๑๙
ภาพประชาชนที่มารอตกั บาตรพระสงฆ์บรเิ วณริมสองฝ่งั คลองลำปลาทิว
ผูถ้ า่ ย : การทอ่ งเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย
วนั /เดือน/ปที ีถ่ ่าย : 20 ตลุ าคม 2562
๒๐
ภาพการถวายเพลพระสงฆ์
ผู้ถ่าย : นางปราณตี อนงค์
วัน/เดือน/ปีทีถ่ า่ ย : 23 ตลุ าคม 2559
๒๑
ภาพสำรับเครอ่ื งคาวหวาน
ผู้ถ่าย : นางปราณตี อนงค์
วนั /เดอื น/ปีทถ่ี า่ ย : 8 ตุลาคม 2560
๒๒
ภาพสำรับเครือ่ งคาวหวานของเจา้ จอมมารดากล่นิ ปัจจบุ นั อยใู่ นความครอบครองของนางวิรตั น์ อ่วมเสริมสิน
ทายาทรุ่นท่ี 3 ซงึ่ ไดร้ บั มรดกตกทอดมาจากนายเจรญิ ลาวเกษม (ปู่) สง่ ต่อมาถึงนายทบั ทมิ ลาวเกษม (บิดา)
ผู้ถา่ ย : น.ส.นาฏวดี เงนิ โชคอำนวย
วนั /เดือน/ปีทีถ่ า่ ย : 4 ตุลาคม 2563
ภาพสำรบั เครื่องคาวหวานของเจา้ จอมมารดากลิ่น ปจั จุบนั อยู่ในความครอบครองของนางวิรัตน์ อว่ มเสรมิ สิน
สำรับ 1 ชุด ประกอบด้วย สำรับของคาว สำรับของหวาน โถใสข่ ้าว และคนโทใสน่ ำ้ (ไม่ปรากฏในภาพ)
ผู้ถ่าย : น.ส.นาฏวดี เงนิ โชคอำนวย
วนั /เดือน/ปที ีถ่ า่ ย : 4 ตุลาคม 2563
๒๓
นางวิรัตน์ อ่วมเสรมิ สนิ และน้องสาว (ไม่ทราบช่ือ) เจ้าของสำรบั เคร่ืองคาวหวานของเจ้าจอมมารดากล่ิน
ผู้ถ่าย : น.ส.นาฏวดี เงนิ โชคอำนวย
วนั /เดือน/ปีทถ่ี า่ ย : 4 ตุลาคม 2563
ภาพสำรับเครื่องคาวหวาน
ผู้ถ่าย : นางปราณีต อนงค์
วัน/เดือน/ปที ถ่ี า่ ย : 23 ตลุ าคม 2559
๒๔
ภาพการแข่งขันเรือพายพนื้ บ้าน
ผถู้ า่ ย : นางปราณตี อนงค์
วนั /เดือน/ปีทถ่ี ่าย : 1 พฤศจิกายน 2558
แบบจดั ทำรายการเบือ้ งต้นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม ๑
แบบ มภ. ๒
ส่วนท่ี ๑ ลกั ษณะของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
๑. ชอื่ รายการ ขนมตึงตัง
ช่อื เรียกในท้องถน่ิ ขนมตงึ ตงั
๒. ลกั ษณะของมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า ๑ ช่อง)
วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล
ความรู้และการปฏิบัติเกย่ี วกับธรรมชาติและจักรวาล
งานช่างฝีมือดัง้ เดมิ
การเลน่ พื้นบ้าน กีฬาพื้นบา้ นและศลิ ปะการต่อสูป้ ้องกันตวั
๓. พน้ื ที่ปฏบิ ัติ
เลขท่ี 1503 ชมุ ชนคลองบางนา ถนนลาซาล แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กทม. 10260
๔. สาระสำคญั ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยสงั เขป
“ขนมตึงตัง” เป็นขนมโบราณของชาวไทยเชื้อสายมอญท่ีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มักทำในโอกาสที่
ว่างเว้นจากการทำนาแล้ว หรือทำหลังเทศกาลออกพรรษา โดยชื่อขนม “ตึงตัง” นี้มีท่ีมาจากเสียงการตำข้าว
เหนยี วในครก
ขนมตึงตังเป็นขนมที่ทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุกตำผสมกับหัวกะทิ เกลือ และน้ำตาลโตนด น้ำตาล
มะพรา้ ว เคร่ืองปรุงเช่นเดียวกับขนมกะละแม แต่ต่างกันท่ีกรรมวิธีการผลิต ขนมกะละแมจะใช้วิธีการกวน วตั ถุดิบ
ทำจากข้าวเหนียว กะทิ และน้ำตาล กวนจนละเอียดไม่ติดกระทะ ส่วนขนมตึงตังเป็นการใช้วิธีการตำจนละเอียด
ไม่ติดก้นครก โดยมีน้ำกะทิหรือไขมันจากมะพร้าวเป็นเครื่องประกอบสำคัญ ชื่อ “ตึงตัง” จึงมีท่ีมาจากเสียง
การตำขา้ วเหนียวในครกนนั่ เอง
การทำขนมตึงตัง ถือได้ว่าเป็นขนมสามัคคีเช่นเดียวกับการทำกระยาสารท ข้าวเหนียวแดง กะละแม
ขนมจีน มักทำในวันมาฆบูชา หรือทำหลังเทศกาลออกพรรษา กระบวนการทำน้ันจะใช้แรงงานคนมาก ต้องมี
การนัดหมายเตรียมงานก่อนได้ ในสมัยก่อนการทำขนมตึงตังแต่ละครั้งถือเป็นโอกาสให้คนหนุ่มสาวต่างบ้าน
มาทำความรูจ้ กั กัน เพ่ือสานสมั พนั ธต์ อ่ ไป
ปัจจุบนั คณุ ยายเล็ก มงคลพันธ์ อายุ 84 ปี (เกดิ ปี พ.ศ. 2479) พนื้ เพเป็นชาวไทยเชอ้ื สายมอญ เดิม
อยพู่ ระประแดง ปัจจุบันเปน็ รองประธานชุมชนคลองบางนา และเปน็ ภูมปิ ญั ญาผสู้ ูงอายุท้องถนิ่ ของเขต
บางนา เป็นผู้สบื ทอดการทำอาหารมอญจากบรรพบรุ ุษ ยังคงทำอาหารมอญต่าง ๆ ในวนั สงกรานต์ และงาน
ทำบุญกลางบ้าน (วนั มาฆบูชา) เช่น แกงบอน (แกงผักหวาน) แกงข้ีเหล็ก ขนมจีนน้ำพริก แกงมะตาด เปน็ ต้น
และยังได้รบั การสนับสนนุ จากสำนกั งานเขตบางนาในการฟื้นฟูการทำขนมตงึ ตัง โดยการนำไปสาธิตในงาน
และกจิ กรรมต่าง ๆ ในพ้ืนทเ่ี ขต เพือ่ เปน็ การเผยแพรภ่ ูมิปัญญาอันทรงคณุ คา่ นีไ้ ม่ให้สูญหายไป
๒
๕. ประวัตคิ วามเป็นมา
ชาวมอญไดอ้ พยพมาพำนักอยู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา ซึ่งในปัจจุบันยงั มีชมุ ชนมอญและ
ก ลุ่ ม วั ฒ น ธ ร ร ม ม อ ญ ก ร ะ จ า ย อ ยู่ บ ริ เว ณ ริ ม ฝ่ั ง แ ม่ น้ ำ เจ้ า พ ร ะ ย า จ า ก พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ย า ล ง ม า จ น ถึ ง
กรุงเทพมหานครหลายชุมชน ชาวมอญได้ต้ังบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตามที่ราบลุ่มริมน้ำภาคกลาง และบางส่วนตั้ง
ภมู ลิ ำเนาอยู่แถบภาคเหนอื ภาคอีสาน และมบี างส่วนอพยพลงใต้
ชุมชนคลองบางนา ต้ังถิ่นฐานอยู่ริมสองฝ่ังคลองบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ในสมัยก่อน
พ้ืนที่ชุมชนเป็นที่ทำนา ประชาชนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ ซ่ึงมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่
ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลท่ี 2 ชุมชนคลองบางนาเป็นชุมชนดั้งเดิม มี
ประชากร 85 หลังคาเรือน ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ท่ีมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน ใน
เวลาต่อมาเริ่มมีประชากรต่างถิ่นเข้ามาอาศัยเพ่ิมมากข้ึน จึงเริ่มก่อตั้งเป็นชุมชนในปี พ.ศ. 2540 โดยมีนาย
สมคิด มงคลพันธ์ เป็นประธานชุมชนคนแรก
ประช าช นใน ชุมช น บางนาส่ ว นให ญ่ ยึดถือวัฒ นธรรมป ระเพ ณี ของช าว ม อญ อย่างเห นี ยวแน่ น
โดยเฉพาะด้านพุทธศาสนา เอกลักษณ์ของชุมชน คือมีการใช้ภาษามอญในการส่ือสาร การแต่งกายแบบมอญ
การทำอาหารมอญ และมีประเพณีสำคัญประจำท้องถ่ินคลองบางนา คือ ประเพณีสงกรานต์แห่หางหงส์ ธง
ตะขาบ และประเพณีทำบุญวันมาฆบูชา หรอื เรียกกันในชมุ ชนว่าทำบุญกลางบ้าน ซึ่งยดึ ถือปฏิบัติสืบเน่ืองกัน
มาเปน็ รอ้ ยปจี นถงึ ปัจจบุ ัน
ปจั จบุ ันอาหารหลายชนดิ ของชาวไทยเชือ้ สายมอญกำลังจะสญู หายไป เหลือบคุ คลท่ีรู้วิธีและ
กระบวนการประกอบอาหารไมม่ ากนัก จงึ ควรสืบทอดและอนุรักษ์ โดยเฉพาะอาหารคาวหวานของชาวไทย
เช้ือสายมอญเขตบางนา ทบ่ี างชนดิ ไม่เป็นท่ีร้จู ักหรอื รู้จักแต่หารับประทานยาก เชน่ ขนมตงึ ตงั ขนมพม่ามนั
ขนมจนี มนั แกงบอนยางคนั (แกงผักหวาน) แกงสม้ ฝักกระเจีย๊ บ แกงมะตาด เปน็ ต้น
“ขนมตึงตงั ” เป็นขนมโบราณทเ่ี กิดจากภูมิปัญญาของชาวมอญ เป็นขนมของชาวไทยเชื้อสายมอญแท้ๆ
เพราะไมป่ รากฏในตำราคาวหวานเล่มใดเลย ในปัจจบุ นั หากนิ ไดย้ ากแล้ว นับวา่ เปน็ อาหารที่กำลงั จะสญู หาย
๓
๖. ลักษณะเฉพาะท่แี สดงถงึ อัตลกั ษณข์ องมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
“ขนมตึงตงั ” เป็นขนมโบราณของชาวไทยเชอ้ื สายมอญแท้ ๆ เกดิ จากการนำของที่มใี นบ้าน เชน่ ขา้ ว
เหนยี ว มะพร้าว มาดัดแปลงทำเป็นขนมให้ลูกหลานกนิ โดยคุณยายเล็ก มงคลพนั ธ์ ไดร้ ับการสบื ทอดมาจาก
บรรพบรุ ษุ ปัจจุบนั หากินได้ยากแล้ว นบั เปน็ อาหารท่ีกำลังจะสูญหาย
วธิ ีการทำขนมตึงตัง มดี งั น้ี
1. เตรียมเคร่ืองใช้วสั ดุอุปกรณ์และเคร่อื งใช้ในการทำขนม
อุปกรณ์ ประกอบดว้ ย ครกตำข้าว สากมือ กระต่ายขดู มะพร้าว ถาดใส่ขนม เตาไฟ ถา่ นฟนื
วตั ถุดิบ ประกอบดว้ ย ขา้ วเหนียวอย่างดี มะพร้าวแก่ เกลือทะเล น้ำตาลปบ๊ี
ภาชนะ ประกอบด้วย ถาด ทัพพี ชาม กะละมัง
2. กระบวนการทำขนมตงึ ตงั
2.1 นำขา้ วเหนยี ว มาลา้ งฝ่นุ ผงให้สะอาด ใชผ้ า้ ขาวบางห่อข้าวเหนียวผูกปลายให้เรียบร้อย
แช่น้ำสะอาดไว้ 2 - 3 ชวั่ โมง ให้ข้าวพองข้นึ (ใหส้ งั เกตลักษณะขา้ ว ไม่สามารถระบเุ วลาได้) แล้วนำมานึ่งจน
สุก ขา้ วเหนยี วจะมลี ักษณะเหมอื นขา้ วเหนยี วมูน เมื่อสุกแล้วนำข้าวไปแผใ่ ส่ภาชนะ และผงึ่ ไวใ้ ห้ขา้ วหมาด
พอหายร้อน
2.2 เตรียมครกไม้ ประเภทครกตำขา้ ว สากมือถือ (ไม่ใชส้ ากตะลมุ พกุ ) ทำความสะอาดครกและ
สากให้เรยี บรอ้ ย แลว้ นำมาต้ังบนเสื่อลำแพน เตรยี มคนหนุ่มไว้ตำ คนสาวใหไ้ ปปอกมะพรา้ วแก่ 2 - 3 ผล
และขดู มะพรา้ วใสถ่ าดคนั้ เปน็ กะทิ แยกหัวแยกหางเตรียมไว้ (หวั กะทใิ สเ่ กลือเล็กน้อย ชิมรสชาตใิ หเ้ ค็มพอดี)
2.3 ลงกะทิท่กี ้นครก เพื่อป้องกนั ข้าวเหนียวตดิ กน้ ครก แล้วนำขา้ วเหนยี วน่งึ สุกทห่ี ายร้อนแลว้
ลงตำให้ละเอยี ด (ถ้าใช้ขา้ วเหนยี วทย่ี งั รอ้ นอยู่มาตำกับกะทิจะทำให้ข้าวแฉะและขา้ วเหนยี วจะไม่ดูดกะท)ิ
ขณะตำ ข้าวเหนยี วจะตดิ สาก ใหน้ ำหัวกะทิหยอดผสมในข้าวทีละนอ้ ย สว่ นสากให้นำจุม่ หางกะทิทีแ่ ยกไว้
ตำจนข้าวแหลกละเอียด ค่อย ๆ ผสมหวั กะทิจนหมด เม่ือข้าวเหนยี วผสมกะทิแหลกเป็นเนื้อเดยี วกนั จนมอง
ไมเ่ ห็นเมด็ ข้าว หรือเอานิ้วยแี ล้วไมม่ ีเมลด็ ข้าวเป็นไต ให้ลองชิมรสชาตดิ ู ขนมจะมรี สมัน และเคม็
2.4 ตกั ข้าวเหนียวทต่ี ำไดท้ ี่แลว้ ขึ้นมาเกลย่ี บาง ๆ บนถาดแบน แลว้ โรยงาดำ งาขาว เก็บไว้
1 คืน (สมยั ก่อนไม่โรยงา) จากน้นั นำมาตดั เป็นแผน่ ส่เี หล่ยี ม รับประทานกบั น้ำตาลปึก นำ้ ตาลโตนด หรือ
น้ำตาลป๊บี หรือสามารถประยุกต์ดว้ ยการเคีย่ วน้ำตาลพอให้เปน็ ยาง (อย่าให้เปน็ ตงั เม) ตักโรยหน้าแผ่นข้าว
เหนียวเพื่อสะดวกแก่การเก็บรักษาและบรโิ ภค
๔
สว่ นท่ี ๒ คณุ ค่าและบทบาทของวถิ ชี ุมชนทีม่ ตี อ่ มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
๑. คณุ คา่ ของมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรมที่สำคญั
การทำขนมตึงตัง เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทางสังคม แสดงใหเ้ หน็ ความสำคญั ของ
ความเปน็ ครอบครวั ชุมชน และความสามัคคี เพราะกระบวนการทำนัน้ ตอ้ งใชแ้ รงงานคนมาก ตอ้ งมกี ารนดั
หมายเตรยี มงานกอ่ น เน่ืองจากแตล่ ะครงั้ ทำในปริมาณมาก
๒. บทบาทของชมุ ชนที่มีต่อมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ประชาชนในชุมชนบางนาส่วนใหญย่ ดึ ถอื วฒั นธรรมประเพณขี องชาวมอญอยา่ งเหนยี วแนน่ โดยเฉพาะ
ด้านพุทธศาสนา เอกลักษณ์ของชุมชน คือมีการใช้ภาษามอญในการสื่อสาร การแต่งกายแบบมอญ การ
ทำอาหารมอญ เช่น แกงบอน (แกงผักหวาน) แกงข้ีเหล็ก ขนมจีนน้ำพริก แกงมะตาด เป็นต้น และมีประเพณี
สำคัญประจำท้องถิ่นคลองบางนา คือ ประเพณีสงกรานต์แห่หางหงส์ ธงตะขาบ และประเพณีทำบุญวัน
มาฆบูชา หรือเรียกกันในชุมชนวา่ ทำบุญกลางบา้ น ซ่ึงยดึ ถือปฏิบตั ิสบื เน่ืองกันมาเป็นร้อยปจี นถึงปัจจุบัน แตใ่ น
สว่ นของขนมตึงตังน้ัน ไม่ได้ทำกันเป็นประจำและผู้สบื ทอดมีเหลืออยู่ไม่กี่รายเท่าน้ัน เน่ืองจากกระบวนการทำ
ตอ้ งใช้เวลาและกำลงั คนท่ีแข็งแรง
สว่ นที่ ๓ มาตรการในการสง่ เสริมและรกั ษามรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
๑. โครงการ กิจกรรมทีม่ กี ารดำเนินงานของรายการมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
การอนรุ กั ษ์ ฟื้นฟู
1. คุณยายเลก็ มงคลพันธ์ อายุ 84 ปี (เกิดปี พ.ศ. 2479) เปน็ บุคลากรทางวัฒนธรรมคนสำคญั ได้
ถ่ายทอดวชิ าภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นเร่อื งการทำขนมตงึ ตังให้แก่นสิ ติ นกั ศกึ ษาจากสถาบันและชมรมต่าง ๆ
2. ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สำนักงานเขตบางนา ได้จัดโครงการค่าใช้จ่ายโครงการศูนย์
ประสานงานธนาคารสมองของกรุงเทพมหานคร เพื่อจัดแสดงผลงานและเผยแพร่ภูมิปัญญาผู้สูงอายุระดับเขต
ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้นำความรู้และประสบการณ์ มาทำประโยชน์ต่อสังคมและเป็นการเผยแพร่
ผลงานของผู้สูงอายใุ ห้เป็นท่ีประจักษแ์ ก่สาธารณชน โดยได้นำขนมตงึ ตัง ขนมของชาวมอญ ชุมชนคลองบางนา
เขา้ ร่วมแสดงภายในงาน
๕
3. วิทยาลัยเซาธ์อีสต์บางกอก นำโดยหวั หน้าสำนักศิลปและวัฒนธรรมของวิทยาลยั เซาธ์อสี ต์บางกอก
ได้นำนักศึกษาชมรมศิลปและวัฒนธรรม ไปขอรับการถ่ายทอดวิชาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากคุณยายเล็ก
มงคลพันธุ์ และไดก้ ำหนดกิจกรรมต่อเนอ่ื งจากการลงพน้ื ที่ ดังนี้
3.1 เผยแพร่ข้อมูลความรู้ทางสือ่ มวลชน โทรทศั น์ เวบ็ ไซตข์ องวทิ ยาลยั และเว็บไซต์ของวชิ าการ
3.2 จดั สมาชิกชมรมไปแสดงวธิ ีการทำขนมตงึ ตงั ตามโรงเรียนต่าง ๆ ในเขตบางนาทกุ โรงเรียน
3.3 วิทยาลัยร่วมมือกับวัดในเขตบางนาท้ัง 4 วัด ประกาศเชิญชวนผู้สูงอายุในเขตบางนาท่ีมา
ทำบุญตามเทศกาล เข้าประกวดอาหารและการประกอบอาหารโบราณที่กำลังจะสูญหายและขอรับการ
ถ่ายทอดใหแ้ กน่ ักศึกษา
การสบื สานและถ่ายทอด
1. สำนักงานเขตบางนาได้นำขนมตึงตังเข้าร่วมจัดแสดงในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการสวน
พฤกษศาสตร์โรงเรียน และฐานทรัพยากรท้องถ่ิน ระดับภูมิภาค คร้ังท่ี 4 ณ สนามเสือป่า เม่ือวันที่ 29
กรกฎาคม 2559 - วันที่ 2 สงิ หาคม 2559 ด้วย
2. ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สำนักงานเขตบางนา ได้จัดโครงการค่าใช้จ่ายโครงการศูนย์
ประสานงานธนาคารสมองของกรุงเทพมหานคร เพื่อจัดแสดงผลงานและเผยแพร่ภูมิปัญญาผู้สูงอายุระดับเขต
ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้นำความรู้และประสบการณ์ มาทำประโยชน์ต่อสังคมและเป็นการเผยแพร่
ผลงานของผู้สูงอายุให้เป็นที่ประจักษแ์ ก่สาธารณชน โดยได้นำขนมตึงตัง ขนมของชาวมอญ ชุมชนคลองบางนา
เขา้ ร่วมแสดงในงาน
3. วิทยาลัยเซาธ์อีสต์บางกอก นำโดยหวั หน้าสำนักศิลปและวฒั นธรรมของวิทยาลัยเซาธ์อสี ต์บางกอก
ได้นำนักศึกษาชมรมศิลปและวัฒนธรรม ไปขอรับการถ่ายทอดวิชาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากคุณยายเล็ก
มงคลพันธ์ุ โดยมกี ารจัดเกบ็ ขอ้ มูลเป็นเอกสารออนไลน์ และได้กำหนดกจิ กรรมต่อเน่ืองจากการลงพ้ืนท่ี ดงั น้ี
3.1 ทำการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ทางส่ือมวลชน โทรทัศน์ เว็บไซต์ของวิทยาลัยและเว็บไซต์ของ
วชิ าการ
3.2 เผยแพร่โดยจัดสมาชิกชมรมไปแสดงวิธีการทำขนมตึงตังตามโรงเรียนต่าง ๆ ในเขตบางนาทุก
โรงเรยี น
การพัฒนาตอ่ ยอดมรดกภมู ิปัญญา
ชมรมศิลปวัฒนธรรมท้องถน่ิ ไทยสองฝ่งั คลองบางนา ไดค้ ิดวธิ ีประยุกต์ขนมตึงตังโดยการทดลองนำ
ขนมตงึ ตงั ทีต่ ดั เปน็ แผ่นแลว้ ยังไม่โรยนำ้ ตาลมะพร้าว นำไปตากแดดพอแหง้ แลว้ นำลงทอดในน้ำมนั มะพร้าวใหม่
ใช้ไฟกลาง ทอดจนขนมพองสีขาวนวล ตักข้ึนมาผง่ึ ให้สะเด็ดนำ้ มนั แล้วโรยด้วยนำ้ ตาลเป็นรูปต่างๆ บรรจุลงใน
บรรจุภัณฑ์ เปน็ ของรบั ประทานยามว่างหรอื จัดจำหนา่ ยได้
๖
2. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมอืน่ ๆ ท่คี าดว่าจะดำเนนิ การในอนาคต
ส่วนวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมและการท่องเท่ียว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว
ดำเนินการลงพ้ืนที่เพื่อเก็บข้อมูล รับการถ่ายทอดกระบวนการทำขนมตึงตังจากคุณยายเล็ก และบันทึกภาพ
การทำขนมตึงตัง เพื่อจัดทำฐานขอ้ มูลมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม และดำเนินการเผยแพร่ตอ่ ไป
๓. การส่งเสริม สนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรอื ภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม
1. ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สำนักงานเขตบางนา สนับสนุนงบประมาณโครงการ
ค่าใช้จ่ายโครงการศูนย์ประสานงานธนาคารสมองของกรุงเทพมหานคร เพื่อจัดแสดงผลงานและเผยแพร่ภูมิ
ปัญญาผู้สูงอายุระดับเขต ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้นำความรู้และประสบการณ์ มาทำประโยชน์ต่อ
สังคมและเป็นการเผยแพร่ผลงานของผู้สูงอายุให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน โดยได้นำขนมตึงตัง ขนมของ
ชาวมอญ ชุมชนคลองบางนา เข้ารว่ มแสดงภายในงาน
2. สำนักศิลปและวัฒนธรรมของวิทยาลัยเซาธอ์ ีสต์บางกอก นำนักศึกษาชมรมศิลปและวัฒนธรรม ไป
ขอรบั การถา่ ยทอดวิชาภูมปิ ญั ญาท้องถ่ินจากคณุ ยายเล็ก มงคลพันธ์ุ และได้นำไปเผยแพร่ โดย
2.1 ทำการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ทางสื่อมวลชน โทรทัศน์ เว็บไซต์ของวิทยาลัยและเว็บไซต์ของ
วิชาการ
2.2 นำสมาชิกชมรมไปแสดงวิธีการทำขนมตงึ ตังตามโรงเรยี นต่าง ๆ ในเขตบางนาทุกโรงเรียน
2.3 รว่ มมือกบั วดั ในเขตบางนาทง้ั 4 วัด จัดประกวดอาหารและการประกอบอาหารโบราณที่กำลัง
จะสูญหาย
3. ชมรมศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินไทยสองฝ่ังคลองบางนา ได้คิดวิธีประยุกต์ขนมตึงตัง ท้ังกรรมวิธีท่ี
ทนั สมยั และออกแบบบรรจภุ ณั ฑเ์ พอื่ นำไปจำหน่าย
4. ส่วนวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมและการท่องเท่ียว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเท่ียว
ดำเนินการลงพื้นที่เพ่ือเก็บข้อมูล รับการถ่ายทอดกระบวนการทำขนมตึงตังจากคุณยายเล็ก และบันทึกภาพ
การทำขนมตึงตงั เพอ่ื จัดทำฐานขอ้ มลู มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม และดำเนินการเผยแพร่ตอ่ ไป
สว่ นท่ี ๔ สถานภาพปัจจุบนั
1. สถานะการคงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
มีการปฏบิ ตั อิ ย่างแพรห่ ลาย
เสย่ี งตอ่ การสูญหายตอ้ งได้รับการส่งเสรมิ และรักษาอยา่ งเร่งดว่ น
ไม่มีการปฏิบัติอยู่แล้วแตม่ คี วามสำคัญต่อวิถชี ุมชนทีต่ ้องได้รับการฟ้นื ฟู
๗
2. สถานภาพปจั จบุ นั ของการถ่ายทอดความรูแ้ ละปัจจัยคกุ คาม
ปัจจุบันคณุ ยายเล็ก มงคลพันธ์ อายุ 84 ปี เป็นผู้สืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รายการขนม
ตึงตังเป็นรายสุดท้าย โดยปัจจุบันทำเองไมไ่ หวแล้ว รวมถึงผสู้ ืบทอดรุน่ ลกู ท่สี ามารถทำขนมตึงตังได้ ได้เสยี ชีวิต
แต่ยังมีคุณอรวรรณ มงคลพันธ์ ลกู สาวอีกท่านหน่ึง ยังพอทราบวิธกี ารทำอยู่บ้างแม้จะไม่เคยลงมือทำเอง ขนม
ตงึ ตงั จงึ เปน็ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีสมควรสง่ เสริมและรักษาอยา่ งเรง่ ดว่ น
๓. รายช่ือผู้สืบทอดหลัก (เช่น บุคคล กล่มุ คน .... เป็นต้น)
รายชื่อบคุ คล/หัวหนา้ อาย/ุ อาชีพ องคค์ วามรู้ดา้ นท่ีไดร้ บั สถานท่ีตดิ ตอ่ /โทรศัพท์
คณะ/กลมุ่ /สมาคม/ชมุ ชน การสืบทอด/จำนวนปีที่ 08 3305 1788
อายุ 84 ปี /
นางเล็ก มงคลพนั ธ์ รองประธานชมุ ชน สบื ทอดปฏบิ ตั ิ
คลองบางนา
การทำขนมตึงตงั / 70 ปี
ส่วนที่ ๕ การยินยอมของชมุ ชนในการจัดทำรายการเบอื้ งต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ชอ่ื -สกลุ นางเล็ก มงคลพนั ธ์
สถานภาพทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
เจ้าของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ขอรับรองขอ้ มลู ตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมใหเ้ ปดิ เผยข้อมูลและนำไปใชป้ ระโยชนต์ ่อไป
ลงชอื่ )
( นางเลก็ มงคลพันธ์
วนั ท่ี
๘
ส่วนท่ี ๖ ภาคผนวก
1. เอกสารอา้ งองิ
วทิ ยาลัยเซาธอ์ สี ทบ์ างกอก. วัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ ขนมตึงตังท่ีกำลงั จะสูญ. สืบค้นเมื่อวันท่ี 12 มีนาคม 2563,
จาก https://issuu.com/sbc.live/docs/a013
2. รูปภาพ พรอ้ มคำอธิบายใตภ้ าพ จำนวน ๑๐ ภาพ (แนบอยดู่ า้ นหลัง)
3. ขอ้ มูลภาพถ่าย ข้อมูลภาพเคล่ือนไหว หรือข้อมลู เสียง (ระบปุ ระเภทของสื่อท่ีแนบมาพร้อมคำอธบิ าย)
ขอ้ มลู ภาพถา่ ย ได้แก่
ข้อมูลภาพเคลือ่ นไหว ได้แก่
ข้อมูลเสยี ง ได้แก่
4. ขอ้ มูลผเู้ สนอ
ช่อื -สกุล ว่าที่ร้อยตรปี ระภพ เบญจกุล
ตำแหน่ง นักวิชาการวฒั นธรรมชำนาญการพเิ ศษ
หนว่ ยงาน สว่ นวฒั นธรรม สำนกั งานวัฒนธรรมและการทอ่ งเทย่ี ว
มือถือ ............089-1115477...........
5. ข้อมูลผปู้ ระสานงาน
ชอื่ -สกุล นางสาวนิสา พมิ พเิ ศษ
มือถอื .... 083-2521789 .........
***********************
๙
ภาพประกอบ
นางเล็ก มงคลพนั ธ์ (คุณยายเลก็ ) ผู้สืบทอดมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม การทำขนมตึงตัง
ผถู้ ่ายภาพ : นางสาวกลุ พธู ชปู ระเทศ
วนั /เดอื น/ปีทถ่ี ่าย : 17 มถิ นุ ายน 2563
๑๐
นางเล็ก มงคลพันธ์ (คุณยายเล็ก) ผู้สบื ทอดมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม
สาธติ วิธีการใช้ครกและสากในการทำขนมตงึ ตงั
ผถู้ ่ายภาพ : นางสาวนสิ า พิมพิเศษ
วัน/เดือน/ปีทถี่ ่าย : 17 มิถุนายน 2563
นางเล็ก มงคลพนั ธ์ (คุณยายเล็ก) ผู้สบื ทอดมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
สาธติ วธิ ีการใช้ครกและสากในการทำขนมตงึ ตัง
ผู้ถา่ ยภาพ : นางสาวนิสา พมิ พเิ ศษ
วัน/เดือน/ปีท่ีถา่ ย : 17 มิถนุ ายน 2563
๑๑
ครกและสากไมท้ ใ่ี ช้ในการทำขนมตึงตงั
ผู้ถ่ายภาพ : นางสาวนิสา พมิ พเิ ศษ
วนั /เดือน/ปีท่ถี า่ ย : 17 มถิ ุนายน 2563
วตั ถุดิบทใี่ ชใ้ นการทำขนมตึงตงั ประกอบดว้ ย ข้าวเหนยี ว กะทิ งาขาว งาดำ นำ้ ตาลปึก
ผถู้ า่ ยภาพ : สำนกั งานเขตบางนา
วนั /เดอื น/ปีทถ่ี ่าย : 11 เมษายน 2560
๑๒
ขนมตงึ ตัง
ผู้ถ่ายภาพ : สำนักงานเขตบางนา
วนั /เดือน/ปที ี่ถา่ ย : 11 เมษายน 2560
๑
แบบจดั ทำรายการเบอ้ื งตน้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แบบ มภ. ๒
สว่ นที่ ๑ ลกั ษณะของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
๑. ชอ่ื รายการ ผ้าไหมบา้ นครัว
ชือ่ เรียกในท้องถ่ิน ผ้าไหมบ้านครวั
๒. ลักษณะของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกวา่ ๑ ช่อง)
วรรณกรรมพ้ืนบ้านและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล
ความรแู้ ละการปฏิบตั เิ กยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล
งานชา่ งฝมี อื ดั้งเดิม
การเล่นพนื้ บ้าน กีฬาพน้ื บา้ นและศลิ ปะการต่อสูป้ อ้ งกันตัว
๓. พ้ืนทีป่ ฏิบตั ิ
ชาวชุมชนบา้ นครวั ทอผ้าไหมเพ่ือใชใ้ นชีวิตประจำวัน ณ ชมุ ชนบ้านครัวเหนือ ซอยพญานาค ถนนเพชรบรุ ี
เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร
๔. สาระสำคญั ของมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมโดยสังเขป
ผ้าไหมบ้านครัว รมิ คลองแสนแสบ เป็นผา้ ไหมที่ผลิตขึน้ โดยชาวชุมชนบ้านครัวเหนอื ซ่ึงเปน็ ชาวมุสลิม
แขกจาม ที่อพยพมาจากกัมปงจาม ประเทศกัมพูชาต้ังแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยมีฝีมือการทอผ้าไหม
ที่ได้รับการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนจึงทอผ้าไหมสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันและนำไปขาย อาทิ ผ้าไหมโสร่ง
ผ้าขาวม้าทั้งยังมีโอกาสถวายงานรับใช้พระมหากษัตริย์ไทยและพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงช่วง
รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของผ้าไหมบ้านครัว คือ ผ้าไหมทอมือ
ลายเกล็ดเต่า ลายหางกระรอก ลายลูกฟูก และใช้วิธีการทอเพียง 2 ตะกอ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาเฉพาะถิ่นท่ี
ของบ้านครัว ทำให้ได้ผ้าไหมที่มีความแน่น ไม่หนา สวมใส่สบาย ปัจจุบันผ้าไหมบ้านครัวเป็นแหล่งทอผ้าไหม
เพยี งแหง่ เดียวในกรุงเทพมหานครและคงเหลือผู้สืบทอดในสายอาชพี นี้ 2 ครัวเรือน ได้แก่ บา้ นนายนิพนธ์ มนูทศั น์
ตระกูลแขกจามด้ังเดิมท่ียังคงผลิตและจำหน่ายผ้าไหมเป็นหลัก และบ้านนายมนัสนันท์ เบญจรงคจ์ ินดา ผู้ย้อมเส้นไหม
เปน็ หลกั และทอผ้าไหมตามแต่มีผู้สั่งทอ
๒
๕. ประวตั คิ วามเป็นมา
1. ประวัติความเป็นมาของชุมชนบา้ นครัว
“บ้านครัว”เป็นชุมชนมุสลมิ เก่าแก่ต้นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ในช่วงรัชกาลที่ 1 - 3 ซึง่ ถกู ตอ้ นครัวเป็นเชลย
ศกึ อพยพเข้ามาต้งั ถ่นิ ฐานอยู่บริเวณริมคลองแสนแสบใต้ ปัจจุบันพื้นท่สี ่วนใหญ่อยูใ่ นเขตราชเทวี จากหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์พบว่าชุมชนบ้านครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โปรดเกล้าฯ พระราชทานท่ีดินในอาณาบริเวณชุมชนน้ีตั้งแต่วัดพระยายังจรดสะพานหัวชา้ ง ซ่งึ มีท้ังชาวมุสลมิ เขมร
และชาวมลายูปัตตานี จัดตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านหลังเสร็จศึกสงครามเก้าทัพเม่ือประมาณ พ.ศ.2330 เป็นการ
ปูนบำเหน็จความชอบแก่กองอาสาจามที่ร่วมการสงคราม (เรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศ.2545) แบ่งพ้ืนที่เป็นชุมชน-
บ้านครัวเหนือ ชุมชนบ้านครัวตะวันตก และอีกส่วนในเขตปทุมวันเป็นชุมชนบ้านครัวใต้ บรรพบุรุษของชุมชน
บ้านครัวจึงประกอบด้วยชาวมุสลิม “แขกจาม” และชาวมุสลิมเช้ือสายมลายูจากหัวเมืองมลายู ประชากรส่วนใหญ่
ในชุมชนนับถือศาสนาอิสลาม โดยเป็นชาวมุสลิมร้อยละ 80 มีแนวการดำเนินชีวิตหลักของชุมชน คือ มัสยิด
สุสาน ชมุ ชน และถือเปน็ ชุมชนมุสลิมใหญ่ทสี่ ดุ แหง่ หน่งึ ในกรุงเทพมหานคร
2. ประวัติความเป็นมาของผ้าไหมบา้ นครวั
ในอดีตชาวมุสลิมแขกจามที่ตั้งถ่ินฐานอยู่ ณ บริเวณริมคลองแสนแสบ ประกอบอาชีพหลักด้วยการ
ทำประมงน้ำจืดและการทอผ้าไหมสืบทอดมาต้ังแต่บรรพบุรุษ แต่ฝีมือการทอผ้าไหมของชาวบ้านครัวมีความ
โดดเด่นมากกว่า การทอผ้ายุคแรกเป็นการทอเพ่ือใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง ผ้าโจงกระเบน
โดยทอขายในพื้นท่ีและภายนอกชุมชน ใช้สธี รรมชาติในการย้อมไหมและทอด้วยกี่กระทบ ฝมี ือการทอผ้าไหม
ด้วยมือของแขกจามนั้นเป็นที่เลื่องลือมากทำให้แขกจามในชุมชนบ้านครัวเหนือมีโอกาสถวายงานให้แก่
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จ -
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์อ่ืนๆ ลวดลายการทอท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ
ชมุ ชนบ้านครัว คือ ลายเกล็ดเต่า ลายหางกระรอก และลายลูกฟกู ท้ังน้ใี นด้านทัศนคติความเชอ่ื ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับ
การย้อมสีไหมหรือทอผ้าไหมนั้นมุสลิมแขกจามชมุ ชนบ้านครัวไม่ค่อยมคี วามเชอื่ อ่นื ใดยกเวน้ เร่อื งการแตง่ กาย
ที่ถกู ตอ้ งตามจารีตศาสนากล่าวคือ ห้ามมสุ ลิมชายสวมใส่เสอื้ ผ้าทต่ี ดั มาจากผ้าไหม
ในปีพ.ศ. ปี 2489 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ส้ินสุด นายเจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน หรือ
นายจิม ทอมป์สัน สถาปนิกชาวอเมริกันซึ่งเป็นอาสาสมัครกองทัพอเมริกาประจำการในประเทศไทยในช่วงสงคราม
ได้ลาออกจากราชการและย้ายมาอยู่ประเทศไทย เกิดความสนใจเกี่ยวกับผ้าไหมของไทยและประทับใจใน
อุตสาหกรรมการทอผ้าไหมจากแรงงานทอมือ ดว้ ยมีเอกลกั ษณ์และสวยงามแบบธรรมชาติมากกวา่ การทอผา้ ไหม
จากระบบอุตสาหกรรมซึ่งเน้นผลิตได้ครั้งละจำนวนมาก โดยช่วงแรกได้ซื้อผ้าไหมจากชุมชนบ้านครัวนำกลับไป
อเมริกาเพ่ือเป็นของฝากและสร้างความคุ้นเคยกบั ชา่ งทอภายในชุมชนบา้ นครวั ทั้งยังเรยี นรเู้ ก่ียวกบั อุตสาหกรรม
การทอผ้าไปด้วย ตอ่ มาได้ทำการซ้ือทีด่ ินประมาณ 1 ไร่ เพือ่ ปลกู บ้านเรอื นไทยรมิ คลองแสนแสบ บริเวณซอย
เกษมสันต์ 2 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับชุมชนบ้านครัวเหนือ และเริ่มสั่งทอผ้าไหมโดยออกแบบทั้งลวดลายและสี
ปรับเปลี่ยนลวดลายการทอแบบด้ังเดิมสู่การพัฒนาลวดลายที่ตรงกับความต้องการของตลาด หลังจากนั้นได้
จัดต้ังบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ข้ึนในปี พ.ศ. 2494 นำไปสู่แนวทางการพัฒนาการทอเชิงอุตสาหกรรม
และการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ทำให้ผ้าไหมบ้านครัวเป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียง ทำให้ต่างชาตินิยมผ้าไหม
จากชุมชนบา้ นครวั และเกดิ เป็นรายได้หมนุ เวียนเขา้ มาภายในชุมชนมหาศาล สร้างแรงจงู ใจให้คนต่างถิ่นโดยเฉพาะ
๓
ทางภาคอีสานเข้ามาเป็นแรงงานในกระบวนการต่างๆ ของการทอผ้าไหมในชุมชนบ้านครัว อย่างไรก็ดี
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลต่อกระบวนผลิตผ้าไหมบ้านครัวแบบดั้งเดิมด้วย อาทิ การย้อมสีของเส้นไหม
จากด้วยสีธรรมชาติไปสู่การใช้สีเคมี การใช้ก่ีกระตุกแทนการใช้กี่กระทบเพื่อลดเวลาการผลิตและเพ่ิมช้ินงาน
การทอผ้าไหมให้ได้จำนวนเพิ่มขึ้น การปรับปรุงลวดลายทอผ้าไหมโดยผลิตผ้าไหมทอมือตามลวดลายและสีที่
กำหนดโดยนายจิม ทอมป์สัน โดยผลิตผ้าพื้น ผ้าตา ผ้าลายเส้นแทนการทอผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า เพ่ือให้ตรงกับ
ความตอ้ งการของตลาด และเลิกทอผา้ ลายทเ่ี ป็นอัตลกั ษณด์ ัง้ เดิมของชุมชนบ้านครัวไป
หลงั ปีพ.ศ. 2484 เป็นต้นมา จึงถือเป็นยุครุ่งเรืองของผ้าไหมบ้านครัวดว้ ยเป็นแหล่งผลิตผ้าไหม-
ทอมือให้กับ บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ของนายจิม ทอมป์สัน มีผู้ประกอบอาชีพการทอผ้าไหม
จำนวน ๘ ตระกูล ได้แก่ ตระกูลมนูทัศน์, ตระกูลมานะเกษม, ตระกูลเกตุเลขา, ตระกูลเพชรทองคำ, ตระกูล
ยะมาลี, ตระกูลสุมาละนันท์, ตระกูลจิตยาสุวรรณ และตระกูลบินมะมดู้ โดยแต่ละตระกลู มกี ่ีกระทบจำนวนมาก
เพ่ือรองรับการผลิตออกสู่ตลาด แรงงานคนทอผ้าได้จากภายในชุมชนและแรงงานภายนอก ปัจจุบันชุมชนบ้านครัว
คงเหลอื ผู้ประกอบการเพยี ง ๒ ราย ท่ียังคงรกั ษาและดำรงอาชพี นอี้ ยู่ ได้แก่
1. นายนิพนธ์ มนูทัศน์ อายุ ๗๑ ปี ชาวมุสลิมเชื้อสายจามคนเดียวจากตระกูลมนูทัศน์ ที่ยังสืบทอด
งานทอผ้าไหมจากบรรพบุรุษ และเป็น 1 ใน 8 ตระกลู หลักท่ีผลิตผ้าไหมให้กับ บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด
ของนายจมิ ทอมปส์ ัน มลี ำดับทายาทสบื ทอดการทอผา้ ไหม สรุปดังน้ี
รุ่นท่ี 1 อำแดงเหล่ยี ม (ยาย)
รุ่นท่ี 2 นางสุรยี ์ มนูทัศน์ (มารดาของนายนิพนธ์ มนูทัศน์)
รุ่นที่ 3 นายนิพนธ์ มนทู ศั น์
รุ่นที่ 4 นางสาวภทั รามาศ มนทู ัศน์ บุตรสาวของนายนพิ นธ์ มนทู ัศน์
ครอบครัวประกอบอาชีพการทอผ้าไหมมาโดยตลอดเป็นการทอเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและผลิต
เพ่ือนำไปล่องขายทางเรือต้ังแต่ปากคลองตลาดไปส้ินสุดท่ีหนองจอก ผ้าท่ีทอเป็นผ้าโสร่งความยาวไม่เกิน 2 หลา
ผ้าขาวม้าความยาวไม่เกิน 2 หลา ผ้าสไบความยาวไม่เกิน 2 หลา และผ้าโจงกระเบนความยาวไม่เกิน 4 หลา
ทำเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนรุ่นอำแดงเหลี่ยมผู้เป็นยาย ช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยชื่อเสยี งแขกจามที่มีความสามารถในการ
ทอผ้าไหม นางสุรีย์ มนูทัศน์ มารดาจึงมีโอกาสเข้าไปทอผ้าถวายสมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า ณ วังสระประทุม
และต่อมาในช่วงสถานการณ์สงครามโลกคร้ังท่ี 2 (พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๘) ทุกคร้ังที่เดินทางไปบ้านคุณยาย
ท่ีจังหวัดอยุธยา ทางบ้านจะรวบรวมผ้าไหมที่ทอได้จากหลายบ้านในชุมชนน่ังเรือไปขายท่ีปากคลองตลาด
และลอ่ งเรือขายไปตลอดทางจนถงึ จงั หวัดอา่ งทองอีกดว้ ย
จากคำบอกเลา่ ของนายนพิ นธ์ มนทู ศั น์ ยงั กลา่ วถึงสถานการณข์ องชุมชนบ้านครัวเหนือหลงั สงครามโลก
ครั้งที่ ๒ จบลงว่า ในช่วงปีพ.ศ. 2489 เกิดความเฟ่ืองฟูทางเศรษฐกิจภายในบ้านครัวเหนืออย่างมากเนื่องจากท่ีนี่
เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมทอมือส่งบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ของนายจิม ทอมป์สัน และครอบครัวมนูทัศน์
เป็น ๑ ใน ๘ ตระกูล ท่ีผลิตผ้าไหมส่งให้กับทางนายจิม ทอมป์สัน แต่ละตระกูลต่างมีรายได้ต่อเดือนในหลักแสน
บาท รวมทั้งมีก่ีทอผ้าอยู่ในบ้านเป็นจำนวนมากเพื่อรองรับการผลิตที่มีการสั่งเข้ามาโดยตลอด ทางบ้านเคยมีกี่
กระตุกมากถึง ๕0 ก่ี คนรับจ้างทอของทบี่ า้ นมาจากภาคอีสาน แถวอำเภอปักธงชัย การทอผ้าแต่เดิมกอ่ นการ
เข้ามาของนายจิม ทอมป์สัน จะทอด้วยก่ีกระทบทั้งหมดและเร่ิมทอด้วยก่ีกระตุกท่ีบ้านครัวเป็นท่ีแรก โดยมี
มารดาของตนเป็นคนแรกท่ที อด้วยกี่กระตุกได้จึงสอนแขกจามในครอบครวั ก่อนและช่วยสอนคนภายในชมุ ชน
ทงั้ ท่ีเปน็ คนจีนและคนอสี านซึ่งเป็นแรงงานภายนอกชมุ ชนเพ่ือให้สามารถทอผ้าได้อย่างรวดเรว็ ตามจำนวนที่มี
การสั่งผลิต และถือเป็นจุดเปล่ียนของการทอผ้าไหมชุมชนบ้านครัวในรูปแบบการทอขายโดยท่ัวไปเป็นการ
ทอผ้าไหมเชิงพาณิชย์เพื่อผลิตให้ได้จำนวนมาก นำไปสู่การปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมในแบบเดมิ หลายอยา่ ง อาทิ
๔
อุปกรณ์การทอผ้าไหมด้วยก่ีกระทบเปล่ียนไปเป็นก่ีกระตุกแทน ทำให้การทอแบบเดิมจะได้ผ้าไหมทอมือไม่เกิน
วนั ละ 1 หลา เม่ือเปลี่ยนมาใช้ก่ีกระทบจะได้มากถงึ วันละ 10 หลา ต่อมาเมอื่ มีคนอีสานเหล่านี้เข้ามาหัดทอและ
ได้รับค่าตอบแทนมากจึงชักชวนครอบครัวเข้ามาทอ บ้างย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัย ซึ่งถือว่าเป็นยุคท่ีเฟื่องฟู
มากของชุมชนบ้านครัว “ต้ังแต่จำความได้ตอนเช้าของทุกวันนายจิม ทอมป์สัน จะเข้ามาในชุมชนบ้านครัวพร้อม
ล่ามและฝร่ังติดตาม 1 คน น่ังเรือเข้ามาสั่งและควบคุมการผลิตท้ังสีและลวดลายเองท้ังหมด ปริมาณความ
ต้องการผ้าไหมขณะนั้นจึงมีมาตลอดไม่เคยหยุดทอ แม้ของเก่าที่สั่งยังไม่ได้ก็จะมีของใหม่สั่งผลิตเพ่ิมทุกวัน
ผลิตเสร็จทางนายจิม ทอมป์สัน ก็จะมารับไป” ทำให้ตั้งแต่พ.ศ. 2494 เป็นต้นมาชุมชนบ้านครัวกลายเป็น
แหลง่ ทำมาหากินท่ีสำคัญในพนื้ ที่แถบน้ี
รูปแบบผ้าไหมในช่วงที่ผลิตส่ง บริษัท จิม ทอมป์สัน ผลิตเฉพาะผ้าลายผ้าตา ผ้าริ้ว ผ้าลายเส้น
และผ้าสีพ้ืนตามที่กำหนดเท่านั้น เนื้อผ้าเป็นการทอเส้นเดียว คือ เป็นการทอแบบเส้นยนื 1 เส้น ใช้เส้นพุ่ง 1
เส้น ไม่มีการผลิตผ้าโจงกระเบน ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า หรือลวดลายโบราณด้ังเดิม” ภายหลังการหายตัวของ
นายจิม ทอมป์สัน ในปี พ.ศ. 2490 ทางชุมชนยังคงทอผ้าส่ง บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด จนถึงปี
พ.ศ. 2520 เมื่อทางบริษัทฯ ได้ต้ังโรงงานทอผ้าไหมทโี่ คราช (จงั หวัดนครราชสมี า) จึงไม่มีการสั่งผลิตผ้าไหม
จากชุมชนบ้านครัวอกี ตอ่ ไป ถือเปน็ การส้ินสดุ ของยคุ เฟ่อื งฟูอตุ สาหกรรมผา้ ไหมทอมอื ชมุ ชนบ้านครัว
ปัจจุบันครอบครัวมนูทัศน์ยังคงประกอบอาชีทอผ้าไหมและถ่ายทอดให้กับทายาทคือลูกสาวคนท่ี
สอง ผลิตขายตามท่ีมีการสั่งทอ นำจำหน่ายออกร้าน OTOP การออกงานตามท่ีมีหน่วยงานภาครัฐ/เอกชน
เข้ามาติดต่อประสานงาน และยังคงทอผ้าไหมทอมือด้วยด้วยกี่ทอผ้าภายในบ้านที่คงเหลือเพียง ๖ ก่ี โดยมี
แรงงานชา่ งทอผา้ ไหมรับจา้ ง 3 คน ซงึ่ เป็นคนในชมุ ชนบ้านครัวและทอผา้ ให้กับทางบ้านประจำ
2. นายมนัสนันท์ เบญจรงค์จินดา อายุ 80 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในชุมชนบ้านครัว เป็นผู้ประกอบอาชีพ
ยอ้ มสีไหมเพียงรายเดียวท่ีเหลืออยู่ในชุมชนบา้ นครัว และยังเคยทอผ้าไหมเพื่อจำหน่ายให้กับ บริษัท อุตสาหกรรม-
ไหมไทย จำกัด ของนายจิม ทอมป์สนั แต่เดิมครอบครัวไม่ได้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการทอผ้า ประกอบอาชีพ
รับถ่านมาขาย แต่ด้วยอยู่ในสังคมที่ประกอบอาชีพการทอผ้าไหม พบเห็น คลุกคลี และเรียนรู้กระบวนการ
ย้อมไหมในชุมชนตั้งแต่เด็ก จึงมีความสนใจใช้การครูพักลักจำโดยเร่ิมอาชีพย้อมไหมน้ีตั้งแต่อายุ 13 ปี
เป็นลูกมือช่วยงานคนที่ย้อมสีไหมจนเกิดความชำนาญและเริ่มย้อมได้เอง ทำให้เป็นอีกหนึ่งคนที่มีความรู้
เกี่ยวกับกระบวนการย้อมไหมและทอผ้าไหมด้วยมือมาก ปัจจุบันยังคงรับย้อมสีไหมเป็นหลักเท่าน้ัน
ส่วนกระบวนการทอผ้าไหมจะผลิตตามการสั่งงานตามความต้องการของลูกค้า เน่ืองจากขาดแคลนแรงงาน
ทอฝีมอื และมีทายาทสบื ทอดการทอผา้ ไหมบา้ นครัว 1 คน คือ นายนพคณุ เบญจรงค์จินดา
6. ลกั ษณะเฉพาะที่แสดงถงึ อัตลกั ษณข์ องมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
1. ลกั ษณะเฉพาะของผ้าไหมบา้ นครัว
แต่เดิมชุมชนบ้านครัวทอผ้าเพ่ือใช้ในชีวิตประจำวันท่ัวไป และเพ่ือการค้าขายอาทิ ผ้าโสร่ง ผ้าสไบ
ผ้าโจงกระเบน มีลวดลายท่เี ปน็ เอกลักษณ์สืบทอดมาแตโ่ บราณ ไดแ้ ก่
- ลายหางกระรอก เป็นผ้าทอที่มีลักษณะลวดลายเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความประณีตและงดงาม
เกิดจากภูมิปัญญาเพ่ือการแก้ปัญหา“เส้นไหมด่าง” มีลักษณะเฉพาะ คือ การทอใช้ไหมเส้นพุ่ง 2 เส้นนำมา
ตีเกลียวควบเข้าด้วยกันให้เป็นเส้นเดียว เทคนิคนี้จึงทำให้เน้ือผ้ามีลักษณะเหลือบสีเห็นเป็นลายเส้นเล็กๆ ในตัว
คล้ายกับขนหางกระรอก
๕
- ลายเกล็ดเต่า เป็นลักษณะการทอขัดเนื้อผ้าคล้ายตารางสี่เหลี่ยม ใช้เวลาในการผลิตนาน
ต้องอาศัยความชำนาญและความประณีตในการทอ ลายเกร็ดเต่าของบ้านครัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจาก
ผ้าไหมท้องถิ่นอ่ืน คือ ใช้การทอเพียง 2 ตะกอ เป็นภูมิปัญญาเฉพาะถิ่นและใช้การทอที่มีความยากมากกว่า
ในขณะท่ีผ้าไหมจากแหล่งอื่นใช้การทอ 4 ตะกอ ทำให้ผ้าไหมลายเกล็ดเต่าของชุมชนบ้านครัว เป็นผ้าไหมที่
สวมใสส่ บาย ไมห่ นา แต่มีความเหนียวแน่นจากการทออยา่ งดี
- ลายลูกฟูก เป็นการทอเน้ือผ้าที่มีริ้วนูน โดยอาศัยเส้นไหมพุ่งเป็นตัวทำนูน ซ่ึงลายที่นูนขึ้นใช้ไหม
๖ - ๘ เสน้ ในการผลิต จงึ เหมาะสำหรับนำไปทำเฟอรน์ ิเจอร์หรือตัดชุดสทู เพราะเน้ือผ้าหนาและมีความยืดหยุ่น
การเตรยี มเส้นไหมเพ่อื การทอ
ใน อดีตชุมชน บ้านครัวใช้เส้น ไหมดิบจากประเทศจีนและกัมปงจามโดย ส่งมาขาย ทางเรื อ
ในเวลาต่อมาใช้เสน้ ไหมจากบรษิ ัท จุลไหมไทย จำกดั จงั หวัดเพชรบูรณ์ จนถึงปจั จบุ ันและใชเ้ ส้นไหมรังเหลอื ง
จากศนู ยห์ ม่อนไหมเฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระนางเจ้าสิรกิ ิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ (จังหวัดอุบลราชธานี) ในการ
ทอผ้าไหมด้วยก่ีกระตุก โดยคงการทอในแบบดั้งเดิมไว้แม้หลงเหลือผู้ถ่ายทอดเพียง 2 รายก็ตาม ท้ังนี้
มขี น้ั ตอนและกระบวนการดำเนนิ การที่เกี่ยวข้องในการผลติ ผา้ ไหมของชุมชนบ้านครวั ดังนี้
การคดั เสน้ ไหม
เม่อื แรกไดเ้ สน้ ไหมดบิ มาจะจำแนกตามขนาดของเสน้ ไหมไว้ ๓ กล่มุ คอื
๑. ไหมน้อย เป็นเสน้ ไหมที่มขี นาดเสน้ เลก็ ทีส่ ุด นิยมมาใชท้ ำเส้นไหมพุ่งและเส้นไหมยนื
๒. ไหม ๒ เป็นเส้นไหมทีม่ ีขนาดกลาง
๓. ไหม ๓ เปน็ เสน้ ไหมที่มีขนาดใหญท่ ่ีสุด
เส้นไหม ๓ กลุ่มจะมีขนาดเส้นท่ใี กล้เคียงกนั แต่ผู้สาวไหมหรอื ผู้ทม่ี ปี ระสบการณ์ เมื่อเห็นเสน้ ไหมดิบแล้วจะ
สามารถแยกเส้นไหมไดท้ นั ที
การทำนำ้ ด่าง
เปน็ น้ำท่ีนำมาใชใ้ นกระบวนการ"ฟอกกาว" หรือล้างเส้นไหมดิบให้สะอาดก่อนนำไปยอ้ มสี แต่เดิม
การทำน้ำด่างท่ีชุมชนบ้านครัวจะใช้ภูมิปัญญาในท้องถ่ินใกล้ตัวโดยการนำข้ีเถ้าท่ีได้จากไม้ฟืนหรือการหุงต้ม
ในครัวเรือน ๑ ขัน ต่อน้ำ ๑ กะลามัง นำมากวนให้เข้ากันแล้วทิ้งไว้ ๑ คืนเพื่อรอให้ข้ีเถ้าตกตะกอนกลายเป็นน้ำใส
เรียกวา่ “นำ้ ดา่ ง”จึงสามารถนำน้ำดา่ งท่ีไดไ้ ปใช้งานต่อไป โดยมากมักทำในเวลาเย็นรุ่งเช้าจึงนำนำ้ ดา่ งที่ได้มาใชง้ าน
การฟอกกาว
คือ การนำเส้นไหมดิบท่ีมีลักษณะเป็นลูก นำมาฟอกกาวเพื่อล้างส่ิงสกปรกต่างๆ และล้างกาวไหม
เซริซิน(Sericin) หรือน้ำลายของตัวหนอนไหมเกิดข้ึนขณะพ่นใยสร้างรังไหมด้วยวิธีการต้ม โดยในอดีต
มขี นั้ ตอน ดงั นี้
๑. ใช้กาบกล้วยสด ตัดขนาดประมาณ ๑ - ๒ ศอก นำมาคล้องเส้นไหมในเพ่ือใช้ยกขณะทำการ
ฟอกหรอื ยอ้ มสเี ส้นไหม
๒. นำน้ำด่างมาใส่เกือบเต็มปี๊บ (หรือประมาณ 30 ลิตร) ต้ังไฟจนน้ำด่างเดือด จากนั้นนำเส้นไหม
ท่ีเตรียมไว้มาฟอกกาวแล้วยกขึ้น ยกลง กลับไหมไปมา ทำเช่นน้ีประมาณ ๔๕ นาที โดยจะใช้น้ำด่าง ๑ ป๊ีป
ตอ่ การฟอกไหมเส้นไหมดิบ ๑ กโิ ลกรัม
๓. นำเส้นไหมดิบที่ผ่านการฟอกกาวแล้วมาล้างในคลองให้สะอาดแล้วบิดน้ำ นำไปผึ่งและกระทบ
ไหมให้เรียงเส้นรอการนำไปย้อมสีต่อไป ซึ่งการย้อมสีเส้นไหมสามารถย้อมสีต่อจากการฟอกไหมได้เลยโดย
ไม่ต้องรอไหมแห้ง สีเสน้ ไหมทไี่ ด้หลงั การฟอกจะมคี วามน่ิมและเป็นสีครีมอ่อนธรรมชาติ
๖
ในเวลาต่อมาได้ปรับเปล่ียนวิธีการฟอกกาวไหมด้วยกระบวนการท่ีง่ายและสะดวกขึ้นโดยใช้วัสดุเคมี
ทดแทนการใช้น้ำด่างแบบดง้ั เดมิ ดงั น้ี
1. เตรียมเตาอ้งั โล่ติดไฟ โดยทำครัง้ หนงึ่ ใชเ้ ตาจำนวน 6 เตา เพอื่ ทำการฟอกไหมได้คราวละมากๆ
2. นำน้ำสะอาดใส่ปบ๊ี และตั้งไฟ (โดย 1 ปี๊บ สามารถฟอกเส้นไหมได้ 1.5 กิโลกรัม ดงั นั้น 1 ครั้ง
ของการฟอกจะได้เสน้ ไหม 3 กโิ ลกรัม)
๓. เม่ือน้ำเดือดใส่โซดาแอช หรือ โซเดียมคาร์บอเนต ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อผ้า 1 กิโลกรัม
และสบู่กรดประมาณ 1 ก้อนคนให้เข้ากันหลังจากน้ันนำไหมจุ่มลงไปกลับและยกข้ึนกลับไปกลับมา ใช้เวลา
ฟอกโดยรวมประมาณ 30 นาที จากนั้นนำไปล้างให้สะอาดแล้วบิดให้แห้งหรือป่ันหมาด (ในอดีตจะล้างเส้นไหม
ในคลองและผ่ึงเส้นไหมบริเวณรมิ คลอง แตป่ ัจจบุ ันไมส่ ามารถทำได้แล้ว)
4. นำไปกระทบเพื่อกระทงุ้ ด้วยไม้ไผ่หรือท่อท่มี ีลักษณะยาว แล้วจึงนำไปพาดทพี่ ้ืนเพ่ือให้เส้นไหม
ยดื ตึง เรยี บ และเรียงเป็นเส้น จากนน้ั นำไปผึง่ ลมรอนำไปลงสี
เส้นไหมดิบภายหลังการล้างกาวออกจะมีเส้นครีมอ่อนและน่ิมพร้อมต่อการนำไปย้อมสี โดยเส้นไหม
ที่ผ่านการฟอกแล้วจะเรียกว่า “ไหมสุก” ดังนั้นการลอกกาวไหมจึงนับเป็นกระบวนการท่ีสำคัญและมีผลต่อ
คณุ ภาพการย้อมสีไหม การติดสี และการตกสีเมื่อนำผ้าไหมไปซัก ทั้งนี้ ช่างย้อมไหมบ้านครัว เมื่อทำการฟอก
เส้นไหมแล้วไม่ได้รอให้ไหมแห้งสนิท เส้นไหมที่ได้รับการกระทบให้เรียบเรียงเป็นเส้นแล้วจะนำมาเข้า
กระบวนการย้อมสีต่อเลย โดยช่างย้อม 1 คน สามารถทำครบทุกกระบวนการต้ังแต่การฟอกเส้นไหมจนถึง
การยอ้ มสเี สร็จสิ้น ดังนี้
1. เตรียมภาชนะย้อมผสมน้ำอุ่น ตวงสีตามสัดส่วน และละลายสีย้อมให้เข้ากัน โดยให้มีน้ำสีประมาณ
ครง่ึ หนงึ่ ของภาชนะ
2. นำเส้นไหมที่ผ่านการกระทบเรียบเรียงเป็นเส้นท่ียังแห้งไม่สนิทมาร้อยให้เป็นห่วงโดยนำแผ่น
กาบกลว้ ยขนาดประมาณ ๑ - 2 ศอก มาร้อยเส้นไหม (แต่หากไหมแห้งสนิทแล้วใหแ้ ช่น้ำประมาณ 10 – 15
นาที บิดเส้นไหมให้มีความหมาดน้ำเพ่ือให้เส้นไหมสามารถดูดสีน้ำย้อมได้ดี) จากน้ันจึงนำเส้นไหมมาลงสี คือ
การจุ่มเส้นไหม โดยผู้ย้อมเส้นไหม“อยู่ในท่าคนดำนา” ใช้ไหมสุก ๑ กโิ ลกรมั ตอ่ สี ๑๒๐ กรัม จากนัน้ ทำใช้ไม้
กวนเสน้ ไหมพลิกขึ้นลงทำซ้ำไปซำ้ มาจนไดเ้ น้อื สีท่เี สมอกนั
3. นำเส้นไหมบิดน้ำออก กระตุกแล้วนำกลับไปแช่อีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 3 ครั้ง ใช้เวลา
ประมาณ ๔๕ นาที หรือจนกระทั่งเห็นว่าสีติดเส้นไหมสม่ำเสมอจึงนำไปล้างน้ำสะอาด จากนั้นนำไปผ่ึงและ
กระทบไหมให้ตึง เรียบ และเรียงเป็นเส้น ทั้งน้ีหากสีท่ีย้อมเสร็จแล้วยังมีความจางหรือมีรอยด่างเน่ืองจากสีติด
ไม่เสมอกันก็สามารถแก้ไขได้โดยนำไปย้อมซ้ำสีเดิม ซึ่งจะได้สีท่ีเข้มและมีความคงทนมากข้ึน หรือจะเปล่ียนเป็น
สีอ่ืนยอ้ มทับกนั ก็ได้จะใหส้ ีใหม่ท่ีแปลกตา
การย้อมสีเส้นไหม
การย้อมสีหรือ “การลงสีไหม”คือการนำเส้นไหมลงมาแชใ่ นภาชนะย้อมสีในอดีตผู้ประกอบอาชีพ
ยอ้ มเส้นไหมชุมชนบ้านครัวจะใช้วสั ดุหรือพืชที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น เปลือกไม้ ใบไม้ ผล ลำต้น ราก เปน็ ต้น
มาเป็นวัตถดุ ิบในการย้อมไหมให้ได้สีตา่ งๆ อาทิ
- สเี หลอื ง ไดจ้ าก แก่นไม้แกแล แก่นขนนุ ตน้ หม่อน ขมนิ้ เปลือกไม้นมแมว แกน่ สพุ รรณิการ์
ดอกกรรณิการ์ ดอกดาวเรอื ง
- สแี ดง ได้จาก ลูกคำแสด คร่งั
๗
- สดี ำ ไดจ้ าก ผลมะเกลอื (แต่เดมิ ชุมชนบา้ นครัวเคยมีลานมะเกลอื ๒ จุด สำหรับทำสีจากผลของ
มะเกลือ คอื บ้านครัวฝ่ังเหนือและบ้านครวั ฝัง่ ใต้ ปจั จบุ ันไมม่ ีแลว้ )
- สสี ้ม ไดจ้ าก เมลด็ คำแสด
- สมี ว่ งออ่ น ไดจ้ าก ลกู หวา้
- สนี ำ้ ตาล ไดจ้ าก เปลอื กไม้โกงกาง
- สกี ากีแกมเหลือง ไดจ้ าก แก่นแกแล (ใส่ปรมิ าณมากจะได้สที เี่ ขม้ ขน้ึ )
ในอดีตการย้อมสีเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติมีกระบวนการย้อมในลักษณะเดียวกัน คือ นำวัสดุที่ให้
สีมาผ่านการตม้ แล้วนำมากรองให้ได้น้ำสีท่สี ะอาดแลว้ นำมายอ้ มสีเสน้ ไหมตอ่ ไป ท้ังน้เี ส้นไหมทไี่ ดจ้ ากการยอ้ ม
สธี รรมชาตจิ ะไดส้ ที ี่จำกดั คณุ ภาพสที ่ีไดข้ าดความเสถยี รทั้งนำ้ หนักของสแี ละการตดิ สี
ต่อมาเมื่อบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ของนายจิม ทอมป์สัน เข้ามามีบทบาทต่อชุมชน
ผา้ ไหมบ้านครัวและทำให้ชุมชนบ้านครัวเป็นฐานการผลิต จึงได้นำสีย้อมเคมีเข้ามาใช้ในการย้อมไหมโดยเป็น
ผลิตภัณฑ์ของ 2 บริษัท คือ “Geigy” และ “Hoechst” ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้สีย้อมเคมีของบริษัท Bayer
จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ปริมาณน้ำหนักของเส้นไหมสุก 2.8 กิโลกรัม เม่ือย้อมสีแล้ว จะเหลือเส้นไหมประมาณ
2 กิโลกรัม ซ่ึงการย้อมสีเส้นไหมแต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 1 ช่ัวโมง ข้ึนอยู่กับสีท่ีต้องการย้อมเน่ืองจาก
บางสีไม่สามารถย้อมติดได้ในคร้ังเดียวอาจต้องอาศัยการย้อมทับสีเดิมเพื่อให้เกิดเป็นสีใหม่ เช่น กลุ่มสีเฉพาะท่ีให้
สเี ขยี ว สฟี ้า เปน็ ต้น
เทคนิคสำคัญเพ่ือให้ได้ความแม่นยำในการย้อมไหมแต่ละคร้ังน้ัน ผู้ย้อมมักจดบันทึกข้อมูลและ
เก็บตัวอย่างสีของเส้นไหมไว้ทุกคร้ังเพ่ือนำมาเทียบสีและปรับให้มีเฉดสีเส้นไหมท่ีหลากหลายมากขึ้น ซึ่งใน
ชุมชนบ้านครวั ยังคงเหลือช่างย้อมเส้นไหมเพียงคนเดียว คือ นายมนัสนันท์ เบญจรงค์จินดา ท่ียังคงรับย้อมสี
เส้นไหม และสามารถผสมสีย้อมไหมได้มากกว่า 700 เฉดสี โดยบันทึกสัดส่วนการผสมสีทั้งหมดไว้เพื่อเป็น
ประโยชน์ต่อการเทียบสีการย้อมในครั้งต่อไป รวมถึงการคิดสีไหมได้ตามแบบที่กำหนด อาทิ เมื่อมีการสั่งย้อม
สีไหมจะนำสีนนั้ มาเทียบสเี พื่อดูสัดสว่ นการผสมจากทำเนียบสีทีบ่ ันทกึ และใช้ตาชง่ั ทองเป็นเคร่ืองมอื การตวงสี
เพ่ือยอ้ มเส้นไหมซงึ่ ทำให้ได้สีที่แม่นยำตรงตามท่ตี ้องการ และเมื่อได้เสน้ ไหมท่ีย้อมเรียบรอ้ ยจะนำมากรอด้วย
กระสวยเพื่อเตรยี มนำไปทอผ้าไหมตอ่ ไป
ข้ันตอนเตรียมเสน้ ไหม
การกรอไหม
การกรอเสน้ ไหม เปน็ การนำเสน้ ไหมทยี่ อ้ มแห้งดแี ล้วมาป่นั เกบ็ ไว้ อุปกรณป์ ระกอบดว้ ย เครอื่ งกรอไหม
ในกรอขนาดตา่ งๆ และสง่ิ ที่ใช้เกบ็ เสน้ ไหมท่ีกรอแลว้ มกั จะใชว้ ัสดทุ หี่ าง่ายในท้องถิ่น กระปอ๋ งหรอื หลอดพลาสตกิ
เป็นต้น การกรอเส้นไหมจะแยกเสน้ ไหมให้ออกเป็นเส้นๆ ไม่ใหต้ ดิ หรอื พนั กนั
การสาวไหมเพ่ือทำเส้นไหมยืน
เป็นการนำ “เส้นไหมน้อย” ท่ีกรอแล้วไปสางเข้าในรางสาวไหมทีละเส้นให้เป็นระเบียบเพื่อทำเป็นเส้น
ไหมยืน ในท้องถนิ่ อ่ืนเรียกว่า"ม้าเดิน" และทำการสาวไปมาตามหน้าผ้าที่ตง้ั ไว้ เพื่อให้มีจำนวนเส้นไหมครบตาม
จำนวนช่องฟันหวีท่ีต้องการจะใช้ โดยจำนวนฟันหวีจะเป็นตัวกำหนดหน้ากว้างของผ้าไหม เสร็จแล้วจึงนำมา
หวีเข้าหัวม้วน โดย ๑ ช่องฟันหวี ใช้เส้นไหมยืน ๑ เส้น เช่น หากกำหนดใช้ฟันหวี ๒,๐๐๐ ช่อง จะมีเส้นไหมยืน
๒,๐๐๐ เส้น ได้ผา้ หน้ากว้าง ๔๐ น้ิว (เส้นไหมยืน ๕๐ เส้น ตอ่ หน้าผ้า ๑ นิ้ว) เป็นต้น ในส่วนผา้ ไหมชุมชนบ้านครัว
นิยมใช้เส้นไหมสีดำ สีขาว สีแดงเป็นเส้นยืน เพราะเป็นสีที่สามารถทอสีไหมและเล่นลายได้สวย โดยลายเกล็ดเต่า
และลายลูกฟูกจะใช้ฟนั หวีประมาณ 1,680 ช่อง ลายหางกระรอกและผา้ พืน้ จะใชฟ้ นั หวีประมาณ 2,000 ช่อง
๘
การเขา้ หวั ม้วน
การเข้าหัวมว้ น คือ การนำเส้นไหมยืนทีส่ างด้วยฟันหวเี ป็นระเบยี บดีแล้วมว้ นเข้าหวั ม้วน เม่ือม้วน
เส้นไหมได้ทกุ ๆ 5 เมตร จะใช้ทางมะพร้าวสอดกันไว้ 2 – 3 กา้ น เพ่อื ใหค้ นทอรวู้ ่าขณะนั้นทอได้จำนวนกเี่ มตร
การทอผา้ ไหม
คือ การข้ึนก่ีทอทำให้เส้นไหมสองกลุ่ม“ขัดกัน” ด้วย“เส้นไหมยืน”และ“เส้นไหมพุ่ง”เกิดเป็น
ผืนผ้าโดยท้ังสองเส้นอาจเป็นสีเดยี วกันหรือต่างสีกันได้ การใช้ลักษณะของการขัดกันหากใช้เส้นไหมสีเดียวกัน
จะทำให้ได้ผ้าไหมสีพ้ืนไม่มีลาย หรือใช้สีต่างกันจะเกิดเป็นลวดลายข้ึน เช่น การทอเส้นยืนสลับสีจะทำให้เกิด
ผ้าลายร้ิวทางยาว การทอดว้ ยเส้นพุ่งสลับสีจะทำให้ได้ผ้าลายร้ิวทางขวางการทอด้วยเส้นยืนและเส้นพุ่งสลับสี
กจ็ ะไดล้ ายตารางดังเชน่ ลายผ้าขาวม้า เป็นต้น โดยทายาทของผู้ทอผ้าไหมท่ีเหลืออยู่กล่าวถึงการใช้เสน้ ไหมพุ่ง
และเส้นไหมยืน เล่าสืบต่อกันมาว่าในอดีตชุมชนบ้านครัวได้เส้นไหมจากจากประเทศจีนและกัมปงจามมาทำ
เส้นไหมพุ่งและเส้นไหมยืนโดยใช้ไหมจากท่ีเดียวกันเป็นไหมรังเหลือง ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้เส้นไหมยืนจาก
อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดสรุ ินทร์ จนเมื่อถึงยุคที่เป็นฐานการผลิตให้บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด จึงเปล่ียนมาใช้
เสน้ ไหมยืนจากประเทศญ่ีปุ่น โดยนายจิม ทอมปส์ ัน เปน็ ผู้กำหนดและนำมาขายใหก้ บั ทางชุมชนจนเมอ่ื สน้ิ สุดการผลิต
ส่งให้กับบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ทางชุมชนจึงเปลี่ยนมาใช้เส้นไหมบริษัท จุลไหมไทย จำกัด จังหวัด
เพชรบรู ณ์
วสั ดอุ ปุ กรณ์การทอผ้าไหม
1. กง ใช้สำหรับพันเส้นไหมให้เป็นใจ จะใช้ในขั้นตอนการได้ไหมดิบก่อนการนำไปฟอกกาวและ
ย้อมสี เพราะเม่ือได้เส้นไหมดิบมาแต่ละครั้งจะม้วนพันมาเป็นลักษณะวงกลมที่สั้นยาวไม่เท่ากัน จึงต้องใช้กง
พันเสน้ ไหมใหเ้ ป็นใจในขนาดเดยี วกันเพอื่ ให้สะดวกต่อการนำไปฟอกกาวและย้อมสี
2. ระวิง สำหรับใส่เสน้ ไหมใช้ร่วมกับกงเพราะบางคร้ังเส้นไหมเมื่อได้มามคี วามยาวมากจะใชร้ ะวิง
มาชว่ ยกรอเขา้ หลอด
3. อัก ใช้สำหรับการควบรวมเส้นไหมให้เปน็ ขนาด ๒, ๓, และ ๔ เส้นหรือมากกวา่ นี้ เพ่ือกรอเข้า
หลอดเลก็ รวมไหมเขา้ หลอดไม้รวก
4. หลอดไม้รวก ใช้สำหรบั พนั เส้นไหมกรอเข้าหลอดใหญห่ รือหลอดโคน สว่ นหลอดสงั กะสีใช้แทน
หลอดไหมเลก็ เพือ่ แยกสีไหมมาใสใ่ นกระสวยเตรียมทอ ปจั จบุ ันใช้หลอดพลาสติกทดแทน
5. เคร่ืองกรอหางกระรอก (เครื่องตีหางกระรอก) เป็นอุปกรณ์การทำเส้นไหมพุ่งให้มีลาย “ปั่นตี-
เป็นเกลียว” ด้วยเส้นไหม 2 สี เพื่อนำมาทอผ้าไหมลายหางกระรอกและเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ
แขกจามชมุ ชนบ้านครัว
6. ไน เป็นเครื่องมือสำหรับกรอด้ายเข้าหลอดด้ายก่อนท่ีจะนำไปใส่กระสวย ต้องนำไปใช้ร่วมกับ
ระวิง มลี ักษณะด้านหนงึ่ เปน็ กงล้อขนาดใหญ่มีเพลาหมนุ ด้าย มสี ายพานตอ่ ไปยงั ท่อเล็กๆ ท่ปี ลายอกี ขา้ งหน่ึง
สำหรบั ชุมชนบ้านครัวนั้นใช้ใช้ก่ีกระทบทอผา้ มาโดยตลอด จนถึงยุคที่ชุมชนบ้านครัวเป็นฐานการ
ผลติ ผ้าไหมส่งให้กับบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ของนายจมิ ทอมป์สัน เพ่ือให้สามารถทอผ้าไหมได้ทัน
ตามความต้องการในปริมาณมากโดยยังคงใช้วิธีการทอมือ จึงเปลี่ยนมาใช้ “ก่ีกระตุก” แทนก่ีกระทบแบบ
ดง้ั เดิม โดยกที่ อผา้ มสี ว่ นประกอบทส่ี ำคญั ดังน้ี
๙
1. ฟืมหรือฟันหวี เป็นกรอบไม้แบ่งเป็นช่องถ่ีๆด้วยลวดซี่เล็กคล้ายหวี สำหรับสอดไหมยืนเพ่ือ
จัดเสน้ ใหอ้ ยหู่ ่างกันและตกี ระทบเสน้ ไหมพงุ่ ทสี่ านขดั กบั เสน้ ไหมยืนอดั แนน่ ใหเ้ ปน็ ผืนผา้
2. ตะกอ คือ ตัวจัดกลุ่มเส้นไหมยืน เพื่อเปิดช่องด้ายยืนสำหรับใส่ไหมพุ่งและเป็นตัวกำหนดการ
ขนึ้ ลาย
3. แกนมว้ นดา้ ยยืน ใช้มว้ นด้ายยืนขณะทอ
4. เท้าเหยียบ ใช้ควบคุมการยกตะกอ
5. ท่นี ัง่ สำหรับน่ังขณะทอผ้า
6. กระสวย มีลักษณะคล้ายเรือ ใช้สำรับสอดใส่ด้ายพุ่งมีร่องใส่แกนกระสวยมีท้ังแบบแกนเด่ียว
และแกนคู่ ใช้สำหรับพนั ด้ายพงุ่ เปน็ หลอดเลก็ ๆ
7. ผัง ทำจากไม้ มีลักษณะเล็ก เรียว และยาวกว่าหน้าผ้าเล็กน้อย ปลาย 2 ข้างเป็นเหล็กแหลม
ใช้สำหรับขึงหน้าผ้าให้ตึง และมีขนาดคงเดิมขณะทอ
การกำหนดความหนาของผ้าไหมเพ่ือนำไปใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ อาทิ การนำไปใช้เพ่ือการ
สวมใส่โดยท่ัวไป การนำไปตัดสูท การนำไปทำเฟอร์นเิ จอร์ เป็นต้น จะพิจารณาจากขนาดของเส้นไหมท่ีนำมา
ทำเป็นเส้นไหมพุ่ง กลา่ วคือ
ผ้าไหม 1 เสน้ หมายถึง ผา้ ไหมที่ขัดดว้ ยเส้นยืนและเสน้ พงุ่ เส้นเดยี ว
ผ้าไหม 2 เส้น หมายถึง ผ้าไหมที่ขัดด้วยเส้นยืน 1 เส้น และเส้นพุ่งท่ีควบเส้นไหม 2 เส้นผ้าที่ได้
จะมีความหนากวา่ ผ้าไหม 1 เสน้
ผ้าไหม ๓ เส้น หมายถึง ผ้าไหมท่ีขัดด้วยเส้นยืน 1 เส้น และเส้นพุ่งท่ีควบเส้นไหม ๓ เส้นผ้าที่ได้
จะมคี วามหนากว่าผา้ ไหม ๒ เสน้
ผา้ ไหม 4 เส้น หมายถงึ ผ้าไหมทข่ี ดั ดว้ ยเสน้ ยืน 1 เสน้ และเส้นพุ่งท่ีควบเสน้ ไหม 4 เส้นหนากว่า
ผ้าไหม 1 - ๓ เสน้ และเป็นผา้ ไหมเน้ือหนามาก
โดยผ้าไหมของชมุ ชนบา้ นครวั นิยมใช้การทอผ้าไหม 1 - ๓ เส้น สำหรับผ้าเพ่ือสวมใส่ และการทอ
ผ้าไหม 4 เส้นข้ึนไปนำไปใช้ตัดเย็บเฟอร์นิเจอร์ เช่นผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ผ้าบุโซฟา ซ่ึงผู้ว่าจ้างสามารถแจ้งผู้ทอได้ว่า
ตอ้ งการใช้เสน้ ไหมพุ่งควบกเี่ สน้
ลวดลายเอกลักษณ์และลักษณะของผ้าไหมชมุ ชนบ้านครัว
ลายหางกระรอก เป็นผ้าทอที่มีลักษณะลวดลายเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความประณีตและงดงาม
เกิดจากภูมิปัญญาเพ่ือการแก้ปัญหา“เส้นไหมด่าง” มีลักษณะเฉพาะ คือ การทอใช้ไหมเส้นพุ่ง 2 เส้นนำมา
ตีเกลียวควบเข้าด้วยกันให้เป็นเส้นเดียว เทคนิคน้ีจึงทำให้เน้ือผ้ามีลักษณะความเหลือบสี เห็นเป็นลายเส้น
เล็กๆ ในตัว คลา้ ยกับขนหางกระรอกมขี ั้นตอนและลักษณะการทอ คอื
1. เลือกสีไหม
2. การเหยียบไม้เหยียบหูก(แป้นเหยียบ) โดยเหยียบไม้เหยียบหูกไม้ที่ 1, 2 (จากซ้าย ไป ขวา)
ในจังหวะ 1, 2 สลับกนั ไปมา ทำเชน่ น้ีไปเรอื่ ยๆ (เมื่อไม้เหยียบหูกไม้ที่ 1 กระสวยจะอยู่ด้านซ้าย เม่ือเหยียบ
2 กระสวยจะอยู่ด้านขวา)
๑๐
ลายเกล็ดเตา่ เป็นลักษณะการทอขัดเน้ือผ้าให้ข้ึนเป็นลายคล้ายตารางสี่เหล่ียม ชุมชนบ้านครัวใช้
การขัดกันแบบ 2 ตะกอ ต่างจากที่อื่นซ่ึงใช้ 4 ตะกอ การทอผ้าลายนี้ใช้เวลาในการผลิตซ่ึงต้องใช้เวลาทอนาน
ผู้ทอตอ้ งมคี วามชำนาญประณีตมขี ้ันตอนและลกั ษณะการทอ คอื
1. เลือกสีไหม
2. การเหยียบไม้เหยยี บหกู (แปน้ เหยยี บ) โดยเหยียบไม้เหยียบหูกไม้ท่ี 1, 2 (จากซ้าย ไป ขวา)
ในจังหวะ 1, 2, 1, 2 แล้วจึงกลบั มาเป็น 2, 1, 2, 1 ทำเชน่ นไี้ ปเรอ่ื ยๆ
ลายลกู ฟูก เป็นการทอในเน้ือผา้ ใหม้ รี ้ิวนูน มขี นั้ ตอนและลักษณะการทอ คอื
1. เลือกสีไหม
2. การเหยียบไม้เหยียบหูก(แป้นเหยียบ)โดยเหยียบไม้เหยียบหูกไม้ที่ 1, 2 (จากซ้าย ไป ขวา)
ในจงั หวะ 1, 2, 1, 2 จำนวน 4 เท่ียว แลว้ จงึ เหยยี บลูกฟูกเส้นหนา 1 เที่ยว ทำเช่นน้ไี ปเรือ่ ยๆ
ทง้ั นี้ กระบวนการทอผา้ ไหมลายหางกระรอก ลายเกล็ดเต่า และลายลูกฟกู เป็นการทอโดยใช้เพยี ง
2 ตะกอ ซ่ึงเป็นลักษณะเฉพาะของชุมชนบ้านครัว และผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาท่ีหลงเหลืออยู่เป็นคนรุ่นเก่า
จึงไมส่ ามารถอธบิ ายให้เข้าใจได้โดยวาจาแตส่ ามารถถ่ายทอดใหผ้ สู้ นใจเรยี นรู้ไดจ้ ากปฏิบัติ
สว่ นที่ ๒ คุณคา่ และบทบาทของวิถชี ุมชนท่ีมตี ่อมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
1. คุณค่าของมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมท่สี ำคญั
ผ้าไหมบ้านครัว เป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือหัตถกรรมของงานช่างฝีมือดั้งเดิมในด้าน
การทอผ้าไหม ของแขกจามชุมชนบ้านครัวท่ีได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษซ่ึงเป็นชาวมุสลิมเขมรเก่าแก่ต้ังแต่
ต้นกรุงรัตนโกสินทร์สืบทอดมายาวนานกว่า 200 ปี เป็นแหล่งทอผ้าไหมเพียงแห่งเดียวในกรุงเทพมหานครและ
ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน มีความเป็นเอกลักษณ์ท้ังในด้านลวดลายและกระบวนการให้ได้มาด้วยการปฏิบัติท่ีมี
ความยาก มีความซับซ้อนต้องใช้ฝีมือความชำนาญ ท้ังผู้ท่ีเคยประกอบอาชีพด้านการทอผ้าไหมส่วนใหญ่เลิก
ทำและหันไปประกอบอาชีพอ่ืน คงเหลือผู้รู้ที่สามารถดำเนินการได้ในทุกข้ันตอนเพียงไม่กี่คน ลวดลายที่เป็น
เอกลักษณ์ของชุมชนบ้านครัว ได้แก่ ลายหางกระรอก ลายเกล็ดเต่า และลายลูกฟูก ซ่ึงเป็นผ้าไหมทอมือโดย
ใช้เทคนคิ การทอแบบ 2 ตะกอ
๒.บทบาทของชุมชนทม่ี ตี ่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ในอดีตคนในชุมชนเกือบทุกครัวเรือนมีอาชีพท่ีเกี่ยวข้องกับกระบวนการทอผ้าไหม แต่ไม่ได้
ถ่ายทอดการทอผ้าไหมในลวดลายแบบโบราณดั้งเดิม เป็นเพียงการผลิตผ้าไหมตามลวดลายที่ส่ังทำตาม
ความต้องการของตลาด (ของบรษิ ัท อสุ าหกรรมไหมไทย จำกดั ) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๐ คนในชมุ ชนเลกิ อาชีพ
การทอผ้าไหมและหนั ไปประกอบอาชีพอืน่ แทน
๑๑
ปัจจุบันจึงเหลือผู้ประกอบการทอผ้าไหมและย้อมเส้นไหมเพียง 2 ราย ในชุมชนบ้านครัว คือ
นายนิพนธ์ มนูทัศน์ และนายมนัสนันท์ เบญจรงค์จินดา ที่ยังคงสานต่อในอาชีพการทอผ้าไหมให้คงอยู่ และแม้
ไม่ได้เป็นแหล่งสร้างอาชีพดังเช่นในอดีตแต่ผ้าไหมบ้านครัวก็ยังคงมีเสน่ห์เป็นที่กล่าวถึงในความงามและ
เอกลักษณเ์ ฉพาะในลวดลายการทอจากผลผลติ ของชุมชนแห่งน้ี
สว่ นที่ ๓ มาตรการในการสง่ เสริมและรกั ษามรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
๑. โครงการ กจิ กรรมท่มี ีการดำเนินงานของรายการมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
การศึกษา วิจัย (ระบุวิธดี ำเนินงาน พื้นท่ี ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ)
1. มานิตา อยสู่ ขุ . (2548). การส่ือสารของชุมชนบ้านครวั ผา่ นผลิตภณั ฑผ์ า้ ไหม. วิทยานิพนธ์มหาบณั ฑติ
สาขาวชิ านิเทศศาสตร์พฒั นาการ บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์.
2. ปรศิ นา เพชระบรู ณิน และธัญธชั วภิ ัตภิ ูมปิ ระเทศ. (2561). ความต้องการมสี ว่ นรว่ มและทศั นคติ
ของชมุ ชนท่ีมีต่อการพัฒนาชมุ ชนบ้านครวั เปน็ แหลง่ ทอ่ งเท่ียว. วารสารมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
การอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู
ผู้ประกอบอาชีพการทอผ้าไหมท่ีเหลืออยู่ของชุมชนบ้านครัวยังทอผ้าไหมด้วยกี่กระตุก โดยคง
กระบวนการผลิตแบบเดิมไวใ้ ห้ไดม้ ากท่ีสุดและผลติ ผ้าไหมภายใต้แบรนด์ของตนเองในลวดลายแบบดั้งเดมิ นำ
ออกจำหน่ายในโอกาสต่างๆ การออกร้านนิทรรศการร่วมกบั องค์กร/หน่วยงานท่ีมกี ารดำเนินงานด้านสง่ เสริม
อนุรกั ษศ์ ลิ ปวัฒนธรรม เพื่อขยายตลาดให้เปน็ ทีร่ จู้ ักและมกี ารสง่ั ซอื้ ผ้าไหม ดังนี้
1. นายนพิ นธ์ มนูทศั น์ เจ้าของแบรนด์ "ผ้าไหมบ้านครัว"ทายาทแขกจาม รุ่นที่ 3 ผลิตผ้าไหมด้วย
ก่กี ระตุกโดยคงกระบวนการผลิตแบบเดิมไว้เกือบทุกข้ันตอน เพื่อไม่ให้ภูมปิ ัญญาด้ังเดมิ น้ันสูญหาย และมีการ
ปรับเปล่ียนภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกบั การประยุกต์ใช้เคร่ืองมือและกระบวนการผลิตในบางข้ันตอน การนำ
เทคโนโลยีการผลิตมาใช้ให้เข้ากับการตลาดและความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันทั้งน้ีได้จดทะเบียนกับ
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยผ่านมาตรฐานเป็นสินค้า OTOP ในระดับ ๓ ดาว ในปี พ.ศ.
๒๕๔7 และในระดับ ๔ ดาว ในปี พ.ศ. ๒๕49 จนถึงปัจจุบัน และได้รับการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์
ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน 3 ชนิด คือ นกยูงสีเงิน (Classic Thai Silk) นกยูงสีน้ำเงิน (Thai Silk) และ
นกยูงสีเขียว (Thai Silk) จากกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากน้ียังร่วมออกร้าน OTOP
และจัดบทู ในงานของหน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน อาทิ
๑๒
1.1 การออกบูทงานตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย ของกรมหม่อนไหม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปน็ ประจำทุกปี
1.2 การออกร้าน OTOP ของกระทรวงพาณิชย์เปน็ ประจำทุกปี
1.3 การออกร้านงานไทยแลนด์ อินดสั ทรี เอ็กซโ์ ปของกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประจำทุกปี
2. การจัดแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านครัว ณ มัสยิดยามีอุลค็อยรียะห์ หรือมัสยิดกลางใน
ชุมชนบ้านครัวจัดต้ังขึ้นเม่ือปี พ.ศ. 2558 มีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นฐานข้อมูลชุมชนบ้านครัวท่ีบอกเล่าถึง
ประวัติศาสตร์ความเป็นมาและภูมิปัญญาอันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะ มีคณะกรรมการชุมชนกำกับดูแล โดย
นายนิพนธ์ มนูทัศน์ทายาทรุ่นท่ี 3 จากตระกูลมนูทัศน์ เป็นที่ปรึกษาในด้านภูมิปัญญาด้านการทอผ้าไหม-
บา้ นครวั แบบดง้ั เดิม
3. นายมนัสนันท์ เบญจรงค์จินดา เจ้าของแบรนด์ “บ้านครัวเหนือผ้าไหมไทย” รับย้อมเส้นไหม ทอผ้าไหม
ดว้ ยกีก่ ระตุกโดยคงกระบวนการผลิตแบบเดิมไว้
การสบื สานและถา่ ยทอด
วิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าไหมของชุมชนบ้านครัวท่ีผ่านมาไม่ได้มีการจดบันทึกเป็น
ลายลักษณ์อักษร แต่เป็นการถ่ายทอดจากผู้รู้ด้วยการเป็นลูกมือ การฝึกฝนและปฏิบัติจากประสบการณ์จริง
ในทุกข้ันตอนด้วยความเข้าใจ ซ่ึงต้องอาศัยความอุตสาหะ เวลา และการฝึกฝนจนชำนาญ โดยท่ีผ่านมา
มถี ่ายทอดให้กับคนในครอบครัว ลูกจ้างแรงงานจากภายในและภายนอกชุมชน เพ่ือให้เกิดการขับเคลื่อนและ
ผลิตงานไดท้ ันกับความต้องการของตลาด
ปัจจุบันคงเหลือผู้รู้เร่ืองภูมิปัญญาการทอผ้าไหมบ้านครัวเพียง 2 ท่าน และได้ถ่ายทอดให้แก่ทายาท
โดยพยายามคงกระบวนการทอผ้าไหมในลวดลายแบบด้งั เดมิ ไว้
ผู้รู้ยินดีถ่ายทอดองค์ความรู้การทอผ้าไหมให้กับผู้ที่มีความสนใจ แต่เน่ืองจากกระบวนการให้ได้มามี
ความซับซ้อนหลายขั้นตอน มีวัสดุอุปกรณ์เฉพาะงาน อาทิ ก่ีทอผ้า เคร่ืองกรอไหม กง ระวิง อัก ฟืม เป็นต้น
ประกอบกับผู้ถ่ายทอดเป็นคนรุ่นเก่า มีศัพท์เรียกวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการต่างๆ เป็นคำเฉพาะของคนโบราณ
หรือชื่อเฉพาะที่ใชภ้ ายในชุมชนเท่าน้นั การอ่านเอกสารแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติร่วมด้วยอาจสร้างความสับสนแก่
ผู้ที่สนใจ จึงไม่สามารถถ่ายทอดหรือให้ความรู้ภายนอกชุมชนได้ครบถ้วนชัดเจนต้องดำเนินการที่บ้านผู้รู้ผ่าน
การฝึกปฏิบัติจริงเท่าน้ัน หรือต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์ท่ีเกี่ยวข้องให้พร้อมจึงสามารถดำเนินการสอนและ
ฝึกปฏบิ ตั ิได้ ซ่ึงเปน็ อุปสรรคหนึง่ ท่ีสำคญั ต่อการถ่ายทอดและเรยี นรู้
การพัฒนาต่อยอดมรดกภูมิปญั ญา
- นายนิพนธ์ มนูทัศน์ เจ้าของแบรนด์ "ผ้าไหมบ้านครวั " ได้พัฒนาต่อยอดมรดกภูมิปัญญาผลิตผ้าไหม
ด้วยการคิดค้นผลิตผ้าไหม“เหลืองสิรินธร” ซ่ึงเป็นการทอผ้าไหมนวัตกรรมใหม่จากรังไหมสายพันธ์ุดอกบัว
ที่ให้เส้นไหมรังเหลืองแท้และได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร (สายพันธุ์อื่นยังไม่มีการรับรอง ณ ขณะน้ัน)
โดยนำเส้นไหมดิบมาฟอกล้างกาวไหมเซริซิน (Sericin) ด้วยความร้อนเพียง 25 % ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้
คงเหลอื กาวไหม (Sericin) อยู่ในเนอื้ เสน้ ไหมและไม่ผ่านการย้อมสีนำมาผลิตเป็นเส้นไหมยืนและเส้นไหมพ่งุ
ซ่ึงผา้ ไหมที่ไดจ้ ะมีคุณภาพสงู ผ้าเหนียว นมุ่ ระบายอากาศได้ดี และได้รบั การรับรองจากกรมหม่อนไหมแลว้
ว่าเม่ือนำมาตัดเย็บสวมใสจ่ ะมีคุณสมบัตปิ ้องกันรังสยี วู ีได้ ถือเป็นนวัตกรรมภูมิปัญญาชุมชนท่ีมีการพัฒนาต่อยอด
๑๓
มรดกภูมิปัญญาด้ังเดิมท่ีไม่มีผลกระทบกับส่ิงแวดล้อมลดการใช้พลงั งาน ปราศจากสารเคมี มเี อกลักษณ์เฉพาะ
และเป็นผ้าไหมที่ได้รับพระราชนามจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ว่า “ผ้าไหมเหลืองสิรินธร”
-นายมนัสนันท์ เบญจรงค์จินดา เจ้าของแบรนด์ “บ้านครัวเหนือผ้าไหมไทย” ได้นำวิธีการเพ๊นท์
มาออกแบบลวดลายบนผ้าไหม
๓. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมอน่ื ๆ ท่ีคาดวา่ จะดำเนินการในอนาคต
๑. การประชาสมั พนั ธ์ข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผา้ ไหมบา้ นครัว
ปจั จุบัน "ผ้าไหมบ้านครวั " ได้รับความสนใจมากข้ึน ด้วยเป็นชุมชนผลิตผ้าไหมในกรุงเทพมหานคร
เพียงแห่งเดียวที่สามารถให้ผู้ซ้ือได้เห็นกระบวนการข้ันตอนการผลิต และคงอยู่เพ่ือให้ผู้สนใจได้ศึกษาและ
สามารถเรียนรู้ปฏิบัติจริงได้กับผู้รู้จากช่างฝีมือดั้งเดิม ซึ่งหน่วยงานในพื้นท่ี อาทิ สำนักงานเขตราชเทวี
ยังมีกิจกรรมสนับสนุนตามโอกาสต่างๆ เพื่อส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมน้ีไว้ และ
ผ้าไหมบ้านครัวยังเป็นฐานข้อมูลภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ ของ
พน้ื ท่เี ขตราชเทวี เพือ่ เปน็ แหล่งท่องเที่ยวเชงิ วฒั นธรรมและสง่ เสริมการขายผลติ ภัณฑ์ของชมุ ชน
นอกจากนี้การออกร้านนิทรรศการร่วมกับองค์กร/หน่วยงานท่ีมีการดำเนินงานด้ านส่งเสริมอนุรักษ์
ศิลปวัฒนธรรม ยังเป็นการขยายตลาดประชาสัมพันธ์ให้เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายและมีการสั่งซ้ือผ้าไหมท้ังใน
ประเทศและต่างประเทศ
๒. การสง่ เสรมิ ใหเ้ ป็นแหลง่ เรียนรู้และท่องเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษ์
3. การสง่ เสรมิ ให้สถาบันการศึกษาตา่ งๆ นำไปคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑแ์ ละบรรจภุ ัณฑ์
4. การสนับสนุนการสร้างเครือข่าย ตลอดจนให้ความรู้ด้านการตลาดสำหรับรองรับการจำหน่าย
ผลติ ภณั ฑ์
สว่ นที่ ๔ สถานภาพปัจจุบนั
1. สถานะการคงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
มีการปฏบิ ตั ิอย่างแพรห่ ลาย
เส่ยี งตอ่ การสูญหายตอ้ งไดร้ บั การสง่ เสริมและรักษาอย่างเร่งดว่ น
ไม่มีการปฏิบตั อิ ยู่แลว้ แตม่ คี วามสำคญั ต่อวิถีชมุ ชนที่ต้องได้รับการฟนื้ ฟู
2. สถานภาพปจั จบุ นั ของการถ่ายทอดความรูแ้ ละปจั จัยคกุ คาม
1. ในปัจจุบันผ้าไหมบ้านครัว เขตราชเทวี เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมเพียงแห่งเดียวของกรุงเทพมหานคร
เหลืออยู่ โดยมีผู้สืบสานและถ่ายทอด ๒ ราย ทำให้เสี่ยงต่อการสูญหาย และจำเป็นต้องได้รับการสำรวจเพื่ออนุรกั ษ์
สืบสานให้คงอยู่ แม้กระบวนการผลิตทั้งรูปแบบการทอลวดลายและการย้อมจะมีการเปล่ียนแปลงให้สอดคล้องกับ
สภาพแวดล้อมสังคม วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงความต้องการในยุคสมัยปัจจุบันที่เข้ามี
บทบาทต่อชุมชนกต็ าม
2. ลวดลายผ้าซ่ึงเป็นมรดกภูมิปัญญาของผ้าไหมบ้านครัวเป็นลายโบราณท่ีมีลักษณะการทอด้วย
เทคนิคเฉพาะต้องใช้การเวลาฝึกฝนยาวนานและอาศัยความชำนาญ เป็นต้น ทำให้ชุมชนแห่งนี้ไม่สามารถ
คงกระบวนการผลิตในแบบดัง้ เดมิ ไวท้ ัง้ หมดได้
๑๔
จากขอ้ มูลในปัจจุบนั สิ่งทีเ่ ป็นปัจจัยคกุ คามการคงอย่ขู องผา้ ไหมบ้านครัว ได้แก่
1. เส้นทางการเดนิ ทางเข้าถงึ แหลง่ ข้อมูลท่ซี ับซ้อน
2. ขาดการประชาสมั พันธ์
3. ไม่มีโครงการหรือกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเพื่อผลักดันเพื่อสนับสนุนชุมชนและผลิตภัณฑ์ให้เป็นท่ีรู้จัก
อยา่ งตอ่ เน่อื ง
4. ขาดตลาดรองรบั ผลติ ภัณฑท์ แี่ นน่ อน
5. ผูค้ นวัยหน่มุ สาวไมส่ นใจและสืบทอดการทอผ้า การขาดแรงงานผรู้ บั จ้างเนื่องจากไมม่ คี วามมน่ั ใจใน
ความมนั่ คงของอาชีพ สภาพแวดล้อมในปจั จบุ ันไม่เอ้อื ตอ่ การดำเนินการผลติ
๓. รายชือ่ ผสู้ ืบทอดหลกั (เช่น บุคคล กล่มุ คน .... เปน็ ตน้ )
รายชือ่ บคุ คล/หัวหน้าคณะ/กลุม่ / อาย/ุ องคค์ วามรู้ดา้ นที่ไดร้ บั สถานท่ตี ิดต่อ/โทรศพั ท์
สมาคม/ชุมชน อาชพี การสืบทอด/จำนวนปีที่
๑. คุณนพิ นธ์ มนทู ศั น์ สืบทอดปฏบิ ัติ
๒. คณุ ภทั รามาศ มนูทศั น์ 71 ปี - การทอผา้ ไหม 08 1203 9089
๓. คณมนัสนันท์ เบญจรงคจ์ ินดา
- การย้อมเส้นไหมดว้ ย 837 ซอยพญานาค
4. คณุ นพคุณ เบญจรงคจ์ ินดา
ข้ันตอนวธิ กี ารแบบดัง้ เดมิ ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี
กรุงเทพมหานคร
40 ปี - การทอผ้าไหม 837 ซอยพญานาค
การย้อมเสน้ ไหมด้วย ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี
ขน้ั ตอนวธิ กี ารแบบด้งั เดมิ กรุงเทพมหานคร
80 ปี - การทอผา้ ไหม 847/1ชมุ ชนบา้ นครัว
- การยอ้ มเสน้ ไหมดว้ ย เหนือ ซอย 9
ขั้นตอนวิธีการแบบใหมโ่ ดย เขตราชเทวี แขวงถนน
ใช้สีสังเคราะห์ ในยุคทีเ่ ป็น เพชรบุรี
ฐานการผลติ ให้กับ กรุงเทพมหานคร
แบรนด์จมิ ทอมป์สัน
51 ปี - ยอ้ มไหมฟอก ผสมสีย้อม 96/152
ดว้ ยข้นั ตอนวธิ ีการแบบใหม่ หมู่บ้านฟลอร่าวิลล์
โดยใช้สีสงั เคราะห์ ถนนสุวินทวงศ์
เขตหนองจอก
แขวงลำผักชี
กรงุ เทพมหานคร
๑๕
สว่ นท่ี ๕ การยินยอมของชมุ ชนในการจัดทำรายการเบอื้ งต้นมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
ชอื่ -สกุล คุณนิพนธ์ มนูทัศน์
สถานภาพทเ่ี กยี่ วข้องกบั มรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ผู้ประกอบอาชีพการทอผ้าไหมทายาทเชื้อสายแขกจามจากตระกูลมนูทัศน์ รุ่นท่ี 3 เจ้าของแบรนด์
“ผา้ ไหมบา้ นครวั ” .
ขอรับรองขอ้ มูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยนิ ยอมให้เปดิ เผยขอ้ มูลและนำไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป
ลงชอ่ื
()
วันที่
ช่ือ-สกุล คุณมนสั นนั ท์ เบญจรงคจ์ นิ ดา
สถานภาพทเ่ี กี่ยวข้องกบั มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ผ้ปู ระกอบอาชีพรบั ย้อมเส้นไหม และทอผา้ ไหมเจ้าของแบรนด์ “บา้ นครวั เหนอื ผ้าไหมไทย”
ขอรบั รองขอ้ มูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมใหเ้ ปิดเผยขอ้ มูลและนำไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป
ลงช่อื )
(
วนั ที่
ส่วนท่ี ๖ ภาคผนวก
1. เอกสารอา้ งอิง
เรืองศักด์ิ ดำริห์เลิศ. (2545). ประวัติศาสตร์บ้านครัวและการต่อต้านทางด่วยซีโรดของชาวชุมชน.
กรุงเทพมหานคร.
สภุ ัทร คำมงุ คุณ. ตรานกยูงพระราชทาน เครอื่ งหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย. เอกสารออกอากาศรายการ
ร้อยเรอื่ งเมอื งไทย. สำนกั งานเลขานุการสภาผูแ้ ทนราษฎร. วันท่ี 11 สิงหาคม 2561.
แหลง่ ทมี่ า www.komchadluek.net/news/agricultural/290876
๑๖
2. รูปภาพ พร้อมคำอธิบายใต้ภาพ จำนวน 29 ภาพ(แนบอยดู่ า้ นหลงั )
3. ขอ้ มูลภาพถา่ ย ข้อมูลภาพเคล่อื นไหว หรือข้อมลู เสียง (ระบปุ ระเภทของสื่อท่ีแนบมาพรอ้ มคำอธบิ าย)
ข้อมลู ภาพถา่ ย ไดแ้ ก่
ขอ้ มลู ภาพเคล่ือนไหว ได้แก่
ขอ้ มูลเสยี ง ได้แก่
4. ข้อมูลผเู้ สนอ
ชื่อ-สกลุ ว่าทรี่ อ้ ยตรีประภพ เบญจกลุ
ตำแหน่ง นกั วิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพเิ ศษ
หน่วยงาน ส่วนวฒั นธรรม สำนกั งานวฒั นธรรมและการทอ่ งเทีย่ ว
มอื ถือ ............089-1115477...........
5. ขอ้ มลู ผปู้ ระสานงาน
ช่ือ-สกลุ นางสุภาวดี สมานมิตร
มือถือ๐๘ 9798 8571
***********************
๑๗
ภาพประกอบ
ลวดลายท่ีเปน็ เอกลกั ษณส์ บื ทอดมาแตโ่ บราณของชุมชนบา้ นคัว
1.ผา้ ไหมลายลกู ฟกู
2.ผา้ ไหมลายเกรด็ เต่า
3.ผา้ ไหมลายหางกระรอก
๑๘
ลักษณะเสน้ ไหมดิบเมอื่ ได้มากอ่ นนำมาฟอก
การคัดเสน้ ไหม เส้นไหมดิบก่อนนำมาฟอก ต้องจำแนกตามขนาดของเสน้ ไหมไว้ ๓ กลุ่ม คือ
- ไหมนอ้ ย เส้นไหมทมี่ ีขนาดเสน้ เลก็ ทส่ี ดุ - ไหม ๒ เปน็ เส้นไหมท่มี ีขนาดกลาง - ไหม ๓ เป็นเส้นไหมทมี่ ขี นาดใหญท่ ส่ี ดุ
นยิ มมาใช้ทำเส้นไหมพุง่ และเส้นไหมยืน
๑๙
การคดิ ค้นผลิตผา้ ไหมเหลืองสริ ินธร
ผ้าไหมเน้ือบางเหมือนผ้าแกว้ แตม่ ีความเหนยี ว แนน่ นุ่ม โดยผ้าไหมยังคงเหลอื กาวไหม (Sericin) อยู่ในเน้ือเสน้ ไหม
เป็นผ้าไหมสเี หลืองธรรมชาติและไม่ผา่ นการย้อมสี
ผา้ ไหมชุมชนบ้านครัว
ประเภทผ้าพ้นื ผ้าลาย
๒๐
วสั ดุอุปกรณก์ ารทอผ้าไหม
กง เคร่ืองกรอหางกระรอก (เครอ่ื งตหี างกระรอก)
ระวิง ท่ขี ้นึ กรอหลอดเล็ก (อดีตใช้ม้วนหลอดสังกะสี)
ท่ีขน้ึ กรอหลอดใหญ่ ๒๑
อัก
ก่กี ระตุก
๒๒
ระวิงแบบใหม่ที่นำมาใช้ในปัจจุบนั
เครื่องกรอไหมหลอดเล็กแบบใหม่ทีน่ ำมาใช้ในปัจจุบนั
๒๓
เคร่อื งหมายตรานกยูงพระราชทาน
หมายเหตุ
เครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน เป็นเคร่ืองหมายท่ีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลท่ี 9
พระราชทานให้ใชร้ ับรองคณุ ภาพผลิตภัณฑ์ผา้ ไหมไทย 4 ชนดิ ได้แก่ ตรานกยูงพระราชทานสีทอง สเี งิน สีน้ำเงิน และสีเขียว
เพ่ือให้มีการใช้เคร่ืองหมายรับรองคุณภาพของผ้าไหมท้ังในประเทศและต่างประเทศ ช่วยแก้ปัญหาด้านมาตรฐานของ
ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย และยังเป็นการสร้างความเช่ือมั่นแก่ผู้บริโภคด้วย โดยเคร่ืองหมายรับรองตรานกยูงพระราชทาน
ท่ีจะใหผ้ ู้ผลิตนน้ั จะเนน้ คณุ สมบตั ขิ องวตั ถุดิบและกรรมวิธกี ารผลิตเปน็ หลกั
- นกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) น้ัน เป็นผ้าไหมซ่ึงผลิตจากวัตถุดิบ เส้นไหม กระบวนการผลิตแบบ
ภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิมของไทยอย่างแท้จริงและใช้เส้นไหมพันธ์ุไทยพ้ืนบ้านเป็นทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน เส้นไหมจะต้อง
สาวเสน้ ด้วยมือผ่านพวงสาวลงภาชนะ การทอด้วยกที่ อมือแบบพน้ื บา้ นชนิดพุ่งกระสวยดว้ ยมือ ย้อมด้วยสีธรรมชาติ หรือ
สเี คมที ่ไี ม่ทำลายสิง่ แวดล้อม และตอ้ งผลิตในประเทศไทยเทา่ น้นั
-นกยูงสีเงิน (Classic Thai Silk) เป็นผ้าไหมซ่ึงผลิตขึ้นแบบภูมิปัญญาพ้ืนบ้านผสมผสานกับการประยุกต์ใช้
เครื่องมือและกระบวนการผลิตในบางขั้นตอน ใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพ้ืนบ้านหรือท่ีได้รับการปรับปรุงจากพันธ์ุไทยเป็น
เส้นพุ่งหรือเส้นยืน เส้นไหมต้องผ่านการสาวด้วยมือ หรืออุปกรณ์ท่ีใช้มอเตอร์ขับเคล่ือนขนาดไม่เกิน 5 แรงม้า การทอ
ต้องทอด้วยก่ที อมอื ชนดิ พงุ่ กระสวยด้วยมือหรือกีก่ ระตกุ และตอ้ งทำการผลิตในประเทศไทยเชน่ กนั
-นกยูงสีน้ำเงิน (Thai Silk) เป็นผ้าไหมซึ่งผลิตด้วยภูมิปัญญาของไทยโดยการประยุกต์เทคโนโลยีการผลิตให้
เข้ากับสมัยนิยมและทางธุรกิจ ใช้เส้นไหมแทเ้ ปน็ เส้นพุ่งและเส้นยืน ย้อมด้วยสีธรรมชาติหรือสีเคมีท่ีไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ใชก้ ารทอด้วยกแี่ บบใดกไ็ ด้ และต้องผลติ ในประเทศไทยเชน่ เดยี วกนั
-นกยูงสีเขียว (Thai Silk Blend) เป็นผ้าไหมซ่ึงผ่านกระบวนการผลิตและเทคโนโลยสี มัยใหม่ท่ีผสมผสานกับ
ภูมิปัญญาไทย เช่น ลวดลาย สีสัน ใช้เส้นใยไหมแท้กับเส้นใยอื่นท่ีมาจากวัสดุธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะห์ต่างๆ
ตามวตั ถุประสงคข์ องการใชง้ านหรอื ตามความตอ้ งการของผู้บรโิ ภค โดยนกยูงสเี ขียวนม้ี เี สน้ ไหมแท้เป็นองคป์ ระกอบหลัก
มีเส้นใยอ่ืนเป็นส่วนประกอบรอง สัดส่วนการใช้เส้นใยชนิดอ่ืนประกอบต้องระบุให้ชัดเจน ใช้การทอด้วยกี่แบบใดก็ได้
ยอ้ มสีดว้ ยสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่ไม่ทำลายส่ิงแวดลอ้ ม และต้องผลิตในประเทศไทย
๑
แบบจดั ทำรายการเบ้ืองตน้ มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม แบบ มภ. ๒
ส่วนท่ี ๑ ลักษณะของมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
๑. ช่ือรายการ ศิลปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตัว ค่ายพระยาตาก
ช่ือเรยี กในท้องถิน่ ศลิ ปศาสตรก์ ารตอ่ สปู้ ระจำชาติไทย ค่ายพระยาตาก (นายกฤษณ์ ฤทธเ์ิ ดชา)
๒. ลักษณะของมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า ๑ ช่อง)
วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบตั ิทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล
ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกับธรรมชาติและจกั รวาล
งานชา่ งฝีมือด้ังเดิม
การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพื้นบา้ นและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตวั
๓. พืน้ ทีป่ ฏบิ ตั ิ
ศูนย์การเรียนรศู้ ิลปศาสตร์การต่อสปู้ ระจำชาติไทย ค่ายพระยาตาก เขตหนองแขม
กรงุ เทพมหานคร
๔. สาระสำคัญของมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมโดยสงั เขป
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ค่ายพระยาตาก เป็นมรดกภูมิปัญญาแขนงหน่ึงของศาสตร์ศิลปะการต่อสู้
ป้องกันตัว มีนายกฤษณ์ ฤทธิ์เดชา หรือ ครูกฤษณ์ เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญ า
ผ่านกระบวนการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ณ ศูนย์การเรียนรู้ศิลปศาสตร์การต่อสู้ประจำชาติไทย ค่ายพระยาตาก
ซงึ่ ต้ังอยูท่ ี่วัดศรนี วลธรรมวิมล (วัดหลวงพ่อเสอื ดำ) เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยเน้อื หาสาระที่ทำการ
ถา่ ยทอดภายใต้แนวคดิ “คมศาสตราสรา้ งชาติ ศิลปศาสตร์สร้างคน” ประกอบด้วยภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ
ได้แก่ ประวัตคิ วามเป็นมาและความสำคัญของศิลปะการต่อสปู้ ้องกันตัว ประวัติศาสตร์ชาติไทย ความเป็นมา
ของอาวุธตามตำราพิชัยสงคราม ศิลปะการต่อสู้ด้วยอาวุธประเภทต่างๆ เช่น อาวุธไทย ดาบสองมือ ง้าว
พลอง โล่ ดั้ง เขน ไม้ศอก มีดสั้น อาวุธพื้นบ้าน มีด พร้า คทา ขวาน ตะพด ธนู หน้าไม้ และการขว้างมีด
รวมไปถึงศิลปะป้องกันตัวมวยไทยคาดเชือก และการป้องกันตัวด้วยมือเปล่า ทั้งนี้ การถ่ายทอดองค์ความรู้
ของครูกฤษณ์ยังสอดแทรกเรื่องการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และระเบียบวินัยให้แก่ผู้เรียน ซ่ึงเป็น
เอกลักษณ์ของการเรยี นการสอนของศูนย์การเรียนรศู้ ิลปศาสตร์การต่อสปู้ ระจำชาติไทย คา่ ยพระยาตาก
๒
๕. ประวตั ิความเปน็ มา
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งท่ีเน้นการเรียนและฝึกฝนด้านการต่อสู้และการ
ป้องกันตัว ในปัจจุบันได้มีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย ท้ังในเชิงด้านการกีฬาเพ่ือฝึกฝนร่างกายให้สุขภาพ
สมบูรณแ์ ขง็ แรง หรอื แมก้ ระท่งั ฝกึ ฝนจติ ใจ
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ค่ายพระยาตาก เป็นศิลปะการต่อสทู้ ่ีมีท่ีมาจากตำราพิชัยสงครามโบราณท่ี
ใช้ในการสงคราม มีทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ มวยไทย และการต่อสู้ด้วยอาวุธที่
คอื วชิ ากระบกี่ ระบอง
การถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวนั้น มีการบรรจุวิชากระบ่ีกระบองรวมท้ังวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว
ลงในหลักสูตรการศกึ ษามาเปน็ เวลายาวนาน ทงั้ ในโรงเรยี นฝกึ หัดครูพละศกึ ษา โรงเรยี นสามญั รวมถงึ สถาบัน
ฝึกหัดศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทยโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีโรงเรียนและสถาบันต่างๆ ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น โรงเรียนเจ้าพระยาวิทยาคม โรงเรียนพุทธจักรวิทยา
วทิ ยาลัยนาฏศิลป โรงเรยี นศิลปการต่อสู้ปราโมทย์ยิม พุทไธสวรรย์ (โดยทายาทผู้สืบทอดสำนักดาบพุทธไธสวรรย์)
สำนกั ดาบกเู้ กียรติ เป็นต้น
นายกฤษณ์ ฤทธิ์เดชา หรือ ครูกฤษณ์ เป็นผู้ที่มีความเช่ียวชาญในศิลปะการต่อสู้ด้านกระบี่กระบอง
มวยไทย และมือเปล่า โดยเป็นศิษย์ของอาจารย์สมัย เมษะมาน ผู้ก่อต้ังสำนักดาบพุทไธสวรรย์ เดิมสำนักดาบ
พทุ ไธสวรรย์ต้ังอยู่ทถี่ นนเพชรเกษม เขตหนองแขม ครูกฤษณ์เข้ามอบตัวเป็นศิษย์ต้ังแต่อายุ 7 ปี และศึกษาศิลปะ
การต่อสู้จากอาจารย์สมัยเร่ือยมาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญและผันตัวมาเป็นครูผู้สอน ณ สำนักดาบพุทไธสวรรย์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 อาจารย์สมัย เมษะมาน ถึงแก่กรรม ทายาทผู้สืบทอดต่างแยกย้ายกันไปประกอบ
อาชีพของตน ทำให้สำนักดาบพุทไธสวรรย์ต้องปิดตัวลง ครูกฤษณ์จึงมีแนวคิดท่ีจะก่อตั้งโรงเรียนสอนศิลปะ
การต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อสืบทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาที่ได้รับจากอาจารย์สมัย เมษะมาน โดยได้รับความ
อนุเคราะห์จากหลวงพ่อทวีศักด์ิ ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล แบ่งพ้ืนท่ีส่วนหน่ึงของวัดให้เป็น
สถานที่ทำการเรยี นการสอนศลิ ปะการตอ่ สู้ป้องกนั ตวั จึงได้ก่อต้ังศูนย์การเรยี นรู้ศิลปศาสตรก์ ารต่อสู้ประจำชาติไทย
ค่ายพระยาตาก ณ วัดศรีนวลธรรมวิมล เมื่อวันท่ี 28 ธันวาคม 2546 เพ่ือเป็นสถานท่ีสำหรับการศึกษาตาม
อัธยาศัยสำหรับถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติไทย ได้แก่ ศิลปะการป้องกันตัว มวยไทย กระบ่ี
กระบอง เปน็ ต้น
นอกจากนี้ ครูกฤษณ์ ไดศ้ กึ ษาศิลปะการต่อสู้ประจำชาตขิ องชาติต่างๆ เพื่อเปรียบเทยี บกับศิลปะการ
ตอ่ สู้ของไทย แล้วนำมาปรับประยุกต์ แกไ้ ขข้อดอ้ ยศิลปะการตอ่ สู้ของไทยให้มีความสมบูรณ์ย่งิ ขน้ึ และทำการ
ถ่ายทอดความรู้ศิลปะการตอ่ สู้ประจำชาติผ่านการสอนในรปู แบบตา่ งๆ ดังนี้
๓
1. การศึกษาในระบบ สอนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติไทยให้แก่ผู้เรียนในโรงเรียนสังกัด
กรุงเทพมหานคร และสถานศึกษาระดับมัธยมศกึ ษา อดุ มศึกษา โดยไม่รับค่าตอบแทน
2. การศกึ ษานอกระบบ สถาบนั EQ IQ ชุมชนต่างๆ หน่วยงานต่างๆ
3. การศึกษาตามอัธยาศัย ศูนย์การเรียนศิลปศาสตร์การต่อสู้ประจำชาติไทย ค่ายพระยาตาก วัดศรีนวล
ธรรมวิมล
ศูนย์การเรียนรู้ศิลปศาสตร์การต่อสู้ประจำชาติไทย ค่ายพระยาตาก เปิดทำการสอนทุกวันอาทิตย์
ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. โดยมีนายกฤษณ์ ฤทธิ์เดชา เป็นครูผู้สอนและผู้บริหาร โดยใช้งบประมาณ
ส่วนตัวในการบริหารจัดการศูนย์ฯ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์การฝึก อาหารกลางวัน น้ำดื่ม ทั้งนี้ มีผู้ให้
ความสนใจเข้าเรยี นทุกเพศทกุ วัย หลากหลายอาชีพ โดยมีอายุเฉลี่ยระหว่าง 4 - 70 ปี กระบวนการเรยี นการ
สอนเป็นไปในรูปแบบการศึกษาตามอัธยาศัย เน้นตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับและยื่น
ใบสมัคร พร้อมแนบเอกสาร ได้แก่ รูปถ่าย สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ณ ศูนย์การเรียนรู้ศิลปศาสตร์
การตอ่ สู้ประจำชาตไิ ทย ค่ายพระยาตาก เขตหนองแขม
๖. ลักษณะเฉพาะท่ีแสดงถึงอตั ลักษณข์ องมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม
ศูนย์การเรียนรู้ศิลปศาสตร์การตอ่ ส้ปู ระจำชาติไทย คา่ ยพระยาตาก (นายกฤษณ์ ฤทธ์ิเดชา) เปดิ ทำการเรยี น
การสอนในรูปแบบการเรียนรู้ตามอัธยาศัย โดยครูกฤษณ์ ฤทธิ์เดชา ได้จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนเพ่ือ
เป็นแนวทางในการถ่ายทอดรวมถึงการวัดผลและประเมินผลซึ่งมีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง โดยเฉพาะ
ทา่ ลกู ไม้กระบ่ีกระบอง ซ่งึ ได้ทกั ษะจากการฝึกฝน การเรียนการสอน ประสบการณ์จากการต่อสู้ จากธรรมชาติ
ส่วนหน่ึงและส่วนหน่ึงนำมาจากเนื้อหาวรรณคดี เช่น เร่ืองรามเกียรต์ิ และเรื่องอิเหนา นำมาใช้เป็นชื่อลูกไม้
กระบี่กระบองเพ่ือให้ผู้เรียนจดจำได้ง่ายและฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
ดังน้ี
หลักสูตรการเรยี นการสอน
เปน็ หลักสูตรที่ประยุกตใ์ หเ้ หมาะสมกับสถานการณป์ ัจจบุ นั ในสังคมไทย และความตอ้ งการของทอ้ งถ่ิน
โดยได้ปรับเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และการพัฒนา
กระบวนการจัดการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย
วตั ถปุ ระสงค์
๑. ใหผ้ เู้ รียนมีความรศู้ ลิ ปะการป้องกันตวั ประจำชาตไิ ทย
๒. มุ่งเน้นใหผ้ เู้ รยี นได้พฒั นาตนเอง ท้งั รา่ งกาย สติปญั ญาและอารมณ์
๓. เสริมสร้างระเบียบวินัย ปลูกจิตสำนึกในการทำประโยชน์ต่อสงั คมและหลีกเร้นหา่ งไกลจาก
ยาเสพตดิ
๔. เสริมสร้างศกั ยภาพของการเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี กล้าคิด กล้าทำ กลา้ ตดั สินใจ มจี ิตร่วมกิจกรรม
กบั ผู้อน่ื องคก์ ร และหน่วยงานต่างๆ ไดอ้ ย่างภาคภมู ิ
รายละเอยี ดเนื้อหาองค์ความรู้ทีถ่ า่ ยทอด
1. ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกับการต่อสู้ ประกอบดว้ ย
1.1 การต่อสู้ด้วยมือเปล่า (มวยไทย) เน้นให้รู้จักการใช้ประโยชน์จากอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
เชน่ มอื เท้า เข่า ศอก ศรี ษะ
๔
1.2 การต่อสู้ด้วยอาวุธ เน้นให้รู้จักการใช้อาวุธแต่ละชนิด เช่น อาวุธไทย ดาบสองมือ ง้าว พลอง
โล่ ดั้ง เขน ไม้ศอก มีดส้ัน อาวุธพื้นบ้าน มีด พร้า คทา ขวาน ตะพด ธนู หน้าไม้ และการขว้างมีดตลอดจน
อาวุธในครัวเรือน เช่น มีดพร้า ขวาน และวัสดุอุปกรณ์ที่หยิบฉวยได้ เช่น ปากกา เข็มขัด ร่ม หนังสือ ช้อน
ตะเกยี บ เปน็ ตน้
1.3 ความเป็นมาววิ ฒั นาการของอาวธุ การต่อสูต้ ำรับพไิ ชยสงครามตั้งแต่อดีตถึงปจั จุบนั
1.4 ประวัติศาสตร์ชาตไิ ทย
1.5 ลัทธิความเชอ่ื และวถิ คี นไทยกับศลิ ปะการตอ่ สู้
1.6 ขน้ั ตอนในการเรียนศลิ ปะการตอ่ สู้
1.7 การบูรณาการร่วมกบั สถาบนั และชมุ ชน
2. การเตรยี มการฝึกศลิ ปะการต่อสู้
2.1 การเตรยี มวสั ดอุ ุปกรณ์
2.2 การเก็บรักษาและดูแลวัสดอุ ุปกรณ์
3. ศึกษาเทคนิคและขน้ั ตอนการเรยี นศิลปะการต่อสู้
3.1 การแต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ
3.2 การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก เช่น มีด ไม้ พลอง ง้าว โล่ ดั้ง เขน ไม้ศอก กระสอบ
ทราย หรืออปุ กรณอ์ ่ืนๆ ทีห่ าได้ในทอ้ งถิ่น
3.3 การฝกึ เบอื้ งต้น
- การฝกึ ระเบยี บวินัย ท่ามือเปลา่ และการเคลื่อนที่ทถ่ี กู ตอ้ ง
- การหลบหลกี เมอ่ื ถูกทำรา้ ยหรือจโู่ จมดว้ ยมอื เปลา่ และอาวธุ
- การใช้ประโยชน์จากอวัยวะในร่างกาย เช่น มือ เท้า เข่า ศอก ได้อย่างถูกต้องและมี
ประสิทธิภาพ
- การใช้วาทศิลปะ ในการพูดหรือเจรจา เพ่อื ผอ่ นคลายสถานการณ์
- การฝึกแม่ไม้เพ่ือประสานประโยชน์ให้มือและเท้ามีความสัมพันธ์กันในการต่อสู้ การฝึก
ลกู ไม้เพือ่ ให้เกดิ ทักษะและปฏภิ าณ ตลอดจนการตดั สนิ ใจในการแก้ปัญหาเฉพาะหนา้
- วิทยาศาสตรแ์ ละการวิเคราะหเ์ กย่ี วกบั การต่อสู้
- สมาธิในการต่อสู้ การเข้าถึงคุณธรรม รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
รจู้ กั ขม่ ใจตนเองไมใ่ หป้ ระหมา่ ตื่นเตน้ ในขณะเผชิญกับวิกฤตการณอ์ นั ไม่คาดคิด
- วิทยาศาสตร์การต่อสู้ การสังเกตสภาพแวดลอ้ ม ทางหนที ีไล่ การเตรยี มการป้องกัน
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน
1. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดหลักผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยคำนึงถึงความสนใจ ความ
เหมาะสม และสอดคลอ้ งกบั ทรพั ยากรในท้องถน่ิ
2. เน้นการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยการปฏิบตั จิ ริง ฝกึ ทักษะปฏภิ าณไหวพริบ
3. เปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชนโ์ ดยนำกจิ กรรมไปใชเ้ ป็นทักษะเพ่ือทำผลงานสะสม
ส่อื การเรยี นการสอน
1. ตวั อยา่ งอุปกรณ์การฝึก ทง้ั อาวุธจรงิ และอาวุธจำลอง
2. คมู่ อื การใชอ้ าวุธแตล่ ะชนิด
3. วีดทิ ัศนบ์ ันทกึ ภาพการเรียนการสอน และผลงานกิจกรรมเนื่องในโอกาสตา่ ง
๕
การวดั ผล และประเมินผล
1. จากการเขา้ รว่ มกิจกรรม
2. การทดสอบภาคปฏิบตั ิ
3. การประเมินเจตคติ และความมงุ่ มนั่ ในการฝึกฝน
เกณฑ์การประเมนิ
กำหนดเวลาเรียน 25 คาบ คาบละ 50 นาที วันละ 2 คาบ โดยผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนและร่วม
กจิ กรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรยี น และต้องมีผลงานแสดงสาธิตเผยแพร่ต่อสาธารณชนจึงจะถือว่า
ผ่านเกณฑ์การจบหลักสูตร และเม่ือเรียนครบหลักสตู รจะได้รบั ประกาศนยี บตั รเพ่ือยืนยันการจบหลกั สูตร
ก่อนจะเร่ิมเรียนในแต่ละคร้ังผู้เรียนทุกคนจะต้องสวดมนต์ รำไหว้ครู และรับการอบรมคุณธรรม
จริยธรรม จากน้ันผู้เรียนจะได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่ทักษะการแก้ปัญหาเวลาเกิดเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ ด้วยอาวุธ
ติดตัวท้ังหมัด เท้า เขา่ ศอก และอาวธุ ท่เี ป็นไม้ เชน่ กระบก่ี ระบอง รวมทงั้ อาวุธทม่ี าจากวัสดตุ ิดตวั ที่หยิบจบั ได้
นอกจากทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวและศักยภาพร่างกายที่พัฒนาข้ึนแล้ว สิ่งที่ผู้เรยี นทุกคนได้รับก็คือ คุณธรรม
จริยธรรมในจิตใจ ซ่ึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทำให้ครูกฤษณ์ตัดสินใจมาเป็นครูสอนศิลปะการตอ่ สู้ ขณะเดียวกัน
กเ็ พอ่ื เผยแพร่ศิลปวฒั นธรรมการตอ่ สู้ประจำชาติไทย ใหล้ ูกหลานชว่ ยกันสืบทอดต่อไป
บทสวดมนต์ก่อนเริ่มเรียน
บทสวดตอนเช้า
อะระหังสัมมาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวนั ตัง อภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, ธมั มงั นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงั ฆงั นะมามิ (กราบ)
พุทธะบูชามหาเตโช, ธรรมะบชู ามหาปญั โน, สังคะบูชามหาโภคคะวาโห
ติโลกะเสสังอะภิปูชะยามิ อุกาสะ อุกาสะ รูปนามสัญญาณสังขารและชีวิตน้อมไปด้วยการปฏิบัติท้ัง
ภายในและภายนอก ขอบูชาแด่พระโพธญิ าณ พระพทุ ธธงั พระธรรมมงั พระสงั ฆงั ขอใหแ้ ม่พระธรณี จงมาเป็น
ทพิ พะญาณให้แกข่ า้ พุทธเจ้าดว้ ยเถอะนะพระเจ้าคะ่ นิพา ณ ปัตตะโยโหตุ
พระพุทธคุณนัง ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตตัง ญาวะนิพานังสะระนังคัจฉามิ พระธรรมมะคุณนัง ข้าพเจ้า
ขอถวายชีวิตตัง ญาวะนิพานังสะระนังคัจฉามิ พระสังคะคุณนัง ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตตัง ญาวะนิพพานัง
สะระนังคัจฉามิ
อุกาสะ อุกาสะ ข้าพระพุทธเจ้าได้พิจารณา รู้แจ้งเห็นจริงทุกส่ิงสรรพ์ ว่าเครื่องไม่จีรังนี้เป็นของพญา
มัจจุราช ท่ีไล่ตามมาต้ังแต่อดีตชาติ รูปเวทนาสัญญาณสังขารและชีวิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซากศพนี้จะ
ขอวางไวเ้ หนอื แผ่นพืน้ พสุธาพจิ ารณาให้สูญส้ิน เปน็ ดิน นำ้ ลม ไฟ สว่ นวิญญาณของข้าพระพุทธเจา้ อันผอ่ งใส
ที่ได้ปฏิบัติทางโลกุตระธรรม ขอสมเด็จพระแม่เจ้าธรณี โปรดนำเอาดวงวิญญาณของข้าพระพุทธเจ้านี้ ขนส่ง
ข้ามฟากให้ถึงฝั่งหนทางพระนิพพานดว้ ยเทอญ พทุ ธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานสุ ติ ศีลานุสติ อุปปะสัมปะมานุสติ
กายะกะตานุสติ อานาปานุสติ มรณานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ หากแมน้ ดินน้ำลมไฟของขา้ พระพุทธเจ้านจ้ี ะ
แตกดับลงไปในวันหนึ่งคืนใดก็ดี ขออย่าให้สติของข้าพระพุทธเจ้าใหลหลง ขอให้พระพุทธเจ้ามาโปรดออกจาก
กองทุกข์ด้วยเทอญ นิพานะปัตตะโยโหตุ พุทธธังอะนัตตัง ธรรมมังจักราวัง สังฆังนิพพานัง ข้าพระพุทธเจ้า
ขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่มีดินน้ำลมไฟ มารดาบิดา ญาติกา
ท้ังหลาย ขอจงมีส่วนในกุศลผลบุญของข้าพระพุทธเจ้าท่ีได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ในขณะน้ีด้วยเทอญ นิพพานะ
ปัตตะโยโหตุ พุทธธังอราธนานัง สังฆังอราธนานัง อัปปะมาโนพุทโธ อัปปะมาโนธรรมโม อัปปะมาโนสังโฆ
นะโมพุทธายะ นะโมธรรมมายะ นะโมสังฆายะ พุทโธเมนาโถ ธรรมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ พุทธะบูชา
ธรรมมะบูชา สังฆะบชู า นพิ พานะปตั โยโหตุ อติ ิปโิ สภะคะวา ขา้ พระพทุ ธเจ้าขออาราธนาอญั เชญิ พระบารมี
๖
สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมมะเจ้า พระสังฆะเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอะระหังคะเจ้า
บารมีมารดาบิดา ครูอุปชาอาจารย์ ทวยเทพเทวา สิ่งศักด์ิสิทธิ์ท้ังหลาย สมเด็จบูรพมหากษัติยาธิราชเจ้า
ทุกๆ สมัย ทุกๆ พระองค์ท่ีได้กอบกู้ผืนแผ่นดินไทย มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นปฐม ขอจงช่วยมาคุ้มครอง
อภบิ าลรักษากาย วาจา ใจ ของข้าพระพุทธเจ้า ใหต้ ั้งม่ันอยู่ด้วยธรรม พรอ้ มทัง้ เรืองดว้ ยสติปัญญาญาณ เข้าถึง
ธรรมอันเป็นเคร่ืองพ้นทุกข์ซึ่งสันติสขุ อนั เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยภัยบูรณทุกประการ และจงนำประโยชน์
ให้ถงึ พร้อมทั้งสว่ นตน บุคคลอน่ื ชีวิตอ่นื ทเ่ี ปน็ เพื่อนทุกขเ์ กดิ แก่เจบ็ ตาย ด้วยกนั ทง้ั หมดท้ังสิ้น ตลอดกาลนานเทอญ
นพิ พานะปตั ตะโยโหตุ
บทแผ่เมตตา
สพั เพ สตั ตา สตั ว์ทงั้ หลายท่เี ป็นเพ่ือนทุกข์ เกิดแก่เจบ็ ตายดว้ ยกนั ทง้ั หมดท้งั ส้ิน
อะเวรา จงเปน็ สุขเป็นสุขเถดิ อยา่ ได้มีเวรแกก่ ันและกันเลย
อะนคี า จงเป็นสขุ เป็นสุขเถดิ อย่าได้มีความทุกขก์ ายทกุ ข์ใจเลย
อัพยาปัชฌา จงเปน็ สุขเป็นสุขเถดิ อยา่ ได้เบยี ดเบียนซ่ึงกันและกันเลย
สุขี อตั ตานัง ปะรหิ ะรนั ตุ จงมแี ตค่ วามสขุ กายสุขใจ รกั ษาตนใหพ้ น้ จากทกุ ข์ภยั ทง้ั สิน้ เถิด
สรรพสัตว์ทั้งหลายท่ีท่านได้รับทุกข์ ขอให้ท่านจงมีความสุข สรรพสัตว์ท้ังหลายที่ท่านได้สุขขอให้สุขยิ่งๆ
ขึ้นไป สรรพสัตตา สัตวท์ งั้ หลาย ที่เกิดเปน็ ชะราพุทชะ อนั คะชะ สังเสคะชะ โอปปาติกะ ขอจงมีส่วนในกศุ ลผล
บญุ ของขา้ พเจา้ ท่ีได้สวดมนตภ์ าวนาอย่ใู นขณะนด้ี ้วยเทอญ นพิ พานะปตั ตะโยโหตุ
บทกรวดนำ้
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อิมินา อุททิสเส อิเมสัง สัพพะสัตตา เทวะมนุษย์สานัง ยาวะชีวัง จุติจุตังอะ
ระหังจตุ ิ สิบน้วิ ข้าจะไหว้ พระพทุ ธเจา้ พระธรรมมะเจ้า พระสงั ฆะเจ้า ทา่ นท้าวตรึงตรยั พระอศิ วรนารายณ์เจ้า
ท่านท้าวอัศนัย ตัวข้าต้ังใจ สวดมนต์ภาวนา กรวดน้ำจำจะแผ่ไมตรี อุทิศอธิษฐาน แผ่กุศลไป ภาคเบ้ืองบน
ทุกชั้นวิมาน ช้ันใต้ลงไปถึงในบาดาล นอกขอบจักรวาล ครูบาอาจารย์บิดามารดา ญาติวงศ์พงศา ทั่วครบแม่โพสพ
ท่านรักษาจบในโลกา ทั้งเพชรฉลูกัน ท่านมีฤทธิ์ธรณีคงคาพร้อมส่ังบุญข้า ศรัทธา บวงสรวงเทวาปวงช่วย
โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอเป็นทิพญาณทำบุญให้ทาน ต้ังใจปรารถนา พระภูมิพระพาย พระนาฤๅษา ทุกช้ันดุสิตา
อากาศบรรพต ตรอก ห้วย เหว ผา เจ้าไพร เจ้าป่า เจ้ากรุงพาลี จะขอกรวดน้ำจำจะแผ่ไมตรี พระอาทิตย์
พระจันทร์ พระอังคารน้ันท่านมีฤทธี พระพุทธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ เสาร์ ทั้ง 7 องค์นี้ รักษาแดนไกล
พระราหูพระเกตุท่านผู้วิเศษกรวดน้ำส่งไป พระยม ท้าวเวชสุวรรณ พระกาฬ เจ้าบัญชีใหญ่ กรวดน้ำแผ่ไป
ทั่วทุกเทวา ขอน้ำใจข้าพเจ้า ให้ใสบริสุทธ์ิ ในพระพุทธศาสนา บำเพ็ญบุญญายิ่งๆ ขึ้นไป ศัตรูหมู่มาร แผ่ไป
กราบกรานขอเป็นมติ รพสิ มยั อย่าผูกเวรกรรม คุ้มโทษโพยภยั ภายนอกภายในขอใหแ้ ห่งฉัน หากแม้นมชี ีวติ อยู่
ขอให้รว่ มรู้กอ่ สรา้ งโพธญิ าณ ใหไ้ ดม้ รรคผลนพิ พาน ณ ชาติภาพปัจจุบนั กาลนดี้ ว้ ยเทอญ นิพพานะปตั ตะโยโหตุ
คำปฏิญาณหลงั เลกิ เรยี น
1. ข้าพเจา้ ขอน้อมจิตบูชา คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระมหากษัตริย์ บรรพบุรุษทุกๆ สมัย ทุกๆ
พระองค์ ที่ได้กอบกู้ผืนแผ่นดินไทย ขอพระบารมี ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าได้ศึกษาศิลปะศาสตร์
การต่อสู้ประจำชาติไทย ขอให้สัตย์ปฏิญาณ จะนำวิชาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แก่สังคม และ
ประเทศชาติ จะไม่คิดคดทรยศต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะยึดมั่น จะถือมั่น อยู่ในสัจจะและความ
กตัญญูต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณ จะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ด้วยสัจจะวาจาท่ีข้าพเจ้ากล่าวนี้ ขอความสุข ความเจริญ ความสำเร็จ
จงประดบั แก่ขา้ พเจา้ ตลอดกาลนาน เทอญ
๗
2. สิบนิ้วยอหัตถ์ นบไหว้ไตรรัตน์เลิศด้วยความดี ทั้งสามประการปานแก้วมณี ด้วยความจริงนี้เป็นท่ีพึงใจ
หนึง่ ขอวริ ัติ งดเว้นฆา่ สตั ว์ทั้งเล็กและใหญ่ มจี ิตเมตตาปราณที ่ัวไป ไมเ่ บยี ดเบยี นใคร มใี จกรุณา
สอง ไมล่ ักของผู้อื่น ครอบครองป้องปักรักษา การเลยี้ งชวี นิ ทรพั ยส์ ินนานา จะแสวงหามาโดยชอบธรรม
สาม ไม่ประพฤติผิดในกาม จิตใจต่ำทรามด้วยความโมหันต์ ยึดประเพณีมีแต่ปางบรรพ์ เป็นส่ิงกางกั้น
มนั่ ในฤทยั
ส่ี ไม่มุสา ยึดถือสจั จาไวต้ ลอดไป พดู แตค่ ำจรงิ ไมว่ ่ากบั ใคร เจรจาปราศรัยไพเราะวจี
หา้ ไมด่ มื่ เหลา้ เสพของมนึ เมาจนสนิ้ ชวี ี เวน้ ยาเสพตดิ ยอ้ มจติ วา่ ดี ให้ลมื ทำดีมแี ต่ประมาท
ข้าพเจ้าขอสมาทานศีลห้าประการจะมิให้ขาด มอบกายและใจอยู่ในพุทธศาสนา เป็นคนรักชาติ
ประกาศคุณธรรม สรา้ งแต่ความดีชีวิตขอพลี ไม่สรา้ งเวรกรรม ยึดมั่นกตัญญู ซื่อสัตย์น้อมนำ ขยันอย่างเลิศล้ำ
เพอื่ ความเจริญ (กราบ 3 ครง้ั )
ข้นั ตอนการฝกึ ปฏิบัติ
1. การควบคมุ สติอารมณเ์ มื่อยามวกิ ฤต
2. การยนื การคุมเพื่อตั้งรบั สถานการณ์
3. การจู่โจม ตงั้ รบั ปัด ป้อง
4. การใชป้ ัญญาหาเหตุผลวา่ ควรกระทำแค่ไหน อยา่ งไร
5. การฝึกแม่ไม้ มือ เทา้ เข่า ศอก ใหม้ อื เทา้ สายตา สัมพันธ์กนั ไดแ้ ก่ แม่ไม้หมัด 9 ทา่ แม่ไม้ศอก
9 ท่า แมไ่ ม้เขา่ 9 ท่า แม่ไม้เทา้ 9 ทา่ แมไ่ มก้ ระบ่กี ระบอง 9 แม่ไม้ ลกู ไม้กระบกี่ ระบอง 4 ชุด จำนวนชดุ ละ
12 ท่า รวม 48 ท่า ดังน้ี
5.1. แม่ไมห้ มดั 9 ทา่
- กาจกิ ไข่ (หมัดแย็บ)
- พระพายลม้ สงิ ขร (หมัดตรง)
- วานรแหวกด่าน (หมดั เสย)
- พระกาฬเปิดโลก (หมัดเหวี่ยง)
- โยกเขาพระสเุ มรุ (หมัดฮุก)
- เอนไกรลาศ (หมดั กระทุง้ )
- พฆิ าตสนิ ธพ (หมดั อดั )
- สยบดัสกร (หมดั เหวี่ยง)
- พระสี่กรบรรทมสินธ์ุ (หมดั ซ้าย – ขวา)
5.2 แม่ไม้ศอก 9 ทา่
- สอยดาว (ศอกเสย)
- ทัดมาลา (ฟนั ศอก)
- กาลีกรงั (หักศอก)
- ฤๅษบี ดยา (ตีศอก)
- ญวนเหวยี่ งแห (เหวี่ยงศอก)
- กระแตไตไ่ ม้ (หมนุ ศอก)
- นกเขาคุ้มรัง (ศอกถอง)
- ยกั ศอก (ศอกแยง)
- ยกั เย่ยี ง (ศอกกลบั )
๘
5.3 แม่ไม้เขา่ 9 ทา่
- คชสารแทงโรง (เข่านำ)
- โค่นเขาพระสุเมรุ (เข่าลา)
- ทะลวงประจัญบาน (เขา่ ตัด)
- หักดา่ นลมกรด (เข่าเฉยี ง)
- องคตควงพระขรรค์ (เขา่ อัด)
- คชสารสะบดั งวง (เขา่ กระเทก)
- เอราวัณเสียงา (เขา่ โยน)
- ประหารราชสหี ์ (เขา่ เหน็บ)
- พาลีลักพานาง (เขา่ ลอย)
5.4 แม่ไม้เท้า 9 ทา่
- คชสารเสยงา เตะตรงขึน้ ทีป่ ลายคางคตู่ ่อสู้ (Front kick)
- บาทาลบู พักตร์ ตบดว้ ยฝา่ เท้า (เท้าขวา) ท่บี รเิ วณใบหน้าคู่ต่อสู้
- จระเขฟ้ าดหาง หมนุ ตัวใชส้ ้นเท้าฟาดไปทางดา้ นหลังใหโ้ ดนทีค่ อคตู่ ่อสู้
- โขกนาสา เอาเท้าขวาตวัดกลบั ไปบรเิ วณจมกู หรือใบหน้าคู่ตอ่ สู้
- เถรกวาดลาน เตะรวบขาพับค่ตู อ่ สู้ให้ลม้ ลง
- จระเขข้ วางคลอง การเตะเหว่ยี งเขา้ ชายโครงคู่ต่อสู้
- มอญยันหลัก ถบี ตรง ยันออกไปบริเวณหน้าท้องคู่ต่อสู้ (ใช้เท้าซ้ายหรือเท้าขวาก็ได้ตามถนัด)
- กวางเหลยี วหลัง หมนุ ตัวถบี บริเวณหน้าท้องค่ตู ่อสู้
- หนุมานแหวกด่าน คูต่ ่อสู้กำลงั ตง้ั แขนเพอื่ ป้องกนั ตัวอยู่ (ตัง้ การด์ ) ให้เตะเสยแหวกการ์ด
เขา้ ไปทลี่ นิ้ ปี่
5.5 แม่ไม้กระบี่ - กระบอง 9 แมไ่ ม้
แม่ไม้ท่ี 1
1. กา้ วฟันเอว ถอยรับเอว
1. กา้ วฟนั ขา ถอยรับขา
1. กา้ วฟนั คอ ถอยรบั คอ
1. กา้ วฟนั หัว ถอยรับหัว
แมไ่ ม้ที่ 2
1. กา้ วฟันเอว ถอยรบั เอว (ขวา) 2. ก้าวฟนั เอว ถอยรบั เอว (ซ้าย)
1. กา้ วฟันขา ถอยรบั ขา (ขวา) 2. ก้าวฟันขา ถอยรบั ขา (ซ้าย)
1. ก้าวฟันคอ ถอยรับคอ (ขวา) 2. ก้าวฟันคอ ถอยรบั คอ (ซ้าย)
1. ก้าวฟนั หัว ถอยรบั หัว (ขวา) 2. กา้ วฟนั หวั ถอยรับหัว (ซ้าย)
แมไ่ ม้ท่ี 3
กา้ วฟัน คอ คอ หวั ถอยรับ คอ คอ หวั
แมไ่ ม้ท่ี 4
กา้ วฟัน คอ คอ เอว เอว ถอยรับ คอ คอ เอว เอว
แม่ไม้ที่ 5
กา้ วฟัน คอ คอ ขา ขา หัว ถอยรับ คอ คอ ขา ขา หัว
๙
แม่ไม้ท่ี 6
กา้ วฟัน คอ คอ ขา ขา ขา หมุนตวั ฟันขา
ถอยรับ คอ คอ ขา ขา ขา หมุนตวั รบั ขา
แมไ่ ม้ท่ี 7
ก้าวฟนั คอ คอ หัว เอว เอว เอว หวั
ถอยรับ คอ คอ หัว เอว เอว เอว หัว
แม่ไม้ที่ 8
ก้าวฟัน คอคอ เอวเอว ขาขา หัวหัว
ถอยรับ คอคอ เอวเอว ขาขา หัวหวั
แมไ่ ม้ท่ี 9
กา้ วฟนั คอ คอ หวั เสย คอ คอ เสย เสย หัว
ถอยรับ คอ คอ หวั เสย คอ คอ เสย เสย หัว
5.6 ลกู ไม้กระบ่ีกระบอง ชุดที่ 1 จำนวน 12 ทา่
- ตดั คอสีดา
- ยอเขาพระสุเมรุ
- ช้างประสานงา
- กาล้วงไส้
- บวั บังใบ
- เถรตดั ฟัก
- ปกั ษาแหวกรัง
- ทะแยคำ้ เสา
- อิเหนาแทงกริช
- หนุมานหกั ดา่ น
- คล่ืนกระทบฝัง่
- ตะเพียนแฝงตอ
5.7 ลูกไมก้ ระบกี่ ระบอง ชดุ ที่ 2 จำนวน 12 ท่า
- ฝานลกู บวบ
- ตองตอ้ งลม
- วัวพนั หลกั
- ลิงชิงลูกไม้
- เอราวณั เสยงา
- นารายณบ์ ั่นเศียร
- รามสูรขวา้ งขวาน
- งกู นิ หาง
- ชะนรี ่ายไม้
- สลับฟนั ปลา
- หงส์ปกี หกั
- หักคอชา้ งเอราวณั