ประเพณีท้องถิน tradition
ประจําจังหวัด
สตลู สงขลา
ปตตานี ยะลา และนราธิวาส
เสนอ
ด ร . ว ชิ ร ะ ด ว ง ใ จ ดี
ประเพณที ้องถ่นิ ประจำจงั หวดั
สตูล สงขลา ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส
จดั ทำโดย
นกั ศึกษาช้นั ปีท่ี 2
แขนงวชิ า ภาษาไทย คณะศกึ ษาศาสตร์
เสนอ
ดร.วชริ ะ ดวงใจดี
รายวิชาคตชิ นวิทยาสำหรบั ครู
คำนำ
การที่จะอยู่รวมกนั ในสังคมหนึ่ง ๆ อย่างมีความสุขได้นั้น จะต้องรู้ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของ
คนในสังคมนั้น รวมไปถึงประเพณีในท้องถิ่นด้วย แต่ละท้องถิ่นต่างก็มีประเพณีที่ดีงามสืบทอดกันมาตั้งแต่
บรรพบุรษุ จนถึงปจั จุบนั และบางประเพณีกเ็ กือบจะสูญหายไปจากทอ้ งถ่นิ
ในฐานะท่เี ราเปน็ คนในท้องถ่ินภาคใตจ้ ะต้องตระหนกั ถึงคุณคา่ และสบื ทอดประเพณีอนั ดงี าม คณะ
ผจู้ ดั ทำไดเ้ ห็นถึงความสำคัญในประการนี้ จงึ ไดร้ วบรวม “ประเพณที ้องถน่ิ ประจำจังหวัดสตูล สงขลา ปตั ตานี
ยะลาและนราธวิ าส” และนำมาวเิ คราะหโ์ ดยใชบ้ ทบาทคติชนวทิ ยา (Four Fountions of Folklore) ของ
William R. Bascom เพ่อื ประโยชน์ทจ่ี ะใช้เป็นฐานข้อมลู สำหรับการศึกษาต่อไป ทงั้ น้ีทางคณะผู้จดั ทำหวัง
เปน็ อย่างยงิ่ วา่ จะเปน็ ประโยชนใ์ ห้กบั บุคลากรทางการศึกษา และผู้ทสี่ นใจ
คณะผูจ้ ดั ทำ
18 มกราคม 2564
สารบัญ หนา้
1
เรอื่ ง 2
ประเพณที ้องถน่ิ 8
ประเพณที ้องถน่ิ ประจำจังหวัดสตลู 20
ประเพณที ้องถิ่นประจำจงั หวัดสงขลา 27
ประเพณีท้องถิ่นประจำจังหวัดปตั ตานี 34
ประเพณที ้องถนิ่ ประจำจังหวัดยะลา 43
ประเพณที ้องถ่นิ ประจำจงั หวัดนราธิวาส 48
ประเพณที ้องถน่ิ ประจำสามจังหวดั ชายแดนภาคใต้
บรรณานุกรม
1
ประเพณที ้องถน่ิ
ในสังคมของมนุษย์โดยธรรมชาติมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุม่ หรือหมู่คณะ สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีการรวมตัว
หรือการรวมกลุ่มกันเป็นสังคมหนึ่ง ๆ นั้น คือ ประเพณี (Tradition) พระยาอนุมานราชธน ได้ให้ความหมาย
ของประเพณีไว้ว่า ประเพณี คือ ความประพฤติที่ชนหมู่หนึ่งอยู่ในที่แห่งหนึ่งถือเป็นแบบแผนกันมาอย่าง
เดียวกัน และสืบต่อกันมานาน ถ้าใครในหมู่ประพฤติออกนอกแบบก็ผิดประเพณี หรือผิดจารีตประเพณี และ
ตามความหมายทใี่ นพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช 2554 น้นั หมายถึง ส่งิ ทน่ี ยิ มถอื ประพฤติ
ปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี ประเพณีจึงมีความสำคัญกับผู้คนใน
สังคม เป็นทั้งกรอบให้ผู้คนในสังคมปฏิบัติและเป็นศูนย์รวมผู้คนในสังคม โดยมากแล้วประเพณีย่อมจะมี
จุดประสงค์และวิธีปฏิบัติที่เป็นแบบแผน และข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการคือ ประเพณีจะมีกำหนดการจัด
ขึ้นเปน็ ประจำ
ประเพณีทอ้ งถิน่ เป็นประเพณีประจำทอ้ งถิ่นนั้น ๆ ลกั ษณะของประเพณเี ปน็ ไปตามบรบิ ทสงิ่ แวดล้อม
ในสังคม เช่น ศาสนา เชื้อชาติ การประกอบอาชีพของผู้คน ภูมิประเทศ ความเชื่อ เหล่านี้เป็นอิทธิพลที่ทำให้
ประเพณีในแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน ดังเช่นประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทยที่มีความแตกต่างกันตาม
ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ประเพณีท้องถิ่นในแต่ภาคก็มีเอกลักษณ์แตกต่าง
กนั
เช่นเดียวกนั ประเพณีท้องถ่ินภาคใตน้ น้ั ก็มีเอกลักษณ์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมทั้งลักษณะ
ภูมิประเทศที่ติดทะเล ศาสนาที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือ ได้แก่ ศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม รวมไปถึงความ
หลากหลายทางเชื้อชาติ เช่น คนไทยเชื้อสายจีน คนไทยพุทธ และคนไทยมุสลมิ ส่งผลให้เกิดประเพณีท้องถน่ิ
ทีจ่ ะเปน็ แบบแผนในการดำเนินชวี ิตและหลอมรวมผู้คนในสังคมไว้ ในท่ีน้ผี ู้ศกึ ษาได้ทำการค้นคว้าและรวบรวม
ประเพณีท้องถิ่นในภาคใต้ประจำจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เพื่อวิเคราะห์ร่วมกับ
บทบาททางคติชนวิทยา
2
ประเพณที อ้ งถ่นิ ประจำจังหวัดสตลู
1.ประเพณลี อยเรือ
ภาพ: พิธีกรรมในประเพณลี อยเรอื ของชาวอูรกั ลาโว้ย
ที่มา: http://www.satun-geopark.com
ประเพณลี อยเรอื มีจุดเรม่ิ ตน้ จาก “อรู ักลาโว้ย” เผ่าพนั ธด์ุ งั้ เดมิ กลมุ่ หนงึ่ แหง่ หว้ งน้ำอนั ดามัน แต่เดิม
ชาวเลกลุ่มนี้เคยอาศัยอยู่แถบช่องแคบมะละกา ก่อนจะเข้ามาตั้งหลักแหล่งบนเกาะลันตา จากนั้นก็ขยายถ่ิน
ฐานไปอีกหลายแห่ง ในเขตจังหวัดสตูล ได้เริ่มอพยพมาอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะ โดยมี โต๊ะฆีรี เป็นผู้นำบุกเบิกสร้าง
บ้านเรอื นและทำมาหากิน จากเร่อื งราวเล่าขานกันมาว่าโตะ๊ ฆีรีเป็นชาวมสุ ลมิ จากอนิ โดนเี ซยี แจวเรอื มาจากอา
เจะห์เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว โต๊ะฆีรียังมีความตั้งใจจะเดินทางแสวงหาที่ทำกิน ไม่นานจึงมาถึงยังเกาะหลีเป๊ะ
ซงึ่ เปน็ เกาะมีความอุดมสมบูรณ์ มบี งึ นำ้ อยกู่ ลางเกาะ ใชเ้ ปน็ พ้นื ทเี่ พาะปลูก และมแี หล่งทำมาหากินทางทะเล
ที่อุดมสมบูรณ์
โดยนอกเหนือจากบนเกาะหลีเป๊ะแล้ว ยังพบว่าเคยมีหมู่บ้านเก่าตั้งอยู่ที่บริเวณชายหาด 8 แห่งบน
เกาะอาดัง และอีก 3 แห่งบนเกาะราวีในพนื้ ทีจ่ ังหวัดสตูล วิถีเดิมจะเปน็ การทำประมงแบบยังชีพ ด้วยภูมิหลัง
ของชาติพนั ธ์ุทีผ่ ูกพันและเติบโตมากับท้องทะเล มเี รือทีถ่ ือเป็นศนู ย์กลางชวี ิตของชาวเลอูรักลาโว้ย ถึงกับมีคำ
กล่าวว่า “ใครก็ตามหากไม่มีเรือก็เหมือนไม่มีแขนไม่มีขา” และมีเบ็ดตกปลา ฉมวกหรือชนัก เป็นเครื่องมือ
สำคัญในการจับปลาด้วยชาวเลถือเป็นชาวประมงท่รี ู้ซ้ึงถึงสภาพภูมิศาสตร์ ธรรมชาติของพ้ืนที่ เช่น การข้ึนลง
ของนำ้ วงจรพระจันทร์ สภาพคล่ืนลม การเปลีย่ นแปลงของฤดกู าลและเวลา
แตเ่ ดมิ ภาษาท่ีใชส้ ่ือสารภายในชุมชน คือภาษาอูรักลาโว้ย ซง่ึ เป็นภาษาพดู แต่ไม่มีภาษาเขียน บางคน
สามารถใช้ภาษามาเลย์และภาษาไทยท้องถิ่น ต่อมาเมื่อเกาะหลีเป๊ะเปิดรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ชาวเลจึงใช้
ภาษาไทยได้ดีขึ้น และกลุ่มที่ต้องทำงานบริการกส็ ามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดว้ ยการแต่งกาย ผู้ชายมักนุ่งโสร่ง
หรือกางเกงขายาว ไม่นิยมสวมเสื้อ ผู้หญิงนิยมนุ่งผ้ากระโจมอกผืนเดียว ไม่สวมเสื้อเช่นกัน แต่ปัจจุบันมีการ
แตง่ กายตามสมัยนยิ มของคนเมืองมากข้ึน ส่วนประเพณีและพิธีกรรมในยุคแรกของการต้ังถิ่นฐาน ชาวเลยังไม่
มีการนับถอื ศาสนาใด แตจ่ ะนบั ถอื ภตู ผีและวญิ ญาณบรรพบรุ ษุ
พิธกี รรมของงานประเพณลี อยเรอื จะมกี ารทำพิธีเป็นเวลา 3 วัน ตามขน้ั ตอนดังนี้
วันที่ 1 ของงาน คนื วันขึน้ 14 ค่ำ เดอื น 6 หรือ เดอื น 12 ตอนเช้าทุกบา้ น จะทำขนมต่าง ๆ เช่น ข้าว
เหนยี วเหลือง ตม้ ขาว ขนมเทยี น เพ่ือจะไปเซน่ ไหว้ พอตกบ่าย ประมาณ 15.00 น. หมอประจำหมู่บ้านพร้อม
3
กับลูกบ้านจะมาพร้อมกันที่ศาลเจ้าอยู่ติดกับสุสาน (ชาวเกาะเรียกว่า ลาทวด) ทุกคนจะต้องตั้งเครื่องเซ่นไหว้
พร้อมกบั เทียน ครอบครัวละ 1 เลม่ เพือ่ ท่ีจะให้หมอประจำหมบู่ ้านดูเปลวเทียนของแต่ละครอบครัวว่าจะเป็น
เช่นไร ในการทำพิธีนี้ จะมีเครื่องเซ่นไหว้ของหัวหน้าหมู่บ้านหรือของหมอประจำหมู่บ้าน 1 ชุด ที่จะต้อง
ทำอาหารพิเศษ คือ จะมีเครื่องสุกดิบ 1 ชุด และข้าวเจ็ดสี 1 ชุด เพื่อจะบวงสรวงสิ่งที่ดีและไม่ดี เสร็จพิธี
บวงสรวงแล้วจะมรี ำมะนาเพือ่ ขอพรอยา่ งน้อย 1 เพลง
วันท่ี 2 ของงาน คืนวนั ขน้ึ 15 ค่ำ เดอื น 6 หรือเดือน 12 คณะกรรมการจะแบง่ คนออกเป็น 2 ชุด ชุด
ที่ 1 เปน็ ชุดตดั ไม้ระกำ มาทำเรอื ชุดท่ี 2 เปน็ ชดุ ตดั เสาเอกและมาสเรือ(กระดกู งูเรือ) ชดุ ที่ 2 จะต้องกลับออก
จากป่ามาถึงบริเวณงานก่อนที่ชุดที่ 1 ทั้งสองคณะจะมีขบวนรำรองเง็งแห่มาบริเวณงาน ที่ชายหาด
คณะกรรมการที่มีหน้าที่ต่อเรือก็จะดำเนินการต่อเรือ ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็จะสนุกสนานกับการเต้น
รองเงง็ และรำวง จนกว่าเรอื จะเปน็ รปู เป็นร่างและเสรจ็ พอตกกลางคนื การแสดงจะเปล่ยี นเปน็ การรำมะนารอบ
เรือ ทปี่ ระกอบเสร็จแล้ว จะมกี ารรำวงสนุกสนานกนั จนใกลส้ ว่างประมาณตี 4-5 หมอประจำหมู่บา้ น ก็จะทำ
พธิ ีจดุ เทยี น พรอ้ มกับลูกบา้ นอธิษฐานกบั เทยี นที่ปักไว้ในเรือของแต่ละครอบครัว ๆ ละ 1 เล่ม พอได้เวลาก็จะ
ลอยเรอื ลงทะเล
วันที่ 3 ของงาน คืนวันแรม 1 ค่ำ ตอนเช้าพอหลังจากลอยเรือแล้ว จะมีคณะกรรมการชุดหนึ่งไปตัด
ไม้จะทำคล้ายๆ กับไม้กางเขน มีคณะรองเง็งนำขบวนแห่ออกมาจากป่าเหมือนกัน และเอาไม้กางเขนนี้มาปิด
บริเวณงานชาวบ้านก็จะรำรองเง็งและรำวงจนตกเย็น พอค่ำจะเปลี่ยนเป็นรำมะนารอบไม้กางเขน และ
ชาวบ้านก็จะนำนำ้ ใสภ่ าชนะมาต้งั บริเวณไมก้ างเขน หมอประจำหมู่บา้ นก็จะใชเ้ ทยี นจุดบริเวณนำ้ ทชี่ าวบา้ นมา
วางไว้เพื่อว่าน้ำนี้ จะเป็นน้ำมนต์ เอาไว้ล้างหน้าล้างตาตอนเช้า เมื่อเสร็จพิธี ซึ่งจะมีการจัดประเพณีลอยเรือ
ของชาวเลแห่งเกาะหลเี ป๊ะ ในจังหวดั สตูลเปน็ ประจำทุกปี
4
บทวิเคราะห์
บทบาทสำคัญของประเพณีลอยเรือ คือ คติชนเป็นวิธีการที่ใช้เป็นแรงกดดันทางสังคมทางสังคม
และใชเ้ ปน็ แบบแผนควบคุมทางสังคม ทแี่ สดงใหเ้ ห็นถงึ ความเชื่อของชาวอรู ักลาโว้ย เนอ่ื งจากเดิมทีแล้วชาว
อรู ักลาไม่ได้นบั ถอื ศาสนาจึงมีการจัดประเพณีลอยเรือข้ึนมาตามความเช่ือในเรื่องภตู ผแี ละบรรพบรุ ษุ ประเพณี
ดังกล่าวเป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ และเป็นการสะเดาะเคราะห์ไปกับการลอยเรือ เรือจะสร้าง
ด้วยไม้ระกำ แต่ละครอบครัวจะนำอาหารและขนมไปทำพิธเี คารพและขอขมาบรรพบรุ ุษท่ีศาลทวดโต๊ะฆีรี โต๊ะ
หมอทำพธิ เี ชิญบรรพบรุ ษุ ให้นำส่ิงช่วั ร้ายลงเรอื แล้วจึงนำเรือออกไปลอยใหพ้ น้ จากเกาะหลีเป๊ะ
ประเพณีลอยเรือจึงเป็นเครื่องมือในการรักษาระเบียบแบบแผนทางสังคมให้ผู้คนในสังคมชาวเลอูรัก
ลาโว้ยปฏิบัติตามกันมาจนเป็นกฎกติกาในการดำรงอยู่ในสังคม รวมไปถึงการกล่าวถึงภูตผี และการสะเดาะ
เคราะห์ในพิธีกรรมนนั้ เปน็ การกล่าวถึงแบบแผนทีว่ า่ หากใครไปปฏิบัตติ ามจะต้องมเี คราะห์ หรือการขอขมาต่อ
บรรพบุรุษในสิ่งท่ีตนกระทำผดิ ไปสิ่งเหลา่ นีแ้ สดงถงึ มาตรฐานทางสังคมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา หากใครไม่ปฏิบัติ
ก็จะได้รับการลงโทษ และตนจะต้องขอขมาจึงจะได้รับการอภัยคือ ตนสามารถดำเนินชีวิตไปอย่างปกติได้
ประเพณีลอยเรือ จึงเป็นคติชนที่มีบทบาทเป็นวิธีการที่ใช้เป็นแรงกดดันทางสังคมทางสังคม และใช้เป็นแบบ
แผนควบคุมทางสังคม
5
2.ประเพณีไหว้ผโี บ๋ (ผีหมู่ หรอื พวกผีท้งั หมด )
ภาพ: ผู้คนท่ีศรทั ธามาประกอบพิธกี รรมในประเพณกี ารไหว้ผโี บ๋
ทมี่ า: https://www.artoftraveler.com
ประเพณีไหว้ผีโบ๋ นิยามศัพท์ภาษาถิ่นใต้ คำว่า “โบ๋” แปลว่า หมู่ พวก การไหว้ผีโบ๋การไหว้ผีหัว
หลาดเพื่อทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วไม่มีญาติคอยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ประเพณีไหว้ผีโบ๋ เป็นงาน
ประเพณีที่มีความสำคัญ โดยได้สืบทอดกันมาคู่กับอำเภอทุ่งหว้าตั้งแต่อดีต ในยุคแรก ๆ การไหว้ผีโบ๋ได้แยก
กระทำเป็นตระกูลแต่ละตระกูลไป ตระกูลใครก็ตระกูลมัน ต่อมาเมื่อแต่ละตระกูลมีลูกหลานมากขึ้น จึงได้มา
ทำพธิ ีไหวร้ ่วมกันเปน็ พิธใี หญ่เพียงคร้งั เดยี ว
สนธิ ลิม่ สายหั้ว ผ้อู าวุโสซึ่งคลกุ คลกี ับประเพณีไหวผ้ ีโบ๋มาแตว่ ยั เยาว์ เล่าให้ฟงั ถงึ คติความเช่ือของคน
เชอ้ื สายจีนใน ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุง่ หวา้ จังหวัดสตลู ยดึ ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาชา้ นาน
เรอ่ื งเล่าทม่ี าของประเพณไี หว้ผีโบ๋
ยอ้ นกลับไปราว 150 ปี อำเภอเลก็ ๆ สงบนา่ อยชู่ ่ือ “ทงุ่ หวา้ ” เคยเปน็ เมืองทา่ คา้ ขายที่ย่ิงใหญใ่ นนาม
สุไหงอเุ ป มชี าวจนี อพยพเขา้ มาตั้งหลักแหลง่ ปลูกพริกไทยกนั เปน็ จำนวนมาก พรกิ ไทยเปน็ สินคา้ ส่งออกที่สร้าง
รายได้มหาศาล สำเภาลำใหญ่เข้าเทียบท่า ขนส่งสินค้าไปขายยังเมืองปีนังไม่เว้นแต่ละวัน สุไหงอุเป
เจริญรงุ่ เรอื งถงึ ขีดสุดจนถูกขนานนามว่า ปนี ังนอ้ ย ก่อนจะมาซบเซาเงยี บเหงาเมื่อยางพาราเข้ามาแทนท่ี ชาว
จีนบางส่วนอพยพย้ายถิ่นออกไปทำมาหากินในดินแดนใหม่ ส่วนหนึ่งตัดสินใจลงหลักปักฐานอย่างถาวร การ
อพยพมาทางเรือ อาจประสบอุบัตเิ หตุเรือล่มบ้าง เจบ็ ป่วยระหวา่ งทางบ้าง บางครง้ั อาจเสียชวี ติ ยกลำ บางคน
ก็มาล้มตายระหว่างประกอบอาชีพอยู่ในทุ่งหว้า คนจีนซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี จึงนึกสงสารพวกเขาที่ต้องมา
เสยี ชีวติ โดยไม่มีญาตคิ อยเซน่ ไหว้ จึงคิดเรอ่ื งราวเหล่าน้ขี น้ึ มา จนเกิดเปน็ ประเพณีการไหว้ผโี บ๋
ทุ่งหว้าเคยเป็นชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ ถึงขั้นมีสมาคมตระกูลแซ่เกิดขึ้น โดยมีหลักฐานจากป้ายหิน
หน้าหลมุ ศพพบทีข่ ุดพบ การจะกอ่ ตั้งสมาคมตระกลู แซ่ไดน้ นั้ ตอ้ งมีจำนวนชาวจีนอยู่มากโข แม้จะอยู่ต่างบ้าน
ต่างเมือง แต่ชาวจีนโพ้นทะเลไม่เคยละเลยธรรมเนียมปฏิบัติ เรื่องแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพ บุรุษผุ้
ล่วงลับ ทั้งเชงเม้ง ตรุษ สารท แต่ในช่วงสารทจีน จะมีพิธีไหว้ผีโบ๋เพิ่มเตมิ ขึ้นมา ผู้อาวุโสหลายทา่ นเล่าว่า แต่
ละตระกลู แซ่จะจัดพธิ ีเล้ียงผโี บก๋ นั อย่างคกึ คัก เตม็ สองฝั่งถนน ตอ่ มาภายหลังจึงมารวมไหว้ด้วยกันในทเี่ ดียว
6
บทวเิ คราะห์
จากประเพณีการไหว้ผีตาโบ๋เกี่ยวข้องกับบทบาทที่ 2 คติชนตรวจสอบวัฒนธรรมโดยแสดงให้เห็นถึง
พิธกี รรม เนือ่ งจากพิธีกรรมของประเพณีผีโบน๋ ี้มีที่มาจากเร่ืองเลา่ การเดินทางของคนจีน การอพยพมาทางเรือ
อาจประสบอุบัติเหตุเรือล่มบ้าง เจ็บป่วยระหว่างทางบ้าง บางครั้งอาจเสียชีวิตยกลำ บางคนก็มาล้มตาย
ระหว่างประกอบอาชีพอยู่ในทุ่งหว้า และความเชื่อของคนจีนมีคตินิยมอยู่ว่า ในเดือน 7 ของทุกปีตามปฏิทิน
จีน ถือเป็นเดือนแห่งผีร้าย เด็ก ๆ จะถูกห้ามไม่ให้ออกไปเล่นนอกบา้ นในตอนกลางคนื เพราะเหล่าวิญญาณท่ี
ถูกกกั ขังเพอื่ รบั โทษทัณฑ์ในดนิ แดนยมโลก จะถกู ปลดปลอ่ ยขึน้ มายงั โลกมนษุ ย์เป็นเวลาหนง่ึ เดอื น
ประเพณกี ารไหวผ้ ีตาโบ๋มีพธิ กี รรมดงั นี้
1. การไหว้ผีโบ๋จะเริ่มในเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว โดยจะปักธงสีไว้บนของเซ่นไหว้ หัวของเขตต่าง ๆ จะ
เป็นคนบอกกล่าว โดยยืนไหว้ไม่คุกเขา่ เหมือนการไหวบ้ รรพบรุ ุษ ต่อจากนั้นจึงจะถึงคิวผู้ทีม่ าร่วมงาน โดยรับ
ธูปจากผู้ทำหน้าที่พิธีกร เมื่อปักธูปจนครบเรียบร้อย จะทิ้งช่วงเวลาไว้สักระยะ ก่อนพิธีกรจะถามฮอเฮียตี๋ว่า
มาหรอื ยัง พร้อมโยนไม้ปัว๊ โปย๊ ขึ้นเหนือศีรษะ หากตกลงมาคว่ำหนึ่งอนั หงายหนึง่ อัน พิธีกรจะตะโกนว่า “เซ่ง
โป๊ย” หมายถงึ มาแล้ว
2. หลงั จากเซง่ โปย๊ คนมารว่ มพิธีจะรมุ แย่งธงที่ปักบนของเซ่นไหว้ เพ่ือนำไปเก็บไว้ที่บ้าน เพราะถือว่า
เป็นของมงคล
3. จากนัน้ จะเปน็ การเสีย่ งทายเพอ่ื เลือกหวั ของปีถัดไป โดยใช้บัญชีรายชอื่ ผบู้ ริจาค ทีห่ วั ได้ไปโต่ยหรือ
เรี่ยไรมา ไล่เรียงไปทีละชุมชน บางคราวต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง ท่ามกลางเสียงลุ้นเสียงเชียร์กันอย่าง
สนกุ สนานบางชุมชนทค่ี นอยู่เยอะ อาจต้องเลอื กหวั สองคนเพ่ือคอยชว่ ยเหลือกัน แม้จะเปน็ ภาระค่อนข้างหนัก
แตค่ นทถี่ ูกเลือกจะรู้สึกภาคภูมิใจ ทีไ่ ด้รบั เกยี รตใิ หท้ ำหนา้ ทนี่ ี้
4. อาหารเซ่นไหว้ จะถูกนำไปปรุงเป็นเมนูต่าง ๆ สำหรับเลยี้ งผคู้ นในชว่ งเยน็ ระหวา่ งงาน หัวของปีน้ี
จะแบ่งของไหว้อย่างละเล็กละน้อย มอบให้หัวของปีถัดไป คล้ายการส่งไม้ต่อและประกาศให้คนรับรู้ในคราว
เดียวแต่หน้าที่ของหัว ยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะถึงวัน 30 ค่ำ เดือน 7 ซึ่งถือเป็นวัน กวยมึ้ง หรือ วันปิดประตู
ยมโลกคณะหวั ตอ้ งมาจุดธูปเทียน เผากระดาษเงิน กระดาษทอง จดุ ประทัดสง่ ฮอเฮยี ตี๋ พร้อมบอกกล่าวปีหน้า
เดอื น 7 ค่อยพบกนั ใหม่
การเลอื กผู้รับผิดชอบงานในแตล่ ะปี
การเส่ียงทายเพ่ือหาหัวหน้าไวเ้ ป็นการลว่ งหนา้ เปน็ ประจำทกุ ปี มรี ายละเอยี ดของการเส่ยี งทาย ดังนี้
1. ควำ่ หนึ่งอนั หงายหน่ึงอัน เรยี กวา่ เซ้งโป๊ย หมายถงึ รับเอา
2. คว่ำทั้งสองอัน เรยี กว่า อิ้มโปย๊ หมายถึง ไมร่ บั หัวเราะ
3. หงายท้ังสองอนั เรยี กว่า เฉย้ี วโปย๊ หมายถึง ย้ิมหรอื รับครง่ึ หน่ึง ไมร่ ับครึ่งหนงึ่
อาหารท่นี ำไปเซ่นไหว้ มี 2 ประเภทคือ
1. ไหว้เล็ก ๆ ที่บา้ น(ซาแซ)้ ประกอบด้วย หมู ไก่ ปลา ผลไม้ตา่ ง ๆ
7
2. พธิ ใี หญ่เรยี กว่า (โหงวแซ)้ หา้ มนอ้ ยกวา่ หา้ อยา่ งแตม่ ากกว่าได้ เนน้ อาหารท่ีเปน็ มงคลตาม
ความเชื่ออย่างปลาหมึกแทนน้ำหมึกสีดำที่ใช้เขียนเป็นตัวหนังสือ สื่อถึงความเป็นผู้รอบรู้
หม่ีเตียว เสน้ หม่ยี าว ๆ ไม่นยิ มตัดเวลานำไปผัด เช่นเดียวกบั เวลากิน เพ่ือสืบเชือ้ สายได้ยืด
ยาว สัปปะรด เหมือนมีตารอบทิศ ส่วนขนมนิยมของฟู ๆ แต้มด้วยสีแดงอย่าง ซาลาเปา
ถ้วยฟู ฯลฯ ชีวิตจะได้เฟื่องฟู ของแห้งมีข้าวสาร อาหารกระป๋อง เค้าจะได้นำกลับไปเป็น
เสบียง มะมว่ งหรือของสีดำเป็นสิง่ ตอ้ งหา้ ม ที่ขาดไมไ่ ด้คือ สุราและน้ำชา
8
ประเพณีท้องถิน่ ประจำจังหวัดสงขลา
1.ประเพณีแหผ่ ้าขนึ้ เขากุฎ
ภาพ: ประเพณแี หผ่ ้าขึ้นเขากุฎ
ท่มี า: http://province.m-culture.go.th/songkhla/new/index.php?/article/5/view/62
ประเพณีแห่ผา้ ข้ึนเขากุฎ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา เพอื่ ห่มองคพ์ ระเจดีย์และห่ม
พระพุทธรูปสมเด็จเจา้ เกาะยอบนยอดเขากุฎิ เปน็ ประเพณีทชี่ าวเกาะยอได้ถือปฏิบัตมิ าเป็นเวลาช้านาน โดย
มีพระเจดียแ์ ละสมเด็จเจา้ เกาะยอหรือสมเด็จเจา้ เขากฎุ ิเป็นศูนยร์ วมจิตวญิ ญาณของชาวบ้านเกาะยอ มีการถือ
ปฏิบัติติดตอ่ กนั 2 วัน คือ วนั ขึน้ 14 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีเป็นวนั หม่ ผ้าพระเจดยี ์และสมเดจ็ เจา้ เกาะยอ และ
วันขนึ้ 15 ค่ำ เดอื น 6 อันเป็นวนั วิสาขบูชาของทุกปเี ปน็ วนั สมโภชพระเจดยี แ์ ละสมเดจ็ เจ้าเกาะยอ
วนั ขนึ้ 14 คำ่ เดอื น 6 ของทุกปี ชาวบา้ นเกาะยอ ทุกหมู่บา้ นได้จดั ทำผ้าหรือทอผา้ สเี หลือง
เตรยี มไว้ พอถงึ วนั น้จี ะมพี ิธสี มโภชผ้า หลงั จากนั้นประชาชนชาวเกาะยอยอจะจัดขบวนแห่ผา้ ไปรอบเกาะ
ยอ ซึง่ มที ัง้ ขบวนเดนิ ทางเท้าและขบวนรถยนต์ แต่ปจั จุบันนิยมใชข้ บวนรถยนตข์ ้ึนไปถึงยอดเขาได้
สะดวก ผดิ กับในสมยั ก่อนท่ีตอ้ งเดินทางดว้ ยความยากลำบาก แต่ชาวบ้านเช่ือวา่ จะได้บญุ มาก เม่ือขบวนแห่
ผา้ ไปถึงยอดเขาชาวเกาะยอจะชว่ ยกันขึน้ ไปห่มผา้ รอบองค์พระเจดยี ์และเปล่ยี นผ้าห่มใหม่ ให้สมเดจ็ เจ้าเกาะ
ยอ ซึ่งถือว่าเปน็ การถวายเป็นพุทธบูชาพระพุทธศาสนา และตอ่ องคส์ มเดจ็ เจา้ เกาะยอด้วย
เรื่องเล่าการเกดิ ประเพณแี ห่ผ้าขน้ึ เขากฎุ
จากขอ้ มลู ประวัติสมเดจ็ เจา้ เกาะยอ ท่ีได้รับการถา่ ยทอดบอกเลา่ สืบต่อกันว่า สมเด็จเจา้ เกาะยอได้
เดนิ ทางจากรุงศรีอยธุ ยา เพือ่ เผยแพร่พระพุทธศาสนา การเดนิ ทางต้องเดินทางเทา้ ผา่ นปา่ ภูเขา แมน่ ้ำ ลำ
คลอง และอุปสรรคมากมาย ทา่ นเดนิ ทางจาริกธุดงควัตรเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนถงึ เกาะยอ ชาวบา้ นจึง
ไดส้ ร้างกุฎิใหท้ ่านใช้เปน็ สถานท่เี ผยแผ่พระพทุ ธศาสนาบนภูเขา ซ่งึ เป็นภเู ขาท่สี ูงทีส่ ุดในเกาะยอ ชาวเกาะยอ
เรียกภเู ขาน้ีวา่ เขากุฎ และภูเขาแห่งนีเ้ ปน็ ที่ตงั้ กุฎขิ องสมเด็จเจ้าเกาะยอ
9
จากสภาพพื้นที่เกาะยอมีน้ำล้อมรอบ การเดินทางมาต้องอาศัยเรือเท่านั้น สภาพบนเกาะยอเป็น
ภูเขาที่มีป่าปกคลุมการเดินทางค่อนข้างลำบาก เมื่อสมเด็จเจ้าเกาะยอเดินทางเข้ามาเพื่อเผยแผ่
พระพุทธศาสนา อบรมสั่งสอนให้ชาวเกาะยอ ประพฤติตนเป็นคนดีและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของ
พระพุทธศาสนา จนเป็นที่พึ่งทางจิตใจสำหรับชาวเกาะยอทุกคน จากการที่ชาวบ้านเชื่อว่าสมเด็จเจ้าเกาะยอ
เดินทางจากรุงศรีอยุธยา มาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอดเส้นทางจนมาถึงเกาะยอ ที่มีสภาพพื้นที่เหมาะ
แก่การปฏิบัติธรรมจึงได้พำนักอาศัยบนเขากุฎ และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับชาวเกาะยอ จนถึงวาระ
สุดท้ายของชีวิตท่านได้มรณภาพลง ชาวเกาะยอและสานุศิษย์จึงได้ก่อสร้างเจดีย์เขากุฎ เพื่อบรรจุอัฐิของ
สมเด็จเจ้าเกาะยอ โดยสร้างเจดีย์แบบจัตุรมุขย่อมุมไม้สิบสอง โดยการทำให้มุมมีหยักเป็นสี่เหลี่ยมออกมา
แทนที่ตรงมุมจะมีเพียงมุมเดียว กลับทำหักย่อลงทำให้เป็น 3 มุม เมื่อจัตุรมุขที่สร้างทรงสี่เหลี่ยมมี 4 มุม จึง
กลายเป็น 12 มุม พร้อมกับสร้างรูปเคารพสมเด็จเจ้าเกาะยอเป็นพระพุทธรูปจำนวน 4 องค์ ซึ่งหมายถึง
สมเด็จทั้ง 4 องค์ที่ชาวเกาะยอเคารพศรัทธานั่นเอง ทั้งสมเด็จเจ้าเกาะยอ สมเด็จเจ้าพะโคะ สมเด็จเจ้าเกาะ
ใหญ่ และ สมเด็จเจ้าจอมทอง ประดิษฐานไว้ที่จัตุรมุขทั้งสี่ด้านของพระเจดีย์เขากุฎ เพื่อระลึกถึงสมเด็จเจ้า
เกาะยอ จากความเคารพและความศรัทธาต่อสมเดจ็ เจ้าเกาะยอ กอ่ ใหเ้ กิดพิธีกรรมเพื่อบูชาสมเด็จเจ้าเกาะยอ
โดยจดั ประเพณีแหผ่ ้าข้ึนเขากุฎเปน็ ประจำทุกปี เปน็ ประเพณีทส่ี ืบทอดกันมา ซ่งึ จดั ขึน้ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน
6 ของทกุ ปี
10
บทวเิ คราะห์
บทบาทหนา้ ท่ีของคติชนในบทบาทท่ี 2 นี้คือการตรวจสอบวัฒนธรรมและที่มาของวัฒนธรรม จงึ
สามารถอธิบายเกี่ยวกับประเพณีแห่ผา้ ขนึ้ เขากฎุ ว่าไดม้ ีการปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนานโดยมีพระเจดีย์
และสมเดจ็ เจ้าเกาะยอหรอื สมเด็จเจ้าเขากุฎเิ ป็นศนู ยร์ วมจิตวิญญาณของชาวบา้ นเกาะยอ และเนือ่ งจาก
ประเพณแี หผ่ ้าขน้ึ เขากฎุ ใช้เวลาในการจัดงาน 2 วัน ซง่ึ วันแรกจะตรงกบั วนั ขึน้ 14 ค่ำ เดอื น 6 ของทุกปีเปน็
วนั ห่มผา้ พระเจดียแ์ ละสมเด็จเจ้าเกาะยอและวนั ข้นึ 15 คำ่ เดือน 6 อนั เป็นวนั วสิ าขบชู าของทกุ ปีเป็นวัน
สมโภชพระเจดีย์และสมเด็จเจา้ เกาะยอและภายในงานยงั มีการจัดทำผา้ หรือทอผ้าเหลืองไวใ้ นวันขนึ้ ๑๔ ค่ำ
เดอื น ๖ เพ่ือนำไปห่มพระเจดีย์และหม่ พระพุทธรูปสมเด็จเจ้าเกาะยอบนยอดเขากฎุ ินัน้ เอง โดยตอ้ งมขี บวนใน
การแห่ขน้ึ ไปโดยในปจั จบุ นั ก็ไดม้ ีการใชร้ ถยนต์ในการแหข่ บวนข้นึ แตใ่ นสมยั ก่อนนัน้ ชาวบ้านมกั จะเดินเท้าไป
ซง่ึ ทางขึ้นน้ันไม่ได้ข้ึนกันงา่ ย ๆ แต่ชาวบา้ นเช่อื ว่าจะได้บญุ มาก ซึ่งในประเพณีแห่ผ้าขน้ึ เขากฎุ ก็ได้มีการจดั
พิธกี รรมดังน้ี
1. พธิ กี รรมท่จี ัดขึ้นนั้นได้สะท้อนให้เห็นวา่ ชาวบ้านน้ันมีความสามัคคีมากเพียงใด เน่ืองจากเป็นงานท่ี
ยิง่ ใหญ่และศกั ด์ิสทิ ธ์ิมากจึงต้องใช้ความสามัคคีในการจดั ไม่ว่าจะเปน็ การเตรียมผ้าเหลืองหรอื การยก
ขบวนขนึ้ ไปซึ่งลว้ นแล้วแต่ตอ้ งใชก้ ำลังคน ยิ่งมีมากยิ่งงา่ ยต่อการขนยา้ ยขบวนแหผ่ า้ ขึน้ เขากฎุ
2. ในงานประเพณีแหผ่ ้าข้นึ เขากุฎนั้นจะมกี ารแห่ขบวนไปยังเขากุฎซงึ่ ถือเป็นการเฉลิมฉลองประเพณี
การทำบญุ ในวนั วสิ าขบชู า และร่วมระลกึ ถึงบุญคณุ ของสมเดจ็ เจ้าเกาะยอทีเ่ ป็นท่ยี ึดเหน่ียวทางจติ ใจ
ให้แก่ชาวบ้านเกาะยอและเพื่อเปน็ การถวายเป็นพุทธบูชาพระพุทธศาสนา และต่อองค์สมเดจ็ เจ้าเกาะ
ยอรวมถงึ การห่มองค์พระเจดีย์และหม่ พระพุทธรูปสมเด็จเจา้ เกาะยอบนยอดเขากฎุ ดว้ ยเชน่ กัน
3. พิธสี มโภชผา้ เหลืองเพ่อื เอาไวห้ ่มเจา้ เกาะยอนน้ั สถานทีใ่ นการสมโภชผ้าจะใชศ้ าลาประจำหมบู่ า้ น
หรอื ท่ชี าวบา้ นเรียกกันว่า ศาลาพ่อท่าน สาเหตทุ เ่ี รยี กศาลาแห่งนีว้ า่ ศาลาพ่อทา่ น เนื่องจากในอดีต
ศาลาแหง่ นี้ตั้งอย่ใู นท่ีธรณสี งฆว์ ัดแหลมพ้อ ตำบลเกาะยอ ผสู้ รา้ งศาลาตอ้ งการสร้างถวายพระอธกิ าร
เภา ติสสฺ โร อดตี เจา้ อาวาสวดั แหลมพ้อ ซึง่ ปกครองดูแลพน้ื ท่ธี รณสี งฆ์ ชาวบา้ นเรยี กท่านวา่ พอ่ ทา่ น
เภา ตสิ สฺ โร ดังนั้นศาลาแหง่ นี้ ชาวบา้ นทั่วไปจงึ เรียกว่า ศาลา พ่อท่าน
4. พิธหี ่มผ้าองคพ์ ระเจดยี ์ เมื่อถึงวนั ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ชาวบ้านในตำบลเกาะยอจะรว่ มหม่ ผา้
องค์ พระเจดยี ์เขากุฎและห่มผา้ สมเด็จเจ้าเกาะยอ เพอ่ื แสดงออกถึงการคารวะสมเด็จเจ้าเกาะยอ
และคารวะสญั ลักษณ์แทนองค์พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
สญั ลักษณ์ที่สำคัญในประเพณคี อื การหม่ ผา้ เจดีย์
วนั ขนึ้ 15 ค่ำ เดอื น 6 ถือเปน็ ประเพณีแห่ผา้ ขึน้ เขากฎุ ชาวบา้ นท่ีอยู่ในตำบลเกาะยอ มีความเช่อื
วา่ การหม่ ผ้าองค์เจดยี ์เขากุฎ เป็นการบูชาองคส์ มเดจ็ เจา้ เกาะยอ เม่ือขบวนแห่ผ้าเคลอื่ นมาถงึ บริเวณลาน
ประทกั ษณิ เจดียเ์ ขากฎุ กจ็ ะเร่ิมแห่ผา้ เวียนประทักษิณสามรอบ ในขณะที่ชาวบ้านเวยี นประทกั ษิณอยู่นั้น
พระสงฆท์ ่ีรว่ มพธิ ีกส็ วดเจริญพทุ ธมนตด์ ้วยบทสวดชัยปรติ ร เพ่อื ความเปน็ สริ มิ งคล ผู้ชายทไ่ี ดร้ บั การคัดเลือก
ทง้ั 5 คน ตอ้ งสวมใส่ชดุ ขาว เนื่องจากชาวบ้านมีความเช่อื ว่าผู้ทส่ี วมชดุ ขาวถือวา่ เปน็ ผ้ทู ่ีบริสทุ ธ์ิ ขึน้ ไปนำผ้า
หม่ องค์พระเจดยี ์เขากฎุ ผนื เก่าทห่ี ม่ องค์พระเจดีย์เมอ่ื ปีท่ผี า่ นรวมทัง้ ผา้ ทห่ี ่มรูปป้ันเทพพนม และผ้าหม่ รูปป้ัน
ทา้ วจตโุ ลกบาลนำลงมาเก็บไว้ ชาวบ้านชว่ ยกันตอ่ สายสญิ จน์จากมมุ ผา้ ท้ังสด่ี า้ นใหม้ จี ำนวนเสน้ สายสญิ จน์
11
เพิ่มขึน้ หลายๆ เส้น โดยผูช้ ายท้งั 5 คน นำผา้ ห่มองค์พระเจดียเ์ ตรียมโอบรอบฐานองค์พระเจดยี ์เขากฎุ เพ่ือให้
ชาวบ้านผเู้ ขา้ รว่ มพธิ หี ม่ ผ้าองคพ์ ระเจดียเ์ ขากฎุ ได้มีโอกาสห่มผา้ องค์พระเจดีย์ดว้ ย จากนนั้ ชาวบา้ นจะช่วยกนั
ชกั ดงึ ผา้ ข้ึนห่มองค์ พระเจดยี ์เขากฎุ ซง่ึ ชาวบ้านมคี วามเชื่อวา่ การถือเสน้ ดา้ ยสายสญิ จน์ก็เปรยี บเสมอื นตนเอง
ไดถ้ ือผา้ รว่ มห่มผ้าองค์พระเจดยี เ์ ชน่ กนั เม่ือพธิ หี ่มผา้ องค์พระเจดยี ์เสร็จส้ิน กเ็ ร่มิ พิธหี ม่ ผ้าสมเด็จเจ้าเกาะยอ
พธิ ีกรรมการหม่ ผา้ สมเด็จเจา้ เกาะยอ มขี ั้นตอนรายละเอยี ด ดงั น้ี ผ้ชู ายทแ่ี ต่งกายด้วยชดุ สขี าว นำผา้ ท่ีหม่
สมเด็จเจ้าเกาะยอ ซึ่งชาวบา้ นนำมาหม่ เพือ่ การแก้บนต่อสมเดจ็ เจา้ เกาะยอออกทั้งหมด ประธานในพิธีนำผา้
ทอเกาะยอสีเหลอื งผืนแรกห่มสมเดจ็ เจา้ เกาะยอ ซ่ึงเป็นพระพุทธรปู ท่ีหันหน้าไปทางทิศตะวันออกในลำดับ
แรก และนำผา้ ทอสีเหลืองอีกจำนวน 3 ผนื หม่ พระพุทธรูปจนครบท้ัง 4 ทศิ ถดั มาประธานในพธิ ีนำผ้าทอสี
เขียว 1 ผนื หม่ รูปป้ันทา้ วจตุโลกบาลหนง่ึ ตน หลังจากน้ัน ผู้ชายที่สวมชุดสขี าวก็จะนำผ้าทอสเี ขยี วท้ัง 3 ผนื
ขนึ้ ห่มรูปปั้นทา้ วจตโุ ลกบาลต่อจากประธานในพิธจี นครบ และนำผ้าสชี มพูข้นึ ห่มรูปปน้ั เทพพนม ซง่ึ อยบู่ นฐาน
ชน้ั สองตรงมมุ ฐานขององค์พระเจดีย์เขากฎุ จนครบทั้ง 4 ทศิ
12
2.ประเพณีสมโภชแม่โพสพ (ทำขวญั ข้าว)
ภาพ: ประเพณสี มโภชแม่
ทีม่ า: https://sites.gโoพoสgพle.com/site/angkana47013/_/rsrc
ประเพณีสมโภชแมโ่ พสพ เป็นภูมิปัญญาและพิธีกรรมที่ได้รับการสบื ทอดกันมาเป็นระยะเวลา
ยาวนานของชาวนาในอำเภอระโนด จงั หวัดสงขลา จดั เปน็ ภมู ิปัญญาส่งั สม ซ่ึงแตเ่ ดิมแต่ละครอบครัวจะ
ประกอบพธิ กี รรมเป็นการเฉพาะครอบครวั โดยเชญิ หมอทำขวัญข้าวท่ีเคารพนับถือ หรอื คนเฒ่าคนแกใ่ น
ตระกลู เป็นผู้ทำพิธี ในสมัยโบราณสว่ นใหญ่ผู้นำตระกูล หรอื ผ้นู ำครอบครวั สามารถทำพธิ ไี ด้ เนอ่ื งจากมีตำรา
สืบทอดกันมาจากรุน่ สรู่ ่นุ ต่อมาเมอื่ ระบบการทำนาเกิดการเปล่ียนแปลงจากการทำเพ่ือยังชพี เป็นการทำเชงิ
พาณิชย์มีการใชเ้ ทคโนโลยีเข้ามาในกระบวนการผลิตทำให้ภูมิปญั ญานี้ลดนอ้ ยลง ปัจจุบันจงึ เกิดการฟืน้ ฟู
ข้ึนมาใหม่โดยมีการเปลี่ยนแปลงภมู ิปญั ญา จากท่ีทำเฉพาะครอบครวั ก็ทำร่วมกนั ทศี่ นู ย์รวมจิตใจหรือสถานท่ี
สำคญั คอื วงเวยี นแม่โพสพของอำเภอระโนด โดยทุกตำบลทกุ หมบู่ า้ นในอำเภอระโนดจะรวบรวมข้าวแลว้
นำมาทำพธิ รี ่วมกนั โดยใชห้ มอทำขวัญข้าวคนเดยี ว
ความเปน็ มาของประเพณีสมโภชแมโ่ พสพ
ตามประวัติบอกเลา่ สืบต่อกันมาแต่โบราณของชาวล่มุ น้ำทะเลสาบสงขลา เกดิ ขึ้นเนอ่ื งจากเกิดมี
ปัญหาถามว่าระหว่างพระพุทธเจา้ กบั แมโ่ พสพน้ันใครจะมีบุญคุณมากกวา่ กนั ต่างก็มกี ารถกเถยี งกนั ผลท่ีสดุ
มนษุ ยก์ ็ให้แม่โพสพเป็นฝา่ ยพ่ายแพ้ แม่โพสพทั้งเสียใจและนอ้ ยใจเปน็ อย่างมากพลางกล่าวว่า ตงั้ แต่รักษา
มนุษย์มา มนุษย์ได้มีขา้ วกิน ถึงแมว้ า่ สิ่งอน่ื ๆ จะมีพระคุณ แตแ่ ม่โพสพก็ไมค่ วรทีจ่ ะพ่ายแพ้แก่ใคร ๆ กล่าวจบ
แมโ่ พสพกห็ ลกี หนีไปอาศัยอยู่ท่ภี ูเขาทบกัน ตั้งแต่นัน้ มาชาวบ้านต่างก็พากันได้รบั ความ เดอื ดร้อนร้องหม่
รอ้ งไห้ เนื่องจากตน้ ขา้ วเมลด็ ลีบเสียหายหมด เกิดความอดอยากขาดแคลนอาหารไปท่วั ทุกหนทุกแห่ง
จนกระทง่ั มีสตั ว์ 2 ตัว คือ ปลาสลาดและนกคูล้ ารบั อาสาไปรบั แม่โพสพท่ีภเู ขาทบกนั ปลาสลาดสมยั กอ่ น
ลำตัวจะกลม แต่พอเดินทางเข้าไปคาบเอาแมโ่ พสพซึง่ เป็นช่วงท่ภี ูเขากระทบกนั พอดีและทบั เอาลำตวั ปลา
สลาดจนตัวแบน จากนน้ั ปลาสลาดก็คาบเมลด็ ขา้ วหรือแม่โพสพออกมาพ้นจากภเู ขาทบกันได้ นกคลู้ าจึงฉวย
โอกาสแยง่ คาบเมล็ดข้าวพาบินหนีมาจนมาถูกพายุใหญ่ก็ขอร้องใหช้ ว่ ย ปลาสลาดซึ่งว่ายน้ำตามมาทนั พอดี
13
ขณะท่ีนกคู้ลาอา้ ปากจะขอช่วยทำให้เมล็ดข้าวหลน่ ออกจากปากของนกคูล้ า ปลาสลาดกร็ ับไว้แล้วคาบมาจน
กลบั มาถึงที่เดมิ นำมามอบให้พระพุทธเจา้ แจกจ่ายใหป้ ระชาชนนำไปปลูกขยายพันธต์ุ ่อไป ตงั้ แตน่ ั้นมามีการทำ
ขวัญขา้ วเพ่ือรำลึกถึงบญุ คุณของแมโ่ พสพ สืบมาจนกระทั่งปจั จุบัน และปลาสลาดกม็ ลี ำตวั แบนมาจนถงึ บดั นี้
ดังนัน้ เพอื่ เป็นการทำให้แม่โพสพพอใจและอยู่กบั ชาวนาต่อไป จงึ ได้มีการทำพิธีทำขวญั ขา้ ว หรือพิธี
สมโภชแม่โพสพ เปน็ พิธบี วงสรวงแม่โพสพผู้เปน็ วญิ ญาณแห่งข้าว โดยเชื่อว่าถา้ ข้าวมีขวญั สิงอย่ปู ระจำไมห่ ลีก
ลี้ไปไหน
บทวเิ คราะห์
บทบาทหนา้ ทขี่ องคตชิ นในบทบาทที่ 2 คือ การตรวจสอบวัฒนธรรมและท่ีมาของวัฒนธรรม จึง
สามารถอธบิ ายเหตุท่มี าของประเพณสี มโภชเจ้าแมโ่ พสพได้ว่า คนในสมัยก่อนเกิดการโต้เถียงกันเร่ืองบญุ ของ
แมโ่ พสพและพระพทุ ธเจ้านน้ั ใครทมี่ บี ุญมากกว่ากัน และสรุปใหแ้ มโ่ พสพนั้นเปน็ ผทู้ ่มี ีบุญนอ้ ยกว่าจึงเกดิ ความ
เสยี ใจและน้อยใจจงึ หนีไปอยู่ภูเขา ผู้คนต่างเดือดรอ้ นเพราะข้าวไมอ่ อกรวงงามเชน่ เดมิ ทำใหเ้ กดิ ความสำนกึ
ในบุญคุณของแม่โพสพจงึ ได้จัดพิธกี รรมสมโภชแม่โพสพเพ่ือให้ทา่ นพอใจและเป็นการขอบคุณทใ่ี ห้ความอุดม
สมบรู ณ์แก่ผนื นา อกี ท้ังเป็นการอธบิ ายทม่ี าของรปู รา่ ง“ปลาสลาด”ที่มลี ำตัวแบนว่าในสมัยก่อนน้นั ปลาสลาด
ไม่ไดม้ ีลกั ษณะลำตวั แบนแตเ่ ป็นเพราะเดนิ ทางเขา้ ไปคาบเอาแมโ่ พสพซึง่ เป็นชว่ งทภ่ี เู ขากระทบกันพอดีและ
ทบั เอาลำตัวปลาสลาดจนตวั แบน จึงกลายเปน็ ท่ีมาของรปู ร่างปลาสลาด
บทบาทหนา้ ทขี่ องคตชิ นในบทบาทที่ 3 คือ เป็นเครอ่ื งมือการเรียนการสอนท่เี สรมิ สร้างศลี ธรรม
ค่านิยมและเสริมสรา้ งปัญญา จึงสามารถอธิบายความสำคญั ของประเพณนี ี้ได้ว่า ให้รู้จักคณุ คา่ ของอาหาร
โดยแฝงคำสอนใหเ้ ห็นถึงการรจู้ ักบญุ คุณของขา้ วแต่ละเมล็ดท่ีทำให้คนในสงั คมอยดู่ ีมีสขุ มีชวี ิตท่อี ดุ มสมบูรณ์
ทงั้ นี้เพ่ือปลกู ฝงั คุณธรรมและจริยธรรมแก่ลกู หลานดา้ นกริ ิยามารยาทบนโต๊ะอาหาร มจี ิตใจทเี่ ห็นถงึ ความ
ยากลำบากในการเก็บเกยี่ วของชาวนา ในดา้ นพิธีกรรมกแ็ สดงให้เหน็ ถงึ การปลูกฝังความเชื่อตา่ ง ๆ ลงไปเปน็
ภมู ิปัญญาในการสัง่ สอนแก่ลกู หลานของคนสมัยกอ่ น สามารถสะท้อนพิธีกรรมสมโภชเจา้ แมโ่ พสพดว้ ยบทบาท
หน้าทขี่ องคตชิ นดว้ ยบทบาทท่ี 3
1.สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อพนื้ บ้านเกย่ี วกับโหราศาสตร์ทเี่ ป็นการกำหนดวันในการกระทำกจิ ต่าง ๆ
ของคนในสงั คม โดยจะดู “ฤกษ์”เพอ่ื ระบุวันท่ีความเหมาะสมในการทำส่ิงใดสิ่งหนงึ่
2.จากพธิ กี รรมสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ จุดมง่ หมายของพธิ ีกรรมท่ีต้องการให้คนในสังคมมีความปรองดี
ช่วยเหลอื เกือ้ กลู กัน มคี วามม่ันใจและสบายใจในการประกอบอาชีพทำนาและสบื ทอดประเพณีจากบรรพบุรุษ
อย่างไม่ขาดสาย
3.สะท้อนใหเ้ ห็นถึงคติความเชื่อเรอื่ งของเทพและบรรพบรุ ุษ ทำให้พิธีมีความสำคัญและมคี ุณค่า
ทางดา้ นสังคมและวัฒนธรรม โดยใชพ้ ธิ กี รรมทเ่ี ปน็ รปู ธรรมในการอบรมลกู หลานให้เกดิ ความศรทั ธาและเกดิ
ความเป็นหนง่ึ เดียวกนั ในสังคม พิธีกรรมจึงเป็นส่งิ ทจ่ี ะช่วยขดั เกลาคนในสงั คมเปน็ คนดีโดยผา่ นการส่ังสอนที่
แฝงไว้ในประเพณี
14
4.การนำเอาศาสนาพุทธเขา้ มาเกี่ยวข้องกบั พธิ กี รรมแสดงใหเ้ ห็นถงึ อิทธิพลทางด้านศาสนาทีผ่ กู พันกับ
วถิ ชี วี ติ ของคนไทย
ประเพณีสมโภชเจา้ แม่โพสพไดม้ ีการปรากฏพิธีการมดังน้ี
1.การเลอื กวันทำพธิ ี
การสมโภชแมโ่ พสพของชาวอำเภอระโนด จงั หวัดสงขลา จะทำหลังจากเกบ็ เกย่ี วผลผลติ เรยี บรอ้ ย
แล้ว ชาวบา้ นเช่ือว่าการสมโภชแมโ่ พสพเปน็ การประกอบพิธีสดดุ ีแมโ่ พสพ เพื่อความเปน็ สวัสดิมงคล และเพ่ือ
แสดงความชื่นชมยนิ ดีท่ีได้ทำนาประสบผลสำเร็จ ส่วนใหญ่การทำขวญั ข้าวมักจะทำในเดือน ๖ ถา้ เปน็ ข้างขน้ึ
มักจะทำในวนั คี่ เชน่ 13 ค่ำ 15 คำ่ ถ้าเปน็ ขา้ งแรมใช้วนั คู่ เชน่ 8 ค่ำ หรือ 14 คำ่ แตส่ ว่ นมากทำในวันธรรม
สวนะโดยเฉพาะอย่างย่ิงในวันพระ แต่กอ่ นนยิ มทำในคนื วันเพญ็ การทำขวญั ข้าวจะตอ้ งไมเ่ ลือกเอาวนั ที่ถูก
ผีเส้อื ขา้ ว คอื วันทตี่ ำราระบวุ ่า ถา้ หว่านปักดำหรือเกบ็ เก่ียวในวนั นั้นจะถูกผีเสอื้ ข้าวกนิ หมด
การทำขวัญข้าวหรือสมโภชแมโ่ พสพแตเ่ ดิมจะทำในชว่ งพลบค่ำหรอื ทชี่ าวบา้ นเรียกวา่ เวลานกชมุ รงั
ในวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ เวน้ วนั อาทิตย์ วันจันทร์ วนั พธุ วนั ศุกร์ และวนั ทักทิน (ทักทิน มีคำ
นิยามวา่ "วันชัว่ ร้าย" คำน้ีมีใชใ้ นตำราหมอดู เน่ืองในการประกอบการหาฤกษ์มงคล ตา่ ง ๆ จำนวนวนั ทักทิน
อนั เปน็ วนั หา้ ม มิให้ทำการมงคล) คือ วนั ขน้ึ หรือวนั แรมทเี่ ลขวนั และเลขเดือนตรงกัน เช่น เดือน 9 ข้ึน 9 คำ่
แต่ในปัจจบุ นั อำเภอระโนดได้จดั งานพิธสี มโภชแม่โพสพประจำปี โดยให้ประชาชนผสู้ นใจจากหมูบ่ า้ นและ
ตำบล ตา่ ง ๆ ร่วมพิธีด้วยจงึ ได้ปรับเปลีย่ นมาจดั ในชว่ งกลางวัน และทำในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี
2.เครือ่ งเซ่นสังเวย
ประเพณสี มโภชแมโ่ พสพ เกิดจากความเชื่อกันวา่ มีเทพเจ้าเปน็ เจา้ ของมอี ำนาจในการดลบนั ดาลให้ผู้
ปลูกได้ผลผลติ มากหรือนอ้ ย คือ "เจา้ แมโ่ พสพ" ฉะนนั้ จะต้องทำพธิ ีถวายเครื่องเซ่นสังเวยให้แมโ่ พสพ ไดแ้ ก่
2.1 หัวหมู จำนวน 1 หัว หรอื มากกว่านั้น
2.2 ปลามีหัวมหี าง 1 คู่
2.3 ไกต่ ้มตัวผู้ 1 ตวั
2.4 บายศรปี าก 1 คู่ ในบายศรปี ากชามจะมขี นมต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง ถ่วั
งา ข้าวตอก นอกจากนีย้ ังมไี ข่เสยี บที่ยอดบายศรี หรอื อาจมีการนำเงินไปเสยี บทีย่ อดบายศรี และปักเทียนขาว
จำนวน 1 เลม่ ลงไปในบายศรีดว้ ย การจดั บายศรีจะจัดเปน็ ค่โู ดยมกั จะใช้ตงั้ แต่ 1-3 คู่ หรอื จะจดั เป็นกีค่ ู่ก็
แล้วแตส่ ามารถกระทำได้ท้ังส้ินแลว้ แตค่ วามสะดวกของหมอ
2.5 ขนมตม้ แดงขนมต้มขาว เปน็ สิง่ สำคัญท่จี ะขาดไม่ได้ในพธิ ี
2.6 มะพร้าวออ่ น จำนวน ๓ ลูก หรอื มากน้อยกว่านัน้
2.7 ผลไม้ต่าง ๆ ตามสมควร มักจะนยิ มจัดวางใหเ้ ปน็ เลขค่ี 3 5 7 หรือ 9 อย่าง ผลไม้ท่ีนยิ ม
ใช้ เชน่ กล้วยน้ำว้า ออ้ ย ส้มเขยี วหวาน ส้มโอ และขนุน เป็นต้น
2.8 ข้าวตอก ถ่ัว งา เปน็ ส่งิ ทขี่ าดไมไ่ ดใ้ นพิธี
2.9 ดอกไม้ 7 อยา่ ง สว่ นใหญ่จะใชด้ อกไม้ที่สามารถหาไดบ้ ริเวณบ้าน เช่น ดาวเรอื ง ดอกเขม็
บานไมร่ ้โู รย และบานชนื่ เป็นต้น
15
2.10 อาหารคาว 3 7 9 หรือ 12 อย่าง
2.11 หมาก พลู บุหรี่ แสดงถงึ การรบั แขก และเป็นสิง่ ทคี่ นโบราณนยิ มรับประทาน
2.12 อาหารหวาน เช่นเดยี วกบั อาหารคาว มักจะใช้ขนมทมี่ ีชื่อมงคล เชน่ ทองหยบิ
ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนนุ ขนมช้ัน และขนมถ้วยฟู เปน็ ตน้
2.13 ผา้ ขาว ใช้ผ้าขาวขนาดส่เี หลย่ี มจัตรุ ัสสำหรับทำเพดานบนเพอื่ ให้ส่งิ ศักดิส์ ทิ ธิส์ ถิตขณะที่
อัญเชญิ ลงมาเข้าร่วมพธิ ี
อุปกรณ์ท่ใี ชท้ ำนา หรือซากสัตว์ เชน่ เชอื กวัวขาด เขาววั คราด ไถ เปน็ ต้น การต้งั เคร่ืองบชู าอาจตงั้ มากหรอื
น้อยกว่าท่ีกลา่ วข้างต้นนี้ได้ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของหมอแตล่ ะท่าน
2.14 ข้าวทผ่ี า่ นการเก็บเกีย่ ว (จะเปน็ มัดหรือเลียงก็ได)้ เปน็ ตัวแทนของข้าวท้งั หมด
3.สัญลกั ษณใ์ นพิธสี มโภชแมโ่ พสพ
เคร่ืองบูชาเหลา่ นี้มีความหมาย แฝงอย่เู ปน็ สญั ลกั ษณ์ท่ีใช้ในการประกอบพิธจี ะชว่ ยใหเ้ ข้าใจถงึ
พธิ กี รรมนั้น ๆ ได้ดยี ่ิงข้ึน ได้แก่
3.1 หัวหมู เปน็ การบูชาบรรพบุรษุ
3.2 ไก่ตม้ (ใช้ไก่ตัวผ)ู้ ใช้เซ่นสังเวยวญิ ญาณ
3.3 ปลามหี ัวมีหาง แทนความอดุ มสมบรู ณ์
3.4 การน่งุ ห่มสขี าว แสดงถงึ ความบรสิ ุทธิ์ เป็นสขี องพราหมณ์
3.5 อาหารคาวหวาน เปน็ เคร่ืองบชู า เพ่ือถวายสิ่งศักดส์ิ ทิ ธิ์
3.6 ดอกไม้ แสดงถึงความเคารพ เปน็ เคร่ืองบูชาทีแ่ สดงถึงความอ่อนน้อม อ่อนโยน
3.7 ธปู ๓ ดอก เปน็ สญั ลักษณ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3.8 เทยี น เป็น สัญลกั ษณ์ทางศาสนา แสงเทยี นทีเ่ ปน็ ประกายแสดงถึงจิตอันสวา่ งไสว และ
สมาธิ
3.9 ขา้ วตอก แสดงถงึ ความงอกเงยของความรู้
3.10 ผ้าขาว ใชท้ ำฝา้ เพดานเปรียบเสมอื นเคร่ืองกั้นระหวา่ งโลกมนุษยก์ บั สวรรค์ เป็นทีส่ ถิต
ของเทวดาเม่ือกลา่ วอัญเชิญลงมายังพธิ ี
3.11 มะพร้าวอ่อน แสดงถึงความบรสิ ุทธ์ิ
3.12 ขนมต้มแดงขนมตม้ ขาว เป็นเครอ่ื งบูชาครู
3.13 กลว้ ย ออ้ ย ขนนุ เปน็ ส่ิงทคี่ นโบราณกินเพ่ือดำรงชีพ
3.14 หมาก พลู และบุหร่ี เป็นสง่ิ ทีค่ นโบราณนยิ มกนิ และใช้รับแขก
3.15 นำ้ ชา นมสด และน้ำผง้ึ เหลา้ เปน็ เครื่องบชู าพระฤๅษีตา่ งๆ
3.16 ไขเ่ สียบยอด หมายถึงการใหก้ ำเนิดชีวติ
3.17 เงนิ ตดิ เทียน เป็นเคร่ืองบชู า
3.18 อปุ กรณ์ทำนา แทนเครื่องประกอบอาชีพ เพื่อความเปน็ สิริมงคล
3.19 ทอง แทนสิ่งมีค่า
16
3.20 ใบไม้และผลไม้ ประจำท้องถนิ่ เช่น ใบชุมเหด็ ใบชุมแสง ฝรัง่ กล้วย ออ้ ย ยา่ นลิเพา
เป็นตน้ เปน็ สัญลกั ษณ์แทนความอุดมสมบรู ณ์ เป็นตน้
ขั้นตอนการทำพิธี
การทำพิธีสมโภชแม่โพสพของชาวอำเภอระโนด จะมีพิธสี งฆ์ และพิธีพราหมณ์ โดยหมอซ่ึงทำขวัญ
ข้าวจะเป็นคนเฒ่าคนแกใ่ นพ้ืนท่ี โดยมีขัน้ ตอนดังน้ี การทำพธิ จี ะเรม่ิ ในช่วงเชา้ โดยคณะผบู้ ริหารองค์กร
ปกครองส่วนท้องถน่ิ ตัวแทนชาวนา และประชาชนท่วั ไป จะมารวมกนั เพ่ือร่วมทำพิธสี มโภชแม่โพสพ และทำ
ขวัญขา้ ว ณ บรเิ วณวงเวียนแมโ่ พสพ หนา้ วัดราษฎรบ์ ำรงุ เขตเทศบาลตำบลระโนด อำเภอระโนด จงั หวดั
สงขลา พราหมณ์ทำขวัญขา้ ว (หมอทำขวญั ข้าว) จะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ซ่ึงไดเ้ ตรียมไว้ คอื เครอื่ งเซ่นสังเวยแม่
โพสพ สำหรบั เครื่องเซน่ สงั เวยทีน่ ำมาใช้ในการประกอบพิธี ได้แก่ อาหารคาว หวาน เคร่ืองบูชา วางไวบ้ นโตะ๊
ในการต้ังเครอ่ื งบชู าอาจตั้งมากหรือน้อยกว่าท่ีกล่าวขา้ งต้นน้ีได้ ทง้ั นีข้ ้ึนอยู่กบั ความสะดวกของหมอแตล่ ะคน
แตส่ ง่ิ ทจี่ ะขาดไม่ได้ คอื ข้าวที่ผ่านการเกบ็ เกี่ยวแล้วจะเป็นมดั หรือเลียงก็ได้ เปน็ ตวั แทนของข้าวท้งั หมด แล้ว
ผูกด้ายมาวงลอ้ มรอบขวญั ขา้ ว วางสายสิญจน์รอบเครื่องบายศรี และเคร่ืองบชู าในพิธี
ในการประกอบพิธกี รรมหมอจะแต่งกายอยา่ งประณีต คือ นุ่งขาวหม่ ขาว สวมชุดปกตแิ ต่ห่มเฉยี งด้วย
ผา้ ขาวหรือผ้าขาวมา้ หรือไม่หม่ ขาวเลยข้ึนอยู่กับการถือปฏบิ ตั ขิ องหมอแต่ละคน แต่สว่ นใหญ่จะเป็นชดุ ที่มีสี
ออ่ นๆ หมอจะนง่ั อย่างสำรวม เมือ่ เตรยี มเคร่อื งบูชาเรยี บร้อยแลว้ หมอจะสำรวจความเรียบรอ้ ยของเคร่ือง
บูชาอีกครัง้ เพื่อไม่ใหม้ ีอะไรขาดตกบกพร่อง เม่ือสำรวจเรยี บรอ้ ยแลว้ จงึ เร่มิ เชิญประธานในพธิ จี ุดธปู เทยี น
บชู าเครื่องสงั เวย โดยแจกจา่ ยธปู ใหผ้ เู้ ข้าร่วมงานในพธิ ีปักธูปบนเครื่องสงั เวยทุกชนิดท่ีมีอยู่
หลังจากนน้ั หมอจะประกอบพธิ ี หมอจะทำหนา้ ท่เี ป็นสอ่ื กลางเพื่อเชื่อมระหวา่ งเทพเจา้ หรอื ส่ิงศักดิ์สิทธิ์กับ
มนษุ ย์ โดยใช้การสวดบทชุมนุมเทวดา เพ่ือเชญิ เทวดาและสิ่งศกั ดิส์ ิทธ์ิลงมาในพธิ ี แล้วจึงสวด พระคาถาต่าง ๆ
ตลอดจนถึงคำอัญเชญิ โองการตา่ ง ๆ ซ่งึ คาถาเหล่าน้มี ีท้ังท่ีเปน็ ภาษาบาลี และเปน็ ภาษาไทย ในการสวดมนต์
หมอจะสวดเสียงดังกงั วานและในสว่ นของบทอัญเชิญทเ่ี ป็นภาษาไทย หมอทำขวัญขา้ วจะอ่านโดยใชท้ ำนอง
คลา้ ยทำนองเสนาะ มีการทอดเสียง เปล่งเสียง และเอื้อนซ่ึงมีความไพเราะ และบางชว่ งหมอจะสวดโดยไม่
เปล่งเสยี งออกมา เพียงแต่ทำปากขมบุ ขมิบเท่านน้ั ซึ่งหมอทำขวัญขา้ วจะกระทำพิธกี รรมตา่ ง ๆ อย่างสำรวม
จนจบพิธี
17
3.ประเพณเี ปล่ียนผา้ พระสามองค์
ภาพ: องคพ์ ระทัง้ สาม
ทีม่ า: https://travel.gimyong.com/?swp=content&t=284
ประวตั คิ วามเป็นมา
พระพุทธรูปสามองค์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่โบราณ
กาล ประดิษฐานอยู่ ณ วัดเทพาไพโรจน์ หมทู่ ่ี 4 ตำบลเทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา สร้างด้วยศิลาทราย
แดงนั่งเรียงกันในศาลา ฝาผนงั กั้นทบึ ทงั้ สดี่ า้ น ทางเขา้ ออกเปน็ ประตูไม้ ชาวบ้านเรยี กวา่ “พระสามองค์”
เรือ่ งเล่าการเกิดประเพณีเปล่ยี นผ้าพระสามองค์
เล่ากนั ว่าเมือ่ คร้ังขา้ หลวงนายอ่อน ปกครองอำเภอเทพาน้นั ไดส้ ร้างศาลาเป็นท่ีพักอยู่หน้าเมืองเพื่อไว้
เป็นที่พักก่อนเข้าเมือง และที่ศาลานี้มีพระรูปหนึ่งชื่อ “พระนวล” ซึ่งเป็นพระธุดงค์ ท่านได้นำอาหารซึ่ง
ชาวบ้านนำมาถวายที่เหลือจากฉันมาปั้นพระพุทธรูปแล้วห่อด้วยดินเหนียวเป็นพระพุทธรูป(พระจังหัน) นำ
เกสรดอกไม้ที่ใช้บูชาพระที่แห้งเหี่ยวมาปั้นเป็นพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง(พระเกสร) และนำเศษขี้เถ้าไม้แก่น
จันทร์ ซึ่งเป็นไม้หอมป้ันเป็นพระพุทธอีกองค์หนึ่ง (พระแก่นจันทร์) ด้วยความตั้งใจของพระนวลนั้นเข้าใจว่า
พระสามองค์นี้คงจะแทนพระรัตนตรยั โดยใหป้ ระดิษฐานอยู่บนศาลา และได้กระทำพธิ ีปลุกเสกเป็นที่สักการะ
ของชาวเมืองเทพา ซึ่งได้พร้อมใจกันสร้างโครงโบกปูนทับไว้อีกครั้งหนึ่ง พระสามองค์ได้แสดงอภินิหารต่าง ๆ
ชาวบ้านที่บนบานศาลกลา่ วกไ็ ดส้ มปรารถนา จึงเป็นท่ีเคารพสักการะเปน็ พระคู่บ้านคูเ่ มืองเปน็ ต้นมา
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพระสามองค์นั้นมีมากโดยเฉพาะชาวจีนที่มีความนับถือ จึงได้มีการบวงสรวง
สักการะเป็นประจำทุกปี พระสามองค์จึงเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของเทพามาจวบถึงทุกวันนี้ ในเดือนเมษายน
ของทุกปี ประชาชนชาวอำเภอเทพาและอำเภอใกล้เคียงจะร่วมกันสรงน้ำ และเปลี่ยนผ้าให้พระสามองค์เป็น
ประจำ จนกลายเปน็ ประเพณี ซึ่งเรียกว่า “ ประเพณีเปลีย่ นผ้าพระสามองค์ ” ซึง่ จะจัดขึน้ ในวนั ท่ี 9 เมษายน
ของทกุ ปี (ประเพณเี ปลยี่ นผา้ พระสามองค,์ ม.ป.ป.)
18
บทวเิ คราะห์
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 2 นี้คือการตรวจสอบวัฒนธรรมและที่มาของวัฒนธรรม จึง
สามารถอธิบายเหตุที่มาของประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์ได้ว่า ประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์ มีที่มาว่า
พระสามองคไ์ ดแ้ สดงอภนิ หิ ารตา่ ง ๆ ชาวบา้ นท่บี นบานศาลกล่าวก็ได้สมปรารถนา จงึ เป็นทีเ่ คารพสกั การะเป็น
พระคู่บ้านคู่เมือง และได้มีการบวงสรวงสักการะเป็นประจำทุกปี ชาวบ้านจะร่วมกันสรงน้ำ และเปลี่ยนผ้าให้
พระสามองค์เป็นประจำ จนกลายเป็นประเพณี ซึ่งเรียกว่า “ ประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์ ” ซึ่งมี
จดุ มุง่ หมายของประเพณดี งั นี้
1. เพ่ือใหช้ าวบ้านไดม้ ีสว่ นร่วมในการแสดงออกถึงความเล่ือมใส ศรทั ธา ตอ่ พระพทุ ธศาสนา
2. เพอ่ื อนรุ ักษ์ เผยแพร่ และส่งเสรมิ วฒั นธรรม อนั เป็นวิถีชีวติ ทบ่ี รรพบุรษุ สบื ทอดตอ่ ๆ กนั มา
3. เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และร่วมกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชน
อำเภอเทพา
4. เพอ่ื เปน็ สิริมงคลแกต่ นเองและครอบครัว
ประเพณีเปลย่ี นผา้ พระสามองคม์ ีพธิ ีการดังน้ี
ข้ันตอนประเพณี
ผา้ ทใ่ี ช้ในการเปล่ียนผ้าพระสามองค์ เป็นผ้าสีเหลอื งมี จำนวน ๓ ผืน ใชใ้ นการเปลยี่ นผา้ พระสามองค์
ซ่งึ จะต้องเปลี่ยนผ้าผนื ใหม่ให้กบั พระสามองค์ทุกปี ผ้าสีเหลอื งดงั กลา่ วจะต้ังอยู่ทีว่ ัดสรุ ิยาราม ก่อนจะถึงวันทำ
พิธี เนื่องจากเจา้ คณะตำบลท่าม่วง-ลำไพล ผู้รับผดิ ชอบวัดสุริยารามและเป็นผู้รับผดิ ชอบวัดเทพาไพโรจนด์ ้วย
เชน่ กนั โดยมอี งค์การบรหิ ารสว่ นตำบลทุกตำบลร่วมกบั อำเภอเทพารบั ผดิ ชอบงานประเพณีเปลย่ี นผ้าพระสาม
องค์ แต่จะมีองค์การบริหารส่วนตำบลเพียง ๓ ตำบล ในอำเภอเทพาที่ต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบ
ขบวนแห่ผ้าสามองค์ทุกปี ซ่ึงในแต่ละปีองค์การบริหารส่วนตำบลไหนจะเป็นเจ้าภาพในแต่ละปีนั้น ขึ้นอยู่กับ
คณะกรรมการการจดั งานประเพณีเปลย่ี นผ้าพระสามองคป์ ระชมุ พิจารณา
ขบวนรถแห่ผ้าพระสามองค์
องค์การบริหารสว่ นตำบลท่เี ปน็ เจา้ ภาพหลักจะต้องรบั ผิดชอบในส่วนของการจัดขบวนแห่ผ้าพระสาม
องค์ ซึ่งจะต้องตกแต่งขบวนรถแห่ให้มีความสวยงาม ในวันที่ 8 เมษายนของทุกปี เพื่อนำไปร่วมขบวนแห่ใน
วนั รงุ่ ขึ้น ขบวนรถแห่ผา้ แตล่ ะคนั จะมีการประดบั ตกแต่งรถให้มีความสวยงาม ภายในรถจะจดั วางผา้ สีเหลือง 1
ผืน บนพานแวน่ ฟ้า ซึ่งจะมีรถทใ่ี ชแ้ หผ่ ้าทั้งส้ิน จำนวน 3 คัน ผา้ สเี หลือง 3 ผืน พรอ้ มทงั้ บายสี 1 คู่นอกจากน้ี
ยังมีการจัดตรียมขบวนนางรำหรือขบวนกลองยาว นำหน้ารถขบวนแห่ เพื่อแห่ออกไปยังวัดเทพาไพโรจน์ ซึ่ง
เปน็ สถานที่ในการประกอบพิธเี ปล่ียนผ้าพระสามองค์
ขั้นตอนการทำพิธี
ในวันที่ 9 เมษายน ของทุกปี ขบวนรถแหผ่ า้ พระสามองค์ จะเรม่ิ ตง้ั ขบวนรถ ณ บริเวณทว่ี า่ การอำเภอ
เทพา โดยองค์การบริหารส่วนตำบลที่รับผิดชอบในแต่ละปี นำรถแห่แต่ละคันมีการประดับตกแต่งอย่าง
19
สวยงาม พร้อมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมขบวนแห่มาจัดขบวนให้พร้อม เมื่อถึงเวลา 7.30 น. ขบวนแห่ก็จะเร่ิม
เคลื่อนขบวนแห่ออกจากที่ว่าการอำเภอเทพา ไปตามเส้นทางต่าง ๆ ภายในเขตเทศบาลตำบลเทพา ไปยัง
จุดหมายปลายทางที่วัดเทพาไพโรจน์ เมื่อขบวนรถแห่และชาวบ้านที่ร่วมขบวนแห่มาถึงในบริเวณวัดเทพา
ไพโรจน์ ชาวบ้านก็จะนำพานที่มีผ้าสีเหลืองที่จะใช้ในพิธีทัง้ 3 พาน และบายสี 1 คู่ นำลงมาไว้ในศาลาซึ่งได้มี
การจัดเตรียมสถานทไ่ี ว้ เพือ่ ร่วมปฏิบตั พิ ธิ ที ีเ่ รยี กว่า สวดผา้ หรือสมโภชผ้า ในช่วงบ่าย
ช่วงเช้าจะเปน็ พิธีถวายผ้าปา่ กอ่ นพธิ ถี วายผ้าป่าจะเร่ิมข้ึน มกี ารจัดแสดงศิลปะและวฒั นธรรมท้องถ่ิน
ของนักเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ เช่น การแสดงสิละ การรำโนรา เป็นต้น หลังจากนั้นจะเป็นพิธีถวายผ้าป่า
ซึ่งชาวบ้านในอำเภอเทพาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ โดยนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป เริ่มพิธีทอดผ้าป่า สำหรับ
เครื่องบริขารการทอดผ้าป่า ประกอบด้วย ผ้าบังสุกุล 1 ผืน เป็นผ้าจีวร สบง หรือสังฆาฎิ เครื่องไทยธรรมซึ่ง
เปน็ วัตถุสิ่งของทีส่ มควรแก่พระสงฆใ์ ช้สอยซง่ึ ไม่ขดั ต่อพระธรรมวินัย และปัจจัยพุ่มผ้าป่า
คณุ ค่า/ความเชือ่
การได้ร่วมประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์ เป็นการทำบุญโดยวิธีหน่ึงท่ีทำใหช้ าวบ้านได้มโี อกาสทำนุ
บำรุงพระพุทธศาสนา และพร้อมใจกันนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติ และเป็นการบวงสรวง
สักการะบูชาพระสามองค์ที่ชาวบ้านมีความเชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์บนบานศาลกล่าวสิ่งใดก็ได้สม
ปรารถนาจึงเป็นที่เคารพบูชาว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอเทพาเป็นต้นมา ทั้งทั้งเป็นการทำบุญปีใหม่
ไทยอกี ดว้ ย (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวดั สงขลา, 2562)
20
ประเพณที อ้ งถิน่ ประจำจังหวัดปัตตานี
1.ประเพณงี านสมโภชเจา้ แม่ล้ิมกอเหน่ยี ว
ภาพ: พิธีลยุ นำ้ ลยุ ไฟ
ทีม่ า:https://www.sanook.com/travel/946762/
ประเพณงี านสมโภชเจ้าแมล่ ้ิมกอเหน่ียว ศาลเจา้ เลง่ จเู กียง หรอื เปน็ ที่รจู้ กั ในนาม ศาลเจา้ แมล่ ม้ิ กอ
เหนย่ี ว เป็นศาลเจา้ ตามคตจิ ีนหน่งึ ในสามแหง่ ของจงั หวดั ปตั ตานี ตงั้ อยบู่ รเิ วณเชงิ สะพานเดชานุชติ ในเขต
เทศบาลเมืองปัตตานี ถอื เปน็ ศนู ย์รวมจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจนี ในจังหวดั ปตั ตานีและใกลเ้ คยี ง ภายใน
ประดิษฐานเจ้าแมล่ ิ้มกอเหน่ยี ว (ภาษามลายูปตั ตานวี า่ โต๊ะแปะกงแมะ หรือโตะกงแมะ) โดยมตี ำนานท่ยี ดึ โยง
กับสถานที่และโบราณสถานอ่ืน ๆ ในจงั หวัด
ตำนานเจา้ แมล่ ิม้ กอเหนยี่ ว
ศาลเจ้าเล่งจูเกยี งก่อต้ังขน้ึ โดยชาวจีนในเมืองปัตตานเี ม่ือปี พ.ศ. 2117 ยคุ จกั รพรรดิว่านลีแ่ หง่ ราชวงศ์ห
มิงตรงกับรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา เดิมมีชื่อว่าศาลเจ้าซูก๋ง เพราะมีโจ๊วซูก๋งหรือ
พระหมอเป็นเทพหลักของศาล ต่อมาไดร้ ับการบูรณะและจดั งานสมโภชโดยหลวงสำเร็จกิจการจางวาง (ตันจง
ซิ่น) เมื่อปี พ.ศ. 2407 หลังจากนั้นพระจีนคณานรุ ักษ์ (ตันจูล่าย) ได้อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนีย่ วจากบ้านกรือ
เซะมาประดิษฐานในศาล และตั้งชื่อศาลใหม่ว่า "ศาลเจ้าเล่งจูเกียง" แต่นิยมเรียก "ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว"
เปน็ ศาลเจ้าทีเ่ ก่าแกท่ สี่ ดุ ในไทยในปจั จบุ นั ตามตำนานเจ้าแม่ลิม้ กอเหนีย่ วกลา่ ววา่ เป็นหญิงชาวจีนตระกูลลิ้ม
หรือหลมิ มพี ช่ี ายช่อื ลิ้มโต๊ะเคีย่ มซ่ึงต่อมาได้เดนิ ทางมารบั ราชการทเี่ มืองปัตตานแี ละสมรสกบั ธิดาของเจ้าเมือง
เข้ารีตอิสลามและไม่หวนกลับบ้านเกิดเมืองนอน มารดาที่อยู่ในประเทศจีนก็คิดถึงบุตรชายยิ่งนักเพราะไม่
ติดต่อกลับมาเลย ลิ้มกอเหนี่ยวสงสารมารดาจึงอาสาออกตามหาพี่ชาย จนพบกับลิ้มโต๊ะเคี่ยมที่บ้านกรือเซะ
และอาศยั อยู่ท่ีนั่นยาวนานกเ็ พ่ือชวนให้พีช่ ายกลับเมืองจีนไปพบมารดา แตพ่ ่ีชายกลับปฏเิ สธเพราะกำลังสร้าง
มสั ยดิ กรอื เซะ เมอ่ื ไมส่ ามารถทำให้พช่ี ายกลับประเทศจีนตามความประสงค์ของมารดา ลมิ้ กอเหนี่ยวจึงผูกคอ
ตายใตต้ ้นมะมว่ งหิมพานต์ ดว้ ยความอาลยั ลิ้มโตะ๊ เค่ยี มจงึ สรา้ งฮวงซุ้ยให้แก่น้องสาวตามประเพณี แต่เมื่อชาว
จนี ไดท้ ราบถงึ ความกตัญญรู กั ษาสตั ย์ จงึ มีชาวบ้านไปบนบาน กอ่ นนำไม้มะม่วงหิมพานต์นั้นมาแกะสลกั เป็นรูป
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้ากรือเซะ ภายหลังได้ย้ายไปประดิษฐาน ณ ศาลเล่งจูเกียงจนถึง
21
ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับนับถือในกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนสืบต่อมา แม้กระทั่งลูกหลานชาวจีนที่เปลี่ยนเข้ารับ
ศาสนาอิสลามและใช้ภาษามลายูไปแลว้ แตบ่ างส่วนก็มีไปขอพรหรือบนบานกบั เจ้าแม่ลิ้มกอเหน่ียว ในวันฮารี
รายอก็จะมกี ารเซน่ สรวงเจ้าแม่ และเมือ่ พิธแี ห่เจ้าแม่เดอื นสามชาวมุสลิมเช้ือสายจนี ก็จะไปชมขบวนเพื่อระลึก
ถึง
ทั้งนศ้ี าลเจ้าเลง่ จเู กียงมีความศกั ดิ์สทิ ธแ์ิ ละมีช่อื เสียง โดยมีพระมหากษัตรยิ ์ไทยได้เสด็จมายงั ศาลเจ้า
แห่งนสี้ ามพระองค์ ไดแ้ ก่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช โดยพระมหากษัตรยิ ท์ กุ พระองค์ท่เี สด็จมาจะ
พระราชทานกระถางธปู เปน็ ประจำได้แก่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั และสมเด็จพระนางเจา้
อนิ ทรศักดศิ จี พระวรราชชายาได้พระราชทานรูปเคารพเจา้ แม่กวนอิมและกระถางธูปทองเหลอื งขนาดใหญ่แก่
ศาลเล่งจูเกยี ง เพอื่ อุทิศพระราชกุศลถวายแด่พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั สว่ นพระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช เสด็จพร้อมด้วยสมเดจ็ พระนางเจา้ สิรกิ ิติ์ พระบรมราชนิ ีนาถ, สมเด็จ
พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ อัครราช
กมุ ารี เสดจ็ มาเคารพศาลเจ้าแห่งน้ีหลายครง้ั บางครั้งกเ็ สด็จเปน็ การสว่ นพระองค์
งานสมโภชเจ้าแม่ล้ิมกอเหนี่ยว
เรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนีย่ วเป็นทีก่ ล่าวขานในสังคมคนจีนในปัตตานี และเป็นที่มาของการสมโภชเจ้า
แม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยจะจัดหลังจากตรุษจีน 15 วันของทุกปี หรือ ขึ้น15ค่ำ เดือนอ้าย ตามจันทรคติของจีน
หรือ วนั เพญ็ เดือน3 ตามจนั ทรคติของไทย
ในตอนเท่ยี งคนื ของวนั สนิ้ ปีตามจนั ทรคตจิ นี จะมีการเปิดศาลเจา้ แม่ล้ิมกอเหนย่ี ว บา้ นกงสี และบา้ นเลขท่ี
3 ถนนอาเนาะรู เพื่อให้ประชาชนได้สักการะ มีการเชิดสิงโต และอัญเชิญองค์เจ้าที่จาก บ้านเลขที่ 3 ถนนอา
เนาะรู ไปยังศาลเจา้ แม่ลมิ้ กอเหนี่ยว
เช้าวันที่ 12 เดือน 1 ของจีน จะมีการอัญเชิญน้องพระหมอ และน้องเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ไปบ้านเลขท่ี
3/1 ถนนอาเนาะรู และอญั เชญิ เจา้ ทีก่ ลับไปยังบา้ นเลชที่ 3 ถนนอาเนาะรู พรอ้ มท้ังอัญเชิญเจ้าแม่กวนอิมออก
จากบ้านกงสไี ปยังศาลเจา้ แม่ลิ้มกอเหนย่ี ว (ศาลเจา้ เลง่ จเู กยี ง)
เที่ยงคืนวันที่ 13 เดือน 1 ของจีน มีพิธีกรรมเตรียมวัตถุมงคลเพื่อใช้ในงาน ได้แก่ ยันต์ หรือ ฮู้ ซึ่งเป็น
กระดาษแถบกวา้ งประมาน 2 นวิ้ ยาวประมาณ 6 น้ิว ใน 1 ชดุ ประกอบดว้ ย ยนั ต์พระหมอ ยนั ต์เจา้ แม่ล้ิมกอ
เหนี่ยว และเจ้าแม่ทับทิม โดยมีการพิมพ์สำเร็จรูป และจะมีการประทับตราศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอ
เหนยี่ ว (ศาลเจ้าเลง่ จูเกียง) มีการทำน้ำมนต์สำหรบั รดตัวผู้ทำพธิ ลี ุยไฟ โดยการนำขี้เถ้าธูปจากกระถางธูปหน้า
แทน่ บูชา 5 แทน่ มาโรยในโอง่ น้ำ และปดิ ผนึกฝาโอง่ ดว้ ยยันตท์ เ่ี ตรียมไว้
สำหรับถ่านในพิธีลุยไฟ จะใช้ไม้เนื้ออ่อน ขนาด 2 นิ้ว โดยในแต่ละปีจะใช้ประมาณ 20-25 กระสอบ โดย
ต้องนำถ่านมาล้าง และนำเศษขยะออก ตากให้แห้ง และนำถ่านจำนวนหนึ่งมาเตรียมเป็นเชื้อเพลิงสำหรับจดุ
ไฟ โดยนำมาตราประทบั ศักด์สิ ิทธิแ์ ละพรมนำ้ มนต์
22
ใบไม้มะพร้าว ที่ใช้สำหรับใส่กองไฟ จะมีการเตรียมโดยการนำมาล้างให้สะอาด และตากให้แห้ง นำใบ
มะพร้าวสว่ นหน่งึ มาประทับตราศกั ดิส์ ิทธ์ิและพรมน้ำมนต์
เกลอื และขา้ วสารที่ใช้สำหรบั ซัดเข้าไปในกองไฟ และโปรยเมือ่ ปักหลกั เป็นการปดั รงั ควาน โดยนำเกลือและ
ขา้ วสารมาพรมนำ้ มนต์
ผ้าแดงผกู องค์พระ จะพนั ทบกว้างประมาณ 6 น้วิ ยาวประมาณ 2.5 เมตร ใชส้ ำหรบั มัดองคพ์ ระกับเกี้ยวท่ี
ใช้ในการแห่ โดยจะเตรียมไว้ 19 ผืน โดยจะนำมาประทับตราศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงผ้าแดงสำหรับผูกข้อมือผู้ที่เขา้
พิธแี หพ่ ระ จะมีการเตรยี มโดยนำฮ้มู าโรยด้วยขเ้ี ถา้ ธูป พับใหเ้ ปน็ ก้อน และหอ่ ดว้ ยผา้ แดงยาวประมาณ 15 นิ้ว
ในแต่ละปีจะเตรียมไว้ประมาณ 1000 ชุด และหลักไม้ จะเป็นไม้ไผ่ กว้างประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 8 น้ิว
ห้มุ ดว้ ยฮู้ สำหรบั พระหมอในการปกั หลกั บอกเขต
เวลา 5 ทุ่ม ของวันที่ 14 เดือน 1 ของจีน จะทำการเชิญเกี้ยวขององค์พระนอกศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
(ศาลเจ้าเล่งจูเกียง) ออกจากศาลไปยังแต่ละบ้าน ในเวลาเที่ยงคืนจะปิดประตูศาล เพื่อเป็นการเริ่มพิธีกรรม
ทอดเบี้ยเสี่ยงทาย โดยการถือลูกเบี้ยวนเหนือกระถางธูปใหญ่หน้าองค์พระหมอ 3 รอบ และโยนเหนือศีรษะ
จนกว่าจะได้ลกู เบี้ยควำ่ และหงายอย่างละ 1 อนั โดยจะมีการเสยี่ งทายดงั นี้
1. เวลานำเก้ยี วเข้าศาลเจา้ แมล่ ิ้มกอเหน่ยี ว (ศาลเจา้ เลง่ จูเกียง)
2. เวลาอัญเชิญองค์พระประทับบนเกี้ยว
3. ลำดบั องค์พระทจ่ี ะประทบั บนเกีย้ ว
4. เวลาก่อกองไฟสำหรบั พธิ ลี ยุ ไฟ
วนั ที่ 15 เดือน 1 ของจนี จะอัญเชิญองค์พระประทับเก้ยี ว โดยอุ้มลงจากแทน่ ไปประทบั บนเก้ียว โดยมีคน
ใช้กระดาษทองกอจี๊จุดไฟโบกปัดนำหนา้ ซึ่งเป็นการปัดรังควานตลอดทาง หลังจากนั้นจะใช้ผ้าแดงที่เตรียมไว้
มัดองค์พระไว้กับเกี้ยวอย่างแน่นหนา้ โดยผู้มัดจะต้องมีประสบการณ์ เพื่อป้องกันไม้ให้องค์พระแตกหักได้ ใน
ขบวนแห่พระ เกยี้ วข้องพระหมอจะมผี ู้อญั เชญิ ฟันปลาฉนากศักดิ์สิทธ์ิ และหบี บรรจหุ ลักไม้ เกลือและข้าวสาร
เดินตามไปตลอดทาง
สำหรับเกี้ยวขององคเ์ จ้าแม่ล้ิมกอเหนี่ยวจะมีขบวนงิว้ และมโนราห์เดินตามตลอดทาง ในระหว่างนั้น บ้าน
กงสีและบ้านเลขที่ 3 และบ้านเลขที่ 3/1 จะอัญเชิญองค์พระลงเกี้ยว เมื่ออัญเชิญองค์พระออกจากศาล
หมดแล้ว ขบวนเกี้ยวจะแห่อยู่บริเวณหน้าศาล และผู้ที่ทำการหามเกี้ยวพระหมอจะทำการปักหลัก โดยผู้หาม
เกี้ยวด้านหน้า 2 คนทรุดตัวลง ในลักษณะนอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น ให้ปลายคันหามทิ่มพื้น และจะมีการ
ตอกหลักไม้บริเวณนั้น และจึงโปรยเกลือและข้าวสาร องค์พระหมอจะปักหลักด้านหลังโรงมโนราห์ ทั้งซ้าย
และขวา บรเิ วณหวั ถนนอาเนาะรูด้านทิศตะวนั ออก และปกั หลกั บริเวณกองไฟท่ีกลางลานหน้าศาล ผ้ทู ำพิธีจะ
มีการเตรียมทำพิธีก่อไฟตามฤกษ์ที่ได้เสี่ยงทายไว้ เมื่อพระหมอปักหลักครบทุกสถานที่แล้ว จะมีการทำพิธีลุย
นำ้ ที่สะพานเดชานชุ ิต และมงุ่ หนา้ ไปตำบลจะบังติกอ ตำบลตะลุโบะ และกลับเขา้ สู่เขตตลาด ก่อนจะทำพิธีลุย
ไฟ
23
พธิ ีลุยน้ำ ลยุ ไฟ
“…ไม่มีไฟที่ไหนไม่ร้อน คนโดนไฟลวกก็เคยมี แต่ลุงแบกเกี้ยวมา 40 ปียังไม่เคยโดนไฟลวกสักครั้ง ลุงคิด
เสมอว่าเราคิดดี ทำดมี าโดยตลอด เจ้าแม่ลมิ้ กอเหนี่ยวจะคุ้มครอง…” (สาทร กาญจนซมิ . ม.ป.ป.)
ในพิธีลุยไฟจะมีการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าร่วมแบกเกี้ยวแห่องค์พระ เทพ เซียน ทั้งหมด 25 องค์ โดย
ผู้ชายทุกคนสามารถทำได้ แต่ต้องมีร่างกายที่สะอาด งดเว้นข้องเกี่ยวกับสตรีเพศอย่างเด็ดขาด โดยคนที่แห่
จะต้องไม่มีการกะเกณฑ์ ขอร้อง หรือบังคับจ้างวานให้มาทำพิธีนี้ กล่าวคือทำหน้าที่ด้วยความศรัทธา และ
เด็กผ้ชู ายจะมหี น้าทใ่ี นการชว่ ยเป็นลูกมือหยบิ จบั ในสว่ นของพิธกี รรมตา่ งๆ
โดยการลุยไฟจะทำหลังจากทำพธิ ลี ยุ นำ้ เสรจ็ แลว้ ซง่ึ จะใช้ถ่านประมาณ 20-25 กระสอบ โดยเมื่อก่อไฟให้
ติดจนถ่านแดงแลว้ จะอัญเชิญพระหมอเข้าลุยไฟเป็นองคแ์ รก และองค์อื่นๆจะลุยตาม โดยแต่ละองคจ์ ะลุยไฟ
กี่เที่ยวก็ได้แลว้ แต่กำลงั ศรทั ธาเช่นเดียวกันกับพิธลี ุยน้ำ สำหรบั พิธลี ุยน้ำ ตามตำราเช่ือว่าเป็นการเช่ือมโยงถึง
ประวัตศิ าสตรท์ ีค่ ร้ังหนงึ่ เคยมกี ารแห่พระหมอลงน้ำเพื่อปัดเป่าโรคภัย เมอ่ื ถงึ เวลา เกยี้ วพระหมอจะมาถึงเป็น
ลำดับแรก แต่เนื่องจากพระหมอแกะสลักจากไม้และมอี ายุมากกว่า 445 ปี จงึ ทำเพยี งพธิ ีแตะนำ้ แต่เก้ียวอื่นๆ
จะถูกแบกข้ามแมน่ ำ้ ปตั ตานี ซึ่งจะเป็นกร่ี อบนนั้ ตามแต่กำลังความศรัทธา โดยใน 1 เกย้ี วจะมีคนหาม 4 คน
ในการหามเก้ียวลงนำ้ จะเห็นได้ถงึ ความสามัคคีกันของคนในชุมชน หลายครง้ั ทค่ี นหามเก้ยี วกำลังจะจมน้ำ
ผู้คนบนฝั่งจะกระโจนลงน้ำเพื่อช่วยแบกโดยไม่การร้องขอให้ช่วยแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง หมอ
ชาวประมง ทุกคนล้วนชว่ ยกนั ประคองเกย้ี วให้ขึ้นฝงั่ ในพิธลี ุยนำ้ จะเหน็ ได้ถงึ ความรัก ความสามคั คี และความ
เขม้ แขง็ ในชมุ ชนชาวไทยเชื้อสายจนี ในจงั หวดั ปัตตานี
สำหรับพิธีลุยน้ำ ลุยไฟ จะต้องเสร็จสิ้นก่อนเวลา 18.00 น. เพื่ออัญเชิญองค์พระ เทพ เซียนทั้งหมดกลับ
ประดษิ ฐานในศาลเจ้า และในอีก 1 ปจี งึ จะเปิดประตใู ห้เก้ยี วแดงเขา้ ไปรับอกี คร้ัง
24
บทวิเคราะห์
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 2 นี้ คือการตรวจสอบวัฒนธรรมและที่มาของวัฒนธรรม ซ่ึง
สามารถอธิบายเหตุที่มาของประเพณีงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยมีความเป็นมาโดยมีหญิงชาวจีน
ตระกูลลิ้มหรือหลิม มีพี่ชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมซึ่งต่อมาได้เดินทางมารับราชการที่เมืองปัตตานีและสมรสกับธิดา
ของเจ้าเมือง เขา้ รีตอสิ ลามและไม่หวนกลบั บ้านเกิดเมืองนอน มารดาทอ่ี ยู่ในประเทศจีนก็คิดถึงบุตรชายยิ่งนัก
เพราะไม่ติดต่อกลับมาเลย ลิ้มกอเหนี่ยวสงสารมารดาจึงอาสาออกตามหาพี่ชาย จนพบกับลิ้มโต๊ะเคี่ยมที่บ้า
นกรือเซะ และอาศยั อยู่ที่นน่ั ยาวนานก็เพื่อชวนให้พ่ชี ายกลับเมืองจีนไปพบมารดา แต่พ่ีชายกลับปฏิเสธเพราะ
กำลังสร้างมัสยิดกรือเซะ เมื่อไม่สามารถทำให้พี่ชายกลับประเทศจีนตามความประสงค์ของมารดา ลิ้มกอ
เหนี่ยวจึงผูกคอตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ด้วยความอาลัย ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงสร้างฮวงซุ้ยให้แก่น้องสาวตาม
ประเพณี แตเ่ มือ่ ชาวจีนได้ทราบถึงความกตัญญูรักษาสัตย์ จึงมชี าวบ้านไปบนบาน กอ่ นนำไม้มะม่วงหิมพานต์
นั้นมาแกะสลักเป็นรูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ภายหลังได้ย้ายไป
ประดิษฐาน ณ ศาลเลง่ จูเกียงจนถึงปัจจุบนั เปน็ ที่ยอมรับนบั ถอื ในกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนสืบต่อมา แม้กระทั่ง
ลูกหลานชาวจีนที่เปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลามและใช้ภาษามลายูไปแล้ว แต่บางส่วนก็มีไปขอพรหรือบนบาน
กบั เจ้าแม่ลมิ้ กอเหน่ียว ในวนั ฮารีรายอก็จะมีการเซ่นสรวงเจ้าแม่ และเมอ่ื พิธแี หเ่ จา้ แมเ่ ดือนสามชาวมุสลิมเชื้อ
สายจีนกจ็ ะไปชมขบวนเพ่อื ระลกึ ถงึ
โดยประเพณงี านสมโภชเจา้ แมล่ ้ิมกอเหนยี่ ว มกี ารจดั ข้นึ ท่ีจงั หวดั ปัตตานี ประเพณีน้ีมีความสัมพนั ธ์กับคน
ไทยเชื้อสายจีนเป็นอย่างมาก เพราะศาลเจ้าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวแห่งนี้ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยเช้ือ
สายจีนที่อาศัยอยู่ที่จังหวัดปัตตานีเป็นอย่างมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี ชาวบ้านก็จะมาขอขมา อธิษฐาน
ขอให้เรื่องร้ายนั้นผ่านพ้นไป เรื่องที่ดีผ่านเข้ามา ในทุก ๆ ปีจะมีการจัดงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวข้ึน
ซึ่งจัดหลังจากตรุษจีน 15 วันของทุกปี หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ตามจันทรคติของจีน หรือ วันเพ็ญเดือน3
ตามจันทรคติของไทย เพื่อเป็นการรำลึกถึงเจ้าแมล่ ิม้ กอเหนี่ยว มีการอัญเชิญองค์พระต่าง ๆ ที่ประดิษฐานใน
ศาลเจ้า มกี ารสมโภชแห่แหนรปู สลักไม้มะมว่ งหมิ พานต์ของเจา้ แม่ล้ิมกอเหนี่ยวและรูปพระอ่ืน ๆ โดยอัญเชิญ
ออกจากศาลมาประทับบนเกี้ยว ตามด้วยขบวนแห่ต่าง ๆ มีการลุยไฟและแสดงอภินิหารต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์
ความศักดิ์สทิ ธ์ิของเจ้าแม่ โดยผูร้ ่วมพิธจี ะต้องถือศีลกินเจอย่างน้อย 7 วนั กอ่ นทำพิธี ในงานนี้จะมีชาวปัตตานี
และชาวจังหวัดใกลเ้ คียงมาร่วมพธิ กี นั เป็นจำนวนมาก มกี ารเซน่ ไหวแ้ ละเฉลิมฉลองกนั เป็นท่ีสนุกสนาน
25
2.ประเพณลี งทะเล
ภาพ: พธิ ีกรรมในประเพณีลงเล
ที่มา: https://www.facebook.com/B4Pnetwork/photos/?ref=page_internal
ประเพณลี งทะเลหรือประเพณีลงเล ประเพณีนี้อยู่ที่อำเภอไม้แกน่ จังหวัดปัตตานี เป็นประเพณีที่ถือ
ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณ โดยในงานประเพณีจะมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาและโอปาติกะหรือ
วญิ ญาณท้งั หลาย ซึ่งมที า้ วเวสสุวรรณ(เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์ ซึง่ ค่อยคุมครองและดูแลโลกมนุษย์) เป็นประธาน
และจะมีการทำแพ บนแพจะทำเป็นบ้านเพ่ือลอยลงสู่ทะเล โดยมีความเช่ือว่าจะนำความทุกข์หรือสิ่งไม่ดีลอย
ไปกับทะเล ซ่งึ ในอดีตการไปทำบญุ ต้องไปทำบุญบรเิ วณทะเลและจะมีการค้างคืนในบรเิ วณพธิ ี โดยชาวบา้ นจะ
สร้างกระท่อมหรือขนำเล็ก ๆ สำหรับพักผ่อนซึ่งเวลากลางคืนชาวบ้านจะมีกิจกรรมรื่นเริงและร่วมกัน
รับประทานอาหารและของหวานต่าง ๆ ตลอดจนมีการละเลน่ พน้ื บ้านเพื่อสร้างความสามัคคใี นชมุ ชน
ถ้าปีไหนไม่ได้ทำพิธีลงเลจะเกิดอาเพศในหมู่บ้าน หรือคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ทำพิธี เช่น คนใน
หม่บู า้ นเจบ็ ไขไ้ ด้ป่วย ถือเป็นสัญญาณเตอื นตอ้ งรีบทำพธิ ีลงเลเพื่อแก้เคราะห์กรรมทเ่ี กิดขึน้
บทวเิ คราะห์
ประเพณีลงทะเลหรือประเพณีลงเลนี้เกี่ยวข้องกับ บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 4 นี้คือ
เครอื่ งมอื ควบคุมรกั ษาแบบแผนทางสังคมและแสดงมาตรฐานความประพฤติของสังคม จึงสามารถอธิบายเหตุ
ทมี่ าของประเพณลี งเลไดว้ ่า ประเพณลี งเลหากปีใดปีหนึ่งชาวบา้ นในพ้ืนท่ีไม่ได้ทำพธิ ีนีจ้ ะส่งผลให้เกดิ สิ่งไม่ดีใน
หม่บู า้ น หรือผทู้ ี่อยอู่ าศัยในหมู่บ้านนัน้ ๆ และนำไปสู่ประเพณีลงเล ซง่ึ ในประเพณีลงเลปรากฏพธิ กี ารดังนี้
1. พิธีลงเลจะทำพิธีตรงกับ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ถ้าเดือน 8 มีสองครั้งใน 1 ปี ให้จัดเดือน 8 หลัง
และจะจัดได้เฉพาะวันจนั ทร์และวันพฤหัสบดีเท่านั้น พิธีกรรมจะจัดขึ้นบริเวณริมชายหาด ชาวบ้านจะร่วมกัน
ทำแพและบนแพจะทำเป็นบ้าน เพื่อนำของเซ่นไหว้ใส่ไว้บนแพแล้วไปลอยลงสู่ทะเล โดยมีความเชื่อว่าจะนำ
ความทุกข์หรือสิ่งไม่ดีลอยไปกับทะเล เป็นพิธีกรรมของชาวบ้านที่นับถอื ศาสนาพุทธ ในอำเภอไม้แก่น จังหวัด
ปตั ตานี โดยตำบลไมแ้ กน่ จะทำพิธลี งเลท่ที ะเลกระจดู ตำบลไทรทอง จะทำพธิ ลี งเลท่หี าดละเวง และตำบลตะ
โละไกรทอง จะทำพธิ ใี นวัดแลว้ นำไปลอยที่คลอง
26
2. ภาคบ่ายวันแรกทั้งหญิงและชายจะไปรวมกันที่ศาลทำพิธี เซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ของเซ่นไหว้
ประกอบด้วย ข้าวต้ม ข้าวสาร เชื่อว่าเป็นเสบียงไว้กินในวันข้างหน้า ของคาว หวาน และเล็บ ผม เชื่อว่าเป็น
การปล่อยเคราะห์ ปล่อยกรรม หมอพิธีจะสวดบทสวดชุมนุมเทวดาเพื่อเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มารับ
เครื่องเซ่นไหว้ ประมาณ 2 ทุ่มพระจะสวดขอพร ถือเป็นการเสร็จพิธี ภาคกลางคืนมีการละเล่นของชาวบ้าน
เพ่อื ความสนกุ สนานร่นื เริง เชน่ ขบั มโนราห์ ร้องรำทำเพลง
3. วันรุ่งขึ้น ในภาคเช้า ผู้หญิงจะทำอาหารและถวายอาหารพระ ส่วนผู้ชายจะช่วยกันทำแพซึ่งแพจะ
ทำมาจากของที่มีอยู่ในท้องถิ่น วัสดุตามธรรมชาติ เช่น ไม้ป่า หยวกกล้วย ใบตาล ภาคบ่ายเริ่มทำพิธีลงเล
(ลอยแพ) เรม่ิ ด้วยพระสวดมนตข์ อพรที่ชายหาด นำของเซน่ ไหว้ท่ีเตรียมไวใ้ สใ่ นแพ ลากสายสิญจน์ขึงท่ีแพ ส่ง
แพลอยลงในทะเลถือเป็นการเสร็จพิธี ซึ่งมีความเชื่อว่าจะนำความทุกข์หรือสิ่งไม่ดีทั้งหลายลอยไปกับทะเล
จากน้ันพระทำพธิ สี วดพรมนำ้ มนตเ์ พ่อื เป็นสิริมงคลแก่ชาวบ้าน
ปัจจุบันการทำพิธีลงเลของชาวภาคใต้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปบ้างตามความเหมาะสม
เนอื่ งจากสถานการณ์บา้ นเมืองไมเ่ อ้ืออำนวยเหมือนเชน่ ในอดีต ทำใหช้ มุ ชนท่ีเคยจดั พิธีลงเลแบบดั้งเดิมที่ต้อง
จัดบนชายหาดทะเล ต้องเปลี่ยนมาเป็นจัดพธิ ใี นบริเวณวดั แทนเพ่ือความสะดวกสบายและความปลอดภัยของ
ชาวบ้านในชุมชนที่เข้าร่วมพิธีกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่สามชายแดนจังหวัดภาคใต้ทำให้รูปแบบและพิธีกรรม
บางอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะในอดีตนั้นสมาชิกชุมชนจะต้องไปทำบุญบริเวณทะเลและต้องค้างคืนใน
ปรำพิธี โดยสมาชิกชุมชนจะต้องสร้างขนำเลก็ ๆ เพื่อพักอาศัยร่วมกนั ในบรเิ วณนัน้ แต่ในปัจจุบนั ได้มีการปรบั
กิจกรรมใหเ้ ข้ากบั ความจำเป็นของบริบททางสังคมท่ีเกดิ ขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป แต่ยังคงไว้ซ่ึงการอนุรักษ์และ
สืบสานประเพณีอันดีงาม ที่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีของคนในชุมชนสืบไปของชุมชนไทยพุทธในพื้นที่
ตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยทางทิศตะวันออกของภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัด
นครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอไม้แก่น จังหวัด
ปตั ตานี ท่มี ีการอนรุ กั ษ์และสบื สานจนเป็นเอกลักษณ์ของจังหวดั
27
ประเพณีทอ้ งถ่นิ ประจำจงั หวัดยะลา
1.ประเพณีการถือศีลกินเจศาลเจ้าแมฮ่ ดุ โจว
ภาพ: ภายในศาลเจา้
ที่มา: https://www.m-culture.go.th/yala/ewt_news.php?nid=1284&filename=index
ศาลเจ้าแม่ฮุดโจวเป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่ เมืองของชาวบ้านถ้ำทะลุมาตั้งแต่โบราณ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1
ตำบลถำ้ ทะลุ อำเภอบันนงั สตาจงั หวัดยะลา เรม่ิ แรกจากจลุ ศกั ราช 1253 ได้มี เจ้าพระยาขี่ชา้ งเขา้ มาในตำบล
ถ้ำทะลุเพื่อที่จะมาหาเหมืองแร่ทำมาหากินใน สมัยนั้นตำบลถ้ำทะลุมีลักษณะเป็นป่าทึบ เจ้าพระยาจึงได้ทำ
การบกุ เบกิ ตั้งรากฐานทำมาหากนิ โดยการทำเหมืองแร่ ในการทำเหมอื งแร่แตล่ ะครั้งนั้นจะต้องมีการเชือดแพะ
เพื่อเซน่ ไหว้ทวดเจ้าที่ ซึ่งกค็ ือ โตะ๊ นิป่าหวังและจะต้องมีการเซน่ ไหว้ทุกปี หลังจากนน้ั เจ้าพระยา ก็ได้อันเชิญ
เจ้าแมล่ ้มิ กอเหนยี่ วมาจากจงั หวัดปัตตานีจึงได้จดั ต้งั ศาลข้นึ ในถ้ำและได้ตง้ั ชื่อวา่ ศาลเจ้าแมฮ่ ดุ โจว ในทกุ ๆ ปี
ของเดือน 5 แรม 2 ค่ำ จะมีการจัดงานฉลองสมโภชเจ้าแม่ 3 วัน 3 คืน งานจะมีการจัดขึ้นก่อน 1 วัน และใน
วันแรม 3 ค่ำของเดือน 5 จะตรงกับวันเกิดของเจ้าแม่ ในงานจะมีมหรสพมากมาย เช่น งิ้ว เมาะยงหรือมะโยง่
ลิเก และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ หนังตะลุง เพราะเจ้าแม่ชอบมากต่อมาในระยะหลังได้มีการไม่ให้ฆ่าสัตว์ฉลอง
สมโภชเจ้าแม่ และให้เปลี่ยนเป็นการ กินเจ แทน ต่อมาในช่วงระยะหลัง เจ้าพระยา ได้เสียชีวิตลงก็ได้มีแม่ชี
ชาวจนี ชอื่ วา่ คางิ้ม แซโ่ ลว้ ได้ทำนุบำรงุ และบูรณะเพิ่มเติมต่อจากเจา้ พระยา ซ่ึงแมช่ ีทา่ นนี้เองได้สังเกตว่า ถ้ำ
สามารถทะลุเข้าออกกันได้ 2 ทิศทาง ก็คือ ปากถ้ำที่สามารถทะลุเข้าออกได้ และด้านบนของถ้ำก็เปิดทะลุ
มองเห็นท้องฟ้าได้ก็เลยเรียกกันตามมาว่า ถ้ำทะลุ และผู้คนที่มาตั้งรากฐานที่ตำบลถ้ำทะลุส่วนใหญ่มีเชื้อสาย
ชาวจีนมาจาก จังหวดั ปัตตานี ศาลเจา้ แม่ฮดุ โจว แตก่ ่อนชือ่ ว่าศาลเจ้าพระหตุ โต หลงั จากเจ้าพระยาได้อันเชิญ
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาจากปัตตานีก็ได้เปลีย่ น ชื่อว่า ศาลเจ้าแม่ฮุดโจว ประมาณทุก ๆ เดือนมีนาคมของทุกปี
จะมกี ารจัดงานประจำปี (งานวันเกดิ เจ้าแม่) เป็นประจำทุกปีและจะมีเทศกาลกินเจ มกี ารแสดงมหรสพต่าง ๆ
เช่น หนังตะลุง มโนราห์ ฉายภาพยนตร์การแปลง มีการจำหน่ายสินค้าของกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ตำบลถ้ำทะลุ
ในสมัยก่อนนั้นยังมีพิธีอย่างหนึ่งคือ คนทรงจะทำพิธีเอามีดเฉือนลิ้นตัวเองแล้วเอาเลือดเขียนยันต์ที่หน้าผาก
28
ของคน ที่หามเกี้ยวเจ้าแม่ แล้วให้คนหามเกี้ยวเดินไปบนมีดดาบอันคมกริบขนาดโกนขนอ่อนขาดกระจุยไป
โดยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แต่ภายหลังได้ถูกทางราชการบ้านเมืองฝ่ายปกครอง ออกคำสั่งห้ามพิธีอัน
หวาดเสียวนเ้ี สยี คงมีแต่พธิ ลี ยุ ไฟเทา่ นน้ั ทย่ี ังคงกระทำมาจนทุกวนั น้ี ศาลเจ้าพระหุตโต หรอื ที่มชี อ่ื เปน็ ทางการ
ว่าศาลเจ้าแม่ฮุดโจวเป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่ เมืองของชาวบ้านถ้ำทะลุมาตั้งแต่โบราณ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบล
ถ้ำทะลุ อำเภอบันนังสตาจังหวดั ยะลา ซึ่งเป็นปูชนียสถานอันทรงความศักดิ์สทิ ธิ์แหง่ หน่ึงของชาวบ้านถ้ำทะลุ
เดิมศาลเจ้านี้มีชื่อเรียกว่า "ศาลเจ้าพระหุตโต " ตามหลักฐานที่จารึกอยู่ในศาลเจา้ ปรากฏว่า ตั้งขึ้นเมื่อวันชยั
มงคล ปีบวนเละที่ 2 ศักราชราชวงศ์เหม็ง ตรงกับปีพุทธศักราช 1253 ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรม
ราชา แห่งกรุงศรีอยธุ ยา แม้ศาลเจ้านี้จะต้ังมาเก่าแก่นบั ไดห้ ลายศตวรรษ แต่ด้วยบุญญาภินิหารของเจา้ แมล่ ิ้ม
กอเหนีย่ ว ศาลเจ้านี้จึงมีความเจรญิ รงุ่ เรือง และเปน็ ท่ีศรัทธาของสาธชุ นเสมอมามิไดข้ าด
อัตลกั ษณ์
อัตลักษณ์ของศาลเจ้าแม่ฮุดโจวจะมี การบวงสรวงทุก ๆ ปี โดยจะจัดงาน 3 วัน 3 คืน เพื่อระลึกถึง
เจ้าแม่ฮุดโจ้ โดยการตั้งเครื่องบวงสรวง เช่น หัวหมู ไก่ต้ม ผลไม้มงคล กระดาษเงิน กระดาษทองฯ มีการแห่
พระลุยไฟและมา้ ทรง
ความสำคญั และคณุ ค่าทางสงั คมและทางจิตใจที่มใี นวถิ ีการดำเนินชวี ิตของชมุ ชน
ศาลเจา้ แม่ฮดุ โจว แตก่ ่อนชอื่ ว่าศาลเจ้าพระหุตโต หลังจากเจ้าพระยาได้อนั เชิญเจ้าแมล่ ิ้มกอเหน่ียวมา
จากปัตตานีก็ได้เปล่ียน ชอื่ วา่ ศาลเจ้าแมฮ่ ดุ โจว ประมาณทุก ๆ เดือนมนี าคมของทกุ ปจี ะมีการจัดงานประจำปี
(งานวันเกิดเจ้าแม่) เป็นประจำทุกปีและจะมีเทศกาลกินเจ มีการแสดงมหรสพต่าง ๆ เช่น หนังตะลุง มโนราห์
ฉายภาพยนตร์การแปลง มีการจำหน่ายสินค้าของกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ตำบลถ้ำทะลุ ในสมัยก่อนนั้นยังมีพิธี
อย่างหนึ่งคือ คนทรงจะทำพิธีเอามีดเฉือนลิ้นตัวเองแล้วเอาเลือดเขียนยันต์ที่หน้าผากของคน ที่หามเกี้ยวเจ้า
แม่ แล้วให้คนหามเกี้ยวเดินไปบนมีดดาบอันคมกริบขนาดโกนขนอ่อนขาดกระจุยไป โดยไม่เป็นอันตรายแต่
อย่างใดแต่ภายหลังได้ถูกทางราชการบ้านเมืองฝ่ายปกครอง ออกคำสั่งห้ามพิธีอันหวาดเสียวน้ีเสีย คงมีแต่พิธี
ลุยไฟเท่านั้นที่ยังคงกระทำมาจนทุกวันนี้ ศาลเจ้าพระหุตโต หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่าศาลเจ้าแม่ฮุดโจวเป็น
ศาลเจา้ เก่าแก่คู่บา้ นคู่ เมืองของชาวบา้ นถ้ำทะลุมาตง้ั แตโ่ บราณ ต้ังอยูห่ มู่ท่ี 1 ตำบลถ้ำทะลุ อำเภอบันนังสตา
จงั หวัดยะลา ซึ่งเป็นปูชนียสถานอนั ทรงความศักดส์ิ ิทธ์ิแหง่ หนึง่ ของชาวบ้านถ้ำทะลุ เดมิ ศาลเจ้านี้มีช่ือเรียกว่า
"ศาลเจา้ พระหุตโต " ตามหลกั ฐานท่ีจารกึ อยใู่ นศาลเจ้า ปรากฏว่า ต้ังขน้ึ เมอ่ื วันชยั มงคล ปีบวนเละท่ี 2 ศักราช
ราชวงศ์เหม็ง ตรงกับปีพทุ ธศักราช 1253 ในรัชสมยั ของสมเดจ็ พระมหาธรรมราชา แห่งกรงุ ศรีอยธุ ยา แม้ศาล
เจ้านี้จะตั้งมาเก่าแก่นับได้หลายศตวรรษ แต่ด้วยบุญญาภินิหารของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้านี้จึงมีความ
เจริญร่งุ เรอื ง และเปน็ ทศี่ รัทธาของสาธุชนเสมอมามิไดข้ าด
การจดั งานประจำปี
วนั ตามจันทรคตหิ รอื สุรยิ คติ ทกุ ปขี องเดือน 5 แรม 2 คำ่
29
บทวเิ คราะห์
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 2 คือ การตรวจสอบวัฒนธรรมและที่มาของวัฒนธรรมและ
แสดงใหเ้ ห็นถงึ พธิ ีกรรม จึงสามารถอธบิ ายได้ว่าศาลเจ้าเกดิ ข้นึ มาได้โดยเจ้าพระยาขช่ี ้างเขา้ มาในตำบลถ้ำทะลุ
เพื่อที่จะมาหาเหมอื งแร่ทำมาหากินในสมัยน้ัน เมื่อสถานทีน่ ั้นมีลักษณะเป็นป่าทึบตำบลถำ้ ทะลุมีลักษณะเปน็
ปา่ ทึบจึงต้องมกี ารทำพธิ ีกรรมเพ่ือเซน่ ไหวเ้ จา้ ที่โดยการเชือดแพะ หลังจากน้ันจงึ ไดต้ ้งั ศาลอันเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอ
เหนี่ยวจากจังหวดั ปัตตานีและเปลย่ี นชื่อศาลจากชอ่ื “ศาลเจ้าพระหุตโต” เปน็ “ศาลเจ้าฮุดโจว” นบั แตน่ น้ั มา
พิธกี รรมทป่ี รากฏ
1.การเชือดแพะ
จากข้อมูลประวัติความเป็นมานั้นจะเห็นได้ว่าเจ้าพระยาจะมีพิธีกรรมการเชือดแพะเพื่อเซ่นไหว้ทวด
เจา้ ที่ ซ่ึงกค็ ือ โต๊ะนปิ ่าหวงั และจะต้องมีการเซ่นไหว้ทุกปี หากกล่าวแล้วพิธกี รรมการเชือดแพะจะเป็นพิธีกรรม
ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม อีกทั้งคำที่ปรากฏในการเรียกทวดเจ้าที่นั้นยังใช้คำเรียกว่า “โต๊ะ”
ซึ่งจากหลักฐานคำว่าโต๊ะนั้นเป็นคำนำหน้าชื่อของมุสลิมที่เป็นผู้อาวุโส หรือครูที่มีอายุ รวมไปถึงนักบวชใน
ศาสนาอิสลาม กส็ ามารถทราบไดว้ า่ โต๊ะนิปา่ หวังเปน็ มสุ ลมิ
โดยการเชือดแพะนน้ั คนมสุ ลมิ จะเช่ือว่าเปน็ การเชอื ดแพะเพ่ือแสดงความศรัทธาต่อพระเจ้า การเชือด
สตั วท์ ี่เรียกว่า “กุรบ่าน” ทำไปเพ่อื คารวะพระเจ้าดว้ ยความรักและศรัทธาต่อพระองค์ “แพะ” คือหนึ่งในสัตว์
ที่นำมาเชอื ดเพ่ือพิธีกรรมนี้ และต้องเป็นแพะที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตเต็มที่ คืออายุอย่างน้อย 2 ปี ที่สำคัญต้อง
เป็นสัตวท์ มี่ ีลกั ษณะถูกต้องตามที่ศาสนาบัญญัติไว้ คือมีพลานามยั สมบูรณ์ รูปพรรณสัณฐานไม่มตี ำหนิ เช่น หู
แหว่ง ตาบอด ขาหัก เขาหัก เป็นต้น สัตว์ที่มีตำหนิท่านห้ามไว้ว่ามิควรนำมาเชือดเพื่อพิธีกรรมนี้โดยเด็ดขาด
พธิ กี รรมดงั กลา่ วน้ีศาสนามไิ ด้บงั คบั หากแต่ผู้ใดได้กระทำ ผลดีและสริ มิ งคลจะบังเกดิ แก่ผู้น้ัน
2.การแห่พระลุยไฟ
สำหรับผู้ถือศีลกินเจเดินลุยไฟนั้น คติความเชื่อจากคนจีนโบราณเชื่อว่าการลุยไฟเป็นการสะเดาะ
เคราะห์ เป็นการชำระลา้ งสงิ่ สกปรกท้ังหลายซึ่งจะต้องชำระล้างดว้ ยการลุยไฟ สำหรับการวางไม้เช้ือเพลิงท่ีว่า
นี้ทางองค์ศักดิ์สิทธ์ิจะเริ่มตัดยอดไฟ เพื่อให้ไฟเย็นตามความเชื่อโบราณและทางเจา้ หน้าที่จะเว้นที่ว่างสำหรับ
ลงน้ำหนักเท้า การเดินผู้ที่จะเดินลุยไฟควรสำรวจเส้นทางเชื้อเพลิงก่อนเวลาร่วมพิธี ผู้ที่จะเดินลุยไฟเลือก
เหยียบบริเวณที่มอดไฟแล้วสลับกับที่ว่างที่เว้นไว้ และการเดินลุยไฟควรเดินเท้าเปล่าที่แห้ง ไม่ควรเปียกน้ำ
เพราะน้ำจะเป็นตัวพาความร้อนสู่ฝ่าเท้า หรือบางคนไม่กล้าลุยก็ยืนร่วมพิธีอยู่ห่างๆ ก็ได้ เพื่อความเป็นสิริ
มงคลแก่ตนเองและครอบครวั
3.ม้าทรง
จากหลักฐานที่ปรากฏคนทรงจะทำพิธีเอามีดเฉือนลิน้ ตัวเองแล้วเอาเลือดเขยี นยันตท์ ่ีหน้าผากของคน
ที่หามเกีย้ วเจา้ แม่ แลว้ ใหค้ นหามเกย้ี วเดนิ ไปบนมดี ดาบอันคมกริบขนาดโกนขนอ่อนขาดกระจยุ ไป โดยไม่เป็น
อนั ตรายแต่อย่างใด ซง่ึ มา้ ทรงหรอื รา่ งทรงของเทพเจ้าจีน คือคนทถี่ ูกคัดเลอื กให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าในการ
ช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน เช่น คนป่วย คนที่กำลังมีเคราะห์ หรือคนที่กำลังมีปัญหาทางด้านจิตใจ บาง
ความเช่อื ว่ากนั วา่ ม้าทรงเปน็ ผู้ท่ชี ะตาใกล้จะขาด แตย่ งั ไม่ถึงเวลาท่จี ะต้องตาย เทพเจ้าเลยประทับเข้าร่างเพ่ือ
ช่วยต่ออายุขัยให้ เพื่อเป็นการตอบแทน ม้าทรงจึงต้องช่วยประกอบพิธีสักการะเทพเจ้าต่าง ๆ รวมไปถึง
30
เทศกาลกนิ เจดว้ ย นอกจากนี้ม้าทรง ซ่งึ เปน็ รา่ งประทับให้กับพระเจ้า ตอ้ งถอื ศลี กนิ ผัก ช่วยเหลืองานของศาล
เจา้ อยเู่ ป็นประจำ รวมไปถึงเป็นท่ีปรกึ ษาใหแ้ ก่ผ้ทู ี่มจี ติ ศรทั ธาเลื่อมใสในพระเจา้ จีนด้วยการทรมานตวั เองของ
มา้ ทรง ถอื เปน็ การแสดงอทิ ธฤิ ทธิ์ของพระเจ้าจนี ท่ีประทับร่าง บางครง้ั จะคว้าอาวธุ ท้ังดาบ ขวาน มีด
เหล็กแหลม และอื่น ๆ มาร่ายรำ ฟาดฟัน ทิ่มแทงร่างกายตนเอง เช่น แก้ม ลิ้น แขน หลัง โดยอาจจะนำเลือด
มาเขียนยันต์ให้ผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสนำไปเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ในบางความเชื่อว่ากันว่า ม้าทรงทรมาน
ตัวเองเพื่อเป็นการรับเคราะห์กรรม และความโชคร้ายแทนผู้เลื่อมใสคนอื่น ๆ โดยระหว่างที่ทำการทรมาน
ตัวเองอยู่นั้น ผู้ที่เป็นม้าทรงจะไม่รู้สึกตัว หลังเสร็จพิธีรอยแผลต่าง ๆ ก็จะหายไปได้เองโดยใช้ยันต์ปิด หรือ
ขีเ้ ถา้ ของธูปปิดแผลไว้
4.การบวงสรวงเพอื่ ระลกึ ถึงเจา้ แม่ฮุดโจว
จากหลักฐานที่ปรากฏศาลเจ้าแม่ฮุดโจวจะมี การบวงสรวงทุก ๆ ปี โดยจะจัดงาน 3 วัน 3 คืน เพื่อ
ระลกึ ถงึ เจา้ แมฮ่ ดุ โจ้ โดยการตงั้ เคร่อื งบวงสรวง เชน่ หวั หมู ไก่ต้ม ผลไม้มงคล กระดาษเงิน กระดาษทอง ฯ ซง่ึ
เครื่องบวงสรวงนั้นจะเป็นเครื่องบวงสรวงตามความเชือ่ ของชาวไทยเชือ้ สายจีน ซึ่งฮุดโจว คือ ทีมพระพุทธ 9
องค์เสด็จลงมาโปรดสัตว์ในเมืองมนุษย์ ประกอบไปด้วยการอวตาลของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระ
โพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 9 พระองค์นี้ ได้แบ่งภาคลงมาเป็นเทพเจ้า 9 องค์ ที่จะทรงเครื่องแบบกษัตริย์
ซึ่งความเชื่อนี้เป็นความเชื่อของชาวไทยเชื้อสายจีน พิธีกรรมการตั้งเครื่องเซ่นไหว้นั้นจึงตั้งตามแบบของชาว
ไทยเชื้อสายจีน
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 4 คือ คติชนใช้เป็นแรงกดดันและเป็นแบบแผนทางสังคม โดย
อธิบายไดด้ งั น้ี
การเชือดแพะ นั้นคนมุสลิมจะสอนให้รักและศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาของตน ซึ่งพิธีนี้ไม่ได้
บังคับทำกันแต่อย่างใด แต่หากเมื่อทำแล้ว เนื้อที่ได้ผ่านการทำพิธีแล้วนั้นจะถูกแจกจ่ายไปยังเพื่อนบ้าน หมู่
ญาตพิ น่ี อ้ งแลว้ ยงั ถกู แจกจา่ ยไปเพ่ือเป็นทานแกผ่ ยู้ ากจนอีกด้วย ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ว่าพธิ ีกรรมนี้นอกจากจะเป็น
พิธีกรรมที่สั่งสนให้คนรักและศรัทธาในพระเจ้าของตนแล้ ยังแสดงให้เห็นถึงการสั่งสอนให้คนมีน้ำใจไมตรีต่อ
กนั อกี ด้วย
การแห่พระลุยไฟ คติความเชื่อจากคนจีนโบราณเชื่อว่าการลุยไฟเป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็นการ
ชำระลา้ งสงิ่ สกปรกทั้งหลายซ่ึงจะต้องชำระล้างดว้ ยการลุยไฟ และอกี ความเช่ือหนึ่งของการลุยไฟคือความเช่ือ
ของคนโบราณที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าบุคคลใด ที่โดนกล่าวหาว่าทำผิด แต่บุคคลนั้นอ้างว่าตนเองมิได้ทำ
ความผิด จะมีการพิสูจน์แสดงความบรสิ ุทธิโ์ ดยวธิ ีการลุยไฟ การพิสูจนค์ วามบรสิ ุทธิด์ ว้ ยวิธีนี้ความเช่ือจากคน
โบราณเชื่อว่าคนที่มีใจบริสุทธิ์จะเดินผ่านกองไฟได้โดยไม่มีอันตราย แต่หากมีความผิดนั้นก็จะได้รับอันตราย
จากการทำพิธนี ้ีได้ หรอื ในกาถือศีลกนิ เจ หากม้าทรงคนใดทำผิดจารตี ประเพณี หรอื สิ่งตอ้ งห้ามท่ีกำหนดไว้ ก็
จะไดร้ บั อันตรายจากไฟเช่นกัน เรื่องน้จี งึ เป็นกุศโลบายท่จี ะทำให้คนเราน้ันประพฤตแิ ต่ความดีเปน็ ท่ีตงั้
ม้าทรง สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกเป็นม้าทรงนั้นต้องเป็นผู้ที่ตั้งตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม รักษาศีล หาก
ครั้งที่เทพเจ้าลงประทับร่างม้าทรงนัน้ ก็จะแสดงอภินิหารต่าง ๆ ซึ่งหากม้าทรงปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่
ผิดคำม่ันสญั ญาในการแสดงอภินหิ ารนน้ั คนทเ่ี ปน็ ร่างทรงก็จะไม่รูส้ ึกเจ็บปวดใด ๆ แตห่ ากร่างทรงนั้นทำผิดก็
จะถูกลงโทษได้รับบาดเจ็บจนอาจจะถึงขั้นถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส หากม้าทรงมีอภินิหารที่
น่าเช่ือถอื น่าศรัทธา ผ้ทู ่เี ลอ่ื มใสกจ็ ะประพฤตปิ ฏิบัตติ นตาม โดยการตง้ั ตนเปน็ คนดีมเี ตตาตามคำสสัง่ สอน
31
การกินเจ เป็นประเพณีที่เป็นกุศโลบายให้คนมีความเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ใน
ชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่
อาจกินเลือดเนื้อของสตั วเ์ หล่านัน้ ซ่ึงมีเลือดเนือ้ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกบั คนเรา ผู้
ท่ีเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซึ้งยอ่ มตระหนกั ว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพอื่ เอาเลือดเน้อื ผู้อ่นื มาเป็นองเราเปน็ การสรา้ งกรรม
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่น ก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆา่
มาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของ
โรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกาย
เติบโต ได้เหมอื นกัน โดยไม่เห็นแกค่ วามอรอ่ ยชว่ งเวลาสัน้ ๆ เพยี งแค่อาหารผ่านลิน้ เท่าน้ัน
32
2.ประเพณแี ห่พระลุยไฟ ศาลเจ้าเค่งฮุดจี่
ภาพ: การหามเกย้ี วองคพ์ ระ
ท่มี า: http://www.sbpac.go.th/?p=33461
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (2562) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณแี หพ่ ระลุยไฟไวว้ ่า ศาลเจ้าเค่งฮดุ
จี่ (วัดเห้งเจีย) อำเภอเมือง จังหวัดยะลา มีการนำองค์พระขึ้นประทับบนเกี้ยวเพื่อออกแห่รอบเมืองยะลาให้
ประชาชนได้สกั การะบูชาเพ่ือความเป็นสิริมงคล ซึ่งจัดขน้ึ ระหว่างวนั ที่ 20-24 เมษายน ของทุกปี เพื่อเป็นการ
สืบทอดประเพณีของชาวจีนให้คงอยู่ เสริมสร้างความรักความสามัคคีของประชาชนในพื้นท่ี อีกทั้งยังเป็นการ
เปิดโอกาสให้ประชาชนที่เข้าร่วมงาน ได้มากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในศาลเจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่
ตนเองและครอบครวั สำหรับศาลเจ้าเคง่ ฮุดจ่ยี ะลา หรือวดั เหง้ เจยี เป็นสถานทีป่ ระดิษฐานรูปพระจำลององค์
พระและองคเ์ ทพต่าง ๆ ซึง่ เป็นทเี่ คารพสกั การะของประชาชนทั่วไป และเป็นศนู ยร์ วมยึดเหนี่ยวจิตใจของชาว
ไทยเชื้อสายจีนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดใกล้เคียงเป็นเวลาหลายสิบปี ประกอบด้วยพิธีกรรม
ดงั นี้
1.ขบวนเก้ียว
2.หามพระ
3.การโชว์ศลิ ปวฒั นธรรมไทย-จนี
4.การเชิดสงิ โตออกแห่รอบเมอื งยะลา พรอ้ มจดั ใหม้ ีมหรสพต่าง ๆ สมโภชแหพ่ ระลยุ ไฟ
33
บทวเิ คราะห์
ประเพณีแห่พระลุยไฟ ที่ศาลเจ้าเค่งฮุดจี่ เกี่ยวข้องกับบทบาทที่ 4 ของคติชนคือ คติชนเป็นวิธกี ารที่
ใช้เป็นแรงกดดันทางสังคม และใช้เป็นแบบแผนควบคุมพฤติกรรมทางสังคม เนื่องจากเป็นประเพณีที่สืบ
ทอดกันมาตั้งแต่อดีต และจัดเป็นประจำทุกปี สิ่งที่แสดงว่าเป็นคติชนที่ควบคุมพฤติกรรมทางสังคมคือ การท่ี
ผู้คนเช่อื วา่ หากใครได้รว่ มประเพณีนีจ้ ะเป็นสริ มิ งคลกบั ชีวติ ของตนเองและครอบครัว ซึง่ สะท้อนให้เห็นถึงการ
จัดระเบียบทางสังคมท่ีว่า หากใครปฏิบัติตามย่อมได้รับการยกย่อง ซึ่งหากตีความจากประเพณีนี้คือ การที่ไป
ร่วมพิธีแล้วเกิดความรู้สึกสบายใจ หรือที่เรียกวา่ เปน็ สิริมงคลกับชีวิตและครอบครวั สิ่งนี้จะจึงเปน็ เสมือนการ
ได้รับการยกย่อง ซึ่งประเพณีแห่พระลุยไฟ ประจำจังหวัดยะลานี้ก็เป็นคติชนที่เป็นแบบแผนที่กำหนด
พฤตกิ รรมของคนในสังคม
34
ประเพณที อ้ งถิ่นประจำจงั หวัดนราธิวาส
1.ประเพณสี มโภชศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ
ภาพ: พธิ อี ญั เชิญและไหวเ้ ทพยาดาฟ้าดนิ
ท่ีมา: https://www.m-culture.go.th/narathiwat/ewt_dl_link.php?nid=626
งานประจำปสี มโภชศาลเจ้าแม่โตะ๊ โมะ สุไหงโก-ลก เปน็ ประเพณีทม่ี ีประวัตคิ วามเป็นมาอย่าง
ยาวนาน รวมระยะเวลากวา่ 60 ปี นบั ตง้ั แตม่ ีการก่อตั้งอาคารศาลเจา้ ในอำเภอสุไหงโก-ลกโดยส่วนใหญ่จะมี
การจัดงานในช่วงประมาณกลางเดือนเมษายน หรอื ต้นเดอื นพฤษภาคม ซึง่ ต้องอาศัยปฏิทนิ จนั ทรคติจีนเป็น
เคร่ืองกำหนดการจัดงาน
ภายในงานแต่ละปี จะมีการจดั กิจกรรมมากมาย อาทิ การประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ กจิ กรรมการแสดง
ของนักเรียนบนเวที การแสดงดนตรีจีน การแข่งขันเชิดสิงโตนานาชาติ พิธเี ปิดงานอยา่ งย่งิ ใหญ่ ขบวนแห่เก้ียว
ขององค์เทพตา่ ง ๆ ซงึ่ สรา้ งความสนใจแกน่ ักท่องเที่ยวและผ้ทู ม่ี าร่วมงานเป็นอยา่ งมาก
การประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธ์ิต่าง ๆ ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณกาลนั้น ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอีก
สิ่งหนึ่งที่อยู่ควบคู่กับงานประเพณีสมโภชเจ้าแม่โต๊ะโมะ ซึ่งพิธีกรรมที่เกิดขึ้นอาจมีความคล้ายคลึงหรือ
แตกต่างกับการประกอบพิธีกรรมที่เราพบเห็นโดยท่ัวไป ทงั้ น้ีก็เพราะเกิดจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยการประกอบพิธกี รรมตามแบบฉบับของทางศาลเจ้าแม่โตะ๊ โมะนั้น นับว่าเปน็ ส่ิงทหี่ าดูได้ยาก
เนอ่ื งจากมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตวั ที่ไมเ่ หมือนใคร ซง่ึ ได้รับการสบื ทอดตอ่ มาจากบรรพบุรษุ
พธิ อี ญั เชญิ และไหวเ้ ทพยาดาฟ้าดิน
ก่อนการเร่มิ งาน
ก่อนที่จะมีการเริ่มงานเฉลิมฉลองประมาณ 1 สัปดาห์ จะมีการทำความสะอาดศาลเจ้าจัดเตรียม
เครื่องบูชาต่าง ๆ ให้พร้อมสรรพ มีการประดับธงตามถนนหนทาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าในอีกไม่นานจะมีงาน
ประเพณีสมโภชเจา้ แมโ่ ต๊ะโมะกำลงั จะเริ่มข้นึ
35
เช้าวันรุ่งขึ้นของอีกวันคณะกรรมการบริหารศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะจะทำพิธีไหว้เทพยาดาฟ้าดินเพ่ือ
อัญเชิญเหล่าองค์เทพมาร่วมงานสมโภชองค์เจ้าแม่โต๊ะโมะ ก่อนเริ่มงานประมาณ 2 วันทางศาลเจ้าจะมีการ
ประกอบพิธีวางกำลังทหารรักษาการณ์ประจำจุดต่าง ๆ ในบริเวณงานหรือที่เรียกว่า “พิธีปั้งกุน” (放军)
เพ่ือปอ้ งกันมิใหภ้ ตู ผีปีศาจเขา้ มาทำลายพธิ ีโดยจะใชธ้ งสีตา่ ง ๆ เปน็ สญั ลกั ษณใ์ นการวางกำลังทหารออกเปน็ ๕
ทศิ อารักขาบริเวณงานและตวั อาคารศาลเจ้า
ในช่วงเย็นของวันถัดมา ทางศาลเจ้าจะเปิดให้ประชาชนร่วมสรงน้ำเทวรูปขององค์เทพเจ้า หรือท่ี
เรยี กวา่ “กมิ ซน้ิ ” (金身) ภายในศาลเจ้า และรว่ มถวายชดุ ฉลองพระองค์ กอ่ นท่ีจะเรมิ่ งานอยา่ งเป็นทางการ
ในเช้าวันร่งุ ข้นึ
เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ในวันแรกของการจัดงาน จะมีพิธีอัญเชญิ เทพเจ้าต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าลงมา
ประทับบริเวณปะรำพิธี หรือที่เรียกว่า “พิธีฉุดช่อ” (出座) และพิธีถวายโองการแด่องค์หยกอ๋องส่งเต่ (เง็ก
เซียนฮ่องเต้) เพื่อเป็นการประกาศแด่เหล่าเทพยาดาฟ้าดิน ให้รับทราบถึงกำหนดการงานประเพณีสมโภชเจ้า
แมโ่ ต๊ะโมะ โดยถ้วนหน้ากัน และอีกสิ่งหน่ึงทเี่ ป็นเอกลักษณ์ของการจัดงานสมโภชเจ้าแมโ่ ต๊ะโมะ น่ันก็คือ ทาง
ศาลเจ้าจะมีการอัญเชิญดวงวิญญาณของกัปตันคิว (丘府甲必丹) ผู้อัญเชิญผงธูปศกัด์ิสิทธ์ิขององค์เจ้า
แมจ่ ากประเทศจีนมาสู่ประเทศไทย มารว่ มงานคร้งั นด้ี ว้ ย
การเตรยี มเคร่ืองบูชาเซน่ ไหว้เทพเจา้ ในงานประเพณี
การเตรียมของเซ่นไหว้เทพเจ้าท้ังหลายในพิธีกินเจเป็นไปตามกำลังศรัทธาของแต่ละบุคคล โดยปกติ
แล้วสาธชุ นมักนยิ มจดั ของเซน่ ไหว้จำพวกผลไมhอาหารเจ และขนมหวาน ซ่ึงในส่วนของผลไม้และอาหารเจนั้น
นยิ มจัดชนดิ เป็นจำนวนค่ี เชน่ 3 หรือ 5 ชนิด
ในส่วนของผลไม้ 3 หรือ 5 ชนดิ ทีส่ าธชุ นนิยมเซน่ ไหว้กันนั้น จะมีช่อื เรยี กพ้องกับคำมงคลในสำ เนียง
จนี แต้จิ๋ว ท้ังนีเ้ พือ่ ถอื เอาเคล็ดและยังเป็นของหาง่าย ราคาไมแ่ พงนัก อนั ไดแ้ ก่
สม้ หรอื “ไต้กิก” (大吉) ไหว้แล้วจะเกิดแตม่ งคล
แอปเปิล้ หรือ “เพง่ กว้ ย” (苹果) ไหวแ้ ล้วจะมคี วามปลอดภยั สขุ สงบ
สาล่ี หรือ “ไล้” (梨) ไหว้แลว้ เงินทองจะไหลมาเทมา
กลว้ ยหอม หรือ “เกง็ เจยี ง” (弓焦) ไหว้แลว้ จะนำโชคลาภเขา้ มา และ
องุ่น หรือ “ผู่ท้อ” (葡萄) ไหว้แล้วจะเจรญิ รุ่งเรอื ง
ส่วนอาหารเจ 5 ชนิด ที่นิยมเซ่นไหว้กัน ได้แก่ เห็ดหอม วุ้นเส้น ดอกไม้จีน ฟองเต้าหู้ และสาหร่าย
ทะเล
สำหรับเคร่ืองเซ่นไหว้อ่ืน ๆ ที่นิยมกันมาก กค็ อื น้ำมันเตมิ ตะเกียงและชดุ ฉลองพระองค์ หรือทชี่ าวจีน
เรียกว่า “หลงเผ้า” (龙袍) ซึ่งเป็นเครื่องทรงของเทพเจ้ามลี ักษณะแบบเครื่องแต่งกายของกษัตรยิ ์จนี มีลาย
มังกรท้ังชดุ นอกจากน้ยี ังมีการถวายธปู มังกรและเทียนขนาดใหญ่อีกด้วย
36
พิธีเดินขา้ มสะพานสะเดาะเคราะห์
การเดินข้ามสะพานสะเดาะเคราะห์เป็นอีกหนึ่งพิธีที่มีความสำคัญ และน่าสนใจมากจัดข้ึนในคืนที่๒ ,
3 และ 4 ของการจัดงาน จะมีพิธีเดินสะพานสะเดาะเคราะห์ เป็นพิธีที่ปฏิบัติกันมาต้ังแต่สมัยโบราณ โดย
ผู้เขา้ รว่ มพธิ ีมคี วามเชือ่ และความศรัทธาวา่ หากจะให้การเขา้ ร่วมการข้ามสะพานสะเดาะเคราะห์จะช่วยปัดเป่า
ให้สิ่งไมด่ หี รือเคราะห์ร้ายให้หายไป เหลือไว้แตส่ ิง่ ท่ีดๆี และได้รบั สงิ่ ทีด่ ีๆ มคี วามสุข มีโชคดี มีลาภ มีความสุข
ตลอดปีและเมื่อก้าวย่างข้ึนสะพานโดยผู้เข้าร่วมพิธีจะนำกระดาษซ่ึงตัดเป็นรูปคน เขียนชื่อ-นามสกลุ ของ
ตนเอง พร้อมกับนำเหรียญไปที่ศาลเจ้า แล้วให้ม้าทรงประทับตราชื่อของเทพเจ้าท้ังหลายในพิธีไว้ที่ด้านหลัง
ของเสื้อที่สวมใส่ในระหว่างการเดินข้ามสะพานสะเดาะเคราะห์จะมีเหล่าม้าทรงยืนเรียงรายสองข้างสวดมนต์
ปัดเป่าให้ใต้สะพานก็จะมี ดวงไฟ 9 ดวง สะพานทำจากทางมะพร้าวเพื่อคอยปัดเป่าและเผาผลาญสิ่งที่ไม่ดี
ภายในตัว ผู้เขา้ รว่ มพิธีให้มอดไหม้ไป และเม่อื ก้าวเดินลงจากสะพานก็จะถูกป๊ัมดวงตราขององค์เทพม้าทรงท้ัง
5 ทิศเพื่อเป็นการอวยพรและไปร่วมบริเวณปรำพิธีเพื่อรับน้ำมนต์ เป็นอันเสร็จพิธีเดินข้ามสะพานสะเดาะ
เคราะห์
37
บทวเิ คราะห์
บทบาทหนา้ ทีข่ องคติชนในบทบาทท่ี 2 ที่มาของวฒั นธรรม เจ้าแม่โต๊ะโมะเป็นตำนานเล่าสืบต่อกัน
มาช้านาน หลังจากสงครามยุติ "กำนันฟา้ "ลกู ชายกัปตันคิวไดข้ ้ึนไปยังเขาโต๊ะโมะอัญเชิญกระถาง ธูปลงไปไว้ที่
หมบู่ า้ นเจ๊ะเหย อำเภอแว้ง เพือ่ ให้ชาวบ้านไดส้ ักการบูชา ตอ่ มาผูใ้ หญบ่ ้านชอ่ื "จกุ ไท่" ไดน้ ำกระถางธูป ไปไว้ที่
บ้านสามแยก อำเภอแว้ง และได้ทำองค์จำลองเจ้าแม่ขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งจัดงานฉลองให้เจ้าแม่เป็นงาน
ประเพณีเรื่อยมา จนกระทั่งเจ้าแม่ได้ประทับทรงบอกว่า เมื่อจัดงานครบ 5 ปีแล้ว ให้นำองค์จำลองพร้อม
กระถางธปู ไปไวท้ อ่ี ำเภอสุไหงโก-ลก จากน้นั นายสรรกลุ กับเถา้ แกก่ ังรา้ นบึงจีบฮวด พอ่ คา้ ในอำเภอสุไหงโก-ลก
ฝันเห็นหญงิ คนหน่ึงบอกใหห้ าคนบริจาคที่ดินสร้างศาล จึงนำความฝันไปเล่าให้คนจีนฟังและบอกลกั ษณะการ
แต่งกายของผู้หญิงท่ีฝันเหน็ จึงทราบวา่ ท่แี ทเ้ ปน็ องคเ์ จ้าแม่โต๊ะโมะท่ีมาเขา้ ฝนั นายสรรกุลจงึ บรจิ าคทีด่ ินสร้าง
ศาลให้ และวันที่ 15 มกราคม 2495 เป็นวันเริ่มก่อสร้างศาลจนแล้วเสร็จและตั้งชื่อว่า "ศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ"
พร้อมมีการเลอื กต้ังคณะกรรมการบริหารกจิ การภายในศาล และถือเอาวันทางจนี วนั ที่ 23 เดอื น 3 ซง่ึ เป็นวัน
เกดิ ของเจา้ แมจ่ ัดงานฉลอง เป็นประจำทุกปตี ิดต่อกันมาจนถงึ ปจั จุบัน
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 4 แบบแผนทางสังคม มีความเชือ่ และความศรัทธาว่าหากจะ
ให้การเข้าร่วมพิธีการการข้ามสะพานสะเดาะเคราะห์จะช่วยปัดเปา่ ให้ส่ิงไม่ดีหรือเคราะห์ร้ายให้หายไป เหลือ
ไว้แต่ส่ิงท่ีดี ๆ และไดร้ บั ส่ิงที่ดี ๆ มีความสขุ มีโชคดี มลี าภ มีความสุข ตลอดปี
38
2.ประเพณบี ญุ บั้งไฟ
ภาพ: ประเพณบี ญุ บง้ั ไฟ
ท่มี า: https://travel.trueid.net/detail/MeJLGwlJzvN
ประเพณีบุญบ้ังไฟภเู ขาทอง อำเภอสุคิรนิ จัดต่อเน่ืองมาเป็นปที ่ี 40 เพื่อสบื สานประเพณโี บราณของ
คนอสี านท่ีมาอาศยั อยทู่ ่ีปลายดา้ มขวานแหง่ น้ี โดยมนี ายอรุณ ศรใี ส นายอำเภอสคุ ริ นิ ตลอดจนพ่นี ้องและ
ครอบครวั ชาวอสี านและประชาชนในพน้ื ท่ีร่วมในพธิ จี ำนวนมาก ณ ลานอเนกประสงค์องค์การบรหิ ารสว่ น
ตำบลภเู ขาทอง ตำบลภูเขาทอง อำเภอสคุ ริ นิ จังหวัดนราธวิ าส การจัดงานประเพณีบญุ บงั้ ไฟ ในครั้งนเี้ ป็นการ
จดั งานประจำปีของชาว อ.สุคีริน จ.นราธิวาส ที่สบื สานประเพณีวัฒนธรรมอันดีของพี่น้องชาวอสี านและพ่นี ้อง
ประชาชนในพนื้ ท่ี ซ่ึงตำบลภูเขาทอง มีพีน่ ้องชาวอีสานทมี่ าอาศยั ตัง้ รกรากอยู่ในพน้ื ที่แห่งน้กี ว่า 40 ปี โดย
ประชากรร้อยละ 98 เปน็ ชาวไทยอีสาน หรือ ประมาณ 25,000 คนนนั่ เอง
ตำนานการเกดิ ประเพณีบุญบงั้ ไฟ ณ อำเภอสุคริ นิ แหง่ นี้
ชาวอีสานนั้นได้ยา้ ยถนิ่ ฐานมาตัง้ รกรากอยู่ทปี่ ลายดา้ มขวานแห่งนี้มาต้งั แต่ปี 2518 และได้นำ
ประเพณีอนั ดีงามของบรรพบุรษุ มาสบื สานในพน้ื ที่อำเภอสุคิรนิ มาจนถงึ ปจั จุบนั สงู เสียดฟา้ ตามมาด้วยเสียง
โห่ร้องของกองเชยี ร์รอบสนาม เพ่ือลนุ้ ใหบ้ ้ังไฟอยู่เหนือฟากฟา้ ใหน้ านที่สดุ เป็นวถิ ชี วี ติ ทยี่ งั คงถูกสานต่อมา
นานกวา่ 40 ปีทบ่ี ้านภเู ขาทอง ต.ภเู ขาทอง อ.สคุ ริ นิ จ.นราธิวาส นบั ต้งั แตล่ กู หลานท่รี าบสงู อพยพย้ายถ่ินจาก
ภาคอสี านและบางส่วนจากภาคเหนอื และภาคกลางมาอาศัยในนคิ มพัฒนาตนเองภาคใต้ ตามนโยบาย
แก้ปญั หาความยากจน
กวา่ พันครอบครัวจงึ หอบลูกจูงหลานมาตงั้ ถ่ินฐานทำมาหากินท่ีน้ี จนปจั จบุ นั เร่ิมมคี นร่นุ ท่สี องและ
รุ่นทส่ี าม ก้าวเขา้ มาสานตอ่ ประเพณี วฒั นธรรม และวถิ ชี วี ติ ดัง้ เดมิ ของลกู อีสานไว้ ทำให้ทกุ ๆ เดือนหกของทกุ
ปี หรอื ประมาณสบั ดาหท์ ีส่ องของเดือนพฤษภาคม หมูบ่ ้านชายขอบกลางหุบเขาสนั กาลาครี ี แห่งน้ี จึงมี
ประเพณีสำคญั ของคนอสี าน อย่างงานบุญบ้งั ไฟ ทีจ่ ะรวมเอาพี่น้อง เพอื่ นพ้อง และเหล่าญาตมิ ิตรชาวอีสานให้
มาร่วมเฉลมิ ฉลองงานบุญรว่ มกนั
39
ในชว่ งเช้าหนุ่มสาว คนเฒา่ คนแก่ในหม่บู ้าน ในชุดผา้ ซนิ่ สไบเฉยี ง และผา้ ขาวม้าพาดเอวสำหรบั
คนหนมุ่ ตา่ งก็หอบห้วิ กระติบข้าวเหนยี ว และอาหารอีสาน อย่างส้มตำปลารา้ ลาบ หรือแกงออ่ ม มารวมตัว
กันทีศ่ าลาประชาคมหมูบ่ า้ น เพอื่ ทำบุญรว่ มกนั โดยนิมนต์พระมาสวดสะเดาะเคราะห์หมบู่ ้าน เพ่ือทำพิธีรด
น้ำมนตบ์ ง้ั ไฟลกู ปฐมฤกษ์ ท่รี วมเอาเศษผมและเลบ็ ของคนทัง้ หมู่บ้านไว้ภายในบงั้ ไฟ ก่อนทเ่ี จา้ อาวาสจะเป็น
ผู้ทำพธิ จี ุดบงั้ ไฟลูกแรกข้นึ สู่ท้องฟ้า หลังจากนัน้ เสยี งดนตรีของคณะ “พิณพาเพลนิ ย้อนยคุ ” ที่รวมอายขุ องทั้ง
นักดนตรี นกั ร้อง และหางเครื่องท่ีรวมกนั มากกวา่ 2,000 ปี ของกลุ่มผู้สงู อายุท่ีใช้ชวี ิตบา้ นปลายดว้ ย
เสียงเพลงกด็ ังขนึ้ พร้อม ๆ กับเสียงเครื่องดนตรีอสี านทำเอง ทั้งโปงลาง หรอื พิณ บรรเลงทว่ งทำนองเพลง
อีสาน เรียกใหก้ องเชียรท์ ี่มารอล้นุ การแข่งขนั บ้ังไฟรอบสนามต้องออกลีลาเต้นรำอยา่ งสนกุ สนานจิราพร นก
พรหม ผู้ใหญบ่ า้ นหมู่ 2 ต.ภเู ขาทอง ซ่งึ พ้นื เพเดิมเป็นชาวบรุ รี มั ย์ นับเป็นลูกอีสาน รุ่นที่สองที่มาอาศยั อยู่ท่ีนี่
บอกว่า แม้หลายคนจะจากถิ่นฐานบา้ นเกิดหลายปแี ลว้ แต่ยงั จดจำประเพณีสำคัญในถ่ินเกิดได้เปน็ อย่างดี ทุก
คนจงึ อยากรักษาเอาไว้ โดยเฉพาะประเพณงี านบญุ บัง้ ไฟที่เปน็ สญั ลักษณ์ของคนอีสาน
“เดก็ ๆ เรากส็ อนใหเ้ ขาได้รวู้ ่าเขามาจากท่ีไหน ใหเ้ ขารวู้ ่าบรรพบรุ ษุ เขาเป็นคนอสี าน ให้เขาได้ภมู ใิ จ แมเ้ ราจะ
อยู่ท่ีนี่ แต่เราก็ยังสืบสานประเพณีของเราได้ ”
ไม่แตกต่างไปจากความพยายามของแชมป์ทำบ้งั ไฟสองสมัย อย่าง “บุญทัน แกว้ สโุ พธ”ิ์ ทีพ่ ยายามถา่ ยทอด
ความรู้การทำบั้งไฟให้คนอื่นๆในหมูบ่ า้ น เพ่ือให้ภูมปิ ญั ญาของคนอีสานยังคงสบื สานตอ่ ที่นี่ บญุ ทนั บอกว่า
สถานการณ์ความรุนแรง ทำใหต้ อ้ งส่ังซื้อดนิ ประสิวมาจากภาคอีสาน โดยขออนญุ าตหน่วยงานดา้ นความมัน่ คง
เพ่อื นำมาใชใ้ นงานน้ีโดยเฉพาะ ทำใหต้ ้นทุนในการทำบัง้ ไฟสงู ขึ้น โดยบ้งั ไฟขนาด 80 เซนติเมตร ท่นี ยิ มทำกนั
ที่นี่ มีตน้ ทุนตกอนั ละ 800 บาท สูงกวา่ การทำบง้ั ไฟในภาคอสี านซง่ึ จะอยทู่ ่ี 400-500 บาท แต่ชาวบ้านภเู ขา
ทองกย็ ังคงสบื สานการทำบ้ังไฟมาต่อเนอ่ื งกว่า 30 ปี เพราะทุกคนอยากให้อัตลักษณข์ องคนอสี านยังคงอยู่
ปจั จบุ นั สว่ นลกู หลานชาวอสี านรุ่นเล็กหลายคน เริ่มจับกลุ่มทำบ้ังไฟขนาดจว๋ิ ลองผิดลองถูก
พวกเขาคอื ความหวังของลูกอีสานร่นุ ท่ี 3 ทจ่ี ะสบื ทอดประเพณี “บญุ บ้ังไฟ” ที่ติดตัวมาต้ังแต่ครั้งบรรพบรุ ุษ
จากรนุ่ สรู่ ุ่น ซึมซับให้พวกเขากลายเปน็ สว่ นหนง่ึ ของคนพื้นถนิ่ อสี าน ในดินแดนปลายด้ามขวานได้อย่าง
กลมกลืน
40
บทวเิ คราะห์
บทบาทหนา้ ที่ของคตชิ นในบทบาทที่ 2 นคี้ ือการตรวจสอบวัฒนธรรมและทม่ี าของวัฒนธรรม จึงสามารถ
อธบิ ายเหตุทม่ี าของประเพณีบุญบัง้ ไฟได้วา่ ประเพณบี ญุ บั้งไฟ มีที่มาว่าเมื่อ 40 ปที ี่แล้วน้นั ได้มชี าวบา้ นที่มา
จากอสี านบางสว่ นไดต้ ัดสนิ ใจมาต้งั ถ่นิ ฐานเลก็ ๆ ณ ปลายด้ามขวานแห่งน้ีและเพื่อไมใ่ ห้ประเพณที ่ีมีมาแต่
โบราณน้นั หายไป จงึ ได้มกี ารนำมาสานตอ่ ประเพณีของบรรพบุรุษในพ้นื ทห่ี มู่บา้ นชายขอบกลางหุบเขาสันกา
ลาครี ีแหง่ น้ี ซ่ึงในประเพณบี ุญบั้งไฟภูเขาทองก็ไดม้ กี ารปรากฏพิธีการดังนี้
1. เปน็ พธิ ีกรรมท่ีจัดขน้ึ เพือ่ ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ เทียบคลา้ ยกันกับการรวมญาติมิตรสหายทีไ่ ม่ได้
พบปะพูดคยุ กนั มานานในงานนี้ แสดงให้เหน็ ถงึ ความสามัคคี การร่วมดว้ ยชว่ ยกนั อนุรกั ษ์ประเพณี
บา้ นเกิด และสานต่อสบื ไป
2. ในงานประเพณีบญุ บ้ังไฟ จะมีกิจกรรมหลายอย่าง ต้งั แต่การจัดขบวนแห่บ้งั ไฟ การเซิ้งบั้งไฟ และ
การละเลน่ ตา่ งๆ ท่แี สดงถึงวิถีชีวติ ของคนในท้องถ่ิน เช่น การทอดแหหาปลา การสกั สุ่ม ขบวนเซิ้ง
แตง่ กายสวยงามแบบโบราณ เซ้ิงเป็นกาพย์ให้คติธรรมตามหลักพระพทุ ธศาสนาอนั งดงาม กจิ กรรม
เหล่านี้มักจะสรา้ งความสนกุ สนานใหแ้ ก่พ่ี ๆ นอ้ ง ๆ ท่ีเขา้ ร่วมในงานบุญบ้ังไฟเป็นอย่างยิ่ง
3. พธิ ีรดนำ้ มนตบ์ ัง้ ไฟลูกปฐมฤกษ์ เปน็ การนิมนต์พระมาสวดสะเดาะเคราะห์ให้แกห่ มบู่ า้ น โดยจะมกี าร
รวมเอาเศษผมและเล็บของคนทัง้ หมบู่ า้ นไวภ้ ายในบ้งั ไฟ ก่อนทเ่ี จา้ อาวาสนั้นจะเป็นผู้ทำพธิ จี ุดบง้ั ไฟ
ลูกแรกขนึ้ ส่ทู ้องฟา้ เพ่อื ถอื เป็นสง่ิ มลคลของคนในหม่บู ้าน
4. ประเพณีบญุ บ้ังไฟภูเขาทองน้ันเปน็ ประเพณีที่จัดขนึ้ สำหรบั พี่ ๆ นอ้ ง ๆ ที่มาจากภาคอสี านเพ่อื รำลึก
ถึงประเพณีตั้งแต่บรรพบรุ ุษและไดส้ านต่อเพ่ือให้คนร่นุ ใหม่ไดท้ ราบถึงประเพณีอนั ดีงามนไี้ วว้ ่าเป็น
ประเพณที มี่ ีความหมายกบั พวกเขาเช่นไร และภายในงานกจ็ ะมีการใหท้ ุกตนนนั้ หวิ้ กับข้าวหรอื ส้มตำ
อาหารประจำภาคมากนั ดว้ ยเพอื่ ทจี่ ะได้มาร่วมรบั ประทานอาหารท่เี ตรยี มมาด้วยกนั และไดพ้ บปะ
ญาติพ่ีน้องน่ันเอง
สัญลกั ษณ์ทส่ี ำคญั ในประเพณคี ือ บงั้ ไฟ
โดยบง้ั ไฟแต่ละอันที่มาเข้าขบวนแห่ จะถูกตกแตง่ ประดับประดาอย่างสวยงามด้วยลวดลายไทยสีทอง
วา่ กนั ว่าศิลปะการตกแต่งบัง้ ไฟนี้ นายช่างจะต้องสบั และตัดลวดลายต่างๆ น้ีไว้เปน็ เวลานานเปน็ เดอื น แลว้ จึง
นำมาทากาวตดิ กับลูกบงั้ ไฟ บ้ังไฟน้ันมีอยูห่ ลายชนิด ท้งั บั้งไฟกโิ ล บง้ั ไฟหมน่ื และบ้ังไฟแสน บั้งไฟกิโลนัน้ ใช้
ดินประสิวหนัก 1 กิโลกรมั บั้งไฟหมื่นใชด้ นิ ประสวิ 12 กิโลกรมั และบั้งไฟแสนใช้ดินประสวิ 10 หม่ืน หรอื
120 กิโลกรัม เม่ือตกลงกนั วา่ จะทำบ้งั ไฟขนาดไหน ก็หาชา่ งมาทำ หรือทีม่ ฝี ีมือก็ทำกนั เอง ช่างทท่ี ำบ้งั ไฟน้ัน
สำคญั มาก จะต้องเปน็ ผมู้ ฝี มี ือในการคำนวณผสมดนิ ประสิวกบั ถา่ นไม้ เพราะถา้ ไม่ถกู สตู ร บง้ั ไฟกจ็ ะแตก ไม่
ขึ้นส่ทู อ้ งฟ้า สำหรับไมท้ จี่ ะทำเปน็ เสาบั้งไฟน้นั ตอ้ งเป็นไมไ้ ผท่ ม่ี ลี ำปล้องตรงกนั เสมอกนั จะตัดเอาแตท่ โ่ี คนตน้
เพราะมีความหนาและเหนียว ความยาวน้นั แล้วแต่จะตกลงกัน สว่ นหวั บั้งไฟน้ันจะทำเป็นรปู ตา่ งๆ สว่ นมาก
นยิ มทำเป็นรูปหวั พญานาคอา้ ปากและลิน้ พ่นน้ำได้ แตก่ ็มีท่ีทำเปน็ รูปอืน่ ๆ อยูด่ ้วยแต่ก็จะมีความหมายเข้ากับ
ตำนานในการขอฝนท้ังสิน้ ตวั บงั้ ไฟจะนำไปตง้ั บนฐาน ใช้รถหรือเกวียนเป็นพาหนะ นำมาเดินแห่ตามประเพณี
นัน่ เอง
41
3.ประเพณีกนิ วาน
ภาพ: ประเพณกี ินวาน
ทม่ี า: https://thailandbysai.wordpress.com /ความเปน็ มาและความสำคญั /ประเพณภี าคใต/้
ประเพณีกินวาน เป็นการไหว้วานให้เพื่อนบ้านมาช่วยกันลงแรงทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การ
ตระเตรยี มงานแตง่ งาน งานบวช ก่อนจะถึงงาน 1 วันกจ็ ะมีการมาชว่ ยเหลอื กันตระเตรียมงาน เพอ่ื ใหง้ านหนัก
หรืองานเร่งด่วนสำเร็จลุล่วงทันกาล โดยผู้ที่ร่วมลงแรงไม่คิดค่าแรงงานบางอย่าง อาจผลัดเปลี่ยนช่วยกันทำ
เปน็ บา้ น ๆ ไป ทางภาคกลางเรยี กว่า “ลงแขก” (สํานกั งานสาธารณสขุ จังหวัดนราธิวาส, 2555)
การไหว้วานใช้วธิ ี บอกกล่าวกนั ด้วยวาจา ผ้ไู หวว้ านอาจจะไปบอกด้วยตนเองหรือมอบหมายให้คนอื่น
ไปบอกแทน จึงเรียก การไหว้วานนี้ว่า ออกปาก และถือเป็นประเพณีที่เจ้าภาพจะต้องเลีย้ งอาหารผู้มารว่ มลง
แรง ผู้ที่ไปร่วมจึงมักใช้ ค่าว่า ไปกินวาน ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปกินวาน เมื่อไปถึงที่กินวานก็ต้องไปบอก
เจา้ ภาพวา่ คนในบา้ นน้มี าแลว้ อาหารท่จี ัดเล้ยี งแขกที่มากนิ วาน ถ้าเปน็ งานท่ีต้องทำตลอดวัน ต้องเลี้ยงอาหาร
คาวหวานและเครือ่ งดืม่ พร้อมทั้งมีของฝากเป็นแกงตักใส่ถงุ หรือข้าวเหนยี วสงั ขยา เป็นของฝากเป็นสนิ นำ้ ใจ
ติดไม้ตดิ มือกลับไปบา้ นด้วย
ปัจจบุ ันประเพณีน้ีกำลงั สูญหายไปเน่ืองจากมีเครื่องจักรกลมาทำหนา้ ท่ีแทนแรงคน จงึ หลงเหลืออยู่ใน
กลุม่ เครือญาติ เพอ่ื นสนทิ กลุ่มเล็กหรือในกลมุ่ คนยากจนที่ไมม่ ีกำลังท่จี ะจดั ซ้ือเคร่ืองจกั รกล
42
บทวเิ คราะห์
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 4 นี้เป็นเครื่องมือควบคุมรักษาแบบแผนทางสังคม แสดง
มาตรฐานความประพฤติทางสังคม จึงสามารถอธิบายเหตุที่มาของประเพณีกินวาน คือการไหว้วานให้เพื่อน
บ้านมาชว่ ยกนั ลงแรงทำงานอย่างใดอย่างหน่ึงและเป็นสงิ่ ที่ดงี ามจึงมกี ารปฏบิ ัตติ ่อ ๆ กันมา เปน็ แบบแผนหรือ
ระเบียบให้คนในสังคมปฏิบัติ ซึ่งประเพณีกินวานเป็นเสมือนกฎกติกาในสังคมเชิงการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
พิธีกรรมท่ีปรากฏในประเพณีกินวานมดี ังนี้
1.เมื่อมีงานหรือพิธีกรรมต่าง ๆ จะมีการวานคนที่เกี่ยวข้องหรือกลุ่มเครือญาติ มาช่วยในการจัดงาน
ตา่ ง ๆ เช่น หนั่ เนอ้ื ห่ันหมู หั่นผกั ชำแหละววั ทำปลา ตำเครื่องแกง ขดู มะพรา้ ว ปน้ั นำ้ กะทิ งานแต่งก็จะมีการ
นง่ึ ข้าวเหนยี วและทำสงั ขยา เปน็ ต้น
2.ประเพณีกินวานเป็นประเพณีของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ท่ีแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของผู้
ท่ีมาช่วยในงานต่าง ๆ อกี ทงั้ ยังสามารถชว่ ยสร้างความสมคั รสมานสามคั คกี ันในชาวบ้านได้อีกดว้ ย
43
ประเพณีการแหน่ กของสามจงั หวดั ชายแดนใต้
ประเพณีการแห่นก เป็นประเพณีพื้นเมืองอันเก่าแก่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัด
ปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวดั นราธิวาส ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาชา้ นาน โดยจัดขึ้นเป็นครัง้ คราวเพือ่
รบั แขกบา้ นแขกเมอื งคนสำคัญ และบางครัง้ ก็มจี ดั ขึ้นเพื่อความรนื่ เริงในพธิ ีการเขา้ สหุ นัต หรอื ท่เี รียกวา่ "มาโซ
ยาวี” หรือจัดขึ้นเพื่อการประกวดเป็นครั้งคราว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางศาสนาหรือประเพณีตามนักขัตฤกษ์
แตอ่ ย่างใด
ตำนานการเกิดประเพณกี ารแห่นก
โดยมีตำนานที่เล่าถึงที่มาของประเพณีการแห่นกว่า เริ่มขึ้นที่ยาวอ (ชวา) รายองค์หนึ่งมีโอรสธิดา
หลายพระองค์ พระธิดาองค์สดุ ท้ายเป็นที่รักใครข่ องพระบิดาอย่างย่งิ พระบดิ าและข้าราชบริพารรักใคร่เอาใจ
สรรหาสรรพสิ่งมาบำเรอเอาใจ รวมทั้งมีการจัดทำนกประดิษฐ์ตกแต่งสวยงาม แล้วมีการจัดขบวนแห่นก
วนรอบพระทน่ี ง่ั ทำใหพ้ ระธดิ าพอพระทัยมาก จงึ โปรดให้มกี ารแหน่ กทุก 7 วนั
แต่ยังมีบางตำนานเล่าว่ารายอมีโอรสธิดาสี่พระองค์ องค์สุดท้องเป็นชาย มีพระสิริโฉมงดงาม ทั้งยัง
ทรงปฏิภาณไหวพริบ ฉลาดเฉียบแหลมกว่าพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีทั้งหมด พระบิดาและพระมารดาจงึ
รักใคร่มากเป็นพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระโอรสประสงค์ รายอ จะทรงเสาะแสวงหามาให้เสมอ วันหนึ่งราย
อเสดจ็ ประพาสทรงเบ็ด พบชาวประมงกลุ่มหนึ่งและได้สดบั ฟังเรื่องนกประหลาดจากทะเล ซ่ึงเล่าถวายว่า นก
น้นั ผดุ จากทอ้ งทะเลมขี นาดใหญ่ ดวงตาโตแดงก่ำ มีงวง มีงา และเขย้ี ว ประหลาดนา่ กลัว แต่เม่ือนกนั้นบินข้ึน
สู่อากาศกลับมีรูปร่างสีสันทั้งปีกและหางสวยงามกว่านกทั้งปวง ชาวประมงเหล่านั้นเชื่อว่า คงเป็นนกแห่ง
สวรรค์เป็นแน่ เมื่อรายอเสด็จกลับคืนสู่อิสตานา ได้ทรงเล่าเรื่องราวนี้แก่ปะไหมสุหรี และโอรสธิดาฟัง
พระโอรสสุดท้องพอใจเรื่องนกมหัศจรรย์มาก จนรบเร้าให้รายอสร้างรูปนกจำลองขึ้น ต่อมามีช่างมารับอาสา
ประดิษฐ์นกตามคำบอกเล่าของชาวประมง จำนวน 4 คน โดยใช้เวลาในการประดิษฐ์นกประมาณ 1 เดือนก็
แล้วเสร็จ ซึ่งนกทั้ง 4 ตัวนั้นล้วนมีความสวยงามแตกต่างกัน โดยช่างคนที่ 1 ประดิษฐ์ออกมาเป็นรูปนกกา
เฆาะซูรอหรือกากะสุระ ช่างคนที่ 2 ประดิษฐ์ออกมาเป็นรูปนกกรุดาหรือนกครุฑ (มีลักษณะคล้ายกับครุฑ)
ช่างคนที่ 3 ประดิษฐ์ออกมาเป็นรูปนกบือเฆาะมาศหรือนกยูงทอง ส่วนช่างคนที่ 4 ประดิษฐ์ออกมาเป็นรูป
บุหรงซีงอหรือนกสิงห์ (มีรูปร่างคล้ายราชสีห์) ซึ่งแต่ละตัวมีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นที่พอใจของรายอ
ยิ่งนัก ต่อมาข่าวก็ลืออกไปยังต่างถิ่นต่างเมือง จากนั้นรายอก็จัดให้มีขบวนแห่นกทั้ง 4 ตัว ซึ่งในขบวนแห่
ประกอบดว้ ย ดนตรพี นื้ เมอื งบรรเลงและมีสตรีสาวสวยถือพานดอกไมน้ านาชนิดและหลากหลายสีเข้าร้ิวขบวน
ซ่งึ เรียกวา่ บหุ ราซเี ระ (เป็นบายศรีภาคใต้) แห่ไปรอบ ๆ
จากตำนานท่กี ลา่ วมาน้ีถือว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของประเพณีการแห่นกของจังหวดั ปตั ตานีและจังหวัดอ่ืนๆ
ในสามจังหวดั ภาคใต้
44
บทวเิ คราะห์
บทบาทหน้าที่ของคติชนในบทบาทที่ 2 นี่คือการตรวจสอบวัฒนธรรมและที่มาของวัฒนธรรม จึง
สามารถอธบิ ายเหตทุ ่มี าของประเพณีการแหน่ กไดว้ ่า ประเพณกี ารแหน่ ก มที ีม่ าว่าโอรสสุดทอ้ งของรายอมีพระ
ราชประสงค์ให้จัดขบวนแห่รูปปั้นนกขึ้นตามคำบอกเล่าของชาวประมง และนำไปสู่ประเพณีแห่นกซึ่งใน
ประเพณีแหน่ กปรากฏพธิ กี รรดงั น้ี
1. เป็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นงานรื่นเริง จัดเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขก
เมือง สะท้อนให้เห็นถึงสมัครสมานสามัคคีกันภายในพื้นที่ เพราะขบวนแห่จะมีผู้คนมากายี่แห่แหนกันมาใน
ขบวนแหน่ ก
2. พิธีการเข้าสุหนัต หรือที่เรียกว่า มาโซยาวี โดยประเพณีแห่นกจะมีการจัดบวนแห่ในพิธีการเข้า
สุหนตั ด้วย และประเพณีแห่นกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนา หรือประเพณนี ักขตั ฤกษ์ใด ๆ ซ่ึงอาจฟังดูขัดแย้ง
กับการแห่ในพิธีเข้าสุหนัต ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่าการแห่นกไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม เพียงแต่
จุดประสงค์หลัก ๆ ของประเพณีแห่นกตามข้อ 1 นั้นคือเพื่อความรื่นเริง ซึ่งพิธีเข้าสุหนัตนั้นเป็นความรื่นเริง
ยนิ ดีของชาวมสุ ลิมในพืน้ ที่ จงึ มีการจดั ประเพณแี ห่นกข้ึนเม่อื มีการจดั พธิ เี ข้าสุหนตั
3. ประเพณีการแห่นกอาจเกิดข้ึนจากความเชือ่ เร่ืองของนกอัลโบรัก ซึ่งเป็นทูตแห่งสวรรค์ ตามความ
เชื่อของศาสนาอิสลามและจากพิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) จนเกิดพิธีกรรมบางอย่าง เช่น การตั้งพิธีสวดมนต์ตาม
วิธีการทางไสยศาสตร์ และคาถาแห่นก ซึ่งอ่านเป็นโองการก่อนปล่อยนกออกแห่ ซึ่งประเพณีแห่นกน่าจะ
เกดิ ข้ึนภายหลังจากท่ีศาสนาอสิ ลามเข้ามาเป็นศาสนาประจำท้องถนิ่ แลว้ ทำใหเ้ ร่ิมมคี วามเก่ียวข้องกับศาสนา
อิสลามมากขึ้น ซึ่งนอกจากการสวดแล้ว ก็จะมีพิธีสวมหัวนก เป็นพิธีกรรมบาเช่นสรวงหัวนกด้วยเครื่องเช่น
ต่างๆ ตามตำราโบราณมีการนำเครื่องเช่นสังเวยไปวางบนหัวนก มีผู้ประกอบพิธีกรรม จุดเทียนเผากำยาน
พรอ้ มทั้งกล่าวคาถาบูชา
2.1 โดยมีบทคาถาบชู า มดี ังน้ี
"เฮ บูรา เวง เวง ลกั ษมานอ ฆาเมาะสรอ แลกาปอ ซีงอ เฮ องพรหมจติ พรหมใจ จุติกาโลแซ
มาจารีฆูรู ลูกูอ ลูกูแท ลูกูแน ลูกสู ะ องมหามูรู องมหาโฉน องมหาบดี (ปะลีปสั )
เมื่อจบคาถา ผู้ทำพธิ จี ะนำใบมะพรา้ วเทิดขนึ้ เสมอหนา้ แลว้ กล่าวคำ "ปะลปี ัส"
แปลว่า หลดุ พน้ , ปลอดภยั เป็นอันเสรจ็ พธิ ี
คาถาน้ถี อดเป็นภาษาไทยได้ดงั นี้
" โอม พรหมจติ พรหมใจ ขจัดจญั ไร กาลเทพ
ครุ เุ ทพ โอมมหาครุ ุ โอมมหาไฉน โอมมหาบดี ปกปอ้ งภยั .....
2.2 หลังจากสวดจบจะเริม่ การจัดขบวนแห่
2.2.1 เครื่องประโคมสำหรับประโคมดนตรีนำหน้าขบวนนก ประกอบด้วยคนเป่าปี่ชวา 1
คน กลองแขก 1 คู่ ใช้คนตีสองคน ฆ้องใหญ่ 1 ใบ ใช้คนหามและคนตีฆ้องรวมสอง
45
คน ดนตรีจะบรรเลงนำหนา้ ขบวนนกไปจนถึงจดุ หมายและบรรเลงในเวลาแสดงสิละ
รำกรชิ
2.2.2 ขบวนบุหงาซีเระ (บายศรี) จัดเป็นขบวนที่สวยงามระรืน่ ตาผูช้ มขบวนหนึ่ง ผู้ทูนพาน
บายศรีต้องเป็นสตรีที่ได้รับการคัดเลือก เเต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสีสันตามประเพณี
ทอ้ งถิ่น
2.2.3 ผู้ดูแลนก "ทวิรักขบาท" ใช้คน 2 คน แต่งกายแบบนักรบมือถือกริชเดินนำหน้านกซ่ึง
คัดเลือกจากผู้ชำนาญการร่ายรำสิละ รำกริช รำหอก อันเป็นศิลปะการต่อสู้อย่างหนงึ่
ของชาวปัตตานเี มือ่ ขบวนแห่ไปถงึ จุดหมาย
2.2.4 ขบวนนก นกประดิษฐ์แต่ละตัวมีรูปร่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ วิจิตรตระการตา
โน้มน้าวให้ระลึกถึงพญาครุฑในวรรณคดี นกหัสดีลิงค์ในนิยายปรัมปรา กำลังเลื่อน
ลอยลงมายืนอยู่บนคาน จำนวนคนหามมากน้อยแล้วแต่ขนาดน้ำหนักของนก แต่ละ
คนแตง่ เคร่ืองแบบพลทหารถือหอกเป็นอาวุธ
2.2.5 ขบวนพลกริช ขบวนพลหอก ผู้คนในขบวนแต่งกายอย่างนักรบสมัยโบราณถือหอก
ถือกริช เดินตามหลังขบวน จำนวนทหารกริช ทหารหอกมีมากน้อยเพียงใดก็จัดให้
ขบวนแห่นกดแู ลน่าเกรงขามมากยงิ่ ขึ้น
นกที่ทำขึน้ เพือ่ การแห่มเี พียง 4 ตวั
1. นกกาเฆาะซูรอหรือ นกกากะสุระ นกชนิดนี้ตามสันนิษฐานคือ "นกการเวก" เป็นนก
สวรรค์ที่สวยงามและบินสูงเทียมเมฆการประดิษฐ์มักจะตบแต่งใหม้ ีหงอนสูงแตกออกเป็น 4 แฉก นก
ชนิดนี้ชาวพื้นเมืองเรียกว่า " นกทูนพลู " เพราะบนหัวมีลักษณะคล้ายบายศรีพลู และมีการทำให้
แปลกจากนกธรรมดา เพราะเปน็ นกสวรรค์
2. นกกรุดา หรอื นกครฑุ มลี กั ษณะคล้ายกับครุฑ เชื่อกันว่านกชนิดน้ีมีอาถรรพ์ ผู้ทำมักเกิด
อาเพศ มกั เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ในปัจจบุ ันจงึ ไม่นิยมจดั ทำนกชนดิ น้ี ในขบวนแห่
3. นกบือเฆาะมาศ หรือนกยูงทอง มีลักษณะคล้ายกับนกกาเฆาะวูรอ มีหงอน สวยงามเป็น
พิเศษ ชาวไทยมุสลิมยกย่องนกยูงทองมาก และไม่ยอมบริโภคเนื้อ เพราะเป็นนกที่รักขน การ
ประดิษฐ์ตกแตง่ รปู นกพญายงู ทองน้ัน จึงมีการตกแตง่ ท่ปี ระณตี ถีถ่ ้วนใช้เวลามาก
4. นกบุหรงซีงอ หรือนกสิงห์ มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ ตามคตินกนี้มีหัวเป็นนก แต่ตัวเป็น
ราชสีห์ ปากมีเขี้ยวงานา่ เกรงขาม
สัญลกั ษณท์ ีส่ ำคญั ในประเพณี คอื นก หรือ บหุ รง
เพราะว่า บุหรง หรือ นก มีความผูกพันกับชาวมุสลิม ทั้งในเรื่องความบันเทิง วัฒนธรรม
ประเพณี และเปน็ เครื่องเสริมบารมี มาตงั้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจบุ นั มสุ ลมิ มีคตคิ วามเช่ือ มาแต่โบราณว่า
บุรุษทจ่ี ะมี บารมี เป็นใหญเ่ ปน็ โตนั้น ต้องมีส่งิ หนุนเสริม 4 อย่าง คือ มีทำเลเรือนดี มีภริยาดี มีเหล็ก
46
ดี และมีนกดี เพื่อหนุนเสริมบารมี ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่าความเชื่อดังกล่าวทำให้นกกลายไปเป็น
สัญลกั ษณ์สำคัญของประเพณีแห่นก
ประเพณีการแห่นก นับเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี
ส่วนช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีของคนในชุมชน และเป็นประเพณีที่ช่วยส่งเสริมในการอนุรักษ์
ศิลปะดนตรีและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถงึ ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันงดงามและ
เป็นเอกลักษณท์ ส่ี บื ทอดมาเปน็ เวลานาน
ภาพ: นกบหุ รงซงี อ หรอื นกสงิ ห์
ที่มา: https://sites.google.com/site/wathnthrmcanghwadpattani/prapheni-hae-nk
ภาพ: นกกาเฆาะซรู อหรอื นกการเวก
ทีม่ า: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/ef33100a