The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Gotgicomplex, 2021-07-20 07:49:12

เอกสารประกอบการสอนวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1

เอกสารประกอบการสอนวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1

วทิ ยาศาสตรช์ ั้นมัธยมศกึ ษาปีที่3 เล่ม1

ช่อื …………………………………………………………………………………………….……..ชอื่ เล่น…………………….

Gotgi_complex



เอกสารประกอบการสอนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

สารบัญ

พนั ธุศาสตร์ ............................................................................................................................................................................. 1
1. เซลล์และการแบง่ เซลล์............................................................................................................................................................2
2. ยนี ดเี อนเอ และโครโมโซม......................................................................................................................................................5
3. โครโมโซมของมนษุ ย์................................................................................................................................................................7
4. การคน้ พบของเมนเดลและการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม...............................................................................................8
5. การถ่ายทอดลักษณะของหมเู่ ลอื ดตามระบบ ABO................................................................................................................20
6. การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่อี ยู่บนโครโมโซมเพศ....................................................................................................21
7. พงศาวรี..................................................................................................................................................................................24
8. ความผิดปกตทิ างพันธุกรรม...................................................................................................................................................25

คล่ืน ......................................................................................................................................................................................34
1. คลื่น .......................................................................................................................................................................................35
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ .................................................................................................................................................................38

แสง ....................................................................................................................................................................................... 41
1. การสะทอ้ นของแสง ...............................................................................................................................................................42
2. การสะท้อนในกระจกเงาราบ .................................................................................................................................................43
3. การสะท้อนในกระจกเงาโคง้ ..................................................................................................................................................45
4. การหักเหของแสง ..................................................................................................................................................................50
5. เลนส์นนู และเลนสเ์ วา้ ...........................................................................................................................................................53
6. ความสวา่ ง..............................................................................................................................................................................58

ระบบสุริยะของเรา ................................................................................................................................................................65
1. แรงโนม้ ถว่ งระหว่างดวงอาทิตยก์ บั กาวบริวาร .......................................................................................................................66
2. ปรากฎการณท์ เี่ กิดจากการเคลอ่ื นทีข่ องโลกรอบดวงอาทิตย์.................................................................................................69
3. ปรากฎการณ์ที่เกดิ จากปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างดวงอาทิตย์ โลก และดวงจนั ทร์...........................................................................74
4. เทคโนโลยอี วกาศ...................................................................................................................................................................76

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 1



เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1

1บทท่ี พนั ธศุ าสตร์

จุดประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายความสมั พันธร์ ะหวา่ งยีน ดเี อน็ เอ และโครโมโซม โดยใช้แบบจำลอง
2. อธบิ ายการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจากการผสมโดยพจิ ารณาลกั ษณะเดียวท่ีแอลลลี เด่นขม่ แอลลลี ดอ้ ยอยา่ ง

สมบรู ณ์
3. อธิบายการเกดิ จโี นไทป์ ฟีโนไทป์ และคำนวณหาอตั ราส่วนการเกิดจโี นไทป์และฟโี นไทปข์ องร่นุ ลกู
4. อธิบายความแตกตา่ งของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซสิ
5. บอกได้ว่าการเปลยี่ นแปลงของยีนหรือโครโมโซมอาจทำใหเ้ กดิ โรคทางพนั ธกุ รรม พร้อมทั้งยกตัวอยา่ ง โรคทางพันธกุ รรม
6. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรเู้ ร่อื งโรคทางพันธุกรรม โดยรวู้ ่าก่อนแตง่ งานควรปรึกษาแพทย์ เพอ่ื ตรวจและ วนิ จิ ฉัย

ภาวะเสยี่ งของลกู ที่อาจเกิดโรคทางพันธุกรรม
7. อธบิ ายการใช้ประโยชนจ์ ากสง่ิ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรมและผลกระทบท่อี าจมีต่อมนุษย์และสิง่ แวดล้อม
8. ตระหนกั ถึงประโยชน์และผลกระทบของสงิ่ มชี วี ิตดัดแปรพันธุกรรมทีอ่ าจมีต่อมนษุ ยแ์ ละสิ่งแวดลอ้ ม โดยการ เผยแพร่

ความรู้ทไี่ ดจ้ ากการโตแ้ ย้งทางวิทยาศาสตรซ์ ง่ึ มีขอ้ มลู สนบั สนนุ

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 1

เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

1. เซลล์และการแบง่ เซลล์

เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ทั้งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ประกอบด้วยเซลล์
ต่างๆทำงานร่วมกนั อย่างเปน็ ระบบ

โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ยูแคริโอตแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึมและนิว
เครียส ซึ่งในไซโทพบาสซึมจะพบโครงสร้างขนาดเล็กที่มีลักษณะแตกต่างกันและทำหน้าที่เฉพาะเรียกว่า ออร์
แกเนล (Organelle)

ภาพท่ี 1 เซลลส์ ตั ว์ ภาพที่ 2 เซลล์พืช

โครงสรา้ งพืน้ ฐานของเซลล์ยแู ครโิ อตแบ่งออกเปน็ 3 ส่วน ดงั นี้
1. ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ เป็นโครงสร้างที่ห่อหุ้มไซโทพลาซึมให้คงรูปร่างและแสดงขอบเขตของเซลล์
ประกอบไปดว้ ย เย่ือหมุ้ เซลล์ (Cell membrane) ผนงั เซลล์ (Cell wall)
2. ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) เป็นส่วนที่ล้อมรอบนิวเครียสอยู่ถัดจากเยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม
ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คือ ออรแ์ กเนล (Organelle) และไซโทซอล (Cytosol)
3. นิวเครียส (Nucleus) เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของเซลล์ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม การแสดงออกของยีน การแบ่งเซลล์ และการควบคุมการสังเคราะห์โปรตีน
โครงสรา้ งของนิวเครียสประกอบดว้ ยสว่ นต่างๆ ดังนี้ 1. เย่ือหมุ้ นวิ เครยี ส 2. นวิ คลีโอลสั 3. โครมาทนิ

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 2

เอกสารประกอบการสอนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
การเติบโต (Growth) และการสืบพันธุ์เป็นสมบัติพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต การเติบโตของ
ส่งิ มีชวี ิตหมายถงึ การเพมิ่ จำนวนของเซลล์ดว้ ยการแบ่งเซลล์
การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตยูแคริโอตประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ การแบ่งนิวเครียส (Karyokinesis)
และการแบ่งไซโทพลาสซึม (Cytokinesis) การแบ่งนิวเครียสสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ การแบ่งนวิ เครียสแบบ
ไมโทซสิ (Mitosis) และการแบง่ นวิ เครียสแบบไมโอซิส (Meiosis)

ภาพที่ 3 การเปลย่ี นแปลงของโครโมโซมในนวิ เครียสระยะตา่ งๆ ของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ บรเิ วณหลายรากหอม

การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitotic cell division) เป็นกระบวนการสำคัญที่เกดิ ข้นึ เพื่อเพม่ิ จำนวน
เซลล์รา่ งกายระหวา่ งการเจริญเตบิ โต และทดแทนเซลลท์ ีเ่ สียหายหรือตาย ประกอบดว้ ยระยะต่างๆ ดังนี้

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 3

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มที่ 1
1. ระยะอินเตอร์เฟส (Interphase) เป็นระยะที่เซลล์เตรียมพร้อมที่จะแบ่งนิเวครียสและไซโทพลาสซึม โครมา
ทนิ แต่ละเสน้ จะมีการจำลองตัวเอง
2. ระยะโพรเฟส (Prophase) โครมาทนิ แตล่ ะเสน้ ขดตัวสั้นลง ทำให้เหน็ เปน็ โครโมโซม
3. ระยะเมทาเฟส (Metaphase) โครโมแซมมาเรยี งกนั บรเิ วณก่ึงกลางเซลล์ ในระยะนโ้ี ครโมโซมมีการขดตัวมาก
ทสี่ ุดจึงมขี นาดใหญข่ ึ้นและส้ันจึงเหน็ ได้ชัดเจนทสี่ ดุ ทำให้เหมาะต่อการศกึ ษาโครโมโซม
4. ระยะแอนาเฟส (Anaphase) โครโมโซมแยกออกจากนน้ั
5. ระยะเทโลเฟส (Telophase) แยกนิวเครยี สออกเป็น 2 นิวเครยี ส

หลังจากมีการแบ่งนิวเครียสก็จะมีการแบ่งไซโทพลาสซึมต่อไปจึงทำให้ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ที่มีลักษณะ
เหมือนเซลล์เดิม

การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiotic cell division) เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ เซลล์
ใหมท่ เ่ี กิดขนึ้ จะมโี ครโมโซมลดลงครงึ่ หน่งึ

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 4

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

2. ยีน ดีเอนเอ และโครโมโซม

สิง่ มชี วี ิตแตล่ ะชนิดมีลักษณะเฉพาะซ่ึงแตกต่างจากส่ิงมชี ีวติ ชนิดอ่ืนๆ เช่น คนมลี ักษณะแตกต่างจากแมว
และนก ถา้ สังเกตลักษณะต่างๆของคน แม้ว่าจะมลี ักษณะโดยรวมเหมือนกัน แตก่ ็มรี ายละเอยี ดทแี่ ตกต่างกัน เช่น
บางคนมหี นังตาชั้นเดยี ว บางคนมีหนงั ตาสองชนั้ บางคนสงู บางคนเต้ีย ลกั ษณะตา่ งๆเหลา่ น้ีสามารถถ่ายทอดจาก
รนุ่ หน่ึงไปยังรุน่ ต่อๆไปได้ เรียกลกั ษณะท่ีถา่ ยทอดไปไดน้ ี้วา่ ลกั ษณะทางพันธุกรรม (genetic trait)

ในเซลลท์ ย่ี ังไม่มกี ารแบง่ เซลล์ โครโมโซมจะอยู่ในสภาพคลายตัวออกเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ยาวพนั กันอยู่ในนิว
เครียสของเซลล์ เรียกว่า โครมาทนิ (Chromatin) ซ่งึ จะไม่สามารถมองเหน็ ภายใต้กลอ้ งจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง

ในเซลลท์ จ่ี ะมกี ารแบ่งเซลล์ โครมาทนิ จะจำลองตวั เองออกเป็น 2 เสน้ และขดตัวสน้ั ลงเป็นโครโมโซม โดย
จะเห็นเป็นสองแท่งที่เชื่อมติดกันอยู่ ซึ่งแต่ละแท่งเรียกว่า โครมาทิด (Chromatid) ดังนั้นหนึ่งโครโมโซมจึง
ประกอบด้วย 2 โครมาทดิ โครมาทิดท้งั สองมีสว่ นท่ตี ดิ กนั อยู่ตรงบรเิ วณทเ่ี รยี กวา่ เซนโทรเมยี ร์ (Centromere)

โครมาทิด

จำลองตวั เอง ขดตัว เซนโทรเมยี ร์

โครมาทนิ โครมาทิน โครโมโซม

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 5

เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1

โครโมโซมประกอบด้วยกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก
หรือ ดีเอนเอ (Deoxyribonuleic acic หรือ DNA) ดีเอ็น
เอเปน็ สารทม่ี โี มเลกุลขนาดใหญ่ประกอบด้วยหนว่ ยย่อยเรียง
ตัวกันเป็นสายจำนวน 2 สาย ซึ่งจะจับคู่และบิดเป็นเกลียว
ในหน่วยย่อยแต่ละหน่วยประกอบด้วยน้ำตาล หมู่ฟอสเฟต
และเบส

DNA ที่เป็นเส้น (linear DNA) สายคู่ 1 เส้น พันรอบ
กลุ่มโปรตีนฮิสโทน 8 โมเลกุล ทำให้มีรูปร่างคล้ายลูกปัด
เรียก นวิ คลีโอโซม (nucleosome) และนิวคลโี อโซมมว้ น
พันกันเป็น โครมาทิน (Chromatin) โครมาทินในระยะท่ี
มีการแบ่งนิวเครียสจะมีการขดตัวทำให้หนาขึ้นและสั้นลง
มองเหน็ เปน็ โครโมโซม (Chromosome)

ยนี (gene) เปน็ ช่วงของ DNA ทอ่ี ยูบ่ น
โครโมโซม ทำหนา้ ที่เป็นหนว่ ยควบคมุ ลักษณะทาง
พันธกุ รรม

เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เช่น คน แมลง
หวี่ ถั่วลันเตา จะมีโครโมโซมอยู่เป็นคู่ยกเว้นในเซลล์สืบพันธ์ุ
โดยโครโมโซมแตล่ ะคู่ซ่ึงมาจากพ่อและแม่จะมรี ูปร่างเหมือนกัน
ความยาวเท่ากันและมียีนที่ควบคุมลักษณะเดียวกันอยู่ท่ี
ตำแหน่งเดยี วกันบนโครโมโซมท่เี ป็นคู่กัน เรียกโครโมโซมท่ีเป็น
ค ู ่ น ี ้ ว ่ า ฮ อ ม อ โ ล ก ั ส โ ค ร โ ม โ ซ ม (Homologous
Chromosome)

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 6

เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

3. โครโมโซมของมนุษย์

โ ค ร โ ม โ ซ ม ข อ ง ส ิ ่ ง ม ี ช ี ว ิ ต ช นิ ด

เดียวกัน จะมีจำนวนเท่ากัน แต่สิ่งมีชีวิต

ต่างชนดิ กนั อาจมีจำนวนโครโมโซม เท่ากัน

หรือไม่เท่ากันก็ได้ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์

จึงไม่ใช้จำนวนโครโมโซมมาจำแนกความ

แตกต่างของ สิ่งมีช ีว ิตแต่ละชนิด

นอกจากนี้จำนวนโครโมโซมยังไม่มีผลต่อ

ขนาด และความซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ยูกลีนา ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต

เซลล์เดียวที่มีขนาดเล็ก มีโครโมโซม

จำนวน 90 แท่ง ในขณะที่มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีขนาดจใำหนญวน่กว9่า0แลแะทม่งีโใคนรขงสณระ้าทงซี่มับนซุษ้อยน์ซกึ่งวเป่าม็นี

โครโมโซม จำนวน 46 แทง่ สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีขนาดใหญ่กว่าและมี

สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ จะมีความจำเพาะในจำนวน ขนาด แลโคะรชงนสิดร้าขงอซงับโคซ้รอโนมกโวซ่ามมีโดคังรนโมั้นโใซนมกาจรำศนึกวนษา

โครโมโซมในเซลล์สิ่งมีชีวิตจึงมีการย้อมสีก่อนนำไปส่องดูด้วยกล้อง4จ6ุลทแทรรง่ ศน์ แล้วถ่ายภาพโครโมโซมเก็บ ไว้
หลงั จากน้นั จะนำโครโมโซมมาจัดเรียงโครโมโซมค่เู หมือน (homologous chromosome) เพอื่ นำไป ศึกษาต่อไป

กระบวนการดังกล่าวเรยี กวา่ การทำคารโี อไทป์ (karyotype)

เซลล์ร่างกายมนุษย์แต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซมเท่ากับ 46 แท่งหรือ 23 คู่ เป็นโครโมโซมที่ไม่

เกี่ยวข้องกับการกำหนดเพศ เรียกว่า ออโตโซม (Autosome) จำนวน 22 คู่ และเป็นโครโมโซมที่กำหนดเพศ

เรียกวา่ โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) จำนวน 1 คู่

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 7

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

4. การคน้ พบของเมนเดลและการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม

กอ่ นหน้าทน่ี ักวทิ ยาศาสตร์จะค้นพบโครงสร้างและความร้เู กีย่ วกบั โครโมโซม ดเี อ็นเอ และยีน มีบคุ คลท่ี
คน้ พบความรทู้ างพนั ธุศาสตร์ซ่ึงเปน็ พืน้ ฐานสำคัญอย่างยิง่ ต่อการศกึ ษาวิชาพนั ธศุ าสตรใ์ นปจั จบุ ัน

ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 มบี าทหลวงชาวออสเตรียช่อื วา่ เกรกอร์ โยฮนั น์
เมนเดล (Gregor Johann Mendel) ได้ทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาเพื่อศึกษาการ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและได้สรุปเป็นกฎของการถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมขึ้นเมนเดลใช้ถั่วลันเตาในการทดลองเพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย
เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และให้ผลในระยะเวลาสั้น เมนเดลได้ผสมพันธุ์ถ่ัว
ลันเตาทม่ี ลี ักษณะต่างๆ โดยเลือกศกึ ษาเพียง 7 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ รปู รา่ งของเมลด็ สี
ของเมล็ด สีของดอก รูปร่างของฝัก สีของฝัก ตำแหน่งของดอก และความสูง
ของลำต้น โดยแต่ละลักษณะของถว่ั ลันเตาที่นำมาผสมพันธุ์กันนั้นมีความแตกต่าง
กนั อยา่ งชดั เจน ลำตน้ สูงและลำตน้ สงู ฝักสีเขยี วและฝักสเี หลือง
ถั่วลันเตาที่เมนเดลนำมาใช้เป็นพันธุ์แท้ ได้จากการเลือกต้นถั่วซึ่งมีลักษณะที่ต้องการแล้วปล่อยให้ผสม
พันธุ์ภายในดอกเดียวกัน และเมื่อถั่วออกผลเมนเดลก็นำเมล็ดแก่ไปปลูกจนกระทั่งต้นถั่วเจริญเติบโต จึงคัดเลือก
ต้นทีม่ ลี กั ษณะเดิมที่ต้องการแลว้ ปล่อยให้ผสมพนั ธภ์ุ ายในดอกเดียวกันจนได้ผลและเมลด็ แลว้ นำไปปลูก ทำเช่นน้ี
อีกหลายชั่วรุ่น จนได้ต้นถั่วพันธุ์แท้ที่มีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ เช่น ถั่วดอกสีขาวพันธุ์แท้เกิดจากการผสม
ภายในดอกเดียวกันหลายๆรุน่ จนไดต้ ้นถั่วทมี่ ีลักษณะดอกสีขาวทั้งหมดในทุกรนุ่ ทีผ่ สม

ตัวอย่างการทดลองของเมนเดลถั่วลันเตา
ของเมนเดลดอกสีม่วงพันธุ์แท้กับดอกสีขาวพันธุ์แท้
เริ่มจากการตัดอับเรณูของดอกสีม่วงทิ้งไปในขณะที่
ดอกยังตูมอยู่ แล้วใช้ถุงคลมุ ดอกตูมนั้นไว้เพ่ือไม่ให้มี
เรณใู ดเขา้ ไปผสม เมอื่ ดอกเจริญเตม็ ท่ีจึงเข่ยี เรณูจาก
ดอกถั่วพันธุ์แท้สีขาวมาแตะที่ยอดเกสรของดอกสี
ม่วงที่คลุมไว้ และใช้ถุงคลุมไว้ดังเดิม รอจนกว่าจะ
ตดิ ผลซึ่งมีเมลด็ อยภู่ ายใน เมอื่ เมล็ดแก่จึงนำเมล็ดแก่
ไปเพาะ สังเกตลักษณะสดี อกของตน้ ลูกทเี่ กดิ ข้นึ

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 8

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
เมนเดลทดลองผสมพนั ธถุ์ ว่ั ลันเตาพันธ์ุแท้โดยศึกษาเฉพาะลักษณะทแ่ี ตกต่างกนั อยา่ งชัดเจนเพยี งลักษณะ
เดยี ว เช่น ในการศกึ ษาลักษณะสขี องดอกถ่วั เมนเดลจะผสมพนั ธ์ุข้ามต้นโดยผสมถ่วั ร่นุ พอ่ แม่ดอกสีมว่ งพนั ธ์ุแท้กับ
ดอกสีขาวพันธุ์แท้แล้งพิจารณาสีดอกของถั่วรุ่นลูกที่เกิดขึ้นโดยไม่พิจารณาลักษณะอื่น เรียกการผสมลักษณะนี้ว่า
การผสมโดยพจิ ารณาลักษณะเดียว (Monohybrid cross)
ผลการทดลองการผสมพันธ์ถุ ่วั ลนั เตา 7 ลักษณะของเมนเดล

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 9

เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

ผลจากการผสมพันธ์ุถัว่ ลันเตาพบว่าลกู รุ่นที่ 1 มีลักษณะของรุ่นพ่อแม่ปรากฏเพียงลักษณะเดียว และลูก
ในรุ่นที่ 2 มีลักษณะของรุ่นพ่อแม่ปรากฏทั้งสองลักษณะในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากัน เมนเดลเรยี กลักษณะท่ีปรากฎใน
ลูกรุ่นท่ี 1 ว่าลักษณะเด่น (Dominant trait) และลักษณะที่ไม่ปรากฏในรุ่นที่ 1 แต่กลับมาปรากฏในรุ่นที่ 2
เรียกวา่ ลักษณะดอ้ ย (recessive trait)

เมนเดลสังเกตว่าลักษณะด้อยจะไม่ปรากฏให้เห็นในลูกรุ่นที่ 1 แต่กลับมาปรากฏในรุ่นที่ 2 และเมื่อนับ
จำนวนลูกในรุ่นที่ 2 พบว่ามีอัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยมีค่าประมาณ 3 ต่อ 1 เมนเดล
ต้ังสมมติฐานโดยใชห้ ลกั การทางคณติ ศาสตร์เพ่ืออธบิ ายผลการทดลองว่า ลกั ษณะแต่ละลกั ษณะของพืชถูกควบคุม
ด้วยหน่วยควบคุมลักษณะซึ่งเมนเดลเรยี กวา่ แฟกเตอร์ (factor) ทมี่ ีอยเู่ ป็นคู่ในเซลลข์ องรา่ งกาย โดยแฟกเตอร์ห
นึ่งมาจากพ่อและอีกแฟกเตอร์หนึ่งมาจากแม่ เมื่อถึงเวลาที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ แฟกเตอร์ที่อยู่เป็นคู่จะแยก
ออกจากกันอยู่เป็นแฟกเตอร์เดี่ยวในเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ สมมติฐานของเมนเดลปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่า กฎ
การแยก (law of segregation) และเมื่อเซลล์สบื พันธ์ุมาปฏิสนธิกนั จะทำให้ได้ไซโกตซ่ึงเป็นรนุ่ ลกู มีแฟกเตอร์ที่
อยเู่ ป็นค่เู ช่นเดมิ

ตอ่ มาเรยี กแฟกเตอร์นว้ี า่ ยีน ซี่งจากการทดลองพบว่ายีนทค่ี วบคมุ แตล่ ะลกั ษณะมีรปู ร่างทแ่ี ตกต่างกัน จึง
ปรากฎเป็นลกั ษณะทตี่ ่างกนั เรยี กรปู แบบทแ่ี ตกตา่ งกนั ของยนี วา่ แอลลลี (allele)

ฮอมอโลกัสโครโมโซมในเซลล์ของต้น
ถั่วจะมียีนที่ควบคุมลักษณะต่างๆ เช่น ยีนท่ี
ควบคุมตำแหน่งของดอก ยีนที่ควบคุมลักษณะ
ของฝัก และยีนที่ควบคุมความสูงของลำต้น ซึ่ง
แต่ละยีนจะมีรูปแบบของยีนอยู่ 2 แบบหรือ 2
แอลลีล เช่น ยีนที่ควบคุมสีของดอกมีแอล
ลีลควบคุมลักษณะดอกสีแดงและแอลลีลควบ
คุมลักษณะดอกสขี าว

ยีนที่ควบคุมลักษณะเดียวกันในต้นถั่วอาจมีแอลลีลที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับแอลลีลท่ี
ได้มาจากพ่อแม่ เช่น ถ้าพ่อและแม่มีแอลลีลที่เหมือนกัน ลูกจะมีแอลลีลที่อยู่บนฮอมอโลคัสโครโมโซมเหมือนกัน
แต่ถา้ พอ่ และแม่มีแอลลลี แตกตา่ งกนั ลกู กจ็ ะมีแอลลีลบนฮอมอโลกสั โครโมโซมตา่ งกัน

แอลลีลที่ควบคุมลักษณะเด่น เรียกว่า แอลลีลเด่น (dominant allele) ส่วนแอลลีลที่ควบคุมลักษณะ
ด้อย เรียกว่า แอลลีลด้อย (recessive allele) เมื่อมาเข้าคู่กัน แอลลีลเด่นจะสามารถข่มแอลลีลด้อยไม่ให้
ปรากฎลักษณะด้อยออกมา เรียกแอลลีลเด่นที่ข่มแอลลีลด้อยแบบนี้ว่า การข่มอย่างสมบูรณ์(complete
dominant) ดังนั้นแม้มีแอลลีลเด่นเพียงแอลลีลเดียว สิ่งมีชีวิตก็จะแสดงลักษณะเด่นออกมาได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตท่ี
แสดงลักษณะดอ้ ยจะต้องมีแอลลลี ด้อยท้งั สองแอลลีล

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 10

เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

นกั พนั ธศุ าสตรน์ ยิ มใชอ้ ักษรตัวพิมพ์
ใหญ่ ตัวเอียง แทนแอลลีลเด่น และลักษณะ
ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเอียง แทนแอลลีลด้อย เช่น
ใช้ตัวอักษณ T แทนแอลลีลที่ควบคุม
ลักษณะต้นสูง และ t แทนแอลลีลด้อยที่
ควบคุมลักษณะต้นเต้ีย
ลูกผสมท่ีเกิดขน้ึ มคี ่แู อลลลี เป็น Tt เรียกรูปแบบคแู่ อลลลี เช่นนี้ว่า จีโนไทป์ (Genotype) เรียกลักษณะท่ี
ปรากฎหรือลักษณะที่แสดงออก ว่า ฟีโนไทป์ (phenotype) เรียกคู่ของแอลลีลที่เหมือนกันเช่น TT หรือ tt ว่า
ฮอมอไซกัส (Homozygous) หากเป็นคู่แอลลีลที่แสดงลักษณะเด่น เรียก ฮอมอไซกัสโดมิแนนซ์ (
homozygous dominant) เช่น TT หากเป็นคู่แอลลีลที่แสดงลักษณะด้อย เรียกว่า ฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ
(homozygous recessive) เช่น tt และแอลลีลท่แี ตกตา่ งกันเช่น Tt วา่ เฮเทอโรไซกสั (Heterozygous)

Phenotype
Genotype

ในการหาจีโนไทป์ของลูกอาจใช้ตารางพันเนตต์ (Punnett square) ช่วยบอกจีโนไทป์ที่ได้จากการผสม
พันธุ์แทนการเขียนแผนภาพ ผู้คิดค้นวิธีนี้คือพันธุษชศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ เรจินัลด์ ครันดอลล์ พันเนตต์
(Reginald Crundall Punnett) โดยทำเป็นตารางแล้งเขียนเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่ไว้คนละข้างตามแนวยาว
และแนวขวาง จีโนไทปข์ องลกู ไดจ้ ากการเข้าคกู่ นั ของแอลลลี ในเซลล์สบื พันธขุ์ องพ่อและแม่ที่มชี อ่ งตรงกนั

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 11

เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
ตัวอยา่ งที่ 1 กำหนดให้ตน้ ถั่วลนั เตาท่ีมีแอลลีลควบคมุ ลักษณะเมล็ดกลม (R) เป็นแอลลีลเด่น และแอลลีลควบคุม
ลกั ษณะเมล็ดขรุขระ (r) เป็นแอลลลี ด้อย ถา้ นำถ่ัวลันเตาเมล็ดกลมท่ีมจี ีโนไทป์ RR ผสมพันธ์ุกับต้นถ่ัวลันเตาเมล็ด
กลมท่ีมจี โี นไทป์ Rr จงเขยี นแผนภาพเพื่อคำนวณหาอัตราสว่ นของจโี นไทปแ์ ละฟีโนไทปร์ นุ่ ลูก

ตัวอย่างท่ี 2 กำหนดให้ต้นถว่ั ลนั เตาที่มีแอลลีลควบคมุ ลักษณะเมล็ดสีเหลือง (Y) เป็นแอลลลี เด่น และแอลลีลควบ
คุมลกั ษณะเมล็ดสีเขยี ว (y) เปน็ แอลลลี ด้อย ถา้ นำถ่วั ลันเตาเมลด็ สเี หลอื งพันธ์ุทางกบั ตน้ ถว่ั ลนั เตาเมล็ดสเี ขยี ว จง
เขียนแผนภาพเพื่อคำนวณหาอัตราส่วนของจีโนไทป์และฟโี นไทป์ร่นุ ลูก

ตัวอยา่ งที่ 3 กำหนดให้ต้นถวั่ ลนั เตาท่มี ีแอลลลี ควบคมุ ลักษณะฝักสีเขียว (G) เป็นแอลลีลเดน่ และแอลลีลควบคมุ
ลักษณะฝักสเี หลอื ง (g) เปน็ แอลลีลดอ้ ย ถา้ นำถั่วลันเตาท่มี ีลักษณะฝกั แบบฮอมอไซกัสโดมิแนนซ์ กบั ตน้ ถัว่ ลนั เตา
ท่ีมลี ักษณะฝักแบบฮอมอไซกัสรเี ซสซีฟ จงเขยี นแผนภาพเพ่ือคำนวณหาอัตราสว่ นของจีโนไทป์และฟโี นไทป์รุ่นลูก

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 12

เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

แบบฝกึ หดั ท่ี 1

1. ถ้า W แทน gene ทีค่ วบคมลักษณะสีแดงในดอกถ่ัว และ w แทน gene ทคี่ วบคมลกั ษณะสขี าวในดอกถวั่ ถามวา่
ก. Genotype WW แสดง phenotype …………………………..
ข. Genotype Ww แสดง phenotype …………….……………
ค. Genotype ww แสดง phenotype ………………..………..
ง. ถวั่ ดอกสีแดง เขยี น genotype ไดว้ ่า …...................................…..
จ. ถ่ัวดอกสขี าว เขียน genotype ไดว้ า่ ...................................….
ฉ. genotype ทีเ่ ปน็ homozygous เขียนไดว้ ่า …......................…
ช. genotype ทเ่ี ปน็ heterozygous เขยี นไดว้ ่า …........................

2. ถ้ากาํ หนดให้ T ควบคมลักษณะสูง t ควบคมลกั ษณะต้นเต้ยี
ก. genotype ของตน้ สูงพนั ธ์ุแทค้ อื ……………………..……
ข. genotype ของต้นสูงพันธ์ุทางคือ …......................…..
ค. genotype ของตน้ เตี้ยคอื …....................................…

จงบอก genotype และ phenotype ของการผสมถั่วดังตอ่ ไปน้ี
ง. ถ่ัวสงู พันธุ์ทางกับตน้ เต้ีย

จ. ถ่ัวสูงพนั ธ์ทุ างผสมกนั เอง

ฉ. ถัว่ ต้นเตีย้ กบั ถ่วั สงู พันธุ์ทาง

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 13

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1

3. ถา้ R ควบคมเมลด็ กลม r ควบคมเมลด็ ขรขุ ระ
genotype ของถ่วั เมลด็ ขรุขระคือ…................................…..
genotype ของถั่วเมลด็ กลมพนั ธแ์ุ ทค้ อื ….........................…

ถา้ นําถ่ัวเมลด็ กลมพันธ์แุ ท้ผสมกบั ถ่ัวเมลด็ ขรุขระ F1 จะมี genotype และ phenotype แบบใดบ้าง

4. กำหนดให้ถั่วลันเตาที่มีแอลลลี ควบคุมลกั ษณะเมล็ดกลม (R) เป็นลกั ษณะเดน่ และแอลลีลควบคมุ ลักษณะเมลด็ ขรุขระ (r) เป็น
แอลลลี ด้อย ถ้านำถ่ัวท่ีมจี โี นไทป์ RR ผสมกับตน้ ถั่วทม่ี จี ีโนไทป์ Rr จงหาจีโนไทป์ละฟโี นไทปใ์ นรนุ่ ลกู

5. ถ้านำถั่วลันเตาพันธ์ุแท้ฝักสีเขียวซ่ึงเป็นลักษณะเด่น กับฝักสีเหลืองซ่ึงเป็นลักษณะด้อย ในรุ่นพ่อแม่มาผสมพันธ์ุกันจะได้รุ่น F1
ท่ีมฟี ีโนไทปแ์ บบใด และถา้ นำรุน่ F1 มาผสมกนั เองจะได้รุ่น F2 ทม่ี จี ีโนไทป์และฟีโนไทปแ์ บบใดบ้าง ในอตั ราส่วนเทา่ ใด จงอธิบาย

6. จากการศึกษาลกั ษณะทางพันธุกรรมของต้นถ่ัวลันเตา โดยพจิ ารณาลกั ษณะต้นสงู ซง่ึ แอลลีลเด่นแสดงลักษณะต้นสูงและแอลลี
ลด้อยแสดงลักษณะต้นเตี้ย และแอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยแบบสมบูรณ์ หากผสมต้นสูงกับต้นสูงพันธุ์แท้ จงหาโอกาสที่จะได้ตน้
เต้ยี

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 14

เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1

7. จากการศกึ ษาลักษณะทางพันธกุ รรมของตน้ ถ่วั ลนั เตา โดยพิจารณาลกั ษณะสขี องดอก ซึ่งแอลลลี เด่นแสดงดอกสีมว่ งและแอลลี
ลดอ้ ยแสดงดอกสขี าว และแอลลีลเด่นขม่ แอลลีลดอ้ ยแบบสมบูรณ์ หากผสมดอกสีขาวกบั ดอกสีมว่ งพันธแ์ุ ท้ จงหาโอกาสทจ่ี ะได้ตน้
ทม่ี ดี อกสีขาว

8. นำถ่ัวลนั เตารนุ่ พ่อแม่ homozygous dominant และ recessive ผสมพันธก์ุ นั จะทำให้ มโี อกาสไดร้ ุ่น F2 ทีม่ ีจีโนไทป์แตกต่าง
กนั ก่ีแบบ

9. ในกุ้ง (lobster) B ควบคมลกั ษณะเปลือกสีน้ำตาล b ควบคมลักษณะเปลอื กสฟี ้า
ก้งุ ท่ีมเี ปลือกสฟี ้าเขยี น genotype คอื …...............…….
ถ้ากุ้งเปลือกสีฟา้ ตวั นี้เกิดจากพ่อกุ้ง – แม่กุ้งท่ีมีเปลือกสีน้ำตาลดว้ ยกันทั้งคู่ จงหา genotype พ่อกุ้งและแม่กุ้ง และหา

genotype กับ phenotype ของลกู ท่ีเกิดจากพอ่ แมก่ งุ้

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 15

เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1

10. ในคน B แทนแลลลี เดน่ ควบคุมลกั ษณะตาสีน้ำตาลข่มแอลลลี ดอ้ ย ซึ่งควบคุมลกั ษณะตาสีฟ้า (b) อย่างสมบูรณ์
genotype ของคนตาสนี ้ำตาลคือ …....................……….
genotype ของคนตาสีฟ้าคือ …….............................……
ชายตาสีน้ำตาลมีพอ่ ตาสีฟ้า genotype ของชายคนนคี้ ้ือ …....................… เขาได้ b มาจาก ..............................
ชายตาสนี ำ้ ตาลพันธุ์แท้ genotype ของชายคนนคี ื้อ …...............……. เขาได้ B มาจาก ......................................
ชายคนหน่งึ ตาสฟี ้า genotype ของชายคนน้คี อื้ ……..................…. เขาได้ b มาจาก ..........................................

ชายตาสีน้ำตาลคนหนึ่งมีพ่อตาสีฟ้าแต่งงานกับหญิงตาสีน้ำตาลที่มีแม่ตาสีฟ้าลูกที่เกิดขึ้นจากชายหญิงคู่น้ี ควรจะมี genotype
แบบใด

ถ้าชายตาสีฟา้ แต่งงานกับหญิงตาสนี ำ้ ตาลได้ลูกคนแรกตาสีฟ้า จงหา genotype ของพ่อ แม่ และลกู

11. ในคนลักษณะหนังตาหนัก (P) ข่มลักษณะหนังตาปกติ หญิงหนังตาหนักคนหน่ึงมพี ่อหนังตาหนัก แต่แม่หนงั ตาปกติหญิงคนน้ี
แต่งงานกับชายหนังตาปกติ จงบอกลักษณะของลูกที่จะเกิดขึ้นจากชายหญิงคนนี้ว่าจะมีโอกาสแสดงลักษณะหนังตาหนักร้อยละ
เทา่ ใดฃ

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 16

เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

12. ในคนลักษณะถนัดขวา (R) ข่มลักษณะถนดั ซ้าย ชายถนัดขวาคนหนึง่ แต่งงานกบั หญิงถนัดซา้ ย ได้ลูกคนแรกถนัดขวาลกู คนที่
สองถนดั ซา้ ย จงเขียน genotype ของทกุ คนในครอบครวั น้ี

13. ในคนลักษณะการมีไรผมเป็นรูปแหลมกลางหน้าผาก (widow’s peak) เป็นลักษณะเด่น ลักษณะการมีไรผมเรียบ
(continuous hair) เป็นลักษณะด้อย ชายคนหนึ่งไรผมเรียบ แต่งงานกับหญิงไรผมแหลม ซึ่งมีพ่อไรผมเรียบ จงบอกลักษณะของ
ลกู ทจ่ี ะเกิดขน้ึ จากชายหญิงค่นู ้ีและบอกอตั ราสว่ นด้วย

14. ในคนลกั ษณะ dentinogenesis imperfecta คือมลี ักษณะฟนั สั้นหา่ งและเน้อื ฟัน เป็นสีเหลอื ง ลกั ษณะเหล่านี้ถูกควบคุมโดย
gene D ส่วนลกั ษณะฟันปกติถูกควบคุมโดย gene d ถ้าชาย heterozygous กับหญิงฟันปกติ ลูกที่จะเกิดขึ้นจะมีโอกาสเป็นคน
ฟนั ปกติหรอื ไม่

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 17

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1

15. กําหนดให้ R ควบคมเมล็ดกล็ม r ควบคมเมล็ดขรุขระ ในการผสมถั่วเมล็ดกลมกับเมล็ดกลมแล้วได้ลกู ผสมเป็นถั่วเมลด็ กลม
5,474 เมล็ด และถั่วเมล็ดขรุขระ 1,850 เมล็ด จงเขียน genotype ของถั่วร่นุ พ่อแม่

16. ในสนุ ขั จง้ิ จอกขนสีดําเงินเป็นลกั ษณะดอ้ ยต่อขนสีแดง R ถ้าต้องการให้ลกู ท่ไี ดท้ ุกตวั มีลกั ษณะขนสีแดง ควรใช้สนุ ัขจิง้ จอกตัวผู้
ขนสีดําเงนิ ผสมกับตัวเมยี ท่มี ี genotype อยา่ งไร

17. ลักษณะผิวเผือกถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อยบนออโตโซม หากสามีภรรยาคู่หนึ่งมีแอลลีลที่ควบคุมลักษณะผิวเผือกเป็นแบบ
heterozygous จงหาโอกาสที่ลกู จะแสดงลกั ษณะผวิ เผือก

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 18

เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1

18. จงหาโอกาสทคี่ รอบครวั หน่งึ จะมลี ูกโดยมมี ีเง่อื นไขดังนี้
โอกาสทีจ่ ะมลี กู สาว
โอกาสท่จี ะมีลูกชาย
โอกาสท่ีจะมลี กู สาวหรอื ลูกชาย

19. การมีลักยิ้มถกู ควบคุมดว้ ยแอลลีลเด่นบนออโตโซม หากพ่อมีลกั ยิ้มแบบพันธุ์ทาง และแม่ไม่มีลักยิ้ม จงหาโอกาสที่ลูกจะมีลัก
ย้มิ

20. ลักษณะผมหยิกถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อยบนออโตโซม หากพ่อมีลักษณะผมหยิก แม่มีลักษณะผมตรงแบบพันธุ์แท้ จงหา
โอกาสท่ีลกู จะมีลักษณะผมตรง

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 19

เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1

5. การถา่ ยทอดลกั ษณะของหมเู่ ลือดตามระบบ ABO

ตัวอย่างการถ่ายทอดลักษณะของหมู่เลือดตามระบบ ABO
1. ชายทม่ี หี มู่เลอื ดโอ แตง่ งานกับหญิงทีม่ ีหมเู่ ลือด เอบี ลูกมีโอกาสมหี มู่เลือดใดไดบ้ ้าง

A พ่อ O
B AB

A
B
แม่
AB
O

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 20

เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1

6. การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมท่อี ยู่บนโครโมโซมเพศ

พนั ธุกรรมท่ถี ่ายทอดของโครโมโซมเพศ ส่วนใหญอ่ ยใู่ นโครโมโซม X จากการศึกษาพบวา่ มโี รคพันธุกรรม
บางโรคที่ควบคุมด้วยอัลลีล ด้อยบนโครโมโซม X ทำให้เพศหญิง ซึ่งมีโครโมโซม X อยู่ 2 แท่ง ถ้ามีอัลลีล
(allele) ผิดปกติที่ควบคุมโดยอัลลีลเด่น (dominant) อยู่ 1 อัลลีล จะไม่แสดงอาการของโรคพันธุกรรมนั้นให้
ปรากฏ แต่ผู้หญิงจะเป็นพาหะของยีนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมนั้น ส่วนเพศชายมีโครโมโซม X อยู่ 1 แท่ง
แม้ได้รับอัลลีลด้อย (recessive) ที่ผิดปกตินั้นเพียงอัลลีลเดียว ก็สามารถแสดงลักษณะของโรคพันธุกรรมนั้นให้
ปรากฏได้
ตวั อย่างลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมที่อยู่บนโครโมโซมเพศเชน่

1. ตาบอดสี เป็นลักษณะทางพันธกุ รรมที่ควบคมุ ดว้ ยแอลลลี ด้อยบนโครโมโซม X
2.โรคฮีโมฟเี ลยี เปน็ โรคทมี่ ีอาการของเลือดไหลไมห่ ยุด เป็นโรคท่ถี า่ ยทอดทางพนั ธุกรรมทถ่ี ูกควบคมุ
โดยอลั ลลี บนโครโมโซม X
3.โรคเลอื ดจางจากเม็ดเลือดรปู เคียว ทำใหเ้ ซลล์เม็ดเลอื ดแดงไมส่ ามารถลำเลียงก๊าซออกซเิ จนไดด้ ี
เหมอื นเซลล์เม็ด เลือดแดงปกติ เป็นผลทำให้ขาดออกซเิ จนในเลือด อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง
ตัวอย่างที่ 1 ชายคนหนง่ึ ไมเ่ ปน็ โรคตาบอดสี แต่งงานกับหญงิ ทไี่ ม่เป็นตาบอดสีแตเ่ ป็นพาหะ จงหาโอกาสของลกู ที่
เกิดมาจะเป็นตาบอดสี

ตัวอย่างที่ 2 ชายคนหนึ่งเป็นโรคตาบอดสี แต่งงานกับหญงิ ท่ีไม่เป็นตาบอดสีแต่เปน็ พาหะ จงหาโอกาสของลูกท่ี
เกดิ มาจะเปน็ ตาบอดสี

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 21

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1

แบบฝึกหัดที่ 2

1. ชายตาบอดสแี ต่งงานกบั หญิงที่มีตาปกตแิ ต่เป็นพาหะตาบอดสีจงเขยี นจโี นไทป์ และฟีโนไทป์ของลูกที่เกิดขึน้

2. ชายทีไ่ ม่เป็นโรคฮีโมฟเี ลยี เมยี แตง่ งานกบั หญิงท่เี ป็นโรคฮโี มฟเี ลยี จงเขยี นจโี นไทป์ และฟโี นไทป์ของลูกท่ีเกดิ ขึ้น

3. ชายตาปกตแิ ต่งงานกบั หญิงตาปกติที่มีพ่อเป็นตาบอดสี จงเขียนจโี นไทป์ และฟโี นไทปข์ องลูกทเี่ กิดข้ึน

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 22

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1
4. หญงิ ที่เปน็ พาหะโรคฮีโมฟีเลียแตง่ งานกบั ชายที่ไม่ทราบแนช่ ดั ว่าเปน็ โรคฮโี มฟเี ลียหรือไม่ ลูกคนแรกเปน็ ลูกสาว
ซึง่ เป็นโรคฮีโมฟีเลีย จงเขยี นจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของลูกทเ่ี กดิ จากหญงิ และชายคนู่ ี้

5. ชายกบั หญงิ ค่หู นง่ึ แต่งงานกัน ได้ลูกชายที่ไม่เปน็ โรคฮีโมฟเี ลยี ลูกสาวเป็นโรคฮีโมฟีเลีย จงเขยี นจีโนไทป์ และฟี
โนไทปข์ องลูกทเ่ี กิดจากหญิงและชายคนู่ ้ี

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 23

เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

7. พงศาวรี

เพดดีกรี ( Pedigree ) หรือพงศาวลี หรือ พันธุประวัติ หมายถึง แผนภาพลำดับเครือญาติ หรือ
แผนภาพแสดงการสืบพันธ์ทุ ี่ได้จากการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมทำได้โดยการเกบ็ ข้อมูลของคนใน
ครอบครัวหลายๆชวั่ อายุคนแล้วนำมาเขยี นแผนภาพซ่ึงต้องใช้สัญลกั ษณต์ า่ ง

ตัวอย่างการแปลข้อมูลจากเพดดีกรี
1. พนั ธปุ ระวัตแิ สดงโรคตาบอดสีของครอบครัวหน่งี แสดงดงั ภาพ จงเขียนจโี นไทปข์ องของ A B C และ D

2. พนั ธุประวัติแสดงการมีลกั ยิ้มของครอบครวั หน่ึงเป็นดังภาพ จงเขยี นจโี นไทป์ของทุกคน

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 24

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1

8. ความผิดปกตทิ างพันธกุ รรม

Down syndrome (ดาวน์ ซินโดรม) พบมากที่สุด เกิด
จากการที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21เกิน มา 1 แท่ง (trisomy 21)
สาเหตุเกิดจากมารดามีอายมุ าก สร้างไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติ
คือ 23 + x

อาการ คนทม่ี ีอาการดาวนจ์ ะมสี มองเล็ก กะโหลกศีรษะเล็ก
ท้ายทอยแบน จมูกเล็กและแฟบ ตาห่าง หางตาชี้ขึ้นบน ช่อง
ปากเลก็ จงึ ดูเหมือนล้ินโต ล้นิ เปน็ ร่อง กระดกู ยาวช้าทำให้มีตัว
สั้นนิ้วสั้น ลายมือเจริญผิดปกติ มักเป็นปัญญาอ่อน ค่า I.Q. =
20 - 50

Edward syndrome (เอ็ดเวิร์ด ซินโดรม) เกิดจากมีโครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา1 แท่ง (trisomy 18)
ทารกมกั เป็นเพศหญิง อาการ กะโหลกศรี ษะด้านหลังผิดปกติ ตาชดิ กัน ปากและกรามเล็ก ขนาดศีรษะเล็ก มีรอย
พับย่นที่เปลือกตาด้านนอก ใบหูต่ำกว่าปกติ อาจพบปากแหว่งเพดานโหว่ เมื่อกำมือนิ้วชี้และนิ้วก้อยจะเกยทับ
นว้ิ กลางและน้วิ นาง จากการเกรง็ ตัวของกลา้ มเนอ้ื ทารกส่วนมากจะเสยี ชวี ิตภายใน1 ปี

Patau’s Syndrome (พาทาว ซินโดรม) เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 แท่ง (trisomy 13)
อาการ น้ำหนักน้อย ศีรษะเล็ก ตาเล็กหรือไม่มีตา ปากแหว่งเพดานโหว่ ตาห่างกัน มีรอยย่นที่หัวตา จมูกโตแบน
คางสัน้ ใบหูผดิ ปกติและอย่ตู ่ำ นว้ิ มากเกนิ หวั ใจพกิ าร ไตผดิ ปกติ อาจมอี วยั วะภายในกลับซา้ ยขวากัน มกั เสียชีวิต
ตง้ั แตอ่ ายุยังน้อย 80 % เสียชวี ิตภายใน 1 ปี

Cri du chat syndrome (คริ ดู ชาต ซินโดรม หรือ Cat cry syndrome) เกิดจากการขาดหายไป
ของแขนขา้ งสัน้ ของโครโมโซมคทู่ ี่ 5 (p5 deletion) พบในทารกเพศหญิงมากกว่าชาย อาการ ศีรษะเล็ก หนา้ กลม
ตาท้งั สองข้างอยหู่ า่ งกนั ปญั ญาออ่ นมาก ลักษณะท่สี ำคัญคอื มีเสียงร้องสงู คลา้ ยเสียงลูกแมว

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 25

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

โรค ความผิดปกติ อาการ

Klinefelter syndrome พบในผู้ชาย เกิดจากมี อวัยะเพศภายนอกเป็นเพศชาย แต่อณั ฑะเลก็ เตา้ นม

(ไคลนเ์ ฟลเตอร์ซินโดรม) โครโมโซม X เกินมา 1 โตคล้ายผูห้ ญงิ รูปร่างสงู อ้วน ปญั ญาค่อนขา้ งอ่อน

แทง่

Turner syndrome พบในเพศหญิงเกิดจาก ลักษณะอวัยวะเพศภายนอกเป็นหญิง มีรูปร่างเตี้ย

(เทอรเ์ นอร์ ซนิ โดรม) โครโมโซม X ขาดหายไป คอเป็นแผง หน้าอกแบนกว้าง เต้านมเล็กและหัวนม

1 แท่ง อยู่ห่างกัน อวัยวะเพศเจริญได้ไม่เต็มที่ รังไข่และ

มดลกู เล็กและเปน็ หมนั

Triple X syndrome พบในเพศหญิงเกิดจาก ลักษณะภายนอกเป็นหญิง อวัยวะเพศเจริญไม่เต็มท่ี

(ทรบิ เปิล เอ็กซ์ ซินโดรม) โครโมโซม X ขาดหายไป รังไข่ฝ่อ ไม่มีประจำเดือน เป็นหมัน ระดับสติปัญญา

1 แทง่ ต่ำกวา่ ปกติ

Double Y syndrome พบในเพศชายเกิดจากมี ลักษณะ ภายนอกเป็นชาย สติปัญญาต่ำ เป็นหมัน

(ดบั เบิลวายซินโดรม) โครโมโซม Y เกินมา 1 รูปร่างสูง ไม่มีลักษณะทางกายที่ผิดปกติ แต่มักเป็น

แทง่ รวมเป็น 3 แทง่ คนอารมณ์ฉุนเฉียว ใจร้อน พบมากในพวกนักโทษซึ่ง

มีพฤตกิ รรมเปน็ ภยั ตอ่ สงั คม

9. ส่ิงมชี ีวติ ดดั แปรพันธุกรรม

ยีนเปน็ ชว่ งของ DNA ท่ีควบคุมลกั ษณะทางพนั ธุกรรม โดยลำดับนวิ คลโี อไทด์ของ DNA มีความจำเพาะ
กบั ลกั ษณะทคี่ วบคมุ และการเปลย่ี นแปลงของ DNA อาจก่อใหเ้ กดิ ลักษณะที่เปลย่ี นไปได้
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธกุ รรม (Genetically Modified Organism หรือ GMO )

ใ น ห ิ ง ห ้ อ ย ม ี ย ี น ท ี ่ ส ั ง เ ค ร า ะ ห์ พืชไม่มียีนที่สังเคราะห์โปรตีนที่ ตัดต่อยีนในหิงห้อยทีส่ ังเคราะห์
โปรตนี ท่เี กย่ี วกับการเรืองแสง เก่ียวกับการเรอื งแสง โปรตีนที่เกี่ยวกับการเรืองแสง
ให้พืช

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 26

เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

ดา้ นการแพทยแ์ ละเภสัช การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยี DNA
กรรม - การสร้างแบคทีเรียดดั แปรพันธกุ รรมท่ีมยี นี ผลติ อนิ ซูลิน (Insulin) ของมนุษย์ทำ
ใหแ้ บคทเี รียสามารถผลติ อนิ ซลู ินทนี่ ำไปใช้บำบดั อาการของผูป้ ว่ ยโรคเบาหวานได้
โดยทีแ่ บคทเี รยี สามารถเพมิ่ จำนวนไดม้ ากในระยะเวลาอนั สน้ั
- การสร้างสัตว์หรือพืชดัดแปรพันธุกรรมที่สร้างผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมได้ เช่น
ปศุสตั ว์ทผี่ ลติ ฮอร์โมนหรือแอนติบอดีของมนุษยโ์ ดยการหลัง่ มากับน้ำนม ดังกรณี
ของแพะที่ผลิตโปรตนี ทีป่ ้องกนั การแข็งตวั ของเลือด
- การนำแอลลีลปกติเข้าสู่จีโนมมนุษย์เพื่อบำบัดอาการหรือรักษาโรค ซึ่งใน
ปัจจุบันมีการวิจัยพัฒนาการบำบัดโรคโดยปรับแต่งจีโนมด้วยวิธีอื่นๆ ด้วย เช่น
การนำชิ้นส่วนของแอลลีลที่เกิดโรคออก การทำให้เกิดมิวเทชันในแอลลีลเพ่ือ
ไมใ่ ห้ก่อโรคอกี ตอ่ ไป

ดา้ นการเกษตร การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี DNA
- การชักนำให้เกิดมิวเทชันในระดับยีนหรือระดับโครโมโซม สามารถนำมาใช้ใน
การสรา้ งพชื ที่มลี ักษณะเปล่ียนไปได้ เชน่ การใชร้ ังสีเพื่อสร้างพุทธรักษาที่มีดอกสี
ใหม่ การใช้สารเคมีเพอ่ื สร้างแตงโมไรเมล็ด
- การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรมโดยนำยีนอื่นเข้าไปในพืชเพื่อปรับปรุงพันธ์ุ เช่น
พืชบที ี มะละกอต้านไวรสั ขา้ วสที อง

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 27

เอกสารประกอบการสอนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1

ดา้ นนิติวิทยาศาสตร์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี DNA
- การตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA fingerprinting ) เพื่อระบุบุคคล เช่น การ
เปรยี บเทยี บ DNA ผตู้ อ้ งสงสยั การหาความสมั พันธท์ างสายเลือด (ลายพิมพ์ DNA
ของลูกจะต้องคลา้ ยพ่อกับแมเ่ ทา่ นน้ั )

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 28

เอกสารประกอบการสอนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1

แบบฝกึ หัดท้ายบท

1. นำตน้ ถ่วั ลนั เตาทม่ี ีดอกสมี ่วงและตน้ ถ่ัวลันเตาที่มีดอกสีขาวมาผสมพันธุ์กนั ตามแผนภาพ

กำหนดให้ P แทนแอลลีลควบคุมดอกสีม่วง และ p แทนแอลลีลควบคุมดอกสีขาว ให้นักเรียนเติม
ตัวอกั ษรและคำลง ในแผนภาพให้ถกู ตอ้ ง
2. การมีติ่งหูและไม่มีติ่งหูของมนุษย์เป็นลักษณะที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การมีติ่งหูเป็นลักษณะเด่น
โดยมี แอลลีลควบคุมลักษณะการมีติ่งหู (E) เป็นแอลลีลเด่น ส่วนแอลลีลควบคุมลักษณะไม่มีติ่งหู (e) เป็นแอลลี
ลดอ้ ย นักเรยี นคิดวา่ เปน็ ไปไดห้ รอื ไม่ว่าพ่อแมท่ ม่ี ีต่ิงหทู ัง้ คจู่ ะใหก้ ำเนดิ ลกู ที่ไม่มตี ่งิ หู ให้นกั เรยี นอธิบายคำตอบ โดย
เขยี นแผนภาพแสดงการถา่ ยทอดลักษณะการมตี ่งิ หูและไมม่ ีต่งิ หจู ากพ่อแม่ไปสูล่ กู

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 29

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1
3. สามีภรรยาปกตคิ ูห่ น่ึงมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน ทุกคนป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย กำหนดให้ B แทนแอลลี
ลเด่นซึ่งเป็นแอลลีลปกติ b แทนแอลลีลด้อยซึ่งเป็นแอลลีลที่ทำให้เกิดโรคธาลัสซีเมีย ให้นักเรียนตอบคำถาม
ต่อไปน้ี
3.1 จีโนไทปข์ องสามภี รรยาคูน่ ี้เปน็ อย่างไร
3.2 ลกู ที่เกิดจากสามีภรรยาคูน่ ี้มจี ีโนไทป์และฟีโนไทป์อยา่ งไรบ้างและมีอตั ราสว่ นเท่าใด

3.3 ถา้ ลูกสาวของสามภี รรยาคนู่ ้ีแต่งงานกับชายปกตแิ ล้วมีลูก 2 คน คนหนึง่ เปน็ ลูกชายท่ีเป็นโรคธาลัสซีเมีย ส่วน
อกี คนหนึ่งเปน็ ลูกสาวปกติ จโี นไทปข์ องชายคนนีแ้ ละลกู สาวของสามภี รรยาคู่น้มี จี ีโนไทป์เปน็ อย่างไร

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 30

เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1

4. ข้อความใดไมถ่ กู ต้องเกีย่ วกับโครโมโซม ยีน และดีเอ็นเอ
ก. โครโมโซมเปน็ ที่อยขู่ องยนี
ข. ยีนเปน็ ช่วงหนึ่งของดีเอ็นเอ
ค. โครโมโซมมดี เี อ็นเอเปน็ องค์ประกอบ
ง. โปรตีนเปน็ องคป์ ระกอบของดเี อน็ เอ

5. ถ้านำเซลล์ผวิ หนงั ของเดก็ หญิง ก. ไปตรวจโครโมโซม จะพบวา่ มีโครโมโซมเป็นอยา่ งไร
ก. ออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศเป็น XX
ข. ออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศเปน็ XY
ค. ออโตโซม 23 คูแ่ ละโครโมโซมเพศ 1 คู่
ง. ออโตโซมทัง้ หมดจำนวน 23

6. ชาวสวนคนหนึ่งผสมพันธ์ุถั่ว 2 ต้น เมื่อต้นถั่วออกฝักจึงนำเมลด็ ไปปลูกจนตน้ ถั่วเจริญเติบโต ปรากฏว่าเป็นถ่วั
ต้นสูงจำนวน 254 ต้น ถ่ัวตน้ เตยี้ จำนวน 250 ตน้

กำหนดให้ T เป็นแอลลีลควบคุมลำต้นสูง และ t เป็นแอลลีลควบคุมลำต้นเตี้ย จากผลการทดลองนี้ จีโน
ไทปข์ องถั่วต้นพ่อและต้นแมใ่ นขอ้ ใดถกู ตอ้ ง

7. กำหนดให้ A B C D เป็นพืชชนิดเดียวกนั A B C มีดอกสีแดง และ D มีดอกสีขาว นำพืชเหล่านี้มาผสมพันธ์กุ นั
ได้ลูกท่มี ลี กั ษณะสีของดอก ดงั ตาราง

พืชใดมีจโี นไทปแ์ บบเดียวกัน ข. B และ C
ก. A และ B ง. C และ D
ค. A และ C

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 31

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1

6. ลักษณะขนสีดำของววั เปน็ ลักษณะเดน่ ควบคมุ โดยแอลลลี B และขนสแี ดงเปน็ ลักษณะด้อยควบคุมโดย แอลลีล

b ถ้าลูกววั ตวั หนง่ึ มีจโี นไทป์เป็น BB พ่อและแมอ่ าจมจี โี นไทปไ์ ด้หลายแบบยกเว้นแบบใด

ก. BB และ BB ข. BB และ Bb

ค. BB และ bb ง. Bb และ Bb

7. ส่งิ มีชีวิตชนิดหนง่ึ มีจำนวนโครโมโซมของเซลล์รา่ งกายเทา่ กับ 8 แผนภาพในขอ้ ใดทแ่ี สดงกระบวนการแบ่งเซลล์

เพื่อสรา้ งเซลลส์ บื พันธข์ุ องส่ิงมชี วี ิตชนิดนไี้ ด้ถกู ตอ้ งที่สดุ

8. สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีโครโมโซมในเซลล์ร่างกายจำนวน 44 แท่ง จำนวนโครโมโซมในเซลล์สืบพันธุ์และในไซโก
ตของ สง่ิ มชี ีวิตชนดิ น้ีเป็นเทา่ ไร

9. จากภาพโครโมโซมของเซลลร์ ่างกายของมนุษย์ ผู้ทม่ี โี ครโมโซมดังภาพ จะมลี กั ษณะและเพศดังข้อใด
ก. ปกติ เพศชาย
ข. ปกติ เพศหญิง
ค. ผดิ ปกติ เพศชาย
ง. ผิดปกติ เพศหญิง

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 32

เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1
10. คู่แต่งงานใดมคี วามเสย่ี งทล่ี ูกจะเป็นโรคธาลัสซเี มียมากที่สุด

11. อา่ นสถานการณ์ต่อไปน้ี ขา้ วโพดดัดแปรพันธุกรรมสามารถผลิตสารที่เป็นพิษต่อหนอนเจาะฝักข้าวโพดซ่ึงเป็น
แมลงท่ีเป็นศตั รู ของขา้ วโพด แต่เม่อื เรณูของข้าวโพดดัดแปรพนั ธุกรรมปลวิ ไปตกอยู่ที่ใบของต้นรักจะทำให้หนอน
ผเี ส้ือจกั รพรรดิ ท่ีกินใบรกั เป็นอาหารเจริญเติบโตช้า และมอี ัตราการตายท่ีสงู ขน้ึ
จากสถานการณด์ งั กลา่ ว ควรวางแผนอยา่ งไรเพอื่ รบั มือกับผลกระทบท่ีอาจมีตอ่ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดล้อม
1. ปลกู ขา้ วโพดดดั แปรพนั ธุกรรมรว่ มกบั ตน้ รกั เพื่อกำจดั หนอนผเี สื้อจักรพรรดิ
2. ปลูกข้าวโพดดัดแปรพนั ธกุ รรมบนพื้นทห่ี ่างไกลจากต้นรกั
3. ปลกู ต้นไม้ใหญเ่ ป็นแนวกนั้ ลมระหวา่ งแปลงขา้ วโพดดดั แปรพนั ธกุ รรมกบั ตน้ รัก

ก. ขอ้ ท่ี 1 เทา่ น้ัน
ข. ขอ้ ที่ 2 เท่านัน้
ค. ขอ้ 1 และ 2
ง. ขอ้ ที่ 2 และ 3

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 33

เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มที่ 1

2บทที่ คลน่ื

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. สรา้ งแบบจำลองการเกดิ คลนื่ กลและบรรยายส่วนประกอบของคลน่ื กล
2. บรรยายความหมายของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรมั ของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า
3. นำเสนอการใชป้ ระโยชนแ์ ละอันตรายของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชวี ติ ประจำวัน

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 34

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1

1. คล่นื

1.1 ประเภทของคล่นื
คลืน่ สามารถจำแนกไดห้ ลายวิธี เช่น
1. จำแนกคล่ืนตามความจำเปน็ ของการใช้ตัวกลางในการแผ่

การจำแนกประเภทนีส้ ามารถแบ่งคล่ืนออกได้ 2 ชนิดคือ
ก. คลื่นกล (Mechanical Wave) เป็นคลื่นที่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการแผ่คลื่นประเภทนี้ เช่น คลื่นน้ำ
คลน่ื ในเสน้ เชือก คลืน่ เสยี ง เปน็ ตน้
ข. คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) เป็นคลนื่ ท่เี กดิ จากการเหน่ียวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ
สนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ในทิศทางตั้งฉากซึ่งกันและกัน และต่างก็ตั้งฉากกับทิศทางของการแผ่ของคลื่น
คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ สามารถแผ่ไปในบรเิ วณสญุ ญากาศซึ่งไม่มีตัวกลางอยู่เลย หรือแผ่ผา่ นบรเิ วณทม่ี ตี ัวกลางต่างๆ ก็
ได้ คล่นื ประเภทน้ี เช่น คลืน่ วิทยุ เรดาร์ ไมโครเวฟ แสง รงั สอี ัลตราไวโอเลต รงั สเี อกซ์ เปน็ ต้น

2. จำแนกคลนื่ ตามลักษณะของการส่ันของแหล่งกำเนิด หรือตามลักษณะการแผ่
การจำแนกประเภทน้ี แบ่งคลืน่ ออกได้ 2 ชนิดคอื

ก.คลื่นตามขวาง (Transverse Waves)เป็นคลื่นที่มีทิศทางการสัน่ ของตัวกลางหรือทิศทางการเปล่ียนแปลง ต้ัง
ฉากกับทิศทางการแผ่ (ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น) เช่น คลื่นในเส้นเชือก คลื่นน้ำ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้น
คล่นื ตามขวางอาจมที ง้ั คลื่นกลและคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าก็ได้
ข.คลื่นตามยาว (Longitudinal Wave) เป็นคลื่นท่มี ีทิศทางการสั่นของตัวกลางอยู่ในแนวขนานกับการเคลื่อนท่ี
ของคลืน่ เชน่ คลื่นเสียง คล่นื ที่เกดิ จากการอัดและการขยายตัวในขดลวดสปริง เปน็ ต้น ดังนน้ั คลื่นตามยาวทกุ ชนิด
จะเป็นคลื่นกลด้วยกันท้งั สนิ้

3. จำแนกตามความตอ่ เนอื่ งของแหล่งกำเนิด
การจำแนกประเภทน้แี บง่ คลืน่ ออกได้ 2 ชนดิ คอื
ก.คลื่นดล (Pulse Wave) เป็นคลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดสั่น หรือรบกวนตัวกลางเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้เกิด
คลื่นแผ่ออกไปเป็นจำนวนน้อยๆ เพียง 1 หรือ 2 คลื่น เช่น การใช้นิ้วจุ่มที่ผิวน้ำเพียงครั้งหรือ 2 ครั้ง หรือการ
สะบัดเชอื ก เพอื่ ใหเ้ กดิ คล่นื ในเส้นเชือกเพยี งคร้งั หรือ 2 คร้งั

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 35

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1

ข. คลนื่ ต่อเนื่อง (Continuous Wave) เปน็ คล่ืนที่เกิดจากแหลง่ กำเนดิ ส่นั หรือรบกวนตัวกลางอย่างต่อเน่อื ง ทำ
ให้เกิดคลื่นแผ่ออกไปเป็นขบวนอย่างต่อเนื่อง เช่น การเกิดคลื่นผิวน้ำเนื่องจากแหล่งกำเนิดติดกับมอเตอร์ เม่ือ
มอเตอร์หมุนแหล่งกำเนิดจะเกดิ การสั่นอย่างต่อเน่ือง ทำให้เกิดคลื่นผิวน้ำแผ่ออกไปเป็นขบวนอยา่ งต่อเนื่อง หรือ
การสะบดั เชอื กอยา่ งต่อเนอื่ งทำใหเ้ กดิ คลื่นในเชือกอย่างต่อเนือ่ ง

1.2 องค์ประกอบของคล่นื

องคป์ ระกอบของคลื่น คำอธบิ าย
สันคลน่ื (Crest) เป็นตำแหน่งสูงสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดใน
ทางบวก
ทอ้ งคลน่ื (trough) เป็นตำแหน่งต่ำสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทาง
ลบ
แอมพลิจดู (Amplitude) เปน็ ระยะการกระจัดมากสุด ทัง้ คา่ บวกและคา่ ลบ วดั จากระดับปกติไปถึง
สนั คลืน่ หรอื ไปถึงท้องคลืน่ สญั ลกั ษณ์ A มีหนว่ ยเปน็ เมตร
ความยาวคล่นื (wavelength) เป็นความยาวของคลื่นหนึ่งลูกมีค่าเท่ากับระยะระหว่างสันคลื่นหรือท้อง
คลื่น ที่อยู่ถัดกัน หรือระยะระหว่าง 2 ตำแหน่งบนคลื่นที่ที่เฟสตรงกัน
(inphase) ความยาวคลน่ื แทนดว้ ยสญั ลกั ษณ์ Lamda มีหนว่ ยเป็นเมตร

แอมพลิจูดของคลื่นจะขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้ในการรบกวนตัวกลาง เช่น ถ้าให้ก้อนหินกระทบผิวน้ำด้วย
อัตราเร็วหรอื พลงั งานทเ่ี พม่ิ ข้นึ หรอื สะบดั สปริงให้มชี ่วงกว้างของการสะบัดมากขนึ้ คลื่นก็จะมแี อมพลจิ ดู สงู ข้นึ

▪ รบกวนตัวกลางของคล่นื ด้วยพลงั งานน้อย คลื่นจะมแี อมพลจิ ดู ตำ่
▪ รบกวนตวั กลางของคลน่ื ดว้ ยพลังงานมาก คลนื่ จะมแี อมพลิจดู สงู

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 36

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1

1.3 ความเร็วของลคนื่
ความถี่ (frequency ; f) คือ จำนวนลูกคลืน่ ท่เี กดิ ขึน้ ใน 1 หนว่ ยเวลา หรอื จำนวนลกู คล่ืนท่ีเคล่ือนท่ีผ่านจุดคงที่
ในเวลา 1 หน่วย และความถ่ขี องคลน่ื จะมีค่าเท่ากบั ความถ่ีของการสนั่ ของแหล่งกำเนิด หมายความว่าแหลง่ กำเนิด
สนั่ ครบ 1 รอบ จะเกิดคลื่น 1 ลกู ความถ่ีมีหนว่ ยเปน็ รอบต่อวนิ าที, หรอื Hertz (HZ)
คาบ (Period ; T) คอื เวลาทีจ่ ดุ ใดๆ บนตวั กลางสั่นครบ 1 รอบหรือเปน็ เวลาที่เกดิ คลื่น 1 ลกู หรอื เวลาท่ีคลื่นไป
ไดไ้ กล 1 ลุกคลื่น คาบมหี น่วยเป็นวนิ าทตี ่อลูก หรอื วินาที (s)

สตู รคำนวณเกยี่ วกบั คลน่ื

การทำให้ตัวกลางสั่นด้วยความถี่แตกต่างกัน ลักษณะของคลื่นที่ปรากฎก็จะมีความถี่แตกต่างกันด้วย ซึ่ง
จะสง่ ผลต่อความยาวคลน่ื โดยจะพบว่าในตวั กลางหนึ่งๆ คล่นื ที่มีความถ่ีต่ำจะมคี วามยาวคลื่นมาก ส่วนคลื่นท่ีมี
ความถ่สี ูงจะมีความยาวคลนื่ สั้น

ตัวอยา่ ง คลน่ื ขบวนหนึ่ง ดังภาพ เคลอ่ื นดว้ ยเวลาทั้งสิน้ 4 วินาที จงตอบคำถามต่อไปนี้

5A E

B 5 D 10 F 15 20

-5 C G

มคี ลนื่ ทั้งหมด…………..ลกู ความยาวเท่ากับ……………………. แอมพลจิ ดู เท่ากบั ……………….
ความถ่เี ท่ากบั ………………. คาบเท่ากับ……………………..……. ความเรว็ เท่ากับ…………….…….

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 37

เอกสารประกอบการสอนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1

2. คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า

คลื่นที่พบในชีวิตประจำวันนอกจากคลื่นกลซึ่งเป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงาน ยังมี
คลื่นอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เรียกว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic
wave) โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะอาศัยการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าต่อเนื่องกันเป็นทอด ๆ เพ่ือ
สง่ ผ่านพลังงานจากทหี่ นึง่ ไปยังอกี ที่หน่งึ

แหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สำคัญของโลกคือดวงอาทิตย์ ซึ่งจะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถ่ี
สัมพันธ์เป็นช่วงกว้างมาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่มากจะมีความยาวคลื่นสั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบ่ง
ออกเป็นช่วงความถตี่ า่ ง ๆ เรยี กว่า สเปกตรมั ของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า (electromagnetic spectrum)

พลังงานของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ จะข้นึ อยู่กบั ความถข่ี องคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ นั้น ๆ โดยคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ที่
มคี วามถส่ี ูงจะมีพลังงานมาก จึงสามารถทะลทุ ะลวงส่ิงกีดขวางไดม้ ากกว่าคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าท่มี ีความถต่ี ่ำ

เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 38

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1

แบบฝึกหดั ทา้ ยบท

1. คลน่ื ก และ ข เปน็ คลื่นทเี่ กดิ ข้ึนในเวลาท่เี ทา่ กัน ดงั ภาพ

ความยาวคลื่น แอมพลิจดู และความถข่ี องคล่นื ทั้ง 2 ขบวน แตกตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร
2. คล่ืนนำ้ เคลือ่ นท่จี ากจุดกำเนดิ ไปทางขวาในเวลา 2 วนิ าที ไดร้ ะยะทาง 40 เซนตเิ มตร ดังภาพ

2.1 แอมพลิจูดของคลื่นมีค่าเทา่ ใด…………………………………..
2.2 ความยาวคลื่นมีค่าเท่าใด………………………………………….
2.3 ความถขี่ องคล่นื มคี ่าเทา่ ใด……………………………………….

3. ขอ้ ใดต่อไปน้ีคอื คลืน่ ตามยาว

A. คล่นื นำ้ B. คลื่นเสียง C. คลนื่ แสง D. คล่ืนจากการสะบัดเชอื ก

4. คลื่นทเ่ี คลือ่ นท่ีได้โดยต้องมกี ารอาศัยตวั กลางในการส่งผา่ นเรยี กวา่ คลนื่ ใด

A. คลื่นกล B. คลนื่ แสง C. คลืน่ วิทยุ D. คลน่ื ไมโครเวฟ

5. คลืน่ ทม่ี ที ศิ ทางการเคล่ือนทีข่ องอนภุ าคตั้งฉากกบั ทิศทางการเคล่ือนทีข่ องคล่นื เรียกว่าคล่นื ใด

A. คล่ืนตามยาว B. คลื่นตามขวาง C. คล่ืนไมโครเวฟ D. คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 39

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
จากภาพจงตอบคำถามขอ้ 6 – 7

6. ขอ้ ใดต่อไปน้ีท่เี ปน็ จดุ ของสันคล่ืนท้ังหมด

A. F และ D B. A และ B C. F และ G D. B และ F
D. D และ F
7. จุดคู่ใดตอ่ ไปน้เี มื่อวดั ระยะถงึ กนั แล้วจะมีความยาวคลน่ื 1 ลูกคลน่ื D. อัตราเร็ว

A. A และ E B. B และ D C. C และ E

8. ปริมาณใดของคล่ืนท่ีใช้บอกค่าพลงั งานบนคลืน่

A. ความถ่ี B. ความยาวคล่นื C. แอมพลจิ ดู

จากรปู คลน่ื ตอ่ ไปนใ้ี ช้ตอบคำถามข้อ 9 – 11

9. ความยาวคลืน่ ของคลื่นขบวนน้ี

ก. 16 เมตร ข. 12 เมตร ค. 8 เมตร ง. 4 เมตร
ง. 16 cm
10. แอมพจิ ูดของคลื่นขบวนนี้ ง. 35 Hz

ก. 4 cm ข. 8 cm ค. 12 cm

11. ถา้ คล่ืนเคลื่อนที่ดว้ ยความเรว็ 280 m/s จงหาความถ่ีของคล่ืน

ก. 20 Hz ข. 25 Hz ค. 30 Hz

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 40

เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1

3บทที่ แสง

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ทดลองเพื่ออธบิ ายกฎการสะทอ้ นของแสง
2. อธิบายและเขยี นแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการเกดิ ภาพท่เี กิดจากกระจกเงาราบและกระจกเงาโค้ง
3. บอกการประยุกตใ์ ชก้ ระจกเงาราบและกระจกเงาโค้งในชวี ิตประจำวัน
4. อธบิ ายการหักเหของแสงและการสะท้อนกลบั หมดเมื่อแสงเคลอ่ื นท่ีผ่านตัวกลางโปรง่ ใสท่ีแตกต่างกัน
5. เขยี นแผนภาพรังสขี องแสงเม่อื ผา่ นตวั กลางโปร่งใสท่แี ตกต่างกนั
6. อธบิ ายการกระจายของแสงเม่อื ผา่ นปรซิ ึม
7. อธบิ ายและเขยี นแผนภาพรงั สขี องแสงแสดงการเกิดภาพท่ีเกิดจากเลนสน์ นู และเลนส์เว้า
8. บอกการประยุกตใ์ ชเ้ ลนสน์ นู และเลนส์เว้าในชีวิตประจำวัน
9. อธบิ ายปรากฏการณ์ทางแสงโดยอาศยั หลกั การสะท้อนและการหกั เหของแสง
10. วดั ความสวา่ งของพนื้ ผิวโดยใช้อปุ กรณ์วัดความสว่าง
11. อธบิ ายผลของความสว่างที่มตี ่อดวงตา
12. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ปญั หาและเสนอแนะการจดั ความสว่างของสถานท่ตี ่าง ๆ ให้เหมาะสมใน การทำกจิ กรรม

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 41

เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มที่ 1

1. การสะทอ้ นของแสง

ถ้าฉายแสงเล็ก ๆ ลงบนกระจกเงาราบ จะพบว่าลำแสงจะสะท้อนออกจากผิวของกระจกเงาราบนั้นเรา
สามารถศึกษาการสะท้อนของแสงได้โดยการเขียนลูกศรแสดงรังสีของแสงแทนแนวการเคลื่อนที่ของแสงที่ตก
กระทบและแสงทส่ี ะท้อนจากกระจกเงาราบ

▪ รงั สตี กกระทบ (Incident ray) เป็นรงั สีของแสงทต่ี กกระทบผิวสะท้อนแสง
▪ รังสีสะท้อน (Reflected ray) เป็นรงั สีของแสงทส่ี ะท้อนออกจากผิวสะท้อนแสง
▪ เส้นแนวฉาก (Normal line) เป็นเสน้ สมมตทิ ลี่ ากตั้งฉากกับผิวสะทอ้ นแสง ณ จดุ ท่แี สงตกกระทบ

เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนของแสงที่ผิวของวัตถุนั้น ถ้าขนาดของมุมตกกระทบ
เปลย่ี นแปลง ขนาดของมุมสะท้อนกจ็ ะเปล่ียนแปลงไป โดยเมื่อมุมตกกระทบมีขนาดเพิ่มขน้ึ ขนาดของมุมสะท้อน
ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยและขนาดของมุมตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะท้อนเสมอ เมื่อพิจารณารังสีสะท้อนพบวา่ รังสีสะท้อนจะ
อย่ใู นระนาบเดียวกบั รังสตี กกระทบและเส้นแนวฉากเสมอ จึงสรุปเป็นกฎการสะทอ้ น (Law of reflection) ของ
แสงไดด้ งั น้ี
1. รงั สตี กกระทบ เสน้ แนวฉาก และรงั สีสะทอ้ นอย่ใู นระนาบเดียวกนั
2. มมุ ตกกระทบ เท่ากบั มุมสะท้อน ณ ตำแหน่งท่ตี กกระทบ

เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 42

เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1

2. การสะท้อนในกระจกเงาราบ

เมื่อวางวตั ถุไวห้ น้าแผน่ สะท้อนแสงผวิ ราบ เชน่ กระจกเงาราบ จะเกิดภาพในแผน่ สะท้อนแสงผวิ ราบนั้น
เม่อื เปลีย่ นตำแหน่งของวตั ถุหนา้ แผ่นสะท้อนแสงผวิ ราบ ตำแหน่งของภาพก็จะเปลีย่ นไปดว้ ย เรยี กระยะหา่ งจาก
ผวิ ของแผน่ สะทอ้ นแสงถงึ ตำแหนง่ ของวตั ถวุ ่า ระยะวัตถุ (Object distance) และเรยี กระยะห่างจากผวิ สะท้อน
แสงถงึ ตำแหน่งภาพว่า ระยะภาพ (Image distance) โดยระยะภาพจะเท่ากบั ระยะวัตถุ และภาพท่ีเกิดจากการ
สะท้อนแสงของแผ่นสะทอ้ นแสงผิวราบจะมขี นาดเทา่ กับขนาดของวตั ถเุ สมอ

เมื่อวางวตั ถุทีม่ ีขนาดเลก็ มากจนเปน็ จุดไวห้ นา้ กระจกเงาราบก็จะเกดิ ภาพเป็นจุดในกระจกเงาราบดว้ ย
โดยเมื่อมีแสงมาตกกระทบกับวตั ถุน้ัน แสงสะท้อนออกจากวัตถนุ น้ั ทุกทิศทาง
จงวาดรงั สีตกกระทบและรังสีสะท้อนของจุดนี้

วตั ถทุ ่มี ขี นาดเล็ก
มาจนเป็นจดุ

กระจกเงาราบ

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 43

เอกสารประกอบการสอนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1
วธิ ๊การหาภาพทเี่ กิดจากกระจกเงาราบ โดยใชภ้ าพรังสขี องแสงและอาศยั หลักการท่ีวา่ แสงเคลอ่ื นทจ่ี าก
วัตถทุ กุ ทิศทางโดย
1. ลากเส้นของแสงเส้นหนง่ึ ใหต้ กกระทบกระจก ทำมุมฉากกบั ระนาบของกระจกเงาราบหรอื มมุ ตกกระทบเป็น 0
2. ลากเส้นสะทอ้ นออกจากแนวเดมิ หรอื มุมสะท้อนเปน็ 0
3. ลากรังสขี องแสงอีกเสน้ หนง่ึ ใหต้ กกระทบกระจก ทำมุมใดๆกบั ระนาบกระจกเงาราบ
4. ลากเส้นรงั สสี ะท้อนของรังสีของแสงเสน้ นนั้
5. ลากเสน้ ปะตอ่ แนวของรังสสี ะท้อนท้ังสองเสน้ มาด้านหลังกระจก

แบบฝกึ หดั จงวาดภาพท่เี กิดจากกระจกเงา

เมื่อต่อแนวของรังสีสะท้อนจากตำแหน่งออกไปด้านหลังของกระจกด้วยเส้นประ แนวของเส้นประนั้นจะ
ไปรวมอยู่ที่จุดจุดหนึ่ง การต่อเส้นประไปยังตัดกนั เชน่ น้ี เสมือนกับแนวรงั สสี ะท้อนไปตดั กันหลังกระจกเงาราบ โดย
ที่รงั สสี ะท้อนไม่ไดต้ ัดกันจริง เรียกภาพท่เี กดิ ในลกั ษณะนว้ี ่า สภาพเสมอื น (Virtual image)

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 44

เอกสารประกอบการสอนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1

3. การสะทอ้ นในกระจกเงาโค้ง

กระจกเงาโค้งคือกระจกเงาที่ผิวสะท้อนมีลักษณะโค้งเป็นส่วนหนึ่งของผิวโค้งทรงกลม กระจกเงาที่ใช้ผิว
โคง้ เวา้ เป็นผวิ สะทอ้ นแสง เรยี กวา่ กระจกเงาเวา้ (concave mirror) มสี มบัติในการรวมแสง ส่วนกระจกเงาที่ใช้
ผวิ โคง้ นนู เปน็ ผิวสะทอ้ นแสงเรยี กวา่ กระจกเงานูน (convex mirror) มสี มบตั ิในการกระจายแสง

ผิวโค้งของทรงกลมมีจุดศูนย์กลางของทรงกลมท่ีตำแหน่ง C ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความโค้ง (Center of
curvature) ของกระจกเงาเวา้ และกระจกเงานนู และมีจดุ ท่อี ยู่บริเวณก่ึงกลางบนผวิ โค้งที่ตำแหนง่ V เรยี กว่า จุด
ยอด (Vertex) หรือตำแหน่ง P เรียกวา่ ขัว้ กระจก (Pole) เส้นตรงท่ีลากผ่านจุด C และจุด P เป็นแกนมุขสำคัญ
โดยมรี ะยะจากจุด P ถงึ จดุ C เป็น รัศมีความโค้งของกระจก (radius) แทนด้วยสญั ลักษณ์ R

เมอื่ แสงตกกระทบที่จดุ ใดๆ บนกระจกเงาโคง้ จะเกิดการสะท้อนซึ่งเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน โดยแนวเส้น
ฉากจะผ่านจุด C เสมอ ถ้าลำแสงขนานกบั แกนมขุ สำคัญตกกระทบกระจกเงาเวา้ มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
ทำให้แสงสะท้อนไปรวมกันที่จุดจุดหนึ่ง เรียกว่า จุดโฟกัส (focal point) แทนด้วยสัญลักษณ์ F จากการสังเกต
พบวา่ จดุ F จะอยู่ระหว่างจดุ C กับ P เสมอ และถา้ ลำแสงขนานตกกระทบกระจกนูน แสงสะท้อนจะกระจายออก
แต่ถ้าลากเส้นประต่อไปยังด้านหลังของกระจกจะพบว่าไปตัดที่จุดจุดหนึ่ง เรียกว่า จุดโฟกัสเสมือน (Virtual
focal point) ระยะจากจุด P ถึงจุด F เป็นความยาวโฟกัสของกระจก แทนด้วยสญั ลกั ษณ์ f

เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 45

เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มที่ 1

เมื่อวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูน ภาพของวัตถุจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของวัตถุ
โดยภาพของวัตถุที่ปรากฏจากกระจกเงาเว้ามีทั้งภาพหัวตั้งและภาพหัวกลับ ขนาดใหญ่กว่า เท่ากับ หรือเล็กกว่า
วัตถุ และมีทั้งที่ปรากฎบนฉากและไม่ปรากฎบนฉาก ส่วนภาพจากกระจกเงานูนเป็นภาพหัวตั้งในกระจกมีขนาด
เล็กกวา่ วตั ถเุ สมอและไมป่ รากฎบนฉาก

เราสามารถหาตำแหน่งและลักษณะของภาพที่เกิดจากกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนได้จากการใช้
แผนภาพรงั สีของแสง โดยอาศัยแนวคิดทว่ี ่าแสงเคล่ือนท่ีออกจากวัตถุทุกทิศทาง เม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาโค้ง
จะเกิดการสะท้อนและเมื่อรังสีสะท้อนตัดกันจะเกิดภาพ ถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริงจะเกิดภาพจริง (real image)
ซ่ึงปรากฏบนฉากได้ แตถ่ ้าต่อแนวรงั สสี ะท้อนไปตดั กันจะเกิดภาพเสมอื น ซ่งึ ไมส่ ามารถปรากฏบนฉากได้

เพือ่ ความสะดวกในการระบุตำแหนง่ ภาพ เราจึงเขียนแผนภาพรงั สีของแสงท่ีออกจากวตั ถเุ พยี ง 2 เสน้ ซึ่ง
อาจจะเป็น 1. รังสีตกกระทบที่ขนานกับแกนมุขสำคัญจะสะท้อนผ่านจุดโฟกัส (F) 2. รังสีตกกระทบที่ผ่าน
ศนู ยก์ ลางความโค้ง (C) จะสะท้อนกลบั ทางเดิม 3. รังสีตกกระทบที่ผา่ นจุดโฟกัส (F) จะทอ้ นเป็นรังสีขนานกับเส้น
แกนมุขสำคญั

CF FC

กระจกเงาเว้า กระจกเงานนู

1. วาดเสน้ วตั ถใุ นแนวต้งั บนแกนมขุ สำคญั 1. วาดเส้นวตั ถุในแนวต้งั บนแกนมขุ สำคัญ

2. ลากรังสีตกกระทบจากวัตถุถึงผิวกระจกใน 2. ลากรังสีตกกระทบจากวัตถุถึงผิวกระจกใน

แนวขนานกบั แกนมุขสำคญั แนวขนานกับแกนมขุ สำคัญ

3. ลากรังสีสะทอ้ นผา่ นจุดโฟกสั F กรณเี ปน็ กระจกเงา 3. ลากรังสีสะท้อนโดยให้แนวของรังสีสะท้อนผ่านจุด

เว้า F

4. ลากรังสีตกกระทบจากวัตถุผ่านจุด C แสงจะไปตก 4. ลากรังสีตกกระทบจากวัตถุให้อยู่ในแนวเส้นตรงที่

กระทบตั้งฉากกับผวิ กระจกและสะท้อนกลบั ทางเดิม ผ่านจุด C แสงจะไปตกกระทบตั้งฉากกับผิวกระจก

และสะทอ้ นกลบั ทางเดมิ

5. จุดทรี่ ังสีตดั กนั จะเป็นตำแหน่งภาพ 5. ต่อแนวรังสีสะท้อนโดยใช้เส้นประให้ตัดกัน จุดที่

แนวรังสีสะทอ้ นตดั กันจะเป็นตำแหน่งของภาพ

เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 46


Click to View FlipBook Version