ต้นยางนา
ป่ากลางเมือง
ผืนป่ากลางใจเมืองระยอง ผืนป่าแห่งนี้
ล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมเป็นผืนป่า
ที่ได้รับการปกป้องดูแลรักษาโดยชุมชน
ชื่อ ป่าชุมชนบ้านศาลเจ้า
ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลเนินพระ อำเภอเมืองระยอง ตั้งอยู่
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าหนองสนม มีเนื้อที่ 127 ไร่
ป่าชุมชนบ้านศาลเจ้า ได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งป่าชุมชนจากกรมป่าไม้เมื่อปี พ.ศ. 2556
ป่าชุมชนแห่งนี้เป็นแหล่งฟอกอากาศที่สำคัญ
จากโรงงานอุตสหกรรมที่มีอยู่รายล้อมรอบผืนป่าและมีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด
พันธุ์ไม้เด่นคือ ต้นยางนา ที่มีขนาดสูงใหญ่ขึ้นตระหง่านอวดโฉมให้ทุกคน
ได้มาสัมผัส ซึ่งปัจจุบันจะหาดูต้นยางนาขนาดใหญ่ได้ยาก
ผืนป่าแห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาจาก
คณะกรรมการป่าชุมชนบ้านศาลเจ้าและ
ความร่วมแรงร่วมใจจากชุมชนเพื่อคงผืนป่า
ไว้ให้ลูกหลานเป็นปอดคู่เมืองระยอง
และยังมีกิจกรรมสำคัญที่ชุมชนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้แก่ การทำบุญป่าและ
บวชป่าของชุมชน การปลูกไม้เสริมในพื้นที่ การตัดสางกิ่งไม้ เป็นต้น
สรรพคุณและประโยชน์
พันธุ์ไม้ยืนต้น 12 สายพันธุ์
และ
สมุนไพร 12 สายพันธุ์
ต้นไม้ยืนต้น 12 สายพันธุ์
1
ต้นยางนา
ยางนา ชื่อสามัญ Yang
ยางนา ชื่อทางการค้า Yang, Gurjan, Garjan
จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบหรือผลัดใบระยะสั้นขนาดใหญ่ มีความสูง
ของต้นได้ถึง 50 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ โคนต้นมักเป็นพูพอน
ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เปลือกต้นเกลี้ยงเป็นสีออกเทาอ่อน หลุดลอกออก
เป็นชิ้นกลม ๆ เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลแดง เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ
ใบยางนา
ใบเป็นใบเดยี่ ว ออกเรียงเวียนสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกม
รูปขอบขนาน ปลายใบสอบทู่ โคนใบกว้าง
ดอกยางนา
ออกดอกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ แบบช่อกระจะ ตามง่ามใบตอนปลายกิ่ง ดอกมีขนาด
ประมาณ 4 เซนติเมตร เป็นสีชมพูอ่อน มีช่อละ 4-5 ดอก ดอกขนาดใหญ่เรียงตัว
หลวม ๆ เป็นช่อห้อยลงถึง 12 เซนติเมตร ที่ก้านช่อมีขน กลีบดอกมี 5 กลีบ
ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมนและบิดเวียน
ผลยางนา
ผลเป็นแผลแห้ง ลักษณะของผลเป็นรูปกระสวย มีหลอดกลีบเลี้ยงหุ้มขนมิด ยาวประมาณ-
2-2.5 เซนติเมตร มีปีกขนาดใหญ่ที่พัฒนามาจากกลีบเลี้ยง 2 อัน มีสีแดงอมชมพู
สรรพคุณของ "ต้นยางนา"
ตำรายาไทยจะน้ำต้มจากเปลือกเป็นยาบำรุงร่างกาย ฟอก
เลือด บำรุงโลหิต แก้ตับอักเสบ และใช้ทาถูนวดขณะร้อน ๆ
เป็นยาแก้ปวดตามข้อ (เปลือกต้น)
ใช้น้ำมันยาง 1 ส่วน ผสมกับแอลกอฮอล์กิน 2 ส่วน แล้วนำมารับ
ประทานเป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้มุตกิดระดูขาว-
ของสตรี หรือใช้จิบเป็นยาขับเสมหะก็ได้ (น้ำมันยาง)
น้ำมันยางใช้ผสมกับเมล็ดกุยช่าย นำมาคั่วให้เกรียม บดให้
ละเอียด ใช้เป็นยาอุดฟันแก้ฟันผุ (น้ำมันยาง)
ใบและยางมีรสฝาดขมร้อน ใช้รับประทานกินเป็นยาขับเลือด
ตัดลูก (ทำให้เป็นหมัน)
ประโยชน์ของ "ต้นยางนา"
น้ำมันยางเป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญของ
ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านก็ยังมีการเก็บหากันอยู่
แต่ก็ยังไม่พอใช้จนต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพิ่มเติม
ลำต้นใช้ทำไม้ฟืน ถ่านไม้
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามสองฝั่ งถนน เพื่อความสวยงาม
และปลูกเพื่อประโยชน์ทางด้านนิเวศ ให้ร่มเงา กำบังลม
ให้ความชุ่มชื้น ควบคุมอุณหภูมิในอากาศ ป้องกันการพัง
ทลายของหน้าดิน ฯลฯ
2
ต้นตะเคียนทอง
ตะเคียนทอง ชื่อสามัญ Iron wood, Malabar iron wood, Takian, Thingan, Sace, Takian
ตะเคียนทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Hopea odorata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์ยางนา (DIPTEROCARPACEAE)
จัดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรง
มีความสูงของต้นประมาณ 20-40 เมตร วัดรอบได้ถึงหรือกว่า
300 เซนติเมตร ลักษณะของเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ กลม
หรือเป็นรูปเจดีย์แบบต่ำ ๆ เปลือกต้นหนาเป็นสีน้ำตาลดำ แตก
เป็นสะเก็ด กะพื้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนแก่นไม้ตะเคียนเป็นสี
น้ำตาลแดง ลักษณะของไม้ตะเคียน เนื้อไม้เป็นสีเหลืองหม่นหรือ
สีน้ำตาลอมสีเหลือง มักมีเส้นสีขาวหรือเทาขาวผ่านเสมอ
ใบตะเคียนทอง ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอก
หรือรูปดาบ ปลายใบเรียว ส่วนโคนใบมนป้านและเบี้ยว ใบมีขนาดกว้าง
ประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อยาวแบบช่อแยกแขนงตามปลายกิ่งและตามง่ามใบ
มีดอกย่อยอยู่ช่อละประมาณ 40-50 ดอก ช่อดอกมีความยาวประมาณ
5-7 เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองแกมสีน้ำตาลขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม
และมีขนนุ่ม ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ
ผลตะเคียนทอง
ผลตะเคียนทอง ผลเป็นผลแห้งไม่แตก ผลเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อสุกจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม
ผลมีลักษณะกลมหรือเป็นรูปไข่เกลี้ยง ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.6 เซนติเมตร
(มีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร) ปลายมนเป็นติ่งคล้ายหนามแหลม มีปีกยาว 1 คู่
ลักษณะเป็นรูปใบพาย ยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ปลายปีกกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร
สรรพคุณของ
"ต้นตะเคียนทอง"
แก่นมีรสขมอมหวาน ช่วยแก้โลหิตและกำเดา (แก่น)
ช่วยแก้ไข้สัมประชวรหรือไข้ที่เกิดมาจากหลายสาเหตุและ
มักมีอาการแสดงที่ตา เช่น แดง เหลือง หรือขุ่นคล้ำ
เป็นต้น (แก่น)
ช่วยแก้อาการลงแดง (เปลือกต้น)
เปลือกต้นนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมช่วยป้องกันฟันหลุด
เนื่องจากกินยาเข้าปรอท (เปลือกต้น)
ดอกใช้เข้าในตำรับยาเกสรร้อยแปด ใช้ผสมเป็นยาทิพย์
เกสร (ดอก)
ยางใช้ผสมกับน้ำใช้ทารักษาบาดแผล หรือจะทำเป็นยาง
แห้งบดเป็นผงใช้รักษาบาดแผล (ยาง) ใช้รักษาไฟไหม้
และน้ำร้อนลวก (ยาง)
ต้นตะเคียนทอง
ประโยชน์ของ
"ต้นตะเคียนทอง"
ใบตะเคียนมีสารแทนนินอยู่ประมาณ 10% โดยน้ำหนักแห้ง ส่วน-
ในเปลือกต้นก็มีสารประกอบนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยคุณสมบัติของ
แทนนิน เมื่อนำมาใช้ฟอกหนังจะช่วยทำให้แผ่นหนังแข็งขึ้นกว่า
เดิม จึงเหมาะกับการนำมาใช้เฉพาะงานได้เป็นอย่างดี
ใช้ปลูกตามป่าหรือตามสวนสมุนไพรเพื่อเป็นไม้บังลม เพื่อให้ร่ม
เงา และช่วยรักษาสมดุลทางธรรมชาติ เพราะไม้เป็นไม้ไม่ผลัดใบ
พร้อมกัน จึงเป็นไม้ที่ช่วยรักษาความเขียวได้ตลอดปี ช่วยลดก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นอย่างดี
เปลือกต้นให้น้ำฝาดชนิด Catechol และ Pyrogallol
ชันจากไม้ตะเคียนใช้ทำน้ำมันชักเงาตบแต่งเครื่องใช้ในร่ม ใช้ผสม
กับน้ำมันทาไม้ยาแนวเรือ หรือใช้ผสมกับวัสดุอื่น ๆ เพื่อใช้ในงาน
ต่าง ๆ เช่น ใช้สำหรับทาเคลือบเรือเพื่อช่วยรักษาเนื้อไม้และ
ป้องกันเพรียงทำลาย เป็นต้น
3
ต้นหมี่เหม็น
หมี่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Litsea glutinosa (Lour.) C.B.Rob. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Litsea chinensis Lam.,
Litsea sebifera Pers.) จัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE)
ต้นหมี่ หรือ ต้นหมีเหม็น จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบ มีความสูงได้ประมาณ
5-15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล ลำต้นแก่
แตกเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาว ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนละเอียด ขยายพันธุ์
โดยใช้เมล็ด พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และตามป่าดงดิบ
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มักออกเป็นกลุ่มหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปรีแกม
ขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ หรือค่อนข้างกลม ปลายใบมนหรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบเป็นครีบ
ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ
8-15 เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบเกลี้ยง สีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบมีขน
มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ตามก้านใบมีขน ก้านใบยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร
ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่ม
โดยจะออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีเหลือง
ไม่มีกลีบดอก ช่อดอกเพศผู้มีดอกย่อยประมาณ 8-10 ดอก
กลีบรวมลดรูปเหลือ 1-2 กลีบ หรือไม่มีเลย ลักษณะเป็นรูป
ขอบขนาน ขอบกลีบมีขน ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 9-20
อัน เรียงเป็นชั้นๆ ก้านเกสรมีขน ชั้นในมีต่อมกลมๆ
อั บ เ ร ณู เ ป็ น รู ป รี
ผลหมี่เหม็น
มีกลิ่นเหม็น ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 5-7 มิลลิเมตร ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลอ่อนเป็นสีเขียว
เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีม่วงเข้มเกือบดำ ก้านผลมีขน ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดแข็ง ช่อหนึ่งมีผลประมาณ 3-5 ผล
สรรพคุณของ
"หมี่เหม็น"
ตำรายาไทยจะใช้รากต้นหมี่เป็นยาบำรุงกำลัง (ราก)
เปลือกสดใช้อมแก้ปวดฟัน แก้ปากเหม็น (เปลือกต้น)
ใบมีสรรพคุณเป็นยาปัสสาวะ (ใบ)
เมล็ดใช้เป็นยาถอนพิษอักเสบต่าง ๆ (เมล็ด)
ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ (ต้น)
รากและเปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน (ราก, เปลือกต้น)
ใบใช้ตำพอกรักษาบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ (ใบ) ส่วนยางใช้ตำพอก
ปิดทาแผล (ยาง)
บางท้องถิ่นจะนำรากมาตากให้แห้ง ดองกับเหล้าขาว กินเป็นยาแก้
โรคเลือด เช่น ระดูมาไม่เป็นปกติ เป็นลมพิษ เป็นต้น (ราก)
ต้นหมี่เหม็น
ประโยชน์ของ
"ต้นหมี่เหม็น"
ผลสุกใช้รับประทานได้
ใบใช้บ่มกล้วยให้สุกเร็ว หรือใช้รองปิดปากไหปลาร้ากันหนอน
ใบสดใช้เป็นยาพอกศีรษะเพื่อฆ่าเหา
ดอกนำมาตากแห้งอบน้ำหอม ประดิษฐ์เป็นของชำร่วย
ใบสามารถย้อมผ้าได้ โดยจะให้สีเขียว ส่วนเปลือกใช้ย้อมสีผ้า
ย้อมแหให้ติดสี ผงจากเปลือกใช้ทำธูปจุดไล่แมลง
เนื้อไม้ของต้นสามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน
เฟอร์นิเจอร์ หรือนำลำต้นมาใช้ทำฟืน
ยางของต้นใช้ทาเครื่องจักสานให้หนาและทนทาน และใช้ดัก
แมลงตัวเล็ก
4
ต้นหันลัด (เลือดแรด)
หัน ชื่อสามัญ Wild Mutmeg
หัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Knema globularia (Lam.) Warb. จัดอยู่ในวงศ์จันทน์เทศ (MYRISTICACEAE)
จัดเป็นไม้ยืนต้น ที่มีความสูงของต้นประมาณ 10-25 เมตร
และอาจสูงได้ถึง 30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูงถึงค่อน
ข้างกลม เปลือกลำต้นแตกเป็นสะเก็ด เปลือกด้านนอกเป็น
สีน้ำตาลหรือสีเทาเข้ม ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีชมพู ที่ยอด
อ่อน ใบอ่อน และช่อดอกมีสะเก็ดเป็นขุยสีน้ำตาล
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปใบหอกถึงรูปใบหอก
แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม บางครั้งอาจเรียวยาว โคนใบแหลมหรือมน ส่วนขอบใบเรียบ
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-16 เซนติเมตร ผิวใบด้านบน
เป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนด้านล่างเป็นสีขาวนวล (ท้องใบมีสีอ่อนกว่าหลังใบ)
ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ โดยจะออกเป็นกระจุกตามซอกใบ
หรือตามกิ่ง ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่กันคนละต้น
ด อ ก ย่ อ ย มี ข น า ด เ ล็ ก เ ป็ น สี เ ห ลื อ ง น ว ล ห รือ สี เ ห ลื อ ง แ ก ม สี
น้ำตาล ด้านในดอกเป็นสีม่วงแดง โดยจะออกดอกในช่วง
เ ดื อ น พ ฤ ศ จิ ก า ย น ถึ ง เ ดื อ น ม ก ร า ค ม
สรรพคุณของ "ต้นหันลัด"
เปลือกใช้ดองกับเหลา้ เป็นยาชูกำลัง (เปลือก)
ตำรายาไทยจะใช้น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดเป็นยา
รักษาโรคผิวหนังและหิด โดยสารที่ออกฤทธิ์คือ
สาร benzyl benzoate
ข้อควรระวัง : เมล็ดมีสารทำให้เบื่อเมา ห้ามนำมารับประทาน
ประโยชน์ของ "ต้นหมี่เหม็น"
น้ำมันจากเมล็ดใช้ทำเป็นสบู่ยา
เนื้อไม้ของต้นหันสามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างภายในอาคารของบ้านเรือนได้
ผลใช้เป็นอาหารของสัตว์ป่า
5
ต้นพะวา
พะวา ชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia celebica L.
(ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Garcinia speciosa Wall.)
จัดอยู่ในวงศ์มังคุด (CLUSIACEAE หรือ GUTTIFERAE)
มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคเหนือ และภาคอีสาน แต่พบได้ทั่วทุกภาคของ
ประเทศ โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นตั้งตรง มีความสูง
ของต้นประมาณ 10-18 เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปโดม ใบออกดกหนาทึบ เปลือก
ต้นบางเป็นสีเทาดำ เปลือกมียางสีเหลือง ต้น ใบ และผลมียางสีขาว
ใบดกและหนาทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ
ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปขอบขนาน รูปขอบขนานแกมรูปรี
หรือรูปไข่กลับ ปลายใบมนกว้าง โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-8 เซนติเมตร และ
ยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร