The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระพุทธรูปปางต่าง ๆ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-04-12 00:24:33

พระพุทธรูปปางต่าง ๆ

พระพุทธรูปปางต่าง ๆ

Keywords: พระพุทธรูป

พระพทุ ธรปู ปางตา่ งๆ

กรมศลิ ปากร
กระทรวงวัฒนธรรม

พระพุทธรปู ปางต่างๆ

กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๔ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ จ�ำนวน ๑,๐๐๐ เลม่
ISBN 978-616-283-198-0
ท่ีปรกึ ษา
นายบวรเวท รงุ่ รุจี อธบิ ดีกรมศลิ ปากร
นายพรี พน พสิ ณพุ งศ ์ รองอธิบดกี รมศลิ ปากร
นางสนุ ิสา จิตรพันธ ์ รองอธิบดีกรมศิลปากร
นายสหภูมิ ภมู ธิ ฤตริ ัฐ รองอธิบดีกรมศิลปากร
นางสาวศุภร รัตนพงศ์ ผอู้ �ำนวยการสำ� นกั บริหารกลาง
ผู้เรยี บเรยี ง
นางวสิ ันธนี โพธิสนุ ทร
นางสาวเมธนิ ี จริ ะวฒั นา
ประสานการจัดพิมพ์
นางวรานี เนยี มสอน
นางรชั ณี งามเจรญิ
ตรวจรูปแบบศลิ ปกรรม
นายธนากร ก�ำทรพั ย์
ศลิ ปกรรม
นายวริ ะยทุ ธ นาถชัยโย
ถ่ายภาพ
นายสิงหค์ ม บริสทุ ธิ์
นายธวัชชัย รามนัฏ
นายฤทธี รตั นประทีป
พมิ พ์ท่ี
บริษัท ร่งุ ศิลปก์ ารพิมพ์ (๑๙๗๗) จ�ำกดั
เลขที่ ๕๕๕ หมู่ ๑๒ ถนนพุทธมณฑลสาย ๕
ตำ� บลไรข่ งิ อำ� เภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม
โทร. ๐ ๒๑๑๘ ๓๕๕๕

สารบัญ

ค�ำนำ� ๕

๖ความเปน็ มาของการสรา้ งสญั ลกั ษณแ์ ทนพระพทุ ธเจา้

๗มุทราของพระพุทธรปู ในคตินิยมอินเดีย

ปางและมทุ ราแหง่ พระพทุ ธรูปสมัยรตั นโกสนิ ทร์ ๑๒

ค�ำอธบิ ายภาพ ๑๐๐

บรรณานุกรม BIBLIOGRAPHY ๑๑๒



ค�ำนำ�

พทุ ธศาสนา เปน็ ศาสนาสำ� คญั ศาสนาหนงึ่ ถอื กำ� เนดิ มาจากประเทศอนิ เดยี และแพรห่ ลาย
สดู่ นิ แดนประเทศตา่ งๆ รวมถงึ ดนิ แดนในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ประดษิ ฐานมนั่ คงในประเทศไทย
นบั แต่สมยั ทวารวดี ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๖ และเปน็ ศาสนาหลักสืบต่อเน่อื งมาจนปัจจบุ ัน
พร้อมๆ กบั การสรา้ งสัญลกั ษณแ์ ทนองคพ์ ระสัมมาสัมพุทธเจา้ เพื่อกราบไหวบ้ ูชา
พระพทุ ธรปู เปน็ หนง่ึ ในสงิ่ เคารพและสกั การบูชาแทนองค์พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ปรากฏ
เป็นงานพทุ ธศิลปใ์ นสมัยตา่ งๆ ของไทย สร้างสรรค์ขน้ึ โดยอาศัยเร่ืองราวในพทุ ธประวตั ิผสานกบั
คตคิ วามเชื่อเก่ียวกับมหาบรุ ษุ ลกั ษณะ ก่อใหเ้ กดิ พระพุทธรปู ท่มี ีพทุ ธลักษณะหลากหลายดว้ ยปาง
หรอื มุทรา และกลายเป็นช่ือเรยี กรวมพุทธลกั ษณะแหง่ พระพุทธรปู น้ัน
กรมศลิ ปากรได้จัดพิมพ์หนังสอื เรือ่ ง พระพุทธรปู ปางตา่ งๆ ขึน้ เพือ่ น�ำเสนอเรือ่ งราว
เกย่ี วกบั เหตแุ หง่ การสรา้ งพระพทุ ธรปู การคลคี่ ลายคตคิ วามเชอ่ื ในการสรา้ งพระพทุ ธรปู จากอนิ เดยี
มาสไู่ ทยและพทุ ธศลิ ปท์ ปี่ รากฏในไทยทม่ี พี ฒั นาการถงึ ปจั จบุ นั สะทอ้ นถงึ ความคดิ สรา้ งสรรคข์ อง
ชา่ งไทยนบั แตอ่ ดตี อนั เปน็ มรดกของบรรพชนทท่ี รงคณุ คา่ แกก่ ารรกั ษาสบื ไป หนงั สอื เรอ่ื งนไ้ี ดจ้ ดั
พิมพ์ครั้งแรก เมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๘ ไดร้ บั ความสนใจอย่างกวา้ งขวาง และจำ� หนา่ ยหมดอยา่ ง
รวดเร็ว ทั้งยังเป็นท่ีต้องการของประชาชนเป็นอันมาก จึงจัดพิมพ์ขึ้นอีกหลายครั้ง คร้ังล่าสุด
เม่ือพุทธศักราช ๒๕๕๒ ซ่ึงยังคงได้รับความสนใจจากนักศึกษาและประชาชนเช่นเดิม ในคร้ังนี้
จดั พมิ พเ์ ปน็ ครงั้ ที่ ๔ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของประชาชน ทส่ี ำ� คญั เพอื่ ผดงุ รกั ษา สง่ เสรมิ งาน
ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ตามภารกิจของกรมศิลปากร จงึ หวงั เป็นอยา่ งย่ิงวา่ หนังสือเลม่ น้ีจะอำ� นวย
ประโยชนส์ งู สุดแก่ประชาชนและผู้สนใจโดยทว่ั กัน


(นายบวรเวท รงุ่ รุจ)ี
อธบิ ดกี รมศิลปากร

5

ความเปน็ มาของการสรา้ งสญั ลักษณ์แทนพระพุทธเจา้

ในครง้ั พทุ ธกาล การสรา้ งรปู แทนพระพทุ ธเจา้ ยงั ไมน่ ยิ มสรา้ ง พทุ ธบรษิ ทั จงึ นบั ถอื แต่
ไตรสรณคมน์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรมค�ำสอนของพระพุทธองค์ และพระสงฆ์สาวก
อันเป็นหลกั สงู สุดในพทุ ธศาสนา ครนั้ ต่อมาเม่ือพระพุทธองค์เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน บรรดา
เหลา่ สาวกหามสี งิ่ อนื่ ใดเปน็ สง่ิ เคารพแทน ดว้ ยพระพทุ ธองศไ์ ดม้ พี ทุ ธฎกี าแกพ่ ระสงฆส์ าวกให้
ยึดถือพระธรรมวินัยเป็นสิ่งแทนพระองค์ ปรากฏในมหานิพพานสูตรปริวรรตว่า “...กาลเมื่อ
ตถาคตปรินิพพานแลว้ อันวา่ พระปรยิ ตั ธิ รรมท้งั หลาย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธน์ ้ี จักเป็นครู
สั่งสอนท่านท้ังปวงแทนองค์ตถาคต...’’ ๑ ในต�ำนานพุทธประวัติยังกล่าวถึงเร่ืองดังกล่าวว่า
เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ใกลเ้ สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานนน้ั พระพทุ ธองคไ์ ดม้ พี ทุ ธานญุ าตเหลา่ พทุ ธบรษิ ทั
เหลา่ ใดทใ่ี ครเ่ หน็ พระพทุ ธองคใ์ หป้ ลงธรรมสงั เวช ณ สงั เวชนยี สถานทงั้ ๔ แหง่ อนั ประกอบดว้ ย
สถานท่ปี ระสูติ ณ ลุมพินวี นั แขวงเมอื งกบลิ พสั ดุ์ สถานทตี่ รสั รู้พระโพธิญาณ ณ โพธพิ ฤกษ-
มณฑล แขวงเมืองคยา สถานที่ประทานปฐมเทศนาแกป่ ัญจวคั คยี ์ ณ ปา่ อิสิปตนมฤคทายวนั
แขวงเมอื งพาราณสี และสถานทีเ่ สด็จเข้าส่ปู รินพิ พาน บรเิ วณต้นรังคู่ ณ แขวงเมอื งกสุ ินารา
ดังน้ัน สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าโดย
พุทธานุญาตเปน็ ปฐม นอกจากสงั เวชนียสถาน ๔ แหง่ ท่กี ล่าวมา ยงั มสี ถานท่ซี ่ึงพระพุทธเจ้า
ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๔ แหง่ ไดแ้ ก่ เมอื งสังกสั ยะ หรอื สังกัสนคร เมืองสาวตั ถี เมอื งราชคฤห์
และเมืองเวสาลี
ครน้ั หลงั พทุ ธกาลลว่ งมาถงึ สมยั ราชวงศก์ ษุ าณะ ปกครองอนิ เดยี ฝา่ ยเหนอื ราวพทุ ธ
ศตวรรษท่ี ๖ - ๗ กษตั ริย์องคส์ ำ� คญั ของราชวงศ์น้ี คอื พระเจ้ากนษิ กะ (พ.ศ. ๖๒๑ - ๖๘๗)
ทรงตงั้ ราชธานที เี่ มอื งเปษวาร์ ในแควน้ คนั ธาระ อนั เปน็ บรเิ วณทมี่ กี ารนบั ถอื พทุ ธศาสนาสบื มา
แตค่ รง้ั พทุ ธกาล ในระยะน้ี ชาวกรกี ทเ่ี ปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนอาศยั อยใู่ นเมอื งคนั ธาระ และมคี วามคดิ
ที่จะสร้างพระพุทธรูปขึ้น โดยลักษณะพระพุทธรูปเมื่อแรกสร้างน้ันอนุโลมสร้างตามลักษณะ
มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ ๓๒ ประการในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา ๒ เพอ่ื เปน็ พทุ ธานสุ ตใิ หพ้ ทุ ธศาสนกิ ชน
ได้ระลึกถึงพระองค์ เม่ือแรกสร้างพระพุทธรูปตามมหาบุรุษลักษณะทั้ง ๓๒ ประการน้ัน
ช่างในสมัยโบราณได้เลือกลักษณะเพียงบางประการในการสร้างประติมากรรมรูปเคารพและ
ผสมผสานพุทธอริ ิยาบถตามเหตุการณใ์ นพทุ ธประวตั ิ ไดแ้ ก่ นัง่ ยนื เดิน นอน รวมถงึ การ
สื่อความหมายสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ในพุทธประวัติด้วยการใช้พระหัตถ์ และนิ้วพระหัตถ์
เรยี กวา่ “ปาง หรือมุทรา” ๓
_________________________

๑ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส. พระปฐมสมโพธิกถา (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ไม่ปรากฏปีท่ีพิมพ์)
หนา้ ๔๒๐

๒ กรมศิลปากร. รูปและสญั ลักษณ์แห่งพระศากยพุทธ (กรงุ เทพฯ : บริษัท อมรินทร์พรนิ้ ตง้ิ กรพุ๊ จ�ำกดั , ๒๕๓๒)
หนา้ ๑๒ – ๒๒

๓ ปาง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า (น.) คร้ัง หรือ เม่ือ ดังนั้นเมื่อใช้กับพระพุทธรูป
ซง่ึ เปน็ รปู แทนพระพทุ ธเจา้ จงึ หมายความวา่ พระพทุ ธองคเ์ มอื่ ครง้ั ...หรอื เปน็ พระพทุ ธรปู ทแ่ี สดงประวตั ติ อนใดตอนหนงึ่
ของพระพทุ ธองค์ ขณะทท่ี รงมีสภาวะเป็นมนษุ ย์

มุทรา เป็นภาษาสันสกฤต ความหมายเมื่อใช้กับงานพุทธศิลป์ คือ การแสดงท่วงท่าท่ีพระหัตถ์ ค�ำว่า มุทรา
ยังใช้กับท่านาฏศิลป์ของอินเดียท่ีแสดงความหมายด้วยท่าของมือด้วยการร่ายร�ำ :- ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรีอรุณ.
พระพทุ ธรปู ปางตา่ งๆ ในสยามประเทศ (พมิ พค์ รงั้ ที่ ๓) (กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั มตชิ น จ�ำกดั (มหาชน), ๒๕๔๖) หนา้ ๖ - ๗

6

มุทราของพระพุทธรูปในคตินิยมอนิ เดีย

อนิ เดยี มคี ตนิ ยิ มในการสรา้ งพระพทุ ธรปู ในปางหรอื มทุ ราหลกั แบง่ ออกเปน็ ๗ แบบ
ไดแ้ ก่
๑. ปางมารวิชัย ปางผจญมาร หรือ ภูมิสปรศมุทรา เป็นพระพุทธรูปน่ังขัดสมาธิ
พระหัตถ์ซ้ายหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาควำ่� ลงบนพระชานุ นิว้ พระหัตถช์ ธ้ี รณี
๒. ปางสมาธิ หรือ ธยานมทุ รา เป็นพระพทุ ธรูปนงั่ ขัดสมาธิหงายพระหตั ถ์ทั้งสอง
พระหตั ถ์ขวาซ้อนพระหัตถ์ซ้ายอยู่บนพระเพลา แสดงพระอิริยาบถบำ� เพญ็ สมาธจิ ิต
๓. ปางปฐมเทศนา หรือ ธรรมจักรมุทรา เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิ หรือนั่งห้อย
พระบาท พระหัตถ์ขวายกขึ้น ท�ำน้ิวพระหัตถ์จีบเป็นวงกลม แสดงสัญลักษณ์พระธรรมจักร
พระหตั ถซ์ า้ ยทำ� ทา่ ประคองพระหตั ถข์ วา หมายถงึ การหมนุ ธรรมจกั ร หรอื อาจวางบนพระเพลา
๔. ปางแสดงธรรม หรือ วิตรรกมุทรา เป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิหรือนั่งห้อย
พระบาท พระหัตถ์ขวายกข้ึน ท�ำน้ิวพระหัตถ์กรีดเป็นวงกลม พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบน
พระเพลา ถ้าเป็นพระพุทธรูปยนื พระกรซา้ ยจะวางแนบพระองค์ พระหัตถ์อาจยดึ ชายจวี ร
๕. ปางปรินิพพาน หรือ ปางไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูปนอนตะแคงข้างขวา หลับ
พระเนตร พระเศยี รหนนุ บนเขนย พระหตั ถข์ วารองรบั พระเศยี ร พระกรซา้ ยทอดยาวแนบองค์
พระบาทเหยียดปลายเสมอกันท้งั สองข้าง
๖. ปางประทานอภยั หรอื อภยั มทุ รา เปน็ พระพทุ ธรปู ยนื ยกพระหตั ถป์ อ้ งไปขา้ งหนา้
จะเปน็ ข้างซา้ ย ขา้ งขวา หรอื ท้ังสองข้าง โดยหันฝ่าพระหัตถ์ออกมา แสดงท่าอภยั
๗. ปางประทานพร หรอื วรมุทรา เป็นพระพทุ ธรูปยืนหรอื น่งั ถ้าเปน็ พระพทุ ธรูปยืน
พระหัตถ์ซ้ายจะยกขน้ึ หงายฝา่ พระหัตถอ์ อกแสดงทา่ ใหพ้ ร ถา้ เป็นพระพุทธรูปนง่ั พระหัตถ์
ซา้ ยจะหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาหงายบนพระชานุ แสดงท่าให้พร
นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ปาละ (ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ - ๑๕) ยงั พบวา่ มีความ
นยิ มสรา้ งพระพุทธรปู แปดปาง หรือ อัษฏมหาปาฏหิ าริย์ ประกอบด้วย รปู แสดงเหตุการณ์
มหาปาฏิหารยิ ์แปดประการตามพุทธประวัติ ไดแ้ ก่ ภาพประสตู ิ ภาพตรสั รู้ ภาพปฐมเทศนา
ภาพปรนิ พิ พาน ภาพแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ท์ เี่ มอื งสาวตั ถี ภาพพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส์
ณ เมืองสังกัสสยะ ภาพพระพุทธเจ้าโปรดช้างนาฬาคีรี ภาพพระพุทธเจ้าทรงรับรวงผ้ึงจาก
พระยาวานร
ต่อมาในสมัยหลัง ความนิยมในการสรา้ งพระพทุ ธรูปปางต่างๆ เร่ิมมเี พม่ิ มากขนึ้ โดย
ม่งุ ใหส้ อดคลอ้ งกบั เรื่องราวในพุทธประวตั ิและชาดกนิทานทางพุทธศาสนา
ส�ำหรับประเทศไทย พุทธศาสนาและคติการสร้างรูปเคารพพระพุทธรูปเร่ิมปรากฏ
เมื่อราวสมัยทวารวดี อันเป็นช่วงเวลาหลังเกิดคติการสร้างพระพุทธรูปในอินเดียแล้วเกือบ
๑,๐๐๐ ปี พทุ ธศาสนาดงั กลา่ วเปน็ การรบั ผา่ นศรลี งั กา อนั เปน็ ชว่ งเวลาของการปรากฏรฐั ตา่ งๆ
อาทิ นครศรธี รรมราช หรภิ ุญไชย สโุ ขทัย และลา้ นนา๑
_________________________

๑ Ibid : หนา้ ๑๕

7

มุทราหรือการแสดงปางด้วยพระหัตถข์ องพระพุทธรปู

สมาธิ (ธยานมุทรา) มารวชิ ัย (ผจญมารหรอื ภูมสิ ปรศมทุ รา)

ปฐมเทศนา (ธรรมจักรมุทรา) แสดงธรรม (วติ รรกมทุ รา)

ประทานอภยั (อภัยมุทรา) ประทานพร (วรมทุ รา)

ทา่ น่งั ของพระพุทธรปู

ขดั สมาธริ าบ ขัดสมาธิเพชร น่ังหอ้ ยพระบาท
(วรี าสนะหรือสัตตวปรยงั คะ) (วชั ราสนะหรือวชั รปรยงั คะ) (ปรลัมพปทาสนะ)

8



คติความเช่ือเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปตามหลักฐานที่ปรากฏในประเทศไทย
สนั นษิ ฐานวา่ อาจมาพรอ้ มกบั หลกั พระธรรมคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธศาสนาในแตล่ ะสมยั จนกลาย
เป็นคตคิ วามเชือ่ ท่มี คี วามสัมพนั ธ์ และพัฒนาการรูปแบบการสร้างรูปเคารพในรปู แบบศิลปะ
สมัยต่างๆ ได้แก่
ศลิ ปะทวารวดี (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๖) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู ปางปฐมเทศนา ปาง
สมาธิ ปางมารวชิ ัย ปางมหาปาฏิหารยิ ์ ปางปรินพิ พาน ปางนาคปรก ปางเสดจ็ จากดาวดึงส์
ปางประทานอภัย ปางประทานพร ปางโปรดสตั ว์
ศลิ ปะศรวี ชิ ยั (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๘) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ปางสมาธิ
ปางนาคปรก ปางประทานอภยั ปางเสด็จจากดาวดึงส์ ปางปรินิพพาน
ศลิ ปะลพบรุ ี (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ปางสมาธิ
ปางเสด็จจากดาวดึงส์ ปางประทานอภัย ปางประทานพร ปางโปรดสตั ว์ ปางนาคปรก
ศลิ ปะลา้ นนา (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ – ๒๑) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ปางสมาธิ
ปางอุ้มบาตร ปางประดษิ ฐานรอยพระพุทธบาท ปางประทบั นงั่ หอ้ ยพระบาท ปางลีลา ปาง
เปิดโลก ปางประทบั ยนื ปางถวายเนตร ปางไสยาสน์
ศลิ ปะสโุ ขทยั (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ – ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู
ปางมารวิชยั ปางสมาธิ ปางลีลา ปางประทานอภยั ปางถวายเนตร ปางประทานพร ปาง
ประทบั ยนื ปางไสยาสน์ และยงั มกี ารสรา้ งพระพทุ ธรปู ตามอริ ยิ าบถ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ การนงั่
การนอน การยืน (อาจเป็นการรับคติจากลังกา แสดงถึงการประทับยืนในคันธกุฎี) และ
การเดนิ ตามคตทิ แ่ี ฝงมากบั การสรา้ งพระพทุ ธรปู คอื การแสดงใหเ้ หน็ ถงึ จรยิ วตั รอนั งดงาม
ของพระพทุ ธองค์ ๑
ศลิ ปะอยธุ ยา (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ – ๒๓) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ปางสมาธิ
ปางประทานอภัย ปางปา่ เลไลยก์ ปางลีลา ปางประทับยืน
ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ – ปจั จบุ นั ) นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรปู ปางมาร
วชิ ยั ปางสมาธิ ปางประทานอภยั ปางไสยาสน์ ๒
อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปในท่วงท่าต่างๆ ที่มีการสร้างขึ้นตามคตินิยมของกลุ่ม
วัฒนธรรมสมัยต่างๆ ซ่ึงพบในประเทศไทยอย่างต่อเน่ือง พระพุทธรูปแสดงภูมิสปรศมุทรา
หรือปางมารวิชัย (ปางผจญมาร) เป็นปางที่นิยมสร้างในทุกสมัยและใช้เป็นพระพุทธรูป
ประธานในพทุ ธสถานมากกวา่ พระพทุ ธรปู ปางอนื่ อาจเนอื่ งมาจากความสำ� คญั ของเหตกุ ารณ์
อันเกี่ยวข้องกับปางดังกล่าว ๓ รวมถึงรูปทรงของพระพุทธรูปท่ีมีความสอดคล้อง สมดุล
กับองค์ประกอบอาคารพุทธสถานทีม่ ลี กั ษณะของโถงสูง กอ่ ให้เกิดทศั นยี ภาพท่ีกลมกลนื

______________________

๑ กรมศลิ ปากร. Op;cit. หนา้ ๔๒ – ๕๐
๒ Ibdi: หน้า ๒๓
๓ พระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นปางที่สร้างขึ้นเพ่ือให้รายละเอียดเหตุการณ์ เมื่อพระยามารและพลพรรค คือ
บุคลาธิษฐานของกิเลสรุมเร้าขัดขวางพระโพธิญาณ เจ้าชายสิทธัตถะทรงช้ีดัชนีลงที่พื้นดิน เพื่อเรียกแม่พระธรณี
เป็นพยานว่า ในชาติก่อนๆ อันนับประมาณไม่ได้ พระองค์ได้ส่ังสมบ�ำเพ็ญบารมีเพียงพอท่ีจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ในชาตินี้ แม่พระธรณีจึงได้บีบมวยผมหลั่งน้�ำที่พระพุทธองค์เคยทรงหล่ังเมื่อบ�ำเพ็ญบารมีออกมาไหลท่วมเหล่ามาร
และไพรพ่ ลปลาสนาการไปหมดสิ้น :-ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรีอรุณ. Op;cit. หน้า ๒๑

10



ปางและมุทราแหง่ พระพุทธรูปสมัยรตั นโกสนิ ทร์

อาจกล่าวได้ว่าพัฒนาการของการสร้างพระพุทธรูปในไทยมีความหลากหลาย
อยา่ งมากในชว่ งสมยั รตั นโกสนิ ทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ปจั จบุ นั ) ทงั้ น้ี เปน็ ผลสบื เนอื่ งจากความรงุ่ เรอื ง
ในอดตี ของงานศิลปกรรมไทย ในชว่ งตน้ ของสมัยรตั นโกสนิ ทร์ พุทธลกั ษณะของพระพุทธรูป
เป็นการผสมผสานระหว่างลักษณะทางพุทธศิลปะสุโขทัยและอยุธยาที่ปรากฏในการสร้าง
พระพุทธรูปซ่ึงท�ำให้พุทธลักษณะของพระพุทธรูปในช่วงเวลาดังกล่าวมีพระพักตร์สงบนิ่ง
พระเกตมุ าลาและพระรศั มรี บั พทุ ธลกั ษณะของพระพทุ ธรปู ศลิ ปะสโุ ขทยั และอยธุ ยา แตม่ ขี นาด
ความสงู มากกวา่ พระเกตุมาลาและพระรัศมีทพี่ บในพระพุทธรูปทงั้ สองแบบ ๑
ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระองคท์ รงนำ� คตจิ กั รพรรดริ าชา
มาเพื่อเสริมบารมี จึงมีพระราชนิยมเก่ียวกับการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์
และเป็นส่วนส�ำคัญต่อการท่ีมีพระราชด�ำริสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระอัยกา
(พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช) และพระราชบดิ า (พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ
เลิศหล้านภาลัย) ของพระองค์ เพื่อประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง ท้ังยังมีพระราชประสงค์ในการบ�ำเพ็ญพระราชกุศลเช่นบุรพกษัตริย์
ในสมยั อยุธยาทรงปฏิบตั ิสืบเนอ่ื ง คือ การสรา้ งพระพุทธรปู ถวายเปน็ พทุ ธบชู าในพระศาสนา
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส ทรงคดั
เลือกพทุ ธอิรยิ าบถปางและมุทราต่างๆ ตามท่ปี รากฏในพุทธประวัตริ วม ๔๐ ปาง ๒ อาทิ ปาง
ทุกรกิริยา ปางรับมธุปายาส ปางลอยถาด ปางรบั กำ� หญ้าคา ปางมารวชิ ัย ฯลฯ พระพทุ ธรูป
ท้งั ๔๐ ปางซ่งึ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชิโนรสทรงคัดเลือกน้ี เปน็ ปางที่
ทรงผกู ขน้ึ จากพทุ ธประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระพทุ ธ
รูปหล่อด้วยส�ำริด จ�ำนวน ๓๓ ปาง ส่วนที่เหลือนั้นสร้างเพิ่มเติมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๓ นอกจากน้ีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสยัง
ทรงกลา่ วถึงพระพุทธรปู ในปางหรือมุทราทเ่ี กยี่ วเนือ่ งกบั เหตกุ ารณใ์ นพทุ ธประวัติ ๗ สปั ดาห์
หลงั จากตรัสรทู้ ่ีเรยี กว่า “สตั มหาถาน” หรอื “สตั ตมหาสถาน”
ในจ�ำนวนปางหรือมุทราของพระพุทธรูปท้ัง ๔๐ ปางท่ีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงคัดเลือกเพ่ือช่างสร้างเป็นพระพุทธรูปนั้น ยังมีพระพุทธรูป
อีกประเภทหนึง่ คือ พระพุทธรปู ประจ�ำวนั เกิด ซึง่ ลักษณะปางอยใู่ นกลุม่ เดยี วกับพระพทุ ธรปู
ทก่ี ล่าวมาแลว้ อาทิ วนั อาทติ ย์ ปางถวายเนตร วันจนั ทร์ ปางห้ามสมุทร ๔ เปน็ ตน้

_____________________

๑ กรมศิลปากร. Op.,cit. หน้า ๕๑
๒ กองหอสมุดแห่งชาติ. ตำ� ราพระพุทธรปู ว่าดว้ ย ภาพพระรปู ปางตา่ งๆ เลขที่ ๕๐ มัดที่ ๗ ตู้ ๑๑๗ ช้นั ๔/๑
(เอกสารตวั เขยี น คดั ลอก โดย นางสาวพิมพพ์ รรณ ไพบูลย์หวังเจรญิ )
๓ หลวงบรบิ าลบุรภี ณั ฑ์. พระพุทธรูปปางตา่ งๆ (ไม่ปรากฏสถานทพ่ี ิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๐๐) หนา้ ๑๓๑
๔ กองหอสมดุ แห่งชาต.ิ Op;cit. ไมม่ เี ลขหนา้ , หลวงบรบิ าลบรุ ีภัณฑ.์ Ibid. หน้า ๑๓๓ และศาสตราจารย์ ไขศรี.
Op.,cit. หนา้ ๖๙ - ๗๐

12

พระพุทธรูปท่ีสร้างข้ึนเพ่ือถวายเป็นพุทธบูชาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ดงั กลา่ วเปน็ แบบอยา่ งของพทุ ธศลิ ปะอนั เปน็ แบบแผนของสกลุ ชา่ งกรงุ เทพฯ ทส่ี ำ� คญั ๑
ปัจจุบันพระพุทธรูปดังกล่าวประดิษฐานในหอราชกรมานุสรณ์ และหอราชพงศานุสรณ์ทาง
ดา้ นตะวนั ตกของพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชนิยมที่ต่างไป
จากรชั กาลกอ่ น พระพทุ ธรปู แนวสจั นยิ มทสี่ อดคลอ้ งกบั รปู แบบศลิ ปะรว่ มสมยั เนน้ ความสมจรงิ
ในพุทธลักษณะ เป็นพระราชนิยมที่ทรงโปรด เช่น พระนิรันตราย และพระพุทธรูปที่มี
พทุ ธลกั ษณะดงั กลา่ วไดม้ กี ารสรา้ งอยา่ งตอ่ เนอื่ งในรชั สมยั ของพระองค์ ท�ำใหข้ นบแหง่ ความงาม
ในพุทธลักษณะเชิงอุดมคติในแบบประเพณีนิยมเร่ิมคลายความส�ำคัญไปในช่วงระยะหน่ึง
อย่างไรก็ตาม พระพุทธรูปในพระพุทธลักษณะเชิงอุดมคติยังคงแนบแน่นอยู่ในจิตใจของ
พุทธศาสนิกชน ดังน้ัน จึงพบว่าพระพุทธรูปส่วนหนึ่งท่ีสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังคงพุทธลักษณะเชิงอุดมคติแบบประเพณีนิยม อาทิ พระอุษณีษะ
ทโ่ี ปง่ นูนบนพระเศียรต่อเนือ่ งขน้ึ ไปอยา่ งเป็นระเบยี บ จวี รเรียบบางแนบพระวรกาย๒ ฯลฯ
พระพุทธรูปในปางหรือมุทราดังกล่าวได้มีการปรับเปลี่ยนและเพ่ิมเติมตามสาระ
ของพุทธประวัติทปี่ รากฏเหตุการณต์ า่ งๆ อาจกล่าวได้ว่าการสร้างพระพุทธรปู ๔๐ ปางตาม
พระราชดำ� รใิ นพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ จำ� นวนปางของพระพทุ ธรปู มากทส่ี ดุ
ในอดตี ก่อนที่จะคลี่คลายมาเปน็ ปางต่างๆ เพ่มิ ขึ้นในรัชกาลปจั จบุ ัน ประมาณ ๗๐ ปาง๓

_____________________

๑ กองหอสมดุ แห่งชาติ. Ibid. ไม่มเี ลขหนา้
๒ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรอี รณุ . Op.,cit. หนา้ ๑๓
๓ ลักษณะการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ โดยสร้างตามเหตุการณ์ในพุทธประวัติ อาจแยกย่อยแตกต่างกันตั้งแต่
๔๐ ปาง ๕๕ ปาง ๕๖ ปาง ๖๖ ปาง ๗๑ ปางและ ๙๐ ปางซึ่งสามารถดูเพ่ิมเตมิ ในภาคผนวก ข. Ibid. หน้า ๖๐ – ๖๘

13

ปางที่ ๑ ปางประสตู ิ

พระอริ ยิ าบถประทบั ยนื บนฐานบวั เบอื้ งหลงั พระเศยี รมปี ระภามณฑล พระหตั ถ์
แนบองค์ เบ้อื งหลังเป็นพระนางสริ มิ หามายา (พระพุทธมารดา) ประทับยนื ทรงเหน่ียว
ก่ิงต้นรงั รายรอบดว้ ยพระอนิ ทร์ พระพรหม หมูเ่ ทวดาและขา้ ราชบรพิ ารซง่ึ ตามเสดจ็
ในบางครง้ั ปางประสตู ิ อาจทำ� เพยี งรปู พระนางสริ มิ หามายาประทบั ยนื พระหตั ถ์
ทรงเหน่ียวก่ิงไม้
พทุ ธประวตั กิ ลา่ วถงึ เมอ่ื พระนางสริ มิ หามายา (พระพทุ ธมารดา) ทรงพระครรภ์
ใกลจ้ ะมีพระประสูติกาลน้ัน เสด็จพระราชด�ำเนินไปยังนครเทวทหะ อันเป็นปิตุคาม
แห่งพระองค์ ในระหว่างเส้นทางเสด็จพระราชด�ำเนินกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะ
พระนางสิริมหามายาทรงประชวรพระครรภ์ ทรงเหนี่ยวกิ่งต้นรังด้วยพระหัตถ์ขวา
มีพระประสูติกาลพระโพธิสัตว์กุมาร ในมหามงคลดิถีวิสาขะนักขัตฤกษ์ เพ็ญเดือน ๖
ขน้ึ ๑๕ คำ่� กอ่ นพทุ ธศกั ราช ๘๐ ปี

14

ปางท่ี ๒ ปางมหาภิเนษกรมณ์

ปางมหาภเิ นษกรมณ์ หรอื ปางอธษิ ฐานเพศบรรพชติ มกี ารทำ� เปน็ ประตมิ ากรรม

รปู เคารพ ๒ ลักษณะ

ลักษณะท่ี ๑ พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายหงายบน

พระเพลา พระหตั ถ์ขวายกขึน้ ตง้ั ฝา่ พระหัตถ์ตรงพระอุระ

ลักษณะที่ ๒ พระอริ ยิ าบถประทบั บนหลังอศั วราช ช่อื กณั ฐกะ มนี ายฉนั นะ

ลักษณะท่ี ๑ มหาดเล็กตามเสด็จ
เมอ่ื พระสทิ ธตั ถะตดั สนิ พระทยั เสดจ็ ออกบรรพชา เสดจ็ ออกจากเมอื งกบลิ พสั ด์ุ

โดยทรงมา้ กณั ฐกะ มนี ายฉนั นะตามเสดจ็ เมอื่ ถงึ ฝง่ั แมน่ ำ�้ อโนมา๑จงึ ทรงเปลอ้ื งเครอื่ งทรง

ขตั ตยิ ราชทั้งหมดพระราชทานแกน่ ายฉันนะและทรงตัดพระเมาลี

พทุ ธประวตั ติ อนน้ี โดยทว่ั ไปนยิ มเขยี นเปน็ ภาพ หรอื ปน้ั หรอื สลกั เปน็ พระสทิ ธตั ถะ

ทรงตัดพระเมาลรี ิมฝ่ังแม่นำ้� อโนมา

ลักษณะท่ี ๒ พระพุทธรปู ปางน้ี เป็นพระพทุ ธรูปประจ�ำปีนกั ษตั ร ปีเถาะ ๒

____________________

๑ แมน่ �ำ้ อโนมาอยู่ในสกั กชนบทหรอื แควน้ สักกะ ในชมพทู วีป ชอ่ื แคว้นตง้ั ตามภูมิประเทศซึ่งมีไม้สักกะมาก :- สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
วชริ ญาณวโรรส. พุทธประวัติ เล่ม ๑ (พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๕๑) (กรุงเทพฯ : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔) หน้า ๘

๒ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรอี รุณ. Op.,cit. หนา้ ๕๘

15

16

ปางที่ ๓ ปางตดั พระเมาลี

พระอิริยาบถประทับน่ังบนพระแท่น พระหัตถ์ซ้ายทรงรวบ
พระเมาลี พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี มีนายฉันนะและ
มา้ กณั ฐกะอย่ดู า้ นหนง่ึ อีกดา้ นหนง่ึ มพี ระอนิ ทร์ พระพรหม (พระฆฏกิ า
พรหม) และหมูเ่ ทวดาถือบาตร ผ้าทรงและพานรองรบั พระเมาลี
พทุ ธประวตั กิ ลา่ วถงึ เมอ่ื พระสทิ ธตั ถะตดั สนิ พระทยั เสดจ็ ออก
บรรพชาขณะเสด็จออกจากกรงุ กบลิ พัสดุ์ มารไดอ้ อกมาห้ามมิใหเ้ สด็จ
ออกจากเมือง แต่ด้วยมีพระทัยแน่วแน่ มารจึงปลาสนาการ หลัง
จากนน้ั พระองคจ์ งึ เสดจ็ จากกรงุ กบลิ พสั ด์ุ ผา่ นเมอื งสาวตั ถแี ละเวสาลี
บรรลุฝั่งแม่น�้ำอโนมา ทรงเปล้ืองเครื่องทรงขัตติยราช พระราชทาน
นายฉันนะน�ำกลับกรุงกบิลพัสดุ์พร้อมด้วยม้ากัณฐกะ จากน้ันทรงตัด
พระเมาลีด้วยพระขรรค์อธิษฐานเพศเปน็ บรรพชิต

17

ปางที่ ๔ ปางปจั จเวกขณ์



พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายทรงประคองบาตรท่ีวาง
อยู่ที่พระเพลา พระหตั ถข์ วายกขึ้นป้องเสมอพระอุระ
พระสิทธัตถะเม่ือครองเพศบรรพชิตทรงพิจารณาอาหารที่ทรงบิณฑบาต
ในบาตรแล้วเสวยภัตตาหารนั้น นับเป็นการเสวยภัตตาหารคร้ังแรกนับต้ังแต่บรรพชา
ได้ ๘ วนั ภตั ตาหารนน้ั ทรงบณิ ฑบาตจากกรงุ ราชคฤห์ ซง่ึ มพี ระเจา้ พมิ พสิ ารเปน็ กษตั รยิ ์
ปกครองเมอื ง
พระพุทธรปู ปางนี้ เป็นพระพทุ ธรูปประจ�ำปีนักษตั ร ปีเถาะ๑

____________________________________

๑ Ibid.,หนา้ ๑๘

18

ปางท่ี ๕ ปางทุกรกิรยิ า

ลกั ษณะท่ี ๑ ปางทุกรกิรยิ า หรือปางบำ� เพ็ญทกุ รกริ ิยา มีการทำ� เป็นประติมากรรมรปู เคารพ
ลักษณะท่ี ๒ ๒ ลักษณะ
ลกั ษณะท่ี ๑ พระอริ ิยาบถประทับนง่ั ขดั สมาธริ าบ พระหัตถ์สองข้างประสาน
พระอุระ
ลกั ษณะท่ี ๒ พระอิรยิ าบถประทบั นงั่ ขดั สมาธริ าบ พระหตั ถ์ท้ังสองซอ้ นกันบน
พระเพลา พระหัตถ์ขวาทบั พระหัตถซ์ ้าย พระวรกายซูบผอมจนพระอัฐิ พระนหารู (เอ็น)
ปรากฏชัด ลกั ษณะพุทธศิลปะในแบบดงั กล่าวเปน็ แบบตะวันตก
เมอื่ พระสทิ ธตั ถะครองเพศบรรพชติ ทรงแสวงหาวถิ ที างเพอื่ ตรสั รพู้ ระโพธญิ าณ
เสด็จถึงป่าอุรุเวลาริมแม่น�้ำเนรัญชรา ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ประทับบ�ำเพ็ญ
ทุกรกิริยากระท�ำสมาธิโดยมีหมู่ปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ
มหานามะ และอสั สชิ เปน็ อปุ ฐาก
พระสทิ ธตั ถะทรงบำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ าอยา่ งเครง่ ครดั เปน็ เวลา ๖ ปี จนพระวรกาย
ซบู ผอมแตย่ ังไม่ทรงบรรลพุ ระโพธิญาณแต่อยา่ งใด

19

ปางท่ี ๖ ปางทรงพระสุบิน (ปางสุบิน)


พระอิริยาบถบรรทมตะแคงขวา (สีหไสยา)
พระเศยี รหนนุ พระเขนย พระกรซา้ ยทอดยาวแนบพระวรกาย
พระหัตถข์ วาหนุนทพี่ ระกรรณ
เม่ือพระสิทธัตถะทรงด�ำริจะเลิกอดภัตตาหาร
พระปฐมสมโพธกิ ถา กลา่ วถงึ ในพทุ ธประวตั ติ อนนวี้ า่ ครง้ั นนั้

พระอนิ ทรท์ รงพณิ สามสายถวายพระสทิ ธตั ถะ สายหนงึ่ ตงึ เกนิ ไปจงึ ขาด อกี สายหนงึ่ หยอ่ นเกนิ ไป เมอ่ื ดดี จงึ ไมม่ เี สยี งกงั วาน
สว่ นสายทขี่ งึ ตงึ พอดี มเี สยี งทไ่ี พเราะ จงึ ทรงระลกึ ถงึ วถิ แี หง่ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา (ทางสายกลาง) อนั จะนำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็
นอกจากน้ี ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระสิทธัตถะทรงสุบินเป็นนิมิตมงคล ๕ ประการ อันเป็นสัญลักษณ์
ปริศนาธรรม หมายถึง จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะทรงเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปสู่สรรพสัตว์ให้
ข้ามพ้นทกุ ข์ ได้แก่
๑. พระมหาบรุ ุษเจา้ จะไดต้ รสั รเู้ ป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ เป็นผู้เลิศในโลกทงั้ สาม
๒. พระมหาบรุ ษุ จะไดท้ รงประกาศสจั ธรรม เผยมรรคผล นพิ พานแก่เทพยดาและมวลมนุษย์
๓. คฤหสั ถ์ พราหมณท์ ้งั หลาย จะเขา้ มาสสู่ �ำนักของพระองคเ์ ป็นอันมาก
๔. ชาวโลกทัง้ หลาย คอื กษัตรยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เม่ือสู่ส�ำนักพระองค์แล้ว จะรูท้ ั่วถึงธรรมอันบริสุทธิ์
หมดจดผอ่ งใสทง้ั สน้ิ
๕. ถงึ แมพ้ ระองคจ์ ะสมบรู ณด์ ว้ ยสกั การะวรามสิ ทชี่ าวโลกทกุ ทศิ นอ้ มถวายดว้ ยความเลอื่ มใส กม็ ไิ ดม้ พี ระทยั
ข้องอยใู่ หเ้ ป็นมลทนิ แม้แต่น้อย๑
พระพทุ ธรูปปางน้ี เป็นพระพุทธรปู ประจำ� ปนี กั ษตั ร ปรี ะกา๒
______________________

๑ พิทูร มลวิ ัลย์ และไสว มาลาทอง. Op.,cit. ห นา้ ๕ ๕
๒ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรอี รุณ. Loc., cit.

20

21

ปางท่ี ๗ ปางรบั มธุปายาส ปางรบั มธปุ ายาส มกี ารทำ� เปน็ ประตมิ ากรรมรปู เคารพ ๒ ลกั ษณะ
ลกั ษณะท่ี ๑ พระอริ ยิ าบถประทบั นงั่ หอ้ ยพระบาท หงายพระหตั ถ์
ท้ังสองวางบนพระชานุ
ลกั ษณะท่ี ๒ พระอริ ยิ าบถประทบั นงั่ ขดั สามาธริ าบ หงายพระหตั ถ์
ลักษณะที่ ๑ ลกั ษณะท่ี ๒ ทั้งสองวางบนพระชานุ แสดงพระอิริยาบถรับถาดมธปุ ายาส
____________________ ภายหลงั จากพระสทิ ธตั ถะทรงเลกิ บำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ในเชา้ วนั เพญ็
วสิ าขะ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๖ นางสชุ าดาบตุ รขี องเสนาคหบดแี หง่ บา้ นเสนานคิ ม
๑ Ibid. เมอื งอรุ เุ วลา หงุ ขา้ วมธปุ ายาส (ขา้ วสกุ หงุ ดว้ ยนำ้� นมโค) จดั ลงในถาดทองคำ�
เพอ่ื นำ� ไปบวงสรวงเทวดาทตี่ น้ นโิ ครธพฤกษ์ (ตน้ ไทร) ครนั้ เหน็ พระโพธสิ ตั ว์
ประทบั อยบู่ งั เกิดจติ ศรทั ธาจึงถวายขา้ วมธุปายาสถาดนั้นแก่พระโพธสิ ัตว์
พระพุทธรปู ปางนี้ เป็นพระพุทธรูปประจ�ำปีนักษตั ร ปีระกา๑

22

ปางท่ี ๘ ปางเสวยมธปุ ายาส

พระอริ ยิ าบถพระทบั นง่ั ขดั สมาธริ าบ พระหตั ถซ์ า้ ยทรงประคองถาดขา้ วมธปุ ายาส
พระหัตถ์ขวาวางบนปากถาด แสดงพระอิริยาบถทรงหยิบปั้นข้าวมธุปายาสเสวย
เมอ่ื พระโพธสิ ตั วท์ รงรบั ขา้ วมธปุ ายาสจากนางสชุ าดาแลว้ พระองคท์ รงถอื ถาด
ขา้ วมธปุ ายาสเสดจ็ สูแ่ ม่น้�ำเนรัญชรา ทรงแบง่ ขา้ วมธุปายาสเป็น ๔๙ สว่ น แล้วปน้ั เป็น
กอ้ น ๔๙ กอ้ นและเสวยขา้ วนัน้ จนหมด
พระพทุ ธรูปปางน้ี เปน็ พระพทุ ธรปู ประจำ� ปนี กั ษัตร ปรี ะกา๑

__________________________

๑ Ibid.

23

ปางที่ ๙ ปางลอยถาด

พระอริ ยิ าบถประทบั นั่งคกุ พระชานุ (เขา่ ) ทั้งสอง พระหตั ถซ์ า้ ยวางทีพ่ ระเพลา
ขา้ งซา้ ยเปน็ อาการค้�ำพระวรกายให้ตงั้ มน่ั ทอดพระเนตรลงต�่ำ พระหตั ถ์ขวาปลอ่ ยถาด
ลอยนำ้�
หลังจากที่พระโพธิสัตว์เสวยข้าวมธุปายาสแล้ว ณ บริเวณใต้ต้นโพธิ์ ริมฝั่ง
แม่น้�ำเนรัญชรา ทรงอธิษฐานว่าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอใหถ้ าดทองคำ� นน้ั ลอยทวนกระแสนำ�้ ปรากฏวา่ ถาดทองคำ� ลอยทวนกระแสนำ�้ ไปไกล
ประมาณ ๘๐ ศอกจงึ จมส่พู ิภพพระยากาฬนาคราช๑

____________________________________

๑ Ibid., หนา้ ๒๐

24

25

___________________ ปางที่ ๑๐ ปางทรงรับหญ้าคา

๑ Ibid. หนา้ ๒๖ พระอิริยาบถยืน พระกรซ้ายทอดยาวข้างพระวรกาย
พระหัตถ์ขวาหงายยื่นออกมาข้างหน้า แสดงพระอิริยาบถรับหญ้า
ในบางครั้งอาจมีรูปพราหมณ์ถวายหญ้าคา หรือไม่มีรูปพราหมณ์
ดงั กลา่ วแตม่ ีหญา้ คาอยทู่ พี่ ระหตั ถ์๑
ในเวลาเย็นพระโพธิสัตว์เสด็จกลับไปประทับใต้ต้นโพธิ์
ทรงรับหญ้าคาท่ีพราหมณ์โสตถิยะถวาย ทรงใช้หญ้าคารองเป็น
ท่ปี ระทบั ใตต้ น้ อสตั ถพฤกษ์ หรอื ต้นโพธิ์ตรัสรู้

26

27

ปางที่ ๑๑ ปางสมาธิ

พระอิริยบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ท้ังสองวางหงายซ้อนกันบน
พระเพลา พระหัตถ์ขวาวางบนพระหัตถ์ซ้าย

ปางสมาธิ ในบางคร้ังมีกล่าวถึงเป็นปางตรัสรู้๑ ซ่ึงอ้างอิงถึงเหตุการณ์ใน
พทุ ธประวตั ติ า่ งกนั กลา่ วคอื ปางสมาธิ เปน็ เหตกุ ารณเ์ มอ่ื พระโพธสิ ตั วป์ ระทบั บำ� เพญ็ สมาธิ
บนอาสนะหญา้ คาใตต้ น้ โพธิ์ ณ รมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ เนรญั ชรา สว่ น ปางตรสั รู้ กลา่ วถงึ เหตกุ ารณ์
ขณะทรงบ�ำเพ็ญสมาธิใต้ต้นโพธิ์ และพระยาวัสวดีมารและพลพรรคมาท�ำลายขัดขวาง
การบำ� เพญ็ สมาธิ แตต่ อ้ งพา่ ยตอ่ กระแสนำ�้ จากมวยผมของพระแมธ่ รณี หลงั จากมารพา่ ยและ

ปลาสนาการไปจนหมดสน้ิ แลว้ พระโพธสิ ตั วท์ รงเจรญิ สมาธใิ นปฐมยาม มชั ฌมิ ยาม และปจั ฉมิ ยาม โดยทรงบรรลญุ าณ
ไดแ้ ก่ ความระลกึ ชาตขิ องตนและคนอนื่ ไดค้ วามรเู้ รอื่ งเกดิ เรอื่ งตายของตนและของคนอนื่ การรจู้ กั ทำ� อาสวกเิ ลส
ใหส้ น้ิ ไปดว้ ยรสู้ จั ธรรมทงั้ ๔ คอื ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค อนั หมายถงึ ทรงบรรลอุ นตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ ตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ ณ ใตต้ น้ อสตั ถพฤกษ์ รมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ เนรญั ชรา ตำ� บลอรุ เุ วลาเสนานคิ ม แควน้ มคธ๒ เมอ่ื กอ่ นพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี
พระพทุ ธรูปปางนน้ี ิยมสร้างเปน็ พระประธานในพุทธสถาน นอกจากน้ยี ังเปน็ พระพุทธรูปประจ�ำวนั พฤหัสบดี๓

_____________________ 28

๑ หลวงบริบาลบรุ ีภณั ฑ.์ Op.,cit. หนา้ ๑๓๑ - ๑๓๒
๒ พระพมิ ลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ). Op.,cit. หนา้ ๔๓
๓ กองหอสมดุ แห่งชาต.ิ Op.,cit. ไมป่ รากฏเลขหน้า

ปางท่ี ๑๒ ปางมารวิชัย

พระอริ ยิ าบถประทบั นง่ั ขดั สมาธริ าบ พระหตั ถซ์ า้ ยวางหงายบนพระเพลา พระหตั ถ์
ขวาวางควำ่� ทพ่ี ระชานุ น้วิ พระหตั ถ์ชี้พระธรณี ในบางคร้ังส่วนฐานพระพทุ ธรูปอาจตกแต่ง
ดว้ ยประตมิ ากรรมนนู ตำ่� หรอื นนู สงู รปู พระยามารพรอ้ มพลพรรคและพระแมธ่ รณบี บี มวยผม
พระยาวัสวดีมาร ทรงช้างคีรเี มขล์ พร้อมพลพรรค คอื บคุ ลาธษิ ฐานของกเิ ลส
ท่รี ุมเร้าขดั ขวางพระโพธญิ าณ พระโพธสิ ตั ว์มไิ ด้ทรงหวน่ั ไหวพระทยั ทรงชี้ดัชนลี งที่พ้ืนดนิ
เพอื่ เรยี กแมพ่ ระธรณเี ปน็ พยานวา่ ในอดตี ชาตอิ นั นบั ประมาณมไิ ด้ พระองคไ์ ดส้ ง่ั สมบำ� เพญ็
พระบารมมี ากเพยี งพอทจ่ี ะตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ในชาตปิ จั จบุ นั แมพ่ ระธรณจี งึ สำ� แดงรา่ ง
บบี มวยผมหล่ังน�้ำทีพ่ ระโพธสิ ัตวเ์ คยหลัง่ เมอ่ื บ�ำเพญ็ พระบารมีในอดตี ชาติ กลายเป็นกระแสน้�ำไหลท่วมเหล่ามารและ
ไพร่พลปลาสนาการไป
พระพุทธรูปปางนี้ นิยมท�ำเป็นพระพุทธรูปประธานในพุทธสถาน และเป็นพระพุทธรูปประจ�ำเดือน ๖๑
_____________________

๑ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรีอรณุ . Op.,cit. หน้า ๒๑

29



ปางท่ี ๑๓ ปางถวายเนตร

พระอิริยาบถประทับยืน พระหัตถ์ท้ังสองประสานกันอยู่ท่ี
หนา้ พระเพลา ลมื พระเนตร
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
และประทับเสวยธรรมปิติ ณ ใต้ต้นมหาโพธ์ิ ครบ ๑ สัปดาห์
คร้ันถึงสัปดาห์ที่ ๒ พระพุทธเจ้าประทับยืนทางทิศตะวันออก
เฉียงเหนือของต้นมหาโพธ์ิ ทรงลืมพระเนตรโดยไม่กระพริบ
พระเนตร บูชามหาโพธ์ิที่พระพุทธองค์ประทับตรัสรู้ตลอด
สปั ดาห์ท่ี ๒ สถานทด่ี ังกลา่ วเรยี กวา่ อนิมิสเจดีย์ ๑
พระพทุ ธรูปปางนี้ เป็นพระพุทธรูปประจำ� วันอาทิตย์ ๒
____________________________

๑ พระพมิ ลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ). Op.,cit. หน้า ๔๕
๒ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรอี รุณ. Op.,cit. หนา้ ๒๒

31

ปางท่ี ๑๔ ปางจงกรมแกว้

พระอิริยาบถประทับยืนด้วยพระบาทขวา ยกส้นพระบาท
ซ้าย เป็นพระอริ ยิ าบถด�ำเนนิ จงกรม ๑ พระหตั ถท์ ้งั สองประสานกัน
ที่หน้าพระเพลา พระเนตรทอดยาวลงต�่ำ
ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงหย่ังรู้ใน
ข้อกังขาของเทพยดาบางจำ� พวกว่า พระพทุ ธองค์ตรสั รู้จรงิ แท้หรือ
ไม่ พระพุทธเจ้าจึงทรงหยุดพระด�ำเนินระหว่างต้นนิโครธพฤกษ์
กับอนิมิสเจดีย์ ทรงกระท�ำปาฏิหาริย์เนรมิตรัตนจงกรมในอากาศ
ทางทิศเหนือแห่งพระมหาโพธิ์ และเสด็จพุทธด�ำเนินจงกรม ณ
ทด่ี งั กลา่ วเปน็ เวลา ๑ สัปดาห์ สถานท่ีดังกล่าว เรียกว่า รตั นจงกรม
เจดยี ์ ๒

______________________

๑ การเดินจงกรม แสดงถึง การเดินอยา่ งส�ำรวมมสี ติก�ำกับทุกย่างกา้ ว ดวงตาทอดยาวลงต่�ำ :- ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรอี รณุ . Ibid.
๒ พระพิมลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ). Op.,cit. หนา้ ๔๙

32

ปางท่ี ๑๕ ปางเรือนแกว้

พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบในซุ้มเรือนแก้ว พระหัตถ์ซ้ายวางหงาย
บนพระเพลา พระหตั ถ์ขวาวางควำ่� บนพระชานุ นิว้ พระหัตถ์ชพี้ ระธรณี
ในสัปดาห์ท่ี ๔ หลังตรัสรู้พระพุทธองค์เสด็จจากรัตนจงกรมเจดีย์ไปประทับ
ในเรอื นแกว้ (รตั นคฤห) ทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือ ซึง่ เทพยดาเนรมิตถวาย เพือ่ ทรง
พิจารณาพุทธธรรมในก�ำหนด ๗ วันจนบังเกิดเป็นประภาวลี๑ สถานท่ีดังกล่าวจึงมี
ช่อื ว่า รตั นฆรเจดยี ์
พระพทุ ธรปู ปางนี้ เป็นพระพุทธรูปประจำ� เดือน ๗ ๒

___________________________

๑ ประภาวลี หมายถงึ รัศมที ีแ่ ผอ่ อกจากกายส�ำหรับบคุ คลมบี ญุ ญาธกิ าร หรือพระพทุ ธรปู
๒ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรีอรุณ. Loc., cit.

33

ปางท่ี ๑๖ ปางนาคปรก

พระอริ ยิ าบถประทบั นง่ั ขดั สมาธริ าบ หงายพระหตั ถท์ งั้ สองวางบนพระเพลา
มีพระยานาคแผ่พังพานเหนือพระเศียร ขดนาคท�ำเป็นพุทธบัลลังก์ ๑ บางครั้งมีต้น
มจุ ลนิ ทพฤกษ์หรือต้นจกิ ประกอบอยู่
ในสปั ดาหท์ ่ี ๖ หลงั ตรสั รู้ พระพทุ ธองคจ์ งึ เสดจ็ ไปประทบั บำ� เพญ็ สมาธิ ณ ใตต้ น้
มุจลินทพฤกษ์หรือต้นจิก ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของต้นมหาโพธ์ิ คราวนั้นเกิดอากาศ
วปิ รติ ฝนตกทว่ มทน้ พระยานาคมจุ ลนิ ทอ์ าศยั ในสระมจุ ลนิ ทจ์ งึ ขนึ้ จากสระแผพ่ งั พาน
ปอ้ งกันพระพทุ ธองค์จากอากาศวิปริตนนั้
พระพุทธรูปปางน้ี เป็นพระพทุ ธรปู ประจ�ำวันเสาร๒์

______________________

๑ พระพุทธรูปปางนาคปรก โดยท่ัวไปพระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิ แต่พระพุทธรูปนาคปรกบางองค์ ประทับ
นัง่ ขัดสามาธิราบ พระหตั ถแ์ สดงปางมารวิชยั เช่น พระพทุ ธรูปนาคปรกสำ� รดิ จดั แสดงในห้องศิลปะศรีวชิ ัย อาคารมหาสรุ สิงหนาท พิพธิ ภัณฑสถาน
แหง่ ชาติ พระนคร :- กรมศลิ ปากร. โบราณวตั ถทุ เี่ ป็นสมบัติชิ้นส�ำคัญของชาติ (กรงุ เทพฯ : บริษทั อมรนิ ทรพ์ ริ้นต้ิงแอนดพ์ ับลิชชิ่ง จำ� กัด (มหาชน),
๒๕๔๗) หน้า ๖๘

๒ Ibid.

34

ปางท่ี ๑๗ ปางฉันสมอ

พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา
พระหัตถข์ วาวางบนพระชานทุ รงถอื ผลสมอ
สปั ดาหท์ ่ี ๗ หลงั ตรสั รู้ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปประทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ใตร้ ม่ ไมร้ าชายตน
พฤกษ์ (ต้นเกด) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ นับเป็นระยะเวลาแห่งการเสวย
ธรรมปิติหลงั ตรัสรเู้ ป็นเวลา ๔๙ วนั ดว้ ยมไิ ด้เสวยพระกระยาหารใด พระอนิ ทร์จงึ
ถวายผลสมออันเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกแก่พระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงทรงรับ
ทิพยโอสถน้นั ๑

________________________

๑ พระพมิ ลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ). Op.,cit. หนา้ ๕๙ ; ในบางตำ� ราระบุว่าสิ่งของท่พี ระอนิ ทรถ์ วายแด่พระพุทธองค์ ไดแ้ ก่ ผลสมอและ
ไม้สีพระทนต์

35

ปางที่ ๑๘ ปางประสานบาตร


พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตรซ่ึงวางบน
พระเพลา ยกพระหตั ถข์ วาขนึ้ วางปดิ ปากบาตร แสดงพระอริ ยิ าบถอธษิ ฐานประสานบาตร
หลังเสวยธรรมปติ ติ ลอด ๔๙ วัน ตปุสสะ และ ภลั ลกิ ะ พอ่ คา้ สองพ่ีนอ้ งซ่งึ
เดนิ ทางจากอกุ กลชนบท ผา่ นตำ� บลอรุ เุ วลาอนั เปน็ บรเิ วณทพี่ ระพทุ ธองคป์ ระทบั เมอื่ พอ่ คา้
ทงั้ สองเขา้ เฝา้ พระพทุ ธองค์ บงั เกดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธาจงึ ถวายขา้ วมธมุ นั ถะ (ขา้ วกวนนำ้� ผง้ึ
หรอื ขา้ วคลกุ นำ�้ ผงึ้ )๑ ซง่ึ เปน็ เสบยี งในการเดนิ ทาง ในครง้ั นนั้ พระพทุ ธองคไ์ มม่ บี าตรทจ่ี ะรบั
บิณฑบาต ครง้ั น้ัน ท้าวจตุโลกบาล ไดแ้ ก่ ท้าวธตรฐ ท้าวิรฬุ หก ท้าววริ ูปกั ษ์และทา้ ว
กเุ วร หย่ังรู้ถึงพระปรวิ ิตกจึงน�ำบาตรศลิ ามาถวาย รวม ๔ ใบ พระพุทธองค์จึงทรงรบั
บาตรทง้ั หมดและอธษิ ฐานผสานบาตรทงั้ หมดรวมเขา้ เปน็ บาตรใบเดยี ว เพอื่ รกั ษาศรทั ธา
ปสาทะของท้าวจตุโลกบาล๒

________________________

๑ พระรัตนปัญญาเถระ (รจนา), ศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวทิ ูร (แปล). ชนิ กาลมาลีปกรณ์ (พิมพ์คร้ังท่ี ๒) (กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐) หนา้ ๒๐๑

๒ ด้วยเหตดุ งั กลา่ ว บาตรพระจึงท�ำเปน็ ๔ เสย้ี วต่อกนั :-หลวงบรบิ าลบรุ ภี ณั ฑ์. Op.,cit. หนา้ ๓๗

36

ปางท่ี ๑๙ ปางรับสัตตกู ้อนสตั ตผู ง

พระอิริยาบถประทบั นั่งขดั สมาธริ าบ พระหัตถ์ท้งั สองประคองบาตรซ่ึงวางอยู่
บนพระเพลา ทอดพระเนตรลงต�ำ่ แสดงพระอิริยาบถรบั สตั ตูก้อน สตั ตผู งดว้ ยบาตร
เม่ือพระพุทธองค์ทรงประสานบาตรทั้งสี่ของท้าวจตุโลกบาลรวมเป็นบาตร
ใบเดยี วแลว้ จงึ ทรงรบั การถวายสตั ตกู อ้ น สตั ตผู งจากพอ่ คา้ สองพน่ี อ้ ง คอื ตปสุ สะ และ
ภัลลกิ ะ๑
____________________________

๑ พระพมิ ลธรรม (ชอบ อนุจารมี หาเถระ). Op.,cit. หน้า ๖๕

37

ปางท่ี ๒๐ ปางพระเกศธาตุ

พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา
พระหัตถ์ขวายกขึ้นแสดงพระอริ ิยาบถลบู พระเกศา
เมื่อพระพุทธองค์เสวยภัตตาหารท่ีตปุสสะและภัลลิกะถวายแล้ว ทั้งสองคน
ได้ทูลปวารณาตนเป็นอุบาสกในพุทธศาสนา และทูลขอสิ่งอันเป็นเครื่องสักการบูชาถึง
พระพทุ ธองค์ จึงทรงยกพระหตั ถ์ขวาลบู พระเกศา ไดพ้ ระเกศาธาตุ ๘ องค์ ประทานแก่
พ่อค้าทง้ั สอง

38

ปางท่ี ๒๑ ปางร�ำพงึ

พระอริ ยิ าบถประทบั ยนื พระหตั ถท์ ง้ั สองยกขน้ึ ประทบั ทพี่ ระ
อุระ พระหัตถข์ วาทับพระหตั ถ์ซ้าย แสดงพระอริ ิยาบถรำ� พงึ
ครน้ั ตปสุ สะและภลั ลกิ ะทลู ลากลบั ไปแลว้ พระพทุ ธองคท์ รง
ร�ำพึงปริวิตกว่า พระธรรมท่ีทรงตรัสรู้นั้นลึกซึ้งจนยากที่คนทั่วไป
จะเข้าใจได้ จงึ ทรงทอ้ พระทยั ถึงกบั จะทรงไม่แสดงธรรมแกม่ หาชน
ท้าวสหัมบดีพรหมและเทพยดาจึงไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ใต้ต้น
อัชปาลนโิ ครธ (ต้นไทร) กราบทูลอาราธนาใหท้ รงแสดงธรรมโปรด
ชาวโลกจงึ ทรงหวนพจิ ารณาวา่ บคุ คลยอ่ มมปี ญั ญาตา่ งกนั อาจแบง่
ออกเปน็ ๔ จำ� พวกเสมอื นบวั ๔ เหลา่ ไดแ้ ก่ บคุ คลทม่ี อี ปุ นสิ ยั วาสนา
และบารมีแก่กล้า ได้สดับค�ำสั่งสอนแห่งพระพุทธองค์โดยสังเขป
ยอ่ มรเู้ หตผุ ลและหลดุ พน้ ทกุ ขไ์ ดโ้ ดยพลนั พวกหนง่ึ บคุ คลทม่ี อี ปุ นสิ ยั
ได้สดับค�ำส่ังสอนโดยสังเขปไม่สามารถตรัสรู้ได้ ต่อเม่ือจ�ำแนก
อรรถาธิบายโดยพสิ ดาร จงึ รเู้ หตผุ ลและหลดุ พ้นทกุ ข์ได้จำ� พวกหนึง่
บคุ คลทไ่ี ดส้ ดบั คำ� สงั่ สอนทงั้ โดยสงั เขปและพสิ ดารแลว้ ยงั ไมส่ ามารถ
ตรสั รูไ้ ดต้ ้องฝกึ ฝนพากเพียรศกึ ษาต่อไป จึงรเู้ หตผุ ลและหลดุ พ้นได้
จ�ำพวกหน่ึงและบุคคลที่มีอุปนิสัยและบารมียังไม่บริบูรณ์ แม้จะ
ไดส้ ดบั พระธรรมคำ� สง่ั สอนทงั้ โดยสงั เขปและพสิ ดาร แมจ้ ะฝกึ ฝนและ
พากเพยี รเล่าเรียนกไ็ ม่สามารถจะตรัสรเู้ หตุผล และหลดุ พ้นทุกข์ได้
จำ� พวกหนงึ่ ทรงเหน็ วา่ บคุ คล ๓ จำ� พวกแรก สามารถจะลลุ ว่ งรเู้ หตผุ ล
แหง่ ความจริง (พระธรรม) ไดใ้ นชาตปิ จั จุบนั แตบ่ ุคคลจ�ำพวกที่ ๔
อาจจตรัสรู้ได้ในชาติอนาคต จึงตกลงพระทัยที่จะแสดงพระธรรม
สั่งสอนชาวโลกต่อไป โดยทรงต้ังปณิธานว่า หากหลักสัจธรรม
ยงั ไมแ่ พรห่ ลายและสาวกยังไม่รทู้ ่วั ถงึ ธรรมก็จักไม่นิพพาน
พระพทุ ธรูปปางนี้ เป็นพระพทุ ธรปู ประจำ� วนั ศกุ ร์ ๑
_______________________

๑ หลวงบริบาลบุรภี ณั ฑ.์ Op.,cit. หน้า ๔๓

39

ปางท่ี ๒๒ ปางปฐมเทศนา

พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวายกข้ึน จีบนิ้วพระหัตถ์เป็น
รูปวงกลมในมุทราแสดงธรรม พระหัตถซ์ ้ายวางหงายบนพระเพลา

เมอ่ื พระพทุ ธองคท์ รงรบั อาราธนาทา้ วสหมั บดพี รหมและหมเู่ ทพยดาทจี่ ะแสดง
พระธรรมสั่งสอนชาวโลก จึงทรงด�ำริถึงผู้ควรสดับธรรมเทศนาแห่งพระพุทธองค์ ทรง
ปรารภถงึ อาฬารดาบสกาลามโคตร และอทุ กดาบสรามบตุ ร พระอาจารยท์ ท่ี รงเคยศกึ ษา
ในสำ� นกั ของทา่ นในกาลกอ่ น แตพ่ ระอาจารยท์ ง้ั สองไดส้ น้ิ ชพี ไปแลว้ พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรง
พจิ ารณาวา่ ธรรมดาอดตี พทุ ธเจา้ เมอื่ ตรสั รแู้ ลว้ ไดส้ ง่ั สอนสรรพสตั วท์ ง้ั มวล พระพทุ ธองค์

จงึ ทรงร�ำลกึ ถงึ ปญั จวัคคีย์ ได้แก่ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ ะ มหานามะ และอัสสชิ ที่เคยอุปการะพระพทุ ธองคเ์ มื่อ
คร้งั ยงั ทรงเปน็ พระโพธสิ ตั ว์บำ� เพ็ญทกุ รกิริยา จึงเสดจ็ ไปยังป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี อนั เป็นท่ีอยู่
ของปัญจวคั คียแ์ ละประทานปฐมเทศนา ท่เี รียกวา่ ธมั มจกั รกปั ปวัตนสตู ร
พระพุทธรูปปางน้ี เปน็ พระพทุ ธรปู ประจำ� เดอื น ๘ ๑
__________________________

๑ ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรีอรณุ . Op.,cit. หน้า ๒๔

40



ปางที่ ๒๓ ปางประทานเอหภิ กิ ขุอปุ สมบท

พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายหงายบนพระชานุเป็น
พระอริ ยิ าบถทรงรับ พระหตั ถ์ขวายกตั้ง หนั ฝา่ พระหตั ถอ์ อก งอนวิ้ พระหตั ถ์เลก็ น้อย
หลังจากปัญจวัคคีย์เข้าถึงโลกุตรธรรมอันพระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว
โกณฑญั ญะผอู้ าวโุ สทส่ี ดุ ในหมปู่ ญั จวคั คยี ์ จงึ กราบทลู ขอบรรพชาอปุ สมบท พระพทุ ธองค์
จงึ ตรสั วา่ เอหภิ กิ ขุ ๑การอปุ สมบทของโกณฑญั ญะถอื เปน็ พระสงฆอ์ งคแ์ รกของพระพทุ ธ
ศาสนา หลงั จากนั้นจงึ โปรดประทานอปุ สมบทปัญจวัคคียอ์ กี ๔ องค์ ๒

_______________________

๑ เอหิภกิ ขุ หมายถงึ เธอจงมาเปน็ ภิกษุเถดิ เอหิภกิ ขุอปุ สัมปทา หมายถงึ การอปุ สมบทโดยพระพทุ ธองคท์ รงบวชให้ :- เสมอ บุญมา. อตั ถาธิบาย
และวเิ คราะห์ศัพท์ในปฐมสมโพธิกถา (ไมป่ รากฏสถานทพี่ ิมพ,์ ๒๕๒๕) หน้า ๑๓๗

๒ Ibid.

42

ปางท่ี ๒๔ ปางภตุ ตากิจ (ปางภัตกิจ)

พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ พระหตั ถซ์ ้ายประคองบาตรซึง่ วางอยู่บน
พระเพลา พระหัตถข์ วาหย่อนลงในบาตรแสดงพระอิรยิ าบถหยบิ ภตั ตาหารเสวย
ยส บตุ รเศรษฐีเมืองพาราณสี เดนิ ทางไปปา่ อสิ ิปตนมฤคทายวนั เพอ่ื เข้าเฝา้
พระพทุ ธองคแ์ จง้ ความประสงคข์ อบรรพชาเปน็ พระสงฆใ์ นพทุ ธศาสนา เมอื่ พระพทุ ธองค์
ประทานบรรพชาให้ยส พระยส จงึ นำ� เสด็จพระพุทธองคไ์ ปสเู่ คหสถานแหง่ ตน เพือ่ รบั
ถวายภัตตาหารจากบุพการี และอดีตภรยิ าของพระยส หลงั จากน้นั พระพทุ ธองค์ทรง
แสดงพระธรรมกถาประทานแกค่ รอบครัวของพระยส ๑
พระพทุ ธรูปปางนี้ เป็นพระพุทธรปู ประจ�ำเดือน ๙
____________________

๑ พระพิมลธรรม (ชอบ อนจุ ารมี หาเถระ). Op.,cit. หน้า ๘๓

43

ปางท่ี ๒๕ ปางห้ามสมทุ ร

พระอริ ยิ าบถประทบั ยืน พระกรทัง้ สองยกขึ้นเสมอ
พระอรุ ะ ต้งั ฝา่ พระหตั ถ์ยนื่ ออกไปข้างหนา้ แสดงมุทราห้าม
พระพทุ ธรปู ปางหา้ มสมทุ ร ปรากฏกลา่ วถงึ เหตกุ ารณ์
ในพทุ ธประวตั ติ า่ งกนั เปน็ ๒ เหตกุ ารณ์ เหตกุ ารณห์ นง่ึ กลา่ วถงึ
เมอื่ พระพทุ ธองค์ประทบั ณ เมอื งพาราณสี เสด็จไปยงั ส�ำนกั
ของชฎลิ ๓ พน่ี อ้ งและหมู่บริวาร ณ ริมฝ่ังแมน่ ำ้� เนรัญชรา
แขวงอุรุเวลา ชฎิลทั้ง ๓ นี้ พ่ีชายใหญ่คือ อุรุเวลกัสสปะ
นอ้ งชายกลางคอื นทกี สั สปะ และนอ้ งชายเลก็ คอื คยากสั สปะ
พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ เพ่ือท�ำลายมิจฉาทิฏฐิ
ของชฎิลทั้งหลายโดยทรงห้ามฝนที่ตกหนักในบริเวณนั้น
มิให้เปียกท่วมปริมณฑลที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ชฎิล
ทั้งสามและบริวารจึงยอมอ่อนน้อมขอบรรพชาจ�ำนวน
๑,๐๐๐ คนและพระพุทธองค์ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร
หมชู่ ฎลิ และบรวิ ารได้บรรลธุ รรมเป็นอรหนั ต์ในคร้ังนนั้ ๑
สว่ นอกี เหตกุ ารณ์ กลา่ วถงึ ขณะพระพทุ ธองคป์ ระทบั
ณ นโิ ครธาราม รมิ ฝง่ั แมน่ ้�ำโรหณิ ใี กลก้ รงุ กบลิ พสั ด์ุ ทรงหา้ ม
หมู่พระประยูรญาติววิ าทกนั ด้วยเรื่องแยง่ นำ�้ ๒
พระพุทธรูปปางน้ีเป็นพระพุทธรูปประจ�ำปีนักษัตร
ปฉี ลูและเปน็ พระพุทธรูปประจ�ำวนั จันทร๓์

____________________

๑ หลวงบริบาลบุรภี ัณฑ.์ Op.,cit. หน้า ๕๑
๒ พระพิมลธรรม (ชอบ อนจุ ารีมหาเถระ). Op.,cit. หนา้ ๘๗ กล่าวอ้างใน :- หลวงบริบาลบรุ ีภัณฑ.์ Op.,cit. หนา้ ๘๙ ว่า เป็นพระพทุ ธรปู ปาง
หา้ มญาติ ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นปอ้ ง พระหัตถซ์ า้ ยทอดยาวแนบพระวรกาย

๓ Ibid. หน้า ๙๔ กล่าวถงึ ว่า พระพุทธรปู ประจ�ำวันจนั ทรค์ อื พระพทุ ธรูปปางห้ามพระญาติ

44

ปางที่ ๒๖ ปางชพี้ ระอัครสาวก

พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา
พระหัตถ์ขวายกขึ้นช้ีพระดัชนีออกไปข้างหน้า แสดงมุทราทรงช้ีพระอัครสาวกในที่
ประชมุ สงฆ์
อุปดิส บตุ รนางสารพี ราหมณี และโกลติ บตุ รนางโมคคัลลี เปน็ เพอ่ื นสนิทมีสติ
ปัญญาเฉลียวฉลาด พยายามค้นหาสาระแห่งชีวิต ด้วยการบวชเป็นปริพาชก๑แสวง
หาโมกขธรรม ต่อมาได้พบกับพระอัสสชิ หน่ึงในปัญจวัคคีย์และได้สดับพระธรรมท่ี
พระอัสสชิแสดงบังเกิดความเลื่อมใส เม่ืออุปดิสและโกลิตได้ทราบว่าพระอัสสชิเป็น
พระสาวกของพระพุทธองค์ จึงมีจิตศรัทธาน�ำบริวารเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ณ เวฬวุ ัน กรุงราชคฤห์ พระพุทธองคไ์ ดแ้ สดงสจั ธรรมโปรดปรพิ าชกและประทานเอหภิ กิ ขุอุปสัมปทาแก่อปุ ดสิ โกลิต
และบรวิ ารซง่ึ พระพทุ ธองคม์ พี ระพทุ ธฎกี าตรสั เรยี กนามอปุ ดสิ บตุ รนางสารพี ราหมณี วา่ สารบี ตุ ร และโกลติ บตุ รนาง
โมคคลั ลวี า่ โมคคลั ลานะ ภายหลงั บรรพชาพระโมคคลั ลานะและพระสารบี ตุ ร ไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ต์ พระพทุ ธองค์
ทรงยกยอ่ งเปน็ พระอคั รสาวกเบอื้ งซ้ายและเบ้อื งขวาตามล�ำดบั ๒
พระพทุ ธรปู ปางน้ี เป็นพระพุทธรปู ประจำ� ปนี กั ษตั ร ปีจอ
__________________

๑ ปรพิ าชก คือ นกั บวชชายนอกพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี :- ศาสตราจารย์ ไขศรี ศรอี รณุ . Op.,cit. หน้า ๗๕

๒ Ibid. หนา้ ๙๕

45

ปางที่ ๒๗ ปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ ๑

พระอิริยาบถประทับน่ังขัดสมาธิราบ ยกพระหัตถ์ท้ังสองข้ึนเสมอพระอุระ
จบี นิว้ พระหัตถ์แสดงมุทราประทานโอวาทปาติโมกข์
เม่ือพระพุทธองค์มีพระพุทธฎีกาต้ังพระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวก
เบ้ืองซ้ายและพระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาแล้ว ทรงแสดงธรรม
โอวาทปาตโิ มกข์ท่ามกลางหมูส่ งฆ์ ๒
พระพุทธรปู องคน์ ้ี เปน็ พระพทุ ธรปู ประจ�ำเดอื น ๓

__________________

๑ พระพิมลธรรม (ชอบ อนจุ ารีมหาเถระ). Op.,cit. หนา้ ๑๐๓ เรียกวา่ ปางประทานโอวาท
๒ Ibid.

46

ลกั ษณะท่ี ๑ ลักษณะท่ี ๓

ปางท่ี ๒๘ ปางเสดจ็ ลงเรอื ขนาน


ปางเสด็จลงเรอื ขนานหรอื ปางประทบั เรือ มีการทำ� เป็นประติมากรรมรูปเคารพ ๓ ลกั ษณะ
ลักษณะท่ี ๑ พระอิริยาบถประทับน่ังห้อยพระบาทบนแท่น มีฐานบัวรองพระบาท พระหัตถ์ท้ังสองคว�่ำบน
พระชานุ
ลักษณะที่ ๒ พระอริ ยิ าบถประทบั นงั่ หอ้ ยพระบาทบนแท่น พระหตั ถ์ซา้ ยวางควำ่� บนพระเพลา พระหตั ถข์ วา
ทอดยาวข้างพระวรกาย
ลกั ษณะที่ ๓ พระอิรยิ าบถประทับนงั่ ห้อยพระบาทบนแท่น พระหัตถ์ซา้ ยวางคว่�ำลงบนพระเพลา พระหตั ถ์
ขวายกข้นึ เสมอพระอรุ ะ
พระพทุ ธรปู ปางเสดจ็ ลงเรือขนาน มีกล่าวถึงในพุทธประวัติตา่ งกนั เปน็ ๒ เหตกุ ารณ์ ได้แก่ เหตกุ ารณเ์ ม่อื
พระพทุ ธองค์ประทับ ณ เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนะ พระพทุ ธบดิ าทรงสดบั วา่ พระราชโอรสไดบ้ รรลุ
สัมโพธิญาณแล้วและอยู่ในระหว่างการจาริกแสวงบุญเผยแพร่พระธรรมในดินแดนต่างๆ จึงโปรดฯ ให้หมู่อ�ำมาตย์
เดนิ ทางไปทลู เชญิ พระพุทธองค์เสด็จกลับกรุงกบิลพัสด์ุ ซงึ่ ในแตล่ ะครง้ั พระพทุ ธองค์ทรงแสดงธรรม จนกระท่งั เหลา่
อำ� มาตยเ์ กดิ ความศรทั ธาเลอื่ มใสขอบรรพชาทกุ ราย พระกาฬทุ ายเี ถระซงึ่ เปน็ อำ� มาตยผ์ หู้ นงึ่ ทบี่ รรพชา ไดท้ ลู อาราธนา
ใหเ้ สดจ็ ไปกรงุ กบลิ พสั ด์ุ พระพทุ ธองคจ์ งึ ออกเดนิ ทางจากกรงุ ราชคฤห์ เมอื่ สดุ แควน้ มคธมแี มน่ ำ้� ใหญค่ น่ั จงึ เสดจ็ ประทบั
บนบลั ลังก์ในเรือขนานขา้ มแม่นำ้� ไปกรุงกบิลพสั ด์ุ
อีกเหตุการณ์หนึ่งกล่าวถึงว่า ระหว่างท่ีพระพุทธองค์ประทับ ณ เวฬุวนาราม เกิดโรคระบาดและภัยภิบัติ
ต่างๆ ในเมืองไพศาลี พระเจ้ากรุงไพศาลีจึงโปรดฯ ให้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไประงับความเดือดร้อนนั้น
เมื่อพระพุทธองคเ์ สด็จถงึ แมน่ ำ้� คงคาได้เสดจ็ ประทบั เรือไปยงั เมืองไพศาลี ๑
____________________

๑ Ibid. หนา้ ๑๐๗ - ๑๑๓ และหลวงบรบิ าลบรุ ีภณั ฑ์. Op.,cit. หน้า ๕๕

47

ปางที่ ๒๙ ปางหา้ มพยาธิ

พระอริ ิยาบถประทับยืน พระกรซา้ ยทอดยาวแนบขา้ งพระ
วรกาย พระหตั ถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ หงายฝ่าพระหัตถ์ออกตั้ง
ตรงแสดงมทุ ราห้าม
เมอ่ื พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ถงึ เมอื งไพศาลี แควน้ วชั ชที รงระงบั
โรคระบาดและภัยพบิ ัติตา่ งๆ๑

_____________________

๑ พระพิมลธรรม (ชอบ อนจุ ารมี หาเถระ). Op.,cit. หน้า ๑๑๕

48


Click to View FlipBook Version