The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ เรื่องเสียง คำวลี อนุพากย์ ประโยคข้อความ และความหมายในภาษาไทย เพื่อให้เห็นการวิเคราะห์ภาษาไทยตำมแนวภาษาศาสตร์ในทุกระดับ และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจเนื้อหา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-04-18 01:37:45

การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ เรื่องเสียง คำวลี อนุพากย์ ประโยคข้อความ และความหมายในภาษาไทย เพื่อให้เห็นการวิเคราะห์ภาษาไทยตำมแนวภาษาศาสตร์ในทุกระดับ และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจเนื้อหา

Keywords: การศึกษาภาษาไทย

89

หนงั สือเลม่ นี้ (คาลักษณนาม คาบอกกาหนด)
เด็กคนนน้ั (คาลกั ษณนาม คาบอกกาหนด)

3.2 โครงสร้างของนามวลี องค์ประกอบของนามวลี 4 ชนิดข้างต้น สามารถนามา
ประกอบเข้าเป็นโครงสรา้ งของนามวลีได้ 12 แบบ ดังนี้

นัน่ 3.2.1 ล ตน้ ไม,้ ตกึ
หลงั เดียว 3.2.2 ล ค ตน้ ไม้/ใหญ,่ ตึก/หลงั ใหม่
3.2.3 ล จ ต้นไม/้ 2ตน้ , ตกึ /กหี่ ลัง
3.2.4 ล ก ต้นไม/้ น่,ี ตกึ /หลงั น้นั
3.2.5 ล ค จ ต้นไม้/ใหญ่/2ตน้ , ตึก/หลังเลก็ /หลังเดยี ว
3.2.6 ล จ ค ต้นไม/้ 2 ต้น/ใหญ่ๆ, ตกึ /3 ตกึ /เกา่ ๆ
3.2.7 ล ค ก ต้นไม้/ใหญ/่ นี,่ ตึก/หลังเลก็ /หลังน้ี
3.2.8 ล จ ก ตน้ ไม้/2 ต้น/น้ัน, ตึก/หลงั แรก/โนน่
3.2.9 ล ก จ ตน้ ไม้/ต้นน้ี/ตน้ เดียว, ตึก/น่/ี หลังหนง่ึ
3.2.10 ล ค จ ก ต้นไม้/ใหญ/่ 2 ต้น/น้ี, ตึก/หลังเลก็ /หลังเดียว/

3.2.11 ล ค ก จ ต้นไม้/ใหญ่/นี่/ต้นเดียว, ตึก/หลังเล็ก/หลังน้ี/

3.2.12 ล จ ค ก ต้นไม้/2 ตน้ /ใหญ่ๆ/น่นั , ตกึ /3 หลงั /เล็กๆ/น่ี

3.3 องค์ประกอบของกริยาวลี หมายถึง ส่วนประกอบของกริยาวลีซ่ึงอาจจะ
ปรากฏตามลาพงั หรอื ประกอบกนั เข้าเปน็ โครงสรา้ งของกรยิ าวลี มี 4 ชนดิ คือ

3.3.1 หน่วยแก่น (ก) คือ องค์ประกอบของกริยาวลีซ่ึงอาจจะประกอบด้วย
หมวดคารวม 5 หมวด คือ คากริยาอกรรม คากริยาสกรรม คากริยาทวิกรรม คาหน้ากริยา และคา
หลังกริยา เช่น

เดนิ (คากรยิ าอกรรม)
ไปเดนิ (คาหนา้ กรยิ า คากรยิ าอกรรม)
ไปเดินมา (คาหน้ากริยา คากริยาอกรรม คาหลงั กรยิ า)

3.3.2 หน่วยช่วยกริยาหน้าหน่วยแก่น (ช1) คือ องค์ประกอบของกริยาวลีซึ่ง
อาจจะประกอบด้วยหมวดคารวม 2 หมวดคือ คาช่วยหนา้ กริยาและคาปฏิเสธ เช่น

90

ไมก่ นิ (คาปฏิเสธ)
น่าจะกิน (คาชว่ ยหนา้ กรยิ า)
ไม่อาจจะกนิ (คาปฏเิ สธ คาชว่ ยหน้ากรยิ า)

3.3.3 หน่วยช่วยกริยาหลังหน่วยแก่น (ช2) คือ องค์ประกอบของกริยาวลีซึ่ง
อาจจะประกอบดว้ ยคาชว่ ยหลงั กริยาเพียงหมวดเดียวคอื แล้ว อยู่ อยู่แล้ว เช่น

นง่ั อยู่ (คาช่วยหลงั กรยิ า)
นง่ั แลว้ (คาชว่ ยหลงั กริยา)

3.3.4 หน่วยขยาย (ข) คือ องค์ประกอบชนิดหน่ึงของกริยาวลีซ่ึงอาจจะ

ประกอบดว้ ยคากริยาวิเศษณ์เพียงหมวดเดียวหรอื ออาจจะประกอบด้วยสถานวลีลดฐานะหรอื กาลวลี
ลดฐานะ 5 อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงเพยี งอย่างเดยี ว หรือท้งั 2 หรอื 3 อยา่ งกไ็ ด้ เชน่

ชอบจงั (คากรยิ าวิเศษณ์)
เพง่ิ หล่นจากตน้ (สถานวลีลดฐานะ)
มักจะตื่นแต่เชา้ (กาลวลลี ดฐานะ)

ข้อสังเกต วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2548: 166) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมเก่ียวกับความ
แตกตา่ งระหวา่ งสถานวลีลดฐานะและหน่วยเสริมบอกสถานที่ กับกาลวลลี ดฐานะและหน่วยเสรมิ บอก

เวลา ว่าสถานวลีลดฐานะและกาลวลีลดฐานะไม่สามารถย้ายไปอยู่ต้นประโยคได้ ส่วนหน่วยเสริมจะ

สามารถย้ายได้ เชน่

- มะม่วงเพ่ิงหลน่ จากต้น
- * จากตน้ มะม่วงเพ่งิ หลน่
- ดอกไม้เยอะในสวน
- ในสวนดอกไมเ้ ยอะ

จากตัวอย่างจะเห็นว่า “จากต้น” ในประโยคท่ี 2 ไม่สามารถย้ายไปอยู่ต้นประโยคได้
เน่ืองจากไม่ส่ือความหมาย แสดงว่ามีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับคากริยาที่มาข้างหน้า ซึ่งได้แก่ คาว่า
“หล่น” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “จากต้น” ซ่ึงเป็นสถานวลีลดฐานะทาหน้าท่ีเป็นองค์ประกอบชนิดหนึ่ง
ของกริยาวลี คือ ทาหน้าที่เป็นหน่วยขยายในกรยิ าวลี ส่วนประโยคท่ี 4 เราสามารถย้าย “ในสวน” ไป
ไว้ต้นประโยคได้ หมายความว่า “ในสวน” ไม่ได้มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับคากริยาท่ีมาข้างหน้า

5 วลลี ดฐานะ ในที่น้ี หมายถึง วลซี งึ่ ตามปกติทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ส่วนของประโยค เมอื่ วลที าหนา้ ที่เป็นเพยี งสว่ นหนึ่งของ
วลี กจ็ ะถอื วา่ ลดฐานะลงมา

91

เท่านั้น แต่จะสัมพันธ์กับคาอื่นด้วย จึงถือว่า “ในสวน” เป็นส่วนของประโยคคือ หน่วยเสริมบอก
สถานท่ี ในสว่ นของกาลวลลี ดฐานะก็เชน่ เดียวกัน ตัวอย่างเชน่

- เขาตืน่ แต่เชา้
- * แตเ่ ช้าเขาต่นื
- ฝนตกเมอ่ื เชา้
- เมอื่ เชา้ ฝนตก

จากตัวอย่างจะเห็นว่า “แต่เช้า” ในประโยคท่ี 2 ไม่สามารถย้ายไปอยู่ต้นประโยคได้
เนื่องจากไม่สื่อความหมาย แสดงว่ามีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับคากริยาที่มาข้างหน้า ซึ่งได้แก่ คาว่า
“ตื่น” หรืออีกนัยหน่ึงคือ “แต่เช้า” ซ่ึงเป็นกาลวลีลดฐานะทาหน้าท่ีเป็นองค์ประกอบชนิดหน่ึงของ
กริยาวลี คือ ทาหน้าท่ีเป็นหน่วยขยายในกริยาวลี ส่วนประโยคที่ 4 เราสามารถย้าย “เมื่อเช้า” ไปไว้
ต้นประโยคได้ หมายความวา่ “เม่ือเช้า” ไมไ่ ด้มคี วามสมั พนั ธเ์ ก่ียวขอ้ งกบั คากริยาทีม่ าข้างหน้าเทา่ น้ัน
แตจ่ ะสมั พนั ธก์ บั คาอื่นดว้ ย จึงถือว่า “เม่ือเช้า” เปน็ สว่ นของประโยคคือ หนว่ ยเสรมิ บอกเวลานนั่ เอง

3.4 โครงสร้างของกริยาวลี องค์ประกอบของกริยาวลีรวม 4 ชนิดดังกล่าวข้างต้น
สามารถนามาประกอบเข้าเปน็ แบบโครงสรา้ งของกรยิ าวลไี ด้ 10 แบบคอื

3.4.1 ก เดิน, มาเท่ียว
3.4.2 ก ช2 เดิน/อย่,ู เดือด/แลว้
3.4.3 ก ข หลน่ /จากตน้ , ต่ืน/แต่เชา้
3.4.4 ก ช2 ข เดนิ /อย/ู่ แถวนี้กอ่ น, เดือด/อยู่/บนเตา
3.4.5 ก ข ช2 ปรึกษา/กนั /อย่,ู พบ/กนั อีก/แล้ว
3.4.6 ช1 ก กาลงั /เดนิ , น่าจะ/จาไว้
3.4.7 ช1 ก ช2 กาลงั /น่ัง/อยู่, คง/เดือด/แลว้
3.4.8 ช1 ก ข เพิง่ /หลน่ /จากตน้ , ไมค่ วร/เขา้ ไป/ในนัน้ อีก
3.4.9 ช1 ก ช2 ข คง/เดอื ด/อย/ู่ บนเตา, อาจจะ/ยงุ่ /อย/ู่ ทัง้ วนั
3.4.10 ช1 ก ข ช2 ยัง/ปรกึ ษา/กัน/อย,ู่ ควรจะ/อยู่/บนโต๊ะ/แล้ว

จะเห็นได้ว่าวลีตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างน้ันมีความแตกต่างจากไวยากรณ์แนวอ่ืนอยู่
บ้าง เช่น การแบ่งชนิดของวลี เป็นต้น เพราะหากวิเคราะห์ตามแนวไวยากรณ์ดั้งเดิม พระยา
อุปกิตศิลปสารได้แบ่งวลอี อกเป็น 7 ชนิดตามชนิดของคา คือ นามวลี กริยาวลี สรรพนามวลี วิเศษณ์
วลี บุพบทวลี สนั ธานวลี และอุทานวลี นอกจากนี้ไวยากรณ์โครงสร้างยังมกี ารวิเคราะห์องค์ประกอบ

92

ของวลีและนามาประกอบเป็นโครงสร้างแบบต่างๆ อีกด้วย โดยในที่นี่มีเพียงนามวลีและกริยาวลี
เท่านัน้ ท่มี ีองคป์ ระกอบ

อนุพากย์

1. ความหมายของอนุพากย์
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2548: 174) ได้อธิบายว่า อนุพากย์ (clause) หมายถึง ประโยค

สามัญท่ีลดฐานะลงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประโยคใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นประโยคซับซ้อนและประโยค
ผสม ทป่ี ระกอบด้วยอนพุ ากย์ตัง้ แต่ 2 อนุพากยข์ ึ้นไป

2. ชนดิ ของอนพุ ากย์
อนพุ ากย์สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ชนดิ ดังต่อไปนี้

2.1 อนุพากยน์ าม คอื อนพุ ากย์ทท่ี าหน้าท่ีอยา่ งเดยี วกับนามวลี ได้แก่

2.1.1 ทาหน้าทีเ่ ป็นส่วนของประโยคชนดิ ใดชนดิ หนึ่งใน 3 ชนิดนีค้ ือ

2.1.1.1 ทาหน้าทเี่ ป็นหน่วยประธาน เชน่
- ใครว่ิงชนะจะไดร้ างวัล

จากตัวอย่างข้างต้น “ใครว่ิงชนะ” ทาหน้าที่เป็นหน่วยประธาน
ของประโยค เราอาจจะหานามวลี “เขา” มาแทนท่ีอนุพากย์นามได้ เช่น เขาจะได้รางวัล เป็นต้น แต่
ประโยคดังกลา่ วก็จะเปน็ เพยี งประโยคสามัญเทา่ นนั้

2.1.1.2 ทาหนา้ ท่เี ป็นหน่วยกรรมตรง เชน่
- ฉนั ไปฟงั เขาวจิ ารณ์หนงั ไทย

จากตัวอย่างข้างต้น “เขาวิจารณ์หนังไทย” ทาหน้าที่เป็นหน่วย
กรรมตรงของประโยค เราอาจจะหานามวลี “เพลง” มาแทนที่อนุพากย์นามได้ เช่น ฉันไปฟังเพลง
เปน็ ต้น แต่ประโยคดังกลา่ วกจ็ ะเปน็ เพียงประโยคสามัญเท่าน้นั

2.1.1.3 ทาหนา้ ท่ีเปน็ หนว่ ยกรรมรอง เชน่
- ครจู ะแจกรางวัลนกั เรียนเรยี นดี

93

จากตัวอย่างข้างต้น “นักเรียนเรียนดี” ทาหน้าที่เป็นหน่วยกรรม
รองของประโยค เราอาจจะหานามวลี “เขา” มาแทนท่ีอนุพากย์นามได้ เช่น ครูจะแจกรางวัลเขา

เป็นต้น แตป่ ระโยคดังกลา่ วก็จะเปน็ เพียงประโยคสามัญเท่านนั้

2.1.2 เป็นส่วนหน่ึงของหนว่ ยนามเดีย่ ว เชน่
- หมวกใบใหญข่ องใครทอี่ ยใู่ นตูก้ ระจก

จากตัวอยา่ งขา้ งต้น “หมวกใบใหญข่ องใคร” ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ หนว่ ยนามเดี่ยว
เราอาจจะหานามวลีมาแทนทอี่ นพุ ากยน์ ามได้ เชน่ หมวกท่อี ยใู่ นตกู้ ระจก

2.2 อนุพากย์คุณศัพท์ คือ อนุพากย์ที่ทาหน้าที่เป็นส่วนขยายของหน่วยหลักใน
นามวลแี ละนามวลีนั้นอาจจะทาหน้าทเ่ี ป็นหน่วยประธาน หน่วยกรรมตรง หน่วยกรรมรอง หรอื หนว่ ย
นามเด่ยี วกไ็ ด้ เชน่

2.2.1 ทาหน้าท่เี ปน็ เพยี งส่วนขยายในหน่วยประธาน
- เด็กท่กี าลงั เลน่ อยู่น่ารักมาก

จากตัวอย่างข้างต้น คาที่ทาหน้าที่เป็นหน่วยประธานคือ “เด็ก”
อนุพากย์คุณศพั ท์คือ “ทก่ี าลังเล่นอยู่” เน่ืองจากทาหน้าท่ขี ยายหน่วยประธาน และเราอาจจะหาส่วน
ขยายประธานท่ไี ม่ใชอ่ นพุ ากย์มาแทนท่ีได้ เช่น เด็กคนนนี้ า่ รกั มาก

2.2.2 ทาหน้าทเ่ี ปน็ เพียงสว่ นขยายในหนว่ ยกรรมตรง
- ฉนั ชอบบา้ นทีม่ ีสวนดอกไม้

จากตัวอย่างข้างต้น คาที่ทาหน้าท่ีเป็นหน่วยกรรมตรงคือ “บ้าน”
อนุพากย์คุณศัพท์คือ “ที่มีสวนดอกไม้” เนื่องจากทาหน้าที่ขยายหน่วยกรรมตรง และเราอาจจะหา
สว่ นขยายทไ่ี มใ่ ช่อนพุ ากย์มาแทนทไ่ี ด้ เช่น ฉันชอบบา้ นนั้น

2.2.3 ทาหนา้ ที่เป็นเพยี งสว่ นขยายในหนว่ ยกรรมรอง
- ครกู าลงั แจกรางวลั นักเรียนทเี่ รยี นดี

จากตัวอย่างข้างต้น คาที่ทาหน้าท่ีเป็นหน่วยกรรมรองคือ “นักเรียน”
อนุพากย์คุณศัพท์คือ “ท่ีเรียนดี” เนื่องจากทาหน้าท่ีขยายหน่วยกรรมรอง และเราอาจจะหาส่วน
ขยายทไ่ี ม่ใชอ่ นพุ ากย์มาแทนทไี่ ด้ เชน่ ครกู าลงั แจกรางวัลนักเรียนเหลา่ นั้น

94

2.2.4 ทาหน้าที่เปน็ เพียงสว่ นขยายในหนว่ ยนามเดยี่ ว
- เส้ือของเธอท่ีอยูใ่ นตูฉ้ นั

จากตัวอย่างข้างต้นคาท่ีทาหน้าที่เป็นหน่วยนามเด่ียวคือ “เสื้อของเธอ”
อนุพากย์คุณศัพท์คือ “ท่ีอยู่ในตู้ฉัน” เน่ืองจากทาหน้าท่ีขยายหน่วยนามเดี่ยว และเราอาจจะหาส่วน
ขยายทไ่ี ม่ใชอ่ นุพากย์มาแทนทไ่ี ด้ เชน่ เส้ือของเธอตัวนัน้

2.3 อนุพากย์วิเศษณ์ คือ อนุพากย์ท่ีทาหน้าที่เป็นส่วนขยายของหน่วยแก่นใน
กริยาวลี และกรยิ าวลนี นั้ อาจจะทาหน้าทเี่ ปน็ หน่วยอกรรม หนว่ ยสกรรม หรือหนว่ ยทวกิ รรมก็ได้ เช่น

2.3.1 ทาหน้าท่ีเป็นเพียงส่วนขยายในหน่วยอกรรม
- เขาออกไปตอนทคี่ ุณกาลงั แต่งตวั

จากตัวอย่างข้างต้นเราอาจจะหาส่วนขยายที่ไม่ใช่อนุพากย์มาแทนที่ได้
เช่น เขาออกไปเมือ่ ไหร่

2.3.2 ทาหนา้ ท่ีเปน็ เพยี งสว่ นขยายในหน่วยสกรรม
- แดงตอ้ งไป (โรงพยาบาล) เพราะเขาไม่สบายมาก

จากตัวอย่างข้างต้นเราอาจจะหาส่วนขยายท่ีไม่ใช่อนุพากย์มาแทนที่ได้
เชน่ แดงต้องไป (โรงพยาบาล) บอ่ ย

2.3.3 ทาหน้าที่เป็นเพียงสว่ นขยายในหนว่ ยทวกิ รรม
- คุณพ่อให้ (หนังสอื เลม่ นฉี้ ัน) ตงั้ แตฉ่ นั ยงั เลก็

จากตัวอย่างข้างต้นเราอาจจะหาส่วนขยายท่ีไม่ใช่อนุพากย์มาแทนที่ได้
เช่น คณุ พ่อให้ (หนงั สอื เลม่ นฉ้ี นั ) ต้งั 10 ปแี ลว้

2.4 อนุพากยห์ ลกั ทาหนา้ ที่ต่อไปน้ี

คากรยิ า เชน่ 2.4.1 ทาหน้าท่ีเป็นเพียงส่วนหน่ึงของส่วนของประโยคซ่ึงเป็นหน้าที่ของ
- ดใี จทคี่ ณุ มาวนั เกดิ ฉันได้

2.4.2 เปน็ ส่วนของประโยคซงึ่ เปน็ หนา้ ทขี่ องคากรยิ าชนดิ หนว่ ยอกรรม เช่น
- การทเ่ี ธอแสดงกริ ิยาเช่นนี้ไมด่ ีเลย

95

2.4.3 เปน็ สว่ นของประโยคมากกวา่ 1 ชนดิ เชน่
- ฉันไมช่ อบขบั รถเร็วมากๆ

2.4.4 เป็นทั้งส่วนประกอบชนิดหน่ึงของประโยคและส่วนหนึ่งของอีกส่วนของ
ประโยคในเวลาเดยี วกนั

- เด็กทกี่ าลังเลน่ ตกุ๊ ตานา่ รกั มาก

3. คาเชื่อมอนพุ ากย์
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2548: 180) ยังกล่าวไว้อีกว่า นอกจากอนุพากย์จะมีชนิดและ

หนา้ ทที่ ่ีแตกต่างกันแลว้ อนุพากยแ์ ตล่ ะชนดิ ยังมีคาเชือ่ มอนพุ ากย์ท่ีแตกต่างกนั โดยแบ่งได้ดังนี้

3.1 คาเช่ือมของอนุพากย์นาม
คาเช่ือมอนุพากย์นามทุกคาจะปรากฏต้นอนุพากย์เป็นชนิดคาเช่ือมต้นเสมอ มี

ทั้งสิ้น 7 คา คือ ว่า ที่ การที่ อย่าง ท่ีว่า ตามที่ว่า และอย่างท่ี ทุกคาทาหน้าท่ีเชื่อมอนุพากย์นามเข้า
กบั อนุพากยห์ ลกั ตวั อย่างเชน่

- การทค่ี ุณตอบเขาแบบนนั้ /น่าเกลียดมาก
- ท่วี า่ จะมีการปฏวิ ตั /ิ จะจรงิ หรอื
- ทเี่ ขาพูด/ฉนั ไม่เชือ่
- อย่างคณุ กาลงั ทาอยนู่ นั้ /ฉันไมช่ อบเลย

3.2 คาเชื่อมของอนุพากยค์ ณุ ศพั ท์
คาเช่ือมของอนุพากย์คุณศัพท์ทุกคาจะปรากฏต้นอนุพากย์เป็นชนิดคาเชื่อมต้น

เสมอ แต่จะไม่เคยปรากฏต้นประโยคใหญเ่ ลย พบในภาษาพูด 4 คาคือ ท่ี ซ่ึง ทวี่ ่า อย่างท่ี และพบใน
ภาษาเขยี น 4 คาคือ อัน ดงั ผู้ ดงั ที่ ตัวอยา่ งเชน่

- คุณเชอ่ื ข่าว/ที่ว่าจะเกิดแผ่นดนิ ไหวท่กี รุงเทพฯ/ไหม
- อากาศ/ทฝี่ นตกใหม่ๆ /สดช่นื ดี

3.3 คาเชอ่ื มของอนุพากย์วเิ ศษณ์
คาเชื่อมของอนุพากย์วิเศษณ์จะปรากฏต้นอนุพากย์เป็นชนิดคาเช่ือมต้นเสมอ

พบค่อนข้างมาก เช่น หลังจาก ก่อนท่ี เมื่อตอน ตรงท่ี เพราะว่า เพ่ือ นอกจากว่า ถึงแม้ อย่างกับ
กระทั่ง และโดยที่ เป็นต้น

96

จะเห็นได้ว่าอนุพากย์ตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างก็คือมุขยประโยคและอนุประโยคตาม
แนวไวยากรณ์ด้ังเดิมของพระยาอุปกิตศิลปสารน่ันเอง เพราะเราจะพบอนุพากย์ในประโยคผสม
(ประโยคความรวม) และประโยคซับซ้อน (ประโยคความซ้อน) เท่านั้น การการแบ่งชนิดและการทา
หน้าทก่ี ม็ ีความคลา้ ยคลึงกนั ต่างกนั เพียงช่ือเรียกเทา่ นน้ั

สรุป

จากท่กี ล่าวมาข้างต้น จะเห็นถงึ ความสัมพันธข์ องคาแตล่ ะคาท่นี ามาเรียงต่อกนั อยา่ งเป็น
ระบบ ไม่ว่าจะเป็นในระดับวลี รวมถึงองค์ประกอบและโครงสร้างของวลี อนุพากย์และชนิดของ
อนุพากย์ รวมท้ังประโยคชนิดต่างๆ และส่วนของประโยคซึ่งถือเป็นหน่วยไวยากรณ์ชนิดหนึ่งซึ่ง
อาจจะปรากฏตามลาพงั หรอื รวมกันเข้าเป็นประโยคก็ได้ ทงั้ หมดทาใหเ้ ราเหน็ ถึงความสมั พันธ์ต่างๆ ที่
เชื่อมโยงคาแต่ละคาเข้าด้วยกัน แตน่ อกเหนอื จากความสมั พันธ์ของคาท่ีนามาเรียงต่อกันเป็นประโยค
แล้ว ส่ิงหนึ่งที่มีความสาคัญที่ช่วยให้เราสามารถติดต่อส่ือสารกันได้เข้าใจคือ “ความหมาย” ซ่ึงจะ
กลา่ วถงึ ในบทต่อไป

97

บทท่ี 6

ระบบขอ้ ความภาษาไทย

หลังจากได้ศึกษาหน่วยทางภาษาท่ีเล็กที่สุดคือ เสียง เมื่อนาหลายๆ เสียงมารวมกันเป็น
คา และนาคาหลายๆ คามาเรียงตอ่ กันเป็นวลีและประโยคแลว้ ในบทน้ีจะกลา่ วถึงหน่วยทางภาษาที่มี
ขนาดใหญ่กว่าประโยคซ่ึงทางหลักภาษาแบบเดิมยังไม่ได้กล่าวถึงไว้ แต่ในทางภาษาศาสตร์มี
การศึกษาหน่วยทางภาษาระดับนี้ไว้ค่อนข้างมาก นักภาษาศาสตร์เรียกการวิเคราะห์ในระดับนี้ว่า
“discourse” แต่ในภาษาไทยมีการใช้คานี้ในความหมายท่ีแตกตา่ งกนั หลายอยา่ งดงั จะอธบิ ายต่อไป

ความหมายของภาษาระดับขอ้ ความ

คาว่า Discourse มีผู้ให้คาจากัดความเป็นคาไทยไว้หลายคา เช่น ภาษาระดับข้อความ
ปริจเฉท วจนะ สัมพันธสาร และวาทกรรม เป็นต้น ที่เป็นเช่นน้ีเนื่องจากในช่วงต้นที่มีการศึกษา
ภาษาระดับข้อความนั้นยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ชัดเจน ทาให้แต่ละสถาบันคิดคาศัพท์เพื่อใช้เรียก
discourse เอง และมีนัยยะทางความหมายท่ีแตกตา่ งกันบา้ ง

จันทิมา อังคพณิชกิจ (2557: 12-13) ได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้คาศัพท์เรียก discourse
ที่แตกตา่ งกนั ไว้ว่า การใช้คาศพั ท์ ขอ้ ความ ข้อความตอ่ เนอื่ ง และระบบข้อความ เป็นการใช้คาศพั ท์
ที่เกิดจากพ้ืนฐานความคิดเชิงโครงสร้างของภาษาท่ีว่า ภาษาระดับข้อความเป็นหน่วยในภาษาที่ใหญ่
กว่าประโยค ส่วนการใช้คาศัพท์ วจนะ เป็นคาศัพท์ที่สะท้อนให้เห็นมุมมมองเชิงโครงสร้างในฐานะที่
เป็นหน่วยทางภาษาท่ีใหญ่กว่าประโยคเช่นกัน แต่จุดเน้นที่ต่างกันคือ ข้อความ เน้นมุมมองเก่ียวกับ
ประเภทของขอ้ มูล ส่วน วจนะ มงุ่ เน้นไปทีล่ กั ษณะของข้อมลู ท่มี าจากการพูดของผบู้ อกภาษา

คาว่า ปริจเฉท เป็นคาศัพท์ท่ีใช้สื่อถึงความเป็นหน่วยในภาษาที่มีโครงสร้างและมี
องค์ประกอบภายในหน่วยเช่นเดียวกัน แต่อาจสร้างความสับสนได้ เน่ืองจากปริจเฉทในภาษาบาลี
แปลว่า บท ซ่ึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเร่ือง ยังไม่ใช่เร่ืองที่สมบูรณ์ทั้งหมด ในขณะท่ี discourse
จะต้องเป็นเรื่องท่ีมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ส่วนคาว่า สัมพันธสาร ซ่ึงเป็นศัพท์บัญญัติจาก
ราชบัญฑิตยสถาน หากพิจารณาก็สามารถตีความได้ว่าผู้บัญญัติศัพท์มีแนวคิดที่เน้นเกี่ยวกับการ
ส่ือสารและเน้นแง่มมุ เกีย่ วกับหน่วยทางภาษาท่ีมีองค์ประกอบภายใน โดยเฉพาะการเช่ือมโยงสัมพันธ์
ที่ทาให้เป็นหน่วยเดียวกันหรือการส่ือสารเรื่องเดียวกันเป็นหลัก สุดท้ายคาว่า วาทกรรม เป็นศัพท์
บัญญัติจากสาขาสังคมศาสตร์โดยมมี ุมมองวา่ ถ้อยคาบางอย่างในภาษาสามารถสร้างชุดความคิดและ

98

สร้างความหมายท่ีส่งผลกระทบต่อการกระทาและวิถปี ิิบัตขิ องคนในสงั คม ดังน้ัน คาศัพท์ วาทกรรม
จึงมิได้มุ่งเน้นที่ตัวภาษาที่ใช้สื่อสารเท่านั้น แต่ยังเน้นถึงมุมมองทางสังคมท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา
ด้วย ซึ่งหมายรวมท้ังถ้อยคา ความคิด ผู้ใช้ภาษา และปิิสัมพันธ์ในสังคมเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้
วาทกรรมยังเป็นกระบวนการในการสร้างตัวตนและความหมายให้กับสรรพส่ิงต่างๆ ในสังคม โดยมี
ลักษณะเปน็ ความคิดทีแ่ ฝงเรน้ ดว้ ยอานาจและอุดมการณข์ องสงั คม

หลังจากได้ทราบถึงคาศัพท์ภาษาไทยที่มีการใช้แตกต่างกันแล้ว ต่อมาคือความหมาย
หรอื คาจากดั ความซ่ึงกย็ ่อมแตกตา่ งกันด้วย เชน่

สมทรง บุรุษพัฒน์ (2537: 2) กล่าวว่า “วจนะ หมายถึงการพูดระหว่างคน 2 คนขึ้นไป
เช่น การสนทนา บทละคร และวจนะซ่ึงเป็นการพูดของคนคนเดียว เช่น เรื่องเล่า คาอธิบาย วจนะมี
ใจความเปน็ อันหนึ่งอนั เดยี วกนั และมกี ารเชื่อมโยงของข้อความซึ่งเป็นส่วนประกอบของวจนะ”

จันทิมา อังคพณิชกิจ (2557: 17) กล่าวว่า “ข้อความ คือ หน่วยหรือข้อมูลทางภาษาท่ี
ใช้อยู่ในปริบททางการส่ือสารอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ใช้ภาษาในสังคม อาจเป็นถ้อยคาภาษาพูดหรือ
ภาษาเขียน ข้อมูลภาษามักจะมีรูปแบบ โครงสร้างและความสัมพันธ์เช่ือมโยงท่ีแสดงความเป็น
เอกภาพภายในเน้อื หาเดียวกันแตต่ ้องปรากิในปริบทของการสอื่ สารอย่างใดอยา่ งหน่ึง”

ชลธิชา บารุงรักษ์ (2558) ได้ให้นิยามว่า “ภาษาระดับข้อความ หมายถึง หน่วยภาษาที่
ปรากิต่อเน่ืองกันในระดับท่ีสูงกว่าประโยคเดี่ยวๆ ที่มนษุ ย์ใช้ส่ือสาร ซ่ึงหมายรวมถึงภาษาพูด ภาษา
เขียน และภาษามือท่ีเกิดข้ึนอย่างเป็นธรรมชาติในสถานการณ์จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนอง
เจตนารมณ์ของผู้ส่งสาร ทาหน้าที่เพื่อให้รายละเอียดข้อมูล เพ่ือแสดงอารมณ์หรือความรู้สึก เพ่ือ
ช้แี นะให้ปิิบตั ิตาม หรือเพอื่ ปิิสมั พนั ธ์ทางสังคมอยา่ งใดอยา่ งหนึง่

นอกจากน้ี จันทิมา อังคพณิชกิจ (2557: 18) ได้ให้ข้อสังเกตเก่ียวกับความหมายของ
ข้อความไว้อย่างน่าสนใจว่า ผู้ท่ีไม่เข้าใจแนวคิดเร่ืองข้อความและเข้าใจตามคาจากัดความเชิง
โครงสร้างของขอ้ ความในแง่ท่วี ่าเป็นหน่วยในภาษาที่มีขนาดใหญ่กว่าประโยค จึงมักเข้าใจว่าข้อความ
เป็นประโยคท่ีเรียงต่อกัน ดังนั้น เม่ือเห็นข้อความที่มากกว่า 1 ประโยคขึ้นไปก็จัดเป็นข้อความ อันที่
จริงแล้วข้อมูลที่เป็นประโยคเรียงต่อกันไป แม้จะมีความสมั พันธเ์ ชื่อมโยงกันระหว่างประโยค ไม่ว่าจะ
มกี ี่ประโยคต่อเนื่องกันไปก็ตาม หากประโยคเหล่านั้นมิได้ปรากิในปรบิ ทของการส่ือสาร ไม่สามารถ
ระบุปริบทของสถานการณ์การสื่อสารได้ ก็ไม่จัดว่าเป็นข้อความ นอกจากน้ี ข้อมูลท่ีเป็นประโยคเรียง
ต่อกนั เหล่าน้ันไมส่ ามารถบอกขอบเขตและความสมบูรณ์ของเร่อื ง หรอื ไม่สามารถบอกความเชื่อมโยง
ของสาระต้ังแต่เร่ิมต้นจนจบได้ ข้อความดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อมูลระดับประโยคเท่าน้ัน เพียงแต่เป็น
ประโยคหลายประโยคเรยี งต่อกันไป ไมใ่ ชข่ อ้ ความ

99

ในที่น้ีผู้เขียนจะใช้คาว่า Discourse ในความหมายว่า ภาษาระดับข้อความ ซึ่งถือเป็นคา
กลางๆ และสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที อีกทั้งการวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความในบทนี้เป็น
เพยี งการวเิ คราะหใ์ นเบอ้ื งต้น ยังไมไ่ ด้เนน้ ปริบททางสังคม วัฒนธรรมและอานาจแตอ่ ย่างใด

ประเภทของภาษาระดบั ขอ้ ความ

ภาษาระดับข้อความสามารถแบ่งได้หลายประเภท ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง
จันทมิ า อังคพณชิ กิจ (2557: 22-23) ได้สรปุ การจัดแบ่งประเภทของภาษาระดบั ข้อความไว้ ดงั น้ี

1. จาแนกประเภทตามช่องทางการสื่อสารหรือส่ือท่ีใช้ในการส่ือสาร แบ่งได้เป็น 2
ประเภท คอื

1.1 ภาษาพูด (spoken discourse) เป็นภาษาข้อความท่ีใช้เสียงพูดในภาษาเป็น
สือ่ ในการรบั ส่งสาร

1.2 ภาษาเขยี น (written discourse) เปน็ ภาษาระดับข้อความท่ีใช้ตัวหนังสือหรือ
ตวั อกั ษรในการรับสง่ สาร

2. จาแนกประเภทตามบทบาทของผู้ท่ีเกี่ยวข้องในการส่ือสาร แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
คอื

2.1 ภาษาโดด (monologue) เป็นภาษาระดับข้อความท่ีมีผู้ส่งสารเพียงฝ่ายเดียว
อกี ฝา่ ยทาหน้าทเ่ี ป็นผูร้ ับสารเปน็ สว่ นใหญ่

2.2 ภาษาโต้ตอบ (dialogue) เป็นภาษาระดบั ข้อความที่ผ้ทู เี่ กยี่ วขอ้ งในการสอ่ื สาร
ทกุ ฝา่ ยผลดั เปลยี่ นกนั เป็นผู้ส่งสารและผ้รู ับสาร

3. จาแนกตามวัตถปุ ระสงค์ในการสือ่ สาร แบง่ ได้เป็น 4 ประเภทคอื
3.1 ภาษาเร่ืองเล่า / นิทานปริจเฉท (narrative discourse) เป็นภาษาระดับ

ข้อความที่มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อเลา่ เร่ืองราวหรือเหตุการณต์ ามลาดับเวลาอย่างตอ่ เนือ่ ง เช่น นทิ าน เรื่อง
สนั้ นวนิยาย เป็นตน้

3.2 ภ าษ าอ ธิ บ าย ค ว าม / ทั ศ น ป ริจ เฉ ท (expository / explanatory
discourse) เป็นภาษาระดับข้อความที่มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเร่ืองใดเรื่อง
หนึ่ง พร้อมกับมีการแสดงความคิดเห็นไว้ด้วย เช่น บทความทางวิทยาศาสตร์ ข้อเสนองบประมาณ
เป็นต้น

100

3.3 ภาษาโน้มน้าวหรือชักจูง / ปราศรัยปริจเฉท (hortatory / persuasive
discourse) เป็นภาษาระดับข้อความที่มีวัตถุประสงคเ์ พื่อเชิญชวนหรือสง่ั สอนให้ผู้รับสารเชอ่ื ฟังและ
ปิบิ ตั ติ าม เชน่ คาปราศรัย เปน็ ตน้

3.4) ภาษากระบวนการ / ปฏิบัติปริจเฉท (procedural discourse) เป็น
ภาษาระดบั ข้อความที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือแสดงใหเ้ ห็นข้ันตอนในการกระทาอย่างใดอยา่ งหนึง่ ตง้ั แต่ต้น
จนสาเรจ็ เชน่ ตาราทากบั ขา้ ว ค่มู ือ เปน็ ตน้

การเชื่อมโยงความ (cohesion)

ภาษาระดับข้อความ เป็นหน่วยภาษาในการส่ือสาร เกิดจากการเรียงต่อเน่ืองกันไปของ
ประโยค คุณสมบัติท่ีแยกภาษาระดับข้อความออกจากกลุ่มประโยคที่เพียงแต่เรียงต่อกันไปคือ
เอกภาพ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เช่ือมโยงประโยคต่างๆ เข้าด้วยกัน การแสดงความสัมพันธ์ทาง
ความหมายระหว่างประโยคต่างๆ ในข้อความเดียวกัน เรียกว่า “การเชื่อมโยงความ” โดยสามารถ
แยกกลไกทางภาษาที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างประโยคออกเป็น 5 แบบ (วจิ ินตน์ ภาณุพงศ์ และ
คณะ, 2552: 118-139) ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. การอ้างถงึ (reference) คือ การแสดงความสัมพันธ์ที่เกิดจากการท่ีรูปภาษาหนึ่งไม่
มีความหมายเป็นอิสระในตัวเอง แต่การตีความต้องอาศัยหรืออ้างถึงความหมายของรูปภาษาอ่ืนซ่ึง
อาจอยูใ่ นรปู คาหรือวลกี ็ได้ แบง่ เปน็ 2 แบบคอื การอา้ งถึงหนว่ ยภาษาทน่ี ามาข้างหนา้ เปน็ การอา้ งถึง
ข้อความที่กล่าวไปแล้ว และการอ้างถึงหน่วยภาษาที่ตามมา เป็นการอ้างถึงเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวมา
ก่อน การอา้ งถึงสามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 8 ประเภทยอ่ ยคือ

1.1 การอ้างถึงด้วยการใช้คาบุรุษสรรพนาม คือ การใช้คาบุรุษสรรพนาม อ้างถึง
บุคคลหรอื สิ่งท่กี ลา่ วไปแล้วหรอื ท่กี าลงั จะกลา่ วถึง เชน่

- นายสมชายไม่ได้ทางานทีน่ แี่ ล้ว เพราะเขาถกู ไล่ออกจากบริษัท
- นายกรัฐมนตรีคงไม่สามารถทางานได้ต่อไปอีก เพราะท่านได้มอบอานาจ
ให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงการคลังไปหมดแลว้
- ผมมีความผูกพันกับแมวสองตัวน้ีตลอดเวลาหลายปี ชอบเห็นมันเดิน
หยง่ ๆ ลงมาตามเนนิ เพ่อื กนิ อาหาร ดูมนั เล่นกนั ในพงหญา้ กลางทอ้ งท่งุ

101

จากตัวอย่างคาว่า “เขา”ในตัวอย่างแรก เป็นคาบุรุษสรรพนามท่ีอ้างถึง
“นายสมชาย” คาวา่ “ท่าน” ในตัวอย่างที่สองเปน็ คาบุรุษสรรพนามที่ใช้อา้ งถงึ “นายกรฐั มนตรี”ส่วน
คาวา่ “มัน” ในตวั อย่างสุดทา้ ยเปน็ คาบรุ ษุ สรรพนามท่ใี ช้อ้างถงึ “แมวสองตวั นี้”

1.2 การอ้างถึงด้วยการใช้คาบอกกาหนดช้ีเฉพาะ คือ การระบุหรือเจาะจงสิ่งที่
กลา่ วมาแล้วหรือกาลงั จะกลา่ วต่อไป ไดแ้ กค่ าวา่ นี่ นนั่ โน่น นี้ นนั้ โน้น เชน่

- บริษัทออกกฎระเบียบในการควบคุมการทางานของพนักงาน ทาให้
พนักงานหลายคนไม่พอใจกฎระเบียบเหลา่ น้นั

- สถานท่ีท่องเที่ยวช่ือ เมืองบาดาลตั้งอยู่ในเข่ือนวชิราลงกรณ์ จังหวัด
กาญจนบุรี เดิมทเี ข่ือนแห่งนี้ชอ่ื เข่อื นเขาแหลม

- หากเดือนไหนเขาเขียนเร่ืองไดแ้ ค่ 2 เรื่อง เขาจะมีรายได้แค่ส่ีพันบาท แต่
หากเดือนน้นั หนังสือสกั เลม่ เกิดมีปัญหาหรือทาทา่ จะเจ๊ง รายได้ของเขากจ็ ะเหลอื แคส่ องพันบาท

จากตัวอย่าง คาวา่ “นั้น” ในตวั อย่างแรกเป็นคาบอกกาหนดชี้เฉพาะท่ีใช้อ้างถึง
“กฎระเบียบในการควบคุมการทางานของพนักงาน” คาว่า “น้ี” ในตวั อย่างที่สองเป็นคาบอกกาหนด
ช้ีเฉพาะที่ใช้อ้างถึง “เข่ือนวชิราลงกรณ์” และคาว่า “ไหน นี้” ในตัวอย่างท่ีสามเป็นคาบอกกาหนด
ชี้เฉพาะท่ใี ชอ้ า้ งถึง “เดือน”

1.3 การอ้างถึงด้วยการใช้สรรพนามช้ีเฉพาะ คือ การใช้การกะระยะห่างทั้งในแง่
เวลาและระยะทางในการอ้างถึงบุคคลหรือส่ิงของหรือสถานท่ี ได้แก่คาว่า น่ี นั่น โน่น นี้ น้ัน โน้น ซ่ึง
สามารถอ้างถึงไดท้ งั้ นามวลี กริยาวลหี รือประโยคก็ได้ เช่น

- ปี พ.ศ. 2475 เป็นจุดเปลี่ยนสาคัญของประเทศไทย นับจากนั้น
ประชาธิปไตยก็พฒั นาเร่อื ยมา

- เห็นสีแ่ ยกไฟแดงไกลลิบๆ ขา้ งหน้าไหม เราจะตอ้ งเลย้ี วตรงโนน้ แหละ
- เราทุกคนต้องเปลี่ยนระบบการทางานใหม่ นี่เป็นแค่จุดเร่ิมต้นของการ
ประกันคุณภาพ

จากตัวอยา่ งแรกคาว่า “น้ัน” เปน็ สรรพนามชี้เฉพาะใชอ้ า้ งถงึ “ปี พ.ศ. 2475”
คาว่า “โน้น” ในตัวอย่างที่อสองเป็นสรรพนามชี้เฉพาะใช้อ้างถึง “ส่ีแยกไฟแดงไกลลิบๆ ข้างหน้า”
และคาว่า “น่ี” ในตัวอย่างสุดท้ายเป็นสรรพนามชี้เฉพาะใช้อ้างถึง “เราทุกคนต้องเปล่ียนระบบการ
ทางานใหม”่

102

1.4 การอ้างถึงด้วยการใช้ตัวบ่งบอก คือ การใช้คาหรือวลีที่ช้ีบ่งเฉพาะเจาะจงว่า
ส่งิ ท่ีผู้พูดกล่าวถึงคือสิ่งที่ไดก้ ล่าวถงึ มาแลว้ หรอื สิ่งที่จะได้กล่าวถึงตอ่ ไป ทาให้รูว้ ่าข้อความท่ีอ้างถึงน้ัน
อยู่ ณ ส่วนใดของข้อความ คาท่ีใช้เป็นตัวบ่งบอก เช่น ดังกล่าว ข้างต้น ข้างล่าง ข้างท้าย ต่อไปน้ี
ดังกล่าวข้างตน้ ดังกล่าวมาแลว้ ทแ่ี นบมานี้ ดังแจ้งแล้วน้ัน เป็นต้น ตวั อยา่ งเช่น

- ภาษาต่างกัน อาจมีคาที่ใช้เรียกสีพ้ืนฐานไม่เท่ากัน งานวิจัยแสดงให้เห็น
วา่ ภาษาบางภาษามีคาดังกลา่ วเพียง 2 คาเท่านัน้

- คากล่าวท่ีว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เป็นสัจธรรมที่มาจากพระพุทธพจน์
อยา่ งไรกต็ ามคนท่ีกาลงั มคี วามรกั มักไม่เชอื่ คากล่าวข้างต้น

- ลักษณะการออกเสียง คือ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะในการ
ออกเสียงที่เคลอื่ นไหวได้และอวยั วะท่เี คล่ือนไหวไม่ได้ ในท่ีนี้จะกล่าวเฉพาะลักษณะการออกเสียงของ
ภาษาไทยซึง่ มดี งั ตอ่ ไปน้ี …

จากตัวอย่างแรก คาว่า “ดังกล่าว” เป็นตัวบ่งบอกอ้างถึง “ท่ีใช้เรียกสีพื้นฐาน”
ส่วนคาว่า “ข้างต้น” ในตัวอย่างท่ีสองเป็นตัวบ่งบอกอ้างถึง “(คากล่าว) ที่ว่าท่ีใดมีรักท่ีนั่นมีทุกข์”
และคาวา่ “ตอ่ ไปนี้” ในตัวอยา่ งสดุ ท้ายเปน็ ตัวบ่งบอกอ้างถงึ ลกั ษณะการออกเสียงที่ตามมาข้างหลัง

1.5 การอ้างถึงด้วยการใช้คาที่เกี่ยวกับจานวน คือ การใช้คาบอกปริมาณ ซ่ึงได้แก่
คาบอกจานวน เชน่ หน่ึง สอง สาม บาง ลว้ น ทง้ั หมด เป็นต้น หรือคาบอกลาดับ เช่น ทีห่ น่ึง ที่สอง ท่ี
สาม แรก สุดท้าย เป็นตน้ ตัวอย่างเชน่

- มผี โู้ ดยสารสหี่ ้าคนข้นึ มาบนรถ หน่งึ ในจานวนนั้นมีผ้หู ญิงทอ้ งอยูด่ ้วย
- นักอ่านท่ีอ่านได้เร็วมากๆ อาจจะอ่านโดยจับสายตาอยู่ที่กลางหน้า บาง
คนใช้น้ิวลากลงมาเพื่อช่วยสายตา บางคนใช้กระดาษท่ีค่ันหนังสือหรือซองจดหมายทาบใต้ข้อความ
แล้วเลอื่ นลงอยา่ งรวดเรว็
- ผมติดตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด เห็นความ
ต่อเนื่องของนโยบายและมาตรการท้ังหลาย ซึ่งล้วนแต่ช้ีให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเป็นทุนนิยมระบบ
ตลาด

จากตัวอย่างจะเห็นว่า คาว่า “หนึ่ง” ในตัวอย่างแรก อ้างถึง “ผู้โดยสาร” คาว่า
“บาง (คน)” ในตัวอย่างที่สองอ้างถึง “นักอ่านท่ีอ่านได้เร็วมากๆ” และคาว่า “ล้วน” ในตัวอย่าง
สุดท้ายใชอ้ า้ งถงึ “ความต่อเนอื่ งของนโยบายและมาตรการทงั้ หลาย”

103

1.6 การอ้างถึงด้วยการใช้คาแทนท่ี คือ การใช้คาท่ีใช้แทนคาหรือข้อความอื่นแทน
นามวลี กริยาวลี หรือประโยคท่ีมาข้างหน้า คาแทนท่ีมักเป็นคานามหรือคากริยาซ่ึงมีความหมาย
เปรียบเทียบ เก่ียวเน่ือง หรือขยายความของคาหรือข้อความที่แทน เช่น เร่ือง ส่ิง ทา เป็นต้น
ตัวอย่างเชน่

- ศศิธรลุกข้ึนทันทีหลังวางหูโทรศัพท์ หญิงสาวว่ิงลงบันได แล้วขับรถ
ออกไปอยา่ งเรว็ ที่สดุ

- การดื่มสุรา การเท่ียวกลางคืน การคบเพื่อนเลว จะนาความวิบัติมาสู่เจ้า
จงหลีกเล่ียงพฤติกรรมเชน่ นี้เสยี เถดิ

- เขาลือกันวา่ สมหญงิ หย่ากับสามีแล้ว เรอ่ื งน้ใี ครๆ กร็ ้กู ันแลว้ ท้ังน้นั

จากตัวอย่างแรก คาว่า “หญิงสาว” เป็นคาแทนที่อ้างถึง “ศศิธร” คาว่า
“พฤติกรรม” ในตวั อย่างท่ีสองเปน็ คาแทนท่ีอ้างถงึ “การดม่ื สรุ า การเที่ยวกลางคืน การคบเพื่อนเลว”
และคาวา่ “เร่อื ง” ในตวั อยา่ งสุดทา้ ยเป็นคาแทนทีอ่ า้ งถึง “สมหญิงหยา่ กับสามแี ลว้ ”

1.7 การอ้างถึงด้วยการเปรียบเทียบ คือ การใช้การเปรียบเทียบในแง่ความเหมือน
ความคลา้ ยคลงึ ความแตกตา่ ง ตลอดจนในแงป่ ริมาณหรือคุณภาพ คณุ ลักษณะ เช่น

- ปีน้ีหน่วยงานของเราใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท ปีหน้าจะต้องใช้มากกว่า
แนน่ อน

- มีโรคร้ายแรงหลายโรคท่ีคร่าชีวิตคนไทยในปัจจุบัน ที่ร้ายแรงท่ีสุดคือ
โรคหัวใจ

- การคมนาคมในจังหวัดอุดรธานีสามารถทาได้ท้ังทางบกและทางอากาศ
แต่ทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดคงจะเป็นเส้นทางการคมนาคมทางอากาศ เนื่องจากจังหวัดอุดรธานี
มี ท่าอากาศยานนานาชาติไวร้ องรบั ผ้โู ดยสารเป็นจานวนมาก

จากตัวอย่างแรก คาว่า “มากกว่า” อ้างถึง “5 ล้านบาท” คาว่า “ที่ร้ายแรง
ท่ีสุด” ในตัวอย่างท่ีสองอ้างถึง “โรคร้ายแรงหลายโรค” และคาว่า “ที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด” ใน
ตัวอย่างสดุ ท้ายอา้ งถงึ “ทางบกและทางอากาศ”

1.8 การอ้างถึงดว้ ยการซ้านามวลีเดิม คือ การอ้างถงึ ข้อความทีม่ าขา้ งหนา้ ด้วยการ
ซ้านามวลีเดิม ซึ่งเป็นกลวิธีท่ีพบมากในภาษาไทยโดยเฉพาะภาษากฎหมาย เพราะทาให้ข้อความ
ชดั เจนไมม่ ีขอ้ สงสยั ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้

104

- อายุของสภาผู้แทนราษฎรมีกาหนดคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกต้ัง เมื่อ
อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง
สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรใหม่เปน็ การเลอื กตง้ั ทว่ั ไป

- ผอู้ ่านท่ฉี ลาดยอ่ มไม่อ่านโดยใช้วธิ เี ดียวกันทง้ั หมด เพราะเอกสารท่อี ่านไม่
เหมือนกนั ผ้อู า่ นทีฉ่ ลาดจงึ เลอื กวิธีอ่านให้เหมาะกบั งานเขยี นทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหา

- บุคคลมีหน้าท่ีไปใช้สิทธิเลือกต้ัง บุคคลซึ่งไม่ไปเลือกต้ังโดยไม่แจ้งเหตุอัน
สมควรท่ที าใหไ้ ม่อาจไปเลือกตงั้ ได้ย่อมเสยี สิทธ์ิตามที่กฎหมายบญั ญัติ

จากตัวอย่าง “สภาผู้แทนราษฎร” “ผู้อ่านที่ฉลาด” และ “บุคคล” เป็น
นามวลซี า้ กบั นามวลที ีม่ าขา้ งหนา้

2. การแทนที่ (substitution) คือ การแสดงความสมั พันธ์ที่เกิดจากการแทนทร่ี ปู ภาษา
หนึ่งด้วยภาษาอีกรูปหน่ึง ความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรูปภาษาซึ่งเป็น
ความสมั พันธ์ทางไวยากรณ์ เชน่

- เขามองหาลูกชาย ซง่ึ ยืนอยู่ทางซา้ ยมอื
- เธอชอบดอกไม้ ทเี่ ขาซื้อมาให้

จากตัวอย่างข้างต้น ตัวอย่างแรกเป็นประโยคความซ้อนที่สามารถแยกได้เป็น 2
ประโยคคือ เขามองหาลูกชาย และ ลูกชายยืนอยู่ทางซ้ายมือ ดังน้ันคาว่า “ซึ่ง” จึงเป็นการแทนท่ีคา
ว่า “ลูกชาย” ส่วนตัวอย่างที่สองก็เป็นประโยคความซ้อนเช่นเดียวกัน โดยสามารถแยกเป็น 2
ประโยคคือ เธอชอบดอกไม้ และ เขาซ้ือดอกไม้มาให้ ดังนั้นคาว่า “ที่” จึงเป็นการแทนที่คาว่า
“ดอกไม”้

3. การละ (ellipsis) คือ การแสดงความสัมพันธ์ที่เกิดจากการแทนท่ีรูปภาษาหน่ึงด้วย
หน่วยทางภาษาท่ีไม่ปรากิรูป ซึ่งจะตีความหมายได้จากข้อความที่นาหน้า ข้อความท่ีละอาจเป็นคา
วลี ประโยค หรอื อนพุ ากย์กไ็ ด้ ตัวอยา่ งเชน่

- จ๋า: คุณแม่ขา พี่บอยแกล้งจา๋
แม:่ อย่า Ø 1 สิลกู

- คนร้ายเป็นชายสูงประมาณ 170 ซ.ม. Ø สวมเสอ้ื ยืดสีเขยี ว Ø นุ่งกางเกง
ยีนส์ Ø สวมหมวกแก๊ป

1 เคร่ืองหมาย Ø แสดงรปู ภาษาทลี่ ะ

105

จากตัวอย่างข้างต้น ข้อความแรกเป็นการละคาว่า “แกล้ง” สว่ นข้อความท่สี องเป็น
การละนามวลีที่วา่ “คนรา้ ย”

- ผู้สื่อข่าวถามวา่ กรณีเจา้ อาวาสหาทางออกให้ด้วยการจดั นิคมใหก้ บั ผูต้ ิด
เช้อื เอดส์อยรู่ ว่ มกนั แก้ปญั หาไดห้ รือไม่ นายสมชายกลา่ วว่า Ø ไมใ่ ช่ทางออก

จากตวั อยา่ งข้างต้น Ø หมายถึง “กรณเี จ้าอาวาสหาทางออกให้ด้วยการจัดนิคมให้กับ
ผ้ตู ิดเชอื้ เอดส์อยู่รว่ มกัน” ซ่ึงเป็นนามวลี

- ต่อไปนายดอนจะติดโรคเอดสไ์ ปด้วยหรือไม่นนั้ ผมยังไมแ่ น่ใจ Ø ยังตอบ
Ø ไมไ่ ด้

จากตวั อยา่ งข้างต้น Ø หมายถึง “นายดอนจะติดโรคเอดสไ์ ปดว้ ยหรอื ไม่” ซ่ึงเปน็
ประโยคหรืออนพุ ากย์

4. การใช้คาเช่ือม (conjunction) คือ การแสดงความสัมพันธ์ทางความหมายระหว่าง
ประโยคหรือข้อความท่ีปรากิต่อเน่ืองกัน เป็นอีกกลวิธีหน่ึงท่ีทาให้เกิดการเชื่อมโยงความ แบ่งเป็น
13 ประเภทคือ

4.1 เชื่อมความคล้อยตามกัน หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพ่ือแสดงข้อความท่ีมีความ
สัมพันธ์ทางความหมายแบบคล้อยตามกัน เช่น และ ในทานองเดียวกัน โดยนัยเดียวกัน เป็นต้น
ตัวอยา่ งเชน่

- คาพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในใจของผม ในทานองเดียวกัน ใบหน้าของคน
พดู กห็ ลอกหลอนผมอยู่ตลอดเวลา

- เขาดูแลพ่อแม่มาอย่างดี โดยนัยเดียวกันนั้น เขาก็ได้รับการดูแลอย่างดี
จากลูก

4.2 เช่ือมความขัดแย้งกัน หมายถึง การใช้คาเชื่อมเพ่ือแสดงข้อความที่มี
ความสัมพนั ธ์ทางความหมายแบบแยง้ กนั เช่น แต่ อยา่ งไรก็ตาม กระนนั้ ก็ตาม ในทางตรงข้าม ในทาง
กลับกัน เป็นต้น ตวั อย่างเช่น

- แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะต่างๆ ที่ถือว่าแบบแผนตามแนวกรีกและโรมันได้
ขยายครอบคลุมรวมไปถึงภาษาต่างๆ ในยุโรปด้วย อย่างไรกต็ ามภาษาท่ีกล่าวถึงและศึกษากันในช่วง
นีย้ ังมวี งจากัดเฉพาะภาษาเขียนซึ่งปรากฏในวรรณคดแี ละงานเขียนต่างๆ

106

- ผลการสารวจแสดงว่าพรรคการเมืองเก่าได้รับคะแนนนิยมสูงกว่าพรรค
คู่แขง่ แต่ทว่าผลการเลือกต้ังกลบั เป็นตรงกันขา้ ม

- นักเรียนที่ทาตัวเรียบร้อยน่ิงเฉยมักไม่ได้รับความสนใจจากครู ในทางตรง
ข้าม นักเรยี นท่ที าตัวแปลกกา้ วรา้ วและโวยวาย กลับเป็นที่สนใจของครู

4.3 เช่ือมความเป็นเหตุเป็นผล หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพ่ือแสดงข้อความที่มี
ความสัมพันธ์ทางความหมายแบบแสดงเหตุผลซึ่งกันและกัน เช่น เนื่องด้วย ด้วยเหตุที่ว่า ดังนั้น
เพราะ เพราะฉะน้ัน ด้วยเหตุฉะนั้น เป็นตน้ ตวั อย่างเช่น

- เขาม่ันใจว่าเขาจะสอบตก เพราะเขาไม่อ่านหนังสือเลยและไม่เข้าใจ
เน้อื หาในบทเรียนสกั บท

- ไทยไม่สามารถแข่งกับจีนได้เลยในตลาดล่าง เพราะฉะน้ันไทยจะต้อง
ปรับตวั ขึ้นไปตลาดกลางหรือตลาดบน

- เน่ืองด้วยดิฉันมีความจาเป็นต้องเดินทางไปต่างจังหวัดกับครอบครัว และ
ไมส่ ามารถมาเรยี นได้ ดฉิ นั จึงขออนุญาตลากจิ ในวนั จนั ทร์ท่ี 8 กมุ ภาพนั ธ์ 2558

4.4 เชื่อมความลาดับเวลา หมายถึง การใช้คาเชื่อมเพ่ือแสดงข้อความที่มี
ความสัมพันธ์ทางความหมายแบบลาดับเหตุการณ์ เช่น แล้ว หลังจากนั้น ก่อนหน้าน้ัน ในที่สุด
สุดท้าย เป็นต้น หรือเช่ือมข้อความท่ีแสดงเหตุการณ์ที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกันหรือในเวลาเดียวกัน เช่น
ขณะเดยี วกนั ขณะท่ี เมอื่ เวลานั้น เปน็ ต้น ตัวอย่างเช่น

- หล่อนควา้ กระเป๋าถอื แลว้ ลุกหนีไปด้วยความอับอาย
- มคี นโทรไปบอกว่าลูกชายของเขาถูกจับ เวลาน้ันเขากาลังประชุมอยอู่ ยา่ ง
เครง่ เครยี ด
- ตลอด 40 ปีท่ีผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างผาดโผน ไร้ศีลธรรม สุดท้ายเขาก็
ต้องจบชวี ติ ลงอยา่ งอนาถ
- ข่าวลือเก่ียวกับการถูกไล่ออกมีมากมาย บ้างก็ว่าเพราะเขายักยอกเงิน
ของบริษทั บา้ งกว็ ่าเขาแอบไปเทย่ี วกบั ภรรยาของเจา้ นาย หลังจากน้นั เขาก็ถกู จับได้ และถูกไล่ออก

4.5 เชื่อมคาอธิบาย หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพื่อเช่ือมข้อความที่ขยายความหรือ
อธิบายความทม่ี าขา้ งหน้าเพ่ือทาให้กระจ่างขึ้น เช่น คาว่า กล่าวคอื น่ันคือ อีกนัยหนงี่ หมายความว่า
ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งเช่น

107

- โรคหัวใจเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก กล่าวคือ เป็นโรคท่ีทาให้มีผู้เสียชีวิตเป็น
อนั ดบั หน่ึงของประเทศ

- เกษตรกรต้องจาใจขายผลผลิตในราคาที่ถูกลง นั่นหมายความว่ารายได้
ของพวกเขากต็ ้องลดลงด้วย

- คากล่าวในเรื่องน้ีเห็นได้ไม่ยาก นั่นคือ สถานการณ์ใดๆ ก็ตามที่ท่านไม่อยู่
สอนนักศึกษา แต่ท้ิงภาระงานให้นักศึกษาทาเองโดยไร้คาปรึกษา อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนและ
ความเขา้ ใจในเนื้อหาของนกั ศึกษาได้

4.6 เชื่อมตัวอย่าง หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพ่ือเช่ือมข้อความที่เป็นตัวอย่างหรือ
อุทาหรณข์ องข้อความท่มี าข้างหน้า เชน่ ยกตวั อย่างเชน่ ตวั อยา่ ง อาทิ เปน็ ต้น ตวั อยา่ งเช่น

- โครงเร่ืองเป็นส่วนสาคัญของเรื่องส้ัน ยกตัวอย่างเช่น ในเร่ืองท่อนแขน
นางรา ความเขม้ ข้นของเรอ่ื งขึน้ อยูก่ บั การวางโครงเรื่อง

- เห็ดบางชนิดกินแล้วแค่เจ็บป่วย แต่ไม่ถึงตาย ตัวอย่างเช่น เห็ดเก็บจาก
สนามหญา้ ตามกองปยุ๋ หมัก หรอื กองมลู สัตว์ตา่ งๆ อาจทาให้คนกินเมาได้

- เมืองไทยจัดได้ว่าเปน็ เมืองท่ีผลไม้หลากหลายให้ไดร้ ับประทานตลอดท้ังปี
ผลไม้ของไทยก็มีหลากหลายรสชาติให้เลือกชิม อาทิ ส้ม มะม่วง กล้วย มังคุด แตงโม ล้ินจ่ี มะพร้าว
ทุเรียน เป็นตน้

4.7 เช่ือมความเน้นเฉพาะ หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพื่อเจาะเน้นเฉพาะส่วนสาคัญ
ของขอ้ ความทม่ี าข้างหน้า เชน่ คาวา่ เฉพาะ โดยเฉพาะอย่างย่ิง โดยเฉพาะ เปน็ ตน้ ตัวอย่างเชน่

- พ่อแม่ต้องเล่นบทบาทท่ีแท้จริงของตนในการเล้ียงดูลูก โดยเฉพาะอย่าง
ยงิ่ ตอ้ งพฒั นาดา้ นจติ ใจของลูกให้เติบโตไปพรอ้ มกับร่างกาย

- ปัญหาส่วนใหญ่มีผลต่อชีวิตคนเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะคนตัวเล็กๆใน
สงั คมมปี ญั หาทีร่ ัฐต้องเอาใจใส่เป็นพเิ ศษ

- เร่ืองท่ีเขาเขียนแม้เป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ก็ทาให้เราคิดได้หลาย
อย่าง โดยเฉพาะปญั หาต่างๆ ที่เกดิ จากเพศทีแ่ ตกตา่ งกนั

4.8 เช่ือมความสรุป หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพื่อเชื่อมข้อความที่เป็นข้อสรุปของ
ข้อความท้ังหมดที่มาข้างหน้า เช่นคาว่า โดยสรุป กล่าวโดยสรุป กล่าวโดยรวม โดยท่ัวไป เป็นอันว่า
เปน็ ต้น ตวั อย่างเชน่

- โดยทั่วไป ในกรงุ เทพฯมีอาหารอรอ่ ยใหค้ ุณเลอื กได้ทกุ ถนน
- เปน็ อันวา่ เราจะประชมุ กันสัปดาห์ละคร้ัง

108

- กล่าวโดยสรุป ภาษาพูดกับภาษาเขียนเป็นวัจนลีลา 2 ประเภท ซึ่ง
สามารถแยกใหแ้ ตกตา่ งไดโ้ ดยลักษณะทางวากยสัมพนั ธ์

4.9 เชื่อมความเพ่ิม หมายถึง การใช้คาเชื่อมเพื่อเช่ือมข้อความที่เติมข้อมูลให้กับ
ข้อความท่มี าขา้ งหน้า เชน่ นอกจากน้ี อีกท้ัง ยงิ่ ไปกวา่ นั้น เป็นต้น ตัวอย่างเช่น

- การปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรเป็นส่วนสาคัญของการปฏิรูประบบ
ราชการ นอกจากนี้ การปรบั ปรงุ ระบบบรหิ ารงานบุคคลก็ถอื เปน็ เรอ่ื งสาคญั

- การเก็บภาษีโรงเรอื นทาให้ กทม. มีรายได้ปีละ 30 ล้านบาท ย่ิงไปกวา่ น้ัน
ยงั มชี อ่ งทางทก่ี ทม. จะมีรายได้เพิม่ จากภาษนี ติ กิ ร ภาษนี า้ มนั และภาษีหอ้ งพกั อีกดว้ ย

- ในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา มีตลาดมอญซึ่งมีสินค้าประเภทขัน ถาด
และเครื่องทองเหลอื งขาย อีกทัง้ ยงั เปน็ ตลาดสดเชา้ และเยน็

4.10 เช่ือมความเสริม หมายถึง การใช้คาเชื่อมเพ่ือเชื่อมข้อความท่ีเป็นข้อมูลเสริม
ของขอ้ ความทม่ี าข้างหน้า เช่น ท้ังน้ี ตวั อย่างเชน่

- นักศึกษาที่มีผลการเรียนเฉลี่ย 80% ขึ้นไปจะได้ทุนเรียนฟรี ทั้งนี้ ผู้ท่ี
สามารถสมคั รรบั ทนุ ได้ต้องมีคุณสมบัติตามที่กาหนด

- การสัมมนางานวิจัยไม่ใช่สถานการณ์การสอนแบบปกติ ดังน้ันท่าน
จาเป็นต้องค้นหาความคาดหวังของกลุ่มผู้ฟังในตัวท่าน ท้ังน้ีการนาเสนอเป็นเวลาครึ่งช่ัวโมงที่เต็มไป
ดว้ ยสไลดแ์ ละเอกสารแจก ย่อมให้โอกาสทา่ นไดฝ้ กึ ฝนทักษะต่างๆ

4.11 เชื่อมเรื่องใหม่ หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพ่ือเช่ือมข้อความท่ีเป็นเร่ืองที่
เปล่ียนไปหรือต่างจากเร่ืองเดิม ส่วนใหญ่มักมีความสัมพันธ์กับเรื่องเดิมอยู่บ้างในบางแง่ เช่น อนึ่ง
ตัวอย่างเชน่

- ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลมีอานาจสั่งให้ผู้ท่ีจะเป็นพยานซ่ึงมิใช่จาเลย
ออกไปอยู่นอกห้องพิจารณาจนกว่าจะเข้ามาเบิกความ อนึ่ง เม่ือพยานเบิกความแล้ว จะให้รออยู่ใน
ห้องพิจารณากอ่ นก็ได้

- การสอน การเรียนรู้และการวิจัยเป็นเรื่องท่ีเกาะเกี่ยวกันอย่างแน่นแฟ้น
โดยที่แต่ละส่วนก็มีแง่มุมของมันร่วมกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสามส่วนเป็นแบบเก้ือกูล เอ้ือประโยชน์
แก่กันและกัน อน่ึง การเรียนรู้นั้นเป็นผลจากประสบการณ์ท่ีก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
อย่างถาวร

109

4.12 เช่ือมความชี้แจง หมายถึง การใช้คาเช่ือมเพื่อเช่ือมข้อความท่ีเป็นการช้ีแจง
ขอ้ เท็จจริงให้กับขอ้ ความที่มาข้างหน้า ข้อความที่ชี้แจงขอ้ เท็จจรงิ อาจมีความหมายในเชิงขดั แยง้ หรือ
คล้อยตามข้อความทม่ี าขา้ งหนา้ ก็ได้ เช่น อันทจ่ี ริง จรงิ ๆแลว้ เปน็ ตน้ ตวั อย่างเชน่

- สังคมพากันประณามว่าคุณสมชายหนีหนี้ จริงๆแล้ว ความคิดที่จะชาระ
หนใ้ี หห้ มดสน้ิ อย่ใู นสานกึ ของคุณสมชายมาตลอด

- อาหารเสริมส่วนใหญ่เป็นท่ีนิยมเพราะมีการอวดอ้างสรรพคุณ อันที่จริง
รา่ งกายเราตอ้ งการอาหารเสริมเฉพาะกรณีท่ีเกิดจากการเจบ็ ป่วยหรือไม่สามารถกินอาหารตามปรกติ
ได้

4.13 เช่ือมความที่เป็นเงื่อนไข หมายถึง การใช้คาเพื่อเชื่อมข้อความท่ีมคี วามหมาย
แสดงเงอ่ื นไข เชน่ มฉิ ะน้ัน ไม่เชน่ นัน้ ไมอ่ ยา่ งนัน้ ไม่ง้ัน เป็นตน้ ตัวอยา่ งเชน่

- ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นโรคอาจ
ลุกลามจนไมม่ ที างรกั ษาใหห้ ายขาดได้

- ยงั โชคดที เ่ี ป็นแกว้ พลาสติก ไม่ง้ันคงแตกไปแลว้
- ผู้หญิงทุกวันน้ีต้องเก่งรอบด้าน ทั้งเร่ืองงาน เร่ืองครอบครัว ไม่เช่นนั้นคง
เอาตัวไม่รอดในสังคมทกุ วันนี้

5. การเช่ือมโยงคา (lexical cohesion) คอื การแสดงความสัมพันธ์โดยการใช้คาศัพท์
ทเี่ กีย่ วขอ้ งกัน มี 2 ประเภท คอื

5.1 การซ้า คือ การใช้คาศัพท์ซา้ รูปเดิมทั้งหมดหรือซ้าเฉพาะบางส่วน หรือเป็นคาท่ี
มคี วามหมายคล้ายคลงึ กนั หรอื เปน็ คาท่อี ย่ใู นกลมุ่ เดยี วกนั แบ่งเปน็ 2 ชนิดคอื

5.1.1 การซา้ ดว้ ยรูปศัพท์เดิม เชน่
- เธอสวมแหวนไวท้ นี่ ิว้ นางข้างซา้ ยตลอดเวลา แหวนนี้คนรักของเธอ

ได้มอบไว้ให้ก่อนเขาจะเสียชีวิต
- เม่ือพดู ถึงคาว่าสมาธิ เจตสิกของเรามกั เข้าใจเลยไปถงึ การนง่ั ฌาน

ซ่ึงเปน็ สมาธิอย่างสงุ สุด เลยเห็นเป็นของยากไม่ต้องเรยี นรู้โดยกลัวจะเปน็ บ้า การนั่งเขา้ ฌานเปน็
สมาธิอยา่ งสูง แต่สมาธิอย่างต่าทเี่ ราจะนาไปใช้ในกจิ การทุกอย่างนั้นก็มอี ยู่

110

- ความหมายเป็นองค์ประกอบสว่ นหนง่ึ ของภาษา นอกเหนอื ไปจาก
เสียง คา วลี ประโยค และข้อความ ในการศึกษาภาษาศาสตร์ วชิ าที่ศึกษาเร่ืองราวเกย่ี วกบั
ความหมายเรียกว่า “อรรถศาสตร์” เปน็ การศึกษาความหมายขององคป์ ระกอบทีเ่ ป็นโครงสร้าง
ภายในของภาษาซงึ่ ไดแ้ ก่ ความหมายระดบั คา ความหมายระดบั ประโยคและความหมายของข้อความ

5.1.2 การใช้คาพ้องความหมาย เช่น
- ตารวจมหี นา้ ทีด่ แู ลทุกข์สุขของประชาชน ถือเป็นผู้พิทกั ษ์สนั ติราษฎร์

อยา่ งแท้จรงิ
- ธรรมศาลาหรือท่พี ักคนเดินทาง ซ่งึ ในปราสาทขนาดใหญม่ กั จะมี

ส่งิ ก่อสร้างดงั กล่าวอยู่ระหวา่ งประตชู นั้ นอกสดุ หรือประตเู มืองกับประตูกาแพงปราสาท

5.2 การใช้คาเข้าชุดกัน คือ การใช้คาท่ีมีความเกี่ยวพันกันทางความหมายที่มัก
ปรากิร่วมกัน อาจเป็นคาท่ีเข้าชุดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน หรือเป็นส่วนย่อยของส่วนใหญ่ หรือเป็นคาท่ีมี
ความหมายตรงข้ามกนั เชน่

- ตารวจจบั ผรู้ า้ ยท่ฆี า่ เจา้ ของร้านทองไดแ้ ล้วเม่อื วานน้ี
- เขาขายผลไมห้ ลายอยา่ ง ไม่ว่าจะเป็นกล้วย มะม่วง แตงโม หรอื อง่นุ
- เราจะเริ่มเดินทางจากป่าโปร่งเข้าสู่ป่าทึบ จนถึงป่าดิบชื้น แล้วเราจึงจะ
พกั ท่กี ลางป่ากอ่ นเดินทางไปทนี่ า้ ตก

จากตัวอย่าง ตารวจ – ผู้ร้าย จัดเป็นกลุ่มคาที่มีความหมายตรงกันข้าม ส่วน
ผลไม้ – กล้วย มะม่วง แตงโม องุ่น และ ป่า – ป่าโปร่ง ป่าทึบ ป่าดิบช้ืน จัดเป็นคาเข้าชุดอยู่ในกลุ่ม
เดียวกนั

การวิเคราะหก์ ารสนทนา (Conversation Analysis)

การสนทนาเป็นกิจกรรมพื้นฐานอย่างหน่ึงของมนุษย์ ไม่ว่าจะชาติใดภาษาใดย่อม
หลีกเล่ียงไปไม่ได้ เพราะมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม และต้องติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา การ
ติดต่อสอ่ื สารท่ีสาคัญอย่างหน่ึงนอกเหนือจากภาษาเขียนก็คอื ภาษาพูด ดังน้ันในชีวติ ประจาวนั เราจึง
ต้องอาศัยการสนทนาเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญในการสื่อสาร ในทางภาษาศาสตร์ได้มีการศึกษาการ
สนทนา ซงึ่ เรียกว่า “วิเคราะหก์ ารสนทนา”

111

ชลธิชา บารุงรักษ์ (2558: 158) ได้อธิบายว่า การวิเคราะห์การสนทนา หมายถึง การ
วเิ คราะห์เพ่ือศึกษาวธิ ีการและแบบแผนท่ีมนุษยใ์ ชภ้ าษาในการสนทนา ตลอดทั้งปิิสมั พันธท์ างสังคม
ในรูปแบบอืน่ ที่เก่ยี วข้องกับคาพูด ในการวิเคราะหน์ ั้น จะวิเคราะห์การเปิด-ปดิ บทสนทนา (opening-
closing) การเปลี่ยนหัวเรื่อง (topic shift) และการสลับผู้พูดหรือการผลัดกันพูด (turn taking /
turn talking) (ชลธชิ า บารุงรักษ,์ 2558: 158-165) ดงั ตอ่ ไปนี้

1. การเร่ิมต้น – การสน้ิ สุดการสนทนา
การเริม่ ต้น – การสิน้ สุดการสนทนาในแตล่ ะสังคมแต่ละภาษาจะมีแบบแผนทแ่ี ตกต่าง

กันไป แตจ่ ะมีหน้าที่เหมือนกันคือ การเริม่ ตน้ การสนทนาเปน็ การเชือ่ มต่อช่องว่างระหว่างภาวะท่ีไม่มี

การสือ่ สารกบั ภาวะที่มกี ารสื่อสาร สว่ นการสนิ้ สดุ การสนทนาเป็นการเชือ่ มต่อช่องว่างระหว่างภาวะท่ี
มีการสอ่ื สารกับภาวะท่ไี มม่ กี ารสอ่ื สาร การเร่มิ ตน้ – การสนิ้ สุดการสนทนามีลกั ษณะดังน้ี

1.1 การเร่ิมต้นการสนทนา การเร่ิมต้นการสนทนาสามารถทาได้หลายลักษณะคือ
อาจใช้วิธีเข้าสู่เร่ืองที่ต้องการกล่าวถึงโดยตรง หรืออาจเร่ิมต้นด้วยการเปิดการสนทนา ซ่ึงทาได้ 2 วิธี

คอื

1.1.1 การทักทาย (greeting) เป็นส่ิงที่คนในสังคมเมืองใช้ในการเริ่มต้นการ
สนทนามากท่ีสุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงปิิสัมพันธ์ทางสังคมมากกว่าจะใช้ภาษาเพื่อทาหน้าท่ี
สื่อสารด้านข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นความรู้สึก การเปิดการสนทนาด้วยการทักทายมักใช้แสดง
ความยนิ ดที ีไ่ ดพ้ บกัน แต่มลี กั ษณะท่แี ตกต่างกันในเรื่องของความเป็นทางการ เช่น

อย่างไรบ้างคะ สถานการณท์ างการ
- สวสั ดคี ่ะ / สวัสดคี รับ
- สบายดีหรือเปล่าครับ / เป็นอย่างไรบ้างครับ /สุขภาพเป็น

- ยินดมี ากคะ่ ทีไ่ ดพ้ บทา่ นอีก
- เราไม่ได้พบกันตั้งนานนะครบั

สถานการณ์กันเอง

- สวสั ดีจะ้ / หวัดดี / ดี / ฮลั โหล
- เป็นไง / เปน็ ไงบา้ ง
- สบายดีเหรอ
- ไปไงมาไง
- หายไปไหนมาตัง้ นาน / ไม่ได้เจอกันตงั้ นาน

112

- อุ๊ยตาย ดีใจจัง วันนที้ าไมมาถึงทน่ี ่ไี ด้
- โอ๊ย สงสยั วนั น้ฝี นจะตก

(ชลธิชา บารุงรักษ์, 2558: 159)

วิธีการทักทายในแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไปตามแต่ละวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม
ยกตัวอย่างเช่น ในสังคมไทยซ่ีงเป็นสังคมท่ีไม่อยู่นิ่ง มีการเคลื่อนย้ายกันอยู่ตลอดเวลา คนไทยจึงมัก
ทักทายกันด้วยข้อความที่ว่า “ไปไหนมา” “จะไปไหน” ขณะที่คนจีนซ่ึงให้ความสนใจเร่ีองอาหารการ
กินมักทักทายกันด้วยข้อความที่ว่า “กินข้าวรึยัง” ส่วนชาวตะวันตกซึ่งอยู่ในพ้ืนที่ที่มีสภาพอากาศ
ค่อนข้างแปรปรวน จึงให้ความสนใจเรื่องสุขภาพและมักทักทายด้วยขอ้ ความที่ว่า “How are you?”
เป็นตน้

1.1.2 การเรียกขาน (vacation) การเรียกขานเพื่อเปิดการสนทนาเกิดจากการ
ต้องการเรียกความสนใจจากบุคคลนั้น อาจเป็นการเรียกชื่อ หรือการเกร่ินเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ที่
เริม่ การสนทนา เช่น

- น่ี / นค่ี ณุ
- คุณคะ / สมศรี
- ขอโทษค่ะ / เฮย้

(ชลธิชา บารงุ รกั ษ์, 2558: 160)

1.2 การสิ้นสุดการสนทนา
ในการสนทนาแต่ละคร้ัง เมื่อเราต้องการจบการสนทนา เราไม่สามารถหยุดการ

สนทนานั้นแล้วเดินจากไปได้ เราจาเป็นต้องดาเนินการสนทนาไปจนถึงส่วนท่ีเป็นการส้ินสุดการ
สนทนา ซง่ึ สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 สว่ นคือ

1.2.1 ส่วนก่อนการปิดการสนทนา ส่วนก่อนการปิดการสนทนาเป็นส่วนที่แสดง
ให้เห็นว่าคูส่ นทนาต่างยินยอมทีจ่ ะสน้ิ สดุ การสนทนานนั้ ตัวอย่างเช่น

- ดีใจท่ีได้คุยกบั คุณวันน้ี
- วันหลงั คอ่ ยคยุ กนั ใหม่นะ
- แล้วนดั เจอกนั บ้างนะ
- ฝากความระลึกถึงคุณแม่ดว้ ย

(ชลธิชา บารงุ รกั ษ,์ 2558: 160)

113

1.2.2 ส่วนการปิดการสนทนา เป็นลักษณะภาษาที่แสดงการจบการสนทนาโดย
สมบูรณ์ จะปรากิหลังส่วนกอ่ นการปดิ การสนทนา ตวั อย่างเชน่

- แลว้ เจอกัน / คงไดพ้ บกนั อีก
- สวัสดี / หวัดดี / บ๊ายบาย
- โชคดนี ะ
- รกั ษาเนือ้ รกั ษาตวั นะ / รกั ษาสขุ ภาพนะ
- แล้วผมจะโทรไปนะ

(ชลธิชา บารงุ รักษ,์ 2558: 161)

การสิ้นสุดการสนทนาทั้ง 2 ส่วน มีรูปแบบภาษาหลายลักษณะขึ้นอยู่กับความเป็น
ทางการของสถานการณ์ ความสนิทสนมของคู่สนทนา และปัจจัยทางสังคมอ่ืนๆ เช่น เพศ อายุ ชั้น
ทางสงั คม รวมท้ังวัฒนธรรมของแตล่ ะสังคม เป็นต้น

2. การเปล่ียนหัวเรอ่ื ง (Topic Shift)
ในการสนทนาแต่ละครั้ง เม่ือเราต้องการเปล่ียนหัวข้อเร่ืองในการสนทนา เราต้อง

พยายามทาให้คู่สนทนารับรู้ว่า เราได้เปลี่ยนไปกล่าวถึงเร่ืองอ่ืนแล้ว ท้ังน้ีเราต้องแน่ใจว่าคู่สนทนา
สามารถติดตามและเข้าใจเรอ่ื งที่สนทนากันได้ ดังน้ันเมอื่ ตอ้ งการทจี่ ะเปลยี่ นหัวขอ้ เร่ืองในการสนทนา
เราจึงต้องส่งสัญญาณให้ผู้ฟังทราบ ลักษณะทางภาษาท่ีแสดงการเปล่ียนหัวข้อเร่ืองอาจเป็นการใช้คา
เรยี กช่อื คาบุรุษสรรพนาม หรอื คาท่อี ้างถงึ ผฟู้ ัง ตัวอยา่ งเช่น

แขกรบั เชิญ: แตว่ ันน้ขี องไทยเราเน่ียคอ่ นขา้ งจะเสรมี าก เสรีจนบางคร้งั ดึงกลบั ไมไ่ ด้นะ
ครับ อนั น้ีก.็ ..

พิธกี ร: แต่กพ็ ยายามจะดึงอยู่
แขกรับเชิญ: จะพยายาม
พธิ ีกร: ยงั ...ยงั ไมเ่ ลกิ ความพยายามตรงนี้นะครับ
แขกรับเชิญ: ยังไมเ่ ลกิ ครับ ยงั ไมเ่ ลิก
พิธกี ร: ท่านครับ ผม...ผมเรยี นถามท่านในฐานะซึ่งท่านมีประสบการณใ์ นภาคธุรกิจ

ทุกคนกร็ ู้ถึงความสาเร็จตรงนนั้ นะครับ ท่านกด็ งึ เอาประสบการณ์ในภาค
ธรุ กิจมาใช้ ทา่ นนาคาวา่ บริหารจดั การมาดว้ ย แต่กพ็ ยายามจะดงึ อยู่

(ชลธชิ า บารุงรกั ษ์, 2558: 164)

114

นอกจากน้ีอาจใช้รูปภาษาในการเปล่ียนหัวข้อเรื่องด้วยการใช้คาเชื่อมท่ีแสดงการ
แยกส่วนหรือการตัดตอน เช่น “แต่, ส่วน..., สาหรับ..., ในเร่ือง...,” เป็นต้น หรือใช้รูปภาษา “มาพูด
เรื่อง...กันดีกว่า, ขอพูดเร่ืองนี้หน่อย” แต่หากมีผู้ร่วมสนทนากันหลายคน อาจเปล่ียนหัวข้อเรื่องด้วย
การเรียกชอ่ื บคุ คลทต่ี ้องการสนทนาด้วย

3. การสลับผูพ้ ูด / การผลัดกนั พูด (Turn – taking)
ในการสนทนาเราไม่สามารถพูดพร้อมๆ กัน หรือปล่อยให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้พูดอยู่

ตลอดเวลา ดังน้ันในการสนทนาจึงต้องมีหลักท่ีต้องปิิบัติในการสนทนา คือ เปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้
สนทนาบ้าง ซึ่งเราเรียกว่า“การสลับผู้พูดหรือการผลัดกันพูด” ในภาษาไทยอาจใช้วิธีการกาหนดว่า
ใครจะเป็นผู้พูดคนต่อไป เช่น “คุณสมศักด์ิมีความคิดเห็นเร่ืองน้ียังไงครับ” “เธอว่าไงบ้าง” เป็นต้น
หรืออาจใช้วิธีดูปิิกิริยาของคู่สนทนาว่ามีทีท่าว่าจะอยากสนทนาหรือไม่ เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้นั้นพูด
ต่อไป

จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์การสนทนาเป็นรูปแบบการวิเคราะห์ภาษาท่ีใช้อยู่ใน
ชวี ติ ประจาวันจรงิ ๆ เนอ่ื งจากมนุษย์เราตอ้ งสือ่ สารด้วยการสนทนาอยู่เสมอ การวเิ คราะห์การสนทนา
จะช่วยให้เราเข้าใจบทบาทในการเป็นคู่สนทนาท่ีดี รวมท้ังเข้าใจส่วนประกอบต่างๆ ของการสนทนา
ซ่งึ จะช่วยใหส้ ามารถสื่อสารได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรปุ

บทน้ีได้กล่าวถึงภาษาระดับข้อความทั้งในแง่ความหมาย ประเภท และแนวคิดเบ้ืองต้น
ในการวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความคือ การเช่ือมโยงความและการวิเคราะหก์ ารสนทนา จะเห็นได้ว่า
การเช่ือมโยงความเป็นคุณสมบัติสาคัญของภาษาระดบั ข้อความ ซง่ึ มหี ลายกลวิธีในการทาให้ข้อความ
ดังกล่าวมีเอกภาพและความต่อเนื่องดังรายละเอียดข้างต้น ดังน้ันข้อความที่ดีจึงทาให้การส่ือสารมี
ประสิทธิภาพ นอกจากต้องอาศัยการเช่ือมโยงความที่เหมาะสมแล้ว ข้อความที่ดียังจะต้องใช้เหตุผล
ให้ถูกหลักตรรกศาสตร์และมีการเลือกใช้รูปภาษาทั้งในระดับคา วลี หรือประโยคให้เหมาะสมกับ
ปริบททางสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย ส่วนการวิเคราะห์การสนทนานั้น เป็นการวิเคราะห์ต้ังแต่การ
เริม่ ตน้ การสนทนา การวิเคราะห์ระหวา่ งการสนทนา ได้แก่ การสลับผู้พดู และการเปลี่ยนหัวเรือ่ ง และ
การวิเคราะห์การส้ินสุดการสนทนา ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ภาษาเข้าใจบทบาทในการสนทนาซึ่งจัดเป็น
ภาษาระดบั ข้อความรูปแบบหนงึ่ และสามารถสอื่ สารได้บรรลุวตั ถุประสงค์มากยง่ิ ขึ้น

บทที่ 7

ระบบความหมายภาษาไทย

ความหมาย เป็นองค์ประกอบสว่ นหน่ึงของภาษา นอกเหนือไปจากเสียง คา วลี ประโยค
และข้อความ ในการศึกษาภาษาศาสตร์ วิชาท่ีศึกษาเรื่องราวเก่ียวกับความหมายเรียกว่า
“อรรถศาสตร์” (semantics) เป็นการศึกษาความหมายขององค์ประกอบท่ีเป็นโครงสร้างภายในของ
ภาษาซ่ึงได้แก่ ความหมายระดับคา ความหมายระดับประโยคและความหมายของข้อความ
นอกจากนั้นนักภาษาศาสตรย์ ังสนใจศึกษาความหมายของภาษาที่เกิดจากการใช้ภาษาในสถานการณ์
ตา่ งๆ ในชีวิตประจาวันดว้ ย ในบทน้ีจะกลา่ วถึงความหมายและความสาคัญของความหมาย แนวคดิ ใน
การศึกษาความหมาย รวมถึงเนื้อหาของวิชาอรรถศาสตรซ์ ง่ึ เปน็ วิชาทว่ี ่าดว้ ยความหมาย

ความหมายและความสาคญั ของ “ความหมาย”

คาว่า “ความหมาย” (Meaning) ในทางภาษาน้ัน ยังไม่มีผู้ท่ีสามารถนิยามได้ครอบคลุม
ครบถ้วน เนอื่ งจากความหมายสามารถเปล่ียนแปลงไดต้ ลอดเวลา จงึ ถอื เป็นเรื่องยากในการนิยาม แต่
ในชีวิตประจาวันหากเราสามารถส่ือสารโต้ตอบกันได้เข้าใจ นั่นหมายความว่าเราเข้าใจความหมาย
ของสารท่ีส่ือกัน Ogden และ Richards (อ้างถึงใน พัชรี พลาวงศ์, 2542) ได้พยายามให้ความหมาย
ของคาว่า “meaning” โดยเขาได้พยายามอธบิ ายไว้ถงึ 16 ความหมาย ตวั อย่างเช่น

1. คาว่า mean มีความหมายว่า intend เช่น
I mean to be there tomorrow.

2. คาวา่ mean มีความหมายวา่ indicate เช่น
A green light means go.

3. คาวา่ mean มคี วามหมายวา่ refer to the world เช่น
What does Calligraphy mean?

นอกจากน้ี ชัชวดี ศรลมั พ์ (2558: 171) ยังไดก้ ลา่ ววา่ คาว่า “ความหมาย” ในภาษาไทย
กม็ คี วามหมายที่แตกตา่ งกนั เชน่

116

เชน่ 1. คาว่า ความหมาย มีความหมายว่า ความหมายของคาตามพจนานุกรม
หรือความเข้าใจ เช่น
เราไมเ่ ข้าใจความหมายของคาศพั ท์น้ี
2. คาวา่ ความหมาย มคี วามหมายวา่ ความสาคญั เช่น

เขามคี วามหมายต่อชวี ิตของฉนั มาก
3. คาว่า ความหมาย มีความหมายว่า ความหมายท่ีเกิดจากการตีความ

ผมไมเ่ ขา้ ใจความหมายทีค่ ณุ พูดออกมา

จะเห็นได้วา่ คาว่า “ความหมาย” มีความหมายท่หี ลากหลายและแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่
กับปริบทหรือสถานการณ์ ในทางภาษาศาสตร์มีวิชาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความหมายนี้ เรียกว่า
“อรรถศาสตร์”

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1377) ได้ให้ความหมายของ
“อรรถ” ไว้ว่าหมายถึง “เนื้อความ” ส่วน “ศาสตร์” หมายถึง “ระบบวิชาความรู้” ดังน้ันโดยรวม
“อรรถศาสตร์” จึงหมายถึง วชิ าความรู้ทีว่ า่ ด้วยการศกึ ษาความหมาย

สุริยา รัตนกุล (2555: 3) อธิบายว่า อรรถศาสตร์ (Semantics) หมายถึง วิชาที่ศึกษา
เร่ืองความหมายในภาษา กล่าวคือ ศึกษาถึงแนวคิดเร่ืองวิธีการที่ภาษาสื่อความหมาย ศึกษาประเภท
ต่างๆ ของความหมาย ศึกษาว่าภาษาสื่อความหมายได้อย่างไร มีความหมายอะไรบ้างท่ีภาษาสื่อ
ออกมา การส่ือความหมายผ่านขน้ั ต่างๆ ของภาษาอันได้แก่ คา ประโยคและข้อความต่อเนื่องที่ยาว
กว่าประโยคทาได้อย่างไร

การศึกษาเรื่องความหมายในภาษาถือเป็นเรื่องท่ีสาคัญมาก เพราะภาษาจัดเป็น
เคร่ืองมือท่สี าคัญในการสอื่ ความหมาย ภาษาไม่ได้มเี ฉพาะด้านเสยี ง คา หรอื ประโยคเท่านั้น แตใ่ นทุก
องคป์ ระกอบตา่ งมีความหมายเป็นส่วนประกอบสาคัญ ดังนั้นผทู้ ศี่ ึกษาความหมายจึงจาเปน็ ตอ้ งเข้าใจ
ถึงความสาคัญและความสมั พันธข์ องความหมายในภาษาระดบั ตา่ งๆ ดังภาพท่ี 7.1

117

ข้อความ ความหมาย
ประโยค

คา
เสียง

ภาพท่ี 7.1 แสดงความหมายกบั องคป์ ระกอบของภาษาระดับต่างๆ
ทม่ี า ดดั แปลงจาก (ชชั วดี ศรลัมพ,์ 2558: 170)

จากภาพข้างต้นจะเห็นว่า ความหมายสัมพันธ์กับองค์ประกอบของภาษาในทุกระดับ ไม่
ว่าจะเป็นระดับเสียง ระดับคา ระดับประโยค และระดับข้อความ ดังเช่นที่ ชัชวดี ศรลัมพ์ (2558 :
169) ได้กล่าวไว้ว่าทุกองค์ประกอบต่างมีความหมายเป็นส่วนประกอบสาคัญ ยกตัวอย่างเช่น ใน
องค์ประกอบของภาษาระดับเสียง เม่ือเวลาที่เราต้องการส่ัง ตาหนิ หรือขอร้อง เราจะใช้ลักษณะ
น้าเสียงที่ต่างกัน ซ่ึงสัมพันธ์กับความหมาย เพราะลักษณะน้าเสียงที่ต่างกันน้ันบ่งบอกความหมายท่ี
ตา่ งกัน เปน็ ต้น

จะเห็นได้ว่าความหมายมีความสาคัญในทางภาษาเป็นอย่างมาก เพราะความหมาย
สัมพันธ์กับองค์ประกอบของภาษาในทุกระดับ หัวข้อต่อไปจะมาทาความรู้จักกับความหมายประเภท
ตา่ งๆ ก่อนท่จี ะศกึ ษาความหมายในระดบั ตา่ งๆ ของภาษาต่อไป

ประเภทของความหมาย

Leech, G. (1974 อ้างถึงใน ชัชวดี ศรลัมพ์, 2545: 132-135) ได้ศึกษาความหมายตาม
ลักษณะของการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร ไม่ได้จากัดเฉพาะระดับคาหรือประโยค แต่ปรากฏอยู่ใน
ภาษาทุกระดบั โดยจาแนกความหมายออกเปน็ 7 ประเภทไดแ้ ก่

1. ความหมายเชิงมโนทัศน์ (conceptual meaning) เป็นความหมายหลักหรือ
ความหมายกลางที่ใช้ในการส่ือสาร โดยเริ่มจากผู้ส่งสารส่ือความหมายไปยังผู้รับสารในรูปของ
ข้อความหรือประโยคที่ประกอบด้วยเสียงและผู้รับสารรับความหมายน้ันและตีความ ความหมายท่ี
เกิดข้ึนเป็นความหมายหลักหรือความหมายกลางที่แสดงมโนทัศน์เดียวกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับ
สาร

118

2. ความหมายเชิงอุปมา (connotative meaning) เป็นความหมายท่ีแฝงอยู่ในถ้อย
ความท่ีสื่อสาร และเป็นความหมายที่นอกเหนือไปจากความหมายมโนทัศน์ เช่น คาว่า “ผู้หญิง” มี

ความหมายแฝงท่ีเรามักนึกถึงคือ ความอ่อนโยน จู้จ้ี ข้ีบ่น อ่อนแอ เป็นต้น ซ่ึงความหมายเชิงอุปมาที่

ได้ข้ึนอยู่กับประสบการณ์ และการโยงความหมายของคานนั้ ๆ

ความหมายเชิงอุปมาต่างจากความหมายเชิงมโนทัศน์ในประเด็นท่ีความหมายเชิงมโน
ทัศนจ์ ะเปน็ ความหมายท่คี งท่ี และเป็นความหมายหลักของคาหรือข้อความ ส่วนความหมายเชงิ อปุ มา
เป็นความหมายท่ีไม่คงท่ี มีความหมายท่ีต่างกันไปตามสังคม วัฒนธรรม และประสบการณ์ของผู้ใช้
ภาษา

3. ความหมายเชิงลีลา (stylistic meaning) เป็นความหมายที่เกิดจากลีลาการใช้
ภาษาที่แตกต่างกันไปตามสถานภาพทางสังคม สภาพภูมิศาสตร์ หรือปัจจัยทางสังคมอ่ืนๆ เช่น เพศ

อายุ อาชพี เป็นตน้ ทส่ี ัมพนั ธก์ นั ระหวา่ งผู้พูดกับผฟู้ ัง ตัวอย่างเช่น

3.1 ความหมายทีต่ า่ งกันไปตามท้องถ่ิน/ภาษาถิ่น เช่น

ฟัน (ภาษาไทยถน่ิ กลาง)
เข้ียว (ภาษาไทยถิน่ เหนอื )
แข่ว (ภาษาไทยถ่นิ อีสาน)

3.2 ความหมายที่แตกต่างกันไปตามประเภทของการใช้ภาษา เช่น คาว่า “ม้า” ใน
ภาษาอังกฤษ

horse คาทีใ่ ช้ทั่วไป
steed คาใช้ในบทกวี
nag คาสแลง
gee-gee คาทีเ่ ด็กใช้

4. ความหมายเชิงอารมณ์ (associative meaning) เป็นความหมายที่แสดงอารมณ์
ความรู้สึก ทัศนคติ ของผู้พูดต่อเร่ืองท่ีกล่าวถึง นอกจากนี้ น้าเสียงยังมีความสาคัญในการถ่ายทอด

ความหมายเชิงอารมณ์ดว้ ย ประโยคเดียวกันแต่ใช้น้าเสียงท่ีแตกต่างกัน ก็จะให้ความหมายท่ีแตกต่าง
กัน เช่น หากอาจารย์เห็นนักศึกษาหญิงคนหน่ึงเดินเข้ามาในห้องเรียน แล้วอาจารย์จึงพูดว่า “วันน้ี
นักศึกษาใส่กระโปรงสวยดีนะคะ” ประโยคนี้สามารถตีความได้ 2 ความหมายโดยดูจากน้าเสียงคือ
1) เป็นการกล่าวชม และ 2) เป็นการกล่าวประชด เปน็ ตน้

119

5. ความหมายชวนคะนึง (reflected meaning) เป็นความหมายที่เกิดจากอารมณ์
ความรู้สึกท่ีเป็นผลจากการได้ยิน เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อความหมายอ่ืน เช่น เม่ือเราได้ยินคาว่า “เห้ีย”
เราจะนึกถึงส่ิงที่ไม่ดี น่ารังเกียจ หรือเรื่องราวอัปมงคล ความหมายชวนคะนึงยังเก่ียวข้องกับคา
ต้องห้าม (taboo) ซึ่งเมื่อพูดแล้วถือว่าเป็นคาหยาบคาย เราจึงเลี่ยงไปใช้คาอื่นแทน คาท่ีแทนคา
ต้องหา้ ม เรยี กวา่ คารน่ื หู (euphemism) เช่น แปดตัว เรียกเป็น สี่คู่ เป็นต้น

นอกจากนี้ความหมายชวนคะนึงยังเก่ียวข้องกับความเช่ือและค่านิยมของคนในสังคม
ด้วย เช่น คนไทยนิยมปลูกต้นไม้ท่ีมีช่ือเมื่อได้ยินแล้วสัมพันธ์กับความหมายของคาท่ีมีความหมาย
ในทางที่ดี เช่น มะยม พ้องกบั คาว่า นิยม หรอื ขนนุ พ้องกับคาว่า อดุ หนนุ เปน็ ตน้

6. ความหมายคกู่ ัน (collocative meaning) เป็นความหมายที่คาหน่ึงเกิดคู่กับอีกคา
หนึ่ง เป็นเง่ือนไขท่ีบังคับให้คาใดคาหน่ึงเกิดร่วมกับอีกคาหน่ึงเท่านั้น ซึ่งจะมีความหมายได้ต้องเกิด
ร่วมกัน เช่น คาว่า “ดม่ื ” ใชค้ ู่กับของเหลวหรอื น้า หรือคาว่า “อ๋อื ” ใชค้ ่กู ับสีเขยี วเท่านน้ั เปน็ ต้น

7. ความหมายเชิงลาดับความ (thematic meaning) เป็นความหมายท่ีเกิดจากการ
สอื่ สารในรปู แบบท่ีผพู้ ูดเลือกแบบของภาษาทีใ่ ช้ เม่ือตอ้ งการแสดงหรือเน้นความ ซง่ึ อาจเปน็ เร่ืองของ
การเน้นเสียงดัง เน้นความท่ีตัวผู้กระทาอาการ เช่น พอ่ ตลี กู --› ลกู โดนพอ่ ตี เปน็ ต้น ในภาษาไทยอาจ
มกี ารนาสิง่ ที่ต้องการเนน้ ไปไว้ตน้ หรือท้ายประโยค เชน่ ทีวีนะ่ ปิดไหม สวยไหมล่ะเสอ้ื ตัวน้ี เป็นตน้

ความหมายในภาษาระดบั เสยี ง

หลายคนอาจคิดว่าหน่วยเสียงจะมีความหมายได้อย่างไร เพราะเม่ือนิยามคาว่าหน่วย
เสียง นักภาษาศาสตร์มกั นิยามว่า “หน่วยทีเ่ ล็กท่ีสุดในภาษา” แต่เมอ่ื นยิ ามคาว่าหน่วยคาจะนิยามว่า
“หน่วยท่ีเล็กที่สุดในภาษาท่ีมีความหมาย” ชัชวดี ศรลัมพ์ (2558: 175) กล่าวว่า นักภาษาศาสตร์มี
ความเหน็ ที่ไมต่ รงกนั ในเรื่องความหมายของเสยี ง บางกล่มุ กล่าวว่าเสียงไม่มีความหมาย ความหมายท่ี
เกดิ ข้ึนในระดับเสยี งเปน็ เพียงความบังเอญิ เท่านั้น แต่บางกลุม่ กล่าวว่าเสยี งในภาษามีความหมาย โดย
อธิบายในเรอ่ื งของการเลียนเสียงธรรมชาติ (Onomatopoeia) ซ่ึงหมายถึงคาท่ีสร้างข้ึนจากเสียงท่ีได้
ยินตามธรรมาติ และมีความหมายสัมพันธ์กับเสียงท่ีสร้างเลียนแบบนั้น เช่น โฮ่งๆ มีความหมายคือ
เป็นเสียงร้องของสุนัข โอ๊ยๆ มีความหมายคือเป็นเสียงร้องแสดงความเจ็บปวด เป็นต้น แต่คาที่เกิด
จากการเลียนเสียงธรรมชาตเิ หลา่ น้ี ไม่ได้มีลักษณะเป็นสากล คือ ไม่ได้ใชค้ าเดียวกันหรอื เหมือนกันใน
ทุกภาษา ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละภาษา เช่น เสียงร้องของสุนัขในภาษาอังกฤษ คือ bow-bow
ส่วนเสียงร้องแสดงความเจบ็ ปวดในภาษาอังกฤษคอื ouch! เปน็ ต้น

120

นอกจากนี้ สรุ ิยา รัตนกุล (2555: 119) ยังอธิบายเพ่ิมเติมวา่ เราไม่อาจกล่าวได้ว่าหน่วย
เสียง /ม/ หรือหน่วยเสียง /ง/ หมายความว่าอะไร เราจึงต้องกล่าวว่าหน่วยเสียงไม่มีความหมาย แต่
จะว่าหน่วยเสียงไม่มีความสัมพันธ์กับความหมายเลยก็ไม่ได้ ความสัมพันธ์ที่หน่วยเสียงมีกับ
ความหมายอยู่ตรงที่การมีหรือไม่มีหน่วยเสียงหนึ่ง ณ ตาแหน่งหนึ่งจะทาให้ความหมายของคาท่ี
ประกอบข้ึนจากหน่วยเสียงนั้นเปลี่ยนไป เช่น คาว่า จม มีความหมายต่างจากคาว่า จง ก็เพราะคา
แรกมหี นว่ ยเสยี ง /ม/ ใน ตาแหน่งท้ายคา ในขณะท่ีคาหลังมีหน่วยเสยี ง /ง/ ในตาแหนง่ ท้ายคา ดังน้ัน
ถ้าจะกล่าวถึงบทบาทของหน่วยเสียงท่ีมีต่อความหมายโดยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแบบง่ายๆ ก็ต้อง
กล่าวว่าหน่วยเสียงไม่มีความหมาย หรือกล่าวว่าหน่วยเสียงไม่ใช่หน่วยของภาษาท่ีมีความหมาย
เพราะไม่มใี ครสามารถกล่าวว่าหน่วยเสียง /ก/ /ค/ /ง/ /จ/ ฯลฯ หมายความว่าอะไร นักภาษาศาสตร์
จงึ มักอธิบายหรอื ศึกษาเรอ่ื งความหมายจงึ มักอธิบายต้ังแต่ระดับคาขน้ึ ไป

ความหมายในภาษาระดับคา

คาแต่ละคาทเี่ ราใชส้ อื่ สารจะประกอบไปดว้ ยรูป (form) และความหมาย (meaning) รูป
ได้แก่ เสียงและตัวอักษร ตัวอย่างเช่น คาว่า “หมู” หมายถึง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์กีบคู่ ตัว
อว้ น จมกู และปากย่ืนยาว ส่วนประกอบของคาวา่ “หม”ู จะมดี งั น้ี

หมู // รปู (รูปเขยี น/รปู เสยี ง)
สัตว์เล้ยี งลูก ความหมาย
ดว้ ยนม

ภาพท่ี 7.2 แสดงสว่ นประกอบของความหมายของคา
ท่มี า ดดั แปลงจาก (ชชั วดี ศรลัมพ์, 2545: 136)

รูปคาซึ่งได้แก่เสียงและตัวอักษรไม่ได้สื่อให้เห็นถึงความหมายของคาและภาพที่ปรากฏ
นักภาษาศาสตร์จึงไดอ้ ธิบายความหมายของคาท่ีสัมพนั ธ์กับสรรพสิ่งต่างๆ ไวห้ ลากหลาย แนวคิดหน่ึง
ทอี่ ธิบายความหมายของคาให้ความสาคญั กับการปรากฏของ “ส่ิงทีอ่ า้ งถึง” (referent) โดยอธิบายว่า
คาจะมีความหมายได้นน้ั เกดิ จากความสัมพันธ์ของรูปภาษา (form) กับส่ิงท่ีอา้ งถงึ (referent) ซึ่งสง่ิ ที่
อ้างถึงน้ันต้องปรากฏให้เห็นเป็นตัวตนจริงๆ ในโลก เช่น คาว่า “ปลา” ต้องอ้างถึงตัวปลาซ่ึงมีตัวตน
จริงในโลก รูปคาว่าปลานจี้ ึงจะมีความหมาย อย่างไรก็ตาม การอธบิ ายแนวความคิดดังกล่าวก็ยังมีข้อ

121

โต้แย้งอยู่ เพราะอาจมีคาหลายคาท่ีมีความหมายแต่ไม่มีตวั ตนจริงในโลก เช่น คาว่า “มังกร” หรือคา
บุพบทตา่ งๆ เปน็ ตน้

นักภาษาศาสตร์ชื่อ Ogden และ Richards (1923 อ้างถึงใน ชัชวดี ศรลัมพ์, 2558:
174) ได้อธิบายว่า ความหมายของคาควรเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหรือภาพในใจของ
มนุษย์ที่มีต่อส่ิงท่ีอ้างถึง รูปภาษาจะเป็นสิ่งท่ีสังคมกาหนดข้ึนมาเพื่อใช้เรียกส่ิงที่อ้างถึงนั้น ดังภาพ
แสดงความสัมพนั ธท์ ่เี ขาเรยี กวา่ “semiotic triangle”

ความคิด (thought)

รูปภาษา (symbol) - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - สิง่ ท่อี า้ งถึง (referent)

ภาพท่ี 7.3 แสดงความสมั พันธร์ ะหวา่ งความคิด รูปภาษา และสงิ่ ที่อ้างถงึ (semiotic triangle)
ท่มี า (ชชั วดี ศรลมั พ์, 2558: 174)

จากภาพอธิบายได้วา่ ความคิดของคนสมั พันธโ์ ดยตรงกับรูปภาษา กล่าวคือ รปู ภาษาจะ
สื่อถึงความหมายของคาซ่ึงมาจากความคิดของผู้ใช้ภาษา เม่ือเราพูดคาคาหนึ่ง เรานึกถึงความหมาย
แล้วเปล่งเสียงออกมา ในขณะท่ีเราฟัง เรารับฟังรูปภาษาแล้วก็จะเชื่อมโยงหรือนึกถึงความหมายจาก
รูปภาษาท่ีได้ยิน ในทานองเดียวกันความคิดจะสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งท่ีอ้างถึง กล่าวคือ ความคิดจะ
บอกความหมายของสรรพสิ่งต่างๆ ท้ังท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม ตามความเข้าใจของคนในสังคม
ของผใู้ ช้ภาษาน้ันๆ สว่ นรปู ภาษาจะสัมพนั ธ์กับส่ิงท่ีอ้างถึงโดยอ้อม เพราะรปู ภาษาเป็นสิ่งทีถ่ ูกกาหนด
ขึ้นมาเพื่อใช้แทนหรือเรียกสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งแต่ละภาษาจะมีรูปภาษาท่ีต่างกันออกไป จึงไม่สัมพันธ์
กันโดยตรง

จะเห็นได้ว่าคามักจะมีความหมายเป็นส่วนประกอบหน่ึงเสมอ นักภาษาศาสตร์จึงนิยม
ศึกษาความหมายในระดับคา เพราะคาแต่ละคาต่างมีความหมายแตกต่างกันไป ความหมายใน
ภาษาระดบั คาท่ีสามารถแบ่งได้ (ชัชวดี ศรลมั พ์, 2558: 176-182) ดังนี้

122

1. ความหมายตรง
ความหมายตรง (denotative meaning) หมายถึง ความหมายประจาของคา เป็น

ความหมายที่ชี้บ่งส่ิงที่อ้างถึง ซ่ึงส่ิงที่อ้างถึงนั้นเป็นความหมายท่ีเจ้าของภาษาโดยทั่วไปรู้และเข้าใจ
เป็นความหมายหลักของคาก่อนที่จะมีการขยายความหมายของคาออกไป โดยมีชื่อเรียกต่างกัน
ออกไปเช่น ความหมายมโนทัศน์ ความหมายหลัก ความหมายแก่น ความหมายประจารูป และ
ความหมายอ้างองิ เป็นตน้

ความหมายตรงจะสัมพันธ์กับส่ิงท่ีอ้างถึง เช่น ลิง หมายถึง สัตว์เล้ียงลูกด้วยนม
ลักษณะคล้ายคน แขนขายาว ตีหน้าและตีนหลังใช้จับเกาะได้ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556: 1059)
เป็นต้น ผู้ใช้ภาษาสามารถระบุส่ิงท่ีความหมายน้ันอ้างถึงได้ แม้ส่ิงที่อ้างถึงน้ันจะไม่ปรากฏตัวตน
ชัดเจน ไม่มีตัวตนในโลก ไม่เคยเห็นหรือมีความหมายเป็นนามธรรมก็ตาม เพราะผู้ใช้ภาษาสามารถ
เชอ่ื มโยงกบั ความคิดของสรรพสิง่ นั้นๆ ได้

2. ความหมายโดยนัย
ความหมายโดยนัย (connotative meaning) หมายถึงความหมายที่เพ่ิมเติมขึ้น

นอกเหนือไปจากความหมายตรง ซง่ึ เรียกอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ ความหมายแฝง โดยอาจเกดิ จากลักษณะการ
ใช้ภาษาทางสังคม อารมณ์ ความรู้สึก ฯลฯ ความหมายโดยนัยหรือความหมายแฝงเป็นความหมายที่
เกิดร่วมในคาท่ีมีความหมายตรงอยแู่ ลว้ โดยมีทีม่ าจากลกั ษณะตา่ งๆ ดงั น้ี

2.1 ความหมายแฝงเชิงอารมณ์ (emotive meaning) คาที่มีความหมายแฝง
ลกั ษณะนเ้ี ปน็ คาทม่ี คี วามหมายบอกอารมณ์ ความรู้สกึ และทศั นคติของผู้ใชภ้ าษา เช่น

- คุณสมชายยังเด็กเกินไปสาหรับตาแหนง่ กรรมการผ้จู ัดการ
คาว่า “เด็ก” มีความหมายตรงหมายถึงคนที่มีอายุน้อย แต่ในประโยค
ข้างต้น “เด็ก” มีความหมายแฝงตามความเห็นของผู้พูดคือ ผู้ที่มีอายุน้อย ขาดประสบการณ์ในการ
ทางาน ไม่มีวุฒิภาวะเพยี งพอในการบรหิ าร

- คณุ นา่ จะไปเปน็ นักการเมอื งนะ ไม่เคยรกั ษาสัญญาสักคร้ัง
ความหมายตรงของคาว่า “นกั การเมือง” คือ ผู้ที่ทาหน้าท่ีทางการเมือง แต่
จากตัวอย่างข้างต้นคาว่า “นักการเมือง” มีความหมายแฝงบ่งบอกความรู้สึกไม่ชอบและทัศนคติใน
เชิงลบของผพู้ ูดท่ีมีต่อผทู้ าหนา้ ท่ีนี้

123

2.2 ความหมายแฝงเชิงสังคม (social meaning) เป็นความหมายแฝงของคาที่
เกิดจากลักษณะของการใชภ้ าษาในสังคมท่แี ตกตา่ งกนั ไปตามสถานภาพทางสังคม ลาดับชัน้ ทางสังคม
ถ่นิ ที่อยู่ หรือปจั จัยทางสังคมอื่นๆ เชน่ เพศ อายุ อาชพี เป็นต้น

นอกจากนี้ รูปแบบของการใช้ภาษา ซ่ึงแบ่งเป็นภาษาพูดและภาษาเขียนนั้นเป็น
สาเหตุให้มีการเลือกใช้คาท่ีบอกความหมายแฝงเชิงสังคมได้เช่นกัน เช่น ในภาษาพูด เราใช้คาว่า
เยอะแยะ แตใ่ นการเขียน เราจะเล่ียงไม่ใชค้ าน้ี และใชค้ าว่า มากหรอื มากมายแทน เป็นตน้

3. ความหมายเปรียบหรือความหมายเปรียบเทียบ
ความหมายเปรียบหรือความหมายเปรียบเทียบ (figurative meaning) เป็น

ความหมายท่ีเกิดจากการนาคาท่ีมีความหมายตรงท่ีอ้างถึงสิ่งหน่ึงไปเปรียบเทียบกับอีกส่ิงหนึ่ง ทาให้
เกิดความหมายจากการเปรยี บเทยี บน้ันและแตกตา่ งจากความหมายตรง

อูลมานน์และริชาร์ด (อ้างถึงใน ชัชวดี ศรลัมพ์, 2558) ได้อธิบายความหมายเปรียบ
หรือความหมายเปรียบเทียบว่า เป็นการขยายความหมายของคา การเปรียบเทียบทาให้เกิดลักษณะ
ของการใช้ภาษาที่เรียกว่า ความเปรียบหรืออุปลักษณ์ (metaphor) ซึ่งหมายถึง คาหรือข้อความท่ี
แสดงการเปรียบเทียบของสรรพสิ่งต้ังแต่สองส่ิงขึ้นไปท่ีมีคุณสมบัตหรือลักษณะท่ีเหมือนกันหรือ
ต่างกัน โดยความหมายเปรียบเทียบประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสององค์ประกอบคือ สิ่งท่ีถูก
เปรียบ (tenor) และแบบเปรียบ (vehicle) สิ่งที่ถูกเปรียบ หมายถึง ความคิดท่ีต้องการนาเสนอหรือ
เน้ือหาท่ีเรานามาเปรียบเทียบ ส่วนแบบเปรียบ หมายถึง ส่ิงท่ีส่ือให้เห็นถึงความคิดที่นาเสนอน้ัน
ตัวอยา่ งเช่น

ความรกั คือยาพิษ

จากตัวอย่างข้างต้น ส่ิงท่ีถูกเปรียบคือ ความรัก ส่วนแบบเปรียบคือ ยาพิษ ซึ่ง
ตอ้ งการส่ือความหมายถงึ ความรกั อาจทาร้าย เปน็ อันตรายถึงตายได้

นอกจากน้ี อุปลักษณ์ไม่ใช่เป็นเพียงเร่ืองของภาษาเท่านั้น อุปลักษณ์ยังสะท้อนให้
เห็นระบบความคิด มโนทัศน์ และค่านิยมของแต่ละสังคม กล่าวคือ อุปลักษณ์ช่วยจัดระบบความคิด
ของคนในสังคม กระบวนการคิดแบบอุปลักษณ์ทาให้เราดาเนินชีวิตโดยมองส่ิงหน่ึงเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและค่านิยมในสังคมนั้นๆ ผู้ใช้ภาษาท่ีมาจากวัฒนธรรมต่างกันจึงอาจใช้อุป
ลักษณ์เพือ่ พดู ถงึ มโนทัศน์เดยี วกนั ในลักษณะท่ีตา่ งกันออกไป

124

การวิเคราะหค์ วามหมายของคา (componential analysis)

ในการวิเคราะห์ความหมายของคา มแี นวคิดสาคญั ว่า ความหมายของคาสามารถจาแนก
แยกเป็นความหมายย่อยๆ ได้ ความหมายย่อยของคาเรียกว่า “อรรถลักษณ์” โดยความหมายย่อย
ของคานั้นประกอบกันเข้าเป็นความหมายของคาหนึ่งๆ ส่วนการท่ีจะวิเคราะห์ความหมายย่อยของคา
ไดต้ ้องพิจารณาจากความสัมพนั ธท์ างความหมายท่มี รี ว่ มกนั ระหว่างคาหนึง่ กับคาอื่นๆ

Nida (1975 อ้างถึงใน ชัชวดี ศรลัมพ์, 2558) นกั ภาษาศาสตรก์ ลุ่มโครงสร้างได้กล่าวถึง
ข้ันตอนในการวเิ คราะห์ความหมายยอ่ ยของคาว่ามี 6 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่

1. เลือกความหมายของคาทมี่ ีความสมั พนั ธก์ ันหรือมคี วามหมายทป่ี รากฏในขอบเขตทาง
ความหมาย (semantic domain) เดยี วกนั เช่น ขอบเขตของความหมายของคาที่แสดงความสัมพันธ์
ทางเชื้อสาย เช่น พ่อ แม่ พ่ี น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น แม้จะสังเกตว่าความหมายของคาเหล่าน้ี
สัมพันธ์กัน แต่ข้ันตอนน้ีจะแสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า เมื่อวิเคราะห์แล้วความหมายน้ันสัมพันธ์กัน
อยา่ งไร

2. ลงรายการคาที่มีความหมายเฉพาะ ให้แตกต่างจากความหมายของคาท่ีจัดอยู่ใน
ขอบเขตของความหมายเดียวกัน เช่น พ่อ กับ แม่ จะมีความหมายย่อยท่ีเป็นความหมายพ้ืนฐาน
ในขณะที่คาว่า พ่อเล้ียง แม่เลี้ยง จะมีความหมายย่อยที่ขยายขอบเขตออกไป ขั้นตอนน้ีจะช่วยทาให้
สามารถตรวจสอบได้ว่า ความหมายย่อยที่ควรเป็นความหมายพื้นฐานท่ีมีร่วมกันของคาเดียวกันควร
เป็นความหมายใดได้บ้าง นอกจากน้ียังช่วยให้ผู้วิเคราะห์สามารถตรวจสอบได้ว่า ในขอบเขตของ
ความหมายของคาหนึง่ ๆ นัน้ มีสง่ิ ที่อา้ งถึงเปน็ อะไรได้บ้าง

3. วิเคราะห์ว่าความหมายย่อยท่ีเราแยกย่อยออกมาน้ัน มีความหมายใดที่คากลุ่มนั้นมี
ร่วมกัน เป็นการพิจารณาความหมายย่อยของคาหลังจากที่เราได้ความหมายย่อยท่ีเป็นความหมาย
พื้นฐานแล้ว ขั้นตอนน้ีจะทาให้เห็นว่า ความหมายย่อยของคาแต่ละคานั้น มีความหมายย่อยใดบ้างท่ี
เป็นความหมายของกลุ่มคา

4. วิเคราะห์หาความหมายย่อยประจาคา เป็นข้ันตอนที่ทาให้เราสามารถเห็นได้ว่า
ความหมายใดจะเป็นความหมายย่อยของคาใดคาหนึ่งท่ีทาให้คานั้นๆ แตกต่างจากคาอ่ืนๆ
ตัวอยา่ งเชน่

125

พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว
เพศชาย เพศหญิง เพศชาย เพศหญิง

มลี ูก มลี ูก ไม่มลี ูก ไมม่ ีลกู

มีอายเุ ลย 17 ปี มอี ายเุ ลย 17 ปี อายนุ อ้ ย อายุน้อย

5. ตรวจสอบข้อมูลว่าความหมายย่อยที่เราวิเคราะห์น้ันถูกต้องหรือเป็นจริงมากน้อย
เพยี งใด

6. พิจารณาความหมายย่อยของคาที่มีร่วมกัน เพื่อดูว่าความหมายใดเป็นความหมาย
ประจาของคาท่ีทาให้คาหน่ึงต่างจากคาอ่ืน และนามาบันทึกให้อยู่ในรปู ของแผนภูมิท่ีแสดงลักษณะที่
เหมอื นหรอื แตกตา่ งของคา มีค่าเปน็ บวกหรอื ลบ ตัวอยา่ งเช่น

พอ่ แม่ ลกู ชาย ลูกสาว
[+ชาย] [-ชาย] [+ชาย] [-ชาย]

[+มลี ูก] [+มลี กู ] [-มีลกู ] [-มลี ูก]

[+มอี ายุ] [+มอี ายุ] [-มอี ายุ] [-มอี ายุ]

ในการวิเคราะห์ความหมายยอ่ ยของคานั้นอาจพบปัญหาได้ เช่น คาว่า แม่ มีอรรถลักษณ์
[+ อายุ] แต่ในปัจจุบันเราอาจพบข่าวที่ว่าเด็กอายุเพียง 14-15 ปีก็เป็นแม่แล้ว เช่นนี้เป็นต้น สุริยา
รัตนกุล (2555) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้น่าสนใจว่า เราจะให้อรรถลักษณ์ของคา เช่น ความยุติธรรม
ความรัก ความแค้น ฯลฯ ว่าอย่างไร ที่กล่าวเช่นน้ีไม่ใช่เพราะการคิดแยกเป็นอรรถลักษณ์ไม่เป็น
ประโยชน์ มันมีประโยชน์มากถ้าเราใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการคิด เช่น ถ้าเราต้องการทราบว่าคาว่า
กระโดดต่างกับคาว่าเขย่งเกงกอยอย่างไร ความหมายสาคัญอยู่ท่ีอะไร และอะไรที่ทาให้ทั้ง 2 คาน้ี
แตกต่าง เป็นต้น ดังนั้น จะเห็นว่าในการวิเคราะห์ความหมายย่อยของคาน้ัน ประเด็นสาคัญอยู่ท่ีการ
วิเคราะห์ความหมายเพ่ือให้เห็นความแตกต่างของแต่ละคา ซึ่งหากคาน้ันมีความหมายใกล้เคียงกัน
มากเทา่ ใด กจ็ ะตอ้ งวิเคราะหค์ วามหมายย่อยให้เห็นความแตกต่างมากเท่านน้ั

ความสัมพนั ธ์ทางความหมายของคา

คาแต่ละคาจะมีความหมายเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์ทางความหมายกับคาอื่น
เนื่องจาก แต่ละคาไม่สามารถอยู่ตามลาพังได้ ดังนั้นการนาคาหลายๆ คามาเปรียบเทียบกัน ก็จะ
สามารถทาใหเ้ ข้าใจความหมายของคาแตล่ ะคาได้ชัดเจนขึ้น

126

Lehrer (1974 อา้ งถงึ ใน ชชั วดี ศรลัมพ์, 2545) เปน็ ผู้เสนอแนวคิดในการจดั กลุม่ คาตาม
ความสัมพนั ธ์ทางความหมาย (semantic field) โดยแสดงความหมายท่สี ัมพนั ธ์กันของคาในหมวดหมู่
เดยี วกันกับคาทมี่ คี วามสัมพันธ์ในเชิงเรียบเรียง ซ่ึงสามารถจาแนกไดเ้ ปน็ 6 แบบ ดังนี้

1. การพ้องความหมาย (synonymy) คือ การที่คา 2 คาขึ้นไปมีความหมายเหมือน
หรือคล้ายกัน เราเรยี กคาที่มีความหมายพอ้ งกันว่า คาพ้องความหมาย (synonyms) มี 2 แบบคือ

1.1 การพ้องความหมายแบบสมบูรณ์ คอื การที่คา 2 คามีความหมายเหมือนกันทุก
ประการ และจะต้องมีความหมายเท่ากัน คือ กล่าวถึงสิ่งเดียวกันและใชแ้ ทนท่ีกันได้ในทุกบริบท เช่น
“ปักษา” และ “สกณุ า” หมายถงึ นก เปน็ ตน้

1.2 การพอ้ งความหมายแบบไม่สมบรู ณ์ คือ การที่คา 2 คาขน้ึ ไปมคี วามหมายยอ่ ย
ของคาคล้ายกันมาก และมีขอบเขตของการใช้คาท่ีอาจใช้แทนกันได้ในบางบริบท เช่น คาท่ีมี
ความหมายพ้องกับคาว่า “กิน” ได้แก่ ทาน รับประทาน ยัด แดก เสวย เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างใน
การใช้คาเหล่านี้อยู่ที่ระดับของภาษา บางคาเป็นคาสุภาพ บางคาไม่สุภาพ บางคาเป็นคาราชาศัพท์
จึงทาใหค้ าพ้องความหมายเหลา่ น้สี ามารถใช้แทนกันได้ในบางบรบิ ทเท่านนั้

2. การมีความหมายตรงกันข้าม (antonymy) คือ การที่คา 2 คาข้ึนไปมีความหมาย
บางส่วนตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกัน เราเรียกคาท่ีมีความหมายตรงข้ามกันน้ีว่า คาตรงข้าม
(antonyms) สามารถแบ่งได้เปน็ 3 แบบ คือ

2.1 การตรงข้ามแบบแยกแยะ คือ การท่ีคา 2 คามคี วามหมายที่ขัดแย้งกันโดยท่ีคา
หน่งึ จะมลี กั ษณะทอี่ ีกคาหนึง่ ไม่มี เช่น ผู้หญิง-ผู้ชาย เด็ก-ผใู้ หญ่ เหมอื น-ตา่ ง เปน็ ต้น

2.2 การตรงข้ามแบบเก่ียวเนื่อง คือ การท่ีคามีความตรงข้ามกันด้วยความสัมพันธ์
เกย่ี วข้องกันอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง เชน่ สามี-ภรรยา เจ้าหนี้-ลูกหน้ี เปน็ ตน้

2.3 การตรงข้ามแบบคู่กัน คือ การท่ีความหมายของคาหนึ่งทาให้นึกถึงความหมาย
ทต่ี รงขา้ มกันของอกี คาหนง่ึ มลี กั ษณะการเกิดคูก่ ันไป เชน่ ไป-มา ข้นึ -ลง เปน็ ต้น

3. การเป็นคาในกลุ่มเดียวกัน (hyponymy) คือ การท่ีคามีความสัมพันธ์ทาง
ความหมายอยู่ในหมวดความหมายเดียวกัน เช่น คาที่จัดอยู่ในหมวดอาหาร ได้แก่ ไข่เจียว แกงเผ็ด
ต้มยา เป็นตน้ นอกจาจะมีความหมายระบุถึงสรรพส่ิงชนิดเดียวกันทั้งกลมุ่ แล้ว คาทีจ่ ัดอยู่ในกลุ่มนี้ยัง
มคี วามสัมพนั ธก์ นั เปน็ ลาดบั ขัน้ เช่น

127

อาหาร (คาแมก่ ลุ่ม)

ไขเ่ จยี ว (คาลูกกลุ่ม) แกงเผด็ (คาลูกกลุ่ม) ต้มยา (คาลกู กลมุ่ )

ภาพท่ี 7.4 แสดงความสัมพนั ธท์ างความหมายแบบการเป็นคาในกล่มุ เดยี วกนั

คาว่า “อาหาร” จัดเป็นคาที่มีความหมายครอบคลุมความหมายของคาวา่ “ไข่เจียว แกง
เผ็ด ต้มยา” และเป็นคาที่อยู่ในลาดับขนั้ สูงกว่ากลุ่มคา “ไข่เจยี ว แกงเผ็ด ต้มยา” คาท่อี ย่ใู นลาดบั ขั้น
ท่ีสูงกว่า เรียกว่า “คาแม่กลุ่ม” (hyperonym/superordinate) คาท่ีจัดอยู่ในลาดับข้ันท่ี 2 เรียกว่า
“คาลูกกลุ่ม” (hyponym/subordinate) และคาลูกกลุ่มท่ีอยู่ในลาดับข้ันเดียวกัน เรียกว่า “คาลูก
กลมุ่ ร่วม” (co - hyponym)

4. การเปน็ ส่วนประกอบ (meronymy) คือ การทคี่ วามสมั พันธ์ทางความหมายของคา
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคาที่มีความหมายระบุถงึ สง่ิ ๆ หน่ึงและส่ิงต่างๆท่ปี ระกอบขึ้นเป็นสง่ิ น้ัน
ตัวอยา่ งเช่น

บา้ น (สว่ นรวมท้งั หมด)

ประตู หนา้ ตา่ ง หลังคา ฝาผนงั (ส่วนประกอบ)

ภาพท่ี 7.5 แสดงความสัมพนั ธท์ างความหมายแบบการเป็นส่วนประกอบ
ท่มี า ดดั แปลงจาก (ชชั วดี ศรลัมพ์, 2545: 153)

จากภาพข้างต้น กลุ่มคากลุ่มน้ีมีความหมายระบุถึง “บ้าน” ทั้งกลุ่ม คาที่อยู่ในลาดับขั้น
ที่ 2 เปน็ สว่ นประกอบของคาวา่ “บ้าน” ซงึ่ อยใู่ นลาดบั ขน้ั ที่ 1 และเปน็ คาบอกส่วนรวมทงั้ หมด

5. การพ้องรูป (homonymy) คือ การท่ีคา 2 คาหรือมากกว่ามีรูปภาษาเหมือนกัน
แต่มีความหมายท่ีต่างกัน และความหมายที่ต่างกันนั้นไม่มีความสัมพันธ์ที่เก่ียวเน่ืองกันคาที่เกิดจาก
การพอ้ งรูป เรียกวา่ “คาพอ้ งรูป” (homonyms) การพ้องรปู แบ่งเปน็

128

5.1 การพ้องเสียง คือ การท่ีคา 2 คาข้ึนไปออกเสียงเหมือนกันมีความหมายที่
ต่างกันแตไ่ ม่สัมพนั ธก์ นั เช่น การ-การณ-์ กานท-์ กานต-์ กาล-กาฬ เปน็ ต้น

5.2 การพ้องรูปเขียน คือ การที่คามีรูปเขียนเหมือนกัน แต่ออกเสียงต่างกัน เช่น
เพลา ออกเสยี ง เพลา กบั เพ-ลา เป็นต้น

ในบางครั้งอาจเกิดการพ้องรูปท่ีพ้องทั้งเสียงและรูปเขียน เรียกว่า คาพ้องรูปแบบ
สมบูรณ์ เช่น ตา ซ่ึงหมายถึงอวัยวะท่ีใช้ในการมองเห็น และหมายถึงพ่อของแม่ คาว่า “ตา” เป็น
คาพ้องรูป เพราะมีรูปเหมือนกัน ทั้งด้านเสียงและรูปเขียน มีความหมายท่ีต่างกัน แต่ความหมายไม่
สมั พันธ์กนั

6. การมีหลายความหมาย (polysemy) คือ การท่ีคาหน่ึงคามีความหมายที่
หลากหลายแตกต่างกันไป และความหมายท่ีแตกต่างกันนั้นมีความสัมพันธ์กัน คาที่เกิดจากการมี
หลายความหมายนี้ เรียกว่า “คาหลายความหมาย” (polysemes) นอกจากนี้คาหลายความหมาย
มักจะเกิดจากการที่นาคาไปใช้ทาหน้าท่ีต่างๆ ในโครงสร้าง เช่น คาว่า “คราด” ทาหน้าที่เป็นคานาม
หมายถึง “เคร่อื งมือสาหรับลากข้ีหญ้า มีดา้ มถือ” คาว่า “คราด” ยังสามารถทาหน้าที่เป็นคากริยาได้
ด้วย มีความหมายว่า “ลากขี้หญ้าด้วยคราด” เป็นต้น ดังนั้นคาว่า “คราด” ท้ังในความหมายของ
คานามและคากริยา มีความหมายท่ีสัมพันธ์และเราสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของความหมายท้ัง
สองได้

จากข้างต้นจะเห็นว่าความสัมพันธ์ทางความหมายมหี ลากหลายประเภท เนื่องจากคาแต่
ละคาต้องมีความสัมพันธ์กับคาอื่น การเข้าใจความสัมพันธ์ทางความหมายของคาจะช่วยให้เราเข้าใจ
ความหมายของคาแต่ละคาไดช้ ดั เจนและถกู ต้องมากยิ่งขึน้

สรุป

ในบทน้ีจะเห็นได้ว่า “ความหมาย” เป็นเร่ืองสาคัญเร่ืองหน่ึงในการศึกษาเรื่องภาษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายระดับคา เพราะเม่ือเราต้องส่ือสารกันก็ต้องอาศัยความหมายในการทา
ความเข้าใจแต่ละคาที่ประกอบกันเป็นประโยคต่างๆ และด้วยเหตทุ ี่ความหมายมีหลากหลายประเภท
น้ีเองที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเลือกใช้คาเพื่อสื่อความหมายท่ีตนต้องการได้ถูกต้องและสะดวกยิ่งข้ึน

129

จากเน้ือหาทั้งหมดคงพอทาให้ผู้ท่ีสนใจศึกษาภาษาศาสตร์มองเห็นแนวทางการศึกษา
ภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ในภาพรวมได้ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองเสียง คา วลี ประโยค ข้อความ และ
ความหมาย ซึง่ อาจเปน็ อกี แนวทางหนึ่งในการวิเคราะห์ภาษาไทยท่ีแตกตา่ งจากการศึกษาดว้ ยวิธีอนื่ ๆ
แต่เหนือส่ิงอ่ืนใดการท่ีผู้ใช้ภาษามีความรู้เร่ืองความสัมพันธ์ของเสียง คา ประโยค ข้อความ และ
ความหมาย เป็นความรู้ที่จะทาให้สามารถใช้ภาษาได้ถูกต้อง ชัดเจน ส่ือความได้อย่างมีประสิทธภิ าพ
และตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ ซึ่งถือเป็นสงิ่ สาคญั ในการศึกษาภาษาทุกภาษา

130

บรรณานกุ รม

กลั ยา ตงิ ศภัทยิ ,์ ม.ร.ว. (2548). เสียงในภาษาไทย 2. ใน สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช, เอกสารการสอนชุดวชิ าภาษาไทย 3 หน่วยที่ 1-6.
นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.

กาญจนา นาคสกุล. (2551). ระบบเสียงภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

จรัลวไิ ล จรูญโรจน,์ ม.ล. (2548). ภาษาศาสตรเ์ บอื้ งต้น. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์
จินดา เฮงสมบรู ณ.์ (2542). ภาษาศาสตรเ์ บื้องตน้ . กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาสน์ .
ฉลวย บญุ ประเสริฐ. (2535). ภาษาศาสตรพ์ ื้นฐาน. กรุงเทพฯ: ฝ่ายเอกสารตารา สานักส่งเสริม

วชิ าการ วทิ ยาลัยครูธนบุรี สหวิทยาลยั รัตนโกสินทร์.
ชลธิชา บารุงรกั ษ์ และนันทนา รณเกยี รติ. (2558). ภาษาคืออะไร. ใน ดยี ู ศรนี ราวฒั น์ และชลธิชา

บารงุ รกั ษ.์ (บก.), ภาษาและภาษาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
ชชั วดี ศรลมั พ์. (2545). ภาษากบั ความหมาย. ในภาควชิ าภาษาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ภาษาศาสตรเ์ บอ้ื งต้น. กรงุ เทพฯ: คณะศลิ ปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ (อัดสาเนา)
ชชั วดี ศรลมั พ.์ (2558). ระบบความหมาย. ใน ดยี ู ศรนี ราวัฒน์ และชลธชิ า บารุงรกั ษ.์ (บก.),
ภาษาและภาษาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพม์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
นววรรณ พันธเุ มธา และปราณี กุลละวณชิ ย์. (2548). ไวยากรณ์แนวตา่ งๆ. ใน สาขาวิชา
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช, เอกสารการสอนชุดวิชาภาษาไทย 3
หน่วยท่ี 7-15. นนทบรุ ี: มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช.
นววรรณ พนั ธุเมธา. (2551). ไวยากรณ์ไทย. กรงุ เทพฯ: โครงการเผยแพรผ่ ลงานวชิ าการ คณะอักษร
ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
นภาลยั สวุ รรณธาดา. (2548). ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับภาษาศาสตร.์ ใน สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช, เอกสารการสอนชุดวชิ าภาษาไทย 3 หนว่ ยท่ี 1-6.
นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
นันทนา รณเกยี รต.ิ (2548). สทั ศาสตร์ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ตั ิ. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั
ธรรมศาสตร์.
ปารยะ อาศนะเสน. (2556). มะเรง็ กล่องเสียง. สบื คน้ เม่ือวันที่ 3 เมษายน 2557, จาก
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=64.
พรทพิ า ทองสว่าง. (2558). ระบบเสียง. ใน ดยี ู ศรนี ราวัฒน์ และชลธิชา บารงุ รกั ษ์. (บก.), ภาษา
และภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
พัชรี พลาวงศ.์ (2542). ความรูเ้ บอื้ งต้นทางอรรถศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์มหาวทิ ยาลัย
รามคาแหง.

132

ยพุ าพรรณ หุ่นจาลอง. (2558). ระบบประโยค. ใน ดียู ศรีนราวัฒน์ และชลธิชา บารงุ รกั ษ.์ (บก.),
ภาษาและภาษาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.

ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2556). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกยี รติ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว เน่ืองในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิม
พระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธนั วาคม 2554. กรงุ เทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน.

ราตรี ธันวารชร. (2541). การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ เล่ม 1 เสียงและระบบเสียงใน
ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ภาควชิ าภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์
(อดั สาเนา)

วลั ยา ช้างขวัญยืน และคณะ. (2545). บรรทดั ฐานภาษาไทยเล่ม 2: คา การสร้างคา และการยืมคา.
กรงุ เทพฯ: สถาบนั ภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร.

วิกพิ ีเดยี สารานกุ รมเสรี. (ม.ป.ป.). สัทอักษรสากล. สืบค้นเม่อื วนั ท่ี 3 เมษายน 2557, จาก
http://th.wikipedia.org/wiki/สทั อักษรสากล.

วิจินตน์ ภาณพุ งศ์ และคณะ. (2552). บรรทดั ฐานภาษาไทยเล่ม 3: ชนิดของคา วลี ประโยค
และสัมพันธสาร. กรงุ เทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ.

วิไลวรรณ ขนษิ ฐานนั ท.์ (2533). ภาษาและภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์
สมทรง บรษุ พัฒน.์ (2537). วจนะวเิ คราะห์. นครปฐม: สถาบนั วิจยั ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพฒั นา

ชนบท.
สิรภัทร เช้ือกุล. (2555). ภาษาศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ . ปทุมธานี: โครงการตาราเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ราชภฏั วไลยอลงกรณ.์
สนุ ันท์ อัญชลีนกุ ลู . (2556). ระบบคาภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ
คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
สรุ ยิ า รตั นกลุ , คุณหญิง. (2555). อรรถศาสตร์เบื้องตน้ . (พิมพค์ รั้งที่ 2). นครปฐม: สานกั พิมพ์
มหาวิทยาลยั มหดิ ล.
อปุ กติ ศิลปสาร, พระยา. (2546). หลักภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช.
Bloch, Bernard and Trager, George L. (1942). An Outline of Linguistic Analysis.
Baltimore: Linguistic Society of America.
Sapir, Edward. (1921). Language. New York: Harcourt, Brace and Company.




Click to View FlipBook Version