39
/ตร-/ เช่น ตรวจตรา
/กร-/ เช่น กราบกราน
/กล-/ เชน่ กลบั กลอก
/กว-/ เชน่ กวัดแกว่ง
/คร-, ขร/ เช่น ครอบครวั ขรขุ ระ
/คล-, ขล-/ เช่น คลาดเคล่ือน ขลาดเขลา
/คว-, ขว-/ เชน่ เคว้งคว้าง ขวนขวาย
2.2 เป็นพยัญชนะสะกดของพยางค์ คือ เกิดตามเสียงสระในพยางค์หน่ึงๆ
ในตาแหน่งนี้เสียงพยัญชนะในภาษาไทยสามารถเกิดได้ 9 หน่วยเสียง คือ /
/ เทียบได้กับมาตราตัวสะกด 8 มาตรา และเพมิ่ เต่มิ อกี 1 หนว่ ยเสียงได้แก่
แม่กบ เชน่ ทราบ
แม่กด เชน่ ขาด
แม่กก เชน่ รกั
แมก่ ม เช่น กล่อม
แมก่ น เชน่ บ้าน
แมก่ ง เชน่ โยง
แมเ่ กย เช่น เลย
แมเ่ กอว เช่น สาว
เช่น จะ
หน่วยเสียงพยัญชนะสะกดที่เพ่ิมเติมมาจากมาตราตัวสะกด 8 มาตราคือ
หน่วยเสียงดังกล่าวเมื่อทาหน้าที่เป็นพยัญชนะต้น คือ เสียง /อ/ แต่หากทาหน้าที่เป็นพยัญชนะ
ตัวสะกด หน่วยเสียงดังกล่าวเรียกว่า เสียงหยุดในคอ (Glottal Stop) ใช้ในกรณีท่ีพยางค์นั้นประสม
ด้วยสระเสียงส้ันและไม่มีตัวสะกดเท่านั้น เน่ืองจากพยางค์ดังกล่าวเมื่อออกเสียงแบบชัดถ้อยชัดคา
จะมีเสียงหยุดในลาคอ ซ่ึงในทางภาษาศาสตร์ถือว่าเป็นเสียงตัวสะกดเสียงหนึ่ง จึงจัดให้ เป็น
หน่วยเสียงพยญั ชนะสะกดเสยี งที่ 9 ในภาษาไทย เช่น
จะ
โต๊ะ
เละ
40
หนว่ ยเสียงสระในภาษาไทย
1. ลกั ษณะของเสยี งสระ
เสียงสระจัดเป็นเสียงก้อง ดังน้ันเมื่อเปล่งเสียงดังกล่าว ลมจะผ่านออกมาได้
โดยสะดวก ลักษณะของปากจึงต้องเป็นโพรง การเปล่งเสียงสระแต่ละเสียงจงึ เกิดจากการแต่งรูปปาก
ให้มีลักษณะต่างๆ กันไป ราตรี ธันวารชร (2541: 38 ) ได้กล่าวถงึ ลักษณะการออกเสียงของเสียงสระ
ไว้ ดังน้ี
1.1 ลักษณะของริมฝีปาก ในการเปล่งเสียงสระริมฝีปากอาจห่อกลม (rounded)
หรอื เหยียดออก (unrounded) การห่อหรือไม่หอ่ รมิ ฝปี ากจงึ สง่ ผลใหเ้ กิดเสยี งสระทีต่ ่างกนั
1.2 ส่วนของล้ิน ลิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นล้ินส่วนหน้า หรือลิ้นส่วนหลัง จะยกข้ึน
ใกล้หรือไกลเพดานในขณะเปล่งเสยี งสระ จะทาใหเ้ กดิ เสียงสระที่แตกต่างกนั เราจึงเรียกเสียงสระตาม
สว่ นของลิน้ ทย่ี กขนึ้ กลา่ วคือ
เพดานอ่อน 1.2.1 สระหน้า ใชล้ ิ้นสว่ นหน้ากบั เพดานแข็ง
1.2.2 สระกลาง ใช้ลิ้นส่วนหลังท่ีอยู่ตรงข้ามกับส่วนต่อระหว่างเพดานแข็งกับ
1.2.3 สระหลัง ใชล้ น้ิ ส่วนหลังกับเพดานอ่อน
1.3 ระดับของล้ิน ในการออกเสียงสระ ระดับความสูงต่าของล้ินท่ียกใกล้เพดานมี
ส่วนสาคัญทาให้เกิดเสียงสระท่ีแตกต่างกัน เสียงสระในภาษาไทยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ สูง กลางสูง
กลางต่า ต่า แต่บางตาราอาจแบ่งเพียง 3 ระดับ คือ สูง กลาง ต่า ดังนั้นจึงมีการเรียกเสียงสระตาม
ระดับของลิน้ คอื สระสงู สระกลาง และสระตา่
2. ลักษณะของหน่วยเสียงสระภาษาไทย
หน่วยเสียงสระในภาษาไทยมีท้งั หมด 21 หน่วย โดยแบ่งเป็นหน่วยเสียงสระเด่ียว 18
หน่วย และหน่วยเสียงสระประสม 3 หน่วย หน่วยเสียงสระท้ัง 21 หน่วยนี้ทาหน้าท่ีเป็นแกนของ
พยางคซ์ งึ่ ทาให้เสียงอืน่ ๆ ในพยางคน์ ัน้ สามารถไดย้ ินได้ หน่วยเสยี งสระทง้ั 2 ชนดิ มีลักษณะดังน้ี
41
2.1 ลักษณะของหน่วยเสียงสระเดี่ยว หน่วยเสียงสระเดี่ยวมีทั้งหมด 18 หน่วยเสียง
แบง่ เปน็ สระสั้น 9 หนว่ ย และสระยาว 9 หนว่ ย ดังตารางขา้ งลา่ งน้ี
ลักษณะริมฝปี าก รมิ ฝปี ากรี รมิ ฝีปากห่อ
สว่ นของลิน้ หนา้
หลังคอ่ นไปกลาง หลงั
ระดับล้ิน
สงู
กลางสูง
กลางต่า
ตา่
ตารางที่ 3.2 แสดงหนว่ ยเสียงสระในภาษาไทย
ทม่ี า (กาญจนา นาคสกลุ , 2551: 74)
นักภาษาศาสตร์ได้แบ่งระดับลิ้นออกเป็น 4 ระดับ คือ สูง กลางสูง กลางต่า และต่า
แตน่ ักภาษาศาตร์บางท่านอาจแบ่งเพียง 3 ระดบั คือ สูง กลาง และต่า เน่ืองจากเสยี งสระ //ซ่ึง
เป็นสระต่ามีตาแหน่งท่ีเกิดห่างจากสระหน้ามากแต่ต่ากว่าสระกลางต่าคือ // และ // เพียง
เล็กน้อย จึงจัดให้เสียงสระ // และ // เป็นสระต่ารวมกับ // จากตารางข้างต้น
สามารถอธิบายลกั ษณะของหนว่ ยเสยี งสระเดยี่ วได้ดงั น้ี
สทั อักษรแทนเสียงสระ เสียงสระ ลักษณะของหนว่ ยเสียงสระเดย่ี ว
ภาษาไทย ภาษาไทย
สระหนา้ สงู เสียงส้นั ริมฝปี ากรี
// เ- ะ สระหนา้ สงู เสียงยาว ริมฝปี ากรี
// เ– สระหน้า กลางสงู เสียงสนั้ ริมฝปี ากรี
// แ-ะ สระหนา้ กลางสงู เสยี งยาว รมิ ฝีปากรี
// แ- สระหน้า กลางต่า เสยี งสั้น ริมฝปี ากรี
// สระหน้า กลางต่า เสียงยาว รมิ ฝีปากรี
// เ-อะ สระหลงั คอ่ นไปกลาง สูง สั้เสียงน ริมฝปี ากรี
// เ-อ สระหลงั คอ่ นไปกลาง สงู เสียงยาว รมิ ฝปี ากรี
// สระหลงั คอ่ นไปกลาง กลางสงู เสยี งสัน้ ริมฝีปากรี
// สระหลงั คอ่ นไปกลาง กลางสูง เสยี งยาว ริมฝีปากรี
//
42
สทั อกั ษรแทนเสยี งสระ เสยี งสระ ลักษณะของหน่วยเสียงสระเด่ยี ว
ภาษาไทย ภาษาไทย
สระกลาง ต่า เสียงสนั้ รมิ ฝปี ากไมห่ ่อ
// -ะ สระกลาง ต่า เสยี งยาว ริมฝีปากไม่ห่อ
// -า สระหลงั สูง เสยี งส้นั รมิ ฝีปากหอ่
// -ุ สระหลัง สูง เสยี งยาว รมิ ฝีปากห่อ
// สระหลงั กลางสงู เสียงส้นั รมิ ฝีปากหอ่
// -ู สระหลงั กลางสูง เสียงยาว ริมฝปี ากห่อ
// สระหลงั กลางตา่ เสยี งสน้ั ริมฝีปากห่อ
// โ-ะ สระหลงั กลางต่า เสียงยาว ริมฝปี ากหอ่
// โ-
เ-าะ
-อ
ตารางที่ 3.3 แสดงลักษณะของหนว่ ยเสยี งสระเด่ยี ว
2.2 ลักษณะของหน่วยเสียงสระประสม หน่วยเสียงสระประสมในภาษาไทยมี 3
หนว่ ยคือ
สัทอกั ษรแทนเสียงสระ เสยี งสระ ลกั ษณะของหนว่ ยเสียงสระประสม
ภาษาไทย ภาษาไทย
สระหน้า สูง ริมฝีปากรี และลงท้ายด้วยสระ
// เ-ย กลาง ตา่
สระหลัง สูง ริมฝีปากรี และลงท้ายด้วยสระ
เ-อ กลาง ตา่
// สระหลัง สูง ริมฝีปากห่อ และลงท้ายด้วยสระ
-ว กลาง ตา่
//
ตารางท่ี 3.4 แสดงลกั ษณะของหนว่ ยเสยี งสระประสม
จากตารางจะเห็นว่า การที่สระประสมในภาษาไทยมีเพียง 3 หน่วยน้ัน เนื่องจากสระ
ประสมท้ัง 3 เสียงไม่มีคู่เทียบเสียงระหว่างหน่วยเสียงสระส้ันกับหน่วยเสียงสระยาว หมายความว่า
หากไม่นับคาเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เพียะ ผัวะ หรือคายืมจากภาษาจีน เช่น ขนมเป๊ียะ รองเท้า
เก๊ียะ จะพบว่า ไม่มีคาที่ใช้สระประสมเสียงส้ันในภาษาไทยเลย พบเพียงคาที่ใช้สระประสมเสียงยาว
43
ดังน้ัน สระส้ันและสระยาวจึงต่างเป็นเสียงย่อยของสระหน่วยเดียวกันหรืออาจบอกได้ว่าสระประสม
แต่ละหน่วยมีเสยี งยอ่ ยอยา่ งน้อยหน่วยละ 2 เสียง ดังนี้
หนว่ ยเสยี งสระประสม // มเี สียงยอ่ ยส้นั //
มีเสียงย่อยยาว //
หนว่ ยเสียงสระประสม // มีเสียงย่อยสนั้ //
มีเสียงย่อยยาว //
หนว่ ยเสยี งสระประสม // มีเสียงย่อยส้ัน//
มเี สยี งย่อยยาว //
กาญจนา นาคสกุล (2551: 75) ได้อธิบายเกี่ยวกับสระประสมเพ่ิมเติมว่า สระประสม
ทั้ง 3 หน่วยเสียงมีลักษณะเป็นเสียงสระประสมเสียงตก (falling diphthongs) ซึ่งเกิดจากสระสูง
/ / ประสมกับสระต่า // แต่อาจมีนักสัทศาสตร์หลายท่านพิจารณาว่าเสียงประสมใน
ภาษาไทยมีอกี หลายเสยี ง เชน่
ใจ // ลาย //
เขา / / คุย // ราว //
เรว็ // เลว //
แปว้ / / แล้ว //
ตอ่ ย // ดอย //
หิว//
โบย //
ถ้าพิจารณาเสียงสระประสมในคาเหล่านี้จะเห็นว่าเป็นเสียงสระประสมเสียงขึ้น
(rising diphthongs) ซ่ึงเกิดจากสระที่ต่ากว่าประสมกับสระสูง ซ่ึงมักจะเป็นเสียงสระ //และ //
เสียงสระประสมพวกนแี้ ม้ว่าจะมีลักษณะทางสัทศาสตรเ์ ป็นเสียงสระ แต่เม่ือพจิ ารณาศกึ ษาหน้าที่ของ
เสียงในภาษาไทยแลว้ จะเห็นว่าควรจัดสระประสมพวกน้ีเป็นสระเดี่ยวที่มีตัวสะกด เพราะสระประสม
3 หน่วย ของภาษาไทยสามารถมีตัวสะกดได้ทุกหน่วย เช่น เรียน // เรือน // รวน //
แต่สระประสมเสียงข้ึนเหล่านี้ไม่สามารถจะมีเสียงตัวสะกดตามหลังสระได้เลย ดังน้ันเสียงสระ //
และ // ซึง่ ปดิ ท้ายพยางค์เหล่านีจ้ งึ ควรจดั เป็นเสียงพยัญชนะ //และ // ซ่ึงเปน็ พยัญชนะครง่ึ สระ
หรืออฒั สระ ดงั น้ี
44
ใจ // ลาย //
เขา / / ราว //
เร็ว // เลว //
แปว้ / / แล้ว //
ตอ่ ย // ดอย //
หวิ // คุย // โบย //
หนว่ ยเสียงวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทย
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1100) ได้ให้ความหมายของ
“วรรณยุกต์” ว่าหมายถึง ระดับเสียงสูงต่าของคาในภาษาไทยมี 5 เสียงคือ เสียงสามัญ เสียงเอก
เสยี งโท เสียงตรี และเสียงจตั วา พยางค์ในประโยคทั่วๆ ไปจะประกอบไปด้วยเสียงพยัญชนะและสระ
สระเป็นเสียงก้อง จึงเป็นเสียงที่ช่วยให้เกิดระดับเสียงสูงต่าได้ โดยอนุโลมว่าระดับเสียงสูงต่าของสระ
ในพยางค์หน่ึงๆ นั้น นับว่าเป็นระดับเสียงสูงต่าของพยางค์นั้นๆ ด้วย เพราะเมื่อเสียงสระซึ่งเป็น
แกนกลางของพยางค์มีระดับเสียงใด เสียงอ่ืนๆ ในพยางค์น้ันก็ย่อมมีระดับเสียงนั้นๆ ตามไปด้วย
ระดับเสียงสูงต่าในภาษาไทยได้แก่ เสียงวรรณยุกต์น่ันเอง โดยมีหน้าท่ีทาให้เกิดคาข้ึนใช้ในภาษาเพิ่ม
มากข้ึน ซ่ึงถือเป็นวิธีการสร้างคาอย่างหน่ึง กาญจนา นาคสกุล (2551: 166-170) ได้แบ่งเสียง
วรรณยุกตใ์ นภาษาไทยออกเป็น 2 ประเภทใหญๆ่ คือ
1. กลุ่มวรรณยุกต์ระดับ เป็นเสียงซ่ึงมีระดับความถี่ของเสียงค่อนข้างคงที่ตลอดพยางค์
ในการออกเสียงนั้น วรรณยุกตร์ ะดับในภาษาไทยมี 3 หน่วยดว้ ยกนั คือ
1.1 หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับต่า คือ เสียงวรรณยุกต์เอก หรือ / / วรรณยุกต์นี้
จะมีต้นเสียงกลางๆ ประมาณ 120 Hz แลว้ จะลดตา่ ลงมาถงึ ประมาณ 100 Hz อย่างรวดเร็ว แล้วคง
อยใู่ นระดับน้ี วรรณยกุ ต์ระดับต่าจะปรากฏในพยางค์ไดท้ ุกแบบ เช่น
ส่วน
ปัด
จ่า
1.2 หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับกลาง คือ เสียงวรรณยุกต์สามัญวรรณยุกต์นี้มีระดับ
เสียงกลางๆ ประมาณ 120 Hz และจะคงอยู่ระดับนั้นจนกระท่ังปลายๆ พยางค์จึงลดต่าลงมาเกือบ
ประมาณ 110 Hz วรรณยกุ ตส์ ามัญไม่ปรากฏในพยางคท์ มี่ พี ยัญชนะกักเป็นพยัญชนะท้าย เช่น
45
จาน
ยมื
เรยี ง
1.3 หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับสูง คือ เสยี งวรรณยุกต์ตรี หรือ / / เสียงวรรณยกุ ต์น้ี
มีลักษณะเด่นที่มีระดับเสียงสูง โดยจะค่อยๆ สูงขึ้นทีละน้อยจากต้นพยางค์ประมาณ 125 Hz จนถึง
ประมาณ 135-140 Hz เมื่อส้ินพยางค์ หรืออาจจะลดต่าตอนปลายๆ พยางค์ลงมาถึงประมาณ 130
Hz แล้วแต่วา่ พยางคน์ น้ั จบลงดว้ ยเสยี งประเภทใด ถ้าเป็นพยางค์ทีไ่ ม่มีเสียงพยัญชนะท้าย หรือมีเสยี ง
พยัญชนะท้ายเป็นเสียงนาสิกหรือเป็นเสียงพยัญชนะคร่ึงสระ ระดับเสียงตอนปลายพยางค์จะไม่ลด
ต่าลงมา เช่น
คนั้
รู้
ช้าง
2. กลุ่มวรรณยุกต์เปล่ียนระดับ เป็นเสียงซึ่งมีระดบั ความถ่ีของเสียงเปล่ียนแปลงมาก มี
หน่วยเสยี ง 2 หน่วย ได้แก่
2.1 หน่วยเสียงวรรณยุกต์เปล่ียนตก คือ เสียงวรรณยุกต์โท หรือ / /หน่วยเสียงน้ี
จะเร่ิมต้นที่ระดับความถ่ีประมาณ 140 Hz แต่ในราวๆ 1 ใน 4 ของความยาวของช่วงพยางค์ ระดับ
เสียงก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว จนต่ากวา่ 100 Hz ท่ีปลายพยางค์หรืออาจจะเปลี่ยนสูงข้ึนกวา่ ระดับต้น
พยางค์เล็กน้อย ก่อนจะลดระดับเสียงลงอย่างรวดเร็วที่ปลายพยางค์ วรรณยุกต์โทจะไม่ปรากฏใน
พยางคท์ ีม่ ีสระเสียงสนั้ และมีเสียงพยญั ชนะสะกดเป็นพยัญชนะกัก เช่น
วา่
เกลี้ยง
นัน่
2.2 หนว่ ยเสียงวรรณยุกตเ์ ปล่ยี นขึ้น คือ เสยี งวรรณยกุ ตจ์ ตั วา หรอื / /หนว่ ยเสยี ง
น้ีจะเริม่ ต้นที่ระดับความถี่ประมาณ 110 Hz แล้วมักจะลดลงอีกเล็กนอ้ ยก่อนจะเปลยี่ นระดับเสียงข้ึน
อย่างรวดเร็วไปสู่ความถี่ที่สูงถึงประมาณ 140 Hz ท่ีปลายพยางค์ วรรณยุกต์จัตวาน้ีจะไม่ปรากฏใน
พยางค์ทมี่ เี สยี งพยญั ชนะสะกดเปน็ เสยี งกกั เลย เชน่
46
ขาว
โบ๋
สวย
การถา่ ยถอดระบบเสยี งภาษาไทยด้วยสัทอักษร
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จะเห็นได้ว่า หน่วยเสียงท่ีสาคัญในภาษาไทยมี 3 ชนิดคือ หน่วย
เสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งหน่วยเสียงท้ัง 3 หน่วยจะเรยี งกันอย่าง
เป็นระบบระเบียบเป็นพยางค์หรือคาท่ีใช้ในภาษาไทย ในการถ่ายถอดเสียงต่างๆ ในภาษาไทยเป็น
พยางค์หรือคาด้วยการใช้ตัวสัทอักษรน้ัน จึงมีหลักสาคัญที่ผู้เริ่มหัดถ่ายถอดเสียงควรต้องพิจารณา
ดงั นี้
1. เริ่มถ่ายถอดเสียงจากเสยี งพยัญชนะตน้ (หรือต้นควบ) + เสยี งสระ + เสียงพยัญชนะ
สะกด (ถ้ามี) + เสียงวรรณยกุ ต์ เสมอ ตวั อย่างเช่น
บ้าน / เสยี งพยัญชนะต้นคือ เสยี ง /บ/
เสียงสระอา /
เสยี งพยญั ชนะทา้ ย น (แม่กน)
เสยี งวรรณยุกตโ์ ท / /
พรอ้ ม เสียงพยัญชนะต้นควบคอื เสยี ง /พร/
เสียงสระออ
เสยี งพยญั ชนะท้าย ม (แมก่ ม)
เสยี งวรรณยุกต์ตรี
ในภาษาไทยนอกจากจะมีพยัญชนะต้นควบ 11 เสียงดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเรียกว่า
พยญั ชนะควบแท้แล้ว ยังมีพยัญชนะควบอกี ชนิดคือ พยญั ชนะควบไม่แท้ ซ่งึ มักจะออกเสียงเพียงเสยี ง
เดียว ดังนั้นวิธีพิจารณาคือ ให้ดูว่าพยัญชนะควบไม่แท้ดังกล่าวออกเสียงใด ก็ให้ใช้หน่วยเสียงน้ัน ใน
การถ่ายถอดเสียง ตวั อย่างเชน่
/จร-/ เชน่ จริง /
/ทร-/ เช่น ทราบ
/สร-/ เช่น สรอ้ ย
/ศร-/ เชน่ ศรี
47
นอกจากนี้ อักษรนาท่ีในภาษาไทยมีพยัญชนะต้น 2 ตัว แต่เม่ือออกเสียง เราออกเสียง
เพียงเสียงเดียวน้ัน เม่ือออกเสียงเป็นพยัญชนะเสียงใด ให้ถ่ายถอดเสียงเป็นพยัญชนะเสียงน้ัน
เน่ืองจากตัว ห หรือ อ ท่ีมานาน้ัน ช่วยในเร่อื งของการผันเสียงวรรณยุกตเ์ ทา่ นั้น ตวั อยา่ งเช่น
/หม-/ เช่น หมอ
/หน-/ เชน่ หนา
/หล-/ เชน่ หลาน
/หร-/ เช่น หรีด
/หว-/ เชน่ แหวน
/หย-/ เชน่ หยุด
/หญ-/ เชน่ ใหญ่
/อย-/ เชน่ อย่า
2. สัทอกั ษรแทนเสียงวรรณยกุ ต์จะวางไว้บนสระเสมอ
3. พิจารณาเสียงของพยางค์หรือคาน้ันๆ เป็นหลัก เพราะหากดูจากรูปอาจทาให้เกิด
ความสับสนได้ เน่ืองจากในภาษาไทยหน่วยเสียงบางเสียงไม่ได้มีเพียงรูปเดียว หรือรูปบางรูปอาจไม่
ตรงกับเสียงได้ ตัวอย่างเช่น คาว่า “นอ้ ย” หากถ่ายถอดโดยดูจากรูปจะได้ว่า น้ – อ – ย ซ่ึงผิด
หลักการถา่ ยถอดเสียง เพราะในภาษาไทยรูป อ สามารถเป็นได้ทั้งเสียงพยัญชนะ อ และเสียงสระ
ออ และคาดงั กลา่ วมีรูปวรรณยุกตโ์ ท แต่เสียงเปน็ เสียงวรรณยุกต์ตรี เปน็ ต้น
จะเห็นได้ว่า ระบบอักขรวิธีไทยค่อนข้างมีปัญหาและสร้างความสับสนในการถ่ายถอด
เสยี งได้ เพราะหากพิจารณากจ็ ะเหน็ ว่าพยัญชนะในภาษาไทย มี 44 รูป แตม่ เี สยี งเพียง 21 เสียง ส่วน
สระในภาษาไทยมี 21 รูป แต่มีเสียงมากถึง 32 เสยี ง นอกจากน้ี กาญจนา นาคสกุล (2551: 45-47)
ยงั ได้กลา่ วเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ประเด็นดังกล่าวไว้ว่า การใชต้ ัวสัทอักษรบันทึกเสยี งพูดน้ัน อาศัยหลักการ
วา่ ให้ตัวอักษร 1 ตวั แทนเสียงพูดที่เปล่งออกมาเพียง 1 เสยี งเท่านั้น เชน่ คาวา่ มา เมื่อจะบันทึกคานี้
จะต้องมีตัวอักษรแทนเสียง 3 ตัว คือ พยัญชนะ ม สระ -า และเสียงวรรณยุกต์สามัญ เป็นต้น วิธีนี้
จะช่วยให้ผู้บันทึกวิเคราะห์เสียงท่ีได้ยินได้อย่างถูกต้อง ทาให้สามารถบันทึกภาษาพูดอย่างท่ีผู้พูดพูด
จริงๆ ได้ใกล้เคียงท่ีสุด และบันทึกนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบเสียง
ของภาษานั้นๆ ส่วนตัวอักษรที่ใช้เขียนตามระบบการเขียนหรืออักขรวิธีของภาษา โดยปกติมักจะใช้
เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ระบบเสียงได้ไม่ดี เพราะโดยทั่วไปการเขียนมักจะต้องรักษาระเบียบ
ประเพณีที่สืบต่อกันมา ทาให้ตัวอักษรท่ีเขียนไปไม่ได้แสดงเสียงพูดหมดทุกเสียง บางครั้งตัวอักษรตัว
48
หน่ึงใช้แทนเสียงหลายเสียงทาให้เกิดความสับสน ข้อจากัดที่ทาให้ระบบการเขียนของอักขรวิธีไทย
ปจั จบุ ันใช้วเิ คราะห์ระบบเสยี งไดไ้ ม่ดี คอื
1. ตัวพยัญชนะของไทยมีลักษณะผูกพันกับเสียงวรรณยุกต์จึงได้จัดเป็นอักษรสูง อักษร
กลาง อักษรต่า เม่ือเขียนพยัญชนะตัวใดตัวหนึ่งพยัญชนะตัวนั้นจะมีเสียงวรรณยุกต์กากับด้วยเสมอ
เม่ือประสมกับเสียงสระเสียงท่ีปรากฏจะไม่ใช่เสียงพยัญชนะกับเสียงสระเท่านั้น แต่มีเสียงวรรณยุกต์
ติดตามมาด้วย เช่น คาวา่ “คะ” มีเสียงวรรณยุกต์ตรี ส่วนคาว่า “คา” มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ ความ
ผูกพันระหว่างรูปพยัญชนะกับเสียงวรรณยุกต์น้ี ทาให้ไม่สามารถใช้ตัวพยัญชนะของไทยบันทึกเสียง
พูดไดอ้ ย่างทีต่ ้องการ
2. ตัวพยัญชนะไทยหลายตัวแทนเสียงต่างกันในบางแห่งและแทนเสียงเหมือนกันในบาง
แหง่ จะทาให้สบั สนกันวา่ ในทท่ี ี่ต้องการนนั้ ออกเสียงเป็นเสยี งอะไรกันแน่ เช่น ตัว ฑ ออกเสียงเหมอื น
ด ในบางคา และออกเสยี งเหมือน ท ในบางคา เป็นต้น
3. ในระบบการเขียนของภาษาไทย มีตวั พยญั ชนะบางตวั ซึ่งไม่ออกเสียง แตต่ ้องเขียนไว้
เพื่อแสดงรากศัพท์ของคา เช่น ในคาว่า “จริง” หรือ “ศรี” นั้น ตัว ร ไม่ออกเสียง หรือตัวการันต์
ท้ังหลายก็ไม่ออกเสียง หรือตัวพยัญชนะบางตัวในคาบางคาก็ไม่ออกเสียง เช่น พราหมณ์ ปรารถนา
เป็นตน้
4. ตัวพยัญชนะเรียงกัน 2 ตัว ในภาษาไทยบางครั้งก็ออกเสียงเป็นเสียงอื่น เช่น ตัว ทร
ในคาว่า “ทราบ” “โทรม” ออกเสียงเป็นเสียง ซ แต่ในบางคา เช่น นิทรา จันทรา ออกเสียงเป็น ทร
เป็นต้น หรือตัวอักษร ผล บางคร้ังออกเสียงแบบมีสระอะค่ัน เช่น คาว่า “ผลิต” (ผะ-หฺลิด) ในบางคา
ออกเป็นเสยี งควบ เช่น ผลัด ผลาญ เป็นต้น
5. การใช้ตัว ห ช่วยเสียงวรรณยุกต์ในบางคาทาให้เกิดความสับสนกับคาท่ีใช้ ห เป็น
พยญั ชนะต้นได้ เช่น คาวา่ “แหน” “แหม” เป็นตน้
6. รูปสระของภาษาไทยหลายรูปไม่ได้แทนเสียงสระตรงๆ บางตัวมีรูปสระประสม แต่
เทียบเสียงสระเดียว เช่น สระ เ-ะ, แ-ะ, เ-อะ, เ-อ เป็นต้น บางตัวเป็นรูปสระตัวเดียวแต่แทนเสียง
สระกบั เสียงพยัญชนะ เช่น สระ – ำ, ใ, ไ, เ-า เปน็ ต้น
7. รูปวรรณยุกต์ของไทยไม่ไดแ้ สดงเสียงวรรณยุกต์ตรงกับรูปเสมอไป เพราะการกาหนด
เสียงวรรณยุกตข์ องพยางค์นั้นขึ้นอยกู่ ับลักษณะของพยางค์ พยัญชนะต้น ความส้ัน-ยาวของเสียงสระ
มาตราตวั สะกด และรปู วรรณยุกตด์ ้วย ทาให้วิเคราะห์เสียงไดย้ าก
49
8. อักขรวิธีไทยไม่สามารถแสดงพยางค์บางพยางค์ได้ เช่น พยางค์ซ่ึงมีสระเสียงส้ัน ไม่มี
พยญั ชนะท้าย หรอื พยางค์ที่พยญั ชนะท้ายเป็นเสยี งกัก และมวี รรณยกุ ตส์ ามัญ เป็นตน้
ถึงแม้ว่าภาษาไทยจะมีข้อจากัดท่ีทาให้ระบบการเขียนของอักขรวิธีไทยปัจจุบันใช้
วเิ คราะห์ระบบเสียงไดไ้ มด่ ีนัก แต่หากวิเคราะห์ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบก็สามารถวิเคราะห์
เสียงในภาษาไทยทเ่ี รยี งต่อกันเป็นพยางค์หรอื เปน็ คาทเี่ ราใช้ส่อื สารกนั ในชีวติ ประจาวันไดเ้ ปน็ อย่างดี
โครงสร้างพยางค์ในภาษาไทย
พยางค์ หมายถึง เสียงที่เปล่งติดต่อกันออกมาในการพูดของคนเรา จะมีบางเสียงที่ดัง
เด่น (prominent) กว่าเสียงอ่ืนท่ีอยู่ข้างเคียง ในการพูดคาหนึ่ง วรรคหน่ึง หรือประโยคหนึ่งน้ัน มี
เสียงที่ดังเด่นกว่าเสียงอ่ืนอยู่เป็นจานวนเท่าใด ก็จะฟังได้ว่า คาน้ัน วรรคนั้น หรือประโยคนั้น มี
พยางค์เท่ากับจานวนเสียงที่ดังเด่นนั้น (กาญจนา นาคสกุล, 2551: 176) กลุ่มเสียงที่ปรากฏเป็นคา
มีความหมายในภาษาไทย มีลักษณะแตกต่างกันเป็นหลายแบบ คาในภาษาไทยจึงจัดตามลักษณะ
พยางค์ได้ (จินดา เฮงสมบรู ณ์, 2542: 125-133) ดังน้ี
1. คาพยางค์เดียว ส่วนใหญ่คาในภาษาไทยมักเป็นคาพยางค์เดียว หน่วยเสียงท่ี
ประกอบกันเข้าเป็นคาพยางค์เดียวจะต้องมีอย่างน้อย 3 หน่วยเสียง และอย่างมากท่ีสุดก็จะเพิ่ม
หน่วยเสียงพยัญชนะเป็นเสียงควบกับพยัญชนะต้น 1 หน่วยเสียงและเป็นพยัญชนะอีก 1 หน่วยเสียง
โดยกาหนดตัวอักษรและตัวเลขแทนดงั น้ี
พ หรอื C แทนหนว่ ยเสยี งพยญั ชนะ 1 หนว่ ย
พพ หรอื CC แทนหนว่ ยเสียงพยญั ชนะ 2 หนว่ ย หรอื พยญั ชนะควบ
ส หรอื V แทนหน่วยเสยี งสระสั้น
สส หรือ VV แทนหนว่ ยเสียงสระยาวหรือหนว่ ยเสยี งสระประสม
น หรือ N แทนหน่วยเสียงพยัญชนะสะกดที่เป็นพยัญชนะนาสิก
และพยญั ชนะกึง่ สระ
ก หรือ S แทนหนว่ ยเสยี งพยญั ชนะสะกดท่เี ปน็ พยญั ชนะกัก
ว หรือ T แทนหน่วยเสยี งวรรณยกุ ต์
0 แทนหน่วยเสยี งวรรณยกุ ต์สามญั
1 แทนหนว่ ยเสียงวรรณยกุ ตเ์ อก
2 แทนหนว่ ยเสียงวรรณยุกตโ์ ท
3 แทนหนว่ ยเสยี งวรรณยุกต์ตรี
4 แทนหน่วยเสยี งวรรณยกุ ตจ์ ตั วา
50
ดงั นนั้ คาพยางค์เดียวในภาษาไทยมสี ่วนประกอบดงั นี้
1.1 C(C)VV 0 - 4 ประกอบดว้ ยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น (ต้นเดี่ยวหรือต้นควบก็ได้)
หน่วยเสียงสระ (สระเสียงยาวหรือสระประสมก็ได้) และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ได้ทั้ง 5 เสียง เช่น นา
(CVV 0 ) เกลอื (CCVV0) ตู้ (CVV2) เปน็ ตน้
1.2 C(C)VN 0 - 4 ประกอบด้วยหน่วยเสยี งพยัญชนะต้น (ตน้ เดีย่ วหรือต้นควบก็ได้)
หน่วยเสียงสระ (สระเสียงสั้น) หน่วยเสียงพยัญชนะสะกด (พยัญชนะนาสิก) และหน่วยเสียง
วรรณยกุ ต์ได้ทงั้ 5 เสยี ง เช่น กิน (CVN0) พรม (CCVN0) ขม (CVN4) เป็นต้น
1.3 C(C)VS 1, 3 ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น (ต้นเดี่ยวหรือต้นควบก็ได้)
หน่วยเสียงสระ (สระเสียงสั้น) หน่วยเสียงพยัญชนะสะกด (พยัญชนะกัก) และหน่วยเสียงวรรณยุกต์
(เสยี งเอกหรือเสียงตรีก็ได้) เชน่ เห็ด (CVS1) พลกิ (CCVS3) เปน็ ต้น
1.4 C(C)VVN 0 – 4 ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น (ต้นเดี่ยวหรือต้นควบก็
ได้) หน่วยเสียงสระ (สระเสียงยาวหรือสระประสมก็ได)้ หน่วยเสียงพยญั ชนะสะกด (พยญั ชนะนาสิก)
และหนว่ ยเสยี งวรรณยุกตไ์ ดท้ ้ัง 5 เสยี ง เชน่ เปลยี่ น (CCVVN1) บ้าน (CVVN2) เปน็ ต้น
1.5 C(C)VVS 1, 2 ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น (ต้นเด่ียวหรอื ต้นควบก็ได้)
หน่วยเสียงสระ (สระเสียงยาวหรือสระประสมก็ได้) หน่วยเสียงพยัญชนะสะกด (พยัญชนะกัก) และ
หนว่ ยเสียงวรรณยกุ ต์ (เสียงเอกหรอื เสยี งโทก็ได)้ เชน่ วาด (CVVS2) เปยี ก (CVVS1) เป็นต้น
2. คาสองพยางค์ คาซึ่งจัดว่าเป็นคา 2 พยางค์ในภาษาไทยมีลักษณะแตกต่างกันเป็น
2 แบบ ไดแ้ ก่
2.1 คาสองพยางค์แท้ เป็นคาสองพยางค์ท่ีมีส่วนประกอบของพยางค์ทั้งสองไม่
เท่ากนั การเปลง่ เสยี งกจ็ ะลงน้าหนกั ของพยางคท์ ง้ั สองไม่เท่ากันดว้ ย สามารถเขยี นเปน็ สตู รได้ดังน้ี
C(r)v0 – C(C)V(V)C0 – 4
จากสูตรข้างบนสามารถอธิบายได้คือ พยางค์แรกของคาสองพยางค์แท้จะ
ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้น ซึ่งอาจจะเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะเดียวหรือหน่วยเสียง
พยัญชนะควบก็ได้ ถ้าเป็นเสียงควบพยัญชนะในตาแหน่งท่ีสองก็จะเป็นพยญั ชนะเสียงกระทบหรือรัว
เท่าน้ัน สระของพยางค์น้ีเป็นสระเสียงสั้น โดยปกติจะไม่มีเสียงพยัญชนะสะกดและเสียงวรรณยุกต์
จะเป็นเสียงสามัญ พยางค์น้ีจะไม่ลงน้าหนัก ส่วนพยางค์ท่ีสองของคาสองพยางค์แท้ จะมีลักษณะ
เดียวกับคาพยางค์เดียวแบบใดแบบหน่ึง พยางค์ท่ีสองน้ีจะลงน้าหนักมากกว่าพยางค์แรก เช่น กะพง
(Cv0 – CVN0) กระจาด (Crv0 – CVVS1) เป็นต้น
51
2.2 คาสองพยางค์เทียม เป็นคาสองพยางค์ที่เกิดจากการรวมคาพยางค์เดียว 2 คา
เขา้ ดว้ ยกนั น่ันเอง เช่น บูชา (CVV0 – CVV0) สง่ั สอน (CVN1 – CVVN4) เป็นต้น
3. คาหลายพยางค์ มักจะเป็นคาประสมหรือคาที่ยืมมาจากภาษาอ่ืน เม่ือวิเคราะห์
ส่วนประกอบของคาหลายพยางค์แล้วจะพบว่า การออกเสียงคาหลายพยางค์มีลักษณะแตกต่างกัน
ตามลกั ษณะของจังหวะและการลงนา้ หนักของพยางค์เป็น 2 แบบคือ
3.1 คามีพยางคแ์ นน่ อน มลี ักษณะเชน่ เดยี วกับคาพยางคเ์ ดียวหรอื คา 2 พยางคเ์ รยี ง
ต่อกัน เช่น หินเหล็กไฟ (CVN4 – CVS1 – CVN0) เปน็ ต้น
3.2 คาบ่งพยางค์แน่นอนไม่ได้ มักจะเป็นคาที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีสันสกฤต
ส่วนใหญ่มักเป็นคาสมาสซึ่งมีเสียงลหุหรือคาที่ประสมสระเสียงส้ันเรียงต่อกันหลายพยางค์ อีกท้ัง
ขนึ้ อยู่กับความนยิ มของผู้พดู ที่เลือกออกเสียงตามความสะดวก เช่น คาว่า “เพชรเกษม” คนไทยบาง
คนออกเสียงเป็น 3 พยางค์ หรือบางคนก็ออกเป็น 4 พยางค์ ท้ังท่ีความเป็นจริงหากออกเสียงแบบ
คาสมาสจะออกเสยี ง 5 พยางค์ เปน็ ต้น
ลลี าการพดู
นันทนา รณเกียรติ (2548: 147) กล่าวว่า ตามปกติมนุษย์จะมีลีลาการพูด (styles of
speech) แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะพูดเร็วหรือพูดช้าข้ึนอยู่กับบุคลิกลักษณะของแต่ละคน
หรืออาจจะข้ึนอยู่กับสถานการณ์ ความเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ซ่ึงลีลาการพูดที่แตกต่างกัน
ออกไปน้ันจะมีผลทาให้ลักษณะเสียงท่ีเปล่งออกมานั้นแตกต่างกันไปด้วย เราสามารถแบ่งประเภท
ของลลี าการพูดอยา่ งกว้างๆ ได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ลีลาการพูดแบบธรรมดา (casual speech) คือ การพูดแบบธรรมดาๆ ตามสบาย
อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ซึ่งลีลาการพูดแบบธรรมดาน้ีจะมีลักษณะพูดเร็ว ปานกลาง
ชา้ หรอื ช้ามาก แลว้ แตร่ ายละเอียดของผพู้ ูด
2. ลีลาการพูดแบบชัดถ้อยชัดคา (citation form) ลักษณะการพูดแบบน้ีจะเป็นการ
พูดแบบช้า ชัด ระมัดระวังตัวท่ีจะออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี เป็นการพูดในลักษณะท่ีเป็น
ทางการ
52
เม่ือใช้ลีลาการพูดแบบชัดถ้อยชัดคาและพูดแบบธรรมดานั้น ลักษณะการออกเสียงจะ
ตา่ งกันออกไปดงั ตอ่ ไปนี้
1. พยัญชนะต้นที่ออกเสียงเป็น // เม่ือพูดชัดถ้อยชัดคานั้น ถ้าพูดธรรมดาบางคร้ัง
อาจจะออกเสยี งเป็น // เช่น คาว่า “รัก” “เรา” เป็น “ลัก” “เลา” เป็นต้น ส่วนเสียง // ท่ีทาหนา้ ท่ี
เป็นตัวควบกล้าก็อาจจะหายไปเมื่อพูดแบบธรรมดา เชน่ “กระโปรง” เป็น “กะโปง” อีกประการหน่ึง
เสียงตัวสะกด // ทเ่ี กดิ หลงั คาตายสระเด่ียวเสียงสัน้ เช่น ในคาว่า “จะ” มกั จะหายไปเมอ่ื พูดเรว็ ขนึ้
2. สระเสียงยาวอาจจะเปล่ยี นเปน็ สระเสียงส้ัน เม่ือพูดเร็วขนึ้ เชน่
ถา้ หากว่า // ---› //
ของเรา // ---› //
3. เสยี งวรรณยุกต์จะเปล่ียนไป เช่น เสยี งวรรณยุกต์เปล่ียนจากเสยี งเอกเป็นเสียงสามัญ
เม่อื พดู เรว็ ข้ึน เชน่
กระท่อนกระแทน่ / / ---› / /
หรอื เสยี งวรรณยกุ ต์ตรีเปลยี่ นเปน็ เสียงวรรณยุกตส์ ามัญ เมอ่ื พดู เรว็ ขนึ้ เชน่
นรก / / ---› / /
คะน้า // ---› //
จะเห็นได้ว่าลีลาการพูดที่แตกต่างก็ส่งผลให้ลักษณะการออกเสียงแตกต่างกันด้วย ไม่ว่า
จะเปน็ เสียงพยญั ชนะ เสียงสระหรือเสียงวรรณยกุ ต์
สรุป
จะเห็นได้ว่านักภาษาศาสตร์ได้ให้ความสาคัญกับเรื่องเสียงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจาก
“หน่วยเสียง” เป็นหน่วยท่ีเล็กท่ีสุดในภาษาและถือเป็นหน่วยพื้นฐานก่อนที่จะศึกษาภาษาในระดับที่
สูงข้ึนไป นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยังเห็นว่าภาษาพูดถือเป็นภาษาท่ีแท้จริง เพราะเป็นภาษาที่ใช้
สื่อสารกันในสถานการณ์จริง ส่วนภาษาเขียนเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่คิดข้ึนใช้แทนภาษาพูดเท่าน้ัน
ดงั น้ันนักภาษาศาสตร์จึงต้องคิดสญั ลักษณ์ข้ึนมาเพ่ือใช้ศึกษาเสยี งพูดได้อย่างละเอียดชัดเจน น่ันก็คือ
“สัทอักษร” ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์สากลที่ใช้ศึกษาภาษาแต่ละภาษาท่ัวโลก แต่ในที่น้ีจะเน้นเฉพาะ
ภาษาไทยเท่าน้ัน ในภาษาไทยเองก็มีสัทอักษรเพื่อใช้วิเคราะห์เสียงในภาษาไทยทั้งหน่วยเสียง
53
พยัญชนะ หน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ เมื่อนาแตล่ ะหน่วยเสียงมาประกอบกันเป็นคาก็
จะสามารถช่วยให้เราวเิ คราะห์เสียงแต่ละเสียงท่ีมนุษย์เปล่งออกมาได้ นอกจากจะทาความเขา้ ใจเรื่อง
เสยี งแลว้ ควรจะทาความเข้าใจเรอื่ งอวยั วะตา่ งๆ ทใ่ี ช้ในการออกเสียงดว้ ย เพอ่ื ให้รู้ข้ันตอนและวธิ ีการ
ออกเสยี งและสามารถออกเสยี งได้อย่างถูกต้อง
54
55
บทท่ี 4
ระบบคำภำษำไทย
การศึกษาระบบคาคือ การศึกษาหน่วยทางภาษาในระดับที่สูงกว่าเสียงขึ้นมา ซึ่งอยู่ใน
สาขาวิชา Morphology เป็นการศึกษาเกี่ยวกับหน่วยคา (morpheme) การประกอบหน่วยคาเข้า
เปน็ คา (word) และการแบ่งชนิดของคาตามแนวไวยากรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบง่ ชนิดของ
คาตามแนวไวยากรณ์โครงสรา้ ง ดังจะอธิบายในบทนต้ี อ่ ไป
ควำมหมำยของคำและหน่วยคำ
ในการศึกษาระบบคาภาษาไทยมีคาที่จะต้องทาความเข้าใจก่อนคือคาว่า “คา” และ
“หน่วยคา” ซง่ึ มคี วามหมายดงั ทน่ี กั วิชาการและนกั ภาษาศาสตรใ์ หน้ ิยามดังต่อไปนี้
จรัลวิไล จรูญโรจน์ (2548: 103) ไดใ้ ห้ความหมายของ คำ ว่าหมายถึง หน่วยอิสระทีเ่ ล็ก
ท่ีสุดท่ีมีความหมาย ดังน้ัน หน่วยใดๆ จะเป็นคาได้จะต้องมีคุณสมบัติครบท้ัง 3 ประการ คือ 1) อยู่
เปน็ อิสระได้ 2) เล็กที่สดุ แบ่งแยกใหเ้ ลก็ ลงกวา่ นี้ไมไ่ ด้ และ 3) มคี วามหมาย
วลั ยา ช้างขวัญยืน และคณะ (2549: 13) ได้กล่าวว่า คำ หมายถึง หน่วยที่มีความหมาย
ในภาษา สามารถปรากฏตามลาพงั ได้
จนิ ดา เฮงสมบรู ณ์ (2543: 141) ได้ให้นิยามของ หนว่ ยคำ วา่ หมายถงึ หน่วยที่เลก็ ทีส่ ุด
ในภาษาซ่ึงมีความหมายและความหมายของหน่วยคาน้จี ะคงเดิมเสมอ ไม่ว่าหน่วยคาน้ันจะปรากฏอยู่
ทใี่ ดในประโยค
จรัลวิไล จรูญโรจน์ (2548: 105) ได้ให้นิยาม หน่วยคำ ว่าหมายถึง หน่วยท่ีเล็กท่ีสุดท่ีมี
ความหมายจะอยเู่ ปน็ อสิ ระได้ หรือไม่กไ็ ด้
จากนิยามของคา (word) และหน่วยคา (morpheme) ข้างต้น จะเห็นความแตกต่าง
ระหว่างคาและหน่วยคาคือ หน่วยคาสามารถอยู่เป็นอิสระหรือไม่ก็ได้ ในขณะที่คาต้องปรากฏเป็น
อิสระเท่านน้ั นอกจากนี้ วัลยา ช้างขวญั ยนื และคณะ (2549: 14) ไดอ้ ธิบายเพิม่ เติมว่า หน่วยในทาง
ภาษาจะเร่ิมจากหน่วยคา และหน่วยที่ใหญ่กว่าเรียงลาดับขึ้นไปได้แก่ คา วลี ประโยค และ
สมั พันธสาร
56
หนว่ ยทำงภำษำ ขนำดของหน่วยทำงภำษำ
สมั พันธสาร ใหญ่
ประโยค เลก็
วลี
คา
หน่วยคา
ภำพที่ 4.1 แสดงขนำดของหน่วยทำงภำษำ
ทมี่ ำ (วลั ยำ ช้ำงขวญั ยืน และคณะ, 2549: 14)
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าคามีขนาดใหญ่กว่าหน่วยคา หน่วยคาอาจมีหลายขนาด บาง
หน่วยคาอาจปรากฏตามลาพังเปน็ คาได้ บางหน่วยคาอาจเป็นเพยี งส่วนประกอบของคา เกณฑ์ท่จี ะใช้
พิจารณาว่าคาหรือส่วนของคาจะเป็นหน่วยคาหรอื ไม่ คือ เราจะแยกหน่วยคาออกเป็นส่วนท่เี ลก็ ลงไป
และมีความหมายอกี ไม่ได้
ลกั ษณะของหนว่ ยคำ
วัลยา ช้างขวัญยืน และคณะ (2549: 15-19) ได้อธิบายเก่ียวกับลักษณะของหน่วยคาไว้
ดังน้ี
1. หน่วยคาเปน็ หน่วยที่มคี วามหมาย ตัวอยา่ งเชน่
- เขาดืม่ กาแฟเป็นประจา
- กาบนิ มาเกาะท่หี ลังคาบา้ น
- เขาเทน้าจากกาลงในแกว้
- อยา่ กาคะแนนให้พวกซอื้ เสยี ง
จากตัวอย่างจะเห็นว่ามีคาว่า “กา” หลายคา คาว่า กา ในตัวอย่างแรก ไม่จัดเป็น
หน่วยคา เพราะไม่มีความหมาย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคา ส่วนคาว่า “กา” ในตัวอย่างที่เหลือล้วน
จัดเป็นหนว่ ยคาท้ังสิ้น เนื่องจากมคี วามหมายกลา่ วคอื “กา” ในตัวอยา่ งท่ี 2 หมายถึง “นกชนดิ หนึง่ ”
“กา” ในตัวอย่างท่ี 3 หมายถึง “ภาชนะสาหรับต้มน้า” และ “กา” ในตัวอย่างที่ 4 หมายถึง
“ทาเครอ่ื งหมาย”
57
2. หน่วยคาเป็นองค์ประกอบย่อยของคา หากวิเคราะห์องค์ประกอบของคาจะได้
องค์ประกอบย่อย ถ้าองค์ประกอบย่อยเป็นหน่วยที่มีความหมายก็เรียกว่า หน่วยคา คาหนึ่งคาต้องมี
องค์ประกอบเป็นหนว่ ยคาอย่างน้อย 1 หน่วยเสมอ สว่ นจานวนสูงสุดของหน่วยคาท่ีสามารถประกอบ
เข้าเป็นคาคาเดียวในแต่ละภาษามีจานวนไม่เท่ากัน ในภาษาไทย คามีหน่วยคาเป็นองค์ประกอบได้
1-4 หน่วย คาท่ีมีหน่วยคามากกว่า 5 หน่วย มักเป็นศัพท์ทางวิชาการ ศัพท์บัญญัติ ชื่อเฉพาะหรือ
ราชาศพั ท์ ตัวอย่างเช่น
คาทมี่ หี นว่ ยคา 1 หนว่ ย ตา แมลง กะทดั รดั สังกะสี
คาทม่ี ีหนว่ ยคา 2 หน่วย ตาขาว (ตา-ขาว) แมลงวนั (แมลง-วนั )
คาทม่ี ีหนว่ ยคา 3 หน่วย ทองคาขาว (ทอง-คา-ขาว) นักการเมือง
(นกั -การ-เมือง)
คาท่มี ีหน่วยคา 4 หน่วย ตัว๋ สญั ญาใชเ้ งิน (ตัว๋ -สญั ญา-ใช้-เงิน)
คาที่มหี นว่ ยคา 5 หนว่ ย ผรู้ บั เหมาก่อสร้าง (ผู้-รบั -เหมา-ก่อ-สรา้ ง)
คาทมี่ ีหนว่ ยคา 6 หน่วย ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท (ใต้-ฝ่า-ละออง-ธุลี-
พระ-บาท)
3. หน่วยคาอาจเป็นเพียงหน่วยเสียงเดียวหรือเป็นพยางค์ก็ได้ ในภาษาไทยหน่วยคามี
พยางค์อย่างน้อย 1 พยางค์ เช่น น้ำ แมว ทรำย แต่ในบางภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ หน่วยคาอาจมี
เพยี งหนว่ ยเสยี งเดียว เช่น boys หน่วยเสยี ง หมายถึง ความเปน็ พหูพจน์ เป็นต้น
4. หนว่ ยคาอาจมีพยางค์ได้มากกวา่ 1 พยางค์ เช่น มรดก มี 3 พยางค์ เปน็ ตน้
5. หน่วยคาอาจมีรูปแปรได้ รูปแปรของหน่วยคา เรียกว่า หน่วยคาย่อย (allomorph)
แตต่ อ้ งใช้ในความหมายเดียวกัน ตัวอยา่ งในภาษาไทย เช่น
วัว --› งัว
ควำย --› ฟำย
ดฉิ นั --› อฉิ นั ดชิ นั อะฮัน เด๊ยี น ดน๊ั
จากลักษณะของหน่วยคาขา้ งต้น จะเห็นว่า คาและหน่วยคามีความแตกต่างกัน หน่วยคาบาง
หน่วยมีขนาดเท่ากับคา แต่บางหน่วยคาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคาเท่าน้ัน นอกจากน้ี นักภาษาศาสตร์
ยงั ได้แบง่ หนว่ ยคาเป็นประเภทต่างๆ ดังจะได้กลา่ วถงึ ในหัวข้อต่อไป
58
ประเภทของหน่วยคำ
การจาแนกประเภทของหน่วยคาน้ันมีเกณฑ์ที่ใช้จาแนก 3 เกณฑ์ คือ เกณฑ์ลักษณะที่
หน่วยคาปรากฏ เกณฑ์หน้าที่ของหน่วยคา และเกณฑ์ความหมาย (ดียู ศรีนราวัฒน์ และชลธิชา
บารุงรกั ษ์ (บก.), 2558: 94) ดงั น้ี
1. จำแนกตำมลกั ษณะท่หี น่วยคำปรำกฏ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภทย่อยคอื
1.1 หน่วยคำอิสระ (free morpheme) คือ หน่วยคาท่ีสามารถปรากฏตามลาพังได้
ไมต่ อ้ งเกาะตดิ กบั หนว่ ยคาอ่ืน เช่น พอ่ แม่ หวั ไก่ แดง เปน็ ต้น
1.2 หน่วยคำไม่อิสระ (bound morpheme) คือ หน่วยคาที่ไม่สามารถปรากฏตาม
ลาพังได้ แต่ตอ้ งปรากฏร่วมกบั คาอืน่ เสมอ เชน่ นัก- ผู้- ชำว- กำร- -กร –ภาพ เป็นต้น
2. จำแนกตำมหนำ้ ทขี่ องหน่วยคำ แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภทยอ่ ยคอื
2.1 หน่วยคำแกน (root) คือ หน่วยคาที่ทาหน้าท่ีหลักของคาและให้ความหมาย
สาคัญของคาที่เป็นสว่ นประกอบ เชน่ สอน เรว็ ต้นไม้ เป็นต้น
2.2 หน่วยคำเตมิ (affix) คอื หน่วยคาทีม่ าประกอบกบั หนว่ ยคาแกนเพื่อทาให้เกิดคา
ใหม่ หรอื เพ่อื แสดงลักษณะทางไวยากรณข์ องคา แบ่งเปน็ 3 ประเภทคอื
2.2.1 หน่วยคาเติมหน้า หรือ อุปสรรค (prefix) คือ หน่วยคาเติมที่ปรากฏอยู่
หนา้ หนว่ ยคาแกน เช่น นกั เรียน ผู้หญิง ชำวนำ เปน็ ต้น
2.2.2 หน่วยคาเติมหลัง หรือ ปัจจัย (suffix) คือ หน่วยคาเติมท่ีปรากฏอยู่ท้าย
หน่วยคาแกน เชน่ พิธีกร เสรีภำพ วัตถนุ ยิ ม เป็นตน้
2.2.3 หน่วยคาเติมกลาง หรือ อาคม (infix) คือ หน่วยคาเติมที่ปรากฏแทรกอยู่
ภายในหนว่ ยคาแกน เชน่
ทลาย แปลว่า พงั , แตก
ทาลาย แปลว่า ทาใหพ้ ัง, ทาให้แตก
เสรจ็ แปลวา่ แลว้ , จบ
สาเร็จ แปลว่า ทาใหแ้ ล้ว ทาใหจ้ บ
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เราสามารถแยกหน่วยคาท่ีมีความหมายว่า
“ทาให้” ออกมาได้ น่ันคือ หน่วยคา “ ำ” ซง่ึ เป็นหนว่ ยคาเติมกลางหนว่ ยคาแกนว่า ทลาย และ เสร็จ
นั่นเอง
59
3. จำแนกตำมควำมหมำย แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทคือ
3.1 หน่วยคำบอกเนื้อหำ (content morpheme) คือ หน่วยคาท่ีมีความหมายถึง
“ส่ิง อาการ การกระทา คุณสมบัติ ลักษณะอาการ” ในภาษาคาโดด เช่น ภาษาไทย หน่วยคาบอก
เน้อื หามักเปน็ หนว่ ยคาแกนอิสระซงึ่ มีฐานะเท่ากบั คา และจัดอยใู่ นหมวดคานาม คากริยา คาคุณศัพท์
และคาวิเศษณ์ ตวั อย่างเช่น คน เกดิ ดี ชำ้ เปน็ ตน้
3.2 หน่วยคำไวยำกรณ์ (grammatical morpheme) คือ หน่วยคาท่ีบ่งช้ีลักษณะ
หน้าท่ีแสดงความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ หน่วยคาชนิดน้ีมีทั้งที่เป็นหน่วยอิสระ เช่น คาสรรพนาม
คาบุพบท คาสันธาน เป็นต้น และหน่วยคาคงต่างๆ เช่น ในภาษาอังกฤษมีหน่วยคาพหูพจน์ –s
หนว่ ยคาอดตี กาล –ed หน่วยคาเปรยี บเทยี บ –er –est เปน็ ตน้
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ การวิเคราะห์หน่วยคาชนิดหน่วยคาอิสระ หน่วยคาแกนหรือ
หน่วยคาบอกเนื้อหา มักจะไม่ค่อยพบปัญหามากนัก เพราะเป็นหน่วยคาท่ีมีความหมายของตัวเอง
ชัดเจน แต่ท่ีเป็นปัญหาในการวิเคราะห์มากคือ หน่วยคาไม่อิสระ หน่วยคาเติม และหน่วยคา
ไวยากรณ์ เพราะผู้ศึกษามักจะคิดว่าหน่วยคาดังกล่าวไม่มีความหมาย อาจเพราะไม่เคยเห็นหน่วยคา
นั้นอยู่เด่ียวๆ แต่จากนิยามของ “หน่วยคา” คือ ต้องเป็นหน่วยท่ีมีความหมาย ดังนั้นหน่วยคาท้ัง 3
ประเภทคือ หน่วยคาไม่อิสระ หน่วยคาเติม และหน่วยคาไวยากรณ์จะมีความหมายเม่ือไปประกอบ
กับอกี หน่วยคาหนงึ่ ตัวอยา่ งเช่น
นัก- หมายถึง ผู้ท่มี ีความชานาญ ผู้ท่ีมีอาชีพ หรือมักทาส่ิงน้ันๆ เชน่ นักเรียน นักดนตรี
นกั เขยี น นักแตง่ เพลง นกั ร้อง เป็นต้น
ผู้- หมายถึง คนทีท่ ากรยิ าหรอื อาการน้นั ๆ เช่น ผู้ป่วย ผู้หญิง ผู้ประสำนงำน เปน็ ตน้
ชาว- หมายถึง คนที่อยู่ในนั้น ประกอบอาชีพน้ัน สังกัดสถาบันนั้นหรือเป็นคนชาตินั้น
เช่น ชำวนำ ชำวไทย ชำวรำชภฏั เป็นต้น
-กร หมายถึง ผู้กระทา เช่น พิธีกร วทิ ยำกร วศิ วกร เป็นต้น
-ภาพ หมายถึง ความมี ความเป็น เช่น เสรีภำพ อิสรภำพ เอกภำพ เปน็ ตน้
จะเห็นได้ว่าหน่วยคาบางหน่วยเมื่ออยู่โดดๆ และเมื่อประกอบกับหน่วยอื่ นจะมี
ความหมายตา่ งกัน นั่นย่อมหมายความวา่ เปน็ หน่วยคาคนละชนดิ กัน เช่น
รปู ภาพ (ภาพ หมายถงึ สง่ิ ที่ปรากฏให้เหน็ จดั เป็นหน่วยคาอิสระ)
มรณภาพ (-ภาพ หมายถึง ความมคี วามเปน็ จดั เป็นหนว่ ยคาไม่อิสระ)
60
กำรประกอบคำในภำษำไทย
การทีเ่ รามีคาเพ่ือใช้ในภาษาไม่ส้ินสุด สว่ นหนึง่ มาจากการทเี่ รานาหน่วยคามาสร้างข้ึนใช้
ในภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาไทยจะมีคาที่เกิดจากการนาหน่วยคามาประกอบกันค่อนข้างมาก
สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2548: 72) ได้อธิบายว่าการประกอบคาข้ึน
ใช้ในภาษาไทยมีอยู่ 2 วิธีคือ การรวมหน่วยคาและการซ้าหน่วยคา ซ่ึงแต่ละวิธีมีลักษณะและ
รายละเอียดของการนาหนว่ ยคามาประกอบเข้าดว้ ยกันดังน้ี
1. กำรรวมหน่วยคำ หมายถึง การนาหน่วยคาตั้งแต่ 2 หน่วยคาข้ึนไปมาประกอบเข้า
ดว้ ยกนั และปรากฏเปน็ คาใหมข่ ึ้นใชใ้ นภาษา แบ่งเปน็ 2 ประเภทคอื
1.1 คำผสำน หมายถึง คาท่ีสร้างขึ้นดว้ ยการรวมหน่วยคาอยา่ งนอ้ ย 2 หนว่ ยคา โดย
ทมี่ ีหนว่ ยคาใดหนว่ ยคาหนึง่ เป็นหน่วยคาไม่อสิ ระ แบง่ เปน็ 2 ประเภทย่อยคอื
1.1.1 คาผสานแท้ คือ คาผสานท่มี ีหน่วยคาไม่อิสระทง้ั หมด เชน่
หนว่ ยคำไม่อสิ ระ หนว่ ยคำไม่อสิ ระ
นัก- -เลง
รา่ - -เรงิ
คร้ืน- -เครง
1.1.2 คาผสานเทียม คือ คาผสานที่มีหน่วยคาไม่อิสระประกอบเขา้ กับหน่วยคา
อิสระ โดยหน่วยคาไม่อิสระท่ีนามาประกอบน้ันอาจจะเป็นชนิดเติมหน้า เติมกลาง หรือเติมหลังก็ได้
เชน่
หนว่ ยคำไม่อสิ ระ หนว่ ยคำอสิ ระ
สุ- จริต
นกั - เรยี น
อนุ- เคราะห์
หนว่ ยคำอิสระ หน่วยคำไมอ่ สิ ระ
เกษตร -กร
สงั คม -นยิ ม
เอก -ภาพ
61
1.2 คำผสม หมายถึง คาท่ีเกิดจากการรวมหน่วยคาอิสระกับหน่วยคาอิสระเข้า
ดว้ ยกนั แบง่ เปน็ 2 ชนิดคอื
1.2.1 คาประสม หมายถึง คาท่ีเกิดจากการนาหน่วยคาอิสระท่ีมีความหมาย
ต่างกันอย่างน้อย 2 หน่วยมารวมกนั เกิดเปน็ คาใหมค่ าหน่ึงมคี วามหมายใหม่ เช่น
ดอกฟ้า หญงิ ท่สี ูงศักดิ์
ตนี กา รอยย่นที่ปรากฏทหี่ างตา มีลกั ษณะคลา้ ยตนี ของกา
รองพนื้ เคร่อื งสาอางประเภทหนึง่ ใช้ทาผิวหนา้ กอ่ นผัดแปง้
มือใหม่ ยังไม่ชานาญ
1.2.2 คาซ้อน หมายถึง คาที่เกิดจากการนาหน่วยคาอิสระตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป
มาเรียงต่อกันโดยแต่ละคาน้นั มีความสมั พนั ธก์ ันในด้านความหมาย ดงั ต่อไปน้ี
1.2.2.1 ความหมายเหมอื นกนั หมายถึง หน่วยคาอิสระท่ีนามาซ้อนกันน้ัน
หมายถงึ ส่ิงเดียวกนั หรือเปน็ อยา่ งเดยี วกัน เชน่
ใหญโ่ ต ดูแล เรว็ ไว สญู หำย เลอื กสรร
1.2.2.2 ความหมายคล้ายกัน หมายถึง หน่วยคาอิสระท่ีนามาซ้อนกันนั้นมี
ความหมายใกล้เคียงกนั หรือเป็นไปในทานองเดยี วกนั พอจะจดั เข้าในกลุ่มเดยี วกนั ได้ เช่น
ออ่ นนุ่ม ไรน่ ำ แข้งขำ หนำ้ ตำ เขตแดน ถว้ ยโถโอชำม
1.2.2.3 ความหมายตรงกันข้าม หมายถึง คาท่ีนามาซ้อนกันนั้นมี
ความหมายเป็นคนละลักษณะหรอื คนละฝ่ายกัน เช่น
ผดิ ถูก ช่วั ดี เหตุผล สูงต่้ำ ด้ำขำว
2. กำรซ้ำหน่วยคำ หมายถึง การกล่าวซ้าหน่วยคาอิสระนั้นๆ 2 คร้ัง คาเกิดใหม่นั้น
เรียกว่า “ค้ำซ้ำ” คาซ้า หมายถึง คาท่ีประกอบด้วยหน่วยคาอิสระ 2 หน่วยซ่ึงเหมือนกันทุก
ประการหรืออีกนัยหน่ึง การพูดหรือการเขียนคาใดคาหนึ่งอีกคร้ังทาให้เกิดคาซ้า ในภาษาไทยคาทุก
ชนิดสามารถซ้าได้ แต่ไม่ใชค่ าทุกคาในแต่ละชนิดจะซ้าได้ ทั้งน้ีข้นึ อยกู่ ับความหมายของคาและบริบท
เช่น
เด็กๆ สำวๆ ดำ้ ๆ กล้วยๆ ไปๆมำๆ
62
กำรแบง่ ชนดิ ของคำตำมแนวไวยำกรณ์ต่ำงๆ
เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ของคาในเชิงวากยสัมพันธ์น้ัน เราจะเน้นการศึกษา
ความสัมพันธ์ของคาในฐานะท่ีมีคุณสมบัติลักษณะของไวยากรณ์ ซึ่งทาให้แต่ละคาท่ีประกอบกันเป็น
ประโยค มีหน้าที่แตกต่างกันไป เราจึงจัดแบ่งประเภทของคาไว้เป็นหมวดๆ ตามลักษณะหน้าที่ทาง
ไวยากรณ์ดังกล่าว ซ่ึงตาราไวยากรณ์แต่ละเล่มก็มีเกณฑ์ในการแบ่งชนิดของคาแตกต่างกันไป ในที่น้ี
ผู้เขียนได้รวบรวมเกณฑ์การแบ่งชนิดของคาตามแนวไวยากรณต์ า่ งๆ ไว้ 3 แนว ดงั นี้
1. หลกั ภำษำไทย ของ พระยำอปุ กติ ศิลปสำร
ไวยากรณ์ดั้งเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิดจากหนังสือหลักภาษาไทยของ
พระยาอุปกิตศิลปสารเป็นแนวไวยากรณ์ที่นักเรียนนักศึกษาคุ้นเคยดี เพราะได้ศึกษามาตั้งแต่ช้ัน
ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ไวยากรณ์แนวนี้แบ่งคาออกเป็น 7 ชนิด คือ คานาม คาสรรพนาม
คากริยา คาวิเศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอุทาน โดยใช้เกณฑ์ตามแนวไวยากรณ์ด้ังเดิมคือ
ไวยากรณ์อังกฤษ (พระยาอปุ กิตศิลปสาร, 2546: 70) คอื
1.1 ด้ำนควำมหมำย เช่น คานาม คือ คาบอกช่ือคน สัตว์ สิ่งของ หรือคากริยา คือ
คาบอกอาการของคน สัตว์ สิ่งของ เปน็ ต้น
1.2 ด้ำนตำแหน่งหน้ำท่ี เช่น คาบุพบท คือ คาสาหรับนาหน้านามและสรรพนาม
หรอื คาวิเศษณ์ คอื คาประกอบคาอื่นใหม้ คี วามตา่ งออกไป
2. โครงสรำ้ งภำษำไทย ของ วิจนิ ตน์ ภำณุพงศ์
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ นักไวยากรณ์โครงสร้างภาษาไทยมีแนวคิดว่า ความเป็น
ภาษาคาโดดที่ไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปเพื่อบอกหน้าที่หรือชนิดของคาน่าจะใช้ตาแหน่งของคา และ
ปริบทแวดล้อมในประโยคเป็นเกณฑ์แบ่งชนิดของคาในภาษาไทยอย่างมีระบบ โดยใช้แนวคิดของ
ทฤษฎีโครงสรา้ ง (วจิ นิ ตน์ ภาณุพงศ,์ 2548: 101) คือ
2.1 ด้ำนตำแหน่ง นาคาท่ีต้องการมาทดสอบในกรอบประโยคทดสอบเพ่ือแบ่งเป็น
หมวดคาตา่ งๆ ดังตวั อยา่ งกรอบประโยคทดสอบขา้ งลา่ ง
1. ……….. แลว้ 1. (คากรยิ าอกรรม) แลว้
2. กาลัง ............ 2. กาลัง (คากรยิ าอกรรม)
หรอื
63
1. ………. ........... แล้ว 1. (คานาม) (คากริยาอกรรม) แลว้
2. ……….. กาลัง ….…….. 2. (คานาม) กาลัง (คากริยาอกรรม)
2.2 ด้ำนหน้ำท่ี นาหมวดคาท่ีแบ่งโดยใช้เกณฑ์ตาแหน่งท้ัง 25 หมวด มาแบ่งอีกคร้ัง
โดยพิจารณาจากหนา้ ท่ีในฐานะที่เปน็ “ส่วนของประโยค” สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื
2.2.1 คาหลัก คือ คาท่ีสามารถทาหน้าท่ีเป็น “ส่วนของประโยค” ตามลาพังได้
มี 7 หมวด คือ คานาม คากริยาสกรรม คากริยาอกรรม คากริยาทวิกรรม คากริยาอกรรมย่อย คา
บอกเวลา และคาพเิ ศษ
2.2.2 คาไวยากรณ์ คือ คาที่ไม่สามารถทาหน้าท่ีเป็น “ส่วนของประโยค” ตาม
ลาพงั ได้ ต้องทาหน้าท่รี ่วมกบั คาหลัก เชน่ คาขยายและคาเชือ่ ม เปน็ ตน้
3. ไวยำกรณ์ไทย ของ นววรรณ พนั ธุเมธำ
นววรรณ พันธุเมธา (2551: 4) ใช้เกณฑ์ด้านหน้าท่ีในการสอ่ื สารและดา้ นความหมาย
เป็นหลักตามแนวไวยากรณป์ ริวรรตและไวยากรณ์การกในการจาแนกชนิดของคาคือ
3.1 ด้ำนหน้ำท่ีในกำรส่ือสำร เพ่ือแบ่งเป็นหมวดใหญ่ๆ ก่อน โดยแบ่งได้เป็น 6
หมวด ได้แก่ คาเรยี ก-รอ้ ง คาหลัก คาแทน คาขยาย คาเชือ่ ม และคาเสรมิ
3.2 ด้ำนควำมหมำย นาหมวดคาใหญ่ๆ ท่ีจาแนกตามหน้าท่ีในการสือ่ สารมาจาแนก
ประเภทย่อยตามเกณฑ์ความหมาย เชน่ คาหลกั แบง่ เปน็ 2 ประเภทคือ
3.2.1 คานาม คอื คาท่ีหมายถึงสง่ิ ตา่ งๆ ทัง้ ที่เปน็ รปู ธรรมและนามธรรม
3.2.2 คากรยิ า คือ คาทใี่ ช้แสดงอาการหรือสภาพหรอื เหตุการณต์ า่ งๆ
จะเห็นได้ว่าไวยากรณ์แต่ละแนวต่างก็มีเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งชนิดของคาแตกต่างกันไป
ท้ังน้ีทุกแนวไวยากรณ์ล้วนมีความต้องการเดียวกันคือ เพ่ือวิเคราะห์คาในภาษาไทยให้ชัดเจนท่ีสุด
หัวข้อต่อไปผู้เขียนจะเสนอแนวการวิเคราะห์ชนิดของคาตามแนวไวยากรณ์โครงสร้าง ซ่ึงถือเป็นการ
วิเคราะห์อีกแนวหน่ึง หลังจากท่ีนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่ได้เรียนรู้การวิเคราะห์ตามแนวไวยากรณ์
ดง้ั เดมิ มาแลว้ เมื่อเรียนช้ันประถามศกึ ษาถึงชั้นมธั ยมศกึ ษา
64
กำรจำแนกชนิดของคำตำมแนวไวยำกรณโ์ ครงสรำ้ ง
ไวยากรณ์โครงสร้างมีแนวคิดว่า ส่ิงท่ีเราสังเกตโดยตรงได้หรือแทนท่ีกันได้โดยไม่ทาให้
โครงสร้างของประโยคเปล่ียนแปลงไป คือ ตาแหน่งหน้าท่ี ซึ่งนามาใช้ในการจาแนกคาโดยยึดหลักว่า
คาท่ีเกิดตาแหน่งเดียวกันได้ จะจัดให้เป็นคาชนิดเดียวกันหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นคาในหมวด
เดียวกัน เน่ืองจากไวยากรณ์แนวน้ีเช่ือว่าตาแหน่งกับหน้าที่นั้นเก่ียวข้องกัน คือ ตาแหน่งมาก่อน
หน้าท่ี เม่ือไรที่คามีตาแหน่งเม่ือนั้นก็มีหน้าที่ ดังน้ันคาท่ีปรากฏในตาแหน่งเดียวกันได้จึงสามารถทา
หน้าท่ีเดียวกันได้ คาที่มีตาแหน่งหน้าที่อย่างเดียวกันในทางไวยากรณ์ หมายถึง คาท่ีปรากฏในคา
แวดล้อมอย่างเดียวกัน นักภาษาศาสตร์แนวนี้จึงคิดกรอบประโยคทดสอบข้ึนมาเพ่ือใช้ทดสอบคา
ต่างๆ ว่าสามารถปรากฏในตาแหน่งเดียวกันได้หรือไม่ หากได้ก็จะจัดเป็นคาชนิดเดียวกัน วิจินตน์
ภาณุพงศ์ ถือเป็นนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่งท่ีวิเคราะห์คาโดยใช้แนวไวยากรณ์นี้ จากการทดสอบคา
โดยใช้กรอบประโยคทดสอบ วจิ ินตน์ ภาณุพงศ์ (2548: 101-126) พบว่า สามารถแบ่งชนิดของคาได้
ทัง้ สนิ้ 25 หมวด ดังน้ี
1. หมวดคำนำม คอื คาท่สี ามารถปรากฏในตาแหนง่ ได้ท้งั ขอ้ 1 ก. และ 1 ข. ดงั น้ี
1 ก. กาลัง
1 ข. แล้ว
- ฝนกาลงั ตก
- ฝนตกแล้ว
- แมก่ าลังนอน
- แมน่ อนแล้ว
จากตัวอย่าง จะเห็นว่า คาที่สามารถปรากฏในกรอบประโยคทดสอบในตาแหน่ง
ได้ คือ คาว่า “ฝน” และ “แม”่ ดังนนั้ คาว่า “ฝน” “แม่” จึงเปน็ คานาม
2. หมวดคำกรยิ ำอกรรม คอื คาที่ปรากฏในตาแหนง่ ไดท้ ง้ั ข้อ 2 ก. และ 2 ข. ดังน้ี
2 ก. กาลงั
2 ข. แลว้
- ฝนกาลงั ตก
- ฝนตกแล้ว
65
- แมก่ าลังนอน
- แมน่ อนแลว้
จากตัวอย่าง จะเห็นว่า คาที่สามารถปรากฏในกรอบประโยคทดสอบในตาแหน่ง
ได้ คือคาว่า “ตก” และ “นอน” ดังน้ัน คาว่า “ตก” และ “นอน” จึงเป็นคากริยาอกรรม อาจกล่าว
ได้ว่า ประโยคใดก็ตามท่ีมีคากริยาอกรรมอยู่ในประโยค จะไม่มีคานามหรือคาสรรพนามซ่ึงทาหน้าที่
เป็นหน่วยกรรมมาต่อท้าย
3. หมวดคำกริยำสกรรม คือ คากริยาที่สามารถปรากฏหลังคาว่า “กาลัง” และหน้า
คานามได้ เช่น
3 ก. นาม กาลัง ………… นาม
3 ข. นาม ……….. นาม แลว้
- เด็กกาลงั อา่ นหนังสอื
- เด็กอา่ นหนงั สือแลว้
- พอ่ กาลังฟังขา่ ว
- พ่อฟังข่าวแลว้
สรุปได้ว่า ประโยคใดก็ตามที่มีคากริยาสกรรมอยู่ในประโยค จะต้องมีคานามหรือคา
สรรพนามซง่ึ ทาหนา้ ท่ีเปน็ หนว่ ยกรรมมาต่อทา้ ย 1 ตวั
4. หมวดคำกริยำทวิกรรม คือ คากริยาท่ีสามารถปรากฏหลังคาว่า “กาลัง” และ
สามารถมคี านามตามหลังได้ 2 คา เช่น
4 ก. นาม กาลงั ………… นาม นาม
4 ข. นาม ……….. นาม นาม แล้ว
- พ่ีกาลังใหข้ นมน้อง
- พ่ใี หข้ นมนอ้ งแล้ว
- แม่กาลังปอ้ นขา้ วลกู
- แมป่ ้อนขา้ วลูกแล้ว
66
สรปุ ได้วา่ ประโยคใดกต็ ามที่มีคากริยาทวกิ รรมอยูใ่ นประโยค จะต้องมคี านามหรือคา
สรรพนามซ่ึงทาหน้าที่เป็นหน่วยกรรมมาต่อท้าย 2 ตัว โดยหน่วยกรรมตัวแรกทาหน้าที่เป็นหน่วย
กรรมตรง หน่วยกรรมตวั ทีส่ องทาหนา้ ทเ่ี ป็นหนว่ ยกรรมรอง
ขอ้ สังเกต
ในบางประโยคในภาษาไทย สามารถวิเคราะห์คากริยาเป็นได้ทั้งคากริยาสกรรมและ
คากริยาทวิกรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความ หมายความว่าประโยคลักษณะนั้นสามารถตีความได้ 2
อย่างหรอื อาจเป็นประโยคกากวม ตัวอย่างเช่น “แดงขายหนังสือเด็ก” ประโยคน้ีสามารถวิเคราะห์ได้
เปน็ 2 แบบคือ
แบบท่ี 1 แดง ขาย หนงั สอื เด็ก
หนว่ ยประธาน หน่วยสกรรม หน่วยกรรมตรง
หากวิเคราะห์เช่นนี้หมายความว่าหนังสือกับเด็กทาหน้าที่ร่วมกันเป็นส่วนประกอบของ
ประโยคส่วนเดียวกัน คือ เป็นหน่วยกรรมตรง ดังนั้น คาว่า “ขาย” จึงทาหน้าที่เป็นคากริยาสกรรม
เนื่องจากมกี รรมมารองรบั เพียงตัวเดียว
แบบที่ 2 แดง ขาย หนงั สือ เด็ก
หนว่ ยประธาน หน่วยทวกิ รรม หนว่ ยกรรมตรง หนว่ ยกรรมรอง
หากวิเคราะห์เช่นนี้หมายความว่าหนังสือกับเด็กทาหน้าท่ีแยกกันเป็นส่วนประกอบของ
ประโยคคนละส่วน คือ “หนังสือ” ทาหน้าท่ีเป็นหน่วยกรรมตรง และคาว่า “เด็ก” ทาหน้าท่ีเป็น
หน่วยกรรมรอง ดังนั้น คาว่า “ขาย” จึงทาหน้าที่เป็นคากริยาทวิกรรม เนื่องจากมีกรรมมารองรับ 2
ตวั
5. หมวดคำกริยำอกรรมย่อย คือ คากริยาอกรรมชนิดหน่ึง แต่ต่างจากคากริยาอกรรม
ตรงที่คากริยาอกรรมย่อยสามารถปรากฏข้างหน้าคาว่า “กว่า”หรือ “ท่ีสุด” ในประโยคเปรียบเทียบ
ได้ เชน่
นาม คง .......... กวา่ นาม
- นอ้ งคงโตกว่าพี่
- น้องโตทสี่ ดุ
- เสอ้ื คงเก่ากว่ากางเกง
- เสอื้ เก่าท่สี ดุ
67
ขอ้ สงั เกต
หากคาที่ต้องการทดสอบเป็นคากริยาอกรรมจะไม่สามารถปรากฏหน้าคา
วา่ “กวา่ ” หรือ “ท่ีสุด” ได้ เช่น
- * นักเรียนคงนัง่ กวา่ ครู 1 - * นักเรียนคงนงั่ ทสี่ ดุ
- * น้องคงรอ้ งไห้กวา่ พ่ี - * นอ้ งคงรอ้ งไห้ทีส่ ดุ
- * แมค่ งนอนกวา่ พ่อ - * แมค่ งนอนทส่ี ดุ
คาว่า “น่ัง” “ร้องไห้” จัดเป็นคากริยาอกรรม เพราะประโยคดังกล่าวไม่ส่ือ
ความในภาษาไทย แต่หากอยากให้ประโยคดังกล่าวมีความหมายในเชิงของการเปรียบเทียบจะต้องมี
คาอ่นื คัน่ ก่อนเสมอ เช่น คาว่า “มาก” “นอ้ ย” หรอื “นาน” เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งเช่น
- นักเรยี นคงนงั่ มำกกว่าครู
- น้องคงรอ้ งไห้น้อยกวา่ พี่
- แม่คงนอนนานกวา่ พอ่
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าคากริยาอกรรมแบ่งออกได้เป็น คากริยาอกรรมกับ
คากริยาอกรรมย่อย โดยพิจารณาว่าสามารถปรากฏหน้าคาว่า “กว่า” หรือ “ที่สุด” ในประโยค
เปรียบเทยี บไดห้ รอื ไม่น่นั เอง
6. หมวดคำปฏิเสธ คือ คาว่า “ไม่” ซ่ึงถือเป็นคาปฏิเสธท่ีใช้บ่อยท่ีสุดในภาษาพูด
สามารถปรากฏตามตาแหน่ง ดงั น้ี
6.1 หนา้ คากริยาอกรรม กรยิ าสกรรม และกรยิ าทวิกรรม เชน่
- เด็กไมอ่ ่านหนงั สือ
- เด็กไมน่ อน
- แมไ่ มใ่ หข้ นมน้อง
ตัวอย่างเชน่ 6.2 หน้าคาช่วยหน้ากริยาบางคา เช่น ค่อย น่ำ ได้ ฝืน มัว สำมำรถ เป็นต้น
- เขาไมค่ อ่ ยมาทน่ี ่ี
- เขาไมน่ า่ มาทน่ี ่ี
1 เครื่องหมาย * ใชแ้ สดงว่าผิดไวยากรณ์ เป็นรูปภาษาท่ีไมม่ ีผ้ยู อมรบั เป็นภาษาแบบทไ่ี ม่มผี ใู้ ดพูด
68
6.3 หลังคาช่วยหนา้ กริยา เชน่ เกดิ เกอื บ กำ้ ลัง คง จะ เป็นต้น ตัวอยา่ งเชน่
- น้องเกอื บไมไ่ ปโรงเรียนเม่ือเชา้ น้ี
- อากาศกาลังไมด่ ี
ตวั อย่างเชน่ 6.4 หน้าหรือหลังคาช่วยหน้ากริยาบางคา เช่น ควร เคย ต้อง อยำก อำจ เป็นต้น
- เธอไมค่ วรไปพบเขา
- เราควรไมพ่ ดู เลยวนั นี้
7. หมวดคำชว่ ยหนำ้ กรยิ ำ คือ คาทีแ่ ทนที่คาวา่ “กาลัง” ในกรอบประโยคทดสอบ 1 ก.
2 ก. 3 ก. และ 4 ก. ได้ มีทั้งหมด 36 คา สามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด โดยอาศัยคาว่า “ไม่” เป็น
เกณฑ์ คอื
7.1 ชนิดที่ปรากฏข้างหน้าคา “ไม่” มี 25 คา คือ เกิด เกือบ กำ้ ลัง ขืน คง ค่อนข้ำง
จวน จะ ชัก ท่ำ แทบ พลอย เพ่ิง มกั ยอ่ ม ยงั ยงิ่ แสน อด ดูเหมอื น คล้ำยจะ หมำยจะ เห็นจะ ออก
จะ จะได้ ตวั อย่างเชน่
- นอ้ งเกือบไมไ่ ปโรงเรียนเมือ่ เชา้ นี้
- อากาศกาลงั ไมด่ ี
7.2 ชนิดที่ปรากฏขา้ งหลงั คา “ไม”่ มี 6 คา คือ คอ่ ย นำ่ ได้ ฝืน มัว สำมำรถ เชน่
- ขนมนไ่ี มน่ า่ กนิ
- เขาไมค่ ่อยมาทน่ี ี่
7.3 ชนิดที่อยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังคา “ไม่” มี 5 คา คือ ควร เคย ต้อง อยำก อำจ
เชน่
- เธอไมเ่ คยเอาใจใสเ่ รา
- เธอเคยไมเ่ อาใจใสเ่ รา
8. หมวดคำช่วยหลังกริยำ คือ คาท่ีแทนท่ีคาว่า “แล้ว” ในกรอบประโยคทดสอบ 1 ข.
2 ข. 3 ข. และ 4 ข. มที ัง้ หมด 3 คาคือ แลว้ อยู่ อย่แู ลว้ เช่น
- พ่อฟงั ข่าวอยู่
- พ่อฟงั ขา่ วแล้ว
69
- พ่อฟงั ข่าวอยู่แล้ว
9. หมวดคำหน้ำกริยำ คือ คาท่ีจะปรากฏหน้าคากริยาเสมอ มี 2 คา คือ ไป มำ มักมี
ความหมายแสดงทศิ ทางเกีย่ วกับตัวผู้พูด เช่น
- ฉันไปส่งเพอื่ นท่ีสนามบิน (เหตุการณ์เกดิ ข้ึนในทิศทางทีห่ า่ งออกไปจากตัว
ผ้พู ูด)
- ฉันมาส่งเพื่อนที่สนามบิน (เหตกุ ารณ์เกดิ ข้ึนในทิศทางที่เข้ามาหาตวั ผู้พดู )
10. หมวดคำหลงั กรยิ ำ คือ คาทจี่ ะปรากฏตามหลังคากรยิ า มี 11 คา คือ ไป มำ ขนึ ลง
เข้ำ ออก เสยี ไว้ เอำ ให้ ดู ตวั อยา่ งเช่น
- อากาศเย็นลง
- เขาแตง่ เพลงข้นึ
ข้อสงั เกต
หมวดคา 4 หมวด คือ คาช่วยหน้ากริยา คาช่วยหลังกริยา คาหน้ากริยา และคาหลัง
กริยา มคี วามสมั พันธก์ บั คากริยา โดยสามารถสรปุ ได้ดงั ตารางขา้ งลา่ งนี้
คำช่วยหนำ้ กริยำ คำหน้ำกรยิ ำ กรยิ ำหลกั คำหลังกริยำ คำชว่ ยหลังกริยำ
มี 36 คา มี 2 คา คือ กรยิ าอกรรม มี 11 คา มี 3 คา คือ
กรยิ าอกรรมย่อย แลว้ อยู่ อยู่แลว้
ไป มา กรยิ าสกรรม
กริยาทวิกรรม
ตำรำงที่ 4.1 แสดงควำมสมั พนั ธด์ ้ำนตำแหนง่ ระหว่ำงคำช่วยหน้ำกรยิ ำ คำหน้ำกริยำ
คำชว่ ยหลงั กริยำ คำหลงั กรยิ ำ และคำกรยิ ำ
จากตารางข้างต้นจะเห็นว่า กริยาหลักในประโยคสามารถเป็นได้ 4 หมวด คือ กริยา
อกรรม กริยาอกรรมย่อย กริยาสกรรม และกริยาทวิกรรม และเมื่อพิจารณาจากตาแหน่งจะพบว่า
ตาแหน่งด้านหน้ากริยาหลักนั้น คาหน้ากริยาจะอยู่ชิดกริยาหลักมากกว่าคาช่วยหน้ากริยา ส่วน
ตาแหน่งด้านหลังกริยาหลัก คาหลังกริยาก็จะอยู่ชิดกริยาหลักมากกว่าคาช่วยหลังกริยาเช่นเดียวกัน
ดงั นั้นเม่ือต้องวิเคราะหป์ ระโยคทมี่ ี 4 หมวดน้ี หลกั ในการพจิ ารณาคือ
70
1. หากริยาหลักของประโยค โดยอาจจะเป็นชนิดใดชนิดหน่ึงใน 4 หมวดนี้คือ กริยา
อกรรม กรยิ าอกรรมยอ่ ย กริยาสกรรม และกรยิ าทวกิ รรม
2. พิจารณาตาแหน่งด้านหน้าคากริยาหลักนั้นว่า มีคาที่คลา้ ยคากริยาแต่ไม่ใช่กริยาหลัก
หรือไม่ หากพบต้องพิจารณาต่อว่า เป็นคาว่า ไป หรือ มา หรือไม่ หากใช่แสดงว่าเป็นคาหน้ากริยา
แต่หากไม่ใช่ แสดงว่าเป็นคาชว่ ยหนา้ กริยา เช่น
- เขามกั จะไปอ่ำนหนังสือท่ีหอ้ งนอนของเขา
จากประโยคข้างต้น กริยาหลักคือ คาว่า “อ่าน” ซ่ึงเป็นกริยาสกรรม เน่ืองจากมี
คานามมาต่อท้ายเพียง 1 ตัวคือ “หนังสือ” และคานามน้ันทาหน้าท่ีกรรมตรง เมื่อพิจารณาตาแหน่ง
ดา้ นหน้าของคาว่า “อา่ น” จะพบวา่ มึคาท่ีคล้ายคากริยา แต่ไม่ใชก่ ริยาหลักอยู่ คือ คาว่า “มกั “จะ”
และ “ไป” หากใช้หลักในการวิเคราะหข์ องวิจินตน์ ภาณพุ งศ์ จะพบวา่ คาว่า “ไป” เปน็ คาหน้ากรยิ า
เนื่องจากคาหน้ากริยามีเพียง 2 คา เท่าน้ัน คือ “ไป” “มา” และอยู่ชิดกริยาหลักมากว่าคาท่ีเหลือ
ส่วนคาว่า “มัก” และ “จะ” เป็นคาช่วยหน้ากริยา เน่ืองจากท้ัง 2 คาดังกล่าวไม่ใช่คาว่า “ไป” และ
“มา” ซ่ึงเปน็ คาหน้ากริยา และอยูใ่ นตาแหนง่ ท่หี า่ งออกไป
3. พิจารณาตาแหน่งด้านหลังคากริยาหลักน้ันว่า มีคาที่คล้ายคากริยาแต่ไม่ใช่กริยาหลัก
หรือไม่ หากพบตอ้ งพิจารณาต่อว่า เปน็ คาว่า “แล้ว” “อยู่” “อยแู่ ล้ว” หรอื ไม่ หากใช่แสดงว่าเป็นคา
หลงั กรยิ า แตห่ ากไมใ่ ช่ แสดงวา่ เป็นคาช่วยหลงั กรยิ า เช่น
- เขายดื ยางออกแลว้
จากประโยคข้างต้น กริยาหลักคือ คาว่า “ยืด” ซ่ึงเป็นกริยาสกรรม เน่ืองจากมี
คานามมาต่อท้ายเพียง 1 ตัว คือ “ยาง” และคานามนั้นทาหน้าที่กรรมตรง เมื่อพิจารณาตาแหน่ง
ดา้ นหลงั ของคาว่า “ยดื ” จะพบว่า มึคาที่คล้ายคากริยา แต่ไม่ใช่กรยิ าหลักอยู่ คือ คาว่า “ออก” และ
“แล้ว” หากใช้หลักในการวิเคราะห์ของวิจินตน์ ภาณุพงศ์ จะพบว่า คาว่า “ออก” เป็นคาหลังกริยา
เนื่องจากคาดังกล่าวไม่ใช่คาว่า “แล้ว” “อยู่” “อยู่แล้ว” ซ่ึงเป็นคาช่วยหลังกริยา อีกท้ังอยู่ชิด
กรยิ าหลักมากว่าคาที่เหลือ ส่วนคาวา่ “แลว้ ” เป็นคาชว่ ยหลังกรยิ าและอยใู่ นตาแหน่งที่หา่ งออกไป
11. หมวดคำลงท้ำย คือ คาท่ีปรากฏในตาแหน่งท้ายสุดของประโยค หรือออาจจะ
ปรากฏในตาแหนง่ ทา้ ยของส่วนของประโยค เช่น คะ ละ่ จะ๊ เถอะ นะ หรอก ไหม เป็นต้น เช่น
- ฉันอ่มิ แล้วล่ะ
- ไปซ้อื ของนะ
71
คาลงท้ายมีลกั ษณะพเิ ศษดังน้ี
1. แต่ละคาอาจจะมีหลายรูป โดยอาจจะแตกต่างกันในเรื่องเสียงวรรณยุกต์หรือ
ความส้นั ยาวของสระกไ็ ด้ เชน่ คะ ค่ะ ขะ ขำ เปน็ ตน้
2. เมือ่ ใช้คาเดียวกนั แต่ต่างรปู กันในประโยค อาจจะทาให้ความหมายของทั้งประโยค
เปลี่ยนแปลงไป คือทาให้เป็นประโยคคนละชนิด เช่น คะ จ๊ะ จะปรากฏท้ายประโยคคาถาม ส่วน ค่ะ
จะ้ จะปรากฏท้ายประโยคบอกเล่า เชน่
- นอ้ งทาอะไรคะ
- หนอู ่านหนังสอื คะ่
- พรุ่งน้ีไปโรงเรยี นไหมจะ๊
- ฝนตกแล้วจะ้
12. หมวดคำกริยำวิเศษณ์ คือ คาที่ปรากฏหลังคากริยาอกรรมในช่องว่างของกรอบ
ประโยคทดสอบ ทาหน้าท่ีร่วมกับคากริยาแต่ไม่ใช่คากริยา เช่น จัง เหลือเกิน ด้วย อีก กระมัง ก่อน
เร่ือย เหมอื นกนั ทีเดยี ว เอง หน่อย ตัวอยา่ งเชน่
- ข้าวแฉะจงั
- เพ่ือนมาดว้ ย
ข้อสังเกต
คาท่ีตามหลังคากริยาในบางประโยค อาจวิเคราะห์ว่าเป็นคากริยาอกรรมหรือคากริยา
วิเศษณ์ก็ได้ โดยมีหลักคือ ให้ลองนาคาที่ตามหลังคากริยามาใช้กับคาที่ทาหน้าที่เป็นหน่วยประธาน
ของประโยค และดูว่าสื่อความหมายหรือไม่ ถ้าสื่อความหมายจะเป็นคากริยาอกรรม แต่ถ้าไม่สื่อ
ความหมายจะเป็นคากริยาวิเศษณ์ เชน่
- เขายนื พดู
- เขายนื มาก
จากตัวอย่างแรก เขายืนพูด สามารถแยกเป็น “เขายืน” กับ “เขาพูด” ได้และท้ัง 2
ประโยคก็ส่ือความหมายในภาษาไทย ดังน้ัน คาว่า”พูด” จึงเป็นคากริยาอกกรม แต่ตัวอย่างท่ี 2
สามารถแยกเป็น “เขายืน” ได้ แต่ไม่สามารถแยกเป็น “เขามาก” ได้ เพราะไม่ส่ือความในภาษาไทย
ดังนน้ั คาว่า “มาก” จงึ เปน็ คากรยิ าวเิ ศษณ์
72
13. หมวดคำสรรพนำม คอื คาที่ถือเปน็ หมวดย่อยของคานาม สามารถปรากฏในกรอบ
ประโยคทดสอบคู่ท่ี 1-2 คู่ที่ 3 และคู่ท่ี 4 เช่น เขำ เธอ ใคร อะไร ไหน นี่ นั่น โน่น นู่น นี นัน โน้น
นู้น เป็นต้น ตวั อย่างเชน่
- แดงจะนั่งกบั ใคร
- แดงเพงิ่ ขน้ึ จากนี่
คาสรรพนามมีลกั ษณะทงั้ ทีเ่ หมือนและตา่ งจากคานามดงั นี้
1. ลักษณะท่ีเหมือนกับคานามคือ อาจจะปรากฏในกรอบประโยคทดสอบคู่ที่ 1 หรือ
กรอบอ่ืนๆ ได้ เช่น
- แมก่ าลังนั่ง --> เขากาลงั น่ัง
ฉันนงั่ แล้ว
- แมน่ งั่ แลว้ --> เรอื กาลงั แลน่ ใต้อะไร
เดก็ เพ่ิงข้นึ จากน่ี
- เรือกาลังแล่นใต้สะพาน -->
- เดก็ เพ่ิงขน้ึ จากน้า -->
2. ลักษณะท่ีต่างกับคานามคือ เราอาจจะนาคาคุณศัพท์มาขยายคานามได้ แต่จะ
นามาขยายคาสรรพนามไมไ่ ด้
- เดก็ อว้ น
- * เขาอ้วน
จากตัวอย่างจะเห็นว่า “อ้วน” เป็นคาคุณศัพท์ ขยายคานาม “เด็ก” ได้ แต่ “อ้วน”
ไม่สามารถขยายคาสรรพนาม “เขา” ได้ เพราะไมส่ ื่อความในภาษาไทย
14. หมวดคำลักษณนำม คือ คาท่ีสามารถปรากฏในตาแหนง่ ของกรอบประโยคทดสอบ
ดา้ นลา่ งได้
14 ก. นาม ช่วยหนา้ กรยิ า กรยิ าสกรรม นาม สอง .........
- เพือ่ นจะซอ้ื หนงั สอื สองเล่ม
- แม่อยากทิ้งกระเป๋าสองใบ
15. หมวดคำจำนวนนับ คือ คาที่แทนท่ีคาว่า “สอง” ในกรอบประโยคทดสอบ 14 ก.
ได้ เชน่ หนึง่ สอง บำง ทกุ หลำย ก่ี เป็นต้น ตัวอย่างเชน่
73
- เพอื่ นจะซอื้ หนงั สือทกุ เล่ม
- เพ่อื นจะซ้ือหนงั สือบางเลม่
16. หมวดคำลำดับที่ คือ คาท่ีปรากฏในตาแหน่งของกรอบประโยคทดสอบด้านล่างได้
เชน่ ทีส่ อง ทีส่ ำม หน่ึง เดียว แรก หน้ำ กลำง หลัง เปน็ ต้น
16 ก. นาม ชว่ ยหน้ากรยิ า กริยาสกรรม ลักษณนาม ........
- พ่อเพิ่งปลกู บา้ นหลงั เดยี ว
- พอ่ เพงิ่ ปลูกบา้ นหลงั แรก
17. หมวดคำหน้ำจำนวน คือ คาที่ปรากฏข้างหน้าคาจานวนนับ คือ อีก สัก ทัง ตัง
เพยี ง ประมำณ เกือบ เกือบๆ รำว รำวๆ กว่ำ ถึง เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งเชน่
- เพ่อื นจะซ้ือหนงั สืออีกสบิ เล่ม
- เพ่อื นจะซ้อื หนังสอื ประมาณสบิ เลม่
18. หมวดคำหลังจำนวน คือ คาที่ปรากฏหลังคาลักษณนามที่อยู่ข้างหลังคาจานวนนับ
คือ เศษ เศษๆ กว่ำ กว่ำๆ เท่ำนัน คร่งึ พอดี ถว้ น ตวั อยา่ งเชน่
- เพ่อื นจะซ้ือหนังสือสองโหลกวา่
- เพื่อนจะซ้อื หนังสอื สองโหลเท่านน้ั
ในกรณีทไ่ี มม่ ีคาจานวนับอยู่ดว้ ย คาหนา้ จานวนอาจจะปรากฏหน้าคาลกั ษณนามโดยอยู่
ชิดกับาลักษณนามเลยกไ็ ด้ และในกรณีนี้ วิจนิ ตน์ ภาณุพงศ์ (2548) ถอื วา่ ลักษณนามจะมคี วามหมาย
ว่า “หนง่ึ ” เช่น
- ฉันจะสง่ั ข้าวอีกจาน (ขา้ วอีก 1 จาน)
19. หมวดคำบอกกำหนด คือ คาท่ีสามารถปรากฏในตาแหน่งของกรอบประโยค
ทดสอบด้านล่างได้ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 หมวด คือ หมวดคาบอกกาหนดเสียงโท มีอยู่ 4 คา
ได้แก่ น่ี นั่น โน่น น่นู และหมวดคาบอกกาหนดเสียงตรีและเสียงจัตวา มีอยู่ 5 คาคือ นี นัน โนน้ นู้น
ไหน
19 ก. นาม จานวนนับ ลกั ษณนาม .......... กริยาอกรรม ช่วยหลงั กรยิ า
- เส้อื สองตวั น้ีเก่าแล้ว
- รถสามคนั น้ันเสียแลว้
74
หมวดคาบอกกาหนดท้ัง 2 หมวดมีลักษณะทแ่ี ตกต่างกนั ดงั นี้
1. คานามที่อยู่ข้างหน้าคาบอกกาหนดทั้ง 2 หมวดน้ีมักจะเป็นคานามคนละประเภท
กล่าวคือ คานามที่ปรากฏกับคาบอกกาหนดเสียงโท จะเป็นคานามท่ีมีลักษณนามคนละรูปหรือรูป
เดียวกันก็ได้ แต่คานามท่ีปรากฏกับคานามบอกกาหนดเสียงตรีและจัตวานั้น จะต้องเป็นคานามท่ีมี
ลกั ษณนามเป็นรปู เดียวกนั เทา่ น้ัน เช่น
- เสอื้ 2 ตวั --> เสือ้ นี่ / เส้ือน้ี
- รถ 1 คนั --> รถน่ัน / รถน้นั
- วัด 2 วัด --> วดั น้ี / * วดั นี่
- คน 3 คน --> คนนน้ั / * คนนนั่
2. คาบอกกาหนดเสียงโทจะไม่ปรากฏข้างหลังคาบอกเวลา แต่คาบอกกาหนดเสียง
ตรีและจตั วาสามารถปรากฏได้ เช่น
- วันนี้ --> * วนั นี่
- คนื นน้ั --> * คืนนน่ั
3. คาบอกกาหนดเสียงโทจะไม่ปรากฏหลังคาลักษณนาม แต่คาบอกกาหนดเสียงตรี
และจตั วาปรากฏได้ เช่น
- เสื้อตวั นี้ --> * เส้ือตัวน่ี
- เดก็ คนน้นั --> * เดก็ คนนัน่
20. หมวดคำคุณศัพท์ คือ คาท่ีตามหลังคานามซึ่งไม่ใช่คาบอกลาดับท่ีและไม่ใช่คาบอก
กาหนดดงั กลา่ วข้างบน ทาหนา้ ทีร่ ่วมกบั คานาม เช่น
- วัวผอมกาลงั กนิ หญา้
- รถคนั ใหญก่ ินนา้ มนั
เม่ือพิจารณาคาคุณศัพท์แล้วจะพบว่าคาคุณศัพท์บางคาสามารถเป็นคากริยาอกรรม
ได้ เช่น วัวเพิ่งผอม เป็นต้น ดังน้ันวิธีสังเกตว่าคาดังกล่าวเป็นคาคุณศัพท์หรือคากริยาอกรรมน้ัน มี
หลักดงั นี้
1. คากริยาอกรรมจะทาหน้าท่ีเป็นหน่วยกริยา คือ หน่วยอกรรมซึ่งถือว่าเป็น
สว่ นประกอบคนละสว่ นกบั คานามทีม่ าข้างหน้าซ่ึงทาหน้าท่เี ป็นหน่วยประธาน เช่น
75
วัว เพงิ่ ผอม
ประธาน หน่วยกริยา
ววั ผอม กำ้ ลังกิน หญ้ำ
ประธาน หน่วยกริยา หน่วยกรรม
จากตัวอย่างข้างต้น ประโยคแรก ผอม เป็นคากรยิ าอกรรม ทาหนา้ ที่เป็นหน่วยกริยา
สว่ นประโยคที่สอง ผอม เปน็ คาคุณศัพท์ทาหนา้ ทีข่ ยายคานาม คือ ววั ซง่ึ ทาหนา้ ทเี่ ป็นหน่วยประธาน
2. คากรยิ าอกรรมจะไม่ขยายคานามโดยตรง แต่จะทาหน้าที่เปน็ หน่วยกรยิ าใน อนุ
พากย์ ซงึ่ มาขยายคานามอกี ทหี นง่ึ และอนพุ ากยน์ ัน้ จะข้ึนต้นดว้ ยคาเชอ่ื มอนพุ ากย์ ท่ี ซึง่ อนั เช่น
ววั ทผี่ อม (คากรยิ าอกรรม) เพ่งิ ทำ้ งำน (ประโยคซับซ้อน)
ววั ผอม (คาคณุ ศัพท)์ เพิ่งทางาน (ประโยคสามัญ)
21. หมวดคำพิเศษ คือ คาท่ีสามารถปรากฏต้นประโยคหรือท้ายประโยค ได้แก่ ปกติ
ธรรมดำ น่ำกลวั โดยทวั่ ไป สว่ นมำก ท่ีจรงิ เชน่
- ปกตเิ ด็กคนน้ีซนเหลอื เกิน
- เดก็ คนนี้ปกตซิ นเหลอื เกนิ
- เดก็ คนนีซ้ นเหลอื เกินปกติ
22. หมวดคำบอกเวลำ คือ คาที่ใช้บอกเวลาและสามารถปรากฏต้นหรือท้ายประโยคก็
ได้ เชน่ เชำ้ ๆ ต่อมำ เดือนหนำ้ กลำงวัน หมู่ ตวั อย่างเช่น
- ตอนบ่ายๆ คุณยายมักจะหลับ
- คุณยายมกั จะหลบั ตอนบา่ ยๆ
23. หมวดคำบุพบท คือ คาท่ีสามารถปรากฏข้างหน้าคานามหรือระหว่างคากริยากับ
คานาม ดังกรอบประโยคทดสอบขา้ งลา่ ง เช่น บน ขำ้ ง กลำง แถว ตลอด แก่ กบั ใต้ จำก
23 ก. นาม ช่วยหนา้ กรยิ า กรยิ าอกรรม ......... นาม
- เด็กเพ่ิงข้ึนจากน้า
- รถยงั อยู่หน้าบา้ น
76
24. หมวดคำเช่ือมนำม คือ คาเช่ือมที่จะปรากฏระหว่างคานาม 2 คาและไม่ลงน้าหนัก
มี 4 คา ในภาษาพดู คอื กะ กับ หรือ ของ ส่วนในภาษาเขยี นเพมิ่ อกี 1 คา คอื และ เช่น
- เสอ้ื กับกางเกง
- เน้อื หรือหมู
25. หมวดคำเชื่อมอนุพำกย์ คือ คาเชื่อมที่จะปรากฏในประโยคผสมหรือประโยค
ซบั ซ้อน เทา่ นนั้ แต่จะไม่ปรากฏในประโยคสามัญ เชน่
- เขาหวิ แตไ่ ม่กนิ อะไรเลย
- แม่ดใี จทเ่ี ธอสอบได้
จะเห็นได้ว่า การจาแนกชนิดของคาตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างมีความแตกต่างจาก
แนวไวยากรณด์ ัง้ เดิมท่ีเราเคยเรยี นกนั เมอ่ื ช้นั ประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษา ท้ังน้ีกเ็ นื่องมาจากเกณฑ์ที่
ใชแ้ บ่งชนิดของคาของทงั้ 2 แนวไวยากรณ์มีความแตกต่างกนั นัน่ เอง
สรุป
จากท่ีกล่าวมาจะเห็นว่า การวิเคราะห์ในระดับคามีหลายสิ่งที่จะต้องพิจารณาไม่ว่าจะ
เป็นหน่วยคา การประกอบหน่วยคาหรือแม้กระทั่งการแบ่งชนิดของคาซึ่งมีอยู่หลายแบบ เน้ือหาใน
บทน้ีจงึ เปน็ เพียงการอธบิ ายเร่อื งคาในเบอื้ งต้นเพ่ือให้เห็นภาพของการวเิ คราะห์คาเทา่ นั้น ในส่วนของ
การวิเคราะห์ชนิดของคานนั้ ผู้เขียนไดอ้ ธบิ ายเฉพาะการแบ่งชนิดของคาตามแนวไวยากรณ์โครงสร้าง
ท้ังน้ีเพ่ือให้ผู้เรียนได้มุมมองใหม่ๆ ในการวิเคราะห์เพิ่มข้ึน เนื่องจากผู้เรียนส่วนใหญ่เคยเรียนการ
วิเคราะห์ตามแนวไวยากรณ์ดั้งเดิมเมื่อช้ันประถมศึกษาและมัธยมศึกษาแล้ว ในความเป็นจริงการแบ่ง
ชนิดของคาตามแนวไวยากรณ์แต่ละแนวต่างก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าผเู้ รียนจะใช้แนว
ใดในการวิเคราะห์คาในภาษา
77
บทที่ 5
ระบบประโยคภาษาไทย
ความรู้ในด้านภาษาไมใ่ ช่รู้แต่เพยี งเร่ืองของคาเท่านัน้ แตต่ ้องรู้เก่ียวกับความสัมพันธ์ของ
คาต่างๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น คือ วลี อนุพากย์ และประโยคด้วย ซึ่งเราเรียก
การศึกษาในระดับดังกล่าวว่า “วากยสัมพันธ์” (syntax) ดังน้ันในบทนจี้ ึงเป็นการศึกษาส่วนประกอบ
หรือองค์ประกอบหรือหน่วยโครงสร้างซ่ึงประกอบเข้าเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่าข้ึนไปตามลาดับเป็นขั้นๆ
เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคาในประโยคภาษาไทย โดยจะเป็นการวิเคราะห์ตามแนวไวยากรณ์
โครงสรา้ ง เพอื่ ใหส้ อดคล้องกับการวเิ คราะหค์ าในบทที่แลว้
องคป์ ระกอบของประโยค
ยพุ าพรรณ หุ่นจาลอง (2558 : 118-120) อธิบายว่า ความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ของคา
ในหมวดต่างๆ ที่ประกอบเขา้ เปน็ ประโยคนัน้ มีอยู่ 2 ประการคือ
1. ความสัมพนั ธ์ในดา้ นการเรยี งลาดบั
การเรียงลาดับคาในวลีหรือประโยคน้ันจะต้องเป็นไปตามระเบียบของภาษาน้ันๆ จึง
จะเป็นประโยคที่ฟังรู้เร่ืองและมีความหมาย เช่น หากนาคาว่า เด็ก กิน ข้าว มารวมกันจะปรากฏรูป
ประโยคตา่ งๆ ไดแ้ ก่
- * กนิ เดก็ ขา้ ว
- ข้าวกินเด็ก
- เดก็ กนิ ข้าว
- * เดก็ ข้าวกิน
ประโยคที่มีเคร่ืองหมาย * นาหน้า เป็นประโยคที่มีการเรียบเรียงคาที่ขัดต่อระเบียบ
กฎเกณฑ์ และประโยคพ้ืนฐานของภาษาไทย สาหรับประโยคท่ี 2 หากพิจารณาเรอ่ื งการเรียบเรียงคา
แลว้ จดั เป็นประโยคท่ีเป็นไปตามระเบยี บของประโยคพ้นื ฐานของภาษาไทย แต่มคี วามหมายแตกต่าง
จากประโยคที่ 3
78
กฎการเรียงคาในประโยคนี้เป็นความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ของหมวดคา เช่น
ประธาน (ผู้กระทา) กริยา และกรรม (ผู้ถูกกระทา) ดังนั้น จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่า
ระเบยี บการเรียบเรยี งประโยคพื้นฐานของภาษาไทยคือ ประธาน – กรยิ า – กรรม
สาหรับภาษาอ่ืนๆ อาจมีการเรียงลาดับคาแตกต่างกันไป เช่น ภาษาญ่ีปุ่น มีการ
เรียงลาดับแบบประธาน – กรรม – กริยา ภาษาฮีบรู มีการเรียงลาดับแบบ กริยา – ประธาน – กรรม
ส่วนภาษาที่มีการลงวิภัตติปัจจัยจะมีการบอกความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ของแต่ละคาแต่จะไม่มี
ระเบียบบังคับการเรียงลาดบั ของคาในประโยค ตัวอยา่ งเชน่ ภาษาบาลี
- พยคโฺ ฆ นร ภุญฺชติ
- นร ภญุ ชฺ ติ พยคโฺ ฆ
- นร พยคฺโฆ ภญุ ฺชติ
ท้งั 3 ประโยคนี้ล้วนใหค้ วามหมาย “เสือกินคน” ทั้งสิ้น เนื่องจากรูป ° เป็นรูปวิภัตติ
ท้ายนามในภาษาบาลีท่ีบอกหน้าที่ว่าเป็นกรรม เมื่อมาประกอบกับรูปนาม “นร” ซึ่งหมายถึง “คน”
จึงหมายถึง “คน” ท่ีทาหน้าท่ีเป็นกรรม ส่วนรูป โ เป็นรูปวิภัตติท้ายนามท่ีบอกหน้าที่เป็นประธาน
เมื่อมาประกอบกับรูปนาม “พยคฺฆ” ซ่ึงหมายถึง “เสือ” จึงหมายถึง “เสือ” ท่ีทาหน้าที่เป็นประธาน
ดังนั้นในภาษาบาลีไม่ว่าคาจะปรากฏในตาแหน่งใดในประโยค ก็ไม่ทาให้หน้าท่ีของคานามเปล่ียนไป
เนื่องจากในภาษาบาลีมีการกากับบอกหนา้ ท่ีไวท้ ่ีรปู นามแลว้
2. ความสัมพนั ธด์ ้านการจับกลุ่ม / ความสัมพันธเ์ ปน็ ลาดบั ช้ัน
คาในประโยคนั้นมิได้มีความสัมพันธแ์ ตเ่ พียงการเรยี งลาดับคาก่อนหลังเท่านั้น เรายัง
จัดคาต่างๆ ในประโยคน้ันได้เป็นกลุ่มย่อยๆ อีกด้วย โดยท่ีคาในกลุ่มย่อยมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อ
กนั เชน่
นกั เรียนชายซือ้ เสอ้ื ขาว
จากตัวอย่างสามารถแบง่ เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ “นักเรียนชาย” ซึ่งทาหน้าท่ีเป็นภาค
ประธาน และ “ซื้อเสื้อขาว” ทาหน้าที่เป็นภาคแสดง ซ่ึงสามารถแบ่งย่อยไปได้อีกเป็น “ซื้อ” และ
“เส้ือขาว” กลุ่มของคาที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันที่รวมเข้าไว้ด้วยกันเป็นโครงสร้างหรือหน่วยทาง
ไวยากรณ์ ที่ใหญ่ขึ้น (construction) ได้น้ี เรียกว่า “หน่วยประกอบ” (constituent) ดังนั้น
“นกั เรยี นชาย” จงึ เป็นหน่วยประกอบของประโยคตวั อย่างข้างต้นซงึ่ เป็นโครงสร้างในระดบั ประโยค
นอกจากนี้ “นักเรียนชาย” ยังเป็นโครงสร้างระดับวลีท่ีประกอบไปด้วยหน่วย
ประกอบย่อย 2 หน่วยคือ “นักเรียน” และ “ชาย” ส่วน “เสื้อขาว” ก็เป็นโครงสร้างระดับวลีที่
79
ประกอบด้วยหน่วยประกอบย่อย คือ “เสื้อ” และ “ขาว” เราสามารถเขียนแผนภูมิความสัมพันธ์
ตามลาดับชน้ั ของหน่วยประกอบตา่ งๆไดด้ งั นี้
นกั เรยี นชายซื้อเส้ือขาว (ประโยค)
นักเรียนชาย (นามวล)ี ซือ้ เส้ือขาว
นกั เรยี น ชาย ซอ้ื เสอ้ื ขาว (นามวล)ี
เส้ือ ขาว
ภาพที่ 5.1 แสดงความสัมพันธ์ตามลาดับชนั้ ของหน่วยประกอบของประโยค
ทม่ี า ดดั แปลงจาก (ยพุ าพรรณ หุ่นจาลอง, 2558: 120)
ประโยค
ประโยคตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างมีความแตกต่างจากไวยากรณ์แนวอ่ืนๆบ้าง
ดังรายละเอียดท่ีจะกลา่ วถงึ ดังตอ่ ไปน้ี
1. ชนิดของประโยค
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2548: 133-135) กล่าวว่า ไวยากรณ์ดั้งเดิมมักจะเน้นศึกษา
ระเบียบหรอื หลักเกณฑข์ องภาษาเขยี น จนเมื่อมวี ชิ าภาษาศาสตร์เกดิ ขนึ้ จึงเริ่มมีการสนใจศกึ ษาภาษา
พูดมากย่ิงขึน้ ประโยคในภาษาพูดอาจจะมีสว่ นประกอบไม่ครบบริบูรณ์เหมือนอย่างประโยคในภาษา
เขียน แตก่ ็ยงั สามารถถอื ว่าเปน็ ประโยคได้ โดยใช้เกณฑใ์ นการพิจารณา 2 อยา่ งคือ
1.1 เกณฑค์ วามหมาย แบ่งได้เปน็ 2 ชนิดคือ
1.1.1 ประโยคเร่ิม หมายถึง ประโยคซึ่งเราใช้เริ่มต้นบทสนทนาได้ เพราะเม่ือ
พูดแล้วผู้ฟงั เขา้ ใจความหมายได้ทนั ทโี ดยไม่ตอ้ งอาศยั คาพูดท่ีมาก่อน เชน่
- สบายดเี หรอ
- เหนอื่ ยจัง
80
จากตัวอยา่ งจะเหน็ ว่า ประโยคข้างตน้ ไมม่ ปี ระธานของประโยค แต่ผฟู้ ังกเ็ ข้าใจ
ว่าประธานของประโยคท่ี 1 คือผู้ฟัง และประธานของประโยคที่ 2 คือ ผู้พูด ดังนั้นประโยคทั้งสอง
ขา้ งต้นจึงถอื เป็นประโยคเรมิ่ เพราะผฟู้ ังทเ่ี ปน็ คนไทยสามารถเข้าใจได้ทันที
1.1.2 ประโยคไมเ่ รมิ่ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนดิ
1.1.2.1 ประโยคไม่เริ่มแบบธรรมดา หมายถึง ประโยคซึ่งใช้เร่ิมต้นบท
สนทนาไม่ได้ เพราะผู้ฟังจะไม่เข้าใจความหมาย เนื่องจากความหมายของประโยคน้ีขึ้นอยู่กับคาพูด
หรือประโยคท่ีมากอ่ น เช่น
- ไมเ่ ห็น
- ฉันใหแ้ ล้ว
จากตัวอย่างประโยคข้างต้น ถ้าใช้ลาพังผู้ฟังจะไม่เข้าใจแต่ถา้ ใช้ตามหลัง
ประโยคอ่ืน เชน่ เห็นแว่นตาฉันไหม (นาประโยคที่ 1 ) และ ฉันจะไปจ่ายเงินเขาก่อนนะ (นาประโยค
ท่ี 2) ผ้ฟู งั จึงจะเขา้ ใจ ดงั นน้ั ประโยคตัวอยา่ งข้างต้นจงึ จดั เปน็ ประโยคไมเ่ ริม่
1.1.2.2 ประโยคไม่เร่ิมแบบพิเศษ หมายถึง ประโยคซึ่งใช้เร่ิมต้นบท
สนทนาได้ แต่ต้องใช้ในสถานการณ์พิเศษหรือต้องอาศัยปริบทในการช่วยตีความ เพราะความหมาย
ส่วนหน่งึ ของประโยคอยทู่ สี่ ถานการณท์ ี่พูดประโยคนน้ั ๆ
อย่างหน่งึ ) - เดอื ดแลว้ (ขณะท่ีต้มนา้ อยบู่ นเตา)
งานอะไร) - ตกลงจะซ้ือไหม (ผูพ้ ูดเคยพูดกับผู้ฟังแล้วถึงเรื่องท่จี ะซ้ือของ
- ในวันงานหวังว่าฝนคงไม่ตก (ผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่าพูดถึงวันใน
จะสังเกตได้ว่าในประโยคไม่เริ่มนั้นมักจะมีข้อความไม่ครบถ้วนบริบูรณ์
หรือมีอะไรบางอย่างขาดหายไป เพราะฉะน้ันถ้าหากพูดข้ึนลอยๆ ประโยคน้ันก็ไม่ได้ความ แต่ถ้ามี
ประโยคอ่นื นามากอ่ นหรอื พูดในสถานการณ์พิเศษดังกลา่ ว ประโยคไม่เรมิ่ น้นั กจ็ ะมคี วามหมายชัดเจน
ได้
81
1.2 เกณฑ์ลักษณะโครงสร้างของประโยค แบ่งไดเ้ ป็น 4 ชนดิ คือ
1.2.1 ประโยคสามัญ 1 หมายถึง ประโยคซ่ึงมีส่วนประกอบเพียงส่วนเดียว
หรือหลายส่วนเรียงกัน แต่จะไม่มีส่วนใดเป็นอนุพากย์ 2 โดยอาจจะเป็นประโยคเร่ิมหรือประโยคไม่
เริ่มก็ได้ เชน่
- แดดยงั ไมอ่ อกเลย (ประโยคเริ่ม)
- หุงแล้ว (ประโยคไมเ่ รม่ิ )
1.2.2 ประโยคซับซ้อน 3 หมายถึง ประโยคที่ประกอบด้วยอนุพากย์ต่างชนิด
กนั 2 อนุพากย์ขน้ึ ไป เช่น
- ฉันชอบเด็กทีม่ าหาเธอเมื่อเชา้ (อนุพากย์หลัก/อนุพากยค์ ุณศัพท์)
- ฉันจะถามเขาว่าเขาจะมาอกี ไหม (อนุพากย์หลัก/อนพุ ากยน์ าม)
1.2.3 ประโยคผสม 4 หมายถึง ประโยคที่ประกอบด้วยอนุพากย์หลักต้ังแต่
2 อนุพากย์ข้ึนไปและเราไม่สามารถจะวิเคราะห์เป็นโครงสร้างแบบต่างๆได้ อาจเป็นประโยคเริ่มหรือ
ประโยคไมเ่ ริ่มก็ได้ เชน่
- เธอจะไปกับฉนั หรอื ว่าจะอยูท่ ีน่ ่ี (อนพุ ากยห์ ลกั 2 อนุพากย์)
- เขาชอบดูหนงั แต่ฉันชอบดลู ะคร (อนุพากยห์ ลัก 2 อนุพากย์)
1.2.4 ประโยคเช่ือม หมายถึง ประโยคสามัญชนิดไม่เริ่ม ซ่ึงข้ึนต้นด้วยคาเช่ือม
อนพุ ากย์ เช่น
- ถา้ เขาไมม่ าละ่
- เพราะฝนตกทีเดียว
2. การจาแนกประเภทของสว่ นของประโยค
ส่วนของประโยค หมายถึง หน่วยโครงสร้างของประโยค เม่ือนามารวมกันก็จะเกิด
เป็น “โครงสร้างของประโยค” ซ่ึงส่วนของประโยคมีอยู่ 10 ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภท เรียกว่า
ส่วนมลู ฐานและสว่ นเสรมิ (วจิ ินตน์ ภาณุพงศ์, 2548: 139-143) ดงั นี้
1 ประโยคสามัญ ในทีน่ ้ีคอื ประโยคความเดียว ตามแนวไวยากรณด์ ้งั เดมิ
2 อนุพากย์ ในท่ีนีค้ อื อนุประโยคหรอื มุขยประโยคก็ได้ ตามแนวไวยากรณด์ ้งั เดมิ (ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ หน้า 92 )
3 ประโยคซบั ซ้อน ในที่น้คี ือ ประโยคความซอ้ น ตามแนวไวยากรณด์ ้งั เดิม
4 ประโยคผสม ในท่ีน้ีคอื ประโยคความรวม ตามแนวไวยากรณ์ดั้งเดมิ
82
2.1 ส่วนมลู ฐาน หมายถงึ สว่ นของประโยคพ้ืนฐานที่จะตอ้ งมใี นประโยคนน้ั ๆ เสมอ
อย่างนอ้ ย 1 ส่วน ส่วนมูลฐานมอี ยู่ 7 ชนดิ ไดแ้ ก่
2.1.1 หน่วยประธาน (ป) หมายถึง หน้าที่ของคานามเม่ือเปน็ สว่ นประกอบของ
ประโยค จะอยู่ข้างหน้าคากริยา เช่น
- พป่ี ้อนข้าวนอ้ ง
- แมใ่ หเ้ งนิ ลูก
2.1.2 หนว่ ยกรรมตรง (ต) หมายถึง หนา้ ท่ขี องคานามเมอ่ื เป็นสว่ นของประโยค
จะอยู่ขา้ งหลงั คากรยิ า เช่น
- พปี่ อ้ นข้าวนอ้ ง
- แมใ่ หเ้ งินลูก
2.1.3 หน่วยกรรมรอง (ร) หมายถึง หน้าที่ของคานามเม่ือเป็นส่วนของประโยค
จะอยูข่ ้างหลงั คานามทที่ าหน้าทีเ่ ป็นหนว่ ยกรรมตรงซง่ึ ตามหลงั คากริยา เช่น
- พ่ีปอ้ นข้าวน้อง
- แมใ่ ห้เงนิ ลูก
2.1.4 หน่วยนามเดี่ยว (นด.) หมายถึง หน้าที่ของคานามเม่ือเป็นส่วนของ
ประโยคท่ีอยู่ลาพังโดยไมม่ ีคากรยิ าอยู่ด้วย เชน่ แม่!
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า ส่วนมูลฐานท้ัง 4 ส่วนข้างต้น ล้วนเป็นส่วนมูลฐานที่เป็น
หน้าท่ขี องคานามทง้ั ส้นิ คอื เปน็ หนว่ ยประธาน หน่วยกรรมตรง หนว่ ยกรรมรอง และหน่วยนามเดี่ยว
2.1.5 หน่วยอกรรม (อ) หมายถึง หน้าที่ของคากริยาเมื่อเป็นส่วนประกอบของ
ประโยคโดยไม่มีหนว่ ยกรรมตรงตามหลัง เช่น
- เด็กร้องไห้
- นาฬกิ าตาย
2.1.6 หน่วยสกรรม (ส) หมายถึง หน้าที่ของคากริยาเมื่อเป็นส่วนประกอบของ
ประโยคโดยมหี นว่ ยกรรมตรงตามหลงั เช่น
83
- พ่อปลกู ต้นไม้
- คนเคาะประตู
2.1.7 หน่วยทวกิ รรม (ท) หมายถึง หน้าท่ีของคากริยาเม่ือเป็นส่วนของประโยค
โดยมที ั้งหน่วยกรรมตรงและหน่วยกรรมรองตามหลัง เชน่
- พ่ปี อ้ นข้าวนอ้ ง
- แมใ่ ห้เงินลูก
จากข้างต้นจะเห็นว่า ส่วนมูลฐาน 3 ส่วนข้างต้น ล้วนเป็นส่วนท่ีเป็นหน้าที่ของ
คากริยา คอื หนว่ ยอกรรม หนว่ ยสกรรม และหน่วยทวกิ รรม
2.2 ส่วนเสริม หมายถึง ส่วนท่ีเสริมเข้ามาในประโยคเพ่ือให้ได้ความชัดเจนขึ้น
อาจจะปรากฎในตาแหน่งต้นหรือท้ายประโยคก็ได้ โดยไม่ทาให้ความหมายโดยรวมของประโยค
เปลี่ยนไป แต่หากวางไว้ต้นประโยคจะเน้นหนักมากกว่าอยู่ท้ายประโยคต ส่วนเสริมมีอยู่ 3 ชนิด
ไดแ้ ก่
2.2.1 หน่วยเสริมพิเศษ (พ) คือ ส่วนของประโยคที่ทาหน้าที่เป็นส่วนเสริม
พิเศษ เช่น
- ตามธรรมดานอ้ ยเปน็ เดก็ ขยันนะ
- น้อยเปน็ เดก็ ขยันนะตามธรรมดา
- ท่ีจรงิ ฉันไม่ชอบน้าอัดลมหรอก
- ฉันไม่ชอบน้าอดั ลมหรอกทจ่ี ริง
2.2.2 หน่วยเสรมิ บอกสถานท่ี (ถ) คือ ส่วนของประโยคที่ทาหน้าที่บอกสถานที่
เชน่
- รถจอดเตม็ ข้างนอก
- ขา้ งนอกรถจอดเตม็
2.2.3 หน่วยเสริมบอกเวลา (ว) คือ ส่วนของประโยคทีท่ าหน้าทบ่ี อกเวลา เช่น
- กลางคืนอากาศจะเยน็ ลง
- อากาศจะเยน็ ลงกลางคนื
84
3. โครงสรา้ งของประโยค
เม่ือนาส่วนของประโยคข้างต้นมาประกอบกันเป็นประโยค สามารถมีโครงสร้าง
ประโยคได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบส่วนเดียวและหลายสว่ น (วิจินตน์ ภาณพุ งศ,์ 2548: 146-151)
ดังนี้
3.1 โครงสรา้ งของประโยคส้ันๆ งา่ ยๆ ซ่งึ เปน็ ประโยคสามญั และประโยคเร่มิ มอี ยู่ 6
แบบคอื
โครงสร้างแบบ ประโยค
นด. แม่
อ เหน่อื ย
ปอ ฝนตก
สต หิวนา้
ปสต คนเคาะประตู
ปทตร พีป่ อ้ นขา้ วน้อง
3.2 ส่วนของประโยคที่ไม่อยู่ต่อกัน ในบางกรณีคาต่างๆ ท่ีทาหน้าท่ีอยู่ในส่วนของ
ประโยคส่วนเดียวกัน อาจอยู่แยกกันเพราะมีส่วนของประโยคส่วนอื่นมาแทรกอยู่ แต่ก็ยังถือว่าเป็น
สว่ นเดียวกัน เชน่
เพ่ือน ส่ง จดหมาย มาแล้ว
ป ส- ต (-ส)
ฉัน จะให้ ของ เพือ่ น อีกหลายชิ้น
ป ท ต- ร (-ต)
3.3 โครงสร้างของประโยคสามัญซ่ึงเป็นประโยคเริ่ม โดยอาจจะเป็นประโยคสั้นๆ
งา่ ยๆ หรอื ประโยคท่ียาวกวา่ และสลับซับซ้อนก็ได้ มีทั้งหมด 14 แบบคือ
3.3.1 แบบ อ
สายแลว้
3.3.2 แบบ ป อ
ผ้า แหง้ แล้ว
85
3.3.3 แบบ อ ป
เหนอ่ื ยไหม เธอ
3.3.4 แบบ ส ต
กาลงั คดิ ถึง บา้ น
3.3.5 แบบ ป ส ต
คน เคาะ ประตู
3.3.6 แบบ ส ต ป
เปิด- โทรทัศน์ (-สิ) คณุ
3.3.7 แบบ ต ป ส
บา้ นนี้ พอ่ เพ่งิ ปลกู
3.3.8 แบบ ท ต ร
ลมื ทอน เงิน ลกู คา้
3.3.9 แบบ ป ท ต ร
ใคร สอน เลข เด็กกลุ่มนี้
3.3.10 แบบ ท ต ร ป
จะบอก- คะแนน นกั เรยี น (-ไหม) คุณ
3.3.11 แบบ ต ป ท ร
ผลไม้ เรา จะเกบ็ ไว้ถวาย พระ
3.3.12 แบบ ร ป ท ต
รถคันน้ี เรา ไม่ต้องเติม นา้ มัน
3.3.13 แบบ นด.
แมจ่ ๋า
3.3.14 แบบ นด. นด.
ขนม ของใคร
86
หลังจากได้ทราบการวิเคราะห์ประโยคตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างไปแล้ว หัวข้อ
ต่อไปจะกล่าวถึงส่วนที่เล็กกว่าประโยค นั่นก็คือ วลี ซ่ึงถือว่าเป็นส่วนของประดยคท่ีมาประกอบกัน
เปน็ ประโยค ซ่งึ จะชว่ ยใหเ้ ข้าใจโครงสรา้ งของประโยคมากขึ้น
วลี
ในการวิเคราะห์วลีตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างน้ันมีสิ่งท่ีต้องพิจารณาคือ ชนิดของวลี
องคป์ ระกอบของวลแี ละโครงสรา้ งของวลี ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั น้ี
1. ความหมายของวลี
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2548: 155) ได้อธิบายเกี่ยวกับวลีไว้ว่า วลี หมายถึง คาคาเดียว
หรอื คาคาเดยี วกบั ส่วนขยายซ่ึงทาหนา้ ทเ่ี ป็นส่วนของประโยค
2. ชนิดของวลี
วลีอาจแบ่งได้เป็น 5 ชนิดตามชนิดของหมวดคาที่ประกอบกันเข้าเป็นวลีและหน้าที่
ของวลี ดังนี้
2.1 นามวลี หมายถึง คานามหรือคานามกับส่วนขยาย คาสรรพนามหรือคา
สรรพนามกบั สว่ นขยายทท่ี าหน้าทเ่ี ป็นสว่ นของประโยค ดงั นี้
2.1.1 ทาหน้าทีเ่ ปน็ หนว่ ยประธาน เช่น
- เก้าอ้ีตัวน้ีเล็กเกินไป
- เราสองคนจะไปชายทะเล
2.1.2 ทาหน้าทเ่ี ป็นหน่วยกรรมตรง เช่น
- ฉันไม่ชอบเก้าอ้ตี ัวน้ี
- ครจู ะลงโทษเธอสามคน
2.1.3 ทาหนา้ ท่เี ปน็ หน่วยกรรมรอง เช่น
- เรายงั ไมไ่ ด้ใหข้ นมเดก็ อีกคน
- ฉันจะให้ของขวญั คุณคนน้นั
2.1.4 ทาหน้าท่เี ป็นหนว่ ยนามเดย่ี ว เช่น
- สบกู่ อ้ นเดยี วเท่าน้ัน
87
ขอ้ สังเกต หากวเิ คราะห์ตามแนวไวยากรณด์ ้ังเดิม จะแบ่งนามวลีกับสรรพนามวลีแยก
จากกัน แต่หากวิเคราะห์ตามแนวไวยากรณ์โครงสร้าง จะมีเพียงนามวลี โดยนามวลีในที่นี้อาจ
ประกอบไปดว้ ยคานามหรือสรรพนามกไ็ ด้
2.2 กริยาวลี หมายถึง คากริยาหรือคากริยากับส่วนขยายที่ทาหน้าที่เป็นส่วนของ
ประโยค ดงั ตอ่ ไปนี้
2.2.1 กริยาวลที าหน้าท่เี ป็นหน่วยกริยาอกรรม เชน่
- เสื้อและกางเกงเพงิ่ จะแห้ง
- ข้าวยังไมส่ กุ
2.2.2 กริยาวลที าหนา้ ทเ่ี ป็นหนว่ ยกรยิ าสกรรม เช่น
- ฉนั ชอบสอนนักเรียนกลมุ่ น้ีมากที่สดุ
- แดงทิ้งจดหมายไปแลว้
2.2.3 กรยิ าวลที าหนา้ ท่ีเปน็ หนว่ ยกริยาทวกิ รรม เชน่
- อาจารย์จะบอกคะแนนนกั เรยี น
- เราไม่ตอ้ งอบรมมารยาทเดก็ ดี
2.3 พิเศษวลี หมายถึง คาพิเศษหรือคาพิเศษกับส่วนขยายท่ีทาหน้าท่ีเป็นส่วนของ
ประโยคชนดิ หนว่ ยเสริมพิเศษ เช่น
- ตามปกติเรามักจะอยบู่ า้ น
- นา่ กลวั ฝนจะตกหนกั
2.4 สถานวลี หมายถึง ส่วนของประโยคท่ีประกอบด้วยคาบุพบทกับนามวลีหรือคา
บุพบท 2 คาเรยี งกัน โดยทาหน้าทีเ่ ปน็ สว่ นของประโยคเพ่ือบอกสถานทมี่ ี 2 ลกั ษณะดงั น้ี
2.4.1 คาบุพบทกบั นามวลี เช่น
- แม่วางแจกันดอกไม้ไว้บนตเู้ ยน็
- ทจ่ี ฬุ าฯ นา้ เคยทว่ ม
2.4.2 คาบพุ บท 2 คาเรียงกนั เชน่
- เด็กๆ ไปเลน่ ข้างล่างแลว้
- ขา้ งนอกอากาศรอ้ นมาก
88
2.5 กาลวลี หมายถึง ส่วนที่ประกอบด้วยคาบอกเวลาหรือคาบอกเวลากับส่วน
ขยายที่ทาหนา้ ท่ีเป็นสว่ นของประโยคเพือ่ บอกเวลา เช่น
- เม่อื 4 ปกี อ่ นพอ่ ยังแขง็ แรงมาก
- เขาไมท่ างานบางวนั
3. องค์ประกอบและโครงสร้างของวลี หมายถึง คาคาเดียวหรือกลุ่มคาท่ีเป็น
ส่วนประกอบหรือหน่วยโครงสร้างของวลี วลีที่มีองค์ประกอบนั้นมีเพียง 2 ประเภทคือ นามวลีและ
กริยาวลี แต่ละวลีมอี งค์ประกอบและโครงสร้างทแ่ี ตกต่างกันดังน้ี
3.1 องค์ประกอบของนามวลี หมายถึง ส่วนประกอบของนามวลีซึ่งอาจจะปรากฏ
ตามลาพังหรอื ประกอบกันเข้าเป็นโครงสรา้ งของนามวลี มี 4 ชนิดคอื
3.1.1 หนว่ ยหลัก (ล) คือ องค์ประกอบของนามวลซี ึ่งอาจจะประกอบดว้ ยหมวด
คารวม 3 หมวดคือ คานาม คาสรรพนาม และคาเชอื่ มนาม เช่น
บ้าน ต้นไม้ เรอื (คานาม)
เธอ เรา ท่าน (คาสรรพนาม)
บา้ นของเธอ (คานาม คาเช่อื มนาม และคาสรรพนาม)
3.1.2 หน่วยคุณศัพท์ (ค) คือ องค์ประกอบของนามวลีซ่ึงอาจจะประกอบด้วย
หมวดคา 2 หมวด คือ คาคณุ ศพั ท์ และคาลกั ษณนาม เช่น
กระเป๋าใบใหญ่ (คาลักษณนาม คาคุณศพั ท์)
เส้อื ใหม่ (คาคุณศัพท)์
3.1.3 หน่วยจานวน (จ) คือ องค์ประกอบของนามวลีซ่ึงอาจจะประกอบด้วย
หมวดคารวม 5 หมวด คือคาลักษณนาม คาจานวนนับ คาลาดับที่ คาหน้าจานวน คาหลงั จานวน แต่
จะต้องมีคาลกั ษณนามอยดู่ ้วยอย่างน้อย 1 คา เชน่
เรอื หลายลา (คาจานวนนบั คาลักษณนาม)
ลกู 3 คนแรก (คาจานวนนบั คาลักษณนาม คาลาดบั ที่)
3.1.4 หน่วยกาหนด (ก) คือ องค์ประกอบของนามวลี ซ่ึงอาจจะประกอบด้วย
หมวดคารวม 3 หมวดคือ คาบอกกาหนดเสียงตรีและเสียงจัตวา คาบอกกาหนดเสียงโท และคา
ลกั ษณนาม เช่น