42 ว่าข้อสอบแต่ละข้อนั้นได้สร้างถูกต้อง และเหมาะสมเพียงใด พิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ หรือเนื้อหาตามตารางวิเคราะห์หลักสูตรหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์ประเมิน ดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น นำข้อสอบที่ได้หาค่าสอดคล้อง IOC และคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปจัดพิมพ์ เป็นแบบทดสอบใหม่ 2. ทดลองสอบ และนำแบบทดสอบที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดสอบ (Tryout) กับ นักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึง หรือนักเรียนที่เพิ่งเรียนในเรื่องนั้นๆ จำนวน 30 คนขึ้นไป 3. วิเคราะห์หาคุณภาพข้อสอบ นำผลการสอบมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) ระหว่าง 0.20 – 0.80 และมีค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป จากนั้นให้นำข้อสอบที่ได้คัดเลือกแล้ว จัดพิมพ์เป็นข้อสอบฉบับใหม่ นำไปทดสอบกับนักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงหรือนักเรียนที่เพิ่งเคยเรียน เรื่องนั้นๆ จำนวนตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น 4. จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับจริง เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป ผู้วิจัยเลือกใช้ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนของ มนชิดา เรืองรัมย์, (2556) เพราะมีขั้นตอนที่ครบถ้วนมี 3 ขั้นตอนดังนี้ คือ (1) การวางแผนสร้างแบบทดสอบ (2) การลง มือสร้างข้อสอบ (3) การตรวจข้อสอบคุณภาพข้อสอบก่อนนำไปใช้ 2.5 ความพึงพอใจ 2.5.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นคำที่มีความหมายที่หลากหลาย นักการศึกษาและนักพัฒนา หลักสูตรหลายคนได้ให้ความหมายไว้ดังต่อไปนี้ เสาวภาคย์ ปฐมพฤษ์วงษ์ (2558) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติ ที่เป็นไปตาม ความคาดหวัง หรือมากกว่าที่คาดหวัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้รีบสิ่งที่ต้องการหรือบรรลุเป้าหมายหากความ ต้องการหรือจุดหมายนั้นไม่ได้รีบการตอบสนอง ความพึงพอใจจะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น จาริณีอิศรากูร ณ อยุธยา (2559) ความพึงพอใจหมายถึงทัศนคติที่เป็นนามธรรมเกี่ยวกับ จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากนี้ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกด้านบวกของ บุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเกิดจากความคาดหวังหรือเกิดต่อเมื่อสิ่งนั้นสามารถตอบสนองความ ต้องการให้แก่บุคคลได้ซึ่งความพึงพอใจที่เกิดขึ้นสามารถเปลี่ยนไปตามค่านิยมหรือประสบการณ์ของตัว บุคคล
43 ชนิดา ทาระเนต์ (2560) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่เป็นความรู้สึกใน ทางบวก ความรู้สึกที่ดีต่อการปฏิบัติกิจกรรม เมื่อได้รับผลสาเร็จหรือผลตอบแทนจากการปฏิบัติ กิจกรรมนั้น ๆ ดาวสวรรค์ รื่นรมย์ (2560) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของผู้ใช้บริการ หลัง ได้รับบริการหรือระหว่างการใช้บริการได้บรรลุเป้าหมาย หรือได้รับบริการที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้บริการ คาดหวังหรือดีเกินกว่าความคาดหวัง ซึ่งสังเกตได้จากการแสดงออกทางสายตา คำพูด หรือพฤติกรรม ต่างๆ อรศศิพัชร์ ศิริวรรณพร (2560) ความพึงพอใจ หมายถึง การประเมินระหว่างสิ่งที่ผู้บริโภค คาดหวังกับสิ่งที่เขาได้รับ หากผู้บริโภคพบว่าสิ่งที่เขาได้รับซื้อหรือการใช้สินค้าใดๆ ดีกว่าที่เขาคาดหวัง ไว้ผู้บริโภคจะรู้สึกถึงความพึงพอใจ และความพึงพอใจนี้เอง ที่จะทำให้ผู้บริโภคลดความลังเลในการ ตัดสินใจซื้อลง รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมการใช้ซ้ำ และพฤติกรรมการบอกต่อ จากการศึกษาความหมายของความพึงพอใจที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด หรือเจตคติที่ดีของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมทั้ง ทางบวกและทาง ลบ ถ้าเป็นทางบวกก็จะทำให้เกิดผลดีต่อการปฏิบัติงานที่ทำ แต่ถ้าเป็นทางลบก็จะเกิดผลเสียต่อการ ปฏิบัติงานนั้นได้ การทำให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่บุคคลจะเรียนรู้หรือมีพัฒนาการและความเจริญงอก งามนั้น บุคคลจะต้องอยู่ในสภาวะพึงพอใจ สุขใจเป็นเบื้องต้นนั่นคือบุคคลต้องได้รับการจูงในทั้งใน ลักษณะนามธรรมและรูปธรรม 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.6.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ รักษ์ศิริ จิตอารี (2557) ทำการศึกษาวิจัยการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎี การสร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้ STEM EDUCATION เพื่อเสริมสร้างการรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนารูปแบบการ เรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้ STEM Education เพื่อเสริมสร้าง การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (2) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของ รูปแบบ (3) เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบ (3.1) เปรียบเทียบการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ก่อนเรียน-หลังเรียน ด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้น (3.2) ศึกษากระบวนการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ดำเนินการวิจัยลักษณะวิจัย และพัฒนากับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนภูคา วิทยาคม สพป. น่าน เขต 2 โดยการเลือกแบบเจาะจงจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบ แบบวัดการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ผลการวิจัย พบว่า (1) การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ มีความสำคัญและ
44 เป็นสมรรถนะที่สำคัญยิ่งต่อนักเรียนจัดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา การรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ขั้น (2) ผลการตรวจสอบคุณภาพรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมี ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.21, S.D. = 0.55) (3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่านักเรียนที่ มีคะแนนการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ใน 3 ด้านสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 โดย แยกเป็นหลายด้าน ด้านการระบุคาถามทางวิทยาศาสตร์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ด้านการอธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ด้านการใช้ประจักษ์พยานทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุวธิดา ล้านสา (2558) ได้ทำการศึกษาวิจัยการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตวิทยาศาสตร์ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาหาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาชุดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และจิต วิทยาศาสตร์ (2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตวิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (3) ทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อส่งเสริม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตวิทยาศาสตร์ (4) เพื่อประเมินและปรับปรุงชุด กิจกรรมกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และจิต วิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระตาหนักสวน กุหลาบ มหามงคล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จังหวัดนครปฐม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยประกอบด้วย (1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการดำรงชีวิตของพืช (2) แผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ เรื่องการดำรงชีวิต (4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด วิเคราะห์ (5) แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ (6) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สืบพงษ์ปราบใหญ่ (2560) ได้ทำการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการเรียนรู้กับการส่งเสริมสะเต็ม ศึกษา สะเต็มศึกษามีความสำคัญต่อประเทศไทยเนื่องจากช่วยพัฒนาบุคลากรทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี โดยที่นวัตกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งใหม่ที่นำมาใช้ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ควบคู่กับ สะเต็ม ศึกษาเพื่อช่วยสร้างกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสำเร็จในการนานวัตกรรม การเรียนรู้ กับการส่งเสริมสะเต็มศึกษาสามารถช่วยกระตุ้นความสนใจและเพิ่มขีดความความสามารถของนักเรียน ให้สูงขึ้น ประโยชน์ของการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (STEM) ช่วยพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศสร้าง ประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ยกระดับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรับปรุงการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ผ่านสะเต็มศึกษา การส่งเสริมการศึกษาด้านเทคโนโลยีผ่าน
45 นวัตกรรมการเรียนรู้กับการส่งเสริมสะเต็มศึกษาในชั้นเรียนของผู้เรียนยังสามารถช่วยพัฒนาทักษะการ คิดเชิงวิพากษ์และทักษะการแก้ปัญหา ความสามารถในการประเมินข้อมูลที่ซับซ้อนและ แก้ปัญหาที่ ยุ่งยาก เพิ่มโอกาสในการทำงานและทำให้นักเรียนสามารถสร้างนวัตกรรมได้ในอนาคต 2.6.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและต่างประเทศ พบว่าชุดการจัดกิจกรรมเป็นสื่อ การเรียนรู้ที่ส่งเสริมทางด้านการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ดีกว่าการที่ไม่ใช้ชุดการสอน Scott (2012) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 10 แห่งทั่ว สหรัฐอเมริกา โดยการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (STEM) โดยพยายามที่จะเตรียมนักเรียนให้ดีขึ้นสาหรับการประกอบอาชีพในสาขา STEM ซึ่งผลจากการศึกษา ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่านักเรียนที่เข้าเรียนหลักสูตรที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับ STEM มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวันดีกว่านักเรียนในสถาบันเดียวกันที่เรียนหลักสูตรที่แตกต่างกันไป นักเรียนที่ได้รับโอกาส และการสนับสนุนให้เข้าเรียนในหลักสูตร STEM จะได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และฝึกงานจริงหรือทำ โครงงานสักชิ้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำเรื่องขอสำเร็จการศึกษาจึงสามารถสำเร็จการศึกษาได้ Fang (2013) ได้ทำการศึกษาการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้ รูปแบบการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกับการระดมสมองผ่านกิจกรรมการเล่น Yo - yos ผลการวิจัย พบว่า จากการศึกษานักเรียนทั้งหมด 122 คนพบว่านักเรียนระดมสมองร่วมกันสามารถแก้ไขปัญหา ทางฟิสิกส์ได้ ผ่านการทำกิจกรรมการเล่น Yo - yos โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาและทำ ให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียนรู้ในห้องเรียนไปกับชีวิตจริงได้ในการทำกิจกรรม ผ่านการเล่น Yo - yos ทำให้นักเรียนสามารถระบุแนวความคิดทางฟิสิกส์ได้มากกว่า 50 แบบ ทำให้ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในวิชาฟิสิกส์เพิ่มมากขึ้น Estes (2014) ได้แบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา โดยได้ศึกษานักเรียนเป็นรายกรณี ซึ่งผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการบูรณาการความรู้ได้หลากหลายสาขาวิชา และสามารถนำมาออกแบบ เป็นโครงสร้างได้ สามารถคิดแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะกระบวนการคิด วิเคราะห์ และคิดอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning) และการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาร่วมกันทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ มากกว่า การเรียนการสอนแบบบรรยายเฉพาะเนื้อหาเพียงอย่างเดียว จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสะเต็มศึกษา พบว่าสะเต็มศึกษาเป็นนวัตกรรม สามารถที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนด้านการคิด และการแก้ปัญหาให้ผู้เรียนได้บูรณาการ การเรียนรู้จากการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) มาใช้ในการ แก้ปัญหาได้
46 ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะทำการศึกษา ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุด กิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา พบว่าเป็นการจัดการเรียนที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ความต้องการและความสนใจของผู้เรียนระดับชั้น ประถมปลาย โดยผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการทากิจกรรมทุกขั้นตอน ในระบบการทางานแบบกลุ่มที่แบ่ง หน้าที่แต่ละคนภายในกลุ่มอย่างชัดเจน มีการบูรณาการใช้ความรู้ที่หลากหลายที่ คือ (1) วิทยาศาสตร์ (2) เทคโนโลยี (3) การออกแบบเชิงวิศวกรรม และ (4) คณิตศาสตร์ เข้าด้วยกัน ในกิจกรรมมีการกระตุ้น ความคิดนักเรียนด้วยคำถามปลายเปิด เพื่อให้นักเรียนคิด มีอิสระในการตอบ และเปิดโอกาสให้นักเรียน แสดงความคิดแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและภายในกลุ่ม ระหว่างกลุ่ม รวมถึงครูและนักเรียนร่วมกัน อภิปรายในเนื้อหาที่เรียน ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน โดยพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนว สะเต็มศึกษาของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2558) เพื่อ (1) พัฒนาชุด กิจกรรมวิทยาศาสตร์ ตามสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยวัดองค์ประกอบ 3 ด้านคือ (2.1) ด้านความรู้ (Knowledge : K) (2.2) ด้านทักษะ (Process : P) และ (2.3) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attitude : A) (3) ความพึงพอใจ ของผู้เรียนผู้วิจัยวัดคุณลักษณะความรู้สึกนึกคิดที่ดีของผู้เรียนต่อการทางานหรือการปฏิบัติกิจกรรม ทั้ง ทางบวกและทางลบหลังจากได้รับแรงจูงใจทั้งในลักษณะนามธรรมและรูปธรรม
47 บทที่3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัย เรื่องการจัดการเรียนรู้แนวสเต็มศึกษา (STEM Education) ร่วมด้วยการใช้ชุด กิจกรรม เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีรายละเอียดในการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. วิธีดำเนินการสร้างเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากร ประชากรตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) 3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) จำนวน 20 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบยกกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2.1 ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงใน ชีวิตประจำวัน โดยใช้สถิติ x̄, S.D. ค่าประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม (E1/E2) 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สถิติx̄, S.D. ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC), ค่าความยากง่าย (p), ค่าอานาจำแนก (B) ค่าความ เชื่อมั่น Lovett (rcc) และ t-test (Dependent) 3.3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้สถิติx̄, S.D. ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruence : IOC), ค่าอานาจจำแนก Item Total (r) และค่าความเชื่อมั่น (α) โดยการหาสัมประสิทธิ์
50 แอลฟาของคอนบาค 3.3 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ ผู้วิจัยดำเนินการทาวิจัยด้วยตนเอง ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 3.3.1 สร้างและพัฒนาการจัดการเรียนรู้แนวสเต็มศึกษา (STEM Education) ร่วมด้วยการใช้ ชุดกิจกรรม เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามขั้นตอนการพัฒนา 3.3.1.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมประเภท องค์ประกอบและประโยชน์ของชุดกิจกรรม 1) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2) ความหมายของสะเต็มศึกษา (STEM Education) แนวคิดและลักษณะของสะเต็ม ศึกษา (STEM Education) เหตุผลที่จัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา บทบาทของผู้สอนต่อการจัดการเรียนตาม แนวคิดสะเต็มศึกษา การจัดการเรียนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) การวัดและ ประเมินผลตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) ประโยชน์จากการเรียนการสอนแบบสะเต็ม ศึกษา (STEM Education) 3) ความหมายของชุดการสอน/ชุดกิจกรรม/ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แนวคิด ทฤษฏีและ หลักการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรม องค์ประกอบของชุดกิจกรรม ขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรม การหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ 3.3.1.2 การพัฒนา 1) แบบชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งประกอบด้วย (1) คู่มือครูและแผนการจัดการชุด กิจกรรม (2) วัตถุประสงค์ของกิจกรรม (3) คำชี้แจงเนื้อหากิจกรรมการจัดกิจกรรม (4) เนื้อหาสาระและ สื่อ (5) การประเมินที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 2) ผู้วิจัยได้ใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ของ สถาบันการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,2558 มาปรับเป็นชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็ม ศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้จัด กิจกรรมในคาบเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ว15101 จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ รวมเวลา 8 ชั่วโมง โดย กำหนดเวลาในการทำกิจกรรมแต่ละชุดดังในตารางที่ 3.1
51 ตารางที่ 3.1 วิเคราะห์กิจกรรมและระยะเวลาในการทำกิจกรรม กิจกรรม จุดประสงค์ เนื้อหา ระยะเวลา 1.แรงที่กระทำต่อวัตถุ อธิบายแรงที่กระทำต่อวัตถุได้ การหาแรงลพัธย์ของแรง หลายแรงในแนว เดียวกันที่ กระทําต่อวัตถุในกรณีที่วัตถุ อยู่นิ่งจากหลักฐาน เ ชิ ง ประจักษ์ 2 ชม. 2.การออกแรงที่ มากกว่า1 1. อธิบายการหาแรงลัพธ์องการ ออกแรงมากกว่า 1 แรง ที่กระทำ ต่อวัตถุในทิศทางเดียวกันหรือ ทิศทางตรงกันข้ามได้ 2. ทดลองการหาแรงลัพธ์ของการ ออกแรงมากกว่า 1 แรงที่กระทำ ต่อวัตถุในทิศทางเดียวกันหรือ ทิศทางตรงกันข้ามได้ แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงที่ กระทําต่อวัตถุโดยแรงลัพธ์ ของแรง ๒ แรงที่กระทําต่อ วัตถุเดียวกัน จะมีขนาด เท่ากับผลรวมของแรงทั้งสอง เมื่อแรง ทั้งสองอยู่ในแนว เดียวกันและมีทิศทางเดียวกัน แต่จะมีขนาดเท่ากับผลต่าง ของแรงทั้งสอง เมื่อแรงทั้ง สองอยู่ในแนวเดียวกันแต่มีทิศ ทางตรงข้ามกัน สําหรับวัตถุที่ อยู่นิ่งแรงลัพธ์ที่ กระทําต่อ วัตถุมีค่าเป็นศูนย์ 2 ชม. 3.รถพลังลูกโป่ง ออกแบบและวางแผนแก้ปัญหา ตามแนวสะเต็มศึกษาได้ 4 ชม. 3) นำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบ และปรับตามข้อเสนอแนะ
52 4) นำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องเเรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ ปรับปรุงแก้ไขชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ชุดกิจกรรมที่ได้ ตรวจพิจารณาแล้วมาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ คือ สาระ การเรียนรู้แต่ละหัวข้อสรุปใน ภาพรวม ใบงานความรู้ให้น่าสนใจ สื่อการสอนหลากหลากหลาย 5) ตรวจทานความถูกต้องพิมพ์ตก/ผิด ก่อนสำเนาเป็นฉบับใช้จริงเพื่อใช้ทดลองกับกลุ่ม ตัวอย่าง 3.3.2 สร้างและพัฒนาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ขั้นตอนการ การสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ (มนชิดา เรืองรัมย์, 2556, น. 55 - 57) มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบ ขั้นตอนที่ 2 การลงมือสร้างข้อสอบ และขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพข้อสอบก่อนนำไปใช้ และยึดแนวทางของคอฟเฟอร์ ในการประเมินผลการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ในด้านสติปัญญาหรือด้านความรู้ความคิด โดยวัดพฤติกรรม ดังนี้ (1) พฤติกรรมด้าน ความจำ (2) พฤติกรรมด้านความเข้าใจ (3) พฤติกรรมด้านการนำความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไป ใช้ มาปรับใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยจัดทำข้อสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 15 ข้อ เลือกใช้จริง 10 ข้อ 3.3.2.1 ศึกษาความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ศึกษาความหมายของแบบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน ศึกษาจุดมุ่งหมายของการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนศึกษาคุณลักษณะของของแบบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี ศึกษาวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ศึกษาคะแนนพัฒนาการ ศึกษาขั้นตอนการการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3.2.2 พัฒนา 1) กำหนดจุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อวัด 1.1) พฤติกรรมด้านความจำ 1.2) พฤติกรรมด้านความเข้าใจ 1.3) พฤติกรรมด้านการนำความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ 2) กำหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัดในตารางวิเคราะห์หลักสูตร ผู้สร้างแบบทดสอบ ต้องกำหนดขอบเขตเนื้อหามาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ พฤติกรรมที่จะวัดในด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า 3) กำหนดลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ สอบแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะเป็นแบบอิงกลุ่ม ซึ่งลักษณะข้อสอบจะเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 10 ข้อ
53 3.3.2.3 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ที่พัฒนาขึ้นเสนอ อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและปรับตามข้อเสนอแนะ 3.3.2.4 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ที่พัฒนาขึ้นเสนอ ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม 3.3.2.5 นำผลการประเมินหาค่าความตรงเชิงเนื้อหา ความเหมาะสมของคำถาม ตัวเลือก เวลาที่ใช้ในการทำแบบทดสอบ และหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ระบุไว้ได้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ระบุไว้ได้ - 1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ระบุไว้ได้ โดยทำการคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป จัดพิมพ์เป็น แบบทดสอบใหม่ หลังให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประเมิน ได้ค่าสอดคล้อง IOC ระหว่าง 0.60 – 1 ทุกข้อ สรุปว่ามีความสอดคล้องของข้อสอบกับตัวชี้วัดทุกข้อ คือ 10 ข้อ ดังตารางแสดง 3.3.2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 3.3.2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผ่านการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน เทศบาล๕ (บ้านตลาดเก่า) ปีการศึกษา 2565 ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมกับที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพภาคสนาม วิเคราะห์หาคุณภาพข้อสอบ นำผลการสอบมาวิเคราะห์หาความยากง่าย () โดยมีค่าระหว่าง 0.30 - 0.75 และมีค่าอำนาจจำแนก () โดยมีค่า 0.29 - 0.75 นำข้อสอบที่ได้คัดเลือก 10 ข้อ นำมาหาค่า ความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการใช้สูตร (Lovett) เท่ากับ 0.63 3.3.2.8 ตรวจทานความถูกต้อง พิมพ์ตก/ผิด ก่อนสำเนาเป็นฉบับใช้จริงเพื่อใช้ทดลองกับกลุ่ม ตัวอย่าง 3.3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดกิจกรรม โดยใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3.3.3.1 ศึกษาเอกสาร งานวิจัย หลักการ จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก เทคนิคการเขียน และ สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ
54 3.3.3.2 กำหนดรูปแบบของคำถาม เป็นข้อความเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้ตอบในทางบวก และลบ เป็นข้อความสั้น เข้าใจง่าย และชัดเจน 3.3.3.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัด กิจกรรมโดยใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 10 ข้อ โดยการประยุกต์จากวิธีของลิเคอร์ท (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่ามีระดับประเมิน 5 ระดับ โดยใช้เกณฑ์ ดังนี้ 5 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด 4 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจมาก 3 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง 2 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย 1 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด 3.3.3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบพิจารณา 3.3.3.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่แก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล ๕ ( บ้านตลาดเก่า) ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่ เป็นนักเรียนกลุ่มเดิมกับที่ใช้ในการทดลองภาคสนาม ผ่านการเรียนรู้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนว สะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มาแล้ว (1) เพื่อคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างประเด็น (Index of Congruence : IOC) (2) คำนวณหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (r) (3) คำนวณหาค่าความเชื่อมั่น α โดยการหาสัมประสิทธิ์แอลฟา ของคอนบาค 3.3.3.6 พิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจเป็นฉบับจริง นำไปใช้จริงกับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล๕ (บ้านตลาดเก่า) จำนวน 20 คน เพื่อนำไปใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.4.1 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3.4.2 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.4.3 วิเคราะห์ค่าความพึงพอใจ
55 3.5 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติดังนี้ 3.5.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 3.5.1.1 การวิเคราะห์หาค่าความสอคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective–Congruence : IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดอย่าง มีวิจารณญาณ และค่าความสอคล้องระหว่างข้อคาถามกับนิยามประเด็น (Index of Congruence : IOC) ของแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้สูตรดังนี้ 1) การวิเคราะห์หาค่าความสอคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective – congruence : IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร ดังนี้ (อรัญซุย กระเดื่อง,2557) เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ΣR แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2) การวิเคราะห์หาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับนิยามประเด็น (Index of Congruence : IOC) ของชุดกิจกรรมและแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้สูตรดังนี้(อรัญซุย กระ เด่ือง, 2557) เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ΣR แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
56 3) วิเคราะห์หาค่าความยากความยากง่าย ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการ คิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้สูตรดังนี้ (อรัญ ซุยกระเดื่อง, 2557) เมื่อ p แทน วิเคราะห์หาค่าความยากความยากง่าย ของแบบทดสอบ R แทน จำนวนคนตอบถูก N แทน จำนวนคนสอบทั้งหมด 4) วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถาม ความพึงพอใจ โดยใช้สูตรดังนี้ 4.1) วิเคราะห์หาค่าความยากอำนาจจำแนก ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรดังนี้ (อรัญ ซุยกระเด่ือง, 2557) 4.2) วิเคราะห์หาค่าความยากอำนาจจำแนก ของแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้สูตร ดังนี้ (Item Total Correlation) (อรัญ ซุยกระเดื่อง, 2557) 5) วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้สูตรดังนี้ 5.1) วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดการคิดอย่างมี วิจารณญาณ โดยการใช้สูตร Kuder - richardson (KR-20) ดังนี้(อรัญ ซุยกระเด่ือง, 2557) 5.2) วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการใช้ สูตร (Lovett) ดังนี้ (อรัญ ซุยกระเด่ือง, 2557) 5.3) วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (α) แบบสอบความพึงพอใจ โดยหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบาค ซึ่งมีสูตรดังนี้ (อรัญ ซุยกระเดื่อง, 2557) 6) การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 80/80 (E1/E2) โดยใช้สูตรดังนี้ (ชัยยง พรหมวงศ์, 2556) การคำนวณหาประสิทธิภาพโดยใช้สูตรดังกล่าวข้างต้น กระทำได้โดยการนำคะแนนรวม แบบฝึกหัดปฏิบัติ หรือผลงานในขณะประกอบกิจกรรมกลุ่ม/เดี่ยว และคะแนนสอบหลังเรียน มาเข้า ตารางแล้วจึงคำนวณหาค่า E1/E2 3.5.2 สถิติพื้นฐาน
57 3.5.2.1 ร้อยละ (Percentage) ใช้สูตรดังนี้ เมื่อ p แทน ร้อยละ R แทน ความถี่หรือคะแนนที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมดหรือคะแนนเต็ม 3.5.2.2 ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) 3.5.2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
58 บทที่ 4 ผลการวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 นำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ตอนที่ 1 ศึกษาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการ ทาง วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 4.1 ผลวิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย ตารางที่ 4.1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย (จำแนกตามเพศ) เพศ จำนวน (คน) ร้อยละ ชาย 7 35 หญิง 13 65 รวม 20 100 จากตารางที่ 4.1 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายเพศชาย มีจำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 35 และ เพศหญิง มีจานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 65 4.2 การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ตาม เกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 ตารางที่ 4.2 ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
59 จำนวนนักเรียน (20 คน) คะแนนการเรียนด้วยชุดกิจกรรม (E1) คะแนนหลังเรียน (E2) เรื่องแรงที่ กระทำต่อ วัตถุ การออกแรง มากกว่า 1 แรง กิจกรรม stem รถพลังลูกโป่ง รวม (E1) (10) (10) (10) (30) (10) 1 7 9 10 26 8 2 7 9 10 26 8 3 8 10 10 28 10 4 8 10 10 28 8 5 9 10 10 29 7 6 8 9 10 27 8 7 7 9 10 26 9 8 8 9 10 27 7 9 8 9 10 27 9 10 8 8 10 26 7 11 8 8 10 26 9 12 7 7 10 24 10 13 8 8 10 26 7 14 7 8 10 25 8 15 7 8 10 25 7 16 8 9 10 27 8 17 8 9 10 27 8 18 9 10 10 29 9 19 8 10 10 28 9 20 8 9 10 27 7 รวม 156 178 200 534 171.15 ค่าเฉลี่ย 7.8 8.9 10 26.7 8.15 S.D 0.61 0.85 0 1.30 0.98 ร้อยละ 78 89 100 89 81.5
60 จากตารางที่ 4.2 พบว่าผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์ ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวันของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 89/81.5 (E1) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 26.7 คิดเป็นร้อยละ 89 และ คะแนนประสิทธิภาพหลังกิจกรรม (E2) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.3 คิดเป็นร้อยละ 81.5 มีประสิทธิภาพอยู่ ในเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตอนที่2 เปรียบเทียบผลสมัฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวสะเต็ม เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน 4.3 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและ หลังเรียน โดยใชชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงในชีวิตประจำวัน ตารางที่ 4.3 การวิเคราะห์การเปรียบเทียบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ N คะแนนเต็ม x̄ S.D t ก่อนเรียน 20 10 5.15 1.30 10.67 หลังเรียน 20 10 8.1 0.98 จากตารางที่ 4.3 แสดงให้เห็นว่า คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 5.15 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.1 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบ พบว่าคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนรู้ โดยใช้ชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ เรื่องแรง ในชีวิตประจำวัน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่3 เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียด้วยชุดกิน กิจกรรมการเรียนรู้แนวทางสะเต็มศึกษา เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ตารางที่ 4.4 การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียนและหลังเรียนที่เรียน คะแนนการทดสอบ N x̄ S.D t df Sig. ก่อนเรียน 20 คน 5.15 1.30 10.67 19 .00 หลังเรียน 20 คน 8.1 0.98
61 จากตารางที่ 4.4 ผลเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังได้รับชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงใน ชีวิตประจำวัน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตอนที่ 4 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แนวทาง สะเต็มศึกษา เรื่องแรงในชีวิตระจำวัน 4.5 ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรม ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ตารางที่ 4.5 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) รายการ x̄ S.D ความพึงพอใจ 1. นักเรียนพอใจในบทบาทหน้าที่ที่ได้รับในการดำเนินกิจกรรม 4.61 0.41 มาก 2. นักเรียนพึงพอใจสถานการณ์ของกิจกรรมที่สอดคล้องกับ ชีวิต ของนักเรียนในชุดกิจกรรม 4.80 0.22 มาก 3. นักเรียนพึงพอใจที่มีส่วนร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน เช่น ตอบคำถามคุณครู นำเสนอหน้าห้อง 4.80 0.30 มาก 4. นักเรียนพึงพอใจที่ได้แสดงความคิดเห็นภายในกลุ่ม 4.95 0 มาก 5. นักเรียนมีความพึงพอใจที่ได้ออกแบบการทดลองเอง 4.80 0.36 มาก 6. นักเรียนมีความพึงพอใจที่ได้ทดสอบหรือตรวจสอบชิ้นงาน ของกลุ่มตน เพื่อแก้ไขปรับปรุง 4.80 0.55 มาก 7. นักเรียนมีความพึงพอใจที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้อดี ข้อด้อย ของกลุ่มตนเองและกลุ่มอ่ืน ๆ 5 0 มากที่สุด 8. นักเรียนพึงพอใจที่ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมตอบ คำถาม 4.85 0.47 มาก 9. นักเรียนพึงพอใจสื่อในการจัดการเรียนการสอน 5 0.30 มากที่สุด 10. นักเรียนพึงพอใจเวลาในการจัดกิจกรรม 5 0.36 มากที่สุด รวมเฉลี่ย 4.9 0.30 มาก จากตารางที่ 4.6 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจทีมีต่อชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนว สะเต็ม ศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจมากสุด (x̄= 4.9,
62 S.D. = 0.30) เมื่อพิจารณา พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ ข้อที่ 4 นักเรียนพึงพอใจที่ได้ แสดงความคิดเห็นภายในกลุ่ม (X = 4.95 , S.D.= 0) และต่ำสุดคือ ข้อที่ 1 นักเรียนพอใจในบทบาท หน้าที่ที่ได้รับในการดำเนินกิจกรรม ( X = 4.61, S.D. = 0.41)
63 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิจัยดังนี้ 1. สรุปผลการวิจัย 2. อภิปรายผลการวิจัย 3. ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง หินละการเปลี่ยนแปลง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้สรุปผลวิจัยดังนี้ 5.1.1 การจัดการเรียนรู้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ ผลการประเมินความ เหมาะสมของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงใน ชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับ เหมาะสมมาก มีค่า (x̄= 1.30, S.D. = 0.98) และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 89/81.5 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 5.1.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 5.1.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับความพึงพอใจ มากสุด ( X = 4.9, S.D. = 0.30) 5.2 อภิปรายผลการวิจัย จากการวิจัยศึกษาการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สามารถอภิปราย ผลได้ดังนี้
65 5.2.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดกิจกรรมการเรียนรูวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับเหมาะสม มาก ( X = 26.7, S.D. = 1.30) และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 89/81.5 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 80/80 ทั้งนี้จากชุดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ผ่านขั้นตอนในการจัดทาอย่างมีระบบ โดยออกแบบชุดกิจกรรม การเรียนที่เหมาะสมกับพัฒนาการความต้องการและความสนใจของผู้เรียน โดยผู้เรียนได้มีส่วนร่วมใน การทำกิจกรรมทุกขั้นตอน ในระบบการทางานแบบกลุ่ม ที่แบ่งหน้าที่แต่ละคนภายในกลุ่มอย่างชัดเจน มีการบูรณาการใช้ความรู้ที่หลากหลายที่ คือ (1) วิทยาศาสตร์ (2) เทคโนโลยี (3) การออกแบบเชิง วิศวกรรม และ (4) คณิตศาสตร์ เข้าด้วยกัน ในกิจกรรมมีการกระตุ้นความคิด นักเรียนด้วยคาถาม ปลายเปิด เพื่อให้นักเรียนคิด มีอิสระในการตอบ และเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดแลกเปลี่ยน ความรู้ซึ่งกันและภายในกลุ่ม ระหว่างกลุ่ม รวมถึงครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายในเนื้อหาที่เรียน ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการวิจัยของ เกศินี อินถา (2558) การสร้าง ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง มหัศจรรย์ยางพาราโดยใช้แนวการสอน STEM กับการพัฒนาการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่ใช้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.58/78.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 และยังสอดคล้องกับผลการวิจัย ของกมลฉัตร กล่อมอิ่ม และปรมะ แก้วพวง (2559) ผลการวิจัยพบว่า สร้างและหาประสิทธิภาพการจัด การเรียนรู้แบบบูรณา การสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา พบว่ามี ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 78.92/79.54 และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ อโนดาษ์ รัชเวทย์, ฐิชินี ปกรณ์ สมแก้ว และปภา วีอุปธิ (2560) การพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ในศตวรรษที่ 21 โดย ชุดการเรียนการสอนตามแนวสะเต็มศึกษาเรื่อง การแยกสาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 จาก ผลจากการวิจัยพบว่า (1) ชุดการเรียนการสอนตามแนวสะเต็มศึกษา เรื่อง การแยกสาร ที่สร้างขึ้นนั้นมี ค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอนที่ผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบประสิทธิภาพ กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีค่าเทากับ 77/76 สูงกวาที่ตั้งไว้คือ 75/75 5.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดอย่างมิวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 5 หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นสื่อ ที่เน้นความแตกต่าง ของผู้เรียนในการ ใช้ความสามารถแต่ละด้านของแต่ละคน เพื่อร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ที่ต่าง ๆ ในชุดกิจกรรม ซึ่งชุด กิจกรรมจะเน้น สถานการณ์จริง หรือเหตุการณ์ใกล้ตัว การแก้ปัญหาในสถานการณ์หนึ่ง สามารถมี ทางแก้ไขสถานการณ์ได้มากกว่าหนึ่งทาง และแม้นักเรียนจะไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา สถานการณ์ นักเรียนก็ยังได้ประสบการณ์ ในกระบวนการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มต่าง ๆ ว่าเหตุใด จึงประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ ภายในชั้นเรียนส่งผลให้นักเรียน กล้าคิด กล้าทำ กล้า แสดงออก และสนุกไปกับกิจกรรรม มีความกระตือรือร้นในการเรียน สอดคล้องกับงานวิจัย ของสาวิตรี หงษา (2560, น. 18 - 24) การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็มศึกษาร่วมกับบทเรียนบน
66 เครือค่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ มัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะ เรื่อง การควบคุมการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของ ดวงพร สมจันทร์ตา (2559, น. 353 - 360) การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลายที่ได้รับการเรียนตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง กายวิภาคของพืช พบว่านักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (7.30 ± 1.01, 7.13 ± 0.97 และ 7.56 ± 0.91) สูงกว่าก่อนเรียน (3.06 ± 1.12, 3.25 ± 1.09 และ 3.37 ± 0.98) ตามลำดับ (p < .05) สอดคล้องกับงานวิจัยของ อับดุล ยามีน หะยีขาเดร์ (2560) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนชีววิทยาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษามี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของโรงเรียนบ้านโนนรังวิทยาคาร (2559) การพัฒนา ชุดกิจกรรมพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เทคนิคสะเต็ม พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการจัดกิจกรรมด้วยชุดกิจกรรมการพัฒนาชุด กิจกรรมพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เทคนิคสะเต็ม มีการ คิดอย่างมีวิจารณญาณสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีความพึง พอใจอยู่ในระดับความพึงพอใจมากสุด ( X = 4.91, S.D. = 0.30) เนื่องจาการจัดการเรียนรู้ชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่องแรงในชีวิตประจำวัน กระตุ้นให้นักเรียน แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน รู้จักหน้าที่ของตนเอง ได้ฝึกแก้ไขปัญหาสถานการณ์จริง สอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศินี อินถา ภาณุพัฒน์ ชัยวร และอโนดาษ์ รัชเวทย์ (2558) การสร้างชุด กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง “มหัศจรรย์ยางพารา” โดยใช้แนวการสอน STEM กับการพัฒนาการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจเมื่อได้เรียน ด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าวโดยเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรณธนะ ปัดชา (2559) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง อัตราส่วน ตรีโกณมิติ พบว่าเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา มีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก อับดุลยามีน หะยีขาเดร์ (2562) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมาก สอดคล้อง กับงานวิจัยของ น้ำฝน คูเจริญไพศาล (2562) การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวทางสะเต็ม
67 ศึกษา (STEM EDUCATION) เรื่อง การปรับปรุงคุณภาพน้าสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพึงพอใจมาก 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะเพื่อนาผลการวิจัยไปใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ลงมือจัดกิจกรรมด้วยตนเอง โดยการเตรียมสื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ในการ จัดกิจกรรมสะเต็มศึกษา ซึ่งในการจัดกิจกรรมผู้วิจัยพบปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนิน กิจกรรม จึงได้เขียนข้อเสนอแนะให้ผู้ที่สนใจนาแนวทางการจัดกิจกรรมสะเต็มศึกษา (STEM Education) สู่ห้องเรียน ดังนี้ 5.3.1.1 การเลือกใช้สื่อ มีความจำเป็นต้องใช้สื่อที่หลากหลาย และสอดคล้องกับ ความรู้ ความเข้าใจในสื่อของผู้เรียน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ดังนั้นการออกแบบกิจกรรมควร มีการ กำหนดสื่อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น 5.3.1.2 การเตรียมความพร้อมผู้เรียนครูผู้สอนจำเป็นต้องตรวจสอบความรู้พื้นฐาน ของ ผู้เรียนที่จำเป็นต้องใช้ในกิจกรรมสะเต็มศึกษาก่อน เพราะในบางครั้งหากผู้เรียนเรียนไม่มีความรู้ ในเรื่อง ที่จะจัดกิจกรรมจะเป็นอุปสรรคต่อการจัดกิจกรรมได้ 5.3.1.3 กิจกรรมสะเต็มศึกษาเป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้นำความรู้วิทยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T) การออกแบบเชิงวิศวกรรม (E) และคณิตศาสตร์ (M) มาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงจาก ปัญหาสถานการณ์ที่กำหนด ซึ่งสามารถหาคำตอบได้หลากหลายวิธี มีผู้ที่ประสบผลสาเร็จและผู้ที่ไม่ ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้ร่วมกันนั้น จะมีการเรียนรู้ทั้งจากความสำเร็จและล้มเหลว ของผู้เรียนในขั้นตอนการนำเสนอผลลัพธ์ 5.3.1.4 สถานการณ์ที่ใช้ในชุดกิจกรรมควรเลือกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนใกล้ ตัวผู้เรียน หรือที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคม ทำให้ผู้เรียนมีความสนใจในตัวชุดกิจกรรมสูงขึ้น รวมถึง ชื่อกิจกรรม ที่ ผู้เรียนมักเกิดคำถาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจของชุดกิจกรรม 5.3.1.5 ในการถามคำถามกระตุ้นความคิดควรถามคำถามปลายเปิดไม่ถามคำถาม ชี้นำผู้เรียน ซึ่งในช่วงการจัดกิจกรรมชุดกิจกรรมแรกๆ จะส่งผลให้กิจกรรมดำเนินช้า ครูผู้สอนต้องมีความอดทน เพื่อให้ตัวผู้เรียนนั้น เกิดกระบวนการคิด หากผู้เรียนตอบผิด ครูผู้สอนไม่ควรบอกว่าผิด เพราะจะเป็น การกระตุ้นให้ผู้เรียนไม่ตอบสนอง หรือร่วมกิจกรรมในครั้งต่อๆไป ควรให้กาลังใจในเชิงบวก เช่น มี คำตอบอื่นอีกหรือไม่ ใกล้เคียงแล้ว ถูกต้องครับมีใครมีคำตอบอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ ฯลฯ เป็นต้น เพื่อเป็น กำลังใจและส่งเสริมกระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกและมีส่วนร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน
68 5.3.2 ข้อเสนอแนะเพื่อทำการวิจัยครั้งต่อไป 5.3.2.1 ผลการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยในครั้งนี้เป็นเพียงกลุ่มตัวอย่างหนึ่งห้องเท่านั้น ไม่สามารถ เทียบเคียงกับกลุ่มตัวอย่างห้องอื่นได้ ควรมีการทำวิจัยนี้ซ้ำในกลุ่มตัวอย่างกลุ่มอื่น เพื่อความน่าเชื่อถือ ของงานวิจัยให้สูงขึ้น 5.3.2.2 ควรมีการวิจัยและพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามสะเต็มศึกษา (STEM Education) ในกลุ่มวิชาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสะเต็มศึกษา เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ออกแบบ
69 บรรณานุกรม กนกภรณ์ เทสินทโชติ (2560). ปัจจัยที่ส่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ใน โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา. กมลฉัตร กล่อมอิ่ม และปรมะ แก้วพวง. (2559). ผลการวิจัย สร้างและหาประสิทธิภาพการจัดการการ เรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษา. วารสารวิชาการมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุตรดิตถ์, 3(2), 27 - 42. เกศินี อินถา. (2558). การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องมหัศจรรย์ยางพารา โดยใช้แนวการสอน STEM กับการพัฒนาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. วารสารครุพิบูล มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2(1), 132 - 141. จุรีพร หรรษาวงค์. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 6 (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวน สุนันทา. ชนิดา ทาระเนต์. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น โดยการ จัดการเรียนการสอนเน้นกระบวนการกลุ่ม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสา จังหวัดน่าน. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์ วิจัย, 5(1), 7 - 20. ดวงพร สมจันทร์ตา, มนตรี มณีภาค และสมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ. (2559). การศึกษาความสามารถใน การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายท่ีได้รับการเรียน ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง กายวิภาคของพืช. การประชุมวิชาการระดับชาติครุศาสตร์ ครั้ง ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น สู่ประชาคมอาเซียน : ทิศทางใหม่ในศตวรรษที่ 21(1), 353 - 360. ทัศนภรณ์ แสงศรีเรือง. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เทคนิคสะเต็มศึกษา. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. ทิศนา แขมมณี. (2543). 14 วิธีสอนสำหรับครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นงนุช เอกตระกูล. (2558). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบ STEM เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการคิด แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (CPS) ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5. นัสรินทร์ บือซา. (2558). ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education)
70 ที่มีต่อผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ปัญหาและความพึงพอใจต่อ การจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต). สงขลา : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. น้ำฝน คูเจริญไพศาล, รังสิยา ขวัญเมือง และลลิตา มาเอี่ยม. (2562). การพัฒนาชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM EDUCATION) เรื่อง การปรับปรุงคุณภาพน้ำ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขา มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 11(21), 23 - 38. บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2545). นวัตกรรมการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : เอสอาพริ้นติ้ง. บุญชม ศรี พนมพร ค่าคูณ. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยา วิทยาศาสตร์ เรื่อง การดำรงชีวิตของพืช เพื่อทักษะการคิดโดยใช้รูปแบบการสอนแบบวัฏจักร สืบเสาะหาความรู้ (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). ฉะเชิงเทรา : มหาวิทยาลัยราช ภัฏราชนครินทร์. พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). STEM Education กับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21. วารสารนัก บริหาร, 33(2), 49 - 56. ภานุวัฒน์ เปรมปรี. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมเรื่องระบบนิเวศน้ำจืดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนประเทียบวิทยาทาน จังหวัดสระบุรี (ปริญญานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครีนทรวิโรฒ. รักษ์ศิริ จิตอารี. (2560). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ และการ จัดการเรียนรู้ STEM EDUCATION เพื่อเสริมสร้างการรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 19(2), 202 - 213. วรรณธนะ ปัดชา และสืบสกุล อยู่ยืนยง. (2559). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบ สะเต็มศึกษา เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ. วารสารวิชาการ Veridian E – Journal, Silpakorn University , 9(2), 830 - 839. วรรณธนะ ปัดชา. (2558). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศึกษากับการจัดการเรียนรู้แบบ สสวท. เรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดห่วยจรเข้วิทยาคม (วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์ มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ. (2558, 2559, 2560). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับ ชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET). สืบค้นจาก http://www.newonetresult.niets.or.th/. สาวิตรี หงษา ะ. (2560). การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็มศึกษาร่วมกับบทเรียนบน
71 สิรินนภา กิจเกื้อกูล. (2558). สะเต็มศึกษา (ตอน 2) : การบูรณาการสะเต็มศึกษาสู่การจัดการเรียนรู้ใน ชั้นเรียน. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(3), 154 - 160. สิริรัตน์แก้วงาม. (2561). การพัฒนารูปแบบการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียน บ้านฉู่ฉี่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. สุวิทย์ มูลคา, และอรทัย มูลคำ. (2550). 19 วิธีจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: ภาพพิมพ์. สุพรรณี ชาญประเสริฐ. (2557). สะเต็มศึกษากับการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (พิมพ์ครั้งที่ 42) กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สุวธิดา ล้านสา. (2558). การพัฒนาชุดกจิกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อส่ง เสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. อโนดาษ์ รัชเวทย์, ฐิสินีปกรณ์ สมแก้ว และปภาวี อุปธิ.(2560). การพัฒนาทักษะการเรียนรู้และ นวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 โดยชุดการเรียนการสอนตามแนวสะเต็มศึกษา เรื่อง การแยกสาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, 11(3), 226 - 238. อรนุช ลิมตศิริ. (2556). นวัตกรรมและเทคโนโลยีการจัดการเรียนรู้ (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. อับดุลยามีน หะยีขาเดร์. (2562). ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนชีววิทยา ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 1, 170 - 180. C.C. Bonwell, J.A. Eison. (1991). Active Learning: Creating Excitement in the Classroom. ERIC Digest. Washington D.C.: ERIC Clearinghouse on Higher Education. McDonald, Christine V. (2016). STEM Education : A Review of the Contribution of the Disciplines of Science, Technology, Engineering and Mathematics. Science Education International, 27(4), 530 - 569. Ning Fang. (2013). Increasing Hing School Students’ Interest in STEM Education Through Collaborative Brainstorming with yo-yos. Journal of STEM Education, 8 - 14. Noleine Fitzallen. (2015). STEM Education : What Does Mathematics Have To Offer?. Conference : 38th annual conference of the Mathematics. Education Research Group of Australasia, At Sunshine Coast, June, 2015, 237-244.
72 Scott, C. (2012). An Investtigation of Science, Tecnology, Engineering and Mathematics (STEM) Focused High School in the U.S. Journal of STEM Education, 13(5), 30-39.
73 ภาคผนวก ก ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94