The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สารธรรมะ, 2023-03-01 00:24:38

คุณวิเศษวิถีอนุตตรธรรม

คุณวิเศษแห่งวิถีอนุตตรธรรม ค ำน ำ เมื่อ เห็นแสงแดดเราจึงรู้ว่ามีดวงตะวัน เห็นคนจึงรู้ลักษณะสังขาร เห็นลูกหลานจึงรู้ว่าเขามีบรรพบุรุษ ดังนั้น เมื่อเห็นสรรพสิ่งที่เกิดท่ามกลางฟ้าดิน จึงพึงรู้ว่า มีพระผู้ก าหนดหรือพระผู้สร้างฟ้าดินและสรรพสิ่ง ฉะนั้น เมื่อดื่มน้ า เราจึงร าลึกถึงต้นก าเนิดแห่งน้ า บัดนี้เรารู้แต่บรรพบุรุษเฉพาะตน แต่มิรู้บรรพบุรุษต้นก าเนิดของมนุษยชาติ เรารู้จักแต่พ่อแม่ที่ให้ก าเนิดกายสังขาร แต่มิรู้ผู้ให้ก ำเนิดชีวิตธรรมญำณ เมื่อไม่รู้ เราจึงต้องเวียนว่ายเกิดตายยึดเอาแต่สิ่งที่นัยน์ตามองเห็นเป็นของจริง ที่มองไม่เห็นก็ว่าไม่ มี เฉกเช่นดั่งปลาที่อยู่ในน้ าจะเห็นแต่สัตว์น้ าด้วยกัน คนอยู่กับบรรยากาศของโลก ก็จะเห็นแต่วัตถุธาตุ คนจึงหลงระเริงอยู่กับความชาญฉลาดของตน จนพลาดจากนิพพานบ้านเดิมอันเป็นต้นก าเนิดของตน เป็นเรื่องยากที่จะให้คนเรายอมรับซาบซึ้งต่อสิ่งซึ่งนัยน์ตาไม่ได้เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส กายไม่ได้สัมผัส และจิตใจไม่ได้ก าหนดรู้ ไม่ได้ก าหนดรับไว้ได้จริง ๆ โดย เฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์นี้ อนุตตรธรรมเจ้ำ เป็นพระนามที่เราไม่ได้ก าหนดรู้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่.... พระองค์คือ พระแม่องค์ธรรม ของ เรา เป็นสายสัมพันธ์ชีวิตสนิทแท้ แต่เรามิได้ก าหนดรับมาก่อนอีกทั้งยังทรงพระภาวะว่างเปล่า ปราศจาก รูปลักษณ์สรรพส าเนียงใด ๆ จึงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ในทันทีที่ได้รับรู้ การเรียนรู้พระองค์จากคัมภีร์ที่จารึกไว้ จึงกลับกลายเป็นข้อสงสัยที่หลายคนคิดว่า “เป็นเพียงค า อ้างอิง” หลายคนที่ตั้งข้อสงสัยแล้วจึงยืนดูอยู่ห่าง ๆ และบ้างเดินผ่านไป จะมีแต่คนที่ได้รับวิธีธรรมแล้วเพียงจ านวนหนึ่งเท่านั้น ที่อยากจะรู้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และอีกจ านวน หนึ่งที่สื่อถึงพระองค์ได้เองหลังจากได้รับวิถีธรรมแล้ว กับพระแม่องค์ธรรม เราเหมือนลูกก าพร้าที่พลัดพรากจากแม่ผู้ให้ก าเนิดกายเนื้อมานานนักหนา แล้ว เด็กก าพร้ามากมายในโลกนี้ไม่เคยรู้จักผู้ให้ก าเนิดเขามาก่อนเลย แต่เขายังโชคดีที่ได้รับรู้ว่า “ลูก จะต้องก ำเนิดจำกพ่อ แม่” เพราะเขาเคยเห็นตัวตน พ่อ แม่ ของคนโน้น คนนั้น คนนี้ แต่เขาไม่อาจ ซาบซึ้งต่อความสนิทชิดเชื้อที่พ่อแม่ลูกเขามีต่อกันได้ และแม้แต่.... หากวันหนึ่งเมื่อมีใครมาพูด กับเขา


ว่า ..... ลูกเอ๋ย ฉันนี่แหละแม่แท้ ๆ ของเธอ แม่ผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า น้ าตานองยื่นมือมาหา... คน รอบข้างที่รู้ความเป็นจริงต่างก็ช่วยกันยืนยันว่า “นี่แหละแม่ของเธอจริง ๆ” ขณะนั้น ลูกก าพร้าบางคนขุ่นใจเพราะไม่เชื่อ บางคนถอยห่างออกไป มองดู “แม่” อย่างลังเลสงสัย บางคนพาตัวเข้าไปให้กอด แต่ความรู้สึกนั้นยังเหินห่างเสียนี่กระไร แต่หลายคนซาบซึ้งตื้นตัน ดีใจที่ได้พบ แม่ เหตุการณ์อย่างนี้ไม่ต่างกับที่เราเริ่มรู้จักพระแม่องค์ธรรมของเรา สายสัมพันธ์อันเป็นชีพจรสายเดียวกันเป็นสิ่งวิเศษแยบยล และมหัศจรรย์ยิ่งนัก จากประสบการณ์จริงของผู้มีจิตประณีต หลังจากได้รับวิถีธรรม ได้สื่อสายสัมพันธ์กับพระแม่องค์ ธรรมหลายราย ได้สารภาพว่า ขณะคุกเข่าลงรับวิถีธรรม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้อะไรเลยแต่จิตส านึกซาบซึ้งตื้นตันขึ้นมาทันที ประหนึ่งได้ พบแม่ที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลายคนน้ าตาซึมทุกครั้ง เมื่อนึกถึง “พระแม่องค์ธรรม” หลายคนบอกว่า “แม้จะเพิ่งรู้จัก แต่ ฉันก็รักพระแม่องค์ธรรมเหลือเกิน...” อะไรหรือที่ท าให้เขาเหล่านั้น ซาบซึ้งได้ถึงเพียงนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อน อีกทั้งไม่มี อะไรแสดงให้เขาได้รู้ ได้เห็น ความมีอยู่ของพระองค์... ค าตอบก็คือ “ชีวิตจิตญำณอันเป็นภำคเล็ก ๆ ที่สถิตอยู่ในญำณทวำรของเขำนั่นเองที่สัมผัส รับรู้ได้” ค าอธิบายในหนังสือ “คุณวิเศษแห่งวิถีอนุตตรธรรม” เล่มนี้ ไม่อาจแจกแจงแสดงความเกี่ยวกับ พระแม่องค์ธรรมได้ทั้งหมดหรอก แต่ถึงแม้จะอธิบายได้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งกว่านี้ ก็ไม่อาจท าให้ผู้ที่ได้แต่อ่านผ่านไปเกิดความเข้าใจและ ซาบซึ้งถึงพระองค์ได้อย่างแท้จริง นอกจาก เมื่อนั้นเอง... ที่เขาจะเลิกลังเลสงสัยในพระองค์และ เมื่อนั้นเอง... ที่เขาจะสะอื้นไห้ร าพันว่า แม่จ๋ำ! ลูกรักแม่เหลือเกิน ใครคือฉัน ฉันคือใคร แต่ใดมำ รูปกำยำ มำจำกแม่ และพ่อฉัน แต่ดวงจิต ชีวิตแท้ ธรรมญำณ ที่บงกำร สังขำรกำย แต่ใดมำ


หนึ่งขีดเบิกฟ้ำ โลกวิทยาการล้ ายุคในปัจจุบัน นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง ไม่เชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จนถึงกับคิดว่ามนุษย์เองเป็นจอมบงการสร้างสรรค์ แม้แต่พลังงานจากแสงอาทิตย์ นิวเคลียร์ ปิโตรเลียม น้ า ไฟ ฯลฯ ซึ่งมนุษย์เพียงแต่อาศัยความมีอยู่แล้วของสิ่งเหล่านั้นมาเสริมสร้างดัดแปลงใช้งาน และตั้งชื่อให้กับสิ่งเหล่านั้น เมื่อเรียกขานกันนาน ๆ เข้าก็เลยเหมาเอาว่าเป็นผลงานจากมันสมองอันชาญ ฉลาดของมนุษย์ทั้งหมด โครงสร้างระบบสมองของมนุษย์มีเส้นประสาทน้อยใหญ่ ซับซ้อนโยงใยละเอียดยิบ มีคุณสมบัติและ ประสิทธิภาพอันวิเศษแยบยลอย่างมหัศจรรย์ยิ่งกว่าโครงสร้างระบบอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ มากมายนัก เส้นสายโยงใยในเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลงานที่เกิดจากประสิทธิภาพการท างานของระบบ ประสาทสมองอันวิเศษแยบยลของมนุษย์ เรียกง่าย ๆ ว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่สมองของมนุษย์ที่ประกอบด้วยเส้นประสาทซับซ้อน โยงใยยิ่งกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อีกมากมายนักนั้น จะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีผู้สร้างสรรค์ได้หรืออย่างไรกัน? ค าตอบในเรื่องนี้เรามักจะหลับหูหลับตาโยนกลองไปว่า มันเป็นเองตามธรรมชาติ จึงต้องถามต่อไปอีกว่า ธรรมชาติคืออะไร ? ห้าพันกว่าปีก่อน อัจฉริยมหาบุรุษท่านหนึ่งคือ พระอริยเจ้าฝูซี ผู้สร้างสัญลักษณ์โป๊ยก้วย อันเป็น เครื่องหมายค านวณการของศาสตร์ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นย านั้น ได้ถือก าเนิดขึ้นในใจกลางแผ่นดินจีนอัน กว้างใหญ่ไพศาลและสงบเงียบ พระอริยเจ้าฝูซีเฝ้าพิจารณาปรากฏการณ์ของธรรมชาติอยู่ชั่วชีวิตทั้งตะวันเดือน น้ า ไฟ ลม เมฆ หมอก... พระองค์เฝ้าพิจารณาดูการก่อเกิด การคงอยู่ การสูญสลายของสรรพสิ่งและของสรรพชีวิต พระองค์เฝ้าพิจารณาดูฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนเวียนไปตามครรลองของธรรมชาติอัน แยลยลล้ าลึก จนในที่สุด ความคุ้นเคยและความเข้าใจอย่างละเอียด ประณีตที่เกิดจากปัญญาญาณบริสุทธิ์ลุ่ม ลึกอันไม่ถูกจ ากัด ขอบเขตของพระองค์ได้ผสมผสานกลมกลืนจนเป็นธาตุแท้ เนื้อเดียวกันกับธรรมชาติ และเป็นธาตุแท้เนื้อเดียวกันกับสรรพชีวิต.... เมื่อถึงจุดจุดนี้ จึงไม่มีความลับของธรรมชาติส าหรับพระองค์ท่านอีกต่อไป เพราะพระองค์ได้ถูกกลืนหายเข้าไปร่วมอยู่ในธรรมชาติทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมดก็ร่วมอยู่ใน พระองค์


เรียกง่าย ๆ ว่าธาตุแท้ของธรรมชาติกับธาตุแท้ของพระองค์ คือหนึ่งเดียวกันนั่นเอง จากนั้น พระองค์จึงได้ไขความลับของธรรมชาติเริ่มด้วยการขีดเส้น?_ เป็นสัญลักษณ์ของฟ้า และ ขีดนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการขีดเขียนของมนุษยชาติในกาลต่อมา จนกระทั่งวิวัฒนาการไปถึงการสร้าง อักษรจีนอันซับซ้อนวิจิตรงดงาม และอักษรยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ ความหมายประการหนึ่งในการไขความลับของธรรมชาตินั้น พระองค์ได้บอกให้เรารู้จุดเริ่มต้นที่มา ของชีวิตและความเป็นธรรมชาติของชีวิตอย่างง่าย ๆว่า เหนือศีรษะของเรำขึ้นไปเป็นโลกของฟ้ำ อันเป็นที่มำของชีวิตและสรรพสิ่ง สัญลักษณ์หนึ่งขีดแรกจากห้าพันกว่าปีก่อนประวัติศาสตร์จีนให้ความส าคัญไว้ว่า หนึ่งขีดเบิกฟ้า หนึ่งขีดเบิกฟ้ำ เป็นจุดเริ่มต้นอันหนึ่งที่ท าให้คนรุ่นหลังเกิดความคิดที่จะพิจารณาค้นหาความ เป็นไปของธรรมชาติที่ล้ าลึกยิ่งขึ้นไปอีก จนเกิดเข้าใจในสัจธรรมของฟ้าดิน และเรื่อยไปจนกระทั่งรู้จักที่จะ ค้นหาสัจธรรมของสรรพสิ่งและรู้จักที่จะค้นหาสัจธรรมของชีวิตเพื่อให้รู้ชัดกันอย่างแท้จริง ความลับที่พระอริยเจ้าฝูซีได้ไขไว้ว่า เหนือศีรษะของเราขึ้นไปเป็นโลกของฟ้าอันเป็นที่มาของชีวิตและสรรพ สิ่ง ความเชื่อเช่นนี้เกิดขึ้นเอง ในความรู้สึกนึกคิดของคนทุกชาติทุกศาสนาด้วยเช่นกัน หลายพันปีก่อนผู้คนที่อาศัยอยู่ในแต่ละภาคพื้นของโลก ยังไม่อาจสื่อสารหรือไปมาหาสู่บอกเล่า อะไรให้แก่กันได้เลย จึงกล่าวได้ว่า ความเชื่อนี้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เอง มิใช่เกิดจากได้รับอิทธิพลความเชื่อจาก พระอริยเจ้าฝูซีโดยตรง ทุกมิติภาวะล้วนมีจุดศูนย์กลางเป็นหัวใจ เป็นแกนน า เป็นตัวยืนที่ควบคุมบงการบังคับ เป็นหลัก ของมิติภาวะนั้น ในทางโลก เราจะเห็นศูนย์กลางที่เป็นหลักให้แก่ภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ได้ เช่น หัวหน้า ครอบครัว ประธานบริษัท ผู้ปกครองท้องถิ่น ผู้ปกครองบ้านเมือง... เช่นเดียวกัน เมื่อมีโลกของฟ้าก็จะต้องมีผู้ปกครองเป็นใหญ่อยู่บนฟ้า เมื่อฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล จนมิอาจประมาณขอบเขตได้ อีกทั้งสามารถก่อเกิดสรรพสิ่งและแสดง ปรากฏการณ์อันวิเศษ ยิ่งได้หลากหลายเช่นนี้ ศูนย์กลางที่เป็นหลักหรือเรียกง่าย ๆ ว่า ผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้า ก็น่าจะเป็นผู้ทรงมหิธานุภาพอันมิอาจประมาณได้


พระเป็นเจ้ำ ระหว่างปี ค.ศ. 1898 – 1899 นักธรณีวิทยาได้ขุดพบเครื่องทองเหลืองจารึกและกระดองเต่าจารึก ที่มณฑลเหอหนัน หมู่บ้านเสี่ยวถุนชุน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอ าเภออันหยัง ประเทศจีน ที่อ าเภอตุนหวงในมณฑลกันซู่และที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง ก็ได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้เช่นกัน เครื่องทองเหลืองและกระดองเต่าเก่าแก่ ซึ่งมีอายุอยู่ในราวสามพันกว่าปีก่อนเหล่านั้นปรากฏค า จารึกว่า ซั่งตี้ หมายถึง พระเป็นเจ้า ผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้าเอาไว้ ข้อความที่กล่าวถึงพระเป็นเจ้านั้น แสดงถึงความเทิดทูน บูชา เคารพย าเกรง บ้างแสดงความส านึก คุณที่พระองค์ทรงปกปักษ์รักษา... เมื่อพระเป็นเจ้าในชั้นฟ้าทรงมหิธานุภาพยิ่งใหญ่สูงส่งเกินกว่าจะอาจเอื้อมได้เช่นนี้ ใครหรือที่รู้ได้ใน พระองค์ พระอริยเจ้าเหลาจื้อผู้ทรงเป็นเลิศในทาง จิตใสใจสงบ อยู่เหนือภาวะร่างกายได้ทุกขณะเป็นผู้บอก เราในเรื่องนี้ ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ยี่สิบห้าของพระองค์ ได้แสดงให้เห็นภาวะของพระเป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่ในชั้น ฟ้าด้วยจิตญาณอันวิสุทธิ์ของพระองค์เองที่เข้าถึงในภาวะนั้นว่า “ท่ามกลางมหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุมีสิ่งอันรวมตัวอยู่ สิ่งนั้นด ารงอยู่ก่อนฟ้าดินจะเกิดมี เป็นภาวะอันสงัดเงียบ ปราศจากรูปลักษณ์สรรพส าเนียง เป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปไม่ผันเปลี่ยน เวียนอยู่อย่างสุขุมมั่นคง จากคุณสมบัติอันเป็นพระผู้สร้าง นับเป็นมารดาอันได้ก่อเกิดสรรพสิ่ง เรามิรู้ได้ในนานนั้น จึงจ าต้องก าหนดชื่อว่า เต๋า (ธรรมะ) จากคุณสมบัติซึ่งคลุมครอบรอบรายไม่มีที่ว่างเว้น จนมิอาจประมาณขอบเขตได้ในมหาจักรวาลจึง จ าต้องก าหนดชื่อว่า ต้า ยิ่งใหญ่อนุตตรที่สุดแห่งความวิเศษสูงส่งเลิศล้ า อนุตตรภาวะอันยิ่งใหญ่นั้น วาบวับลับหายดังสายฟ้า จึงจ าต้องก าหนดชื่ออีกว่า ซื่อ ผ่านหาย เหนือกว่าการสัมผัสรับรู้ใด ๆ แม้มหาจักรวาลจะกว้างใหญ่เพียงใด อนุตตรภาวะนั้นก็เข้าถึงไปถึง จึงจ าต้องก าหนดชื่ออีกว่า เอวี่ยน ไกลยิ่งเหนือขอบเขตเหนือการก าหนดรู้ได้ในความมีอยู่ อนุตตรภาวะนั้นไปและมาโดยมิได้หายสูญ จึงจ าต้องก าหนดชื่อว่า ฝั่น กลับคืน ลี้ลับมหัศจรรย์ เหมือนมีอยู่แต่ไม่มี เหมือนไม่มีแต่มีอยู่” ข้อความที่พระอริยเจ้าเหลาจื้อพยายามจะถ่ายทอดให้ ชนรุ่นหลังรับรู้ความมีอยู่ของพระเป็นเจ้านั้น เป็นการถ่ายทอดที่สัมผัสรับรู้ได้ด้วยวิสุทธิญาณของพระองค์เองเช่นเดียวกับวิสุทธิญาณของพระสัมมาสัม พุทธเจ้า ที่รู้ถ้วนถึงทุกสิ่งทุกอย่าง อันได้ชื่อว่า “สัพพัญญู” ซึ่งแน่นอนชนรุ่นหลังที่มีระดับจิตต่างกันจึงรับรู้


ความเป็นจริงตามข้อความที่พระองค์ได้โปรดแสดงไว้ด้วยความรู้สึกนึกคิดและความเข้าใจในระดับต่างกัน ฉะนั้น สามพันกว่าปีล่วงเลยมา ข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความมีอยู่ของพระเป็นเจ้า เราจึงไม่อาจ เข้าใจ ไม่อาจสัมผัส รู้ได้ในภาวะสัจธรรมความเป็นจริงที่มีอยู่นั้น เช่นประโยคที่ว่า • ท่ำมกลำงมหำจักรวำลหมื่นโลกธำตุมีสิ่งอันรวมตัวอยู่ ค าว่า “มหำจักรวำลหมื่นโลกธำตุ” มหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุนี้ ชนรุ่นหลังได้แต่จินตนาการจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับยุคอวกาศ เช่น สตาร์วอร์ ซึ่งก็เป็นเพียงความเข้าใจที่ได้จากรูปธรรมอันจ ากัดขอบเขตเท่านั้น ไม่สามารถซาบซึ้งต่อภาวะ อันล้ าลึกวิเศษแยบยลนั้นได้ • มีสิ่งอันรวมตัวอยู่ แสดงว่าไม่อาจก าหนดบอกเล่าให้เห็นความแยบยลล้ าลึก และรูปลักษณ์อันวิเศษนั้นได้ • สิ่งนั้น ด ำรงอยู่ก่อนฟ้ำดินจะเกิดมี แสดงให้เห็นว่า ฟ้าดินโลกนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ใน “สิ่งอันรวมตัวอยู่นั้น” ซึ่งมีมาก่อนที่ ฟ้าดินโลกนี้จะเกิดมี • เป็นภำวะอันสงัดเงียบปรำศจำกรูปลักษณ์สรรพส ำเนียง ในเมื่อสิ่งอันรวมตัวอยู่นั้น “เป็นภาวะล้ าลึกเกินกว่าจะใช้นัยน์ตาดูหูฟังได้” การจะสัมผัสรับรู้ความมี อยู่เป็นอยู่ของสิ่งนั้นได้ จึงมีแต่วิสุทธิญาณโปร่งใส ที่เป็นสภาวะเดียวกันกับ “สิ่งอันรวมตัวอยู่” นั้นเท่านั้น • เป็นอยู่อย่ำงนั้นเรื่อยไปไม่ผันเปลี่ยน แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่วัตถุธาตุ จึงเป็นสภาวะธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลา อันเป็นอมตะภาวะอยู่อย่างนั้น • เวียนอยู่อย่ำงสุขุมมั่นคง แสดงว่าสิ่งนั้นมิใช่อยู่ตายตัว แต่ทรงพลังลุ่มลึก และสามารถแผ่พลานุภาพลุ่มลึกนั้นเรื่อยไปโดยมิ อาจประมาณ คงจะเป็นความล าบากใจอย่างยิ่งยวดของท่านเหลาจื้อ ในการจะแสดงความหมายด้วยค าพูดให้ ออกมาเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งเราจะเห็นได้จากข้อความที่ท่านเหลาจื้อได้พยายามจะบอกให้เรารู้ว่า พระเป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้านั้น ศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง ยิ่งใหญ่ วิเศษแยบยลล้ าลึกจนเกินกว่าจะใช้ภาษาพูดค า หนึ่งค าใดก าหนดให้เรียกขานอย่างถูกต้องได้ ในคัมภีร์คุณธรรมเต้าเต๋อจิง ปฐมบทจึงแสดงไว้แต่ต้นว่า เต๋า (ธรรมะ) ที่บอกเล่าได้มิใช่เต๋าอันแท้จริง ชื่อที่เรียกขานได้มิใช่ชื่ออันแท้จริง ค าบอกเล่า และ ชื่อ เป็นเพียงสิ่งสื่อความ ไม่อาจเข้าถึง ธาตุแท้ความเป็นจริงได้


ผู้มีจิตใสใจสงบอยู่เหนือภาวะร่างกายเท่านั้นที่เข้าถึงเต๋า (ธรรมะ) เพราะขณะนั้น เขาเองก็คือ เต๋า (ธรรมะ)


ด้วยญำณทัศนะ แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล สถานที่วิเวกสงบสุขมีอยู่ทุกแห่ง ในประวัติวัฒนธรรมอันยาวนานของแผ่นดินจีนจึงมีท่านที่ใฝ่หาภาวะชีวิตนิรันดร์ซึ่งอยู่เหนือกาย สังขารกันมากมายเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย จึงมิใช่มีเพียงพระอริยเจ้าเหลาจื้อเท่านั้นที่เข้าถึงอนุตตรภาวะ เช่นเดียวกับที่ชนรุ่นหลังได้รู้แต่เพียงว่ามีพระผู้บรรลุเป็นปัจเจกพุทธเจ้ามากมาย แต่ไม่รู้ว่าพระองค์มีพระ นามว่าอย่างไร ในแผ่นดินจีน นอกจากท่านเหลาจื้อแล้ว เท่าที่รู้ได้จากประวัติของอริยบุคคลยังมีท่านจอมปราชญ์ ขงจื้อ ท่านเอี๋ยนหุย ท่านซีอี๋ ท่านจูซี และท่านอื่น ๆ อีกที่เข้าถึงอนุตตระภาวะ เข้าถึงพระเป็นเจ้า อีกทั้งยัง ได้จารึกภาวะธรรมนั้นลงบนแผ่นศิลาบ้าง ลงบนแผ่นไม้ไผ่ร้อยกันเป็นเล่มบ้าง ท าให้เรารู้ว่ามีพระเป็นเจ้าใน ชั้นฟ้า เช่นความตอนหนึ่งในคัมภีร์หลี่จี้ ที่จารึกไว้ว่า “พระอริยเจ้าเท่านั้น ที่จะปฏิการะสนองคุณใกล้ชิดอนุตตรพระเป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง” “บุตรผู้กตัญญูเท่านั้น ที่จะปฏิการะสนองคุณใกล้ชิดบิดามารดาได้อย่างแท้จริง” ธรรมวจนะนี้ยังแฝงความหมายให้รู้อีกว่า จิตญาณอันบริสุทธิ์ของอริยเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง และรู้ได้ในอนุตตรพระเป็นเจ้า เฉกเช่นบุตรผู้กตัญญูรู้คุณอย่างยิ่งเท่านั้นที่จะเลี้ยงดู รู้ทุกข์ รู้สุข ของบิดา มารดาได้อย่างแท้จริง คนทั่วไปจึงมิอาจรู้ได้หรือรู้ได้เพียงผิวเผิน ตรงกับพุทธวจนะที่ว่า “อรหันต์ย่อมรู้ได้ในอรหันต์” ผู้เข้าถึงภาวะนั้นเท่านั้น ที่จะรู้ได้ในภาวะนั้นว่าคือ อย่างไร เป็นอย่างไร ปรากฏการณ์และความเป็นไปหลายอย่างของธรรมชาติที่มนุษย์ต้องอาศัยเพื่อการอยู่รอดท าให้ มนุษย์ส านึกได้ว่าสิ่งเหล่านั้นได้มาจากฟ้า เช่น ความอบอุ่นจากดวงตะวัน แสงสว่างจากดวงจันทร์ในยาม ค่ าคืนหรือ น้ าค้าง, ลม, ฝน... สิ่งเหล่านี้ แม้จะมองเห็นเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่เกิดขึ้น ด าเนินไปตาม เหตุและผลที่สืบเนื่องสัมพันธ์กันก็ตาม แต่ก็มีผู้สามารถเปลี่ยนแปรกฎเกณฑ์ธรรมชาติบางอย่างเฉพาะหน้า ได้ด้วย พลังจิตและแรงอธิษฐานที่มีต่อพระเป็นเจ้า จิตส านึกกตัญญูรู้คุณเป็นวัฒนธรรมดีงามอย่างหนึ่งของคนโบราณ ในจิตส านึกของชนชาวจีนทั่วไป ซึ่งถึงแม้ภาวะจิตจะมิอาจเข้าถึง ฟ้า มิอาจเข้าถึงพระเป็นเจ้าผู้เป็น ใหญ่ในชั้นฟ้าได้ก็ตาม แต่จิตส านึกนั้นก็ยังเคารพย าเกรง อีกทั้งเชื่อว่า พระเป็นเจ้ามีอ านาจก่อเกิด มีความ เที่ยงตรง ยุติธรรม พระเป็นเจ้าโปรดกรุณาเกื้อกูล พระเป็นเจ้ารับรู้ความทุกข์ยากของ มวลมนุษย์ ถึงที่สุด มนุษย์ยังอาจร้องทุกข์หรือขออะไรอะไรได้จากพระเป็นเจ้า ชนชาวจีนทั่วไปจึงเคารพฟ้าในฐานะพระผู้สร้างพระผู้ปกป้องผองภัย พระผู้บันดาลความสุขสวัสดิ์


..... พระเป็นเจ้าในจิตส านึกของมนุษย์จึงมีพระสัญลักษณ์หลากหลายไปตามจิตวิสัย และวัตถุวิสัยที่รู้ได้เห็น ได้ของมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากค าเฉพาะมากมายที่ใช้เกี่ยวกับฟ้า ก็คือ ใช้เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้า เช่น เมืองฟ้า ประตูฟ้า นัยน์ตาฟ้า หูฟ้า ชาวฟ้า ฑูตฟ้า ฟ้าประทาน ฟ้ารั่ว ร่างแหฟ้า ฟ้าสร้าง ปริศนาฟ้า ฟ้าต าหนิโทษ เจตนาฟ้า ประกาศิตฟ้า พระคุณฟ้า น้ าใจฟ้า ฟ้าสร้างสรรค์ ชะตาฟ้า บุตรแห่งฟ้า ฟ้าพิโรธ... กำรถวำยสักกำระบูชำพระเป็นเจ้ำ


เมื่อมีความเคารพอย่างยิ่งต่อฟ้าเช่นนี้ จึงมีพิธีการถวาย สักการะบูชา ฟ้า มีพิธีการขอขมา หรือ เทิดพระคุณฟ้า แต่พิธีการถวายสักการะบูชาในระดับสามัญชนคนชาวบ้าน จะเป็นไปในแบบอย่างต่างคน ต่างศรัทธาที่จะท าได้ตามอัตภาพ เท่านั้น ส าหรับในพระราชฐาน ถือการสักการะบูชาฟ้าเป็นหน้าที่โดยตรงของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการเทิดทูนว่า เป็น “เทียนจื่อ” บุตรแห่งฟ้า และเป็นพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ส าคัญยิ่ง ผู้เข้าร่วมพิธีนี้จะอนุญาตให้แต่ เฉพาะขุนนางผู้ใหญ่ที่ส าคัญ ๆ และเลือกสรรแล้วเท่านั้น ท่านปราชญ์เมิ่งจื้อ ได้แสดงธรรมเกี่ยวกับการนี้ไว้ว่า “ไซซี แม้จะเป็นยอดหญิงงาม แต่หากกายของเธอแปดเปื้อนด้วยสิ่งโสโครก (ผิดศีล) ใคร ๆ ก็จะ ปิดจมูกเลี่ยงหลีกไป ตรงกันข้าม แม้ผู้นั้นจะเป็นคนอัปลักษณ์ แต่หากถือศีลกินเจ ส ารวมตนช าระกาย ผู้นั้นก็อาจกราบ ไหว้บูชาอนุตตรพระเป็นเจ้าได้” ธรรมวจนะนี้ยังบอกให้เรารู้อีกว่า พระเป็นเจ้าจะโปรดประทานโอกาสให้แก่ผู้ส านึกบาปกลับตัว กลับใจได้ ส่วนพิธีการสักการะบูชาฟ้า ไม่เพียงแต่จะต้องเป็นไปอย่างเคร่งครัด ศรัทธาจริงจังและเพียบพร้อม เท่านั้น ผู้เข้าพิธียังจะต้องงดงามพร้อมด้วยกายวาจาใจอีกด้วย จากเหตุผลอันเกิดจากจิตส านึกนี้สืบเนื่องต่อไปจนเป็นจิตส านึกที่ท าให้คนไม่กล้าท าผิดบาปและ อยากจะประกอบคุณงามความดี เพื่อจะได้ใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานยินดีของอนุตตรพระเป็นเจ้า ย้อนต้นค้นหำที่มำของชีวิต


การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของกายสังขารและปรากฏการณ์บางอย่างของโลกวิญญาณ ที่คนเราสัมผัส รับรู้ได้ทั้ง โดยตรงหรือโดยทางอ้อมเป็นเหตุหนึ่งที่ท าให้เกิดความเชื่ออย่างแน่ชัดว่า ชีวิตมีสองสภาวะคือ ชีวิตกายสังขาร ซึ่งมีวันเสื่อมสลายกลายกลับเป็น ธาตุ ดิน น้ า ลม ไฟ ไปอย่างเดิม และชีวิตจิตญาณซึ่งมีจะยังคงเป็นอยู่เรื่อยไปไม่ดับสูญ สัจธรรมนี้ทุกศาสนาเห็นพ้องต้องกัน พิธีกรรม เซ่นไหว้ หรือท าบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวง วิญญาณของผู้ตายจึงมีอยู่ในเกือบทุกศาสนา บัดนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับความเชื่อนี้และเรียกชีวิตจิตญาณที่ไม่ดับสูญนี้ว่า พลังงาน ความเชื่อในเรื่องนี้ จารึกอยู่ในอริยประวัติของพระอริยเจ้าฝูซี และพระองค์ต่อ ๆ มาไม่ขาดสาย เช่น เสินหนง, เซวียนเอวี๋ยน, เหยา, ซุ่น, อวี่, ทัง, อุ๋น, อู่, โจวกง, จนถึง ท่าน ขงจื้อ, เอี๋ยนหุย, เจิงจื้อ, เมิ่งจื้อ... ยุคสมัยในแต่ละพระองค์ดังกล่าวแม้จะห่างกันร้อยปี พันปี แต่จิตญาณอันวิสุทธิ์ที่ทุกพระองค์ เข้าถึงอนุตตรภาวะนั้นตรงต่อกัน ธรรมวจนะที่แสดงไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ จึงตรงต่อกันว่า ทุกชีวิตจิตญำณมำจำกอนุตตรพระเป็นเจ้ำ หลักฐานอ้างอิงจากคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น “ฟ้ำเบื้องบนให้ก ำเนิดชำวโลกมำกมำย ไม่เพียงแต่มีรุปกายยังให้หลักสัจธรรมประจ าใจ ชาวโลกจึงมีสัญชาตญาณรักคุณธรรมความดีงาม” (สัจธรรมประจ าใจเป็นธาตุแท้ของธรรมญาณ) “ฉันจะอุบัติมาหรือไม่ เป็นไปด้วยฟ้าประกาศิต” “ชีวิตคือสิ่งซึ่งฟ้าประทานมา ดังฟ้าประกาศิต” “ประกาศิตฟ้าเรียกว่า สัจธรรม” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ชีวิตอมตะจากฟ้าเรียกว่า ธรรมญำณ” “ฟ้ายิ่งใหญ่ไกลกว้าง เรียกได้ว่าพ่อ เรียกได้ว่าแม่” ศาสนาพุทธได้แสดงให้เห็นอนุตตรพระเป็นเจ้าว่า “พระ-องค์ธรรมชำติ” ศาสนาคริสต์เทิดทูนสรรเสริญอนุตตรพระเป็นเจ้าว่า “พระผู้สร้ำง พระบิดำ” ศาสนาอิสลามเทิดทูนสรรเสริญว่า “พระอัลเลำะห์” ชาวจีนในศาสนาพุทธ ศาสนาปราชญ์ขงจื้อ ศาสนาเต๋า เหลาจื้อเทิดทูนสรรเสริญ อนุตตรพระเป็น เจ้าว่า เหลาหมู่ หวงหมู่ ฯลฯ คือ พระแม่องค์ธรรม “พระธรรมมำรดำ” ธรรมอุทรเดียวกัน


เมื่อทุกชีวิตมีจิตญาณมาจากอนุตตรพระเป็นเจ้าอันเป็นพระผู้สร้างพระองค์เดียวกัน ทุกชีวิตจิต ญาณจึงเหมือนพี่น้องร่วมท้องที่คลานตามกันมา ธรรมวจนะเก่าแก่ของจีนจึงมีค าว่า “ภายในมหาสมุทรใหญ่ทั้งสี่ทั่วโลกล้วนเป็นพี่น้องกัน” “ใต้หล้าฟ้านี้คือ ครอบครัวเดียวกัน” “ทุกคนเหมือนกันตัวตนเดียวกันนั่นคือมหากรุณา” ด้วยเหตุนี้พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้าทุกพระองค์ จึงได้ทรงพากเพียรตักเตือนทุกชีวิต ซึ่ง ล้วนก าเนิดจากธรรมอุทรเดียวกันให้อุ้มชูกัน มิให้เบียดเบียน หรือท าลายล้างกัน พระคริสต์ก็ทรงตรัสไว้ ว่า “พระเป็นเจ้าก็คือความรัก” “พระเจ้าทรงรักชาวโลก” เพราะชาวโลกคือ พระบุตรในพระองค์ ความเป็นพระบุตรในพระเป็นเจ้าโดยสัญชาติญาณของคนซึ่งเห็นชัดอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าเขาผู้นั้น จะนับถือศาสนาใดหรือไม่ จะรู้ได้ในองค์ธรรมมารดาพระเป็นเจ้า หรือไม่อย่างไรก็ตาม ขณะที่ต้องการร้อง ขอวิงวอนอย่างยิ่งนั้น อาการแสดงออกมักจะเป็นแหงนหน้าหาฟ้า ขอความกรุณาปราณี ขออภัย ขอฝาก ความหวังไว้กับฟ้า แต่ไม่เคยมีใครเลยจะก้มหน้าหา แผ่นดินที่อยู่ใกล้ตัวกว่า เพื่อร้องขออย่างเดียวกัน พระแม่องค์ธรรมประทำนญำณชีวิต


จากเหตุผลที่สรรพสิ่งล้วนก่อเกิด และเป็นไปภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ พระเป็นเจ้าจึงได้รับการ เทิดทูนว่า พระผู้สร้าง และ ต้นธาตุต้นธรรม จากเหตุผลที่คนเรามีจิตส านึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในการที่ชีวิตจิตญาณมีจุดเริ่มต้นมาจากพระ ผู้สร้างพระผู้สร้างจึงได้รับเทิดทูนว่า พระบิดา พระอัลเลาะห์ เหลาหมู่ ธรรมมารดา หรือพระแม่องค์ธรรม ฯลฯ จากเหตุผลที่จุดเริ่มต้นของชีวิตจิตญาณที่สถิตอยู่ในกายสังขารของมนุษย์ สามารถส าแดง คุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์และสามารถกลับคืนไปสู่สภาวะเดิมที่มาจากฟ้าได้ พระแม่องค์ธรรมจึงได้รับการ เทิดทูนว่า พระอนุตตรธรรมเจ้า อนุตตระหมายถึง ดีเลิศ, วิเศษยิ่ง, ไม่มีสิ่งใดสูงกว่า จากเหตุผลที่สรรพสิ่งได้มีการก่อเกิด เจริญขึ้น เป็นไปหรือด ารงอยู่อย่างมีระเบียบ เที่ยงตรงไม่ ผิดเพี้ยนจากที่ควรเป็นเช่นดวงดาวนับไม่ถ้วนที่โคจรเป็นระเบียบอยู่ในห้วงเวหา ชีวิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อินหยางมือสว่างที่ยังประโยชน์แก่สรรพสิ่งอย่างแยบยล พระแม่องค์ธรรมจึงได้รับการเทิดทูนว่า สัจธรรมเจ้า ธรรมะ คุณสมบัติหรืออ านาจแฝงอันเป็นศักยภาพที่มีอยู่ในมหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุ ไม่ว่าจะแสดงไว้ใน พระนามของ พระผู้สร้าง พระเป็นเจ้า พระแม่องค์ธรรม ฯลฯ รวมเรียกว่า เต๋า หรือ ธรรมะ คัมภีร์ธรรมทั้งหลายได้แสดงคุณสมบัติของเต๋า ธรรมไว้ว่า • ธรรมะให้ก าเนิด หนึ่ง หนึ่งให้ก าเนิด สอง สองให้ก าเนิด สาม สามให้ก าเนิดต่อไปนับไม่ถ้วน “ธรรมะ” เดิมทีไม่มีนาม รูป นามรูปที่เกิดมีในภายหลัง มนุษย์เป็นผู้ก าหนดเรียกขาน ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในทางโลก ที่เกิดจากธรรมะ เช่น ลม ฟ้า อากาศ หรือการก่อเกิดของชีวิต คนที่ช่างสังเกต ช่างศึกษาจะเห็นได้ในธรรมะนั้น ส่วนความลึกซึ้งแยบยลของธรรมะที่มิอาจมองดูรู้ เห็นได้ ในอีกมิติภาวะหนี่งนั้น คนที่จิตสว่างใส จึงจะเข้าถึง รู้ได้ดังที่คัมภีร์อี้จิงได้จารึกไว้ว่า “ธรรมะของฟ้าดิน ของโลก ผู้มีทัศนวิสัย ประณีตจะพิจารณาเห็นได้” “ธรรมะของตะวันเดือน มหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุผู้มีจิตวิสัย ประณีตจึงจะพิจารณารู้ได้” (จาก


คัมภีร์อี้จิง) คัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 21 จึงได้จารึกการนี้ไว้ว่า “อันว่าธรรมะนั้นวาบวับมิอาจเห็นชัด มิอาจจับต้อง แต่ถึงแม้จะวาบวับมิอาจเห็นชัด มิอาจจับต้อง ก็มีสิ่งวิเศษแยบยลคงอยู่ แม้จะวาบวับลับหายดั่งว่างเปล่าแต่ก็มีสิ่งเป็นจริงดั่งตัวตนคงอยู่ ธรรมะลุ่มลึกลึ้ลับแต่มีฤทธิ์วิเศษที่แปรปรับสรรพสิ่งก่อเกิดให้เป็นจริงได้ มีความเที่ยงแท้เป็นสัจ ธรรมด ารงอยู่” สัจธรรม • คุณสมบัติของธรรมะเรียกว่า สัจธรรม สัจธรรมที่เป็นธรรมภาวะอยู่กับมหาจักรวาล เรียกว่า ธรรมชาติ สัจธรรมที่เป็นธรรมภาวะด ารงอยู่กับกายสังขาร เรียกว่า ชีวิตจิตญาณ ชีวิตจิตญาณจึงหมายถึง สัจธรรมของธรรมะที่เป็นหลักของกายสังขาร ในคัมภีร์เอ้อเฉิงเฉวียนซู มีค าจารึกว่า • ธรรมะก็คือจิตญาณ ถ้าแม้เที่ยวค้นหาจิตญาณภายนอกธรรมะ หรือค้นหาธรรมะภายนอกจิต ญาณ ผู้นั้นจะมิใช่อริยปราชญ์ที่เรียนรู้คุณธรรมแห่งฟ้า • ชีวิตจิตญาณเป็นธาตุแท้ดีงามจากธรรมะ ผู้เข้าถึงธาตุแท้ชีวิตจิตญาณตนก็คือ เข้าถึงธรรมะ เมื่อเข้าถึงธรรมะก็คือ เข้าถึงธาตุแท้ดีงามของตน • ธาตุแท้จิตญาณและธรรมะคือ ภาวะคุณธรรมแห่งฟ้า • ภาวะคุณธรรมแห่งฟ้าเป็นความสูงส่งดีงามที่เป็นปกติสมบูรณ์พร้อมอยู่อย่างนั้นเอง โดยมิต้อง ก าหนดหมาย คัมภีร์เต้าเต๋อจิงได้จารึกภาวะธรรมดังกล่าวไว้ว่า “อันว่าธรรมะนั้นดุจน้ าไหลหลากซอกซอนไม่มีที่ว่างเว้น • ให้สรรพสิ่งได้อาศัยก่อเกิดโดยไม่เกี่ยง


• ให้สรรพสิ่งได้ใช้ประโยชน์เพื่อเจริญไกล โดยไม่เอาบุญคุณ • ธรรมะอุ้มชูสรรพสิ่ง เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งแต่มิได้วางใหญ่ • เป็นผู้ให้โดยมิได้ส าแดงตนจึงเรียกได้ว่า เล็ก • สรรพสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับธรรมะแต่ธรรมะมิได้วางตัวเป็นเจ้า จึงเรียกได้ว่า ใหญ่” ธรรมะในคริสต์ธรรมคัมภีร์ คริสต์ธรรมคัมภีร์ยอห์น 1-4 ก็ได้แสดงสัจธรรมของธรรมะไว้ว่า “ในปฐมกาล (ก่อนเกิดมีสรรพสิ่งในมหาจักรวาล) พระวาทะด ารงอยู่ก่อนแล้ว (พระวาทะ คือ ธรรมะ) พระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเป็นเจ้า (ธรรมะคือศักยภาพในพระเป็นเจ้า) และพระวาทะ (ธรรมะ) ทรงด ารงอยู่กับพระเป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ (ธรรมะ) ทรงด ารงอยู่กับพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้มานอกเหนือจากพระวาทะ พระองค์ (พระวาทะ-ธรรมะ) เป็นแหล่งชีวิตและชีวิต นั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ฯลฯ ชีวิต คือ พลังสัจธรรมของธรรมะ มีภาวะเป็นตัวเป็น กายสังขารคือ วัตถุธาตุของธรรมะ มีภาวะเป็นตัวตาย ชีวิตจึงเป็นธรรมญาณตัวรู้ ตัวควบคุมบงการกายสังขาร ชีวิตสว่าง ก็คือ ธรรมญาณสว่าง ซึ่งเป็นธรรมภาวะหรือหมายถึงดวงธรรมญาณที่แบ่งภาคมาจาก อนุตตรพระเป็นเจ้า พระคริสต์จึงตรัสว่า พระเป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งชีวิต (ศูนย์รวมที่ก่อเกิดชีวิต) และ “ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้มานอกเหนือจากพระองค์” ธรรมะในคัมภีร์เต้ำเต๋อจิง


ในจุดนี้ เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อนหน้าพระคริสต์ พระอริยเจ้าเหลาจื้อก็ได้แสดง ธรรมไว้ ซึ่งจารึกอยู่ ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 37 ว่า “ธรรมะว่างว้างอยู่อย่างนั้น เหมือนมิได้กระท าการใด มิได้เป็นผู้ให้ แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่ธรรมะมิได้ ก่อเกิดมิได้เป็นผู้ให้” และบทที่ 52 มีความว่า “ในมหาจักรวาลนี้ ธรรมะมีอยู่แต่เดิมมา เมื่อก่อเกิดสรรพสิ่ง ธรรมะจึงได้ชื่อว่า แม่ เมื่อรู้ความเป็นแม่ (เมื่อรู้ว่าแม่ก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือแม่ สรรพสิ่งที่เกิดจากธรรมะก็คือเกิดจากแม่ จึงได้รู้ว่า แม่ หรือธรรมะนั้นยิ่งใหญ่ สูงส่ง ดีงาม ล้ าเลิศเหนือสิ่งใดทั้งปวง แม่จึงมีภาวะเป็นอิสระนิรันดร) จึงรู้ความเป็นลูก (จึงรู้ว่าตนคือ ดวงธรรมญาณอันได้แบ่งภาคจากแม่องค์ธรรมมารดา ลูกจึงสูงส่งดีงาม ยิ่งใหญ่ เลิศล้ าและมีภาวะเป็นอิสระนิรันดรได้เช่นเดียวกับแม่) เมื่อรู้ความเป็นลูก (เมื่อรู้ว่าลูกคือธรรมญาณอันสูงส่งดีงามล้ าเลิศ เป็นอิสระนิรันดรได้เช่นเดียวกับแม่) จึงต้องรักษาความเป็นแม่ (จึงต้องรักษาดวงธรรมญาณอันสูงส่งดีงามล้ าเลิศเป็นอิสระนิรันดร ที่ได้มาจากแม่ให้คงสภาวะ เดิม เท่ากับรักษาแม่ไว้) แม้ร่างสลายก็จะไม่วิบัติ (ถ้ารักษาสภาวะเดิมของแม่ในตัวเราไว้ได้ แม้ร่างอันเป็นวัตถุธาตุส่วนหยาบของธรรมะจะแตกดับ กลับกลายไปแต่ดวงธรรมญาณอันเป็น คุณสมบัติส่วนประณีตของธรรมะ จะคงสว่างดังเดิม ไม่วิบัติมืดมัว เป็นวิญญาณผีไป) นั่นคือการกลับคืนไปสู่ความสูงส่งดีงามล้ าเลิศ เป็นอิสระนิรันดรของแม่ที่เราเรียกกันว่า “บรรลุ ธรรม”) ชีวิตสว่ำงจำกฟ้ำ


เมื่อคนมีจิตส านึกต่อธรรมญาณอันเป็นชีวิตสว่างของตนที่มาจากฟ้า คนจึงรู้จักพิจารณาผิด, ชอบ, ชั่ว, ดี คัมภีร์ซูจิง บทต้าเสวียจารึกไว้ว่า “พิจารณาทุกขณะ จะเห็นจิต ชีวิตสว่างจากฟ้า” (ความหมายอันแท้จริงของการสงบนิ่ง ท าสมาธิก็คือ การพิจารณาให้เข้าถึงชีวิตสว่างดวงธรรม ญาณอันสูงส่งดีงามล้ าเลิศ เป็นอิสระนิรันดรที่สถิตอยู่ในตน ในคัมภีร์ซื่อซู บทจวินซื่อ ก็ได้จารึกจิตส านึกของพระอริยปราชญ์ในเรื่อง ชีวิตสว่าง ดวงธรรมญาณ ที่ได้แบ่งภาค มาจากองค์ธรรมมารดาไว้ว่า “ฉันไม่กล้าฝืนต่อประกาศิตฟ้า” (ไม่กล้าผิดต่อองค์ธรรมมารดา ไม่กล้าผิดต่อชีวิตสว่าง ดวงธรรมญาณหรือมโนธรรมส านึกของตน) “ไม่กล้าที่จะไม่นึกถึงเดชานุภาพของฟ้าตลอดไป” (เพราะไม่มีชีวิตใดตัดสายสัมพันธ์จากองค์ธรรมมารดาได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีชีวิตใดไปพ้นจาก ธรรมะได้เลย) อีกบทหนึ่งมีความว่า “ประกาศิตฟ้าประหนึ่งเงาตามตัว น่าย าเกรงเป็นอย่างยิ่ง พึงส านึกจริงใจแน่แท้” (ประกาศิตฟ้า คือ สัจธรรม กฎแห่งกรรมก็เป็นสัจธรรม ไม่มีชีวิตใดไปพ้นจากสัจธรรม หรือกฎ แห่งกรรมได้ ประกาศิตฟ้าจึงน่าย าเกรงเป็นอย่างยิ่ง) ฉะนั้น แต่ก่อนเมื่อปราชญ์ บัณฑิต (ครูบาอาจารย์) จะท าหน้าที่อบรมกล่อมเกลาคนทั้งหลาย ตนเองจะต้องถึงพร้อมด้วยจิตศรัทธา เคารพประกาศิตฟ้า และเคารพในชีวิตสว่างของตนเองเสียก่อน จึง จะท าหน้าที่สูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์นั้นได้และหน้าที่นั้น จึงได้ชื่อว่า “ประกาศสัจธรรมกล่อมเกลาแทนฟ้า” เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีปราชญ์บัณฑิตผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม เกิดขึ้นมากมายในสมัยนั้น ในยุคสมัยของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ บ้านเมืองหลู่ที่พระองค์ท่านตั้งวิทยาลัยการศึกษา และ รับผิดชอบปกครองดูแลอยู่ ผู้คนมีจิตส านึกต่อชีวิตสว่างจนได้รับค าชื่นชมว่า “ค่ าคืนมิต้องลงกลอนประตูบ้าน” “ตามถนนไม่เก็บสิ่งตกหล่นของใคร” จึงเห็นได้ว่า “ฟ้า” ไม่เพียงแต่เป็น “แม่” เป็น “ครู” “ฟ้า” ยังเป็น “กฎหมายธรรมชาติ” อันศักดิ์สิทธิ์ที่สอดส่องมองเห็นจิตใจและพฤติกรรมของชีวิต ทั้งหลายได้ทุกขณะเวลา จนใครก็ไม่อาจหนีหายไปจากความผิดบาปของตนได้ดังค าที่ว่า “เหนือศีรษะของ


เราสามฟุตมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่” (สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจากคนศักดิ์สิทธิ์ คนศักดิ์สิทธิ์คือ คนที่ดวงธรรมญาณชีวิตสว่างคงอยู่) ผู้ท า ความผิดลับตาคนจึงไม่พ้นการรู้เห็นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปได้) อีกค าหนึ่งซึ่งหมายถึงกฎแห่งกรรมที่ดูอย่างกับไม่มีอะไร แต่ก็มีอยู่ทุกภาวะทุกลมหายใจและตลอด กาล คือ “ร่างแหฟ้าตาห่าง ๆ แต่ไม่มีทางหลุดรอดได้เลย” “กฎหมาย” ฟ้าจึงเป็นกฎหมายธรรมชาติที่ตราไว้ในจิตส านึกของคนได้เรื่อยมา ควำมหมำยของฟ้ำ สรุปเหตุผลที่ประมวลได้จากพระคัมภีร์ และธรรมวจนะของพระอริยเจ้าปราชญ์ บัณฑิต ซึ่งจิต เข้าถึงภาวะวิสุทธิ์แล้ว เราจึงได้รู้ความเป็นจริงบางอย่างที่เกี่ยวกับฟ้าว่า ฟ้ามิใช่ความว่างเปล่าเท่าที่เห็นเป็นอากาศธาตุ แต่ ฟ้ามีศักยภาพอ านาจแฝงยิ่งใหญ่ เรียกว่า ธรรมะ เต๋า ความเป็นปกติเที่ยงแท้ของธรรมะ เรียกว่า สัจธรรมะ เจินหลี่ องค์อภิรักษ์สัจธรรม เรียกว่า สัจธรรมเจ้า เจินไจ่ ความเป็นหนึ่งเดียวของสัจธรรมเจ้า เรียกว่า เอกองค์ เจินอี ความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเอกองค์ เรียกว่า พระเป็นเจ้า ซั่งตี้ พระเป็นเจ้าก่อเกิดทุกอย่างไม่ว่างเว้น เรียกว่า พระผู้สร้าง อู๋เซิง พระผู้สร้างอันเป็นธรรมอุทรของทุกชีวิต เรียกว่า ธรรมมารดา เหลาหมู่ ธรรมมารดาทรงศักยภาพมิอาจฝ่าฝืนได้


เรียกว่า ประกาศิต เทียนมิ่ง ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์เป็นธาตุแท้ของจิตญาณ เรียกว่า ธรรมญาณ เทียนซิ่ง ภาวะว่างว้าง สงบสงัดเหนือสามโลก เรียกว่า อนุตตร อู่จี๋ หลี่เทียน แนวทางไปสู่ภาวะเหนือสามโลก เรียกว่า อนุตตรวิถี เทียนเต้า หรือวิถีอนุตตรธรรม ฟ้ำทรงพระมหำกรุณำธิคุณฯ เมื่อฟ้าในฐานะพระเป็นเจ้าทรงศักยภาพยิ่งใหญ่ในการสร้างสรรค์ทุกสิ่งอย่าง เป็นความสว่างของ ชีวิตทั้งมวล โดยมิได้ถูกจ ากัดด้วยกาลเวลา และมิได้ถูกจ ากัดขอบเขตของมหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุ เช่นนี้ พระองค์จึงเป็นธรรมมารดา ของเหล่าพุทธะพระโพธิสัตว์ ทั้งเทพพรหม องค์อินทร์ ทั้งหมด ทั้งปวง ทั้ง อดีตชาติ ปัจจุบันและอนาคตชาติ พระพุทธะพระอริยเจ้า จึงพร้อมกันน้อมเกล้าฯ แซ่ร้องเทิดทูนพระองค์ในพระนามเต็มว่า อนุตตรพระเป็นเจ้ำ หมิงหมิงซั่งตี้ อมิตสุทธสุญญตำ อู่เลี่ยงชิงซวี ชคัตตรยำพดง จื้อจุนจื้อเซิ่ง ไตรภพทศทิศ ซันเจี้ยสือฟัง สัจธรรมเจ้ำแห่งมวลชีวิต วั่นหลิงเจินไจ่ ความหมายในพระนามเต็มของพระแม่องค์ธรรมพอจะอธิบายขยายความได้ดังนี้ อนุตตรพระเป็นเจ้ำ พระเป็นเจ้าอันเป็นที่สุดแห่งความสว่างใสดีงาม พระองค์ผู้เป็นต้นก าเนิดของ ธรรมญาณ ชีวิตสว่างใสและสรรพสิ่งที่สุดแห่งความยอดยิ่งที่สุดแห่งความล้ าเลิศวิเศษสุด ฯลฯ อมิตสุทธสุญญตำ พระองค์ด ารงอยู่เรื่อยมาซึ่งไม่อาจนับกาลเวลาได้เป็นอสงไขย ทรงด ารงพระ


ภาวะบริสุทธิ์สงบ สงัดว่างว้างล้ าลึก จนมิอาจหยั่งถึงได้ในพระภาวะวิเศษนั้นอัน เป็นอจินไตย ชคัตตรยำพดง พระองค์ทรงเป็นยอดของโลกสามหรือทั้งสามโลก ที่สุดแห่งความสูงส่ง เป็นที่ เทิดทูนบูชาที่สุดแห่งความน่าเคารพย าเกรง ที่สุดแห่งความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ามหิทธานุภาพใด ๆ ไตรภพทศทิศ พระองค์ทรงปกครองทั้งสามโลกสิบทิศ ไม่มีที่ว่างเว้นในมหาจักรวาลอันมิอาจ ประมาณ สัจธรรมเจ้ำแห่งมวลชีวิต พระองค์ทรงเป็นพระสัจธรรมเจ้า เจ้าแห่งสัจธรรม ความเที่ยงแท้ใน การก่อเกิดคงไว้ สูญสลาย พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งและชีวิตทั้งปวงโดยแท้จริง เรื่องใหญ่ยังไม่กระจ่ำงเหมือนดั่งพ่อแม่ตำย จากการย้อนต้นค้นหาความเป็นมาของชีวิต จนกระทั่งเกิดความเข้าใจในอนุตตรธรรมมารดา และ เชื่อแน่ว่าธรรมญาณหรือพลังชีวิตสว่างของเราต่างแบ่งภาคมาจากพระองค์ ความเป็นจริงที่ค้นพบหรือรู้ได้นี้มิใช่ธรรมดา พระอาจารย์มู่โจวมหาเถระนิกายเซ็นผู้สูงส่งได้ทอดถอนใจแสดงธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เรื่องใหญ่ยังไม่กระจ่าง เหมือนดั่งพ่อแม่ตาย เรื่องใหญ่ได้กระจ่าง เหมื่อนดั่งพ่อแม่ตาย ส าหรับลูกกตัญญูผู้มีจิตส านึกสูง การตายของพ่อแม่เป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในชีวิต เพราะเขา ไม่อาจเรียกร้อง ช่วงชิง หรือวิงวอนให้ท่านกลับคืนมาใหม่ได้ ซึ่งชีวิตของตนเอง ก็เช่นกัน เมื่อจบสิ้นกาย สังขารเสียแล้ว การจะสร้างบารมีค้นหาชีวิตอมตะก็ยากเสียแล้ว การจะสร้างบารมีค้นหาวิถีชีวิตอมตะก็ ยากเสียแล้ว จึงเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวใจ เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่เทียบเท่ากับการสูญเสียพ่อแม่ไป ของคนเราคือ ไม่อาจค้นพบต้นธาตุ ต้นธรรมชีวิตสว่างของตน เมื่อยังมิได้ค้นพบชีวิตสว่าง เท่ากับเรื่องใหญ่ยังไม่กระจ่างชีวิตจะต้องรับทุกข์ภัยชาติแล้วชาติอีก ต่อไปไม่รู้จบ จึงเป็นความสูญเสียและปวดร้าวใจที่สุด ส าหรับผู้เล็งเห็นสัจธรรมของการเวียนว่ายเกิดตาย แต่เมื่อเรื่องใหญ่ได้กระจ่างแล้ว เหตุใดจึงยังเจ็บปวดรวดร้าวใจยิ่งนักอีกเล่า นั่นคือ ผู้บ าเพ็ญตั้งแต่โบราณกาลมา ล้วนจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิต หรือนับสิบ ๆ ปี เพื่อค้นหาอาจารย์ ท่าน


ผู้รู้ได้โปรดถ่ายทอดวิถีธรรมหนทางหลุดพ้น ได้โปรดถ่ายทอดรหัสคาถาค้นหาต้นธาตุ, ต้นธรรม, ดวงธรรม ญาณ, ชีวิตสว่าง ที่อยู่ในกายตน สิบหมื่นแปดพันลี้ การค้นหานี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ฉะนั้นแม้จะต้องเคี่ยวกร าล าบากแสนเข็ญก็ สู้อุตส่าห์ฝ่าฟัน ตัวอย่างเช่นพระศากยะพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราในครั้งกระโน้น ทั้งอดอาหาร ทรมาน กาย ไม่หลับนอน ยืนขาเดียว แช่น้ า ฯลฯ ฉะนั้นจึงมีผู้พากเพียรทุ่มเทค้นหาสัจธรรมชีวิตนิรันดร์นี้มากมายที่ เกิดปีติท่วมท้นและเศร้าใจสุดขีดพร้อมกัน ในทันทีเมื่อได้ค้นพบว่า สิ่งวิเศษนั้นอยู่ใกล้แค่นัยน์ตา แต่ไฉน กลับจะต้องเสียเวลาดั้นด้นผจญทุกข์ภัยเข้าป่าแสวงหาอาจารย์ผู้รู้ถ่ายทอดให้และกว่าจะรู้ได้ก็เป็นบั้นปลาย ของชีวิตเสียแล้ว จะเหลือเวลาบ าเพ็ญตนและฉุดช่วยชีวิตทั้งหลายได้อีกนานเท่าไร พระอาจารย์มู่โจวมหาเถระ ผู้ต้องเจ็บปวดกับประสบการณนี้จึงได้แสดงธรรมไว้ว่า “เรื่องใหญ่ได้กระจ่าง เหมือนดั่งพ่อแม่ตาย” ภาษาไทยมีค าว่า “เส้นผมบังภูเขา” ซึ่งเป็นค าที่ให้ความรู้สึกขัดเคืองใจนัก เพราะหมายถึงสิ่งนั้นอยู่ ตรงหน้าแต่หารู้ไม่ น่าจะแลเห็นได้ชัดเจนแต่กลับถูกบดบังไว้ด้วย เส้นผมเส้นเล็กนิดเดียว ค้นหากันแทบ ตาย ไม่น่าเลย เส้นผมบังภูเขา จึงเป็นปริศนาธรรมเก่าแก่ค าหนึ่งของไทยที่น่าจะบอกใบ้ให้เรารู้ว่า “ณ เชิงเขา(บน ใบหน้าของทุกคน) เป็นที่ซ่อนดวงแก้วธรรมญาณอันเป็นชีวิตสว่างหรือชีวิตนิรันดร์ของตน” ภาษาจีนมีค าว่า “ทุกใบหน้าคือพุทธะ” เป็นปริศนาบอกให้รู้ว่าพุทธจิตธรรมญาณ อยู่บนใบหน้า ของทุกคน ทุกคนมีพุทธจิตธรรมญาณ ปริศนาธรรมอีกค าหนึ่งซึ่งค่อนข้างชี้ชัด แต่นมนานมา จะหาคนเข้าใจได้ไม่มากเลยนั่นคือ “สิบหมื่นแปดพันลี้” และ “ไกลห่างทางฟากฟ้า ใกล้อยู่แค่นัยน์ตา”


ไม่สว่ำงจิต จิตไม่สว่ำง ในเมื่อดวงธรรมญาณ ชีวิตสว่าง หรือต้นธาตุต้นธรรมของทุกคนต่างสถิตอยู่ตรงหน้า แต่เหตุใดเรา จึงมิรู้ได้ และเหตุใดพระผู้รู้แล้วทั้งหลายจึงไม่โปรดชี้ชัดได้แต่แสดงปริศนาธรรมไว้เป็นนัย ๆ ให้เท่านั้น แต่แม้ท่านผู้รู้แล้วทั้งหลายจะแสดงปริศนาธรรมไว้มากมายเพียงไรก็ตาม เราก็ยังเข้าไม่ถึง เหตุที่เราเข้าไม่ถึง ไม่รู้ได้ ไม่อาจเข้าใจได้ เพราะเราทั้งหลายใจหยาบ เราใจหยาบเพราะไม่มีสมาธิ ไม่มีความสงบเยือกเย็นอย่างลุ่มลึกต่อเนื่อง ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ ของเราแตกกระจายระเริงไป ติดอยู่กับการรับรู้ของหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกขณะเวลา ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเราแตกกระจาย ระเริงอยู่กับการปรุงแต่งในกามคุณ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ โกรธ สุข รัก เกลียด อยาก ดีใจ เสียใจ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา เราปล่อยปละละเลยจนเคยชิน เหมือนยินดีให้มันเป็นเจ้าบงการชีวิตจิตญาณของเราเรื่อยมา นักวิชาการทางจิตเคยค านวณสถิติได้ว่า ในวันหนึ่ง ๆ คนทั่วไปจะเกิดความคิดทั้งวูบสั้น ๆ หรือ ต่อเนื่องกันประมาณถึงหกหมื่นครั้ง และมากกว่านั้น เกินกว่าห้าหมื่นครั้งของความคิดเหล่านั้น จะย้อนย้ าซ้ าซากเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง เป็นความคิด ฟุ้งซ่านทั้งหยาบ หรืออย่างละเอียดสลับซับซ้อนปะปนกันไปตลอดเวลา เป็นความคิดฟุ้งซ่านทั้งที่เรารู้ตัว หรือไม่รู้ตัวเลย ความคิดย้อนย้ า ซ้ าซากเหล่านี้ก่อกวนท าลาย ความสงบอันลุ่มลึกอันเป็นภาวะปกติของชีวิตสว่าง ต้นธาตุต้นธรรมของเราอยู่ทุกขฯทั้งหลับและตื่น แต่เราก็ปล่อยปละละเลยเคยชินอยู่กับมันจนกลายเป็นใจ หยาบไป พระพุทธองค์มิทรงประกำศจุดตรัสรู้ พุทธจิตธรรมญาณ ชีวิตสว่างในตัวตนเป็นภาวะพิเศษแยบยลที่แม้ตรรกศาสตร์ปรัชญาที่ตรึกคิดหา ข้อสรุปอันสมเหตุสมผลได้ก็ไม่อาจชี้ชัด ฉะนั้นการที่จะบอกให้รู้ จึงมิสู้รู้ในตนเอง เมื่อรู้ในตนเองได้ จึงจะเป็นในตนเองได้ เฉกเช่น “ใครกินใครอิ่ม ใครลิ้มใครรู้รส” “ใครเข้ำถึง ใครจึงจะบรรลุได้” เช่นนี้แล้ว จึงไม่ต้องสงสัยอีกเลยว่า เหตุใด ตั้งแต่โบราณกาลมาพระผู้รู้แล้วทั้งหลายจึงเหมือนเก็บสิ่งที่ได้รู้แล้วนั้นไว้เฉพาะตัว ไม่โปรด ถ่ายทอดชี้ชัดซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เช่นกัน


การนี้ ในวินัยปิฎกจารึกไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธด าริว่า “ธรรมที่เราเข้าถึงแล้ว นี้ ลึกซึ้ง เห็นยากหยั่งรู้ตาม ยาก สงบ ประณีต ตรรกหยั่งไม่ถึง (ไม่อยู่ในวิสัยของตรรก ปรัชญาที่จะคิดหา เหตุ-ผลได้) ละเอียดอ่อนเป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ และมีข้อความที่เป็นคาถาต่อไปว่า “ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้มิควรประกาศ ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบง าจะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะโทสะครอบง าจะ รู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด (อวิชชา) ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งเห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก” อริยะถ่ำยทอดสู่อริยะ เมื่อดวงธรรมญาณในตัวตนของคนเราเป็นสิ่งอันวิเศษ ประณีตลึกซึ้งละเอียดยิ่งนักเช่นนี้ ผู้ที่จะรับรู้ ได้จึงจะต้องมีภาวะจิตที่บ าเพ็ญดียิ่งแล้วเท่านั้น สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนจึงมีท่านจอมปราชญ์ขงจื้อเท่านั้น ที่ได้รับถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตสว่างดวง ธรรมญาณจากพระอริยเจ้าเหลาจื้อโดยตรง เรียกว่าได้รับถ่ายทอดจุดตรัสรู้ ต่อมาพระมหากัสสปะก็ได้รับถ่ายทอดจุดตรัสรู้จากพระพุทธองค์ จากการชูดอกไม้ให้เห็นตรงหน้า เป็นปริศนาธรรม ประมาณหนึ่งพันปีก่อนพระพุทธะจี้กง ต้องอาศัยการถูกตบหน้าจากพระอาจารย์ เป็นอุบาย บิดเบือนความสนใจจากสงฆ์น้อยใหญ่ในที่นั้น พร้อมกับได้รับถ่ายทอดจุดตรัสรู้โดยฉับพลัน หนึ่งพันสามร้อยกว่าปีก่อน พระสังฆปริณายกหงเหยิ่น จะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตสว่าง ให้แด่ท่านเว่ย หล่างผู้ซึ่งเข้าถึงภาวะสงบ ว่าง วางจิต ลงได้แล้ว ยังจะต้องแอบนัดหมายในเวลาค่ ามืดปลอดคน อีกทั้งยัง จะต้องใช้จีวรคลุมแล้วจึง ถ่ายทอดจุดสถิตจิตญาณนั้นให้เป็นการเฉพาะ จึงมีค าโบราณว่า “ไม่มีพระวิสุทธิอาจารย์ถ่ายทอดให้อย่าได้พูดถึงธรรมญาณ” แม้ไม่มีพระวิสุทธิอาจารย์ถ่ายทอดให้ จะรู้จุดสถิต จิตญาณตน และเข้าถึงชีวิตสว่างธรรมญาณตน ได้นั้นยากนัก พระพุทธะจี้กงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ จึงได้โปรดตรัสยืนยันความส าคัญในการได้รับถ่ายทอด


ให้รู้จุดสถิตจิตเดิมแท้ธรรมญาณไว้ว่า เจนจบหมื่นพันคัมภีร์ศาสตร์ มิอาจเทียบพระวิสุทธิอาจารย์ประทานเบิกจุด จำกธรรมะมำเป็นศำสนำ การด าริรู้ว่า “เวลานี้ไม่ควรประกาศ” จึงมิใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้นที่ทรงตระหนัก พระ พุทธะ พระโพธิสัตว์ พระผู้เข้าถึงภาวะชีวิตสว่างอีกมากมายใน ทุกยุคทุกสมัยเรื่อยมา ก็ไม่เคยมีสัก พระองค์เดียวที่ประกาศให้รู้ทั่วกันอย่างชัดเจน ได้แต่แสดงปริศนาธรรมไว้ให้ผู้ตั้งใจค้นหาจริง ๆ ได้ใช้ ปัญญาพิจารณาจนกว่าจะรู้ในตนเองและเป็นในตนเอง แต่ด้วยความสงสารห่วงใย เกรงว่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายจะเบื่อหน่ายไปจากแนวทางค้นหา เกรงว่า ผู้คนจะต่างไหลตามกระแสโลกีย์ทางโลกจนภาวะจิตเดิมแท้จะห่างไกลไปจากต้นธาตุต้นธรรมจุดก าเนิดเดิม ของชีวิตสว่าง พระองค์ท่านจึงได้โปรดปูพื้นฐานศรัทธาความเชื่อไว้ให้เป็นบันไดแต่ละขั้น นั่นคือค าสอนของ ศาสนา เพราะศาสนาเราจึงได้รับรู้เรื่องกฎแห่งกรรม เพราะศาสนาเราจึงได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์นรก เพราะศาสนาเราจึงได้รับรู้แนวทางการสร้างบุญทานบารมี เพราะศาสนาเราจึงได้รับรู้การอุ้มชูจิตตนด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จนกว่าจิตจะเข้าถึงภาวะชีวิตสว่าง แห่งตน แต่เดิมที เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้บ าเพ็ญจริงที่มุ่งมั่นค้นหาภาวะหลุดพ้น จึงยังคงต้องพากเพียรอุตสาหะ ค้นหาต้น ธาตุต้นธรรมของตนต่อไป ธรรมปฏิบัติจึงเกิดขึ้นแตกต่างกันมากมายหลายร้อยหลายพันวิธี บางคนก็ออก ป่าแสวงหาพระวิสุทธิ์อาจารย์ เพื่อหวังว่าจะได้รับการถ่ายทอดให้ แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ค้นหาจนกระทั่งตัว ตาย ดั่งค าที่ว่า “ย่ าจนรองเท้าเหล็กสึกเป็นรูยังไม่รู้อยู่ที่ใด” “ในโลกนี้มีศาสนามากมายหายหมื่นพัน สอนให้มั่นบ าเพ็ญเป็นคนดีมีศีลสัตย์ แต่ถึงแม้บุญทานจะเพียบพร้อมสารพัด ก็ยากจะรู้ชัดธาตุธรรมจ าเดิมของตน”


ใจคนหลงผิดจิตไม่กระจ่ำง แท้จริงแล้ว เบื้องหลังของการ “ไม่ควรประกาศ” ที่ทุกพระองค์ทรงด าริรู้พ้องกันนั้น ล้วนเป็นไป ตามกฎเกณฑ์ของธรรมกาล เป็นไปตามก าหนดกาลอันควรที่ตรงต่อประกาศิตฟ้าหรือที่เรียกว่า เทียนมิ่ง พระโองการบัญชาจากพระแม่องค์ธรรม ทุกศาสนาล้วนมีศาสนิกผู้ศรัทธา คนเหล่านั้น พยายามจรรโลงค าสอนของพระศาสดาของตน เรื่อยมานับพันปี แต่คนที่จิตใจสงบเยือกเย็นและปฏิบัติบ าเพ็ญเป็นหนึ่งเดียวตรงตามค าสอนอย่างแน่วแน่ แท้จริงนั้นมีไม่มาก ฉะนั้นการจะรอเวลาให้รู้เองเป็นเองในพุทธภาวะของตนนั้นเห็นทีจะไม่มีทาง เพราะสิ่งแวดล้อมทุก อย่างของคนในยุคนี้ไม่อ านวยให้ ตรงกันข้าม สภาพการของชีวิตจิตใจมีแต่จะต้องทวีความเดือดร้อน สับสน วุ่นวายเผชิญกับความทุกข์ยาก วิบากภัยยิ่งขึ้นทุกวัน ความมืดของอวิชชาที่ครอบง าจิตใจมีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก เหมือนกระแสน้ าที่มีแรงก าลังพัดพาสิ่ง ต่าง ๆ ลงสู่ที่ต่ าลงไปทุกที จิตประภัสสรของดวงธรรมญาณ ชีวิตสว่างจึงต่างมืดมัวลง บัดนี้ เราจึงได้เห็นว่า คนส่วนมากต่างทุ่มเทชีวิต จิตใจ เพื่อการสร้างสรรค์ความสุขสบายให้แก่ชีวิต กายสังขารเฉพาะ หน้าจนกระทั่งละเลยไม่เห็นความส าคัญของชีวิตนิรันดร์ธรรมญาณตน ผู้คนพากันหลง แสง สี เสียง หลง ต าแหน่ง หลงอ านาจวาสนา หลงความฉาบฉวย หลงความสุขความยินดีเฉพาะหน้า คว้า อะไรได้ก็รีบคว้าไว้ ชิงอะไรได้ก็รีบชิงเอา ผู้คนหลงผิดจนอมฤตธรรมค าสอนของทุกศาสนาไม่สามารถฉุดยั้งจิตใจไว้ได้แล้ว จุดจบของชีวิตคนทั้งหลายจึงลงเอยกันที่อนิจจัง กฎแห่งกรรมตำมท ำลำย ค าขวัญส าหรับชีวิตของคนในยุคนี้ คือ ชีวิตคือการแข่งขัน ชีวิตคือการต่อสู้ ผู้คนต่างเอาเป็นเอาตายขมักเขม้นแข่งขันต่อสู้กับคนที่ต้องเวียนว่ายเกิดตายไปด้วยกัน ผู้คนต่างเอา ทิฐิและวิทยาการแผนใหม่มากลบเกลื่อนจิตส านึกเรื่องบาปบุญ คุณโทษ หลับหูหลับตาสะบัดหน้าว่า ไม่มี นรกสวรรค์ ไม่มีกฎแห่งกรรม อยากอะไรต้องเอาให้ได้สมอยาก ทั้งเสพส้องสมสู่ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องแลกด้วย เกียรติยศ ชื่อเสียง ชีวิต เลือดเนื้อ จะต้องแลกด้วยความทุกข์กาย ทุกข์ใจในวันต่อไปตามกฎแห่งกรรมก็ ยอมแลก ยอมเสี่ยง ยอมทน เพื่อความพอใจแม้ชั่วขณะหนึ่ง


ชีวิตทั้งกลายและทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจึงก าลังจะถูก ท าลายทั้งหมดด้วยพลังใจหยาบ ของมนุษย์ เองในไม่ช้านี้ ระเบิดนิวเคลียร์และแผนการท าลายล้างมวลมนุษย์ด้วยกันอย่างเลือดเย็น เตรียมการกันไว้เต็มที่ เกือบทุกประเทศทั่วโลกและพร้อมที่จะท าลายล้างกันทันทีที่ต้องการ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งส าหรับเรื่องนี้คือ เราจะสังเกตเห็นว่าผู้น าหลาย ๆ ประเทศมีอารมณ์หุนหัน พลันแล่นท้าทาย... วันใดที่มหันตภัยถล่มโลก สภาพหลังการตายที่น่าสยดสยองจากผลกรรมของมนุษย์เองเหล่านั้นล้วนเรียกว่า “ผีตายโหง” เมื่อเป็นเช่นนั้น มหาปณิธานของพระศรีอริยเมตตรัยในอันที่จะแปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นดอกบัว บานในกาลอันใกล้นี้ก็จะเป็นจริงไปไม่ได้เพราะขาดผู้คนอันเป็นกุศลพันธุ์ ยุคสำมกัปสุดท้ำย บัดนี้ กาลเวลาของโลกได้ด าเนินมาจนถึงธรรมกาลยุคขาวอันเป็นก าหนดกาลสุดท้ายของโลกแล้ว พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่อาจทนดูความวิปริตฉิบหายของดวงธรรมญาณชีวิตสว่างทั้งหลายได้ ไม่อาจทนดู มหันตภัยท าลาย ล้างชีวิตน้อยใหญ่ให้ย่อยยับดับสูญลงอย่างน่าอนาถถึงปานนั้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะสายเกินการ ทุกพระองค์จึงพร้อมกันกราบขอประทานพระมหากรุณาธิคุณ ฯ ขอพระแม่องค์ธรรมได้โปรด จ าแนกแยกคนที่ยังมีความดี อยู่ให้แตกต่างจากคนเหลือขอที่ไม่อาจเก็บไว้เป็นกุศลพันธุ์ต่อไปให้ชัดเจน ขอพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานหนทางรอดแก่ชีวิตจิตญาณทั้งหลายเหล่านั้น ขอพระองค์โปรดประทานอนุญาตให้ ประกาศเปิดเผยสัจธรรมความมีอยู่ความเป็นอยู่ของต้นธาตุ ต้นธรรมในกายสังขารของสาธุชนคนที่ยังมีความดีอยู่เหล่านั้นโดยทั่วกัน ด้วยพระโองการฟ้าประกาศิตของพระองค์ ขอให้พระวิสุทธิอาจารย์ผู้สว่างแท้ได้โปรดชี้ชัด ได้โปรด เปิดประตูที่สถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณ โปรดประทานโอกาสสุดท้ายให้จิตญาณทั้งหลายที่ยังมิได้มืดบอด จากคุณงามความดีเสียทั้งหมด ให้ได้เจิดจรัสขึ้นในยุดสุดท้ายนี้ด้วยเถิด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเป็นไปได้เลย เพราะแม้จะเป็นสาธุชนคนที่ยังมีความดีอยู่ ในยุคนี้


แม้จะเป็นจิตญาณที่ยังไม่ได้มืดบอดจากคุณงามความดีเสียทั้งหมดก็ตาม... แต่ต่างก็ได้สั่งสมบาปเวรไว้ไม่ น้อยแล้ว วิถีอนุตตรธรรมปรกโปรด อนุตตรพระแม่องค์ธรรมทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง ปรารถนาให้ทุกชีวิตอยู่รอดปลอดภัย โดยเฉพาะบัดนี้ เป็นก าหนดกาลยุคขาว เป็นโอกาสสุดท้ายของพุทธบุตรทั้งหลายแล้ว พระแม่องค์ธรรมจึง มิอาจดูดายปล่อยให้ชีวิต สว่างทั้งหลายมืดบอดไปเสียทั้งหมด จึงได้โปรดประทาน อนุญาต ให้ประกาศ เปิดเผยนั่นคือ จุดเบิกชี้ชัดจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณในสาธุชนคนดีให้รู้ที่สถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณใน ตน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การเปิดประตูญาณทวารให้ชีวิตสว่าง ดวงธรรมญาณส าแดงคุณสมบัติพุทธภาวะ จิตเดิมแท้ เหมือนจิตที่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความฝันฟุ้งซ่านโดยฉับพลัน จากนั้นจิตจะรู้ตัว จิตจะรวมตัว จิตจะเป็นตัวของตัวเองและในที่สุด จิตจะกลับคืนไปสู่อนุตตรภาวะอันสูงแต่เดิมที นั่นคือ การเข้าสู้วิถีแห่ง จิต ที่สุดของที่สุด คือ เข้าสู่วิถีอนุตตรธรรม การนี้นับเป็นมหาบุญวาระอันส าคัญที่สุดครั้งแรกในประวัติการณ์ของมนุษยชาติ พระโองการฟ้าประกาศิต ได้โปรดฯ ประทานผ่อนผันบาปเวรของพุทธบุตรทั่วหน้า พระโองการฟ้าประกาศิต ได้โปรดฯ ประทานอนุญาตให้ ประกาศเปิดเผยจุดสถิตชีวิต ธรรมญาณ ให้ทุกคนได้บ าเพ็ญจิตโดยแท้ เพื่อการหลุดพ้นโดยตรง เพราะการนี้มีผลท าให้จิตส านึกดีของผู้ได้รับจุดเบิกเกิดขึ้น ทันที จิตส านึกดีของเขาเองได้กล่อมเกลาใจหยาบ ของเขาเอง ให้ประณีตขึ้นทันที ที่สุดคือ ให้จิตส านึกดีของเขาได้ก้าวเข้าไปสู่วิถีอนุตตรธรรม หนทางหลุดพ้นอย่างแท้จริง


พระวิสุทธิอำจำรย์จำกพระโองกำรฟ้ำประกำศิต การนี้ พระแม่องค์ธรรมได้โปรดฯ มอบหมายให้พระพุทธจี้กง พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย รับ สนองพระโองการฟ้าประกาศิตร่วมกันแบกรับพระภาระหน้าที่ พระวิสุทธิอาจารย์ พระวิสุทธิอาจารย์ทั้ง สองพระองค์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ได้โปรด: • ท าหน้าที่จุดเบิก ชี้ชัดจุดสถิตชีวิตสว่างดวงธรรมญาณให้แก่พุทธบุตรสาธุชนคนดี • ท าหน้าที่ชี้ชัดเชื่อมโยงสายทองธรรมญาณระหว่างพุทธบุตรสาธุชนคนดีกับพระแม่องค์ธรรม • ท าหน้าสั่งสอนกล่อมเกลาผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วให้เข้าใจในสัจธรรมทุกวาระทุกขณะทุกโอกาส • ท าหน้าที่เชื้อเชิญพระพุทธะ, พระโพธิสัตว์, จอมเซียนผู้เป็นใหญ่, เทพพรหมองค์อินทร์, ทิพย กุมาร ทิพยกุมารี ทั้งหลาย ได้โปรดมาคุ้มครองรักษาและช่วยส่งเสริมผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วให้เกิดจิตศรัทธา ปฎิบัติบ าเพ็ญ • ท าหน้าที่ดลจิตดลใจประคองรักษา สอดส่องดูแลพุทธบุตร สาธุชนคนดีที่ได้รับวิถีธรรมแล้วให้ ด าเนินชีวิตอยู่ในท านองคลองธรรม • ท าหน้าที่ปะสานบุญสัมพันธ์ให้ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว ได้สบโอกาสน าพาสาธุชนคนดีมารับวิถีธรรม อันเป็นการสร้างบุญทานบารมีอย่างวิเศษสุด • ท าหน้าที่เจรจาต่อรองลอมชอมกับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วให้ผ่อนหนักเป็นเบา ให้เขาอโหสิกรรม ให้เขาร่วมช่วยงานธรรมอยู่เบื้องหลัง • ท าหน้าที่เป็นสื่อกลาง ระหว่างผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วกับเจ้ากรรมนายเวร ให้ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว อาศัยบุญบารมีวิเศษสุดครั้งนี้ช าระหนี้อย่างหมดสิ้นต่อกัน • ท าหน้าที่คอยสอดส่องปกป้องผองภัยแก่ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว เพื่อชีวิตจะได้มีโอกาสในการปฏิบัติ บ าเพ็ญต่อไป • ท าหน้าที่ดูแลปู่ย่าตาทวด ฯลฯ และลูกหลาน เหลน โหลน ฯลฯ ของผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว ให้ได้รับ ส่วนบุญส่วนกุศลจากผู้ปฏิบัติบ าเพ็ญผู้นั้นโดยทั่วหน้ากัน • ท าหน้าที่ไถ่โทษไถ่บาปกรรมขอพระแม่องค์ธรรมได้ โปรดนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ได้รับวิถีธรรมที่ พลั้งเผลอผิดพลาดไป • ท าหน้าที่ตามหาผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วที่หลงหายไปจากการปฏิบัติบ าเพ็ญ • ท าหน้าที่ตามหาวิญญาณของผู้ได้รับวิถีธรรมที่ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีเนื่องจากผิดต่อธรรม บัญญัติอย่างยิ่ง จนไม่อาจกลับไปยังพุทธาลัยได้ • ท าหน้าที่ปรกโปรดสามโลกให้ เทพเทวา ผู้คนวิญญาณ ได้รับวิถีธรรมบ าเพ็ญให้ส าเร็จไปด้วยกัน เรียกว่า การ โปรดสามโลกฯลฯ ภาระหน้าที่โปรดสามโลกครั้งนี้พระองค์ทรงรับงานหนักมากทั้งโดยตรงและโดยอ้อม


ตะวันเดือนร่วมส่องสว่ำงกลำงใจ เหตุใดพระภาระศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นี้จึงต้องตกอยู่กับพระพุทธะจี้กงและพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย พึงรู้ว่าพระโองการฟ้าประกาศิตโปรดก าหนดมอบหมายการใด ๆ ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยอัน สมควรซึ่งปุถุชนอย่างเราไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด เพียงแต่พิจารณาจากเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจนคือ ก่อนอุบัติมาใหม่ในพระภาค พระพุทธะจี้กง พระองค์ คือ “พระมหาพรหมราชเจ้าวิเสสสัทธธรรม ญาณ” “หลิงเมี่ยว เทียนจุน” หมายถึง พระมหาพรหมราชเจ้า ผู้สูงส่งด้วยพุทธญาณอันวิเศษสุด ในครั้งบรรพกาล พระสัญลักษณ์เดิมทีของพระองค์ คือ “หั่วจิงจื่อ” ธาตุไฟอันเจิดจรัสชัชวาล ประมาณได้ดังดวงอาทิตย์ พระนามว่าจี้กงมีความหมายว่า พระผู้สงเคราะห์เกื้อกูลทั่วหน้า หรือในความหมายว่า “มหาโพธิสัตว์” ปฏิปทาของพระองค์ในครั้งทรงพระชนม์ชีพอยู่เป็นที่เทิดทูนบูชาหาที่เปรียบมิได้ ในครั้งนั้นพระพุทธจี้กงซึ่งทรงพระภาระพระโพธิสัตว์อยู่ ได้โปรดท่องเที่ยวไปสงเคราะห์ฉุดช่วยผู้ ได้รับทุกข์ภัย นับไม่ถ้วนจนเป็นที่แซ่ซ้องสาธุการ เป็นที่เคารพบูชามาจนทุกวันนี้ พระองค์ทรงรู้ชัดว่ามนุษย์นั้นมีภัยอันใหญ่หลวงอยู่รอบตัวทุกขณะเวลา ด้วยพระมหากรุณาเอื้ออาทรเป็นล้นพ้นจนพระองค์ต้องตั้งปณิธานใหญ่ว่า “ส าหรับในชั้นโลกุตตรเหนือโลก หรือที่เรียกว่า อนุตตรภาวะ คือ การเข้าถึงจิตเดิมแท้ธรรมญาณ เพื่อการหลุดพ้นนั้น จะโปรดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ให้กลับคืนสู่ต้นธาตุต้นธรรมรากฐานเดิม” ซึ่งบัดนี้พระองค์ก็ได้สนองรับพระโองการฟ้าประกาศิตรับพระภาระหน้าที่สูงส่งนั้นตรงตามมหา ปณิธานที่เคยตั้งไว้ พระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย ตามความหมายของพระนาม คือ “จันทรปัญญา” พระสัญลักษณ์เดิมทีของ พระองค์ในครั้ง บรรพกาล คือ “สุ่ยจิงจื่อ” ธาตุน้ า อันชุ่มชื่นเยือกเย็น ปรากฏให้เห็นเช่นจันทรา แจ่มกระ จ่างสว่างใสในเวลากลางคืน ให้ความหมายของการแฝงพระองค์ไว้ในบางโอกาสอันควร และส ารวมระวัง อย่างสุขุมงดงามเมื่อปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เป็นอุทาหรณ์ของจริยลักษณ์อันสูงส่งที่ผู้บ าเพ็ญพึงสังวรณ์ และเจริญรอยตาม พระพุทธะจี้กงสูงส่งด้วยพุทธญาณอันวิเศษสุดดั่งดวงตะวัน อักษรจีน เรียกว่า เอวี้ย อักษรจีน ยื่อ และ เอวี้ย รวมกันเป็นอักษร หมิง แปลว่า สว่างใส ในยุคปัจจุบันที่มีความมืดของอวิชชาตัณหาราคะเข้าครอบง าจิตใจของคนทั้งหลายทั่วไป พุทธ ญาณแต่เดิมมา หรือดวงปัญญาแจ่มกระจ่าง ต่างมืดมัวลง พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ จึงต้อง สนองรับพระโองการฟ้าประกาศิต ส่องแสงสว่างใสให้แก่จิตใจของคนทั้งหลายอย่างใกล้ชิด ในบุญวาระ พิเศษนี้


ในบุญวาระพิเศษนี้ เราจึงมีพระวิสุทธิอาจารย์ถึงสองพระองค์ทรงอุ้มชูดูแลอยู่ทุกขณะ พระองค์หนึ่งประทานพลังชีวิตดั่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เป็นพลานุภาพอันเจิดจ้าที่จะน าพาตนและ คนทั้งหลายให้พ้นความมืดได้ พระองค์หนึ่งประทานความสุขุมคัมภีรภาพดังแสงจันทร์ อันอ่อนโยน เป็นบุญญานุภาพอันงดงามที่ จะน าพาตนและคนทั้งหลายให้เข้าถึงธาตุแท้ธรรมญาณได้ ดังนี้ผู้ศรัทธาจริงใจ จึงซึมซาบและเข้าถึงพระองค์กันได้ทั่วหน้า พุทธรัศมีฉำบฉำยไปทั่ว พุทธานุภาพอันวิเศษล้ าลึกของทั้งสองพระองค์จึงซึมซาบอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของผู้ที่ได้รับวิถี ธรรมแล้วกับคนรอบข้าง โดยเริ่มจากอาณาจักรธรรมไปสู่ครอบครัว จากครอบครัวไปสู่สังคม จากสังคม ไปสู่ประเทศชาติ และกระจายทั่วไปในโลกกว้าง และนั่นคือ โลกเอกภาพอันสันติสุขอย่างแท้จริง กาลนี้ เมื่อเป็นพระโองการฟ้าประกาศิต พระพุทธะ พระโพธิสัตว์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ทั่ว ทุกสากลโลกจึงร่วมกันจรรโลงส่งเสริมน าพาสาธุชนมารับวิถีธรรมอีกทั้งเป็นบุญวาระที่พระองค์จะได้ เสริมสร้างบารมีกันเป็นการใหญ่ พระองค์จึงต่างแสดงบุญญาธิการ ด้วยการปรากฏพระองค์มาชี้น าทั้งในความฝันและในขณะที่ลืม ตามองเห็นกัน พระองค์จึงประสานโอกาสให้ผู้มีบุญสัมพันธ์ต่อกันได้มาพบปะน าพากันหรือด้วยการดลจิตดลใจให้ สาธุชนได้มาพบพุทธสถานและใคร่จะขอรับวิถีธรรมเอง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ผู้มีโอกาสได้รับวิถีธรรมจึงตามติดกันมาไม่ขาดสาย จึงกล่าวได้ว่า ผู้ได้รับวิถีธรรมเป็นผู้ที่เคยมีบุญสัมพันธ์กับพระพุทธะ มีบุญสัมพันธ์กับพระโพธิสัตว์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดมาก่อน งานนี้จึงไม่ใช่ความสามารถ หรืออิทธิพลของใครจะยับยั้งหรือบงการให้เป็นไปได้เลย พระพุทธะจี้กง และพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย ทรงพระมหากรุณาเป็นล้นพ้น มหาปณิธานของทั้งสอง พระองค์ในครั้งนี้ คือ ช่วยพระศรีอริยเมตตรัยแปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นวิสุทธิแดนดิน ช่วยน าพาพุทธบุตร หญิงชายให้กลับคืนไปสู่พระแม่องค์ธรรม การนี้เป็นเรื่องยากยิ่ง เป็นภาระหนักหนา ซึ่งจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคจากผู้คนที่หลงอวิชชา อุปสรรค จากผู้คนที่มีมิจฉาทิฐิ อุปสรรคจากผู้คนที่ยึดติดจริตวิสัยความเคยชินทางโลกไว้อย่างเหนียวแน่น มากมาย นานัปการ พระภาระศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองพระองค์จึงหนักหนาและต้องใช้เวลามากจริง ๆ


พระธรรมจำรย์ พระธรรมจำริณี สนองพระโองกำร หลังจากทิ้งกายสังขารบรรลุไปในสมัยราชวงศ์ซ้องแล้ว พระวิสุทธิอาจารย์จี้กงของเราจึงได้อุบัติมา ใหม่ ในสมัยราชวงศ์ชิง เพื่อเจริญมหาปณิธานสืบสานงานปรกโปรดสามโลกต่อไป ในพระภาคพระธรรม จารย์ “กงฉัง” คู่กับพระโพธิสัตว์ เอวี้ยฮุ่ยในพระภาคพระธรรมจาริณี “จื่อซี่” สนองพระโองการฟ้าแบกรับ พระภาระหน้าที่พระวิสุทธิอาจารย์ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลอีกครั้งหนึ่งในพระชาติปัจจุบัน ด้วยพระอริย ฐานะ พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยานและพระอริยมาตา จงฮว๋า พระภาคจากพระพุทธจี้กง คือ พระธรรมาจารย์ กงฉัง หรือที่สาธุชนเทิดพระคุณว่า ซือจุน พระ ภาคจากพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย คือ พระธรรมจาริณี จื่อซี่ หรือที่สาธุชนเทิดพระคุณว่า ซือหมู่ นั้น ทั้งสอง พระองค์ทรงสืบสานงานปรกโปรดสามโลกจนวาระสุดท้ายทิ้งพระสรีระกายสังขาร แม้ทั้งสองพระภาคเป็นสี่พระองค์จะทรงปรกโปรดเต็มที่ แต่คนบุญที่ยังหลงผิดอยู่ในชาตินี้ก็ยัง เหลืออยู่อีกมากมาย ที่ไม่ได้รับวิถีธรรม เทพเทวาและวิญญาณที่น่าจะมีโอกาสอีกมากมายก็เช่นกัน ด้วยความห่วงใยเสียดายทุกชีวิตจิตญาณ ทั้งสองพระองค์จึงกราบขอประทานพระมหากรุณาธิคุณฯ พระ แม่องค์ ธรรมได้โปรดประทานอนุญาตประสิทธิ์ประสาท พระโองการฟ้าประกาศิต (เทียนมิ่ง) มอบหมาย ภาระศักดิ์สิทธิ์ ให้นักธรรมผู้สูงส่งด้วยคุณธรรมบารมี ท าหน้าที่เป็นร่างแทนพระวิสุทธิอาจารย์ เรียกว่า อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม (เตี่ยน ฉวนซือ) ท าการถ่ายทอดวิถีธรรมสืบต่อไปอย่าได้ขาดสายจนกว่าจะถึง วาระสุดท้ายที่ไม่อาจถ่ายทอดได้อีก สืบทอดพระโองกำรฟ้ำประกำศิต การนี้ ทิพยญาณของพระธรรมจารย์พระธรรมจาริณีจะทรงอาศัยใช้ร่างของอาจารย์ถ่ายทอดเบิก ธรรมท าหน้าที่สนองพระโองการฟ้าประกาศิตต่อไป ฉะนั้น สาธุชน เทพเทวา หรือวิญญาณบุญที่ได้รับ วิถีธรรม จึงล้วนแต่ได้รับจากพระวิสุทธิอาจารย์ พระองค์เดียวกัน มิใช่ได้รับจากบุคคลแตกต่างกันออกไป ทุกคนจึงเป็นศิษย์ของพระพุทธะจี้กงหรือซือจุน (พระธรรมจารย์) เป็นศิษย์ของพระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย (จันทรปัญญา) หรือซือหมู่ (พระธรรมจาริณี) พระองค์เดียวกัน เป็นชีพจรสืบสายพงศาธรรมเดียวกันมาตั้งแต่พระอริยเจ้าฝูซี จนถึงบัดนี้เป็นเวลากว่าห้าพันปี พิธีการถ่ายทอดวิถีธรรมจึงด าเนินไปภายใต้บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์วิเศษยิ่ง ไม่มีอ านาจไสยศาสตร์ลี้ลับ ไม่มีเวทมนต์คาถาอาคมของขลัง


ไม่มีบุคคลเป็นนายอยู่เบื้องหลังเบื้องหน้า มีแต่พุทธานุภาพจากมหากรุณาธิคุณของพระแม่องค์ธรรมของพระวิสุทธิอาจารย์ พระพุทธะ พระ โพธิสัตว์มากมาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีแต่พุทธานุภาพจากจิตใจใสสะอาดของนักธรรมรุ่นพี่ที่ปรารถนาดี อยากให้ใคร ๆ ได้ขึ้นฝั่งธรรม พิธีถ่ำยทอดวิถีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ หลังจากพิธีถวายผลไม้อย่างสง่างามส ารวมอันเป็นการแสดงความเคารพบุชา ส านึกในพระมหา กรุณาธิคุณจากพระแม่องค์ธรรมเป็นล้นพ้นแล้ว อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพร้อมด้วยเหล่านักธรรม จึง ร่วมกันกราบอาราธนาหมื่นพันพระพุทธะพระโพธิสัตว์ กราบอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกฝ่ายในสากลโลกได้ โปรดเสด็จมาสาธุการ ได้โปรดเสด็จมาปกป้องผองภัย เพื่อให้ชั่วขณะเวลาอันส าคัญยิ่งในชีวิตของผู้ขอรับ วิถีธรรมด าเนินไปอย่างราบรื่นเรียบร้อย อย่าได้มีเจ้ากรรมนายเวรใด ๆ มาแผ้วพานขัดขวาง ต่อจากนั้นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมจะอ่านถวายใบค าขอประทานอนุญาตถวายรายชื่อผู้จะรับวิถี ธรรม ซึ่งในใบค าขอนั้นจะต้องจารึก วันเดือนปี เวลานาที สถานที่ จารึกชื่อสกุลของผู้น าพารับรอง และ จารึกชื่อแซ่สกุลของผู้ขอรับวิถีธรรมซึ่งได้รับการน าพารับรองให้ได้เข้ามาขอรับวิถีธรรมอย่างชัดเจนถูกต้อง สุดท้ายคือจารึกพระนามพระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ ซึ่งตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์คือ พระวิสุทธิอาจารย์ผู้อุ้มชูดูแลชีวิตจิตญาณของเรา ในใบค าขอนั้นยังจารึกข้อความส าคัญยิ่งนักคือ พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ ยินดีรับรองว่าผู้เข้าขอรับวิถีธรรมนี้ จะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นจากความลุ่ม หลงในโลกีย์วิสัย ขอพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานหนทางสว่าง เพื่อเขาจะได้กลับคืนเบื้องบนไปตาม บุญกุศลที่เขาจะได้ปฏิบัติบ าเพ็ญต่อจากนี้ด้วยเถิด


พระอำจำรย์ชั่วชีวิต การนี้ ถ้าแม้พระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงโปรดกรุณารับรอง โลกีย์ชนผู้มีบาปล้นท้นตัวทั้งหลาย จะเอาคุณสมบัติอะไรมาขอถวายชื่อไว้ยังเบื้องบน ถ้าแม้ทั้งสอง พระแม่ ไม่ทรงโปรดกรุณาถ่ายทอดวิถีธรรมให้ โลกีย์ชนผู้มากด้วยกิเลสตัณหาทั้งหลายจะเอาคุณสมบัติอะไรมารับรู้จุดสถิตดวงธรรมญาณ ชีวิต สว่างอันเป็นต้นธาตุต้นธรรมของตน อันเป็นจุดหลุดพ้นในการบ าเพ็ญของตน โลกีย์ชนทั้งหลายจะเอาคุณสมบัติอะไร มาขอต่อรองผ่อนผันกับเจ้าหนี้นายเวรที่จ้องจะขัดขวางการ บ าเพ็ญและจ้องจะล้างแค้นท าร้ายเราอยู่ทุกขณะเวลา โลกีย์ชนทั้งหลายจะเอาคุณสมบัติอะไรมาประคองรักษาตนจนบ าเพ็ญให้ส าเร็จได้ ฯลฯ พระวิสุทธิ อาจารย์ของเราได้โปรดเสมอว่า “เมื่อเป็นพระอาจารย์ของเจ้าวันใด ก็จะต้องเป็นพ่อตลอดไปชั่วชีวิต” พระมหากรุณาธิคุณนี้ เราจะเอาอะไรมาตอบแทนพระองค์ได้ ความสนิทชิดเชื้อเอื้ออาทรอันวิเศษยิ่งจากพระอาจารย์ได้ก่อเกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยให้แก่ ศิษย์ พุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ไม่เคยห่างไกลไปจากศิษย์ได้ก่อเกิดความมุ่งมั่นหาญกล้า ก่อเกิด จิตส านึกดีมีความรักกรุณายิ่งใหญ่ให้แก่ศิษย์ ศิษย์ที่มีความศรัทธาจริงใจต่างรู้ชัดสัมผัสได้ จึงต่างได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ จึงต่างตั้งใจเจริญปณิธาน ความดีกันเต็มที่ มุ่งมั่นปฏิบัติบ าเพ็ญกันเรื่อยไปจนกว่าจะบรรลุ วิถีธรรมจริง หลักสัจธรรมจริง พระโองกำรฟ้ำประกำศิตจริง ด้วยพระมหากรุณาธิคุณนี้ ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีที่วิถีอนุตตรธรรม ได้โปรดถ่ายทอดครั้งใหญ่ ผู้ บ าเพ็ญดีจึงต่างส าเร็จเป็นเซียนเป็นพระอริยะเป็นพระโพธิสัตว์ไปแล้วนับร้อยนับพัน บุญวาระนี้ ผู้ที่มีความส าคัญยิ่งต่อชีวิตของผู้รับวิถีธรรมอีกสองคนคือ ผู้น าพา – รับรอง (อิ๋นเป่า ซือ) ผู้น าพาใครให้ได้รับวิถีธรรม คือ ผู้ปรารถนาดีอยากให้เขามีชีวิตสว่างรู้หนทางธรรม ส่วนผู้ท าหน้าที่รับรอง คือ ผู้ที่ได้รับวิถีธรรมมาก่อนและได้รู้ชัดแล้วว่าวิถีอนุตตรธรรมที่เบื้องบนได้ โปรดถ่ายทอดเป็นการเฉพาะในครั้งนี้เป็นวิถีธรรมจริง เป็นสัจธรรมจริง และเป็นพระโองการฟ้าประกาศิต จริง


ทั้งผู้น าพาและผู้รับรองต่างยินดีใช้ชีวิตของตนมายืนยันรับรองว่าหากน าเขาผู้ใดหลงผิดไปในมิจฉา ศาสตร์ ลัทธิมาร หรือหวังหลอกลวงเงินทอง ผู้น าพารับรองทั้งสองยินดีรับโทษจากฟ้า หากผู้น าพารับรองไม่เข้าใจ ไม่รู้ชัด ไม่เคยสัมผัสได้ในคุณวิเศษแห่งวิถีธรรม ใครเลยจะยินดีทุ่มเท ชีวิตจิตใจให้ใคร ๆ ได้ถึงเพียงนี้ ส าหรับผู้เข้าขอรับวิถีธรรมเองก็จะต้องแสดงความจริงใจว่าตนมิใช่คนชั่วช้าสามานย์และยินดีจะ ปรับปรุงแก้ไขความผิดพลาดของตนที่แล้วมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ อีกทั้งยินดีเจริญปณิธานเพื่อชีวิตสว่าง เพื่อหนทางหลุดพ้นของตนต่อไป หนึ่งนิ้วจุดเบิกจำกพระวิสุทธิอำจำรย์สะเทือนเลือนลั่น จากนั้น พระวิสุทธิญาณของพระธรรมจารย์ในร่างของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็โปรดประทาน ไตรรัตน์..... (ศึกษารายละเอียดไดด้จากหนังสือไตรรัตน์ขั้นพื้นฐาน หนังสือไตรรัตน์ เล่มที่ 1 และหนังสือ หนทางเบื้องต้นสู่สัมมาปัญญา) ณ บัดนั้นเอง จุดสถิตชีวิตธรรมญาณที่ผู้บ าเพ็ญจริงต่างเพียรหากันมาตั้งแต่โบราณกาล สาธุชนคน บุญในบุญวาระนี้ จึงต่างน้อมรับกันได้ในฉับพลันจากลัดนิ้วมือเดียวของพระวิสุทธิอาจารย์ ลัดนิ้วมือเดียวจากพระอาจารย์ขณะนั้นสะเทือนสะท้านไปถึงสามโลก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาพากันสาธุการ ญาติธรรมน้อยใหญ่ต่างอนุโมทนายินดีด้วย วิญญาณบรรรพบุรุษของผู้ได้รับวิถีธรรมต่างปลื้มปีติตื้นตันที่ได้อาศัยใบบุญ แต่ในขณะเดียวกัน ในอีกมิติหนึ่ง วิญญาณเจ้าหนี้นายเวรของผู้ขอรับวิถีธรรมต่างเรียกร้องขอ ความเป็นธรรมกันจ้าละหวั่นสะเทือนเลือนลั่น ทิพย์ญาณของพระอาจารย์ จะต้องต่อรองร้องขอเขาหนักตั้งแต่บัดนั้น เพื่อชลอการทวงถามขอ เวลาให้ศิษย์ทั้งหลาย ได้มีโอกาสปฏิบัติบ าเพ็ญสร้างบุญกุศลอุทิศไปให้ หรือขอต่อรองผ่อนหนักเป็นเบาหรือขอให้อโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกัน การต่อรองร้องขอกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมดนั้น พระอาจารย์ฝากความหวังไว้กับการที่ผู้เข้าขอรับวิถีธรรมจะเป็น ผู้รู้ผู้ตื่นจากความลุ่มหลงใน โลกีย์วิสัย ให้ได้จริง ๆ ต่อไปอย่างที่พระองค์ได้โปรดรับรองไว้ก่อนแล้วนั้น


เปิดประตูปัญญำ ในขณะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตธรรมญาณให้แก่เพศชาย พระอาจารย์จึงโปรดประทานธรรม ประกาศิตว่า “หนึ่งนิ้วตรงกลางปัญญา หมื่นแปดร้อยปีโลกีย์หลุดพ้น” (อี้จื่อจงเอียงฮุ่ย วั่นปาเต๋อเชาหยัน) พระอาจารย์โปรดแสดงธรรมประกาศิตขอให้เพศชายได้เข้าสู่ภาวะของปัญญาญาณอันสูงส่งล้ าเลิศ ประเสริฐยิ่งในตนทันที ขอให้เกิดสติปัญญายับยั้งชั่งใจ อย่าได้ทะนงหลงผิดอีก ทั้งขอให้ได้เจริญดวงธรรม ปัญญาพาจิตให้หลุดพ้นให้ได้ เพราะการบ าเพ็ญครั้งนี้ ผลส าเร็จคือ จะได้เสวยสุขพ้นโลกีย์วิสัย มิต้องเวียน เกิดเวียนตายรับทุกข์ต่อไปถึงหนึ่งหมื่นแปดร้อยปีทีเดียว ในขณะถ่ายทอดจุดสถิตชีวิตธรรมญาณให้แก่เพศหญิงพระอาจารย์ได้โปรดประทานธรรม ประกาศิตว่า “กลางดงไผ่ได้หนึ่งจุด รู้หลักชีวิตตนพ้นภัย” “หลิวจงโซ่ว อี้เตี่ยน จือจู่เป่า อู๋เอี้ยง” พระอาจารย์ขอให้เพศหญิงรู้หลักชีวิตจริงให้เข้าถึงธาตุแท้ธรรมญาณตนให้มั่นคงโดยไว อย่าได้มี อารมณ์อ่อนไหวเหมือนไผ่ลู่ลม เมื่อบ าเพ็ญจนรู้ธาตุแท้ธรรมญาณอันเป็นหลักชีวิตของตนแล้วจนสุขุม มั่นคง ก็จะสามารถน าจิตตนไปสู่หนทางตรงไม่สับสนวุ่นวายและในที่สุดจิตก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิดต่อไป ธรรมประกาศิตค าว่า “ตรงกลางปัญญาณ” ส าหรับเพศชาย และ “กลางดงไผ่......รู้หลักชีวิต” ส าหรับเพศหญิง ล้วนหมายถึงจุดพุทธจิตธรรมญาณ คือชีวิตสว่างแต่เดิมทีที่สถิตอยู่ ณ จุดนี้ ซึ่งขณะ ถ่ายทอดนั้นทิพยญาณของพระพุทธะจี้กงได้ใช้นิ้วกลางของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมปรากฏให้เห็น เป็น รูปธรรมแทนกุญแจทองของเบื้องบน เปิดประตูจิตญาณทวารให้เช่นเดียวกัน


เช้ำได้รับวิถีธรรม เย็นตำยไปไม่ห่วงเลย เมื่อชีวิตสว่างแต่เดิมทีมีโอกาสได้ฟื้นฟูและมีหนทางกลับคืนไปสู่สภาวะเดิมทีได้ การนี้จึงได้ชื่อว่า “ได้รับวิถีธรรม” เมื่อจิตส ารวมบ าเพ็ญอยู่ในวิถีธรรมเรื่อยไป จนในที่สุดจิตกลับคืนไปสู่สุญตาภาวะหรืออนุตต รภาวะ การได้รับวิถีธรรมจึงได้ชื่อว่า ได้รับ อนุตตรวิถี กลับคืนไปสู่ต้นก าเนิดดั้งเดิมแท้ที่มาของธรรมญาณ ฉะนั้น ส าหรับผู้บ าเพ็ญดีที่สูงส่งด้วยศีล, สมาธิ, ปัญญามาแล้ว ขณะได้รับถ่ายทอดวิถีธรรม ทันที ที่พุทธจิตเข้าสู่แระแสธรรมตรงต่ออนุตตรพระแม่องค์ธรรม บางคนจิตจะสว่างวาบฉันพลันจะบังเกิด ความรู้สึกเยือกเย็นเห็นสิ่งรอบตัวสบายตา แล้วจึงตามมาด้วยความรู้สึกปีติตื้นตันท่วมท้นรู้ชัดต่อสัจธรรมที่ ได้รับทันที คนระดับนี้มิต้องรอให้อธิบายก็รู้ได้ในธาตุแท้ธรรมญาณของตนเองทันที ผู้มีศีล, สมาธิ, ปัญญา อีกระดับหนึ่งรองลงมา การได้รับวิถีธรรมเหมือนได้จุดเพลิงไฟของชีวิตจิต ญาณให้เจิดจรัสในบัดดล เมื่อได้สัมผัสรับรู้ว่าธาตุแท้ธรรมญาณของตนดีงามสูงส่งถึงปานนั้นก็จะบังเกิดปณิธาน เกิดความ ตั้งใจอยากจะประคองพาจิตญาณของตนให้พ้นผิด พ้นภัย พ้นเวียนว่ายในวัฏสงสารให้ได้ ส าหรับสาธุชนคนดี พอได้รับวิถีธรรม จิตก็เบิกบานแจ่มใส บ้างยินดี บ้างปลื้มใจ บ้างอยากช่วยใคร ๆ ให้ได้รับวิถีธรรมด้วยโดยเร็ว ส่วนคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจหลงผิดติดเหล้าติดยาติดอบายมุข..... เมื่อได้รับวิถีธรรม ก็จะบังเกิดความ ละอายอยากกลับตัว เปลี่ยนแปลงแก้ไข ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน เมื่อท่านจอมปราชญ์ขงจื้อได้รู้ชัดในธาตุแท้ ธรรมญาณของพระองค์เองแล้วจึงได้อุทานว่า “เช้ำได้รับวิถีธรรม ตกเย็นจะตำยไม่ห่วงเลย”


คนได้รับควำมเป็นหนึ่งจึงเป็นอริยะ ธรรมญาณของคนเราแบ่งภาคมาจากพระแม่องค์ธรรม ด้วยคุณสมบัติที่สว่างใสอยู่ในตัวอันเป็นวิ สุทธิภาวะ มีความว่างเปล่าอยู่ในตัวอันเป็นสุญญตาภาวะ มีความวิเศษแยบยลอยู่ในตัวอันเป็นอนุตตรภาวะ คุณสมบัติเหล่านี้ร่วมอยู่ในธาตุแท้ของธรรมญาณอันเป็นปกติหนึ่งเดียวอยู่อย่างนั้นเอง ต่อมาบัดนี้ ธาตุแท้เดิมทีนั้นกลับกลายเป็นหลายจิตหลายใจหลายอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ฉะนั้นการได้รับวิถีธรรมจึง เท่ากับฟื้นฟู้ภาวะดีงามความเป็นปกติหนึ่งเดียวของจิต การได้รับวิถีธรรมจึงเรียกได้ว่าเป็นการเบิกวิถีแห่งจิต เป็นการน าทางให้จิตกลับคืนไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคือ ธาตุแท้ธรรมญาณของชีวิต เมื่อจิตได้ความเป็นหนึ่งกลับคืนมา จิตจะเข้าถึงและรู้แจ้ง แทงตลอดต่อสภาวะธรรมทั้งปวง จิตก็จะเป็นอิสระจากโลกีย์วิสัย ดังนั้น ส าหรับผู้ที่สูงส่งด้วยคุณบารมี ด้วยการปฏิบัติบ าเพ็ญดีอยู่เป็นเนืองนิตย์ เช่นท่านจอม ปราชญ์ขงจื้อ เมื่อจิตได้รับรู้ ความเป็นหนึ่งในตนอันเป็นภาคที่ได้มาจากเอกองค์ธรรมมารดา ท่านจึงบังเกิด ความปีติท่วมท้นจนถึงกับอุทานว่า “เช้าได้รับวิถีธรรม ตกเย็นจะตายไม่ห่วงเลย” สรรพสิ่งในมหาจักรวาลล้วนก่อเกิดจาก หนึ่ง เมื่อรู้ความเป็นหนึ่งในตนจึงรู้สัจภาวะของสรรพสิ่ง เมื่อรู้สัจภาวะของสรรพสิ่งจึงเข้าถึงรู้แจ้งแทงตลอดต่อสัจธรรม วิถีอนุตตรธรรม จึงได้ชื่ออีกว่า อี๋ก้วนเต้า คือ วิถีธรรมที่สืบสายเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือธรรมปฏิเวธ อันลุล่วงผลปฏิบัติได้หรือวิถีธรรมที่รู้แจ้งแทงตลอดนั่นเอง ส าหรับสาธุชนคนดีทั้งหลายเมื่อได้รับวิถีธรรมพุทธะภาวะของตนจะส าแดงคุณ เมื่อรู้ธาตุแท้ธรรม ญาณความเป็นหนึ่งในตนซึ่งได้แบ่งภาคมาจาก เอกองค์ธรรมมารดา จึงได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นชีพจรสายเดียวกัน เป็นชีวิตที่ก่อ เกิดจากหนึ่งเดียว จึงได้รู้ว่าภาวะจิตใจของทุกชีวิต ทั้งชั่วและดีล้วนมีอิทธิพลที่ให้คุณและให้โทษเนื่องกันทั้งหมด


สัจธรรมของอินหยำงพลังจิต ชีวิตจิตญาณที่อาศัยอยู่ในกายสังขารทางโลกล้วนมีพลังอินและพลังหยางประกอบอยู่คู่กัน พลังห ยางมีภาวะปลอดโปร่ง แจ่มใส เบาสบาย เป็นพลานุภาพที่สามารถเสริมส่งการก่อเกิดสร้างสรรค์สรรพชีวิต เป็นพลานุภาพที่สามารถเสริมส่งสร้างสรรค์สรรพสิ่งให้สมบูรณ์งดงาม ให้ชีวิตและสรรพสิ่งก่อ เกิดขึ้น ด ารงอยู่และสลายตัวไปอย่างถูกต้องตามครรลองของธรรมชาติได้อย่างเป็นปกติ พลังหยางของชีวิตจิตญาณจึงเป็นพลานุภาพอันส าคัญยิ่งที่ร่วมอยู่ในกระบวนการก่อเกิด สร้างสรรค์ของธรรมชาติ พลังหยางของชีวิตจิตญาณจึงเป็นพลานุภาพที่สามารถจรรโลงสิ่งที่ดีงามทั้งหลายที่มีอยู่ให้ปลอด โปร่งแจ่มใส เบาสบายและเจริญไกล พลังหยางของชีวิตจิตญาณจึงแปรปรับสรรพชีวิตและสรรพสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งผิดไปจากความเป็น ปกติของธรรมชาติให้กลับคืนมาเป็นความปกติได้ ดังเราจะเห็นได้ว่า ผู้บ าเพ็ญที่เข้าถึงชีวิตสว่างของตนอย่างแท้จริงนั้น พลังหยางของเขาจะสมบูรณ์ มีพลานุภาพ ปลอดโปร่ง แจ่มใส เบาสบาย มีพลังของการก่อเกิดสร้างสรรค์อย่างงดงาม สม่ าเสมอ จิตใจของเขาจึงสงบสุขมีความรัก ความกรุณาปราณี โอบอ้อมอารี มีความอุดมสมบูรณ์ สุขุม คัมภีรภาพคงที่เป็นเนืองนิตย์ ความคิดของเขาจะประณีตลึกซึ้งเป็นปัญญาญาณ อันบริสุทธิ์ยิ่งนัก ร่างกายของเขาจะเป็นปกติสุข ชะตาชีวิตจะราบรื่นไม่มีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง เบียดเบียนท าลาย หน้าตาผิวพรรณจะผ่องใสมีชีวิตชีวา มีราศีสดชื่น อายุจะยืนยาว พลานุภาพของพลังหยางนั้นยังเป็นผลปรกแผ่ซ่านซึมท าให้ผู้คนและสิ่งต่าง ๆ โดยรอบพลอยสดชื่น ชุ่มฉ่ ายั่งยืนไปด้วย แม้เขาจะปลูกพืชพันธุ์ไม้ พืชพันธุ์ไม้ก็ผลิดอกออกผลสดสล้าง ฉะนั้น ถ้าชีวิตจิตญาณของคนที่มีพลังหยางสมบูรณ์กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ ณ ที่ใด อาณาบริเวณ หรือปริมณฑล นั้นก็จะเป็นปกติสุข สงบ สดชื่น แจ่มใส ถ้าชีวิตจิตญาณของคนที่มีพลังหยางสมบูรณ์รวมตัวกันอยู่เต็มหมู่บ้าน เต็มจังหวัด เต็มเมือง... เต็ม โลก... แน่นอน หมู่บ้าน จังหวัด บ้านเมือง และทั่วโลกก็จะมีแต่ความสงบสุข สดชื่น แจ่มใส สะอาดสะอ้าน ร่มเย็นสบายน่าอยู่ ในทางตรงกันข้าม หากชีวิตจิตญาณหนักหน่วงมืดทึบเต็มไปด้วยพลังอิน ชีวิตจิตใจของเขาผู้นั้นก็จะ อับเฉา เศร้าซึม หรือคึกคะนอง วิปริต ผิดปกติ ประพฤติผิดท านองคลองธรรม โหดเหี้ยมอ ามหิตคิดจะท า แต่ความชั่วเสียมากกว่า ถ้าชีวิตจิตญาณของคนที่มีพลังอินหนักหน่วงรวมตัวกันมาก ๆ โลกก็จะตกวิบาก ลมฝนจะ แปรปรวน ข้าวยากหมากแพงเกิดเหตุอาเพท เดือดร้อนวุ่นวาย อุบัติเหตุมากมาย เกิดภัยสงครามรบ พุ่งอยู่


ไม่ขาด จึงกล่าวได้ว่าการได้รับวิถีธรรมเป็นบันไดที่ท าให้คนเข้าถึงวิถีจิตชีวิตสว่างของตน เป็นผลให้เพิ่มพูน พลังหยาง ก่อเกิดพลานุภาพอันทรงคุณประโยชน์แก่ชีวิตตน และคนทั้งหลายไม่อาจประมาณ มหำปณิธำนของพระศรีอำริย์ พระศรีอริยเมตตรัยทรงมีมหาปณิธานจะแปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นดินแดนบริสุทธิ์ผุดผ่องดัง ดอกบัวบาน ให้ทุกคนมีจิตใจใสสะอาดเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นมหาปณิธานอันเหลือเชื่อ ปัจจุบันประชากรของโลกมีมากกว่าหกพันล้านคนแล้ว(6,000,000,000) และก าลังทวีจ านวนมาก ขึ้นอย่างรวดเร็ว พลโลกจ านวนมหาศาลขนาดนี้ แต่ละคน ต่างชีวิตต่างความคิดจิตใจ ต่างอนุสัยสันดาน ต่างเวร ต่างกรรม ต่างสภาพ ความเป็นอยู่ ต่างอารมณ์ความพอใจ ต่างแบบอย่างในการด ารงชีวิต ตัวใครตัวมัน เช่นนี้จะให้ทุกคนดีเหมือนกันได้อย่างไร นอกเสียจากว่าทุกคนจะได้เข้าถึงธาตุแท้ธรรมญาณอันมาจาก เอกองค์ธรรมมารดาหนึ่งเดียวกัน ธาตุแท้ธรรมญาณกลับคืนไปสู่ภาวะเดิมที่หนึ่งเดียวกัน พฤติกรรมที่เกิดจากอารมณ์ ความคิด จิตใจ เป็นเพียงเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เหมือนสีที่ฉาบ ทาย้อมไว้ มิใช่ธาตุแท้ธรรมญาณ ท่านปราชญ์เมิ่งจื้อจึงได้แสดงสัจธรรมว่า ด้วยคุณสมบัติของคนไว้ว่า “เดิมทีของชีวิต ดวงจิตนั้นดีงาม” ความผิดบาปหยาบช้าทั้งหลายช าระขัดเกลาให้หมดไปได้ด้วยจิตส านึกดีของตนเองทุกคน บัดนี้เป็น มหาบุญวาระที่พระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานวิถีธรรมเป็นทางเข้าถึงจิตเดิมแท้ธรรมญาณเข้าถึงเอก องค์ธรรมมารดาหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อพุทธภาวะหรือดวงจิตชีวิตสว่างอันเปรียบได้ ดั่งประทีปคบไฟของใครคนหนึ่งจ ารัสแสง ส าแดงคุณก็จะส่งผลเป็นคุณต่อไปถึงอีกหลายคน เมื่อพุทธภาวะของคนร้อยคน พันคน หมื่นคน แสนคน ส าแดงคุณก็จะส่งผลเป็นคุณ เนื่องกันไปอีก ไม่รู้จบดังค าที่ว่า


หนึ่งคบไฟ กระจำยจุด มิหยุดยั้ง จะสว่ำง ทั้งโลกำ มิช้ำนั่น ทุกคบไฟ ให้แสงส่อง ต้องแก่กัน มินำนพลัน ชวำลใส ใจทุกดวง ฟื้นฟูจิตเดิมแท้ พระศรีอริยเมตตรัย พระพุทธะ พระอริยเจ้าทั้งหลายทรงอาจหาญแสดงมหาปณิธานจะแปรเปลี่ยน โลกโลกีย์ หรือสหาโลกธาตุ ซัวผอซื่อเจี้ย อันมีทุกข์มาก ยากจะทนได้ให้กลายเป็นดินแดนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังดอกบัวบานให้ ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในนิเวศน์ อุทยานของพระศรีอาริย์ หมีเล่อเจียเอวี๋ยน ก็ เพราะทรงตระหนักดีต่อสัจธรรมความเป็นจริงว่า “เดิมทีของชีวิต ดวงจิตนั้นดีงาม” หลังจากได้รับวิถีธรรมแล้ว เมื่อบุคคลผู้นั้นได้ส านึกว่า ทุกชีวิตพึงด าเนินไปตามแนวทางของธรรมะ ทิฐิตัณหา อัตตาตัวตนของผู้นั้นจึงได้ลดลง ความโลภ โกรธ หลง จึงค่อยเบาบาง ต่อจากนั้นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ความเอื้ออาทร ต่อทุกชีวิตจึงค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ นั่นแสดงให้ เห็นว่าเขาผู้นั้นก าลังเริ่มเดินเข้าสู่แนวทางของการอยู่ร่วมกันกับใคร ๆ อย่างสันติสุข และก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการอยู่ร่วมกันกับใคร ๆ อย่างสมัครสมานฉันพี่น้อง ดังปริศนาธรรมค าว่า “อี๋ซื่อถงเหยิน” “สายตาหนึ่งเดียวกันจากพุทธจิตธรรมญาณมองดูทุกชีวิตเป็นจิตเดิมแท้” เป็นน้องพี่ร่วมธรรม อุทร ต้นธาตุต้นธรรมเดียวกัน ซึ่งพึงเกื้อกูลการุณแก่กันบนพื้นฐานเดียวกันโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่เลือกที่ รักมักที่ชังซึ่งกันและกัน สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อผู้สูงส่งด้วยจริยธรรมอันงดงามทั้งกายวาจาใจ ได้โปรดเพียรพยายามอยู่ชั่ว ชีวิต เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขด้วยจิตส านึกของผู้มีธรรมะด้วยสายตาหนึ่งเดียวกันจากพุทธจิต ธรรมญาณ แต่ในยุคสมัยนั้น วิถีอนุตตตรธรรมยังมิได้รับโปรดฯ จากเบื้องบนให้ถ่ายทอดทั่วไป ความเพียร พยายามของพระองค์จึงสัมฤทธิ์ผลได้ในขอบเขตจ ากัดเท่านั้น


จริยำน ำมำซึ่งเอกภำพ มหาปณิธานของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อในอันที่จะฟื้นฟูพุทธภาวะจิตส านึกของชาวโลกนั้น เราจะ เห็นได้จากธรรมวจนะของพระองค์ท่านในบท “หลี่อวิ้นต้าถงเพียน” “จริยาน ามาซึ่งเอกภาพ” อันเป็นธรรม วจนะอมตะเรื่อยมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว คือ ต้าเต้าจือสิงเอี่ย เทียนเซี่ยอุ๋ยกง วิถีธรรมอันยิ่งใหญ่ เมื่อแพร่หลายไปถึงทุกคน โลกก็จะเป็นส่วนรวม ปราศจากการกดขี่ข่มเหงเห็น แก่ตัว จะไม่มัวคิดถึงแต่ตนเองเป็นส าคัญ เสวี่ยนเสียนอวี่เหนิง เจี่ยงซิ่นซิวมู่ บัณฑิตคนดีผู้มีคุณธรรมและความสามารถ จะยึดหลักสัตย์ซี่อ ส ารวมตน จะเป็นคนสร้างสรรค์ ความเสมอภาคสมานฉันท์แก่ปวงชนถ้วนหน้ากัน สื่อเหยินปู้ตู๋ชินฉีชิน ปู้ตู๋จื่อฉีจื่อ ทุกคนจะมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีย์ จึงไม่เพียงแต่จะญาติดีกับญาติของตน ไม่เพียงเลี้ยง ดูแต่บุตรของตน แต่ละเห็นทุกคนเป็นญาติเป็นบุตร สือเหล่าอิ่วสั่วจง อิ้วอิ่วสัวจั่ง ให้คนแก่เฒ่าได้สุขสบายนอนตายตาหลับ คนวัยสมบูรณ์ได้สร้างคุณประโยชน์เต็มที่ ให้ผู้เยาว์ได้รับ การเลี้ยงดูกล่อมเกลาเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ที่ดีงาม กวนกว่ากูตู๋เฝ่ยจี๋เจ่อ เจียอิ่วสัวเอี่ยง พ่อหม้ายแม่หม้ายหรือคนโสดโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพาอาศัยหรือคนพิการ เจ็บป่วยจะต้องได้รับการ เอาใจใส่เลี้ยงดูรักษา ไม่ปล่อยให้อนาถาเคว้งคว้าง หนันอิ่วเฟิน, หน-วี่ อิ่วกุย ชายและหญิงจะแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบต่อกัน ชายจะเป็นหลักในเรื่องนอกบ้าน หญิงจะเป็นหลัก เรื่องในบ้านต่างจะเคารพยกย่องซึ่งกันและกัน ฮว่าอู้ฉีชี่อวี๋ตี้เอี่ย ปู๋ปี้ฉังอวี๋จี่ ทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ วางไว้ได้ในทุกสถานอย่างกับมากมายไร้ค่า ไม่ตระหนี่หวงแหน เมื่อไม่โลภมาก อยากได้ ไม่เห็นแก่ตัว จึงไม่ต้องเก็บซ่อน ครอบครองเป็นของเฉพาะตัวเอง ฮว่าอู้ฉีปู้ชูชอวี๋เซินเอี่ย ปู๋ปี้อุ้ยจี่ ไม่ต้องใช้ก าลังเพื่อท าร้าย ท าลายหรือช่วงชิง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต่างมีไว้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน จึง มิต้องแข่งขันกันหนักหนาเพื่อหาเอาไว้ให้ตนเอง ซื่อกู้โหมวปี้เอ๋อปู้ซิงเต้าเชี่ยล่วนเจ๋ย เอ๋อปู๋จั้ว ดังนั้น เล่ห์เหลี่ยมกลโกงหรือสิ่งแอบแฝงก็จะไม่เกิดขึ้น โจรผู้ร้ายหรือทุจริตมิจฉาชีพก็จะไม่มีใครท า ไม่ก่อเกิดความระแวงหวาดหวั่นให้แก่กัน กู้ไอวู้ฮู่เอ๋อปู๋ปี้ ซื่ออุ้ยต้าถง


เมื่อทุกคนได้รับวิถีธรรมแล้วและเกิดจิตส านึก จึงต่างรู้บุญสัมพันธ์และหน้าที่ที่พึงมีต่อกัน ประตู บ้านจึงไม่ต้องปิด ดังนี้ที่เรียกว่ามหาเอกภาพ ธรรมวจนะอันเป็นอมตะบทนี้ซึมซาบอยู่ในหัวใจของชาวจีนมานานนักหนา เป็นความฝันอันงดงาม เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน เป็นความหวังอันสูงส่งของคนรักสันติสุขทุกคน ธรรมวจนะอันเป็นอมตะบทนี้ยังเปรียบเสมือนประภาคารน าล่องส่องแสงสว่างและให้พลังประจุเต็ม เปี่ยมอันยาวนานแด่ผู้ที่ยินดีจะอุทิศตนสืบต่ออุดมการณ์นี้ให้บรรลุสู่เป้าหมายเป็นจริง โดยเฉพาะส าหรับ ชาวอนุตตรธรรมจ านวนหนึ่งซึ่งก าลังใช้ความเพียรพยายามเพื่อสร้างสรรค์จรรโลงความดีนี้กันอยู่อย่าง จริงจังเสมอมา สืบทอดไฟชีวิต พระพุทธะพระอริยเจ้าตั้งแต่บรรพกาลมาล้วนภาวนาให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์พ้นภัย ให้โลกที่ เป็นเพลิงไฟกลายเป็น วิสุทธิคาม ดินแดนอันบริสุทธิ์สะอาดสดใส แต่การสร้างสรรค์โลกเอกภาพมิใช่เรื่องของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายฝ่ายเดียว ชาวโลกผู้มี จิตส านึกดีงามสูงส่งล้วนจะถือเป็นความรับผิดชอบของตน ด้วยจิตส านึกดีงามนั้น เราจึงได้เห็นบุคคลที่น่าเคารพชื่นชมมากมายในหน่วยงาน ในวงการต่าง ๆ ที่ อุทิศกาย ใจ กันจริง ๆ ท าทุกสิ่งให้ทุกอย่าง เพื่องานสังคมสงเคราะห์อย่างเต็มก าลัง แม้การสงเคราะห์นั้น ๆ จะให้ผลดีแก่ผู้ได้รับชั่วขณะ เฉพาะหน้าหรือชั่วระยะเวลาไม่นาน เช่น การแจกจ่ายเสื้อผ้า อาหาร ยา รักษาโรค.... เหมือนการให้อาศัยเรือแพ แต่ไม่ได้ให้ถ่อพาย ทุกคนก็ยินดีจะให้กันเต็มที่ ส าหรับผู้เข้าใจในชีวิตสว่างแห่งตนและของทุกคน นั่นคือผู้เข้าถึงและ.ซาบซึ้งในวิถีอนุตตรธรรม อย่างแท้จริงแล้ว บุคคลเหล่านี้มีอยู่นับไม่ถ้วนในทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกมุมโลก ต่างก าลังเจริญ รอยตามพระบาทพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ยอมเหนื่อยยากล าบากทั้งกายใจ แม้จะถูกขัดขวางบั่น ทอนด้วยอุปสรรคจากผู้ไม่รู้แท้เรื่อยมาก็ยังคง ก้มหน้าก้มตาสร้างสรรค์ต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายให้โลกเกิด สันติสุขให้ทุกชีวิตน าพาตนให้พ้นทุกข์ พ้นภัย ทุกคนจึงใช้ชีวิตอย่างผู้อุทิศ ผู้เสียสละ ผู้ให้ ทุกคนจึงสมถะ อ่อนน้อมถ่อมตน อดทน ส ารวมกายวาจาใจ ทุกคนจึงต่างช่วยกันจรรโลงศาสนกิจ ไม่ว่าพุทธคริสต์ อิสลาม ฯลฯ หวังให้ศาสนาของตนช่วยให้ศา สนิกชนเข้าถึงวิถีธรรม การถ่ายทอดวิถีธรรม ถึงแม้จะมีพงศาธรรมสืบทอดต่อมาเกินกว่าห้าพันปีโดยไม่ขาดสาย แต่การ


สืบเนื่องเป็นไปตามจิตส านึก ตามบุญสัมพันธ์อันเป็นธรรมชาติของกฏแห่งกรรม จึงไม่มีผู้เป็นใหญ่ไม่มีผู้ใช้ อ านาจหรืออภิสิทธิ์ใด ๆ บงการให้เป็นไป ชีวิตสว่างต่างคนต่างมี ต่างคนต่างประคองรักษาไว้ให้ดี จึงไม่มีใครบังคับขับต้อนได้ นอกจากความ เอื้ออาทรที่มีต่อกัน เพื่อสันติสุขร่วมกันในชาตินี้ เพื่อบุญสัมพันธ์ต่อกันในชาติหน้าและ เพื่อวิมุติต่อไปเมื่อทิ้งกายสังขารแล้ว จุดหมำยของกำรแพร่ธรรม พุทธวจนะว่า “เวไนยสัตว์ล้วนมีพุทธภาวะ อาจบรรลุได้ในที่สุด” ท่านสังฆปริณายกเว่ยหลางได้โปรดแสดงธรรมไว้ว่า “พุทธจิตเดิมแท้ สงบใสเป็นเดิมที จงใช้จิตนี้ บรรลุพุทธะโดยตรง” ท่านปราชญ์เมิ่งจื้อก็แสดงธรรมไว้ว่า “ธรรมะของการเรียนรู้(จิต) ไม่มีอื่นใด เรียกใจที่กระเจิงไปให้กลับคืนมาเท่านั้นเอง” (รวมจิตไว้เป็น หนึ่งเดียว) ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วจึงเป็นผู้ที่ได้รับรู้พุทธภาวะที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เองในตนเอง เมื่อรับรู้พุทธภาวะที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เองในตนเองได้แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้เริ่มรู้จักฝึกใช้พุทธจิตเดิมแท้ของ ตนก็บ าเพ็ญการบรรลุธรรม จึงเป็นผู้เรียกใจของตนที่กระเจิงไปให้กลับคืนมาได้ ผู้คนเหล่านี้เราเรียกว่า “ญาติธรรม” ญาติธรรมทุกเพศทุกวัย จ านวนหลายล้านคนกระจายอยู่เกือบทุกประเทศทั่วโลก บ้างก าลังปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ละโลภ โกรธ หลง บ้างก าลังส่งเสริมตนเองให้เจริญพรหมวิหารสี่ จะอย่างไรก็ตาม ญาติธรรมที่ศรัทธาต่อจิตเดิมแท้อันเป็นชีวิตสว่างของตนแล้ว ล้วนแต่ ก าลังตั้งตน อยู่ในท านองคลองธรรม ตั้งตนอยู่กับการไม่เบียดเบียน ตั้งตนเป็นผู้ให้ประโยชน์แด่เพื่อนมนุษย์ แด่สังคม และแด่โลกนี้อยู่ทั้งนั้น ทุกคนจึงด าเนินชีวิตอยู่ในจุดหมายที่ตรงต่อพระประสงค์ที่เบื้องบนได้โปรดประทาน ถ่ายทอดวิถีธรรมในครั้งนี้


ทุกคนจึงเคารพฟ้าดิน นบนอบบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักชาติ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เชิดชูจริยธรรมส ารวมตน กตัญญูต่อพ่อแม่ เชิดชูบรรพจารย์ สัตย์จริงต่อเพื่อนสมานฉันท์บ้านใกล้เรือนเคียง ละความชั่ว มุ่งท าความ ดี มีคุณสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างผู้น้อยผู้ใหญ่ พ่อแม่ลูก สามีภรรยา พี่น้อง เพื่อนพ้องและมุ่งหมาย คุณธรรมความกตัญญู พี่น้องปรองดอง มีความจงรัก มีความสัตย์ จริงใจ มีจริยธรรม มโนธรรม ความ ถูกต้อง รักษาสุจริตธรรม สมถะ และละอายต่อบาป ตั้งใจจรรโลงคุณวิเศษในพระธรรมค าสอนของพระ ศาสดาทั้งศาสนาปราชญ์ ศาสนาเต๋า ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม จนเป็นที่กล่าวขานกัน ว่า “ญาติธรรมทุกคนอ้าปากก็เป็นธรรมะหุบปากก็เป็นธรรมะ” ทุกคนเคารพปกครองกันตามแบบแผนวัฒนธรรมอันดีงามตั้งแต่โบราณกาลมา ต่างพยายามช าระ ใจให้ผ่องแผ้ว เพราะตระหนักดีว่าทุกคนก าลังอาศัยกายเนื้อ บ าเพ็ญธาตุธรรมของชีวิตจริง ก าลังจะฟื้นฟู ชีวิตสว่างดวงธรรมญาณของตน จึงได้พยายามส าแดงคุณความดีของจิตเดิมแท้กันให้ถึงที่สุด เอาวิถีธรรม ก าหนดชีวิตตนช่วยให้ใคร ๆ ได้ก าหนดชีวิตด้วยเมื่อตนเองบรรลุก็ปรารถนาให้ใคร ๆ ได้บรรลุด้วย ด้วยความมุ่งหวังว่าถ้าทุกคนท าได้ดังนี้ ก็จะสามารถฉุดยั้งความชั่วร้ายในโลกให้กลายเป็นสดใสสันติสุข ก็จะสามารถกล่อมเกลาใจคนให้เปลี่ยนเป็นดีงาม ทั้งนี้เพื่ออุดมการณ์อันสูงส่งร่วมกัน คือ ให้โลกเป็นเอกภาพ อำณำจักรธรรมงำมสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฉุดยั้งความชั่วร้ายในโลกให้กลับกลายเป็นสดใสสันติสุข คงจะต้องทุ่มเทเวลา ยาวนานมากที่จะสร้างสรรค์ให้โลกนี้เป็นเอกภาพได้ แต่ท่านปราชญ์จวงจื้อได้กล่าวไว้ว่า “ฟืนหมดไหม้ แต่ไฟสืบต่อ” เนื้อฟืนกองนี้ไหม้หมดแล้ว แต่เชื้อไฟยังมีอยู่ มิได้มอดดับไป ขอเพียงแต่มีผู้ยินดีจะอุทิศตนเป็นฟืน ดุ้นต่อไป กองไฟกองใหญ่ก็พร้อมที่จะโชติช่วงชัชวาลให้แสงสว่างและความอบอุ่นแด่ชาวโลกได้ต่อไป ดังจะเห็นได้ว่าแม้พระพุทธะ พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ ทั้งหลายจะละพระวรกายสังขารกลับคืน เบื้องบนไปเหมือนเนื้อฟืนไหม้หมดแล้ว แต่ปฏิปทามหาปณิธานของพระองค์ท่าน ยังคงอยู่เหมือนเชื้อไฟที่ รอฟืนดุ้นใหม่มาสืบต่อ


บัดนี้ เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีอนุตตรธรรม ท าให้ผู้ได้รับวิถีธรรมเกิดจิตส านึกในภาระหน้าที่ ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตนพึงเจริญรอยตามพระบาทพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ ทั้งหลายกันมากมายนั่นก็คือ การเกิด จิตส านึกอยากเป็นฟืนดุ้นต่อไป ในวงการอนุตตรธรรม หรือในอาณาจักรอนุตตรธรรม เราจึงได้เห็นความกระตือรือร้น ความมี ชีวิตชีวา ความเบิกบานแจ่มใสที่ใคร่จะเป็นฟืนดุ้นใหม่กันทั่วหน้าทุกคนจึงรวมตัวกัน อยู่ร่วมกัน สมัครสมาน สามัคคีกันเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันเพื่อสืบต่องานสร้างสรรค์โลกเอกภาพให้เป็นจริง อาณาจักรอนุตตรธรรมต่างกับชุมนุมของหมู่เหล่าอื่น ๆ ทุกคนพาตัวเองเข้ามา ด้วยบุญสัมพันธ์ที่มี ต่อกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความสมัครใจตามจิตส านึกที่เกิดจากธาตุแท้ธรรมญาณของตน ทั้งที่ไม่มี ผลประโยชน์ใด ๆ ทางโลกเป็นค่าตอบแทนเลยแม้แต่น้อย แต่ทุกคนก็ตั้งใจทุ่มเทอุทิศตนกันยิ่งกว่างานการ ธุรกิจส่วนตัวเสียอีก เหตุอีกประการหนึ่งที่ท าให้ทุกคนเกิดความมุ่งมั่น ตั้งใจเช่นนี้ได้ก็คือ การได้เห็นปฏิปทาอันสูงส่งยิ่ง ของนักธรรมผู้ใหญ่รุ่นก่อน ๆ ตั้งแต่ท่านธรรมอธิการ ท่านหันเหล่าเฉียนเหยิน หรือท่านหันเต้าจั่ง ท่านรอง ธรรมอธิการทุกท่าน อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม อรรถาจารย์นักธรรมเก่าแก่มากมายที่ยอมอุทิศทุกสิ่งทุก อย่าง แม้แต่ชีวิต เพื่องานถ่ายทอดวิถีธรรมเพื่อสร้างสรรค์ชีวิตสว่างให้คนทั้งหลาย นักธรรมผู้ใหญ่ให้ความเอาใจใส่ดูแลส่งเสริมนักธรรมรุ่นหลังอย่างจริงใจเต็มที่ เช่น จัดชั้นศึกษา ธรรมตามขั้นตอน ตั้งแต่หัวข้อ “สัจธรรมชีวิต” “กตัญญุตาธรรม” “การบ าเพ็ญกุศลจิตสร้างกุศลจิตสร้าง กุศลกรรม” “รู้ชีวิตก าหนดชีวิต” “การตั้งความมุ่งมั่น” “ปฏิปทาพระโพธิสัตว์” จนกระทั่งสาระวิเศษของ คัมภีร์สามศาสนา จริยพุทธระเบียบวรรณกรรมเลือกสรรและหลักสัจธรรมอีกมากมาย ล้วนให้ คุณประโยชน์ต่อชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม เด็กวัยรุ่นทั่วไปซึ่งมักจะมีปัญหาความคิดจิตตกต่ าไปตามสมัยนิยม แต่ในอาณาจักรธรรม เขา ทั้งหลายยอมรับการอบรมปลูกฝังคุณธรรมความดี ด้วยจิตส านึกที่เกิดจากชีวิตสว่างอันเป็นธาตุแท้ธรรม ญาณของเขาเองที่ได้ผ่านการถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว เขาได้เรียนรู้ว่าควรประคองรักษาตนให้พ้นจากค่านิยมสมัยใหม่ที่ผิดไปจากวัฒนธรรม ผิดไปจาก จารีตอันดีงามได้อย่างไร พาตนและคนอื่น ๆ ให้ห่างไกลอบายมุขได้อย่างไร..... ควรเอาใจใส่ ควรช่วยเหลือ ใคร ๆ อย่างไร ควรกตัญญูดูแลพ่อ แม่และคนแก่เฒ่า ควรอุ้มชูช่วยเหลือผู้เยาว์กว่าอย่างไร ฯลฯ ทุกคนจึงเป็นคนอดทนยินดีฝึกฝนเคี่ยวกร าตนเองมีน้ าใจมีความรับผิดชอบต่อตนเองและรับผิดชอบ ต่อผู้อื่นอย่างจริงใจทุกขณะเวลา รัฐบาลไต้หวันและบ้านเมืองหลายแห่งจึงได้ประกาศเกียรติคุณวงการ อนุตตรธรรมว่าเป็นศูนย์รวมผู้ปฏิบัติบ าเพ็ญที่เชิดชูจริยธรรมเชิดชูวัฒนธรรมการศึกษาน าความสงบสุขมา สู่สังคมได้เป็นอย่างดี อาณาจักรธรรมประกอบด้วยพุทธสถานในครัวเรือนที่รองรับญาติธรรมได้ไม่กี่สิบคน พุทธสถาน


ส่วนรวมที่รองรับญาติธรรมได้ไม่กี่สิบคน พุทธสถานส่วนรวมที่รองรับญาติธรรมได้ไม่กี่ร้อยคน และพุทธ สถานที่เป็นพระอารามใหญ่ที่รองรับญาติธรรมได้นับพันนับหมื่นคน พุทธสถานอย่างนี้มีอยู่มากมายและ ทั่วไปทุกมุม โลกเกือบหนึ่งร้อยประเทศ แม้แต่อัฟริกาใต้หรือเกาะโมริเซียสเล็ก ๆ ในมหาสมุทรอินเดียก็มี พุทธสถานพระอารามใหญ่ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีธรรม ญาติธรรมต่างชุ่มชื่นอยู่ กับบารมีคุณของอาณาจักรธรรมด้วยจิตส านึกสมัครสมานศรัทธาจริงใจ ได้ปรากฏเป็นความสนิทสนม ระหว่างกันได้ปรากฏเป็นความนอบน้อมเชิดชูกัน และยิ่งเกิดความมุ่งมั่นที่จะน าเอาความนอบน้อมเชิดชูกัน และยิ่งเกิดความมุ่งมั่นที่จะน าเอาความเอื้ออาทรที่มีต่อกันในอาณาจักรธรรมเผื่อแผ่ไปให้ทั่วทุกมุมโลก เพราะทุกคนมีความรู้สึกเป็นอย่างเดียวกันว่า “อาณาจักรธรรมคือบ้านของเรา” ยิ่งกว่านั้น ทุกคนยังตั้งความมุ่งหวังไว้ว่า กาลข้างหน้าขอให้โลกกว้างใหญ่ จงกลายเป็นมหาอาณาจักรธรรม ขอให้โลกกว้างใหญ่ จงกลายเป็นบ้านสันติสุขของทุก ๆ คนและของทุก ๆ ชีวิตในโลกนี้ ฉุดช่วยครั้งใหญ่ในสำมโลก วิถีอนุตตรธรรม เบื้องบนได้โปรดประทานอนุญาติให้ถ่ายทอดเป็นการใหญ่ในครั้งนี้แด่ 1. เทพเทวาที่ยังคงสร้างคุณบารมีเรื่อยมา และไม่ปรารถนาจะเวียนว่ายเกิดตายหรือเสวยสุขต่อไป ฯลฯ 2. แด่สาธุชนผู้มีกุศลเจตนาจะสร้างคุณความดีต่อไป ซึ่งเขาผู้นั้นยังจะต้องมีบุญจากบุพการีและ ของตนเองหนุนน ามา ฯลฯ 3. วิญญาณผีที่ยังมีผลบุญและคุณความดีอยู่ มีลูกหลานที่ได้รับวิถีธรรมแล้วได้ปฏิบัติบ าเพ็ญท า หน้าที่เชิดชู การนี้จะต้องมีบุญสัมพันธ์เป็นสะพานเชื่อมโยง ตั้งแต่บุญสัมพันธ์กับพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ ไป จนถึงผู้แนะน ารับรองให้ได้รับวิถีธรรม การถ่ายทอดวิถีธรรมครั้งนี้ เบื้องบนได้โปรดฉุดช่วยพร้อมกันทั้งสามโลกเรียกว่า ซันเฉาผู่ตู้ เพราะ เป็นยุคสุดท้ายอันเป็นยุคปฏิรูปธรรมกาล เรื่องราวประจักษ์หลักฐานบางอย่างส าหรับการฉุดช่วยครั้งใหญ่ทั้งสามโลกนี้ท่านจะหาท่านได้จาก หนังสือ “สามโลกในธรรมกาลยุคขาว”


บุญวำระสุดท้ำย วิถีอนุตตรธรรม เบื้องบนได้โปรดประทานอนุญาตให้ถ่ายทอดเป็นสามยุค คือ 1. ยุคเขียว เริ่มจากสามพันกว่าปีก่อนขึ้นไป โปรดถ่ายทอดเฉพาะฮ่องเต้ผู้ทรงธรรมซึ่งในครั้งนั้น ไพร่ฟ้าจงรักภักดีมีศีล มีสัตย์ 2. ยุคแดง จากสามพันปีก่อนเรื่อยมา จนถึง พ.ศ. 2475 โปรดถ่ายทอดแด่อริยปราชญ์นักบวชผู้ บ าเพ็ญดี 3. ยุคขาว จากวันเริ่มฤดูร้อนเซี่ยจื้อ เป็นต้นมานับได้ 64 ปี โปรดถ่ายทอดฉุดช่วยทั้งสามโลกเป็น การใหญ่ การถ่ายทอดปรกโปรดครั้งนี้มีก าหนดระยะเวลาสั้นมาก ดั่งเปลวไฟวาบสุดท้าย ก่อนที่จะมอดดับไปกับ ความมืดบอดของจิตใจคนส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบัน พระมหำกรุณำธิคุณฯ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณฯที่เบื้องบนได้ปรกโปรดอีกทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ได้โปรดแสดง บุญญาธิการเสริมส่งทุกวิถีทาง ท าให้เราเกิดความเข้าใจต่อวิถีธรรม วันที่ 25 –26 ตุลาคม พ.ศ. 2529 พุทธสถานไท่จงได้จัดประชุมอบรมจริยธรรมแด่ญาติธรรมสอง วัน บ่ายวันที่ 25 ทิพยญาณของพระพุทธะจี้กงได้โปรดประทับใช้ร่างของเด็กหญิงพรหมจารีย์ผู้ถือศีล กินเจบริสุทธิ์ตลอดชีวิต พระอาจารย์ในร่างของเด็กหญิงพรหมจารีย์ได้โปรดประทานพระโอวาทสัจธรรมเป็นค ากลอน สัมผัสไพเราะ มีความหมายแยบยลลึกซึ้งมาก แต่ละค าพร่างพรูไม่ขาดสายจนเขียนเต็มกระดานด าใหญ่ได้ สองแผ่น อักษรจีนที่พระองค์โปรดใช้นั้น แม้อักษรศาสตร์บัณฑิต ก็ยากที่จะสรรหามารจนาเช่นนี้ได้ สุดท้าย พระองค์โปรดใช้อักษรไทยตัวโปร่งค าว่า “อนุตตรธรรม” ครอบลงบนอักษรจีนนั้น อักษรจีนที่ถูกครอบอยู่ในตัวโปร่ง เรียงล าดับตามเส้นลากอักษรไทย ได้ค ากลอนชุดใหม่ที่ไพเราะ ลึกซึ้งอีกชุดหนึ่ง ซึ่งพระอาจารย์ยังโปรดให้เป็นเนื้อร้องเข้าท านองเพลง “บ าเพ็ญดี” ได้อย่างเหมาะเจาะ ปัญญาชนผู้ทรงวุฒินับร้อยที่ร่วมประชุมอยู่ในที่นั้นต่างนิ่งอึ้ง ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก


จากพระโอวาทฉบับนี้ท าให้ญาติธรรมยิ่งประจักษ์ชัดต่อบุญวาระนี้ว่า การถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมเป็นวิถีธรรมจริง เป็นหลักสัจธรรมจริง และเป็นไปตามพระโองการฟ้า ประกาศิตจริง นั่นคือ คุณวิเศษแห่งวิถีอนุตตรธรรมวิถี อนุตตรธรรมที่อนุตตรพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานอนุญาต ให้ถ่ายทอดแด่สาธุชนคนบุญใน ครั้งนี้นั้นเป็นงานสะเทือนฟ้าสะเทือนดินครั้งส าคัญ มีพระพุทธะจี้กง พระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย (จันทรปัญญา) รับสนองพระภาระหน้าที่พระวิสุทธิอาจารย์เป็นหลักในการนี้โดยตรง มีพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพุทธะ พระอริยเจ้านี้โดยตรง มีพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพุทธะ พระอริยเจ้า พระโพธสัตว์มากมาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง พระองค์น้อยพระองค์ใหญ่ได้โปรดเกื้อกูลหนุนน าอยู่ตลอดเวลานับไม่ถ้วน ซึ่งญาติธรรมต่างได้ประจักษ์ชัด จากพระโอวาทอักษรหลากหลายในลักษณะนี้กันมาแล้ว ปฏิปทำพระโพธิสัตว์ เมื่อเอ่ยถึงพระโพธิสัตว์ คนทั่วไปมักจะนึกถึงภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมที่สูงส่งด้วยพระลักษณะ งดงามจนหาที่ติมิได้ จะนึกถึงพระบารมีคุณยิ่งใหญ่สว่างใสดังดวงจันทร์วันเพ็ญที่แผ่รัศมีสีนวลอยู่บนท้องฟ้า นึกถึงพระ มหากรุณาอันอบอุ่นที่พระองค์โปรดสนิทชิดใกล้เราจนเหมือนกับพร้อมที่จะเอื้อมพระหัตถ์มาอุ้มชูเราได้ทุก ขณะเวลา เมื่อเอ่ยถึงพระโพธิสัตว์ ชาวจีนในศาสนาพุทธฝ่ายมหายานจะนึกถึงพระโพธิสัตว์ใหญ่สี่พระองค์ คือ 1. พระโพธิสัตว์มัญชุศรี สัญลักษณ์แห่งมหาปัญญา 2. พระโพธิสัตว์กวนอิม สัญลักษณ์แห่งมหากรุณา 3. พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ สัญลักษณ์แห่งมหาปณิธาน และ 4. พระโพธิสัตว์สมันตภัทร สัญลักษณ์แห่งมหาปฏิปทา เมื่อเอ่ยถึงพระโพธิสัตว์ คนทั่วไปจะคุ้นเคยแต่พระโพธิสัตว์กวนอิม คนทั่วไปจึงมักจะจ ากัดขอบเขต


ของพระโพธิสัตว์ไว้ว่าจะต้องเป็นสตรีเพศ แท้ที่จริง พระพุทธะมากมายก่อนจะเจริญธรรมมาถึงขั้นพระพุทธองค์ ต่างปฏิบัติบ าเพ็ญด้วย ปฏิปทาในฐานะพระโพธิสัตว์กันมาก่อน เช่น พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา พระศรีอาริย เมตตรัยพระพุทธเจ้าซึ่งจะโปรดเสด็จมาในอนาคตกาลอันใกล้นี้ พระพุทธกษิติครรภ์ (ตี้จั้งอ๋วงกู่ฝอ) ซึ่งทรง โปรดสัตว์อยู่ในยมโลกมาเป็นเวลาช้านาน ฯลฯ ท่านอดีตธรรมปริณายกหันเต้าจั่งหรือธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยินของเราได้โปรดแสดงธรรม เรื่อง “ตั้งความมุ่งมั่นและตั้งคุณสมบัติตน” ข้อความตอนหนึ่งท่านได้โปรดว่า ก่อนหน้าปีหมินกั๋วที่ 25 คือ ประมาณหกสิบกว่าปีก่อน (ก่อน พ.ศ. 2479) พระวจนพระโอวาทของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ไม่มีค าว่า “พระพุทธะกษิติครรภ์” มีแต่พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็เช่นกัน ปีหมินกั๋วที่25 แล้วจึงปรากฏพระนามว่า “พระบรรพพุทธาทะเลใต้” (หนันไห่กู่ฝอ) บัดนี้คัมภีร์ธรรมทุกเล่ม พระโอวาทพระวจนะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่ได้โปรดประทานในที่ ต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนสรรเสริญอดีตพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์และพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า “พระพุทธะ” พระโพธิสัตว์ คือ อย่ำงไร พระโพธิสัตว์ตามความเป็นจริงจากมหากรุณาปฏิปทา พระโพธิสัตว์คือ พระผู้โปรดสัตว์ พระผู้อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์โลกทั้งหลาย พระผู้ปกป้องคุ้มครองน าพา ปวงชีวิตให้พ้นภัยไปสู่ความสว่างไปสู่ความสงบสุขและหลุดพ้น แต่ถึงแม้จะต้องสดับรับรู้ความทุกข์เทวษของสัตว์โลกทั้งหลายขนาดไหน แม้จะต้องสัมผัสรับอารมณ์ทุกอย่างของสัตว์โลกทั้งหลายถึงปานใด พุทธภาวะในพระองค์ก็มิได้ อับเฉาไปพุทธรัศมีแห่งพระองค์ก็มิได้เสื่อมคลายไป พระองค์ยังทรงพระภาวะบริสุทธิ์สูงส่งอยู่ในโลกีย์ แต่มิได้กลั้วโลกีย์ อยู่ในตมแต่มิแปดเปื้อนตม พระโพธิสัตว์แม้จะขึ้นล่องระหว่างสุญญตาภาวะกับกระแสการเกิดตายในสังสารวัฏ ก็ยังคงโปร่งใส ได้เหมือนไม่มีอะไรต่างกัน เฉกเช่น ผืนแผ่นดินอันได้ให้พืชพันธุ์ไม้ก่อเกิดเจริญเติบโตไปแล้วนับไม่ถ้วนผืน แผ่นดินเองก็ยังด ารงคงอยู่เป็นผืนแผ่นดินต่อไป พระโพธิสัตว์จึงได้รับการเทิดทูนพระสมญานามอีกว่า “มหาจิตตะสามัญชน”


“ธรรมจิตตะมวลชน” ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ทรงอยู่ร่วมกันสามัญชนแต่พระองค์ทรงเป็นสามัญชนที่มีจิตภาพยิ่งใหญ่และ เป็นธรรมะอันบริสุทธิ์โดยแท้นั่นเอง ตามความหมายจากมหากรุณาปฏิปทา พระศาสนาของทุกศาสนาล้วนได้รับ การสรรเสริญว่าเป็น พระโพธิสัตว์เพราะพระโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ฉุดช่วยปวงชีวิตให้เกิดสัมมาทิฐิช่วยให้ผู้หลงผิดด ารงตนให้ ถูกต้องต่อไป ในธรรมกาลยุคขาวนี้ ด้วยกรุณาปฏิปทานี้ ในอาณาจักรธรรม เราจึงได้เห็น พระโพธิสัตว์เดินดินซึ่ง ยังครองกายสังขารกันอยู่มากมาย นับตั้งแต่ท่านเหล่าเฉียนเหยิน เฉียนเหยิน เตี่ยนฉวนซือ ฯลฯ ซึ่งล้วน ทุ่มเทอุทิศชีวิตเพื่อการนี้กันอย่างจริงใจ ทุกท่านล้วนมุ่งมั่นจริงจังและได้ตั้งปณิธานข้อส าคัญคือ เส่อเซินปั้นเต้า “จะอุทิศตนเพื่องานแพร่ธรรมช่วยให้สาธุชนได้พบชีวิตสว่างของตน” กันมาแล้วทั้งนั้น พระโพธิสัตว์ตามความหมายของศาสนาพุทธฝ่ายหินยานบันทึกว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระผู้ยังตนให้บรรลุโพธิญาณแล้วจึงสั่งสอนโปรดผู้อื่นให้บรรลุ ส่วนฝ่ายมหายานบันทึกว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระผู้บ าเพ็ญบารมี ด้วยการขนสัตว์อื่นให้ล่วงพ้นกองทุกข์ จนเหลือตนเองเป็นคน สุดท้ายแล้วจึงจะขอบรรลุโพธิญาณ ความหมายของพระโพธิสัตว์ฝ่ายหินยานและมหายานดูอย่างกับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อาจท าให้ คิดว่าฝ่ายใดจะถูกผิดอย่างไร แต่หากพิจารณาโดยละเอียดแล้วก็จะเห็นว่าถูกต้องทั้งสองฝ่ายกล่าวคือ ฝ่านหินยานที่ว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระผู้ “ยังตนให้บรรลุโพธิญาณ” แล้วจึงสั่งสอนโปรดผู้อื่นให้บรรลุการจะ “ยัง ตนให้บรรลุโพธิญาณ” ของพระโพธิสัตว์นั้นก่อเกิดจาก “จุดเริ่มต้นในการ “สร้างบารมี” เพื่อ “ตรัสรู้”


Click to View FlipBook Version