอัยการกะจ่านวนค่าเสียหายหรือ
ก่าหนดเง่ือนไขท่ตี อ้ งปฏิบตั ินน้ั ได้ตามทเี่ หน็ สมควร
การไกล่เกล่ียในคดีอาญาที่ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว ระเบียบส่านักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการ
ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทคดีอาญาในช้ันพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ก่าหนดหลักเกณฑ์การ
ไกลเ่ กลี่ยคดีอาญาทไ่ี ม่ใชค่ วามผิดตอ่ ส่วนตวั เอาไว้ด้วย ดังนี้
๑. ในส่านวนคดีอาญาซ่ึงไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว หรือส่านวนคดีอาญาที่มีความผิดต่อส่วนตัวและ
ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวรวมกัน ถ้าผู้เสียหายและผู้ต้องหามีความประสงค์จะให้ไกล่เกล่ีย เพ่ือบรรเทาความ
เสยี หายและเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีของศาล พนกั งานอัยการอาจดา่ เนินการไกล่เกลีย่ ให้ได้
๒. เมอ่ื พนกั งานอยั การผู้รบั ผิดชอบการด่าเนินคดีได้รับแจ้งผลการไกล่เกล่ียแล้ว และเป็นกรณีที่การ
ไกลเ่ กลี่ยน้นั สามารถตกลงกันได้ให้พนักงานอยั การแถลงถึงผลการไกลเ่ กลย่ี น้นั ต่อศาลด้วย
๓. ให้น่าความในหมวด ๑ การไกล่เกล่ียและประนอมข้อพิพาทคดีอาญาในความผิดต่อส่วนตัวมาใช้
ในการดา่ เนนิ การไกลเ่ กล่ียคดอี าญาทีไ่ ม่ใช่ความผดิ ต่อสว่ นตวั โดยอนุโลม
ศาสตรแ์ ละศลิ ปะในการไกลเ่ กล่ียประนอมข้อพิพาท: ผู้ทรงคุณวุฒิอัยการผู้มีความรู้ความเช่ียวชาญ
และประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทท่านหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า “การไกล่เกลี่ยประนีประนอม
ข้อพิพาทเปน็ ทั้งศาสตร์และศิลปะ ที่ว่าเป็นศาสตร์น้ัน หมายถึงว่าผู้ท่าหน้าท่ีเกี่ยวกับเรื่องน้ีจะต้องมีความรู้ใน
เร่ืองความรู้เบ้ืองต้นทางกฎหมายตามสมควร มีความรู้ในเรื่องสังคมจิตวิทยา ตลอดจนฐานะความเป็นอยู่ของ
คกู่ รณแี ละท่ีวา่ เป็นศิลปะนั้นก็หมายถงึ วา่ ผู้ท่าหนา้ ทต่ี อ้ งมศี ิลปะในการเจรจา มปี ฏภิ าณไหวพริบและกลยุทธ์ใน
การประนอมข้อพิพาท” (สหาย ทรพั ยส์ นุ ทรกุล อดีตรองอยั การสูงสุด)
๘๘
การไกล่เกลย่ี ในช้นั ศาล๕
การไกล่เกล่ีย คือ กระบวนการยุติหรือระงับข้อพิพาทด้วยความตกลงยินยอมของคู่ความเองโดยท่ีมี
บุคคลที่สามมาเป็นคนกลางคอยช่วยเหลือแนะน่า เสนอแนะหาทางออกในการยุติหรือระงับข้อพิพาทให้
คคู่ วามต่อรองกนั ไดส้ า่ เรจ็
การไกล่เกล่ียข้อพิพาทในศาล หมายถึง การท่ีผู้ไกล่เกล่ียท่าการไกล่เกล่ียข้อพิพาท ซ่ึงเป็นคดีที่อยู่
ระหว่างการพิจารณาของศาลต้ังแต่ศาลรับฟ้องจนถึงก่อนมีค่าพิพากษาถึงที่สุดให้กับคู่ความ เป็นการช่วยให้
คคู่ วามทงั้ สองฝา่ ยสามารถบรรลขุ ้อตกลงรว่ มกัน แตผ่ ู้ไกลเ่ กลี่ยไม่มีอ่านาจในการก่าหนดข้อตกลงให้แก่คู่ความ
แต่อย่างใด โดยมีจุดประสงค์เพ่ือให้เกิดการประนีประนอมยอมความให้จากความสมัครใจของคู่ความทั้งสอง
ฝ่ายเป็นส่าคัญ ดังนัน้ ฝา่ ยใดฝ่ายหนึ่งอาจขอยกเลกิ การไกล่เกลี่ยเสียเมื่อใดกย็ อ่ มได้
ผู้ไกล่เกล่ีย หรือบางครั้งเรียกว่า “ผู้ประนีประนอม” ได้แก่ ผู้พิพากษาในศาลต่าง ๆ ซ่ึงมิใช่
ผู้พิพากษาเจ้าของส่านวน รวมท้ังบุคคลหรือคณะบุคคลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการไกล่เกลี่ยและแต่งตั้งให้
เป็นผู้ประนีประนอมประจ่าศาล โดยผู้พิพากษาหรือบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีความสนใจมีความพร้อมและสมัคร
ใจที่จะท่าหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกล่ียซึ่งมีความเป็นกลาง ไม่มีอคติสามารถให้ความเป็นธรรมกับคู่ความ ทุกฝ่ายได้
ถูกต้องตรงตามความประสงค์ของคู่ความ ช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่คู่ความทุกฝ่ายและเป็นผู้ช่วยท่าให้ข้อพิพาท
ทง้ั หลายยุติลงอยา่ งฉนั มิตร ผู้ไกล่เกลี่ยมหี น้าที่ในการช่วยให้คู่ความท้ังสองฝ่ายตกลงประนีประนอมยอมความ
กัน ไม่มีหน้าท่ีตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทหรือคดีระหว่างความแต่อย่างใด ท้ังนี้ การไกล่เกลี่ยในแต่ละคดีความนั้น
ต้องได้รับการแตง่ ตัง้ ใหเ้ ปน็ ผไู้ กลเ่ กลี่ยคดีน้ัน โดยท่านผูพ้ ิพากษาหวั หนา้ ศาลอีกคร้งั หนึ่ง
คดหี รอื ขอ้ พิพาททีส่ ามารถไกลเ่ กลีย่ ได้
1. คดหี รือขอ้ พิพาททางแพ่ง เช่น กยู้ ืม ค้ าประกัน ซือ้ ขาย เชา่ ทรพั ย์ครอบครัว มรดก ฯลฯ
2. คดหี รือข้อพิพาททางอาญาท่ียอมความไดเ้ ชน่ บุกรุก ยกั ยอก ท่าใหเ้ สียทรพั ย์หมิ่นประมาท ฯลฯ
3. ข้อพิพาททางแพ่งท่ีเกี่ยวกับคดีอาญา สามารถไกล่เกล่ียได้ในส่วนคดีแพ่ง เช่น กรณีขับรถ
โดยประมาทเปน็ เหตุให้ผ้อู ่นื ได้รบั อันตรายแก่รา่ งกาย หรอื จติ ใจ คดสี ามารถตกลงประนีประนอมยอมความได้
ในส่วนของค่าเสียหาย ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญานั้น เจ้าพนักงานต่ารวจสามารถด่าเนินคดี
ตอ่ ไปได้
4. คดีหรือขอ้ พพิ าทอนื่ ท่ยี ตุ โิ ดยวิธีการไกลเ่ กล่ยี ข้อพพิ าท
สิ่งท่ีคู่ความต้องมีในการไกล่เกลี่ย สิ่งส่าคัญอย่างยิ่งในการท่ีจะไกล่เกล่ียให้ประสบความส่าเร็จ
หากคูค่ วามมีส่ิงเหล่าน้ี คือ
1. ความต้องการท่จี ะใหไ้ กล่เกลี่ย
2. ความรับผดิ ชอบส่วนตวั
3. ความตั้งใจทจ่ี ะไมต่ กลงดว้ ย
4. ความตง้ั ใจทจี่ ะตกลงด้วย การไกล่เกล่ียส่งผลสองทางคือคู่กรณีท้ังสองฝ่ายพอใจท้ังคู่หรือเรียกว่า
ชนะท้งั คู่ (win-win) จงึ เปน็ ผลท่ีตรงตามความมุ่งหมายของการไกล่เกล่ีย เชน่ เจ้าหน้ีกไ็ ด้รบั ชา่ ระหน้ี
๘๙
ขัน้ ตอนการเขา้ ระบบไกล่เกลย่ี
1. กรณกี ารไกล่เกลี่ยข้อพพิ าทก่อนวนั นัด
1.1 โจทกอ์ าจแสดงความประสงคต์ ่อศาล เพื่อขอให้ศาลน่าคดีเข้าสู่ระบบการไกล่เกล่ียข้อพิพาท
ในศาลเม่ือโจทก์ด่าเนินการยื่นฟ้องคดีหรือจ่าเลยเมื่อได้รับส่าเนาค่าฟ้อง หรือหนังสือเชิญชวนเข้าสู่ระบบการ
ไกล่เกล่ยี ขอ้ พิพาท อาจแจ้งความประสงค์มายงั ศูนย์ไกล่เกลย่ี ข้อพิพาทเพ่ือขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับคู่พพิ าท
1.2 ภายหลังท่ีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้รับแจ้งความประสงค์ของคู่พิพาทแล้วจะประสานกับ
คู่พพิ าทเพอื่ กา่ หนดนัดวันไกล่เกลย่ี และแจ้งให้ค่พู ิพาททกุ ฝ่ายทราบ
2. กรณกี ารไกลเ่ กลย่ี ขอ้ พพิ าทระหว่างการพจิ ารณาคดขี องศาล
2.1 คู่ความสามารถขอให้ศาลใช้ระบบการไกล่เกล่ียข้อพิพาทในเวลาใด ๆ ก็ได้ในระหว่างการ
พิจารณาคดีหรอื ศาลอาจเห็นสมควรให้ไกลเ่ กล่ียคดใี ห้อยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาก็ได้
2.2 ผพู้ ิพากษาสง่ คดีเขา้ สศู่ นู ยไ์ กลเ่ กล่ยี ข้อพิพาทประจ่าศาลดา่ เนินการ
2.3 ผู้พิพากษาท่าหน้าท่ีไกล่เกล่ียหรือผู้ประนีประนอมประจ่าศาลซ่ึงเป็นบุคคลภายนอก
ท่ขี ึ้นทะเบยี นไวด้ า่ เนินการไกลเ่ กลี่ย
2.4 ถ้าตกลงกันได้อาจมีการถอนฟ้อง ถอนค่าร้องทุกข์ หรือศาลมีค่าพิพากษาไปตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความท่คี ู่ความตกลงยินยอมจัดท่าขนึ้
การสิ้นสุดการไกล่เกลยี่
1. เมอ่ื มีการท่าสญั ญาประนีประนอมยอมความดว้ ยความยินยอมและพงึ พอใจของคู่พิพาท
2. เมอ่ื ฝ่ายใดฝา่ ยหน่งึ ไมป่ ระสงคท์ ่ีจะดา่ เนินการไกล่เกลี่ยตอ่ ไป
3. เมอื่ ผไู้ กลเ่ กลีย่ ส่งั ใหย้ ุตกิ ารไกล่เกลี่ยเน่ืองจากคู่พิพาทไม่สามารถตกลงกนั ได้
หน่วยงานท่ีรับผิดชอบการระงับข้อพิพาทคือ กองส่งเสริมระงับข้อพิพาท กรมคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีอ่านาจหน้าที่ ดังน้ี (1) พัฒนาระบบและมาตรการส่งเสริมการระงับข้อพิพาท
โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน (2) ด่าเนินการส่งเสริมการระงับข้อพิพาทโดยเน้นการมีส่วน
ร่วมของประชาชนและชมุ ชน (3) ประสานงานกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการจัดอบรมหรือเผยแพร่ความรู้แก่
ชุมชนเพื่อส่งเสริมการระงับข้อพิพาท (4) ประสานงานและส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง
ท้ังภาครัฐและภาคเอกชนทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศในการสง่ เสริมการระงบั ขอ้ พพิ าท (5) ศึกษา วิเคราะห์
เพื่อพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาท (6) ติดตามและประเมินผลการด่าเนินงานส่งเสริมการระงับข้อพิพาท
(7) ปฏิบัตงิ านรว่ มกับหรอื สนับสนนุ การปฏิบัติงานของหน่วยงานอน่ื ทเ่ี กยี่ วข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
พ.ร.บ.การไกล่เกล่ียข้อพิพาท พ.ศ.2562 ถือเป็นกฎหมายให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการ
ยุตธิ รรม โดยสะดวกรวดเรว็ และไมเ่ สยี ค่าใช้จ่าย ท่าให้ปริมาณคดีข้ึนสู่ศาลปกครองลดน้อยลง ลดปัญหาความ
ขัดแย้ง เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในสังคม ลดงบประมาณแผ่นดิน และเสริมสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่าง
ปกติสขุ
๙๐
อา้ งองิ
๑ จติ ติมา กลุ ประเสริฐรัตน์. ๒๕๖๒. พ.ร.บ.การไกล่เกลยี่ ข้อพิพาท พ.ศ.2562. เขา้ ถงึ ข้อมลู ไดจ้ ากไทยโพสต์
https://www.thaipost.net/main/detail/49023 วนั ที่สืบค้นข้อมูล ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๒ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสีมา คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ หลักสูตรนติ ิศาสตรบณั ฑติ . ๒๕๖๔.
ความเปน็ มาของกฎหมายการไกลเ่ กล่ียขอ้ พิพาท. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ได้จาก https://lawyer.human.nrru.ac.th/
wp-content/uploads/2021/06/2 วันที่สืบค้นข้อมูล ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๓ สกล หาญสทุ ธวิ ารนิ ทร์. ๒๕๖๒. การไกล่เกลี่ยระงบั ข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญา. เข้าถึงขอ้ มลู ไดจ้ าก
กรงุ เทพธรุ กิจ https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/121893 วนั ท่สี บื คน้ ข้อมูล
๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๔ อนุชาติ คงมาลยั . ๒๕๕๖. การไกลเ่ กลีย่ และประนอมขอ้ พิพาทคดีอาญาช้นั พนักงานอยั การ. เข้าถึงขอ้ มลู
ไดจ้ าก http://www.ago.go.th/articles_56/article_040156.pdf วนั ท่ีสืบคน้ ข้อมูล ๒๑ ตลุ าคม ๒๕๖๔.
๕ ศาลจังหวดั ตะก่วั ปา่ ศนู ยส์ มานฉันทแ์ ละสันติวธิ ี. ๒๕๖๒. การไกลเ่ กลยี่ . เข้าถงึ ขอ้ มูลไดจ้ าก
http://office.cpd.go.th/supportcoop/images/CDF/Paper/2562/002/tkpc_1461818013.pdf
วันท่สี บื คน้ ข้อมูล ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๖ กระทรวงยุตธิ รรม กรมค้มุ ครองสทิ ธแิ ละเสรีภาพ. ๒๕๖๔. กระบวนการจัดตง้ั ศูนยไ์ กลเ่ กลย่ี ข้อพิพาท
ภาคประชาชน. เขา้ ถึงขอ้ มูลได้จาก https://lawyer.human.nrru.ac.th/wp-content/uploads/
2021/06/3 วนั ที่สบื ค้นข้อมลู ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๗ ธปภัค บรู ณะสิงห์, พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส และ พระปราโมทย์ วาทโกวโิ ท. ๒๕๖๓. รูปแบบการ
ไกลเ่ กลย่ี ข้อพพิ าทภาคประชาชนโดยหลักพุทธสนั ติวธิ ี: ศกึ ษากรณีต่าบลสวาย อ่าเภอปรางค์กู่ จังหวัด
ศรีสะเกษ. วารสารสนั ตศิ กึ ษาปรทิ รรศน์ มจร ปที ่ี 8 ฉบับเพิม่ เติม. เขา้ ถงึ ข้อมลู ได้จาก file:///D:/
Downloads/240598-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%
B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-849524-2-10-20200703%
20(1).pdf วนั ท่สี ืบคน้ ข้อมูล ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔.
๙๑
การทรมาน (Torture)
ดร.อภิรัชศกั ด์ิ รัชนีวงศ์
"การทรมาน" (Torture) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการ
ลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือท่ีย่ายีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel,
Inhuman or Degrading Treatment or Punishment - CAT) หมายถึง การกระท่าใดก็ตามโดยเจตนาที่
ท่าให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่ว่าทางกายหรือทางจิตใจ ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เพ่อื ความมงุ่ ประสงค์ท่จี ะใหไ้ ดม้ าซง่ึ ขอ้ สนเทศหรอื ค่าสารภาพจากบุคคลน้ันหรือจากบุคคลที่สาม1 การลงโทษ
บุคคลน้ัน ส่าหรับการกระท่าซ่ึงบุคคลน้ันหรือบุคคที่สามกระท่าหรือถูกสงสัยว่าได้กระท่า หรือเป็นการขมขู่
ให้กลัว หรือเป็นการบังคับขู่เข็ญบุคคลนั้นหรือบุคคลที่สามหรือเพราะเหตุใดใด บนพื้นฐานขงการเลือก
ประติบัติ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด เม่ือความเจ็บปวสดหรือความทุกข์ทรมานน้ันกระท่าโดย หรือด้วยการยุยง
หรอื โดยความยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือของบุคคลอื่น ซ่ึงปฏิบัติหน้าที่ในต่าแหน่ง
ทางการ ทั้งน้ี ไม่รวมถึงความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานท่ีเกิดจาก หรืออันเป็นผลปกติจาก หรืออันสืบ
เนือ่ งมาจากการลงโทษท้งั ปวงท่ชี อบดว้ ยกฎหมาย3
สนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนมีลักษณะเป็นสนธิสัญญาพหุภาคี2 กล่าวคือ เป็นสนธิสัญญาท่ีมีรัฐ
มากกวา่ สองรัฐขึ้นไปเข้าเป็นภาคสี นธิสญั ญา ซึง่ กระบวนการในการท่าสนธสิ ัญญามหี ลายข้ันตอน นับตั้งแต่การ
เจรจา การให้ความยินยอมของรัฐเพ่ือผูกพันตามสนธิสัญญาโดยการลงนาม การให้สัตยาบัน การภาคยานุวัติ
และบางรัฐอาจตั้งข้อสงวน หรือตีความสนธิสัญญา และเมื่อปฏิบัติตามข้ันตอนในการท่าสัญญาครบถ้วนแล้ว
ภาคีก็มีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่อไป การเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาก่อให้เกิดพันธกรณีท่ีต้อง
ปฏิบัติให้สอดคล้องกับสนธิสัญญา มิฉะนั้นอาจต้องรับผิดในทางระหว่างประเทศ ดังน้ัน เมื่อประเทศไทยเข้า
เป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญาดังกล่าว
พนั ธกรณรี ะหว่างประเทศเก่ยี วกับสทิ ธิมนุษยชนของไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ซ่ึงสหประชาชาติถือเป็นสนธิสัญญา
หลัก จ่านวน 7 ฉบับ2 ได้แก่ (๑) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child -
CRC) (๒) อนุสญั ญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏบิ ัตติ อ่ สตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination
of All Forms of Discrimination Against Women - CEDAW) (๓) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ
พลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR)
(๔) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on
Economic, Social and Cultural Rights - ICESCR) (๕) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทาง
เชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination -
CERD) (๖) อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอ่ืนท่ีโหดร้าย
ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ายีศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or
Degrading Treatment or Punishment - CAT) (๗) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ (Convention on
the Rights of Persons with Disabilities - CRPD)
อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอ่ืนท่ีโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ
ท่ีย่ายีศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment
or Punishment - CAT)2 สาระส่าคัญ ในเน้ือหาของอนุสัญญาฉบับน้ีมีข้ึนเพ่ือวัตถุประสงค์ในการระงับและ
๙๒
ยับยั้งการทรมาน โดยในเนื้อหาของอนุสัญญาดังกล่าวได้ก่าหนดความหมายของ การทรมาน ว่าหมายถึง
การกระท่าใดก็ตามโดยเจตนาที่ท่าให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่ว่าทางกายภาพ
หรือทางจิตใจตอ่ บคุ คลใดบุคคลหนึ่ง ด้วยความมงุ่ ประสงค์ เพ่อื ใหข้ ้อสนเทศหรือค่าสารภาพจากบุคคลนั้นหรือ
บุคคลที่สาม การลงโทษบุคคลน้ันส่าหรับการกระท่าซ่ึงบุคคลนั้นหรือบุคคลท่ีสามกระท่า หรือถูกสงสัยว่า
ได้กระท่า รวมท้ังการบังคับขู่เข็ญ โดยมุ่งเน้นไปที่การกระท่าหรือโดยความยินยอมของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ
บคุ คลอื่น ซงึ่ ปฏิบัติหน้าท่ใี นตา่ แหนง่ ทางการ
อนุสัญญาตอ่ ตา้ นการทรมานและการประตบิ ัตหิ รอื การลงโทษอื่นทโี่ หดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือท่ีย่ายี
ศักด์ิศรี ประกอบด้วยวรรคอารัมภบท และบทบัญญัติ 33 ข้อ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน2 ดังน้ี (๑) (ข้อบทท่ี
1-16) ก่าหนดเกี่ยวกับค่านิยามของ "การทรมาน" บทบัญญัติว่าด้วยการก่าหนดให้การทรมานเป็นความผิด
ที่ลงโทษได้ตามกฎหมายอาญา เขตอ่านาจที่เป็นสากลเกี่ยวกับความผิดการทรมาน และหลักการส่งผู้ร้าย
ข้ามแดน (๒) (ข้อบทท่ี 17-24) ก่าหนดเก่ียวกับการน่าบทบัญญัติไปใช้โดยการจัดตั้งคณะกรรมการต่อต้าน
การทรมานซ่ึงเป็นองค์กรก่ากับดูแล ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอิสระ จ่านวน 10 คน ที่แต่งตั้งโดยภาคีสมาชิก
และปฏบิ ตั หิ น้าท่ใี นฐานะปจั เจกบคุ คลตามความสามารถ คา่ ร้องเรยี นระหว่างรัฐ ค่าร้องเรียนของปัจเจกบุคคล
อ่านาจคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน (๓) (ข้อบทที่ 25-33) ก่าหนดเก่ียวกับกระบวนการเข้าเป็นภาคี
ผลใช้บังคับการแก้ไขอนุสัญญา โดยเฉพาะข้อสงวน การแก้ไชเพิ่มเติมบทบัญญัติของอนุสัญญาและการระงับ
ข้อพพิ าท
อนสุ ญั ญาต่อต้านการทรมานและการประตบิ ตั หิ รือการลงโทษอืน่ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือท่ีย่ายี
ศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or
Punishment - CAT) มีรัฐภาคี ๑๗๓ รัฐ (ร้อยละ ๘๗) (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕) ชาติสมาชิอก เช่น ฝรั่งเศส
สหราชอาณาจกั ร เยอรมนี สหรฐั อเมริกา จนี ญีป่ ุ่น ออสเตรเลีย ชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่
อินโดนีเซีย กัมพูชา ลสว ฟิลิปปินส์ ติมอร์-เลสเต้ เวียดนาม และไทย (บรูไน ลงนามเมื่อวันท่ี ๒๒ กันยายน
2558 แต่ยังไมเ่ ขา้ เป็นภาคี สว่ นเมยี นมาร์ สงิ คโปรแ์ ละมาเลเซีย ยงั ไมแ่ สดงความจา่ นงขอเขา้ รว่ ม)3
การประชุมคณะรัฐมนตรี สมัย พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม 2550 มีมติให้
ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (CAT) “เพ่ือเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของไทยในการ
ส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนให้เด่นชัดยิ่งข้ึน รวมท้ังสอดคล้องกับพันธกรณีของไทยตามปฏิญญาสากล
ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนท่ีไทยได้ให้การรับรอง...โดยไม่ต้องมีการแก้ไขก่าหมายที่เกี่ยวข้เอง แต่ให้มีค่าแถลงใน
ลักษณะตีความในเร่ืองน้ันๆ ในการภาคยานุวัติอนุสัญญา” (การภาคยานุวัติ (Accession) หมายถึง การที่
รัฐหนึ่งซ่ึงไม่ได้เป็นรัฐภาคีท่ีเข้าร่วมเจรจา และลงนามในสนธิสัญญาตั้งแต่แรก ได้ด่าเนินการให้ความยินยอม
เพ่ือเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาและผูกพันตามสนธิสัญญาที่รัฐอื่น ๆ ได้ท่าการวินิจฉัยตกลงก่อนแล้วและ
สนธิสัญญานั้นได้มีผลใช้บังคับอยู่ก่อนแล้ว)4 ต่อมาประเทศไทยมอบภาคยานุวัติสาร (instrument of
accession) ต่อเลขาธิการสหประชาชาติ เม่ือวันท่ี 2 ตุลาคม 2550 และอนุสัญญาฯ มีผลผูกพันประเทศ
เมือ่ วันท่ี 1 พฤศจิกายน 2550 (ตามขอ้ บทที่ ๒๗)3
คา่ แถลงตีความ
1. ข้อ 1 เร่ืองคา่ นิยามของคา่ ว่า “การทรมาน”
2. ขอ้ ๔ เรอื่ งการก่าหนดใหก้ ารทรมานทง้ั ปวงเป็นความผดิ ทล่ี งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
3. ข้อ 5 เรื่องให้รัฐภาคีนินมาตรการตา่ งๆ ทอี่ าจจา่ เป็นเพ่อื ให้ตนมเี ขตอา่ นาจเหนอื ความผดิ
ทอ่ี ้างองิ ตามขอ้ ๔ ของอนสุ ญั ญา โดยทัง้ สามข้อให้เป็นไปตามก่าหมายอาญาของไทยทบ่ี งั คบั อยู่ในปจั จบุ นั
๙๓
ข้อสงวน ขอ้ 30 วรรคหนึง่ โดยประเทศไทยไม่รบั ผกู พนั ตามข้อบทดังกลา่ ว (ICJ clause)
เมื่อประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จึงมีพันธกรณีที่จะต้องป้องกันและปราบปรามการทรมาน
รวมทัง้ การประตบิ ัติ หรือการลงโทษอนื่ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรอื ยา่ ยศี กั ดศ์ิ รี การกระท่าที่เป็นการทรมาน
เป็นความผิดตามกฎหมายอาญาชองประเทศไทย รวมทั้งก่อให้เกิดความรับผิดทางแพ่ งและทางวินัย
การทรมานถือเปน็ ความผดิ ตามกฎหมายระหว่างประเทศและถือเป็นความผดิ ทส่ี ามารถสง่ ตวั ผูร้ ้ายขา้ มแดนได้
ภาพรวมอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือท่ีย่ายีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading
Treatment or Punishment - CAT)3
ข้อบทท่ี 1 ความหมายของ “ทรมาน”
ขอ้ บทที่ 2 วรรคแรก รฐั ต้องใชม้ าตรการป้องกันการมรมานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
วรรคสอง รัฐไม่อาจอา้ งเหตุใดเป็นขอ้ อา้ งการทรมานได้
วรรคสาม ค่าสั่งผบู้ งั คบั บัญชาไมถ่ อื เปน็ ข้ออา้ งในการท่าทรมาน
ขอ้ บทที่ ๓ หลักการ Non-refoulment (ไมส่ ่งกลับ)
ข้อบทที่ ๔ การบัญญัติให้การทรมาน (พยายามและผู้ร่วมในการกระท่าความผิด) เป็นความผิดและ
มีระวางโทษท่ีเหมาะสม
ขอ้ บทท่ี ๕ เขตอ่านาจศาล
ข้อบทที่ ๖ หนา้ ท่ีของรัฐในการควบคมุ ตวั ผู้กระทา่ ทรมาน
ขอ้ บทท่ี ๗ หน้าทีข่ องรัฐในการสอบสวนผู้กระท่าทรมาน
ขอ้ บทท่ี ๘ การสง่ ตัวผู้ร้ายขา้ มแดน
ข้อบทที่ ๙ ความรว่ มมอื ระหวา่ งรัฐในคดที รมาน
ข้อบทท่ี ๑๐ การฝกึ อบรมเจ้าหน้าท่ขี องรัฐ
ขอ้ บทที่ ๑๑ หนา้ ทขี่ องรฐั ในการทบทวนกระบวนการคุมขงั
ขอ้ บทท่ี ๑๒ การสอบสวนโดยพลนั
ข้อบทท่ี ๑๓ สิทธิของผ้เู สยี หาย
ข้อบทที่ ๑๔ การเยยี วยาความเสียหายอยา่ งเปน็ ธรรมและเพยี งพอ
ข้อบทที่ ๑๕ ข้อห้ามในการรับฟงั พยานหลกั ฐาน
ข้อบทที่ ๑๖ การป้องกันการกระท่าอ่ืนที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือการประติบัติ หรือการลงโทษ
ท่ียา่ ยศี กั ด์ิศรี
สาระส่าคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (CAT) ได้แก่ (๑) การทรมาน = ความผิดอาญา +
โทษที่หมาะสม (๒) ข้อยกเว้นความรับผิด (๓) เขคอ่านาจศาล (๔) ห้ามส่งกลับ (๕) การสอบสวน
มปี ระสิทธภิ าพ เป็นกลาง (๖) การเยียวยาทา่ อย่างครอบคลมุ
กลไกการตรวจสอบ (๑) รายงานประเทศไทยจัดส่งให้คณะกรรมการต่อต้านการทรมานท่ีเจนีวา
พิจารณาทุก ๔ ปี (art.19) (๒) Inquiries (art.20) ติดต่อสอบถาม (๓) Inter-state Complaints (art.21)
การรอ้ งเรยี นระหว่างรัฐ (๔) Individual communications (art.22) การสอ่ื สารรายบุคคล
๙๔
ทมี่ า https://prezi.com/a440fmoeypt5/presentation/
ส่วนบนสดุ หรือยอดภูเขา หรอื วงกลม คอื การทรมาน
ส่วนท่ี ๒ พื้นท่ี ๑ ใน ๓ ของภูเขา คือ CID (Cruel, Inhuman, Degrading โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
ย่ายีศกั ด์ศิ รี)
สว่ นท่ี ๓ พนื้ ท่ี ๒ ใน ๓ ของภเู ขา คือ การกระท่าอ่ืนๆ ท่ีไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย
นิยาม "การทรมาน" (Torture) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือ
การลงโทษอ่ืนที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ายีศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other
Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment - CAT) ประกอบด้วย3
1. องค์ประกอบภายนอก (๑) การท่าให้เกิดความเจ็บปวดทุกข์มรมาน (ทางร่างกายหรือจิตใจ และ
อย่างร้ายแรง) (๒) กระท่าโดย หรือด้วยการยุยง หรือโดยความยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
หรือของบุคคลอนื่ ซึง่ ปฏบิ ัตหิ น้าที่ในต่าแหนง่ ทางการ
๒. องค์ประกอบภายใน (๑) โดยเจตนา (๒) โดยมีเจตนาพิเศษ (ให้ได้มาซึ่งข้อมูล ค่ารับสารภาพ
ลงโทษ ขม่ ขู่ เลือกปฏบิ ตั )ิ
๓. อ่านาจกระท่า (๑) การลงโทษท้ังปวงท่ีชอบด้วยกฎหมาย (ไม่ปรากฏในร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและ
ปราบปรามการทรมานและการกระท่าให้บุคคลสูฐหาย พ.ศ....) (๒) ห้างอ้างเหตุอ่ืน (ข้อบทที่ ๒ วรรคแรก
รัฐต้องใช้มาตรการป้องกันการมรมานอย่างมีประสิทธิภาพ วรรคสอง รัฐไม่อาจอ้างเหตุใดเป็นข้ออ้างการ
ทรมานได้ วรรคสาม คา่ สั่งผ้บู ังคบั บญั ชาไมถ่ ือเปน็ ข้ออา้ งในการท่าทรมาน)
องค์ประกอบ: การกระทา่ 3
การทรมาน หมายความว่า การกระท่าด้วยประการใดให้ผู้อ่ืนเกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์
ทรมานอย่างรา้ ยแรงแกร่ ่างกายหรอื จติ ใจ
๙๕
การทรมาน “อย่างร้ายแรง”
Lex certa: ค่าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๔/2559 (๑) ไม่บัญญัติความผิดเฉพาะ: อิตาลี เยอรมนี
สวิตเซอร์แลนด์ (๒) บัญญัติความผิดเฉพาะ: ไม่บัญญัตินิยาม: ฝร่ังเศส (Ould Dah v France) (๓) บัญญัติ
นิยามแบบลอกจากอนสุ ญั ญาฯ CAT: แคนาดา นิวซแี ลนด์ (๔) บัญญัตินิยม แต่เพมิ่ เติมรายละเอียด: ฟิลฟิ ปนิ ส์
การท่าให้เกิดความเจบ็ ปวดทกุ ขท์ รมาน...อยา่ ง “ร้ายแรง”
1. ไม่มเี กณฑ์ท่ีชัดเจนทใี่ ชแ้ บ่งแยก (๑) ต่ารา (ในอนาคต) (๒) ค่าพิพากษา (ในอนาคต)
2. ไมจ่ า่ เปน็ ต้องถงึ ข้ันอนั ตรายสาหสั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗
๓. European Court of Human Rights (ECtHR: ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป) (๑) ระยะเวลา
ท่ีถูกกระทา่ (๒) ผลทางร่างกายหรือจิตใจ (๓) เพศ อายุ สขุ ภาพของผรู้ ้อง (กอ่ นถกู กระท่า) เป็นตน้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ผู้ใดกระท่าความผิดฐานท่าร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้
ผู้ถูกกระท่าร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจ่าคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับต้ังแต่หน่ึงหม่ืนบาทถึง
สองแสนบาท, อันตรายสาหัสนั้น คือ (๑) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท (๒) เสียอวัยวะ
สบื พันธุ์ หรือความสามารถสบื พนั ธุ์ (๓) เสียแขน ขา มอื เทา้ น้ิวหรืออวัยวะอ่ืนใด (๔) หน้าเสียโฉมอย่างติดตวั
(๕) แท้งลูก (๖) จิตพิการอย่างติดตัว (๗) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต (๘) ทุพพลภาพ
หรอื ปว่ ยเจบ็ ดว้ ยอาการทกุ ขเวทนาเกนิ กว่ายี่สบิ วัน หรอื จนประกอบกรณียกิจตามปกตไิ ม่ไดเ้ กนิ กว่ายี่สบิ วนั 5
กับค่าวา่ “อยา่ งร้ายแรง”3
อนั ตรายสาหสั ตามประมวลกฎหมายอาญา อยา่ งรา้ ยแรงตามอนสุ ญั ญาฯ CAT
มาตรา 297 ความหมายกวา้ งและเคร่งครัดนอ้ ยกว่าประมวล
(๑) ตาบอด หูหนวก ล้นิ ขาด หรือเสยี ฆานประสาท กฎหมายอาญา โดยจ่ากดั เพยี งแคต่ ้องเปน็ ความ
(๒) เสียอวยั วะสืบพันธ์ุ หรอื ความสามารถสืบพนั ธุ์ เจบ็ ปวด หรอื ทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรง โดยพิจารณา
(๓) เสียแขน ขา มือ เทา้ นวิ้ หรอื อวัยวะอื่นใด จากปัจจยั ตา่ งๆ ไดแ้ ก่
(๔) หน้าเสยี โฉมอย่างตดิ ตัว (๑) ระยะเวาในการประติบตั ิ
(๕) แทง้ ลกู (๒) ผลท่เี กิดขึ้นต่อร่างกายหรือจติ ใจของผู้เสียหาย
(๖) จิตพิการอย่างติดตัว (๓) เพศ อายแุ ละสุขภาพของผู้เสียหาย
(๗) ทุพพลภาพ หรือปว่ ยเจบ็ เรอ้ื รังซ่ึงอาจถึงตลอด
ชวี ิต
(๘) ทพุ พลภาพ หรอื ปว่ ยเจบ็ ด้วยอาการทุกขเวทนา
เกนิ กว่ายสี่ บิ วัน หรอื จนประกอบกรณยี กิจ
ตามปกติไม่ไดเ้ กินกวา่ ย่ีสบิ วนั
หมายเหตุ การกระท่าทเ่ี ขา้ องคป์ ระกอบของความผดิ ตามมาตรา 297 (๑)-(๖) ยอ่ มเป็นการทรมานโดยสภาพ
แตแ่ ม้รุนแรงไม่ถงึ ตามทกี่ ่าหนดไวก้ เ็ ป็นการทรมานได้ แม้ไมเ่ กิดบาดแผลฟกช้่า หรอื มโี ลหติ ไหล
ก็ตาม
๙๖
องคป์ ระกอบ: การกระท่าการทรมาน (การทรมาน หมายความวา่ การกระท่าด้วยประการใดให้ผู้อน่ื
เกิดความเจ็บปวด หรือความทกุ ข์ทรมานอย่างร้ายแรงตอ่ ชีวติ และจิตใจ)
“จิตใจ”
1. อนั ตรายตอ่ จติ ใจ (มาตรา 295) ๑) การส่งั การของสมอง การท่าให้สิน้ สติ (626/2494,
3269/2531) ๒) ความรู้สกึ ถกู เหยียดหยาม เจบ็ ใจ เสยี ใจ กลวั (273/2509)
2. ประทุษรา้ ยแกจ่ ิตใจ (มาตรา 1 (๖)) ท่าการประทุษร้ายแก่จติ ใจ...การกระท่าของจา่ เลยดังกล่าว
ท่าใหโ้ จทกร์ ว่ มต้องรู้สึกสะเทือนใจอบั อายขายหนา้ จึงถือว่าเปน็ การประทุษร้ายแก่จติ ใจของโจทก์ร่วมแล้ว
(12983/2558)
Approved Interrogration Techniques Enhanced Interrogation Techniques (เทคนิค
(Army Field Manual) (เทคนคิ การสอบสวน) การสอบสวนข้ันสงู ) (Justices Department in
1. Direct Approach (แนวทางตรง) 2002 and Rescinded by OBAMA
2. Incentive Approach (วิธกี ารจูงใจ) Administration in 2009)
๓. Emotional Love Approach (แนวทางความรัก
1. Attention Grasp
ทางอารมณ์) 2. Walling
4. Emotional Hate Approach (แนวทางความ 3. Facial Hold (ใบหน้าถอื )
4. Facial Slap (ตบหนา้ )
เกลียดชงั ทางอารมณ)์ 5. Cramped Cofinement (การกักขงั ที่คบั แคบ)
5. Emotional Fear-up Approach (วธิ ีการสรา้ ง 6. Wall Standing (ตดิ ผนงั )
7. Stress Positions (ตา่ แหน่งความเครียด)
ความกลวั ทางอารมณ)์ 8. Sleep Deprivation (อดนอน)
6. Emotional Fear-Down Approach (แนวทาง 9. Insects Place in a Confinement Box
ความกลัวทางอารมณ์) (แมลงวางในกล่องกักขัง)
7. Emotional Pride & Ego-up Approach (ความ 10. Waterboard
ภาคภูมิใจทางอารมณแ์ ละแนวทางอตั ตา)
8. Emotional Pride & Ego-Down Approach
(ความภาคภูมใิ จทางอารมณ์และวธิ กี ารอัตตาลง)
9. Emotional Futility (ไร้อารมณ)์
10. We Know All (เรารู้ท้ังหมด)
11. File and Dossier (ไฟล์และเอกสาร)
12. Establish Your Identity (สรา้ งเอกลักษณ์
ของคุณ)
13. Repitition (การทา่ ซา้่ )
14. Rapid Fire (ไฟไหม้อย่างรวดเรว็ )
15. Silent (เงียบ)
16. Change of Scenery (เปลีย่ นทิวทัศน)์
17. Mutt and Jeff
18. False Flag
๙๗
Approved Interrogration Techniques Enhanced Interrogation Techniques (เทคนิค
(Army Field Manual) (เทคนคิ การสอบสวน) การสอบสวนขัน้ สงู ) (Justices Department in
19. Separation (การแยกจากกัน) - Restricted 2002 and Rescinded by OBAMA
except in certain circumstances (จา่ กดั Administration in 2009)
ยกเวน้ ในบางกรณ)ี
เทคนคิ การสอบสวนขัน้ สูงทไ่ี ดร้ ับอนมุ ตั ิ6 คณะกรรมการข่าวกรองของวุฒสิ ภา โครงการสอบปากค่า
และกกั ขังของ Central Intelligence Agency เทคนิคการสอบสวนที่เฉพาะเจาะจง ซ่ึงนักวิจารณ์ประณามว่า
เป็นการทรมาน ได้รับอนุญาตจากกระทรวงยุติธรรมในบันทึกทางกฎหมายในปี 2545 และ 2548 เทคนิค
เหล่าน้ีเคยอธิบายไว้แล้วในการพิจารณาคดี รายงานและบันทึกข้อตกลง เทคนิคเหล่าน้ีถูกยกเลิกโดย CIA
ในช่วงระยะเวลาท่สี องของ George W. Bush และถกู หา้ มโดยฝ่ายบรหิ ารของ Obama ในปี 2009
1. "จับความสนใจ" - จับผตู้ ้องขังโดยใชป้ ลอกคอ
2. การกกั ขังทคี่ ับแคบ - วางผู้ถูกคุมขงั ในทม่ี ดื และแคบเปน็ เวลาหลายช่วั โมงในแต่ละครงั้
3. การคมุ ขังท่ีคบั แคบ "กบั แมลง" - พัฒนาข้ึนส่าหรับ Abu Zubaydah ผู้บัญชาการกลุ่ม ติดอาวุธ
ท่ีถูกกล่าวหาว่าเป็นพันธมิตรกับOsama bin Laden เจ้าหน้าที่ซีไอเอรู้ว่านายซูไบดาห์กลัวแมลง ดังน้ัน
พวกเขาจึงขออนุญาตวางเขาไว้ในกล่องท่ีมีแมลงท่ีไม่เป็นอันตราย เช่น หนอนผีเสื้อ โดยบอกเขาว่ ามันเป็น
แมลงกดั ต่อย คนท่ีคุ้นเคยกบั เรื่องนก้ี ล่าววา่ เทคนคิ น้ไี ด้รบั การอนุมตั ิ แตไ่ มไ่ ด้ใช้
4. ใบหนา้ ค้าง - จับศรี ษะของผถู้ กู คุมขงั ไมใ่ หเ้ คลอ่ื นทีใ่ นระหวา่ งการสอบปากคา่
5. ตบหน้าหรือ "ตบหน้าดูถูก" - ตบหน้าผู้ต้องขัง "ใช้นิ้วเกล่ียเล็กน้อย" Jay Bybee ผู้ช่วยอัยการ
สูงสุด เขียนว่า"เป้าหมายของการตบหน้าไม่ใช่เพ่ือสร้างความเจ็บปวดทางกาย" แต่ "เพ่ือท่าให้เกิดความตกใจ
ความประหลาดใจ และ/หรอื ความอัปยศอดสู"
6. กีดกันการนอนหลับ - ผู้ถูกคุมขังถูกบังคับให้ไปโดยไม่นอนหลับนานกว่า 48 ช่ัวโมง “คุณได้แจ้ง
ให้เราทราบดว้ ยวาจาว่าคณุ จะไมก่ ดี กนั Zubaydah จากการนอนมากกว่า 11 วัน ในแต่ละคร้ัง และก่อนหน้า
นี้คณุ ท่าใหเ้ ขาตืน่ ตวั เปน็ เวลา 72 ชัว่ โมง” นาย Bybee เขียน
7. ต่าแหน่งความเครยี ด - ก่าหนดใหผ้ ู้ถกู คุมขังอย่ใู นต่าแหนง่ ที่ไม่สบายเพื่อท่าใหก้ ล้ามเนื้อออ่ นล้า
8. "ก่าแพง" - ผลักผู้ถูกคุมขัง "อย่างรวดเร็วและรุนแรง" กับผนังท่ียืดหยุ่นได้ “ก่าแพงปลอมเป็น
ส่วนหนึ่งของการสร้างเพ่ือสร้างเสียงดังเมื่อบุคคลโดน ซ่ึงจะท่าให้ตกใจหรือแปลกใจ… บุคคลน้ันมากข้ึน”
นาย Bybee เขยี นให้ส่านกั งานทีป่ รึกษากฎหมายของกระทรวงยุติธรรมในปี 2545
9. ยืนพิงก่าแพง - "ใช้เพื่อกระตุ้นกล้ามเน้ือเม่ือยล้า" ผู้ถูกคุมขังถูกบังคับให้ยืนห่างจากก่าแพง
ประมาณสี่ฟุต โดยเอนตัวเพ่ือให้แขนแนบกับผนังรับน้่าหนักบางส่วน “บุคคลไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับหรือ
เปลย่ี นตา่ แหนง่ มือหรอื เทา้ ของเขา” นาย Bybee เขียน
10. Waterboarding - ผู้ต้องขังท่ีนอนอยู่บนที่นอนมีผ้าคลุมใบหน้า เทน่้าลงบนผ้าจ่าลอง
ประสบการณ์การจมน่้า Waterboarding ใช้กับผู้ต้องขังสามคนตามท่ีผู้คนคุ้นเคยกับเรื่องนี้ Abd al-Rahim
al-Nashiri ผู้ต้องสงสัยในการวางระเบิดของ USS Cole ถูกควบคุมตัวสองครั้งตามเอกสารของรัฐบาล
ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการแผน 11 กันยายน Khalid Sheikh Mohammed ถูกควบคุม 183 คร้ัง;
นาย Zubaydah ถูก waterboarded อยา่ งนอ้ ย 83 ครง้ั
๙๘
ทีม่ า
https://images.search.yahoo.com/search/images;_ylt=Awr9Iks6NnZiNhEAzl9XNyoA;_ylu=Y29s
bwNncTEEcG9zAzEEdnRpZANMT0NVSTAzOF8xBHNlYwNwaXZz?p=Waterboarding&fr2
กรณตี วั อยา่ ง
โมฮัมเหม็ด อัล-กอห์ตานี (Mohammed Mani Ahmad al-Qahtani) ผู้ต้องขังกวนตานาโม
ซาอุดีอาระเบีย7 พลเมืองซาอุดิอาระเบียที่ถูกคุมขังในฐานะหน่วยปฏิบัติการอัลกออิดะห์เป็นเวลา 20 ปี
ในสหรัฐอเมริกา 'ค่ายกักกันอ่าวกวนตานาโมในคิวบา Qahtani ถูกกล่าวหาว่าพยายามเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
เพื่อเขา้ รว่ มการโจมตี 11 กันยายน ในฐานะผจู้ ี้เคร่ืองบินคนท่ี 20 และมีก่าหนดจะข้ึนเครื่องUnited Airlines
Flight 93 พร้อมด้วยนักจี้อีกสี่คน เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเน่ืองจากสงสัยว่าเขาก่าลังพยายาม อพยพอย่างผิด
กฎหมาย ภายหลังเขาถูกจับในอัฟกานิสถานในการรบที่โทราโบราในเดือนธันวาคม 2544 หลังจากที่
คณะกรรมาธิการทหารได้รับอนุญาตจากรัฐสภา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 Qahtani ถูกตั้งข้อหาหลายคร้ัง
ในเดือนพฤษภาคม ข้อกล่าวหาถูกละท้ิงโดยปราศจากอคติ ข้อหาใหม่ถูกฟ้องเขาในเดือนพฤศจิกายน 2551
และยกเลิกในเดือนมกราคม 2552 เนอื่ งจากได้รับหลักฐานจากการทรมานและไม่เป็นที่ยอมรับในศาล น่ีเป็น
คร้ังแรกท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบุชยอมรับการทรมานผู้ต้องขังท่ีกวนตานาโม ในการให้สัมภาษณ์กับ
Washington Postในเดือนมกราคม 2009 ซูซาน ครอว์ฟอร์ดจากกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า "เราทรมาน
Qahtani" โดยกล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ท่าร้าย Qahtani ผ่านการกักขัง การกีดกัน การนอนหลับบังคับภาพ
เปลอื ยและสมั ผัสอากาศหนาวจนท่าใหเ้ ขาอยูใ่ น " ภาวะอนั ตรายถึงชีวิต เมื่อวันท่ี 6 มีนาคม 2565 Qahtani
ได้รบั การขนสง่ ทางอากาศจากอ่าวกวนตานาโมโดยกองทพั สหรัฐฯ และบินกลบั ไปยังซาอุดีอาระเบียเพ่ือเข้ารับ
การรักษาในสถานบ่าบัดสุขภาพจิต หลังจากอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของสหรัฐฯ เป็นเวลา 20 ปี การปล่อย
ตัวของเขาได้รบั การประกาศโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐในวันรงุ่ ข้ึน
๙๙
ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Mohammed_al-Qahtani
https://www.nytimes.com/interactive/2021/us/guantanamo-bay-detainees.html#detainee-63
Qahtani (๑) ถูกเรียกว่าเป็นคนรักร่วมเพศและมีแม่และน้องสาวเป็นโสเภณี (๒) ถูกรุมกระทืบ
(๓) ถูกบังคับให้เปลือยและถูกค้นตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ปญิง (๔) ถูกมัดและจัดให้อยู่ในท่าท่ีเจ็บปวดเป็น
เวลานานหลายช่ัวโมงติดต่อกันหายเดือน (๕) ลดอุณหภูมิในห้องและเอาน้่าสาด (๖) ถูกใส่สายจูงสุนัข บังคบ
ให้ท่าท่าเหมือนสุนัขและถูกบังคับให้ดูหุ่นเชิดที่แสเงเป็นตัวผู้ถูกคุมขัง ถูกกระท่าช่าเราโดย Osama Bun
Laden (๗) ไม่ให้หลับนอนต่อเน่ืองเป็นเวลานาน (๘) ไม่ได้รับอนุญาตให้ละหมาดและให้ทองขณะท่ีเจ้าหน้าท่ี
ฉีกอลั กุรอาน (๙) อดีตผู้บัญชาการเรือนจ่ากัวตานาโม และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่สงประเทศของ
สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าไม่เป็นการทรมาน แต่ Susan J. Crawford เห็นว่าเป็นการทรมาน จึงท่าความเห็นว่า
ไมฟ่ อ้ ง เพราะหลกั ฐานไดม้ าจากการทรมาน
Aksoy v Turkey8 ในบริบทของการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนของชาวเคิร์ดซ่ึงคร่าชีวิตผู้คนไป
เกอื บ 8,000 คน ศาลยอมรบั การเส่ือมเสียจากอนุสัญญาฯ เน่ืองจากมีภาวะฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครถูก
ควบคุมตัว ทรมานและได้รับการปล่อยตัวในท่ีสุด ผู้สมัครบ่นเป็นพิเศษว่าการกักขังเขาในปี 1992/2535
ในข้อหาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ก่อการร้าย PKK นั้น ผิดกฎหมายและเขาถูกทรมาน ความเสียหาย
ได้รับรางวัลส่าหรับการสูญเสียทางการเงินและการสูญเสียที่ไม่ใช่ทางการเงิน (ความทุกข์ให้กับบิดาของผู้ยื่น
คา่ ร้องท่ดี า่ เนินคดตี ่อไปหลงั จากที่ลกู ชายของเขาเสยี ชวี ิต)
Aksoy (๑) ถูกจับโดยต่ารวจและกักขังไว้ 14 วัน เพ่ือสอบถามว่า “รู้จักคน คนหนึ่งหรือไม่”
(๒) ถูกจับเปลือยกาย เอาผ้าปิดตา เตะตามล่าตัว ตบหน้า สาดน่้า ใช้ไฟฟ้าซ็อตท่ีอวัยวะเพศ ขณะท่ีอยู่ในท่า
Palestinian hanging (strappado) เป็นเวลา 35 นาท/ี วนั รวม 4 วัน
“การแขวนคอปาเลสไตน์” เป็นรูปแบบการทรมานท่ีเลวทรามโดยท่ีมือของเหยื่อถูกมัดไว้ด้านหลัง
ของเขา จากน้ันจึงร้อยเชือกแน่นๆ ผ่านรอกและติดไว้ท่ีมือของเหย่ือเพ่ือให้เหยื่อห้อยลงกับพ้ืน เพ่ือเพิ่มความ
ทกุ ขท์ รมานของเหยอ่ื ใหห้ นกั ข้ึน จะมีการตดิ ตุม้ น้า่ หนัก9
๑๐๐
ที่มา https://midsummerinsomnia.blogspot.com/2010/09/9-brutal-techniques-that-were-practiced.html
Bati and Other v Turkey3 (๑) เพ่ือให้ได้มาซ่ึงค่าสารภาพว่า “เข้าร่วมชุมนุมตอ่ ตา้ นรัฐบาล”
(๒) Palestinian hanging (๓) ขม่ ข่วู ่าจะฆา่ ข่มขนื (๔) เอานา่้ สาด (๕) ถูกทบุ ตี กระทืบหลายครัง้ (๖) Falaka
(foot whipping) ฟาลากะเป็นการทรมานเทา้ ประเภทหนงึ่ เหยื่อถอดรองเท้าแตะและเท้าไม่ขยบั เขย้ือนก่อน
ถกู ตฝี า่ เทา้ 10
ที่มา https://imgur.com/gallery/ME4y8
Kopylov v. Russia
วันที่ ๒9 กรกฎาคม 2553 ในกรณีของ Kopylov v. Russia ECHR ได้รับรางวัลผู้ร้องเรียน
105,000 ยูโรส่าหรับความเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงินส่าหรับการละเมิดมาตรา 3 ของอนุสัญญาส่ีคร้ัง Oleg
Kopylov ผู้รอ้ งเรยี นถูกท่าร้ายซา้่ แล้วซา้่ เล่าในการควบคุมตัวของต่ารวจใน Lipetsk ในช่วงไตรมาสแรกของปี
2544 อันเปน็ ผลมาจากการทีเ่ ขาไดร้ ับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของเขาที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
ศาลตัดสินวา่ ชายคนนีถ้ ูกทรมาน การสอบสวนค่ารอ้ งของเขาไม่ไดผ้ ล และเขายังไม่ได้รับการชดใช้ท่ีเพียงพอ11
๑๐๑
Kopylov (๑) ถูกกล่าวหาวา่ “ฆ่าตา่ รวจ” จึงซอ้ มให้รับสารภาพ (๒) ถูกเตะต่อย ใช้ไม้กระบองต่ารวจฟาดเข้า
ที่ขอ้ เทา้ (๓) ใชไ้ ฟฟา้ ซ็อตตามล่าตวั (๔) บังคับใส่หน้ากากกันแก๊ส แล้วปิดช่องระบายอากาศ หรือบังคับให้สูด
รมควันบุหร่ี (๕) มัดแขนไว้ข้างหลังและจับแขวนไว้ (๖) กระโดดลงบนหน้าอกหรือท้อง (๗) ขู่ว่าจะฆ่าหรือ
ข่มขนื (๘) บงั คบั น่งั คุกเข่าขอโทษรปู ตา่ รวจทถี่ กู ฆ่า3
ทมี่ า https://azvsas.blogspot.com/2011/01/palestinian-lapdog-tortures-its-own.html
การทรมานทางจติ ใจ
กรณี Mariza Urrutia v. กัวเตมาลา3 (๑) ผู้เสียเป็นหญิง (สมาชิกกองก่าลังกบฏ) ถูกจับตัวขึ้นรถ
คลุมหน้าและพาไปค่ายทหาร (๒) ในช่วงท่ีกักตัว ๘ วัน ถูกขังไว้ในห้อง ถูกคุมหน้า ใส่กุญแจมือไว้กับเตียง
เปิดไฟฟา้ ทง้ิ ไว้ เปดิ วิทยุเสยี งดังสุดตลอดเวลา เพือ่ ให้นอนไม่หลับ (๓) ผู้ลักพาตวั สอบสวนผเู้ สียหาย โดยข่มขู่
ว่าจะทรมาน ฆ่าผู้เสียหายและครอบครัว เพ่ือจูงใจให้ผู้เสียหายให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะช่มขู่ว่า “จะไม่ได้
เจอกับลูกชายอีก” (๔) ผู้ลักพาตัว แสดงภาพครอบครัว บ้านและรถของผู้เสียหาย รวมทั้งภาพของกลุ่มกบฏ
ท่ีถูกทรมานและถูกฆ่าในการรบ และบอกผู้เสียหายว่า “ครอบครัวผู้เสียหายจะได้เจอผู้เสียหายในสภาพน้ี”
(๕) ผู้เสียหายถูกบังคับให้แถลงการณ์ยอมรับว่าตนเองและครอบครัวเป็นสมาชิกของกองก่าลังกบฎ
(๖) ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกา ตัดสินว่า การกระท่าดังกล่าวของเจ้าหน้าท่ีรัฐเป็นการทรมานใช้ความ
รุนแรงทางจิตใจ (mental violence) อันเปน็ การทรมานทางจติ ใจ (psychological torture)
๑๐๒
ผู้กระท่าความผิดการทรมาน3 ต้องเป็น (๑) การกระท่าโดย/หรือภายใต้การยุยง/หรือยินยอม/หรือ
รเู้ หน็ เป็นใจ (๒) เจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั หรอื ของบุคคลอน่ื ซึง่ ปฏิบัตหิ น้าทีใ่ นตา่ แหหนง่ ทางการ
ตัวอย่าง เมื่อวันท่ี 13 ธันวาคม 2555 หอการค้าใหญ่ของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (ECHR)12
ได้มีค่าพิพากษาถึงที่สุดในกรณีท่ีเก่ียวข้องกับชาวเยอรมันเชื้อสายเลบานอน ซึ่งถูกเจ้าหน้าท่ีของอดีต
ยโู กสลาเวยี จับกุม สาธารณรฐั มาซโิ ดเนยี (FYROM) กระท่าการด้วยความสงสัยว่าตนมีความสัมพันธ์กับองค์กร
กอ่ การร้าย ภายใต้โครงการท่เี รยี กวา่ "โปรแกรมแปล" ซึ่งจัดโดย US Central Intelligence Agency Khaled
El-Masri ผู้ยื่นค่าร้องชนะคดีน้ีและได้รับรางวัล 60,000 ยูโร (ประมาณ 79,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่าหรับ
ความเสียหายที่มิใช่ตัวเงิน (กรณีของ El-Masri v. The Former Yugoslav Republic of Macedonia , Eur.
Ct. HR (13 ธ.ค. 2555), HUDOC.) ภูมิหลัง El-Masri ถูกจับขณะข้ามพรมแดนของ FYROM และ
ไม่ติดต่อส่ือสารเป็นเวลา 23 วัน ในสโกเปีย ซึ่งเขาถูกสอบสวน ต่อจากนั้น ผู้ย่ืนค่าร้องถูกย้ายไปที่สนามบิน
ซ่ึงเขาถูกซ้อมและทรมาน ปิดตา และบังคับข้ึนเคร่ืองบิน จากน้ันจึงย้ายไปคาบูล อัฟกานิสถาน เขาถูกคุมขัง
เป็นเวลาส่เี ดอื นและถกู ทรมานโดยเจ้าหน้าทซี่ ีไอเอกล่าวหา เขาใช้วธิ ีอดอาหารสองคร้ัง และเขาถูกบังคับให้กิน
หลังจากนั้นเขาก็บินไปแอลเบเนียและในที่สุดก็กลับไปเยอรมนี เมื่อเขากลับมา เขายื่นฟ้องหลายคร้ังเก่ียวกับ
การถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ถูกควบคุมตัวโดยไม่ต้ังข้อหาและถูกทรมาน อัยการเมืองมิวนิก
ออกหมายจบั เจ้าหน้าทซ่ี ีไอเอหลายคน ฐานมสี ว่ นเกี่ยวข้องกับการกักขังและทรมานเอล-มาศรี การไต่สวนของ
รัฐสภาทดี่ า่ เนนิ การในเยอรมนีเพอ่ื ตรวจสอบการมสี ่วนร่วมของ CIA ในคดีนี้ ในสหรัฐอเมริกา สหภาพเสรีภาพ
พลเมืองอเมริกันย่ืนค่าร้องในนามของ El-Masri ต่ออดีตผู้อ่านวยการ CIA และตัวแทน CIA ที่ไม่ระบุช่ือ
เน่อื งจากมสี ่วนเก่ียวขอ้ งในคดีนี้ คดีดงั กล่าวถูกยกเลกิ และศาลฎีกาสหรฐั ปฏิเสธท่ีจะทบทวน โดยอ้างว่าจุดยืน
ท่ีสหรัฐฯ สนใจในการรักษาความลบั ของรฐั นน้ั มคี ่ามากกว่าสิทธขิ องบคุ คลในการแสวงหาและรับความยุติธรรม
ในท่านองเดียวกัน ความพยายามของ El-Masri ในการฟ้องร้องด่าเนินคดีทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้
กฎหมายใน FYROM ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน ระหว่างช่วงปี 2549-2550 รัฐต่างๆ ในยุโรปหลายแห่งเร่ิม
สอบสวนข้อกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ซีไอเอมีส่วนเก่ียวข้องในคดีที่มีการกระท่าความผิดท่ีไม่ธรรมดา ซ่ึงเก่ียวข้อง
กับบุคคลท่ีถูกย้ายไปยังที่ลับและถูกทรมาน รวมท้ังคดีเอล-มาสรี การสอบสวนเชิงลึกท่ีด่าเนินการโดย
คณะกรรมการฝ่ายกฎหมายและสิทธิมนุษยชนของรัฐสภาแห่งสภายุโรปภายใต้การน่าของด๊ิก มาร์ตี สรุปว่า
คดีเอล-มาสรีเป็นกรณีของ “การกระท่าที่เป็นเอกสาร” และว่าบัญชีเหตุการณ์ของรัฐบาลของ FYROM
"ไม่สามารถป้องกันได้อย่างเต็มที่" ข้อค้นพบของรายงานมาจากหลักฐานจากบันทึกการบินที่ระบุว่าในวันท่ี
El-Masri ถูกน่าตัวจาก Scopje ไปยังอัฟกานิสถาน ซ่ึงเป็นเคร่ืองบินที่จดทะเบียนภายใต้ US Federal
Aviation Administration ออกจาก Scopje ที่มุ่งหน้าไปยังอัฟกานิสถาน การกลับมาของ El-Masri
ในแอลเบเนียยังได้รับการยืนยันตามข้อมูลการบิน การด่าเนินการก่อน ECHR, El-Masri อ้างอิงใบสมัครของ
เขาตามบทความหลายฉบับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป และอ้างว่าสิทธิของเขาถูกละเมิด
บทบัญญัติของอนสุ ัญญาท่เี ขากล่าวถึงรวมถึงมาตรา 3 (การปฏิบัติท่ีไร้มนุษยธรรมและย่ายีศักดิ์ศรี) มาตรา 5
(สิทธิในเสรีภาพและความมั่นคง) มาตรา 8 (การละเมิดสิทธิในการเคารพต่อชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัว)
และมาตรา 13 (การปฏิเสธสิทธิในการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ) ECHR ถือว่าข้อเท็จจริงของคดีนี้น่าเชื่อถือ
เพยี งพอและเป็นทย่ี อมรบั โดยปราศจากข้อสงสัยอันมีเหตุอันควรใดๆ ว่า El-Masri ถูกทรมาน และรัฐบาลของ
FYROM ล้มเหลวในการพิสูจน์รูปแบบของเหตุการณ์ ตามมาตรา 3 ของอนุสัญญา ECHR พบว่าต่อต้าน
FYROM โดยอ้างถึงการกักขงั ท่ไี ม่ติดตอ่ สอ่ื สารของ El-Masri ในโรงแรมในเมอื งสโกเปีย ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติท่ี
๑๐๓
ไร้มนุษยธรรมและย่ายีศักดิ์ศรี ศาลยังพบว่าการยอมจ่านนต่อการทรมานด้วยน้่ามือของเจ้าหน้าที่ CIA
ที่สนามบินสโกเปียและต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของ FYROM ก็ถือเป็นการละเมิดมาตรา 3 เช่นกัน (กรณีของ
El-Masri v. อดตี สาธารณรัฐยูโกสลาเวยี แห่งมาซิโดเนยี , เหนือกว่า) ตามมาตรา 5 ของอนุสัญญา ECHR ถือได้
ว่า FYROM มีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิของ El-Masri เน่ืองจากขาดค่าส่ังศาลส่าหรับการกักขังและ
ไม่มีบันทึกการควบคุมตัว ศาลยังสรุปว่า FYROM ได้ละเมิดสิทธิ์ของผู้ยื่นค่าร้องต่อชีวิตส่วนตัวและชีวิต
ครอบครัว และสิทธ์ิของเขาในการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพในกรณีท่ีไม่มีการสอบสวนเรื่องร้องเรียนของเขา
อยา่ งมีประสิทธิภาพ
มลู เหตชุ ักจูงใจอย่างหนง่ึ อย่างใดต่อการกระทา่ ทรมาน3
1. เพ่ือความมุ่งประสงค์ท่ีจะให้ได้มาซึ่งข้อสนเทศหรือค่าสารภาพจากบุคคลน้ันหรือบุคคลท่ีสาม
เชน่ การซ้อมเพื่อใหร้ บั สารภาพ ซัดทอด หรือขอ้ มลู อันอาจจะน่าไปใชป้ ระโยชนใ์ นการขยายผลการสอบสวน
2. เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะลงโทษบุคคลหรือบุคคลที่สามส่าหรับการกระท่าหรือการถูกสงสัยว่า
ได้กระท่าการอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น การลงโทษผู้ต้องขังด้วยการเฆ่ียนตี ขังห้องมืด เน่ืองด้วยการท่าผิดวินัย
ของผู้ต้องขัง
3. เพือ่ ความมุ่งประสงค์ขม่ ขูใ่ หก้ ลัวหรือเปน็ การบังคบั ขเู่ ขญ็ บคุ คลนั้น หรอื บุคคลทีส่ าม
๔. เน่ืองมาจากเหตุผลใด ๆ ก็ตาม หรือบนพื้นฐานของการเลือกประติบัติ เช่น การปฏิบัติต่อชน
กลมุ่ น้อยตา่ งๆ
นอกจากมูลเหตุชักจูงใจท่ีก่าหนดไว้ท้ัง 4 ประการ หากเป็นการกระท่า โดยมูลเหตุชักจูงใจอื่นๆ
ในลักษณะเดียวกันก็อาจเป็นการทรมานได้ เงื่อนไขในข้อสองนี้มีเพื่อจ่ากัดขอบเขตของการทรมานให้อยู่ใน
กรอบท่กี ่าหนด เพอ่ื ไม่ใหก้ ารกระทา่ ของหน่วยงานรัฐท่ีเป็นการสร้างอันตราย หรือความเจ็บปวดแก่ประชาชน
มผี ลเป็นทรมานทัง้ หมด ดังนน้ั กรณที ีเ่ รอื นจา่ ตา่ งๆ มีสภาพต่ากว่ามาตรฐานสากลอาจไม่ถึงข้ันเป็นการทรมาน
หากรัฐไม่ได้กระท่าไปเพ่ือต้องการลงโทษผู้ต้องหาให้อยู่ในสภาพดังกล่าวแต่เป็นไปเพราะข้อจ่ากัดทางด้าน
งบประมาณหรือบุคลากร
ตวั อย่าง3 (๑) Krastanov v. Bulearia การตอ่ ส้บู าดเจบ็ ในระหว่างการจับกุม โดยมีการใช้ก่าลังเกิน
ขอบเขตและสรา้ งความบาดเจ็บท่รี นุ แรง แต่ไม่ได้ท่าไปเพ่ือให้ได้มาเพ่ือค่ารับสารภาพ ข่มขู่ หรือลงโทษ ถึงแม้
จะเป็นการกระท่าที่ไร้มนุษยธรรม (inhuman) แต่ไม่เป็นการทรมาน (๒) Egmez v. Cyprus ถึงแม้ขณะนั้น
ผู้ต้องหาจะถูกใส่กุญแจมือแล้ว จึงท่าให้การใช้ก่าลังไม่จ่าเป็น แต่เม่ือไม่ได้ท่าเพ่ือให้ได้มาซ่ึงค่ารับสารภ าพ
ข่มขู่ หรือลงโทษ แต่เพียงการควบคุมอารมณ์ไม่ได้เพราะสภาวะความเครียดและการบีบคั้นทางอารมณ์
การกระทา่ ดงั กลา่ วจึงไมเ่ ป็นการทรมาณ
การยกเว้นความรบั ผิด3
1. ตามอนุสัญญาฯ ขอ้ 1 การลงโทษทช่ี อบด้วยกฎหมายไม่เป็นการทรมาน
2. ตามอนุสัญญาฯ ข้อ 2.2 ห้ามยกอ้างพฤติการณ์พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การขาดเสถียรภาพ
ทางการเมืองภายในประเทศมาเป็นเหตุแหง่ การทรมาน
3. ตามอนุสญั ญาฯ ข้อ 2.3 ค่าสง่ั ของผบู้ งั คับบญั ชา หรือทางการไมส่ ามารถยกขึ้นอ้างได้
๑๐๔
สรปุ
การทรมาน (Torture) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการ
ลงโทษอื่นท่ีโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ายีศักด์ิศรี (Convention against Torture and Other Cruel,
Inhuman or Degrading Treatment or Punishment - CAT) หมายถึง การกระท่าใดก็ตามโดยเจตนา
ทท่ี ่าใหเ้ กิดความเจบ็ ปวดหรอื ความทกุ ข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่ว่าทางกายหรือทางจิตใจ ต่อบุคคลใดบุคคลหน่ึง
เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะให้ได้มาซึ่งข้อสนเทศหรือค่าสารภาพจากบุคคลน้ันหรือจากบุคคลท่ีสาม การลงโทษ
บุคคลนน้ สา่ หรับการกระท่า ซ่ึงบคุ คลนัน้ หรอื บุคคทสี่ ามกระทา่ หรือถูกสงสัยว่าได้กระท่า หรือเป็นการขมขู่ให้
กลัว หรือเป็นการบังคับขู่เข็ญบุคคลนั้นหรือบุคคลท่ีสามหรือเพราะเหตุใดใด บนพื้นฐานขงการเลือกประติบัติ
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด เมื่อความเจ็บปวสดหรือความทุกข์ทรมานน้ันกระท่าโดย หรือด้วยการยุยง หรือ
โดยความยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือของบุคคลอื่น ซึ่งปฏิบัติหน้าท่ีในต่าแหน่ง
ทางการ ท้ังนี้ ไม่รวมถึงความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานที่เกิดจาก หรืออันเป็นผลปกติจาก หรืออันสืบ
เน่ืองมาจากการลงโทษทง้ั ปวงวทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย
สาระส่าคัญ ในเนื้อหาของอนุสัญญาฉบับนี้มีขึ้นเพ่ือวัตถุประสงค์ในการระงับและยับย้ังการทรมาน
โดยในเนอ้ื หาของอนสุ ัญญาดังกล่าวได้ก่าหนดความหมายของการทรมาน ว่าหมายถึง การกระท่าใดก็ตามโดย
เจตนาท่ีท่าใหเ้ กิดความเจ็บปวดหรอื ความทกุ ข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่ว่าทางกายภาพหรือทางจิตใจต่อบุคคลใด
บุคคลหนึ่ง ด้วยความมุ่งประสงค์ เพ่ือให้ข้อสนเทศหรือค่าสารภาพจากบุคคลน้ันหรือบุคคลท่ีสาม การลงโทษ
บุคคลน้ันส่าหรับการกระท่าซึ่งบุคคลน้ันหรือบุคคลท่ีสามกระท่า หรือถูกสงสัยว่าได้กระท่า รวมท้ังการบังคับ
ขู่เข็ญ โดยมุ่งเน้นไปที่การกระท่าหรือโดยความยินยอมของเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลอื่น ซ่ึงปฏิบัติหน้าที่ใน
ต่าแหนง่ ทางการ
สว่ นบนสดุ หรอื ยอดภเู ขา หรือวงกลม คือ การทรมาน
สว่ นท่ี ๒ พื้นที่ ๑ ใน ๓ ของภเู ขา คือ CID (Cruel, Inhuman, Degrading โหดรา้ ย ไร้มนษุ ยธรรม
ย่ายีศักด์ิศร)ี
สว่ นที่ ๓ พื้นที่ ๒ ใน ๓ ของภเู ขา คือ การกระทา่ อน่ื ๆ ท่ไี ม่ชอบด้วยกฎหมาย
๑๐๕
องค์ประกอบการกระท่า, การทรมาน หมายความว่า การกระท่าด้วยประการใดให้ผู้อ่ืนเกิดความ
เจ็บปวด หรอื ความทกุ ข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ. การท่าให้เกิดความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน...
อยา่ ง “ร้ายแรง”
1. ไมม่ ีเกณฑท์ ชี่ ดั เจนท่ีใชแ้ บง่ แยก (๑) ต่ารา (ในอนาคต) (๒) ค่าพพิ ากษา (ในอนาคต)
2. ไมจ่ ่าเปน็ ตอ้ งถึงขนั้ อนั ตรายสาหสั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗
๓. ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ก่าหนดว่า (๑) ระยะเวลาที่ถูกกระท่า (๒) ผลทางร่างกายหรือจิตใจ
(๓) เพศ อายุ สุขภาพของผ้รู อ้ ง (ก่อนถูกกระท่า) เป็นต้น
การกระท่าที่เข้าองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (๑)-(๖) ย่อม
เป็นการทรมานโดยสภาพ แต่แมร้ นุ แรงไมถ่ งึ ตามที่กา่ หนดไว้กเ็ ป็นการทรมานได้ แม้ไม่เกิดบาดแผลฟกช่้า หรือ
มีโลหติ ไหลกต็ าม
องค์ประกอบ: การกระทา่ การทรมานต่อจติ ใจ
1. อนั ตรายต่อจิตใจ (๑) การสงั่ การของสมอง การท่าใหส้ นิ้ สติ (๒) ความร้สู ึกถูกเหยยี ดหยาม
เจ็บใจ เสียใจ กลวั
2. ประทษุ ร้ายแก่จิตใจ ท่าการประทุษรา้ ยแกจ่ ิตใจ...การกระท่าของจ่าเลยดังกล่าว ท่าให้โจทก์ร่วม
ต้องรู้สึกสะเทอื นใจอบั อายขายหนา้ จงึ ถอื ว่าเป็นการประทุษร้ายแกจ่ ิตใจของโจทกร์ ว่ มแล้ว
ผ้กู ระท่าความผิดการทรมาน3 ต้องเป็น (๑) การกระท่าโดย/หรือภายใต้การยุยง/หรือยินยอม/หรือ
รเู้ หน็ เป็นใจ (๒) เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั หรอื ของบคุ คลอ่ืน ซึ่งปฏิบตั หิ นา้ ท่ีในตา่ แหหน่งทางการ
มูลเหตุชักจงู ใจอยา่ งหนึ่งอยา่ งใดตอ่ การกระทา่ ทรมาน
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะให้ได้มาซ่ึงข้อสนเทศหรือค่าสารภาพจากบุคคลน้ันหรือบุคคลที่สาม
เช่น การซอ้ มเพอื่ ให้รบั สารภาพ ซัดทอด หรือข้อมูลอันอาจจะนา่ ไปใช้ประโยชน์ในการขยายผลการสอบสวน
2. เพ่ือความมุ่งประสงค์ท่ีจะลงโทษบุคคลหรือบุคคลที่สามส่าหรับการกระท่าหรือการถูกสงสัยว่า
ได้กระท่าการอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น การลงโทษผู้ต้องขังด้วยการเฆ่ียนตี ขังห้องมืด เนื่องด้วยการท่าผิดวินัย
ของผู้ตอ้ งขงั
3. เพอ่ื ความม่งุ ประสงค์ข่มขใู่ หก้ ลัวหรือเป็นการบังคับขูเ่ ขญ็ บคุ คลน้นั หรือบคุ คลท่ีสาม
๔. เน่ืองมาจากเหตุผลใด ๆ ก็ตาม หรือบนพ้ืนฐานของการเลือกประติบัติ เช่น การปฏิบัติต่อชน
กลุ่มนอ้ ยต่างๆ
การยกเวน้ ความรับผดิ
1. ตามอนุสัญญาฯ ขอ้ 1 การลงโทษที่ชอบด้วยกฎหมายไมเ่ ปน็ การทรมาน
2. ตามอนุสัญญาฯ ข้อ 2.2 ห้ามยกอ้างพฤติการณ์พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การขาดเสถียรภาพ
ทางการเมืองภายในประเทศมาเปน็ เหตแุ หง่ การทรมาน
3. ตามอนสุ ัญญาฯ ข้อ 2.3 ค่าสงั่ ของผู้บงั คบั บัญชา หรือทางการไมส่ ามารถยกขึน้ อา้ งได้