เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
ภาพท่เี กดิ จากกระจกเงาเวา้
ตำแหนง่ วัตถุ การเขยี นรงั สแี สง ภาพ
ชนิด ขนาด ตำแหนง่
S=∞
วตั ถอุ ยหู่ นา้ C
2f < s < ∞
วตั ถุอยูท่ ี่ C
S = 2f
วตั ถุอยู่
ระหว่าง c กบั
F
f < s < 2f
วัตถุอย่ทู ่ี F
S=f
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 47
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
วตั ถุอยู่
ระหว่าง F กับ
V
กระจก < s <
f
ภาพท่ีเกิดจากกระจกเงานูน
ตำแหน่งวัตถุ การเขียนรงั สีแสง ภาพ
ชนดิ ขนาด ตำแหนง่
S=∞
วตั ถอุ ยหู่ น้า C
2f < s < ∞
วัตถอุ ยูท่ ี่ C
S = 2f
วตั ถอุ ยู่
ระหวา่ ง c กับ
F
f < s < 2f
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 48
เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
วัตถุอย่ทู ี่ F
S=f
วัตถอุ ยู่
ระหวา่ ง F กับ
V
กระจก < s <
f
ภาพจากกระจกเงานนู เปน็ ภาพเสมือนหวั ต้ังขนาดเล็กกว่าวัตถเุ สมอ ทำให้มองเห็นเป็นบรเิ วณกว้างขึ้น จึง
มักนำมาใช้ประโยชนโ์ ดยนำกระจกเงานูนมาติดในรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เพื่อดูภาพดา้ นหลงั และดา้ นข้างของตัว
รถ หรือใชม้ องภาพในร้านค้า นอกจากนี้ยงั ตดิ ตงั้ กระจกเงานูนบริเวณทางแยก เพ่อื ช่วยให้มองเหน็ รถยนต์ที่วิ่งสวน
ทางมาดว้ ย
กระจกเงาเว้าทำหน้าทร่ี วมแสงจงึ ใชเ้ ปน็ ส่วนประกอบของกล้องจลุ ทรรศน์แบบใช้แสง เพื่อชว่ ยรวมแสงให้
ไปตกที่แผ่นสไลด์ ทำให้เห็นวัตถุไดช้ ดั เจน และใช้เป็นส่วนประกอบของกล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสงเพื่อช่วย
รวมแสงให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น และเมื่อนำกระจกเว้ามาส่องดูวัตถุใกลๆ้ โดยใช้ระยะวัตถุนอ้ ยกว่าความยาวโฟกสั
แลว้ จะไดภ้ าพเสมือน หัวตัง้ ขนาดใหญก่ วา่ วตั ถุ จึงมักนำมาขยายภาพให้มีขนาดใหญ่ข้นึ โดยทำเป็นกระจกสำหรับ
แต่งหน้าเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระจกเงาเว้ารวมพลังงานแสงอาทิตย์ทำให้เกิดความ
รอ้ นและใช้ประโยชนใ์ นการหงุ ตัมอาหารได้อกี ด้วย
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 49
เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
4. การหักเหของแสง
ถา้ ฉายลำแสงเล็กๆ ใหเ้ คล่อื นท่ีผ่านตัวกลาง 2 ชนิดทแี่ ตกต่างกนั เชน่ ฉายลำแสงจากอากาศเขา้ ไปในแท่ง
พลาสติกใส โดยให้แสงตกกระทบที่ผิวของแผ่นพลาสติกเป็นมุมใด ๆ ที่ไม่ใช่มุมฉาก เราจะสังเกตเห็นแสงสะท้อน
และมีแสงบางส่วนแคลื่อนที่เข้าไปในแท่งพลาสติก โดยแนวการเคลื่อนที่ของแสงจะเบนไปจากแนวเดิม เรียก
ปรากฎการณน์ ีว้ ่า การหักเหของแสง (refraction of light)
การหักเหของแสงจะเกิดข้ึนเม่ือแสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งโดยการหักเหของแสง
จะเกิดขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างตัวกลางทัง้ สองนั้น เรียกรังสีของแสงที่ตกกระทบต่อผวิ รอยต่อในตัวกลางที่ 1 ว่า
รังสีตกกระทบ (incident ray) และเรียกรังสีของแสงที่ผ่านเข้าไปในตัวกลางที่ 2 ว่า รังสีหักเห (refracted
ray) เมือ่ ลากเส้นตัง้ ฉากกบั ผิวรอยตอ่ ณ จุดทแี่ สงตกกระทบ เรียกเสน้ นี้ว่า เส้นแนวฉาก (normal line) ซ่ึงเป็น
เส้นสมมติที่ใช้เป็นเส้นอ้างอิง มุมที่รังสีตกกระทบทำกับเส้นฉาก เรียกว่า มุมตกกระทบ (angle of incidence)
และมุมท่รี ังสีหกั เหทำกบั เส้นแนวฉาก เรยี กวา่ มมุ หักเห (angle of refraction)
การหักเหผา่ นตัวของแสงเมื่อเคลื่อนทผี่ ่านตวั กลาง 2 ชนิด แนวรังสหี กั เหจะเบนเข้าหรือเบนออกจากแนว
เส้นฉากขึ้นอยกู่ ับอตั ราเร็วของแสงทัง้ 2 ชนดิ นน้ั
ตัวกลางโปรง่ ใส อตั ราเรว็ แสง (m/s) ตัวกลางโปรง่ ใส อัตราเร็วแสง (m/s)
อากาศ 3.00 x 108 พลาสตกิ ใส 2.00 x 108
น้ำแข็ง 2.29 x 108 แกว้ 1.97 x 108
2.26 x 108 ทบั ทิม 1.70 x 108
น้ำ (ของเหลว) 2.04 x 108 เพชร 1.24 x 108
น้ำมนั พชื
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 50
เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
ถ้าแสงตกกระทบรอยต่อระหว่างตัวกลางด้วยมุมที่ไม่ใช่มุมฉาก แล้วเคลื่อนที่ผ่านจากตัวกลางหนึ่งเข้าไป
ในอีกตัวกล่างหนึ่ง แนวทางการเคลื่อนที่จะเบนไปจากแนวเดิม โดยถ้าแสงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่มีอัตราเร็ว
มากกว่าไปยังตัวกลางที่มีอัตราเร็วน้อยกว่า รังสีหักเหจะเบนเข้าหาเส้นแนวฉาก ทำให้มุมหักเหมีค่าน้อยกว่า
มุมตกกระทบ เช่น แสงเคลื่อนที่จากอากาศเข้าไปในน้ำ เข้าไปในแท่งพลาสติก หรือเข้าไปในเพชร และยังเกตได้
อีกว่าถ้าอัตราเร็วของแสงในตัวกลางที่ 2 ยิ่งมีค่าน้อยกว่าอัตราเร็วของแสงในตัวกลางที่ 1 มุมหักเหก็จะยิ่งมีค่า
นอ้ ยลงดว้ ย
ในทางกลับกันถ้าแสงเคลื่อนที่จากตัวกลางที่แสงอัตราเร็วน้อยกว่าไปยังตัวกลางที่แสงมีอัตราเร็ว
มากกว่ารังสีหักเหจะเบนออกจากเส้นแนวฉาก ทำให้มุมหักเหมีค่ามากกว่ามุมตกกระทบ เช่น แสงเคล่ือนท่ีจาก
น้ำ พลาสตกิ หรือเพชรออกสู่อากาศ และยงั สงั เกตได้อีกว่าถา้ อัตราเรว็ แสงในตัวกลางท่ี 2 ยิง่ มีค่ามกกว่าอัตราเร็ว
ของแสงในอัตรากลางท่ี 1 มุมหกั เหกจ็ ะยิ่งมคี า่ มากข้นึ
การหักเหของแสงส่งผลต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆ เช่น ถ้าเรายืนอยู่ขอบสระแล้วมองวัตถุที่อยูใ่ นน้ำ เราจะ
เห็นตำแหน่งของวัตถุไม่ตรงกับตำแหน่งจริง แต่จะเห็นวัตถุอยู่ตื่นกว่าความเป็นจริงเนื่องจากแสงจากวัตถุจะ
เคลื่อนที่ผ่านนำ้ ออกมายังอากาศ โดยรังสหี ักเหจะเบนออกจากเสน้ แนวฉาก แล้วจึงเคล่ือนท่ีเข้าสู่ตาเรา แต่ถ้าเรา
ต่อรงั สีหกั เหไปในน้ำดว้ ยเสน้ ปะ รงั สที ี่ต่อออกไปจะไปตัดกันซึ่งเป็นตำแหน่งของภาพเสมือน เราจึงมองเห็นวัตถุใน
นำ้ อยตู่ น้ื กวา่ ความเป็นจริง
เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 51
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เม่ือแสงเคลื่อนทจ่ี ากพลาสติกไปยังอากาศซึง่ เป็นการเคลื่อนทข่ี องแสงจากตัวกลางทีแ่ สงมรอัตราเร็วน้อย
กว่าไปยงั ตวั กลางท่ีแสงมีอัตราเร็วมากกว่า มุมหักเหจะมีคา่ มากกวา่ มมุ ตกกระทบ เมือ่ เพิม่ ขนาดของมุมตกกระทบ
ให้มากขึ้น มุมหักเหก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จนกระทั่งมุมตกกระทบมีค่าค่าหนึ่งที่ทำให้รังสีหักเหขนานไปกับผิวรอยต่อ
ของตัวกลาง หรือมุมหักเหมีค่าเท่ากับ 90 เรียกมุมตกกระทบนี้ว่า มุมวิกฤติ (Critical angle) และถ้าเพิ่มมุมตก
กระทบให้มากกว่ามุมวิกฤติแสงจะไม่หักเหออกสู่อากาศแต่จะสะท้อนในพลาสติก เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การ
สะท้อนกลบั หมดของแสง (total internal reflection of light)
เมือ่ ฉายแสงให้ตกกระทบปริซมึ แสงจะเกิดการหักเหบรเิ วณรอยต่อระหว่างอากาศกับปริซึม แต่เน่ืองจาก
แสงแต่ละสีเคลื่อนที่ในปริซึมด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน ทำให้เมื่อแสงเกิดการหักเหจึงมีมุมหักเหที่ต่างกันทั้งเม่ือ
เข้าและออกจากปริซึม จึงเห็นแสงแต่ละสีกระจายออกและปรากฏบนฉากที่ตำแหน่งแตกต่างกัน เรียก
ปรากฎการณ์นี้ว่า การกระจายของแสง (dispersion) และเรียกแสงสีต่าง ๆ ที่เห็นว่า สเปกตรัมของแสง
(visible light spectrum)
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 52
เอกสารประกอบการสอนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1
5. เลนสน์ นู และเลนสเ์ ว้า
มนุษย์ได้นำความรู้เกี่ยวกับการหักเหของแสงมาใช้
ประโยชน์ในการสร้างเลนส์ (lens) ซึ่งเป็นตัวกลางโปร่งใส
ประเภทหนึ่งที่ใช้ในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงได้
ตามความตอ้ งการ เลนสส์ ่วนใหญ่ทำมาจากวัสดุประเภทแก้วหรือ
พลาสติก เลนส์มี 2 ประเภท คือ เลนส์นูน (convex lens) มี
ลักษณะหนาบริเวณส่วนกลางของเลนส์และบาลงักบษริเณวณะหขนอาบบสริเ่ววนณเลสน่วนส์กเวล้าาง(cขoอnงเcลaนveส์แleลnะsบ)ามงบีลัรกิเษวณณะขบอาบง
บรเิ วณสว่ นกลางของเลนส์และหนาบริเวณขอบ ส่วนเลนสเ์ ว้า (concave lens) มลี ักษณะบางบรเิ วณส่วนกลาง
ของเลนส์และหนาบริเวณขอบ
เมอื่ แสงขนานตกกระทบเลนสน์ นู และเลนส์เวา้ แสงจะเกิดการหักเหและเปลยี่ นแนวการเคลื่อนท่ี โดยแสง
ขนานทผี่ ่านเลนสน์ ูนจะหักเหไปตัดกนั ท่จี ุดจดุ หน่งึ ในขณะทีแ่ สงขนานท่ีผา่ นเลนส์เวา้ จะหกั เหกระจายออก
เลนส์ทน่ี ำมาใช้ในการศึกษาน้ีเปน็ เลนสบ์ าง มีกง่ึ กลางเลนส์ (O) อยทู่ ี่กึ่งกลางระหว่างผิวโค้งทั้งสอง และ
มีจุด C เป็นจดุ ศนู ย์ความโคง้ ของผิวทัง้ สองของเลนส์ เรียกเส้นตรงทผี่ า่ นจดุ C และ O ว่าแกนมขุ สำคัญ
เมื่อแสงตกกระทบเลนส์นูนโดยแนวรังสีที่ตกกระทบผ่านกึ่งกลางเลนส์ แนวการเคลื่อนที่ของแสงจะไม่
เปลี่ยนแปลง แต่ถา้ แสงขนานกบั แกนมุขสำคัญตกกระทบเลนส์นนู ทีต่ ำแหนง่ อนื่ ๆ รังสขี องแสงจะหกั เหไปตัดกันที่
จุดจุดหนึ่งบนแกนมุขสำคัญอีกด้านหนึ่งของเลนส์ จุดที่รังสีหักเหตัดกันนี้เรียกว่า จุดโฟกัสของเลนส์นูน (F)
ระยะทางจากกึง่ กลางของเลนส์ถงึ จดุ โฟกสั เรียกว่า ความยาวโฟกสั (f)
สำหรับเลนส์เว้า เมื่อแสงตกกระทบเลนส์เว้าโดยรังสีที่ตกกระทบผ่านจุดกึ่งกลางเลนส์ (O) แนวการ
เคลื่อนที่ของแสงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าขนานแกนมุขสำคัญตกกระทบเลนส์เว้าที่ตำแหน่งอื่นๆ รังสีของแสงจะ
กระจายออกไปอีกด้านหนึ่งของเลนส์ ทำให้รังสีหักเหไม่ตัดกัน แต่ถ้าต่อแนวของรังสีหักเหของแสงจะพบว่าแนว
รังสีทต่ี อ่ ออกมาน้ีจะไปตัดกนั ทจี่ ุดจดุ หนึ่งบนแกนมุขสำคญั ทางด้านหน้าของเลนส์ เรยี กจุดโฟกัสเสมือนของเลนส์
เว้า (F) ระยะทางจากจดุ กงึ่ กลางของเลนส์ถงึ จดุ โฟกัส เรยี กว่า ความยาวโฟกัส (f)
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 53
เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มที่ 1
เมื่อวางวัตถุในวัตถุตำแหน่งต่างๆ หน้าเลนส์นูน ภาพของวัตถุที่มองเห็นอาจเป็นภาพหัวกลับหรือหัวตั้งก็
ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของวัตถุ โดยภาพหัวกลับสามารถใช้ฉากรับภาพได้ซึ่งมีทั้งภาพขนาดใหญ่กว่า เท่ากับ หรือ
เลก็ กว่าวัตถุ นอกจากน้ีภาพจากเลนสน์ นู นอาจเป็นภาพหัวตงั้ ขนาดใหญ่กวา่ วัตถุ ซึ่งไมส่ ามารถเกดิ บนฉากได้
เพื่อความสะดวกในการเขียนภาพเพื่อหาตำแหน่งภาพที่เกิดจากเลนส์ เราจึงเขียนแผนภาพรังสีของแสงที่
ออกจากวัตถุเพียง 2 เส้น ซึ่งอาจจะเป็นรังสีตกกระทบที่ขนานกับแกนมุขสำคัญซึ่งจะทำให้รังสีหักเหหรือแนวของ
รังสีหักเหไปตัดกันที่จุดโฟกัส และรังสีที่ผ่านจุดกึ่งกลางเลนส์ซ่ึงจะทำให้ไม่เกิดการหักเหโดยแนวของรังสีของแสง
จะคงแนวเดิม
เลนส์นูน เลนส์เวา้
1. วาดเสน้ วัตถุในแนวต้งั บนแกนมขุ สำคัญ 1. วาดเสน้ วัตถุในแนวต้งั บนแกนมขุ สำคัญ
2. ลากรังสีตกกระทบจากวัตถุถึงผิวกระจกใน 2. ลากรังสีตกกระทบจากวัตถุถึงผิวกระจกใน
แนวขนานกับแกนมขุ สำคัญ แนวขนานกบั แกนมุขสำคญั
3. รงั สหี ักเหจะผา่ นจุด F 3. รังสีหกั เหจะกระจายออก โดยแนวของรังสีหักเหจะ
ผา่ นจุด F
4. ลากรังสีอีกเส้นหนึ่งจากวัตถุใหต้ กกระทบเลนส์โดย 4. ลากรังสีอีกเส้นหนึ่งจากวัตถุให้ตกกระทบเลนส์โดย
ผ่านจุดกึ่งกลางเลนส์ แนวรังสีหักเหจะไม่เปลี่ยน ผ่านจุดกึ่งกลางเลนส์ แนวรังสีหักเหจะไม่เปลี่ยน
ทิศทาง ทศิ ทาง
5. จุดท่ีรังสีหักเหทั้งสองเส้นตัดกันคือ ตำแหน่งของ 5. ลากต่อแนวรังสีทั้งสองเส้นด้วยเส้นประให้ตัดกัน
ภาพ จุดที่รังสีหักเหเสมือนว่าตัดกันคือตำแหน่งของ
ภาพเสมอื น
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 54
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
ภาพทีเ่ กดิ จากเลนสน์ ูน การเขียนรังสีแสง ภาพ
ชนดิ ขนาด ตำแหนง่
ตำแหน่งวัตถุ
S=∞
วตั ถุอยหู่ น้า C
2f < s < ∞
วัตถุอยู่ท่ี C
S = 2f
วัตถุอยู่
ระหวา่ ง c กับ
F
f < s < 2f
วตั ถอุ ยทู่ ่ี F
S=f
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 55
เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1
วตั ถุอยู่ การเขยี นรงั สีแสง ภาพ
ระหว่าง F กับ ชนดิ ขนาด ตำแหน่ง
V
กระจก < s <
f
ภาพที่เกิดจากเลนสเ์ วา้
ตำแหน่งวัตถุ
S=∞
วตั ถุอยหู่ น้า C
2f < s < ∞
วัตถอุ ยูท่ ี่ C
S = 2f
วตั ถอุ ยู่
ระหวา่ ง c กับ
F
f < s < 2f
เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 56
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1
วตั ถุอยทู่ ่ี F
S=f
วตั ถอุ ยู่
ระหว่าง F กับ
V
กระจก < s <
f
เลนส์นูนทำหน้าที่รวมแสงส่วนเลนส์เว้าทำหน้าที่กระจายแสงซึ่งทำให้เกิดภาพที่มีลักษณะแตกต่างกัน
ข้ึนอยกู่ ับระยะวัตถุ เราสามารถนำเลนส์นนู และเลนส์เวา้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการทำงานของทัศนอปุ กรณ์ท่ีหลากหลาย
เชน่ แว่นขยาย แวน่ สายตา กลอ้ งจลุ ทรรศน์ เปน็ ตน้
แว่นขยาย (magnifying glass)
แว่นสายตาทำมาจากเลนส์นนู เป็นทศั นอุปกรณ์ทนี่ ำมาใช้ขยายภาพใหม้ ีขนาดใหญ่ข้ึนกวา่ วตั ถุจรงิ การใช้
แว่นขยายต้องวางวัตถุไว้ใกล้กว่าความยาวโฟกัสเพื่อทำให้เกิดภาพเสมือนหัวตั้ง ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ โดยการ
มองเหน็ ภาพตอ้ งมองเข้าไปในเลนส์
เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 57
เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
6. ความสวา่ ง
เราสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เพราะมีแสง
จากวัตถุเข้าสู่ดวงตาเรา ปริมาณแสงท่ีเข้าสู่ดวงตาก็เป็นปัจจัย
หนึ่งที่มีผลต่อการมองเห็น เรียกปริมานแสงที่ตกกระทบบน
พื้นที่หนึ่ง ๆ ว่า ความสว่าง (illuminance) มีหน่วยเป็น
ลักซ์ (lux) เราสามารถวัดความสว่างบนพื้นผิวหนึ่ง ๆ ได้โดย
ใช้อปุ กรณ์เรยี กวา่ ลกั ซ์มิเตอร์ (luxmeter)
ในชีวิตประจำวันเราตอ้ งทำกิจกรรมทห่ี ลากหลายในสถานที่ต่าง ๆ ซึง่ ความสว่างทีเ่ หมาะสมมีความสำคัญ
และจำเป็นต่อดวงตาของเราเป็นอย่างมาก ความสว่างที่เหมาะสมต่อการทำกิจกรรมในสถานที่ต่าง ๆ มีความ
แตกตา่ งกนั ดงั น้ี
สถานที่ ความสวา่ ง (ลักซ์)
ห้องนงั่ เล่น ห้องครัว หอ้ งอาหาร 150 – 300
ห้องอ่านหนังสอื ห้องทำงาน 500 – 1000
โรงพลศึกษา หอประชมุ 75 – 300
ห้องเรยี น 300 – 350
หอ้ งสมดุ ห้องปฏิบัตกิ าร 750 – 1000
ห้องตรวจโรค 200 – 750
หอ้ งผา่ ตดั
บันไดฉุกเฉนิ 2400 – 10000
ทางเดนิ ภายในอาคาร 30 – 75
75 – 200
การจัดความสว่างของสถานที่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำมีผลต่อการทำงานของดวงตา ถ้าความสว่าง
น้อยเกินไป เช่น การอ่านหนังสือในห้องที่มแี สงสลัว ๆ ทำให้เราเห็นตัวอักษรได้ไม่ชัดเจน ทำให้ดวงตาทำงานมาก
เกินไปจากการเพ่ง จนเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดศีรษะ หรือถ้ามีความสวา่ งมากเกินไป เช่น การมองวัตถุในเวลาท่มี ี
แสงแดดจ้า กอ็ าจทำให้ตาพรา่ มัว แสบตา ปวดศีรษะได้ ดังนัน้ เราจงึ ตอ้ งจดั การความสวา่ งของสถานทใี่ ห้เหมาะสม
และเพียงพอกบั การทำกิจกรรมนั้น ๆ
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 58
เอกสารประกอบการสอนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
แบบฝกึ หัดทา้ ยบท
1. จากภาพแสดงรงั สีของแสงท่ีเคลอ่ื นทผี่ ่านตัวกลางตา่ งชนิดกัน
เลอื กคำตอ่ ไปนีเ้ ตมิ ลงในช่องว่างให้ถูกต้อง (สามารถใช้คำซำ้ ได้มากกวา่ หนึ่งครง้ั )
รังสตี กกระทบ รังสสี ะท้อน รังสีหักเห เส้นแนวฉาก มุมตกกระทบ มุมสะท้อน มุมหักเห
2. ฉายลำแสงเลก็ ๆ ใหต้ กกระทบแผน่ สะท้อนแสงผวิ ราบ ดงั ภาพ ขอ้ ความใดถกู ตอ้ ง
ก. มมุ ตกกระทบมขี นาดเท่ากับ 20 องศา มมุ สะท้อนมีขนาดเทา่ กับ 20 องศา
ข. มุมตกกระทบมีขนาดเท่ากบั 20 องศา มมุ สะทอ้ นมีขนาดเทา่ กับ 70 องศา
ค. มมุ ตกกระทบมขี นาดเท่ากับ 70 องศา มุมสะทอ้ นมีขนาดเท่ากบั 20 องศา
ง. มุมตกกระทบมขี นาดเท่ากบั 70 องศา มมุ สะท้อนมขี นาดเทา่ กับ 70 องศา
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 59
เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มที่ 1
3. ฉายลำแสงเลก็ ๆ ใหต้ กกระทบผวิ สะทอ้ นเงาเวา้ ดังภาพ ข้อความใดถกู ต้อง
ก. มมุ ตกกระทบมขี นาดเท่ากบั 40 องศา มุมสะท้อนมขี นาดเทา่ กับ 40 องศา
ข. มมุ ตกกระทบมีขนาดเทา่ กบั 40 องศา มมุ สะทอ้ นมขี นาดเท่ากบั 50 องศา
ค. มุมตกกระทบมีขนาดเทา่ กบั 50 องศา มุมสะทอ้ นมีขนาดเทา่ กับ 40 องศา
ง. มมุ ตกกระทบมีขนาดเท่ากับ 50 องศา มุมสะทอ้ นมขี นาดเท่ากับ 50 องศา
4. สว่ นหน่ึงของรงั สขี องแสงทอี่ อกจากจดุ หนึง่ ของวตั ถแุ สดงได้ดงั ภาพ
จากภาพ ระยะวัตถแุ ละระยะภาพมีค่าเทา่ ใด
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 60
เอกสารประกอบการสอนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
5. ภาพในร้านจำหน่ายสนิ คา้ หรอื ร้านอาหาร ถา้ ตอ้ งการใหร้ า้ นมองดกู ว้างขึน้ ตวั เลอื กใดต่อไปนี้เปน็ วธิ ีที่เหมาะสม
ก. ตดิ กระจกเงาราบบริเวณผนังร้าน ข. ติดกระจกเงานนู บริเวณมุมบนของรา้ น
ค. ตดิ กระจกเงาเว้าบรเิ วณมมุ บนของร้าน ง. ติดกระจกเงาราบบริเวณเพดานของร้าน
6. วางวัตถุไว้หน้ากระจกเงาเว้า ดังภาพ ตัวเลือกใดแสดงการเขียนแผนภาพรงั สขี องแสงและภาพที่เกิดขึน้ ได้อยา่ ง
ถูกตอ้ ง
7. เมื่อนำกระจกเงาเว้าที่มีความยาวโฟกัสเท่ากับ 20 เซนติเมตร มาส่องดูใบหน้าของเราเอง โดยตอนแรกวาง
กระจกให้ห่างจากใบหน้า 60 เซนติเมตร แล้วเลื่อนกระจกเข้าหาใบหน้าอย่างช้า ๆ จนกระทั่งกระจกแนบชิดกับ
ใบหนา้ ลกั ษณะภาพใบหนา้ ของเรามกี ารเปลีย่ นแปลงอยา่ งไร
ก. เรมิ่ ตน้ เหน็ ภาพมขี นาดใหญห่ ัวกลบั เม่ือเลอื่ นกระจกเขา้ ใกลใ้ บหน้าจะเห็นภาพมีขนาดเล็กลง
ข. เริ่มต้นเห็นภาพมีขนาดเล็กหัวกลับ เมื่อเลื่อนกระจกเข้าใกล้ใบหน้าจะเหน็ ภาพมีขนาดใหญ่ข้ึนหัวกลับ
จากน้นั ภาพ จะเปลย่ี นเป็นภาพหัวตัง้ ขนาดใหญ่
ค. เริ่มต้นไม่เห็นภาพ แต่เมื่อเลื่อนกระจกจนถึงระยะ 20 เซนติเมตร จะเห็นภาพใบหน้า และเมื่อเลื่อน
กระจกเขา้ ใกล้ ใบหน้าจะเห็นภาพมขี นาดเล็กลง
ง. เริ่มต้นไม่เห็นภาพ แต่เมื่อเลื่อนกระจกจนถึงระยะ 20 เซนติเมตร จะเห็นภาพใบหน้า และเมื่อเลื่อน
กระจกเขา้ ใกล้ ใบหนา้ จะเหน็ ภาพมขี นาดใหญ่ข้ึน
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 61
เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1
8. ตวั เลือกใดแสดงการเขยี นภาพรงั สขี องแสงในการเกดิ ภาพจากเลนส์นนู ได้ถูกตอ้ ง
9. จากภาพการหักเหของแสงเม่ือแสงเคลื่อนทจ่ี ากตัวกลาง X ไปยังตัวกลาง Y ตัวกลาง X และ Y ควรเป็นตวั กลาง
ใดตามลำดบั
10. วางวัตถไุ ว้หน้าเลนสน์ นู ทำใหเ้ กดิ ภาพบนฉาก เขยี นแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการเกดิ ภาพได้ ดังภาพ
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 62
เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
ถา้ นำกระดาษทบึ แสงสีดำปิดทบั เลนส์นูนเป็นพืน้ ท่ีครง่ึ หนึ่งของเลนส์นนู ภาพท่ีเกิดข้นึ บนฉากจะเปล่ยี นแปลง
อย่างไร
ก. ไม่เกิดภาพบนฉาก
ข. ภาพทเี่ กดิ ขนึ้ มขี นาดเล็กลง
ค. ภาพที่เกดิ ขึน้ เป็นภาพวัตถุเพยี งครง่ึ เดียว
ง. ภาพทเ่ี กดิ ข้นึ มีขนาดเท่าเดิม แต่มคี วามสวา่ งลดลง
11. การกระจายแสงเมื่อฉายแสงผ่านปรซิ ึมควรเปน็ ไปตามภาพใด
12. ภาพใดแสดงการหกั เหของแสงทีท่ ำให้เราเห็นปลาที่อยใู่ ต้นำ้ ไดถ้ ูกต้อง
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 63
เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
13. นักเรียนคนหน่งึ วัดความสวา่ งของแสงในห้องเรยี นได้ 250 ลักซ์ นกั เรยี นคนน้คี วรปรบั ปรงุ ความสวา่ งของ
หอ้ งเรียน ให้เหมาะสมกับการอ่านหนงั สืออย่างไร
กำหนดใหค้ วามสวา่ งทเ่ี หมาะสมกับหอ้ งเรียนคอื 300-700 ลกั ซ์
ก. ทาผนงั ห้องเรยี นให้มีสเี ข้ม
ข. ติดตั้งกระจกเงานนู ขนาดเลก็ ไวต้ รงมมุ ห้อง
ค. เพ่มิ กำลงั ของหลอดไฟฟ้าที่ตดิ ต้งั ในห้องเรยี น
ง. ติดตง้ั หลอดไฟฟ้าให้อยสู่ งู จากโตะ๊ เรยี นมากข้ึน
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 64
เอกสารประกอบการสอนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
4บทท่ี ระบบสรุ ยิ ะของเรา
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ยด์ ้วยแรงโนม้ ถ่วงจากสมการแรงโน้มถ่วง
2. สร้างแบบจำลองเพอ่ื อธบิ ายการเกิดฤดู
3. สรา้ งแบบจำลองเพอื่ อธิบายการเคลอ่ื นท่ีปรากฏของดวงอาทติ ย์
4. สร้างแบบจำลองเพอื่ อธบิ ายการเกดิ ข้างขึ้น ข้างแรม
5. สร้างแบบจำลองเพอ่ื อธบิ ายการเปลีย่ นแปลงเวลาการขนึ้ และตกของดวงจนั ทร์
6. สรา้ งแบบจำลองเพ่ืออธบิ ายการเกิดน้ำข้ึน นำ้ ลง
7. อธบิ ายการใชป้ ระโยชน์ของเทคโนโลยอี วกาศ
8. ยกตวั อยา่ งความก้าวหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศจากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 65
เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
1. แรงโนม้ ถว่ งระหว่างดวงอาทิตยก์ บั กาวบริวาร
ระบบสุริยะของเรามีดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ซ่ึง
เป็นวัตถุที่มีมวลมากที่สุดและเป็นศูนย์กลางของระบบ
สรุ ิยะ ซึง่ ล้อมรอบไปด้วยวตั ถตุ า่ ง ๆ เชน่ ดาวเคราะห์ ดวง
จันทรข์ องดาวเคราะห์ ดาวเคราะหแ์ คระ ดาวเคราะห์นอ้ ย
ดาวหาง วัตถุคอยเปอร์ และอื่น ๆ ดวงอาทิตย์และวัตถุ
เหล่านี้ต่างยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงโน้มถ่วง ทำให้วัตถุ
ทง้ั หมดโคจรรอบดวงอาทติ ย์
น้ำหนักของคนคนหนึ่งหรือขนาดของแรงโน้มถ่วงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างคนกับจุด
ศูนย์กลางของโลก ยิ่งระยะห่างมากขึ้น ขนาดของแรงโน้มถ่วงก็จะยิ่งลดลง นอกจากนี้ขนาดของแรงโน้มถ่วงยัง
ข้ึนอยกู่ ับมวลของดาวตา่ ง ๆ ด้วย ยงิ่ มวลของดาวมากขนึ้ ขนาดของแรงโนม้ ถ่วงก็จะยิง่ มากขน้ึ
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบขนาดของแรงโน้มถ่วงที่ดาวหนึ่ง ๆ กระทำต่อวัตถุที่มวลต่างกัน เม่ือวัตถุอยู่
ห่างจากจุดศูนย์กลางดาวเท่ากัน พบว่าขนาดของแรงโน้มถ่วงก็จะต่างกันด้วย โดยวัตถุที่มวลมากกว่าจะมีขนาด
ของแรงโน้มถ่วงมากกว่า ดังนั้นขนาดของแรงโน้มถ่วงนอกจากขึ้นอยู่กับระยะห่างจากดาวและมวลของดาวแล้ว
ยงั ขึ้นอยู่กับมวลของวตั ถบุ นดาวนัน้ ๆ อีกด้วย
วัตถุต่างๆ มีมวลและมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ
ซึ่งเมื่อวัตถุอื่นเข้ามาในสนามโน้มถ่วงนี้ ก็จะทำให้เกิดแรง
โน้มถ่วงกระทำต่อวัตถุในทิศทางเข้าหาจุดศูนย์กลางมวล
ของวัตถุที่เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วง ดังนั้นวัตถุที่มีมวล
จะมีแรงโน้มถ่วงกระทำต่อกัน โดยกระทำที่จุดศูนย์กลาง
มวลด้วยขนาดเท่ากนั แต่มที ิศทางตรงกนั ขา้ ม แรงโนม้ ถ่วงท่ี G คอื ค่าคงท่ีโนม้ ถว่ งสากล = 6.67 x 10-11 Nm2/kg2
กระทำต่อวัตถทุ ้ังสองเปน็ แรงกริ ยิ า-ปฏิกริ ิยากัน
ตัวอยา่ ง ดาว A มีมวล 6 x 1020 กิโลกรัม มียานอวกาศมวล 5 x 102 กโิ ลกรมั โคจรอย่รู อบเป็นวงกลมรัศมี 5x107
กโิ ลเมตร ดาว A จะมีแรงดึงดูดยานอวกาศนี้เทา่ ใด
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 66
เอกสารประกอบการสอนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
เซอรไ์ อแซก นวิ ตนั (Sir Isaac Newton) ได้เสนอแนวคิด
เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลกว่า ถ้ามีปืนใหญ่ตั้งอยู่บนยอด
เขาที่สูงมาก เมื่อยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ในแนวระดับโดยไม่
คดิ ผลจากแรงต้านอากาศ ลูกกระสุนจะเคลอ่ื นท่ีวิถีโค้งแล้ว
ตกลงสู่พื้น แต่ถ้ายิงลูกกระสุนให้มีอัตราเร็วมากขึ้น ลูก
กระสุนก็จะเคลื่อนที่วิถีโค้งแล้วตกลงสู่พื้นได้ไกลขึ้น และ
เมื่อยิงลูกกระสุนให้มีอัตราเร็วที่เหมาะสมค่าหนึ่ง ลูก
กระสนุ จะไมต่ กลงสพู่ น้ื โลก แต่จะเคลอ่ื นทร่ี อบโลก
จากแนวคิดของนวิ ตนั เป็นการอธบิ ายเกย่ี วกบั การโคจร (orbit) ซงึ่ มีลกั ษณะเปน็ การเคลื่อนที่แบบ
วงกลม(Circular motion) รอบจุดศูนย์กลาง
ขณะที่วัตถุกำลังโคจรรอบโลกด้วยอัตราเร็วท่ี
เหมาะสมค่าหนึ่ง แรงโน้มถ่วงของโลกซึ่งดึงดูดวัตถุ
ตลอดเวลาจะทำให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบจุด
ศูนย์กลางของโลกได้ อัตราเร็วที่เหมาะสมนี้เรียก
อตั ราเรว็ ในวงโคจร
ถ้าอัตราเร็วของวัตถุน้อยกว่าอัตราเร็วในวงโคจร วัตถุจะตกลงสู่พื้นโลก ถ้าอัตราเร็วมีขนาดเท่ากับ
อัตราเร็วในวงโคจร วัตถุจะเคลื่อนที่รอบโลกโดยไม่ตกลงสู่พื้น ถ้าอัตราเร็วของวัตถุมากกว่าอัตราเร็วในวงโคจร
วัตถุจะยังคงโคจรรอบโลกเช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนวงโคจรไปที่ระดับดาวสูงจากผิวโลกมากขึ้น จนเมื่อวัตถุมี
อตั ราเรว็ มากพอคา่ หนง่ึ จนแรงโน้มถว่ งของโลกไม่สามารถดงึ ดูดไวไ้ ดจ้ ึงหลุดจากวงโคจร
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 67
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1
ดาวที่อยู่ไกลออกไปในอวกาศนอกระบบ
สุริยะก็มีแรงโน้มถ่วงกระทำเช่นกัน แรงโน้ม
ถ่วงจากใจกลางกาแลกซีทางช้างเผือกทำให้
ดวงอาทิตย์รวมถึงวัตถุท้ังหมดในระบบสุริยะ
โคจรรอบศูนย์กลางกาแล็กซี การโคจร 1
รอบใช้เวลา 225 – 250 ลา้ นปบี นโลก
ในความเป็นจริงวงโคจรของดาวเคราะห์ไม่ได้เป็นรูปวงกลมตามที่เราเข้าใจกัน นักดาราศาสตร์ชาว
เยอรมันชื่อ โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler) พบว่าการโคจรเป็นรูปวงกลมไม่สอดคล้องกับข้อมูลจาก
การสังเกต จึงได้นำเสนอแบบจำลองวงโคจรของดาวเคราะห์ใหม่เป็นรูปวงรี โดยมีดวงอาทิตย์โฟกัสของวงรี ซ่ึง
แบบจำลองนส้ี อดคล้องกบั ขอ้ มลู จากการสังเกตจรงิ
ระยะห่างเฉลยี่ จากดวงอาทิตยข์ องดาวเคราะห์แตล่ ะดวงแตกตา่ งกันและมวลของดาวเคราะห์แต่ละดวงก็
แตกตา่ งกนั ดว้ ย ดงั นั้นแรงโน้มถว่ งท่ดี วงอาทิตย์กระทำตอ่ ดาวเคราะห์แต่ละดวงจึงแตกต่างกัน
ชอ่ื ดาวเคราะห์ มวล (1024 kg) ระยะห่างระหวา่ งดวงอาทิตย์ แรงโน้มถว่ งเฉลย่ี ระหวา่ งดวงอาทิตย์
(109 m) กบั ดาวเคราะห์ (1022 N)
พธุ 0.330 57.9 1.31
ศุกร์ 4.87 108.2 5.52
โลก 5.97 149.6 3.54
อังคาร 0.642 227.9 0.16
พฤหสั บดี 1898 778.6 41.54
เสาร์ 568 1433.5 3.67
ยเู รนัส 86.8 2872.5 0.14
เนปจูน 102 4495.1 0.067
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 68
เอกสารประกอบการสอนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
2. ปรากฎการณท์ เี่ กิดจากการเคลอ่ื นที่ของโลกรอบดวงอาทิตย์
โลกของเรามีลักษณะคล้ายทรงกลมที่หมุนรอบ
ตัวเองในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา และโคจรรอบ
ดวงอาทิตย์ในทิศทางเดียวกัน เมื่อมองจากมุม
ด้านบนหรือบริเวณเหนือขั้วโลกเหนือ โดยโคจร
เป็นวงรีที่เกือบกลม เส้นตรงสมมติที่ลากจากข้ัว
โลกเหนือผ่านทะลุโลกไปยังขั้วโลกใต้ เรียกว่า
แกนโลก ซึ่งเอียงทำมุม 23.5 องศากับแนวตั้งฉาก
กับระนาบทางโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
โลกหมุนและโคจรรอบดวงอาทิตย์แกนของโลกจะเอียงคงที่ใขนณแะนทวี่โเดลมิกเหสมมุนอแสล่วะนโคเสจ้นรรสอมบมดตวทิ งี่ลอาากทริตอยบ์แกกึ่งนกขลอาง
ของโลกตามแนวตั้งฉากกับแกนโลกจนครบรอบเรียกวา่ เส้นโศลูนกยจ์ะสเูตอรียงซคึ่งงแทบี่ใงนอแอนกวเปเดน็ ิมซเกีสโมลอกเสห่วนนือเแสล้นะสซมกี มโตลิทก่ี
ใตเ้ ทา่ ๆ กนั ลากรอบกึ่งกลางของโลกตามแนวตั้งฉากกับแกน
โลกจนครบรอบเรียกว่า เส้นศูนย์สูตร ซึ่งแบ่ง
ออกเป็นซกี โลกเหนอื และซีกโลกใต้เท่าๆ กัน
การที่โลกมีรูปทรงคล้ายทรงกลม ทำให้ 69
บริเวณต่างๆ บนโลกได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ใน
ลกั ษณะที่แตกต่างกัน โดยบางบรเิ วณจะได้รับแสง
ตกตรงหรือตกตั้งฉาก และแสงจะตกเฉียงมากข้ึน
เมื่อเข้าใกล้บริเวณขั้วโลกทั้งสอง บริเวณที่ได้รับ
แสงตกตั้งฉากจะได้รับพลังงานแสงต่อหนึ่งหน่วย
พื้นที่มาก เป็นผลให้พื้นผิวโลกบริเวณนั้นมี
อุณหภูมิสูงกว่าบบรริเิเววณณทที่ไี่ไดด้ร้รับับแแสสงงตตกกเฉเฉียียงงซซึ่ง่ึงได้รับพลังงานแสงต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่น้อยกว่า เป็นผลให้
พได้ืน้รผบั ิวพโลกงั งบารนเิ วแณสงนต้นั ่อมหอี นณุ ่งึ หนภว่มู ยิตพ่ำืน้กวทา่ ่ีนอ้ ยกว่า เปน็
ผลใหพ้ ืน้ ผิวโลกบรเิ วณน้นั มอี ณุ หภมู ิต่ำกว่า
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มที่ 1
ฤดูของโลกเกิดจากการท่ีโลกโคจรรอบดวงอาทติ ยโ์ ดยแกนโลกเอียงคงท่ี เมื่อโลกโคจรเปลี่ยนตำแหนง่
ไปบริเวณพื้นผิวของโลกได้รบั แสงตกตง้ั ฉากและตกฉยี งแตกต่างดนั จึงเกิดการเปลยี่ นแปลงอณุ หภูมิบนพืน้ ผิวโลก
แต่ละบริเวณในรอบปี
ประมาณวันที่ 20 – 21 มิถุนายนของทุกปี โลกจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่แกนโลกทางด้านซีกโลกเหนือ
เอียงเข้ามาหาดวงอาทติ ย์มากท่ีสดุ แสงอาทิตยจ์ ะตกต้งั ฉากบริเวณเสน้ ศูนย์สูตรทีล่ ะติจูด 23.5 องศา ทำใหซ้ ีกโลก
เหนอื มอี ณุ หภมู ิสูงกว่าซกี โลกใต้ท่ีแสงอาทติ ย์จะตกเฉียง ดังนั้นซกี โลกเหนือจะเป็นฤดรู ้อน ขณะท่ีซีกโลกใต้จะเป็น
ฤดูหนาว
ประมาณวันที่ 21 – 22 ธันวาคมของทุกปี โลกจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่แกนของโลกทางด้านซีกโลก
เหนือเบนออกจากดวงอาทิตย์มากที่สุดแสงอาทิตย์จะตกเฉียงบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตร ทำให้ซีกโลกเหนือมี
อุณหภูมิตำ่ กว่าซีกโลกใต้ที่แสงอาทติ ย์จะตกตั้งฉาก ดังนั้นซีกโลกเหนอื จะเป็นฤดูหนาว ขณะที่ซีกโลกใต้จะเป็นฤดู
ร้อน
ประมาณวันที่ 22 – 23 กันยายนของทุกปีโลกจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่แกนของโลกไม่ได้เอียงเข้าหา
หรือเบนออกจากดวงอาทิตย์ แสงจากดวงอาทิตย์จะตกตั้งฉากบริเวณเส้นศูนย์สูตร และตกเฉียงบริเวณซีกโลก
เหนือใต้เท่าๆ กัน ท่ีตำแหน่งนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของซีกโลกเหนือค่อย ๆ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ส่วนซีกโลกใต้ค่อย
ๆ เพิ่มขึ้น ดังนั้นพืชพรรณท่ีอยูบ่ ริเวณซีกโลกเหนือที่ผ่านฤดูรอ้ นมาจะเริ่มท้ิงใบเขา้ สู่ฤดใู บไมร้ ว่ ง ขณะที่พืชพรรณ
บนซีกโลกใต้ที่ผ่านฤดหู นาวมาจะผลิใบเข้าสู่ฤดใู บไมผ้ ลิ เช่นเดยี วกับช่วงประมาณวันท่ี 20 – 21 มีนาคมของทุกปี
เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 70
เอกสารประกอบการสอนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
พืชพรรณบรเิ วณซีกโลกเหนือที่ผา่ นฤดหู นาวมาจะผลิใบเข้าสฤู่ ดูใบไม้ผลิ ขณะท่ีพชื พรรณบริเวณซีกโลกใต้ทผ่ี ่านฤดู
รอ้ นมาจะท้งิ ใบเขา้ สู่ฤดูใบไม้รว่ ง
ตำแหนง่ ของโลก ซีกโลกเหนือ ซกี โลกใต้
20 – 21 มถิ ุนายน
22 – 23 กนั ยายน
21 – 22 ธันวาคม
20 – 21 มีนาคม
ทำไมประเทศไทยถึงมี 3 ฤดู
เขตภูมิอากาศของโลกแบ่งออกเป็น
3 เขต คือ เขตหนาว เขตอบอุ่น
และเขตร้อน ประเทศส่วนใหญ่
ตั้งอยู่บริเวณเขตอบอุ่นของโลก ซ่ึง
มี 4 ฤดูคือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดู
ใบไมผ้ ลิ และฤดใู บไม้รว่ ง
ประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตร
ประมาณ 5 – 20 องศา ทำให้รบั แสงจากดวงอาทิตย์
ตกเกือบตั้งฉากตลอดปี แต่เนื่องจากประเทศไทย
ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีน ทำให้ได้รับผลจาก
มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพัดพาอากาศเย็นจาก
ตอนเหนอื ของจนี มาปกคลมุ ประเทศไทยในชว่ งเดือน
พฤศจิกายน - มกราคม จงึ เป็นช่วงท่ีประเทศไทยเข้า
สู่ฤดหู นาว
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดพาอากาศช้ืน
ขึ้นมาจากมหาสมุทรอินเดียมาปกคลุมประเทศไทย
ในเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม จึงเป็นช่วงที่ประเทศ
ไทยเข้าสู่ฤดูฝน แต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึง
กลางเดือนพฤษภาคม ประเทศไทยได้รับผลจาก
มรสมุ ลดลงมาก จึงเปน็ ชว่ งทเี่ ขา้ สฤู่ ดูรอ้ น
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 71
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
การที่โลกคล้ายทรงกลมและโคจรรอบดวงอาทิตย์
ในลักษณะที่แกนโ,กเอียงทำมุม 23.5 องศากับ
แนวตั้งฉากกับระนาบทางโคจรของโลกรอบดวง
อาทิตย์คงที่เสมอ นอกจากจะทำให้บริเวณต่างๆ
ของโลกได้รับแสงตกตรงและตกเฉียงแตกต่างกัน
และทำให้เกิดฤดูแล้ว ยังทำให้คนบนโลกมองเห็น
ตำแหน่งการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้า
และเส้นทางการเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์
(Sun path) เปลีย่ นแปลงไปในรอบปี
ประมาณวันที่ 20 – 21 มิถุนายนของทุก
ปี โลกจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่แกนของโลก
ทางด้านซีกโลกเหนือเบนเข้าหาดวงอาทิตย์มาก
ที่สุด ถ้าสังเกตดวงอาทิตย์ ณ ประเทศไทย ซึ่งอยู่
เหนือบริเวณเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อย ดวงอาทิตย์จะ
ข้นึ เฉยี งไปทางทิศเหนือประมาณ 23.5 องศา และ
เมื่อโลกเปล่ียนตำแหน่งไป แกนของโลกจะค่อย ๆ
เบนออกจากดวงอาทิตย์ ทำให้มองเห็นดวง
อาทิตย์เปลย่ี นนแแปปลลงงกกาารรเเคคลล่ือื่อนนทท่ีปี่ปรราากกฏฏในในททุกุกๆๆวนั จนประมาณวันที่ 22 – 23 กนั ยายน ซึง่ โลกจะโคจรมาอยู่ใน
ตวันำแจหนนป่งรทะี่แมกานณโวลนั กทไมี่ 2่ไ2ด้เ–อีย2ง3เขก้านั หยาาหยรนือซเบึ่งนโลอกอจกะจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงกับทิศตะวันออกและตก
โตครจงกรมับาทอศิ ยตู่ใะนวตนั ำตแกหพนอ่งดที ี่แกนโลกไม่ได้เอียงเข้าหา
หรือเบปนรอะอมกาจณาวกันดทวี่ง2อ1าท–ิต2ย2์ ดธันวงวอาคาทมขิตอยง์จทะุกขปึ้นี โลกจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่แกนโลกทางด้านซีกโลกเหนือ
เบตนรองอกกับจทาิศกดตวะงวอันาอทอติ กยแ์มลาะกตทกีส่ ตดุ รดงวกงับอทาทิศิตตยะ์จวัะนขต้นึ กเฉียงมาทางทิศใต้ประมาณ 23.5 องศา หรอื เป็นช่วงที่เรียกกัน
วา่ พตอะดวีันวันออ้ มใต้หรือตะวันอ้อมขา้ ว เมือ่ โลกโคจรมายังตำแหนง่ ท่ีแกนโลกไม่ได้เอียงเข้าหาหรือเบนออกจากดวง
อาทิตย์ หรือประมาณวันที่ 20 – 21 มีนาคมของทุกปี ดวงอาทิตย์ที่จะขึ้นและตกตรงกับทิศตะวันออกและทิศ
ตะวนั ตกอีกครง้ั
ดังนั้นโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะที่แกนโลกเอียงคงที่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตำแหน่งการเคลื่อนที่ปรากฎของดวงอาทิตย์ในแต่ละปีเป็นรูปแบบซ้ำเดิมเป็นวัฎจักร นอกจากนี้การเปลี่ยน
เส้นทางการเคลื่อนท่ีปรากฎของดวงอาทิตย์ยังสมั พันธ์กับการท่ีกลางวัน กลางคืนในแตล่ ะฤดูยาวไม่เท่ากัน โดยจะ
สงั เกตความแตกต่างได้ชดั เจนในประเทศทีม่ ี 4 ฤดู
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 72
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 73
เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
3. ปรากฎการณท์ เี่ กิดจากปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์
การหมุนรอบตัวเองของโลกในทิศทาง
ทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากบริเวณขั้วโลกเหนือ
ทำให้เกิดปรากฏการณ์การขึ้นและตกของดวง
อาทิตย์ กลางวัน กลางคืน และการกำหนดทิศ
โดยโลกซึ่งมีลักษณะทรงกลมทึบแสง เมื่อได้รับ
แสงจากดวงอาทิตย์จะได้รับแสงเพียงครึ่งดวง
เสมอ ด้านที่ได้รับแสงจะเปน็ กลางวนั ส่วนด้านที่
ไม่ได้รับแสงจึงเปน็ เวลากลางคนื
ดวงจันทร์เป็นบริวารของ
โลก ไม่มีแสงในตัวเอง แสงสว่าง
ของดวงจันทร์ที่เห็นเกิดจากแสง
ดวงอาทิตย์ตกกระทบดวงจันทร์
แล้วสะท้อนมายังโลก เมื่อดวง
จันทร์โคจรรอบโลกขณะที่โลก
โคจรรอบดวงอาทิตย์ โลกและดวง
จันทร์จึงโคจรรอบดวงอาทิตย์
และเนื่องจากดวงจันทร์มีรูปทรง
คล้ายทรงกลมทึบแสง ดวงจันทร์
จึงได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เพียง
ครึ่งดวงเสมอ แต่การเปลี่ยน
ตำแหน่งของดวงจันทร์ในวงโคจร
รอบโลก ทำให้คนบบนนโโลลกกมมอองงเเหห็น็นส่วนสว่างของดวงจนั ทร์เปล่ียนไป โดยมองเหน็ รปู ร่างเปน็ เสี้ยว คร่ึงดวง ค่อน
ดส่วงนสแวล่าะงเขตอ็มงดดววงงจชัน่วงทเรว์เลปาลที่ยี่มนอไงปเห็นดวงจันทร์เปลี่ยนแปลงรูปร่างโดยมีส่วนสว่างเพิ่มขึ้นจนเต็มดวง เรียกว่า
ขโดา้ ยงขมน้ึองแเหละ็นชร่วูปงรเว่าลงเาปท็นี่มเอสงี้ยเหว็นคสร่ว่ึงนสว่างของดวงจันทร์ค่อย ๆ ลดลงจนมองไม่เห็นดวงจนั ทร์ เรียกว่า ข้างแรม
ดปรวางกฎคก่อารนณด์นว้ีเรงยี กแวล่าะขเา้ตง็ขมนึ้ดวขง้างแรม (Moon phases)
ช่วงเวลาที่มองเห็นดวงจันทร์
เปลี่ยนแปลงรูปร่างโดยมีส่วน
สว่างเพิ่มขึ้นจนเต็มดวง เรียกว่า
ข้างขึ้น และช่วงเวลาที่มองเห็น เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 74
ส่วนสว่างของดวงจันทร์ค่อย ๆ
เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มที่ 1
ดวงจันทร์มีการเคลื่อนที่ 2 ลักษณะ คือ หมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลก ขณะที่โลกโคจรรอบดวง
อาทิตย์ดวงจันทร์ก็โคจรและหมนุรอบตัวเองในทิศทางเดียวกัน คือหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา โดยดวงจันทร์
โคจรรอบโลก 1 รอบ ใชเ้ วลาประมาณ 27.3 วนั
การที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกนอกจาก
จะทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์เปลี่ยนแปลงไปใน
แต่ละวันในช่วงเวลา1 เดือนแล้ว ถ้าเราสังเกต
ดวงจันทรบ์ นท้องฟ้า จะพบวา่ ดวงจนั ทร์ข้ึนช้าไป
วันละประมาณ 50 นาที ในวันขึ้น 15 ค่ำที่ดวง
จันทร์เต็มดวง ถ้าผู้สังเกตอยู่บริเวณเส้นศูนยส์ ตู ร
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันตก
ดวงจันทร์จะปรากฏที่ขอบฟ้าทิศตะวันออกใน
เวลา 18:00 แต่เมื่อสังเกตดวงจันทร์ในวันถัดมา
พบวา่ ดวงจันทรจ์ ะปรากฎที่ขอบฟ้าทางด้านทิศจะวันออกช้าไปจปะรพะมบาวณ่าด5ว0งจนันาททรี ์จเชะน่ ปทรุกาวกนัฎนท้ี ี่ขดอังนบัน้ฟใ้านทแารงมด้า1น5
ค่ำหรือวันจันทร์ดับ คนบนโลกไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ไดท้เิศนจื่อะงวจันากอดอวกงชจ้าันไทปรป์จระะขมึ้นาแณละ5ต0กพนรา้อทมี เกชับ่นดทวุกง
อาทติ ย์ และเปน็ ช่วงทด่ี วงจันทร์หันด้านที่ไมไ่ ดร้ ับแสงมายงั โลกวอันีกดนว้ี ดยังนั้นในแรม 15 ค่ำหรือวันจันทร์ดับ คน
บนโลกไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้เนื่องจาก
เมื่อสังเกตระดับน้ำในมหาสมุทรจะพบว่า ระดับน้ำทะดเวลงมจีกนั าทรรเจ์ปะลขี่ยน้ึ นแแลปะลตงกใพนรแอ้ ตม่ลกะบั ชด่ววงงเวอลาทาใติ นยร์ อแบลวะัน
เรียกปรากฎการณ์นีว้ ่า น้ำข้ึน น้ำลง (tide) ซึง่ ปรากฎการณ์น้ีเกเิดปจ็นาชก่วแงรทงี่ดไทวดงจัลัน(ทtidร์หalันfดo้าrcนeท)ี่ไซมึ่ง่ไเดป้ร็นับแแรสงทงม่ีเกาิดยัขง้ึน
จากแรงโนม้ ถ่วงหรือแรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจนั ทร์ ถงึ แม้ดโวลงกจอนั กี ทดร้ว์จยะมีขนาดเล็ก แตเ่ นอื่ งจากดวงจันทร์เป็น
ดาวที่ใกล้โลกมาก จึงสามารถดึงดูดน้ำซึ่งบริเวณผิวโลกได้แรงกว่าดวงอาทิตย์ซี่งมีมวลมากแต่อยู่ไกล โดยมีแรง
กระทำดงึ ใหน้ ำ้ ปรับตัวเป็นรูปทรงรี
เมื่อผู้สังเกตอยู่ที่ตำแหน่ง A
จะพบว่าน้ำมีระดับสูงขึ้น เมื่อโลกหมุน
ไปยังตำแหน่ง C จะพบว่าน้ำมีระดับ
ลดลง และเมื่อผู้สังเกตอยู่ที่ตำแหน่ง B
และ D ระดับน้ำจะสูงขึ้นและลดต่ำลง
อีกครั้งตามลำดับ ทำให้ใน 1 วันจะพบ
นำ้ ขนึ้ 2 ครั้งและนำ้ ลง 2 ครงั้
เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 75
เอกสารประกอบการสอนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
ดวงอาทิตย์แม้จะอยู่ไกลจากโลก แต่เนื่องจากดวงอาทิตย์มีมวลมาก แรงโน้มถ่วงจึงมีผลต่อระดับน้ำ
เชน่ กัน โดยประมาณวันแรม 15 ค่ำและขน้ึ 15 คำ่ ตำแหนง่ ของดวงจนั ทร์จะโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดยี วกันกับ
ดวงอาทิตย์เป็นผลใหแ้ รงไทดัลจากดวงอาทิตย์เสรมิ แรงกับดวงจันทร์ ในวันน้ีจึงเป็นวันที่ระดับนำ้ ขึ้นสูงสุดและลง
ต่ำสุดแตกต่างกันซึ่งระดับน้ำจะสูงขึ้นมากกว่าปกติ เรียกว่า วันน้ำเกิด (spring tides) ส่วนประมาณวันแรม 8
ค่ำและขึ้น 15 ค่ำ ตำแหน่งของดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ซึ่งแรงไทดัลไม่เสริมกัน ในวันนี้
จึงเป็นวันท่ีระดับน้ำขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดไม่แตกต่างกันซึ่งระดับน้ำจะสูงขึ้นน้อยกว่าปกติ เรียกว่า วันน้ำตาย
(neap tides)
4. เทคโนโลยีอวกาศ
ในอดีตมนุษย์เฝ้ามองท้องฟ้ามาเป็นเวลายาวนาน มนุษย์เฝ้าสังเกต เพื่อศึกษาปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่
เกิดขน้ึ และด้วยความสงสัยใคร่ร้นู ี้เองทำให้เทคโนโลยีอวกาศ (Space technology) ได้พัฒนาไปอยา่ งไม่หยุดยั้ง
มนุษย์ผลิตและพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อขยายของเขตการมองเห็นและหาคำตอบที่อยากรู้ อุปกรณ์ดังกล่าว เช่น
กล้องโทรทรรศน์ จรวด ดาวเทยี ม
กล้องโทรทรรศน์ (Telescope) เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อขยายขอบเขตการมองเห็นด้วยสายตามนุษย์
ใหส้ ามารถใช้สังเกตวัตถทุ ้องฟ้าที่อยู่ไกลจากโลก ซ่งึ แสงจากวัตถทุ ่ีเดนิ ทางผ่านอวกาศมาถึงผู้สังเกตมีปริมาณน้อย
จึงทำใหเ้ รามองเหน็ ดาวบางดวงรบิ หร่ี แตก่ ลอ้ งโทรทรรน์ช่วยรวมแสงและแยกวัตถทุ ใ่ี กล้กันให้ชดั เจนยิ่งขึ้น รวมไป
ถึงทำใหส้ ังเกตรายละเอยี ดของวัตถุท้องฟ้าไดช้ ัดเจนมากยิ่งข้ึนอีกด้วย กลอ้ งโทรทรรศนจ์ ึงใช้เพื่อศึกษาหรือสังเกต
การอวกาศในระยะไกล (Space observation) เช่น ศึกษาการกำเนิดของดาว ติดตามการเปลี่ยนแปลงของดาว
ตดิ ตามวัตถุท้องฟ้าซ่งึ อย่ใู กล้โลก รวมถึงวางแผนการสำรวจอวกาศ (Space exploration) ในอนาคต
กล้องโทรทรรศน์ท่ีสังเกตแสงที่ตามองเห็นมี 2 ประเภท แบ่งโดยใชห้ ลักการรวมแสงเมื่อผ่านอุปกรณ์ชนิด
ต่าง ๆ เป็นเกณฑไ์ ดด้ งั นี้
1. กล้องโทรทรรศนแ์ บบหักเหแสง (Refracting telescope)
กล้องประเภทนี้ใช้หลักการหักเหของแสงผ่านเลนส์นูน 2 ชุด คือ เลนส์ใกล้วัตถุและเลนส์ใกล้ตา เมื่อแสง
ผา่ นเลนสใ์ กล้วตั ถจุ ะเกดิ การหักเหไปรวมกนั ทำให้เกิดภาพจริงทีจ่ ุดโฟกัสของเลนส์ใกลว้ ัตถุ ภาพนจี้ ะเป็นวัตถุของ
เลนส์ใกล้ตาทำให้เกิดภาพเสมอื นขนาดขยาย
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 76
เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มที่ 1
กล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสงเหมาะสำหรับการสังเกตเนบิวลาหรือกาแลกซีซึ่งมีแสงน้อย ในกรณีที่
ต้องการความสว่างของภาพ อาจะทำได้โดยการเพมิ่ ขนาดของเลนส์ รวมถงึ เพิม่ ความยาวของกล้อง
2. กลอ้ งโทรทรรศนแ์ บบสะท้อนแสง (reflecting telescope)
กล้องประเภทนี้ใช้หลักการรับและรวมแสงจากวัตถุไปยังกระจกเงาเว้า ทำให้เกิดภาพจริงที่จุดโฟกัสของ
กระจกเงาเว้า ภาพนี้จะเป็นวัตถุของเลนส์ใกล้ตาทำให้เกิดภาพเสมือนขนาดขยาย หากต้องการให้ภาพมีขนาด
ขยายมากขึ้นและคมชัดยิ่งขึ้น ทำได้โดยการใช้กระจกเงาที่มีขนาดใหญ่เพื่อให้รวมแสงได้มากขึ้น ปัจจุบันกล้อง
โทรทรรศน์กำลังขยายสูง ส่วนใหญ่เป็นแบบสะท้อนแสง ซึ่งทำความสะอาดง่ายและต้นทุนต่ำ นอกจากนั้นยังมี
ขนาดกะทัดรดั กว่าเมือ่ เทยี บกับกล้องโทรทรรศนแ์ บบหักเหแสงที่มกี ำลงั ขยายท่ากนั
กล้องโทรทรรศน์จะติดตั้งอยู่ที่หอดูดาวซ่ึง
ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณยอดเขาหรือตั้งอยู่ใน
บริเวณพื้นที่สูง มีอากาศแห้ง เพื่อหลีกเลี่ยง
เมฆและความชื้นที่อาจรบกวนการสังเกต
วตั ถุท้องฟา้
การสังเกตบนท้องฟ้าจากบนโลกมีข้อจำกดั จากสิ่งท่ีมาบดบังบนท้องฟ้า จงึ มีการสง่ กลอ้ งโทรทรรศน์ข้ึนไป
ในอวกาศเหนือชั้นบรรยากาศของโลก เรียก กล้องโทรทรรศน์อวกาศ ซึ่งจัดเป็นดาวเทียมที่ให้ประโยชน์ด้าน
การศึกษาดาราศาสตร์ เช่น กลอ้ งโทรทรรศน์อวกาศฮบั เบิล (Hubble space telescope) ซงึ่ เป็นกล้องโทรทรรศน์
แบบสะทอ้ นแสงทต่ี รวจวดั แสงท่ีตามองเหน็ และรังสอี ิลฟราเรด
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลมื้ ทวี 77
เอกสารประกอบการสอนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
แสงที่เรามองเห็นจากดวงดาวในยามค่ำคืนไม่ได้มีเพียงแสงที่ตามองเห็นได้เท่าน้ัน แต่วัตถุบนท้องฟ้าบาง
ปล่อยพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ต่างกัน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด
รังสีเอกซ์ ซึ่งนำมาสู่การประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ที่สามารถตรวจวัดคลื่นเหล่านี้ได้ เช่นกล้องโทรทรรศน์วิทยุ
กล้องโทรทรรศนอ์ วกาศจนั ทรา จะช่วยให้เราเหน็ ภาพต่าง ๆ ทต่ี าของเรามองไม่เหน็ นำไปสูค่ วามรู้ความเขา้ ใจใหม่
กลอ้ งโทรทรรศนอ์ วกาศ กล้องโทรทรรศน์อวกาศ กลอ้ งโทรทรรศนอ์ วกาศ
รังสแี กมมาเฟอร์มิ สปิตเซอร์ จนั ทรา
จรวด (Rocket) เทคโนโลยีอวกาศ
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้น
สำหรับการเดินทางสู่อวกาศ จรวด
จะมีอัตราเร็วมากพอค่าหนึ่ง จน
แรงโนม้ ถ่วงของโลกไม่สามารถที่จะ
ดึงดูดไว้ได้เพื่อนำยานอวกาศ
(spacecraft) อ อ ก ไ ป ป ฏ ิ บ ั ติ
ภารกิจในอวกาศได้ จรวดส่วนใหญ่
จะมหี ลายท่อนซ่ึงอาจเป็นเชื้อเพลิง
แข็งหรือเชื้อเพลิงเหลว เพราะหาก
มเี ช้อื เพลงิ ส่วนเดยี วอาจไม่เพียงพอ
ต่อการเดินทางที่ยาวนาน แต่
บางครั้งการส่งจรวดขึ้นไปอาจเป็น
เพียงการนำอุปกรณ์ ดาวเทียม
(satellite) หรือชิ้นส่วนบางอย่าง
ขึ้นสู่สถานีอวกาศโดยยังอยู่ใกล้
สนามโน้มถ่วงของโลก
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 78
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
การสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space station : ISS) ต้องใช้จรวดบรรทุกชิ้นส่วน
ของสถานีอวกาศเป็นจำนวนหลายรอบ เพื่อนำไปประกอบเป็นสถานีอวกาศในขณะที่กำลังโคจรรอบโลก สถานี
อวกาศ (Space station) เป็นเสมือนบ้านของนักบินอวกาศ นอกจากจะสร้างขึ้นเพื่อใช้กับงานทดลองและ
งานวิจัยท่ไี มส่ ามารถทำบนโลกได้แล้ว ภายในสถานีอวกาศยังประกอบไปดว้ ยห้องนอน ห้องน้ำ ห้องออกกำลังกาย
และห้องทดลองอีกหลายห้อง นักบินอวกาศสามารถดำเนนิ ชวี ิตประจำวันบนสถานีอวกาศได้ เช่น ทำอาหาร นอน
ออกกำลงั กาย เข้าหอ้ งน้ำ รวมไปถึงตรวจเช็คระบบการทำงานต่าง ๆ วา่ ทุกอยา่ งดำเนนิ ไปตามปกติ
เทคโนโลยีอวกาศจำนวนมากไมเ่ พียงแต่ได้รับการพัฒนาเพื่อ
ศึกษาความเป็นไปต่าง ๆ นอกโลกและตอบปัญหาความยาก
รู้ของมนุษย์ แต่ยังมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนบน
โลกหลาย ๆ ด้าน เช่น การพยากรณ์อากาศ รวมถึงการ
พิจารณาความเสียหายที่เกิดจากปรากฎการณ์ต่าง ๆ
อุปกรณ์ที่นักดาราศาสตร์ใช้ในการศึกษาโลกและอวกาศ
ได้แก่ ดาวเทียม (artificial satellite) ซึ่งเป็นอุปกรณ์หรือ
ส ิ ่ ง ท ี ่ ม น ุ ษ ย ์ ส ร ้ า ง ข ึ ้ น แ ล ้ ว ส ่ ง ข ึ ้ น ไ ป โ ค จ ร ร อ บ โ ล ก เ พื่ อ
วัตถุประสงค์ต่าง ซึ่งมีประโยชน์ เช่น ด้านอุตุนิยมววิทัตยถาุปใรนะกสางรคพ์ตย่าางกซรึ่งณม์อีปารกะาโศยชดน้า์ นเชก่นารดส้าื่อนสอาุตรุนดิย้ามนวกิทายรบา อใกน
ตำแหนง่ ดา้ นการสำรวจทรัพยากร และดา้ นดาราศากสาตรรพ์ ยากรณ์อากาศ ด้านการสื่อสาร ด้านการบอกตำแหน่ง
โครงการสำรวจอวกาศมีมากมายต้ังแต่อดีตดจา้นนถกึงาปรัจสจำบุ รันวจแทตรล่ัพะยโาคกรรงกแาลระมดีจ้าดุ นปดราะรสางศคา์แสตตกร์ต่างกันไป การ
สำรวจอวกาศทำให้เราทราบข้อมูลของวัตถุต่าง ๆ ในอวกาศ ตลอดจนเข้าใจการเกิดปรากฎการณ์ต่าง ๆ รวมถึง
การสงั เกตส่ิงท่ีเป็นภัยต่อโลก เพ่อื ทม่ี นษุ ยจ์ ะได้ระวงั และแก้ไขปัญหาต่อไป
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 79
เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
โครงการสำรวจอวกาศส่วนใหญ่จะมาจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของประเทศ
สหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันในนามองค์การนาซา (National Aeronautics and Space Administration :
NASA) นอกจากนี้ยังมีองค์กรที่ศึกษาเกี่ยวกับอวกาศจากประเทศอื่น ๆ ด้วย เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น รัสเซีย
องค์การอวกาศยโุ รปหรอื อเี อสเอ (European Space Agency : ESA) โดยมโี ครงการที่น่าสนใจดงั นี้
1. โครงการสำรวจดวงจันทร์
เราศึกษาดวงจันทร์จากการสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์มานาน จนเมื่อ พ.ศ. 2500 สหภาพโซเวียตได้ส่ง
สปุตนิก (Sputnik) ดาวเทียมดวงแรกของโลกขึ้นสู่อวกาศ จนเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันเพื่อเดินทางไปยังดวง
จนั ทร์ ทำให้เกิดโครงการสำรวจดวงจันทร์มากมายต้ังแต่อดตี จนถึงปัจจบุ นั
โครงการลูนา (Luna) เป็นโครงการอวกาศของสหภาพโซเวียตในช่วงปี 2502 – 2519 ได้ส่งยานไป
สำรวจดวงจันทร์หลายลำและหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งชนดวงจันทร์ โคจรรอบดวงจันทร์แล้วถ่ายภาพกลับมา
ลงจอดบนดวงจนั ทร์และเกบ็ ตวั อยา่ งดินกลบั มายงั โลก แตก่ ็ยงั ไมส่ ามารถนำมนุษยล์ งสู่ดวงจนั ทรไ์ ด้
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 80
เอกสารประกอบการสอนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
โครงการอพอลโล 11 (Apollo 11) ขององค์การนาซา ได้ประสบความสำเร็จในการส่งมนุษย์อวกาศไป
สำรวจดวงจนั ทร์และพากลบั มายังโลกไดอ้ ย่างปลอดภยั เปน็ ครัง้ แรก โดยในวันท่ี 20 กรกฏาคม 2512 นลี อารม์ สต
รอง (Neil Armstrong) และบัซซ์ อัลดริน (Buzz Aldrin) นักบินทั้งสองคนได้นำยานลงจอดบนดวงจันทร์และเดิน
สำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จเปน็ ครัง้ แรก หลงั จากนนั้ ก็มีมนษุ ย์อวกาศอกี หลายคนท่ีได้ไปเหยียบดวงจันทร์ และ
เก็บตวั อยา่ งดินและหนิ มาศกึ ษาทางดา้ นธรณวี ทิ ยาของดวงจนั ทร์
2. โครงการสำรวจดาวอังคาร
มนุษย์ยังคงมีคำถามที่ต้องการเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ดาวเคราะห์เพื่อนบ้านของเรา ทั้งนี้เนื่อง
ดว้ ยดาวองั คารมีสภาพแวดล้อมใกลเ้ คียงกับโลกมากท่สี ดุ ทำใหบ้ างคนมีแนวคดิ ในการต้ังอาณานิคมเป็นบ้านหลังที่
สองบนดางอังคาร มนุษย์ประสบความสำเร็จในการส่งยานสำรวจพ้ืนดินดาวอังคารต่อจากดวงจันทร์โดยองค์การ
นาซาไดส้ ่งยานไปสำรวจมากท่สี ุด เชาน ยานออปพอรท์ ูนิตี (Opportunity) สำรวจหนิ และดินเพอื่ ศกึ ษาร่องรอย
ของน้ำบนดางอังคารในอดีตและศึกษาสภาพทางธรณีวิทยา ยานคิวริออซิตี (Curiosity) ศึกษาสภาพเอื้อต่อการ
อยู่อาศัยของส่ิงมชี วี ิต ภูมอิ ากาศ ธรณีวทิ ยา รวมถึงเก็ยภาพพื้นผวิ ของดาวอังคาร เพ่อื เป็นขอ้ มูลสำหรับใช้วางแผน
โครงการส่งมนุษย์อวกาศไปดาวอังคารในอนาคต ยานอินไซต์ (Insight) ศึกษาโครงสร้างภายในของดาวอังคาร
จากการวิเคราะห์คลื่นไหวสะเทือน นอกจากนี้ยังมียานมังคลายาน (Mangalyaan) ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็น
ประเทศแรกในเอเชยี ทส่ี ่งยานไปโคจรรอบดาวอังคาร ได้สำเรจ็ เพ่ือทดสอบเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศ และศึกษา
ลักษณะทางธรณีวิทยาและช้นั บรรยากาศของดาวองั คาร
Opportunity Curiosity Insight
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 81
เอกสารประกอบการสอนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
3. โครงการสำรวจดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญต่อโลก
ของเรา ถ้าปราศจากดวงอาทิตย์ สิ่งมีชีวิตบน
โลกก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การศึกษาดวง
อาทิตย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเปลี่ยนแปลง
บนดวงอาทิตย์ย่อมส่งผลต่อมนุษย์โดยตรง
องค์การนาซามีแผนส่งยานอวกาศปาร์กเกอร์
Parker Solar Probe โซลาร์ โพรบ (Parker Solar Probe) ให้เข้า
ใกล้พื้นผิวของดวงอาทิตย์มากที่สุดเพื่อเก็บ
ข้อมูลและทำความเข้าใจบรรยากาศของดวงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยขให้อ้นมักูลวแิทลยะาทศำาคสวตารม์มเีคขว้าาใมจรบู้มรารกยขาึ้นกเากศี่ยขวอกงับดลวมง
สุริยะ ส่วนองค์การอีเอสเอก็มีโครงการที่จะปล่อยยานโซลารอ์ าอทอิตรย์บ์ ิเซทึ่งอจระ์ ช(่วSยoใlหar้นOักวrbิทiยteาrศ)าเสพตื่อรศ์มึกีคษวาชม้ันรู้
บรรยากาศของดวงอาทิตย์เชน่ กัน มากข้นึ เกย่ี วกบั ลมสรุ ยิ ะ ส่วนองค์การอเี อสเอก็มี
4. โครงการสำรวจดาวเคราะห์น้อย โครงการที่จะปล่อยยานโซลาร์ ออร์บิเทอร์
เราอาจจะเคยได้ยินข่าวดาวเคราะห์น้อย (Solar Orbiter) เพื่อศึกษาชั้นบรรยากาศของ
ดวงอาทติ ย์เชน่ กัน
เคลื่อนที่เฉียดโลก เข้ามาใกล้โลกและสร้างความวิตก
ว่าจะเป็นภัยต่อโลก ถึงแม้ดาวเคราะหน์ ้อยจะมีขนาด
ไม่ใหญ่นัก แต่ถ้าตกเข้ามายังโลกก็อาจสร้างความ
เสยี หายตอ่ มนษุ ย์ได้ นอกจากนกี้ ารศึกษาดาวเคราะห์
น้อยยังเป็นกุญแจช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับการกำเนิด
ของระบบสสุรุริยิยะะออีกีกดด้ว้วยยโคโครงรกงการาโรอโไอซไรซิสริสเร็กเรซ็ก์ ซ(O์ SIRIS-REx) จากองค์การนาซามีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บ
(ตOวั อSยIRา่ IงSจ-RากEดxา) วจเาคกรอาะงคห์กนาอ้ รยนแาลซว้ านมำีวกัตลถบั ุปมราะวิเสคงรคา์เะพห่ือ์ดอู งค์ประกอบต่าง ๆ
5.เวกโเิ คค็บรรตางะักวมหอาวร์ดยลสูอ่าสำงง่วรคจนวป์ าจใรกหดะดญากาวอ่ขวเบอคเตคงรว่ารางัตะาหถะๆุทหช์ น้ั้อ์นงน้อฟอย้ากแทลั้ง้วหนมำดกในลรับะมบาบสุริยะกว่าร้อยละ 99.86 คือมวลของดวงอาทิตย์ ที่เหลือ
รองลงมาคือ ดาวพฤหัสและดาวเสาร์ ดังนั้นการศึกษาดางทั้งสองดวงจะช่วยให้เข้าใจว่ามวลส่วนใหญ่ที่ก่อให้เกิด
ดาวเคราะห์มีกลไกอย่างไร ยานจูโน (JUNO) ขององค์การนาซาเป็นยานสำรวจลักษณะทางกายภาพและ
องค์ประกอบทางเคมีของดาวพฤหัสบดี รวมถึงโครงสร้างภายในของดาวพฤหัสบดีว่ามีแกนเป็นหินหรือไม่ ซึ่งจะ
เป็นข้อมูลเพอื่ สร้างความเข้าใจเรอื่ งการกำเนิดดาวเคราะหใ์ นระบบสุริยะต่อไป
ดาวบรวิ ารของดาวเคราะหช์ น้ั นอกก็เป็นอีกสิ่งหน่ึงทีน่ ักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจ เนอ่ื งจากบริวารหลาย
ดวงมีของเหลวอยูภ่ ายใน เช่น ดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสบดี ดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ โครงการแคสสินี-
ฮอยแกนส์ (Cassini-Huygens) เป็นโครงการร่วมระหว่างองค์การนาซา องค์การอีเอสเอ และองค์การอวกาศ
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 82
เอกสารประกอบการสอนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
อิตาลี (Agenzia spaziale Italiana :ASI) ทใี่ ชเ้ วลากว่า 7 ปใี นการไปสำรวจดาวเสาร์และดวงจนั ทร์ไททัน และ
ไดค้ ้นพบสงิ่ ทีร่ า่ สนใจมากมาย เช่น คน้ พบพายรุ ปู หกเหล่ียมบริเวณขั้วใต้ของดาวเสาร์ ทะเลสาบมเี ทนและทีเอนใน
สถานะของเหลวและลกั ษณะพน้ื ผิวของดวงจันทร์ไททนั
การสำรวจอวกาศต้องมีการวางแผนล่วงหน้าในระยะยาวเป็นอย่างดี เพราะถึงแม้ยานอวกาศจะเคลื่อนที่
ไปดว้ ยความเรว็ สูง การเดินทางไปยงั ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสุรยิ ะก็ใช้เวลานานหลายสิบปี ดงั เชน่ ยานวอยเอ
เจอร์ 1 และ 2 ออกเดินทางจากโลกในปี 2520 เพื่อสำรวจดาวเคราะห์ชั้นนอก ยานทั้งสองลำเคลื่อนที่ด้วย
ความเร็วกว่า 60000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้เวลากว่า 2 ปี เพื่อเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดี และใช้เวลา 12 ปี เพื่อ
เขา้ ใกล้ดาวเคราะหท์ ี่ไกลทสี่ ดุ อย่างเนปจูน หลังจากนนั้ ยานท้ังสองยงั คงเดนิ ทางออกนอกระบบสรุ ยิ ะไปเร่ือย ๆ จน
ในปี 2555 และ 2561 ยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ตามลำดบั ก็ได้เดินทางออกนอกระบบสุริยะ นับว่าเป็นยานที่ไกล
ที่สุดมรายงั ทำงานไดอ้ ยแู่ ละยังคงเดินทางต่อไป
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 83
เอกสารประกอบการสอนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เล่มที่ 1
แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. ถา้ มวลของดวงจนั ทรล์ ดลงจะสง่ ผลต่อโลกอย่างไร
2. จากภาพ เพราะเหตใุ ดสถานอี วกาศนานาชาติจึงโคจรรอบโลกไดโ้ ดยไมต่ กลงบนโลก
3. อา่ นสถานการณต์ ่อไปนีเ้ พ่ือตอบคำถามข้อท่ี 3.1-3.2
3.1 จากเนื้อหาในจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ของเอก การคาดคะเนของเอกมีสว่ นใดบ้างท่ีไมถ่ ูกต้องและไม่ถูกต้อง
อย่างไร
3.2 ถ้าประเทศจีนเปน็ ฤดูหนาว ประเทศนิวซีแลนด์ควรเป็นฤดอู ะไร เพราะเหตุใด
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้ืมทวี 84
เอกสารประกอบการสอนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่มท่ี 1
4. พจิ ารณาข้อมูลในตารางเพื่อตอบคำถามข้อที่ 4.1-4.2
4.1ถ้านกั เรยี นต้องการเดินทางไปเที่ยวชมทะเลแหวก จ.กระบ่ี ควรไปดูวันและเวลาใดจึงจะเห็นทะเลแหวกกว้าง
ทสี่ ดุ
4.2 นกั เรียนคิดวา่ ปรากฏการณ์ดงั กลา่ วเกิดจากสาเหตุใด
5. ถ้านกั เรยี นตอ้ งการสังเกตหรือสืบค้นข้อมลู ของดาวเสาร์ จะใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศใดได้บ้าง
6. เพราะเหตุใดจึงตอ้ งมีกล้องโทรทรรศนอ์ วกาศที่ตรวจวดั คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าความถี่แตกต่างกัน
7. จรวดลำหนงึ่ ปล่อยจากพน้ื โลกเพอ่ื ออกไปยังนอกโลกทร่ี ะดบั ความสูง 10,000 กโิ ลเมตร ท่รี ะดับความสูงน้ี
น้ำหนักของจรวดมีคา่ เปน็ อย่างไร
ก. น้ำหนกั ของจรวดเทา่ เดมิ เน่อื งจากเป็นจรวดลำเดิม
ข. น้ำหนกั ของจรวดเพิม่ ขน้ึ เน่ืองจากจรวดมีความเรว็ เพ่ิมมากขึ้น
ค. น้ำหนกั ของจรวดลดลงเน่ืองจากอยู่ในบรเิ วณที่ไม่มีความดันอากาศ
ง. น้ำหนกั ของจรวดลดลงเน่ืองจากอย่หู า่ งจากจดุ ศนู ยก์ ลางของโลกมากข้ึน
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 85
เอกสารประกอบการสอนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่มท่ี 1
8. ถา้ ดวงจนั ทรม์ ีมวลมากข้นึ เปน็ 2 เท่า แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทรก์ ระทำตอ่ โลกจะมีค่าเปลยี่ นไปอย่างไร
ก. แรงโนม้ ถว่ งเทา่ เดิม
ข. แรงโน้มถว่ งลดลงคร่ึงหนงึ่
ค. แรงโน้มถว่ งเพิ่มขนึ้ 2 เทา่
ง. แรงโน้มถ่วงเพิม่ ข้ึน 4 เท่า
9. รปู แสดงวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ทต่ี ำแหน่งต่าง ๆ ในรอบปี เม่ือโลกโคจรจากตำแหน่งท่ี 1 มายัง
ตำแหน่งท่ี 2 ทำให้เกิดการเปลี่ยนฤดู การเปลี่ยนแปลงนีเ้ กิดข้ึนเพราะสาเหตุใด
ก. ตำแหนง่ ที่ 2 โลกห่างจากดวงอาทติ ย์มากขึน้
ข. ตำแหนง่ ท่ี 2 ซกี โลกเหนือมีอุณหภมู ิเพ่มิ ขึ้น
ค. ตำแหน่งท่ี 2 ซกี โลกเหนือได้รับแสงตกเฉยี ง
ง. ตำแหนง่ ที่ 2 ซกี โลกเหนือได้รับแสงตกตั้งฉาก
10. ถา้ X แทนตำแหน่งของผู้สังเกต ตำแหน่งใดบนวงโคจรทผ่ี ้สู ังเกตมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนอื
ก. ตำแหน่งท่ี 1 ข. ตำแหน่งท่ี 2 ค. ตำแหนง่ ที่ 3 ง. ตำแหน่งท่ี 4
เรียบเรียงโดยนายพงศธร ปลม้ื ทวี 86
เอกสารประกอบการสอนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มท่ี 1
11. จากภาพตำแหน่งตา่ ง ๆ ของดวงจันทร์ทโี่ คจรรอบโลก ทีต่ ำแหนง่ ที่ 2 และ 6 พื้นผวิ ของดวงจนั ทร์ทีไ่ ดร้ บั แสง
จากดวงอาทิตยค์ ิดเป็นก่เี ปอร์เซ็นต์ของพน้ื ทีผ่ วิ ของดวงจันทร์ท้งั หมด
ก. 25%, 75% ข. 25%, 25% ค. 75%, 25% ง. 50%, 50%
12. ถา้ ตอ้ งการศึกษาการกระจายและการเคล่ือนทขี่ องกลุ่มเมฆฝน ลกั ษณะทางกายภาพของกลุม่ ดาวเคราะห์น้อย
และใชเ้ ครื่อง GPS ในการนำทาง จะต้องใชข้ ้อมลู จากดาวเทยี มประเภทใดบา้ งตามลำดับ
กำหนดให้ 1 คือ ดาวเทียมอตุ ุนยิ มวทิ ยา
2 คือ ดาวเทียมสอื่ สาร
3 คือ ดาวเทียมสำรวจทรพั ยากร
4 คือ ดาวเทยี มเพื่อการศกึ ษาทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์
5 คอื ดาวเทยี มกำหนดตำแหน่ง
ก. 1, 2, 3 ข. 1, 4, 5 ค. 2, 3, 4 ง. 3, 4, 2
13. ข้อความใดไม่ใช่วัตถุประสงคใ์ นการสำรวจอวกาศ
ก. เพอื่ ศึกษาสภาพทางธรณวี ิทยาของดาว
ข. เพื่อศึกษาเกย่ี วกับชั้นบรรยากาศของโลก
ค. เพอ่ื ศึกษาเกี่ยวกับวิศวกรรมของยานอวกาศ
ง. เพื่อศึกษาการกำเนิดดาวเคราะห์ในระบบสรุ ิยะ
เรยี บเรยี งโดยนายพงศธร ปลื้มทวี 87
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่มที่ 1
บันทกึ เพิม่ เติม
เรยี บเรียงโดยนายพงศธร ปลืม้ ทวี 88
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 89
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 90
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 91
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 92
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 93
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 94
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 95
เอกสารประกอบการสอนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่มท่ี 1
เรียบเรยี งโดยนายพงศธร ปล้มื ทวี 96