The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปแบบการจัดการสัมมนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by supa, 2022-11-24 04:44:54

รูปแบบการจัดการสัมมนา

รูปแบบการจัดการสัมมนา

รูปแบบการจดั สมั มนา

วชิ า สัมมนาเชงิ ปฏบิ ตั ิการการจดั การสำนักงาน

บทนำ

รปู แบบของการจดั สมั มนามคี วามหลากหลาย ดังนน้ั กลุ่ม
ผู้จัดสัมมนาสามารถเลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือ
ห ล า ย รู ป แบ บ เพื่อ นำ ม า ป ร ะ ยุ ก ต ์ ใช ้ ให ้ เห ม า ะ ส ม แ ล ะ ต ร ง
จุดมุ่งหมายของการสัมมนาและการศึกษาแต่ต้องคำนึงถึง
ความสอดคล้องกบั หัวข้อเรื่อง เวลา สถานท่ี และเก่ียวข้อง
กับการจัดสัมมนาทุกฝ่ายโดยเฉพาะข้อมูลกับ เพศ อายุ
อาชพี และ พน้ื ฐานความรู้ของผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคน

องค์ประกอบทเี่ กยี่ วข้องกับรูปแบบ
การจัดสัมมนา

มอี งค์ประกอบ ดังนี้
1. ขนาดของกลุม่ ผเู้ ขา้ ร่วมประชุม แบง่ ได้ 3 กลุม่
* กลมุ่ ขนาดเล็ก มสี มาชกิ จำนวน 5-50 คน
* กลุ่มขนาดกลาง มีสมาชกิ จำนวน 51-100 คน
* กลมุ่ ขนาดใหญ่ มีสมาชกิ จำนวนต้ังแต่
101 คน ข้นึ ไป

องคป์ ระกอบทเี่ กยี่ วข้องกับรูปแบบ
การจดั สัมมนา

มอี งคป์ ระกอบ ดังนี้ (ต่อ)

2. หัวข ้อเร่ือ งแล ะจุด มุ่ง หม ายการสัมมนา มี
ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสัมมนา ถ้าหัวข้อเรื่องและ
จุดมุ่งหมายไม่ชัดเจน จะทำให้เกิดความยุ่งยากและส่งผลไป
ยังการเลือกหรือเชิญวิทยากร กำหนดการ ส่วนระยะเวลามัก
ใช้เวลาประมาณ 3-7 วนั

องค์ประกอบทเ่ี กย่ี วข้องกับรปู แบบ
การจดั สัมมนา

มีองคป์ ระกอบ ดังน้ี (ต่อ)

3. สื่อกลางและสถานท่ี ควรมีความพร้อมทุก ๆ
ด้าน ต้องคำนึงถึง ขนาด ความจุของสถานท่ี เคร่ืองอำนวย
ความสะดวก (เช่น ท่ีพัก อาหาร การคมนาคม ท่ีจอด
รถยนต์ การติดต่อสื่อสาร) ส่วนภายในอาคาร ควรมี
โสตทศั นูปกรณต์ ่าง ๆ (เชน่ เครอ่ื งถา่ ยเอกสาร เคร่ืองฉาย
ข้ามศีรษะ คอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ ถ้าเป็นการจัดสัมมนา
ทม่ี คี วามสำคัญระดบั ประเทศมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก อาจจะ
ต้องนำ ระบบโทรทัศน์วงจรปดิ มาประกอบการสัมมนา

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ชใ้ นการจดั สัมมนา

รปู แบบการประชมุ มีหลายรปู แบบ ดังนี้
1. การอภปิ รายแบบคณะ (Panel Discussion)

เทคนิคการสัมมนาแบบคณะเป็นการอภิปรายหัวข้อ
ตามที่ได้กำหนดไว้ มีผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3-8 คน โดยผู้
อภิปรายแต่ละคน เสนอข้อมูล ความรู้ ข้อเท็จจริงและความ
คิดเห็นของตนเองแกผ่ ูฟ้ ัง

วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้ และ
ประสบการณก์ วา้ งขวาง ยงั ไดร้ บั ความคดิ เห็นทแ่ี ตกต่างกัน

รปู แบบการประชมุ ทใ่ี ช้ในการจดั สัมมนา

ดังน้ัน วิทยากรที่มาร่วมสัมมนาต้องมีความรู้และ
ประสบการณ์ในเรื่องนน้ั ๆ

วิธีดำเนินการ
1. พธิ ีกรดำเนนิ การตามกำหนดการ โดยเชญิ ประธานเปิด
การสัมมนา หลังจากน้นั พิธีกรแนะนำหัวขอ้ ทจ่ี ะสัมมนาและผู้
ร่วมดำเนินการอภิปรายทกุ คน
2. เร่ิมดำเนินการอภิปราย โดยผู้อภิปรายแสดงความ
คิดเห็นของตนอยา่ งอสิ ระ หลงั จากนัน้ พิธีกรอาจจัดช่วงเวลา
ส ำ ห รั บ แ ล ก เป ล่ี ย น ค ว า ม คิ ด เห็น ร ะ ห ว ่ า ง ผู ้ อ ภิ ป ร า ย ด ้ ว ย
กนั เอง

รปู แบบการประชมุ ทใ่ี ช้ในการจัดสัมมนา

โดยพธิ กี รเปน็ ผู้สรปุ ในแตล่ ะตอน
3. การจัดสถานที่การสัมมนา เป็นเวทียกพื้นและมีโต๊ะ

สำหรับวางเอกสารและวัสดุต่าง ๆ ให้แก่ผู้อภิปราย โดย
จัดเปน็ ลกั ษณะแถวเดยี่ วหรอื รูปโคง้ เล็กน้อย

รปู แบบการประชุมทใ่ี ช้ในการจดั สัมมนา

รปู แบบการประชุม มหี ลายรปู แบบ ดังนี้
2. การอภปิ รายแบบซิมโพเซยี ม (Symposium)

เหมาะกับการนำมาใช้ในการประชุมทางวิชาการ มีลักษณะ
เป็นทางการ มีวิทยากร 2-6 คน โดยผู้อภิปรายแต่ละคน
เตรียมขอ้ มูลความรแู้ ละความคิดเห็นแก่ผฟู้ ัง มีวัตถุประสงค์
ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้ข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน
หลายแง่มุมในเรื่องเดียวกันตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย จะ
ไม่ก้าวก่ายหรือซ้าซ้อนกับหัวข้อของวิทยากรท่านอ่ืน โดย
แตล่ ะท่านจะใชเ้ วลา ประมาณ 10-15 นาที

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

2. การอภปิ รายแบบซิมโพเซยี ม (Symposium) (ต่อ)
วธิ ีการดำเนินการอภปิ ราย

1. พิธีกร เชิญประธานเปิดการอภิปราย จากน้ันแนะนำ
หัวข้อท่ีบรรยายและแนะนำพิธีการ ภูมิหลังของวิทยากรแต่
ละทา่ น

2. เริ่มการบรรยาย โดยพิธีกรหรือประธานเป็นผู้
เชื่อมโยงการบรรยายของวิทยากรแต่ละท่านและสรุปตอนท่ี
มเี น้ือหาประทบั ใจเป็นพเิ ศษและคอยประสานงานใหก้ าร

รูปแบบการประชุมทใี่ ชใ้ นการจัดสัมมนา

วิธีการดำเนินการอภิปราย (ต่อ)
บรรยายดำเนินไปตามหัวข้อ และวัตถุประสงค์ที่วางไว้ หรือ
พิธีกรอาจจะหาเลขานุการมาเพื่อช่วยในการเตรียมการและ
ประสานงานดา้ นต่าง ๆ เพ่ือทำใหเ้ กิดความคล่องตัว

3. การจัดที่น่ังสำหรับผู้บรรยาย ควรจัดให้สูงกว่าผู้ฟัง
เพื่อใหผ้ ฟู้ งั มองเห็นผู้บรรยายอย่างชดั เจน

การอภิปรายแบบซิมโพเซยี ม (Symposium)

รปู แบบการประชุมทใ่ี ชใ้ นการจดั สัมมนา

รปู แบบการประชุม มหี ลายรปู แบบ ดงั น้ี
3. การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brainstorming)

Mr. Alex Faickney Osborn เป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มใช้การ
อภิปรายแบระดมสมอง ตั้งแตป่ ี ค.ศ. 1939

เป็นการอภิปรายที่ให้ผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นอย่าง
เสรี โดยการบันทึกบนกระดานดำเพื่อให้สมาชิกได้เห็น
รว่ มกันและรบั ทราบ

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจัดสัมมนา

3. การอภปิ รายแบบระดมสมอง (Brainstorming)
วิธดี ำเนนิ การ

1. ประธานเสนอหวั ข้อหรือปญั หาใหท้ ป่ี ระชมุ รับทราบ
2. ประธานอธิบายความมุ่งหมายและสาระสำคัญของหัวข้อ
ประชุมให้สมาชิกทราบ และความคาดหวังที่จะได้รับจากการ
ประชมุ
3. กำหนดระยะเวลา การแสดงความคิดเห็นตามความ
เหมาะสม

รปู แบบการประชุมท่ใี ช้ในการจัดสมั มนา

3. การอภปิ รายแบบระดมสมอง (Brain storming)
วธิ ีดำเนนิ การ

4. เปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างมี
อสิ ระเสรี

5. สรุปประเมินผลค่าความสำคัญข้อเสนอแนะหรือความ
คิดเห็นทจี่ ะนำไปประยุกตใ์ ช้ในการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ

6. ประธานควรจัดและควบคุมใหจ้ ำนวนสมาชิกของกลุ่มมี
จำนวนทเ่ี หมาะสม ประมาณ 8-20 คน

7. การจัดสถานท่ี จัดได้หลายรูปแบบ ควรจัดให้ท่ีน่ังให้
สมาชิกมองเห็นหน้ากัน และได้ยินข้อเสนอแนะหรือความ
คิดเห็นไดอ้ ย่างชดั เจน

การอภิปรายแบบระดมสมอง
(Brain storming)

รปู แบบการประชุมทใ่ี ช้ในการจัดสัมมนา

รปู แบบการประชุม มีหลายรปู แบบ ดังนี้
4. การอภปิ รายแบบเสียงกระซบิ (Buzz Discussion)

Mr. Donald Phillips เป็นบคุ คลแรกท่ีใช้การอภิปราย
เสียงกระซิบ เป็นการประชุมที่เปิดโอกาสให้สมาชิก
ประกอบด้วย ประธาน เลขานุการ และสมาชิกที่เข้าร่วม
ประชุม ได้แสดงความคิดเห็นในช่วงระยะเวลาส้ัน ๆ แบ่ง
สมาชิกออกเป็นกลุ่มละ 5-6 คน เพื่ออภิปรายปัญหาต่าง ๆ
โดยแต่ละกลุ่มใชเ้ วลาในการอภปิ รายประมาณ 6 นาที

รปู แบบการประชุมทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

4. การอภิปรายแบบเสยี งกระซิบ (Buzz Discussion)
วิธีดำเนนิ การ
1. ผู้อภิปรายแนะนำหลักการในการประชุมกลุ่มย่อย การ

แบ่งกลุ่มละให้แต่ละกลุ่มนำหัวข้อไปพิจารณาอภิปรายและ
สรปุ การอภิปราย

2. สมาชิกของแต่ละกลุ่มเลือก ประธาน และเลขานุการ
สำหรบั การดำเนินการอภิปราย

รปู แบบการประชุมทใี่ ชใ้ นการจัดสัมมนา

4. การอภิปรายแบบเสียงกระซบิ (Buzz Discussion)
วิธีดำเนินการ
3. ประธาน นำการอภปิ รายในแตล่ ะกลุ่ม โดยเปิดโอกาส

ให้สมาชิกของกลุ่มได้แสดงความคิดเห็นอย่างกว้าง ขวาง
เลขานกุ ารเป็นผบู้ นั ทึกผลการอภปิ ราย

4. ประธานหรือเลขานุการ หรือตัวแทนกลุ่มสรุป และ
นำความคิดหรือผลการอภิปรายของแต่ละกลุ่มเสนอต่อที่
ประชุมใหญ่ในช่วงของการเสนอผลการประชมุ

การอภิปรายแบบเสียงกระซบิ (Buzz Discussion)

รปู แบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

รปู แบบการประชุม มีหลายรปู แบบ ดังน้ี
5. การอภิปรายแบบบทบาทสมมติ (Role Playing)

คือ การที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้มีโอกาสแสดงบทบาท
สมมติในสถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึง โดยเน้นลักษณะ
ของปัญหาท่ีต้องเผชิญและการแก้ปัญหาในลักษณะต่าง ๆ
ประธาน เลขานุการ เป็นผู้ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง
สมาชกิ ทเ่ี ขา้ ร่วมประชุม

รูปแบบการประชุมทใ่ี ชใ้ นการจดั สัมมนา

5. การอภิปรายแบบบทบาทสมมติ (Role Playing)
วธิ ีดำเนินการ
1. ประธานและเลขานุการต้องทราบและเข้าใจปัญหาอย่าง

ชัดเจน โดยประธานและเลขานุการเป็นผู้ทำหน้าที่
ประสานงานอยา่ งใกล้ชิดระหว่างสมาชกิ ทเี่ ขา้ รว่ มประชุม

2. ประธาน จะเลือกผู้ท่ีจะแสดงในแต่ละบทบาทที่ได้
สมมติขึ้น ซึ่งควรใช้วิธีการจับสลากและการเลือกตัวบุคคล
ไม่ควรลอกให้สมาชิกทราบล่วงหน้า ซ่ึงในการแสดงบทบาท
สมมติน้ี ควรให้สมาชิกมีเวลาเตรยี มตวั เพียงเล็กน้อยเท่านนั้

รปู แบบการประชุมทใ่ี ชใ้ นการจดั สัมมนา

5. การอภปิ รายแบบบทบาทสมมติ (Role Playing)
วิธดี ำเนนิ การ
3. ประธานควรเปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงบทบาทของ

ตนอย่างเต็มท่ี
4. ประธานจะดำเนินการอภิปรายหลังจากที่การแสดงจบ

โดยการอภิปราย ควรเน้นผลท่ีได้รับจากการแสดงในแต่ละ
บทบาท

การแสดงบทบาทสมมติ

การอภิปรายแบบบทบาทสมมตุ ิ (Role Playing)

รปู แบบการประชมุ ทใ่ี ชใ้ นการจัดสัมมนา

รูปแบบการประชุม มีหลายรปู แบบ ดังน้ี
6. การอภิปรายแบบวนรอบ (Circular Response)
(แบบตอบกลบั )
Mr. Londrmen เป็นผู้คิดค้นและนำการอภิปรายชนิดน้ี

มาใช้ ซึ่งจะใช้กับกลุ่มสมาชิก 8-15 คน โดยจัดท่ีนั่งเป็น
วงกลม การประชุมท่ีประธานเปิดการประชุมและเสนอปัญหา
เพื่อให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นเรียงลำดับทีละคน กลุ่ม
สมาชกิ ประกอบด้วย ประธาน เลขานุการและสมาชิก

รปู แบบการประชุมทใี่ ชใ้ นการจดั สัมมนา

6. การอภปิ รายแบบวนรอบ (Circular Response)
(แบบตอบกลับ)
วธิ ดี ำเนนิ การ
1. ประธานกล่าวเปิดการอภิปรายและเสนอปัญหาให้ท่ี

ประชุมรบั ทราบ และนำอภปิ ราย
2. สมาชิกด้านขวามือของประธานเป็นผู้อภิปรายคน

ต่อไป เมื่อคนแรกอภิปรายจบ สมาชิกคนถัดไปจะอภิปราย
แสดงความคิดเห็นของตนเอง และการอภิปรายจะ
ดำเนนิ การต่อเน่อื งเรียงไปทางขวามือตามลำดับจนครบ ไม่มี
การข้ามสมาชกิ

รปู แบบการประชมุ ทใ่ี ชใ้ นการจดั สัมมนา

6. การอภปิ รายแบบวนรอบ (Circular Response)
วิธีดำเนนิ การ
3. ถ้าหวั ข้อเรื่องประเดน็ ใดหาข้อยุตไิ มไ่ ด้ หรือสมาชิกยงั

ต้องการอภิปรายต่อ ที่ประชุมจะเปิดการอภิปรายวนรอบต่อ
อกี จนกว่าจะหาข้อมูลเพอ่ื ยตุ ใิ หไ้ ด้

4. การจัดรูปแบบของการอภิปรายจะจัดลักษณะใดก็ได้
แตเ่ ลขานกุ ารควรน่ังดา้ นซ้ายมอื ของประธาน

5. เลขานุการเป็นผู้บันทึกข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะของ
สมาชกิ ทกุ คน

การอภิปรายแบบวนรอบ (Circular Response)

รูปแบบการประชุมทใ่ี ชใ้ นการจัดสัมมนา

รูปแบบการประชมุ มีหลายรปู แบบ ดังนี้
7. การอภปิ รายแบบโต๊ะกลม (Round Table)
มีลักษณะเหมือนการอภิปรายแบบซินดิเคต คือ เป็น

การอภิปรายในประเด็นที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่
หรือท่ีสมาชิกเลือกตามความสนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
ความคดิ เห็น และประสบการณ์ เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อสรุปร่วมกัน

รปู แบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

7. การอภปิ รายแบบโต๊ะกลม (Round Table)
วธิ ดี ำเนินการ
1. ประธานกลา่ วเปดิ การประชุมเสนอปัญหา
2. เมื่อสมาชิกรับทราบปัญหาหรือหัวข้อของการ

อภิปรายแล้ว ถ้าท่านใดต้องการแสดงความคิดเห็นก็ยกมือ
เพื่อขอพดู โดยไม่ต้องเรยี งลำดบั

3. ถ้าหัวข้อเร่ืองหรือประเด็นนั้นยังหาข้อยุติไม่ได้หรือ
สมาชิกต้องการอภิปรายต่อที่ประชุมก็จะเปิดโอกาสให้
อภปิ รายต่อจนกลา่ จะหาข้อยุติได้

รูปแบบการประชุมทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

7. การอภิปรายแบบโตะ๊ กลม (Round Table)
วิธีดำเนนิ การ
4. สิ่งสำคัญประธานต้องกระตุ้นให้สมาชิกได้แสดงความ

คิดเห็น และต้องช่วยสรปุ ขอ้ ยุตใิ หไ้ ด้
5. สำหรับเลขาจะเป็นผู้บันทึกข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ

ของสมาชิกทุกคนและสรุปผลการประชุมเพ่ือนำเสนอ ต่อ
ประธานและสมาชกิ ต่อไป

การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table)

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจัดสัมมนา

รปู แบบการประชมุ มหี ลายรปู แบบ ดังน้ี
8. การอภปิ รายแบบถาม-ตอบ (Dialogue)
หรืออาจเรียกว่าการอภิปรายแบบสนทนา เป็นการ

จัดรูปแบบการอภิปรายโดยบุคคล 2 คน ท่ีมีความรู้
ความสามารถและมีความเข้าใจในเรื่องที่จะอภิปราย การ
อภิปรายแบบน้ีมีลักษณะที่ไม่เป็นทางการคล้าย 2 คน กำลัง
สนทนากัน คนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ซักถามหรือพิธีกรอีก
คนจะเป็นผู้เช่ียวชาญหรือวิทยากร ทำหนา้ ทต่ี อบ

รปู แบบการประชุมทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

8. การอภิปรายแบบถาม-ตอบ (Dialogue)
วธิ ดี ำเนินการ
1. พิธีกรดำเนนิ การกำหนดการ
2. พิธีกรเป็นผซู้ กั ถามวทิ ยากร และเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
3. พิธีกรเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมฟังซักถามวิทยากรได้

ในช่วงทา้ ย
4. พิธีกรเปน็ ผสู้ รปุ ผลการอภิปราย

การอภิปรายแบบถาม-ตอบ

รปู แบบการประชุมทใี่ ช้ในการจัดสัมมนา

รปู แบบการประชุม มหี ลายรปู แบบ ดังนี้
9. การอภิปรายแบบมสี ่วนร่วม (Forum)
การอภิปรายแบบนี้ประกอบด้วยผู้ดำเนินการอภิปราย

และผู้อภิปราย ซ่ึงผู้อภิปรายหรือผู้ที่ได้รับเชิญมาบรรยายใน
เรื่องน้ัน ๆ ประกอบด้วยผู้อภิปรายคนเดียวหรือหลายคนก็
ได้ ถ้ามีผู้อภิปรายคนเดียวเมื่อบรรยายจบก็จะเปิดโอกาสให้
ผู้ฟังซักถามปัญหาได้ตามเวลาที่จัดไว้ การอภิปรายแบบ
Forum เหมาะที่จะนำมาใชใ้ นการอภปิ รายหรอื เสนอแนะ
ปญั หาของบ้านเมือง เชน่ การประชมุ ระดับหม่บู า้ น

รปู แบบการประชุมทใี่ ช้ในการจดั สัมมนา

9. การอภิปรายแบบมีสว่ นรว่ ม (Forum) (ต่อ)
ระดับอำเภอ หรือระดับจังหวัด หรือการรณรงค์หาเสียง

เลอื กตงั้ ในทางการเมอื ง
ความหมายของ Forum มีดังน้ี

1. เป็นการท่ีผู้ฟังมีส่วนร่วมในการซักถามปัญหาหลังการ
อภิปราย หรือ ปาฐกถา ซ่ึงรปู แบบของการจดั ซอ้ื อยู่กับชนดิ
ของการประชมุ เช่น การประชมุ แบบ Panel Forum,
Symposium Forum

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจัดสัมมนา

9. การอภิปรายแบบมีส่วนร่วม (Forum) (ต่อ)
ความหมายของ Forum มดี งั นี้

2. การอภิปรายท่ีผู้ฟังมีส่วนร่วมด้วยต้ังแต่เร่ิมการ
ประชมุ เรียกว่า Open Froum การอภิปรายแบบนี้มีผู้อภปิ ราย
เพียงคนเดียว เม่ือผู้บรรยายจบแล้วฟังจะตั้งคำถาม หรือ
แสดงความคิดเห็น เช่น การรายงานตัวของผู้เข้ารับ
ตำแหน่งใหมก่ บั ผูบ้ งั คับบญั ชา เปน็ ตน้

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ช้ในการจัดสัมมนา

9. การอภปิ รายแบบมีสว่ นร่วม (Forum) (ต่อ)
ความหมายของ Forum มดี ังนี้

3. การอภิปราย ณ ที่สาธารณะที่จัดข้ึนเป็นประจำ เพ่ือ
แก้ปัญหาส่วนร่วม เช่น Commuity Forum หรือการรณรงค์
หาเสยี งของสมัครสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฏร
สรุป การประชุมสัมมนาแบบ Forum ควรมีผู้ดำเนินการ
อภิปรายท่ีมีความรู้ ความสามารถ และเข้าใจถึงปัญหาอย่าง
ลึ ก ซึ้ ง เป ็ น ผู ้ ด ำ เนิ น ก า ร อ ภิ ป ร า ย เพื่อ ท่ี จ ะ ไ ด ้ บ ร ร ลุ
วตั ถุประสงค์อย่างสงู สุด

รูปแบบการประชุมทใ่ี ชใ้ นการจัดสัมมนา

9. การอภิปรายแบบมีส่วนร่วม (Forum) (ต่อ)
วิธีดำเนนิ การ
1. ผู้ดำเนนิ การอภปิ รายควรมีความรู้ ความสามารถ และ

เข้าใจถึงปัญหาอย่างลึกซ้ึงเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเพ่ือให้
บรรลุวตั ถุประสงค์

2. เชญิ วทิ ยากรเพยี งคนเดยี วหรือหลายคนกไ็ ด้
3. ผดู้ ำเนนิ การเปน็ ผู้ซกั ถามวิทยากร และเกบ็ รวบรวม
ขอ้ มลู

รูปแบบการประชมุ ทใี่ ชใ้ นการจัดสัมมนา

9. การอภปิ รายแบบมสี ว่ นรว่ ม (Forum) (ตอ่ )
วธิ ดี ำเนนิ การ
4. เปิดโอกาสให้ผเู้ ขา้ ร่วมฟังซักถามได้
5. ผ้ดู ำเนนิ การเป็นผสู้ รปุ ผลการอภปิ ราย

รูปแบบการประชมุ ทใ่ี ชใ้ นการจดั สัมมนา

รูปแบบการประชุม มหี ลายรปู แบบ ดงั นี้
10. การอภิปรายแบบกล่มุ (Group Discussion)

เป็นการอภิปรายที่มีผู้นำอภิปรายเพียงคนเดี ยว
ดำเนินการอภิปรายกับสมาชิกท้ังหมดหรือจะใช้วิธีการแบ่ง
สมาชิกออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-8 คน โดยให้แต่ละกลุ่มเลือก
ประธานและเลขานุการ เพื่อดำเนินการกันเอง ซึ่งจะเหมาะ
กับหัวข้อเร่ืองใหญ่ ๆ ท่ีมีหัวข้อย่อยท่ีต้องการแก้ปัญหาใน
หลายเรื่องไปพร้อมกัน อาจกำหนดหัวข้อเร่ืองท่ีเป็นเร่ือง
เดียวกัน หรือหลายหัวข้อเรื่อง แล้วให้แต่ละกลุ่มเลือก
กนั เอง

รูปแบบการประชมุ ทใ่ี ชใ้ นการจดั สัมมนา

10. การอภิปรายแบบกลมุ่ (Group Discussion)
วิธีดำเนนิ การ
1. แบ่งสมาชิกออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-8 คน โดยเลือก

ประธานและเลขานุการ
2. กำหนดหัวข้อเร่ืองเหมือนกันทุกกลุ่มหรือกลุ่มละ

หัวข้อเรื่องกไ็ ด้
3. ควรจัดที่น่ังแบบโต๊ะกลม หรอื โตะ๊ เหลี่ยม เพอื่ ให้เห็น

หน้ากันไดท้ กุ คน

รูปแบบการประชุมทใ่ี ช้ในการจดั สัมมนา

10. การอภิปรายแบบกลุม่ (Group Discussion)
วิธดี ำเนนิ การ
4. ควรจัดสถานที่ให้อยู่ในบริเวณท่ีสามารถติดตามได้

ง่ายและทั่วถึงทกุ กลุ่ม
5. แต่ละกลุ่มควรดำเนินการอภปิ รายให้จบภายในเวลาที่

กำหนด
6. เลขานกุ ารเป็นผู้บันทกึ การอภปิ ราย
7. ตัวแทนกลมุ่ ออกไปนำเสนอผลงานในทป่ี ระชมุ หใญ่
8. ผ้นู ำอภิปรายสรปุ รายงานผลของแต่ละกลมุ่

การอภิปรายแบบกลุม่

รปู แบบการประชมุ ทใ่ี ช้ในการจดั สัมมนา

รูปแบบการประชมุ มหี ลายรปู แบบ ดงั นี้
11. การอภปิ รายแบบปุจฉา-วสิ ชั นา (Collouy Discussion)

เป ็ น ก า ร อ ภิ ป ร า ย ที่มี จุ ด ป ร ะ ส ง ค ์ ให ้ ส ม า ชิ ก ผู ้ รั บ ก า ร
อภิปรายเกดิ ความรู้ ความเข้าใจในปัญหาหรือเร่ืองที่ต้องการ
ศกษาในแง่มุมต่าง ๆ อย่างละเอียดตามความต้องการและ
ความสนใจของผู้ฟัง คณะผู้อภิปราย ประกอบด้วยสมาชิก
ประมาณ 6-8 คน โดยมีผู้ดำเนินการอภิปราย จำนวน 1 คน
ครง่ึ หน่ึงของคณะผู้อภปิ รายจะเป็นผเู้ ชี่ยวชาญหรือวทิ ยากรผ
ผมู้ ปี ระสบการณส์ งู ในเรอื่ งทจ่ี ะอภิปราย

รูปแบบการประชุมทใี่ ชใ้ นการจัดสัมมนา

11. การอภปิ รายแบบปจุ ฉา-วิสชั นา (Collouy Discussion)
ส่วนอีกคร่ีงเป็นตัวแทนจากกลุ่มผู้ฟังทำหน้าท่ีเสนอข้อ

คำถามให้ผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรตอบ สำหรับผู้ดำเนินการ
อภิปรายทำหน้าท่ีเชื่อมโยงความคิดเห็น ซักถาม ควบคุม
เวลาและสรปุ ลการอภปิ ราย

ลักษณะการจัดโต๊ะ เก้าอี้ เป็นแบบห้องเรียนหรือ
โรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภปิ รายแบบปจุ ฉา-วสั ชั นา

- มองเด็กไทยในยคุ โลกาภิวัฒน์

การอภิปรายแบบปุจฉา-วิสชั นา

รูปแบบการประชมุ ทใ่ี ชใ้ นการจัดสัมมนา

รปู แบบการประชุม มีหลายรปู แบบ ดังน้ี
12. การบรรยาย (Lecture)

คือ การพูดถึงรายละเอียดเรื่องใดเร่ืองหน่ึง เพียงคน
เดียวให้ผู้ฟังเข้าใจโดยการถ่ายทอดความรู้ที่แจ่มแจ้งและ
ชดั เจน เป็นการสอื่ สารทางเดยี ว


Click to View FlipBook Version