The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สารธรรมะ, 2023-03-01 00:24:38

คุณวิเศษวิถีอนุตตรธรรม

กำรสร้ำงบำรมีของพระโพธิสัตว์คือ 1) ทาน คือ การเสียสละ เสียสละได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขอันแท้จริงแก่ปวงชีวิต พระพุทธองค์ ในพระชาติเวสสันดรโพธิสัตว์ยอมสละแม้กระทั่งพระมเหสี บุตร ธิดา พระโพธิสัตว์กวนอิมในพระชาติ พระธิดาเมี่ยวชั่นยอมสละราชฐานันดร ยอมสละความสุขส่วนพระองค์ยอมลดองค์ลงรับรู้กอบกู้ความทุกข์ ของไพร่ฟ้าประชาชนยอมควักพระเนตรพร้อมตัดพระกรทั้งสองข้างของพระองค์เองถวายเป็นพระโอสถแด่ พระบิดา 2) ศีล คือ การควบคุมตนเองได้ถึงที่สุดจนกระทั่งอายตนะหกอยู่ในภาวะปกติทุกขณะเวลา แม้อยู่ ในภาวะปกติทุกขณะเวลา แม้อยู่ในศีลก็มิได้ก าหนดรู้ว่าอยู่ในศีล 3) เนกขัม คือ ความสมถะ สละความสุขทางโลกได้ เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านหันเต้าจั่งแห่ง ธรรมกาลยุคขาวนี้ ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญ บวชจิตบวชกายจนจิตเป็นอิสระจากกระแสกามคุณของ โลกได้โดยสิ้นเชิง 4) ปัญญา คือ ธาตุแท้ของจิต ความคิดอันละเอียดประณีตตรงต่อสัจธรรม มีวิจารณญาณอัน ลึกซึ้งเข้าถึงอริยสัจสี่ พาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยได้ทุกประการ 5) วิริยะ คือ ความเพียร ความมุ่งมั่นพยายามที่จะพันฝ่าอุปสรรคทั้งภายในจิตใจและสภาพการทุก อย่างภายนอกที่ขัดขวางบั่นทอนการสร้างบารมี 6) ขันติ คือ ความอดทน ความสงบ ความสุขุม เยือกเย็น เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคสิ่งบั่นทอน สามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่ขัดขวางการสร้างบารมีทุกประการ ไม่ว่าหนาว ร้อน เดินทางไกล อันตราย หิว กระหาย หรือได้พบสิ่งเย้ายวนใจต่าง ๆ ก็มิได้หวั่นไหว 7) สัจจะ คือ ความจริงใจอันไม่เปลี่ยนแปร แม้จะต้องตกอยู่กับสถานการณ์อย่างไรก็จะไม่ผิดไป จากความจริงใจอันได้ตั้งความมั่งมั่นแล้วตั้งแต่ต้น 8) อธิษฐาน คือสร้างความมุ่งมั่นตั้งใจให้สมบูรณ์แม้ผิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจ จะยอมสละชีวิตให้ เป็นที่สุด เช่นอธิษฐานจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่า “จะไม่กลับหลังเด็ดขาด แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็จะไม่คลายความพากเพียร” 9) เมตตา คือ มีไมตรีจิต คิดดี ปรารถนาดีต่อทุกชีวิต ทุกข์เมื่อเขามีทุกข์ อยากให้เขาพ้นทุกข์ 10) อุเบกขา คือ วางเฉยไม่ยึดหมายในกุศลบุญคุณความดีที่ได้ท า ไม่จดจ่อไม่วอนขอสิ่งต่างๆ ไม่ ข้องเกี่ยวกับอะไรที่ไม่ใช่ธุระตน ไม่แวะเวียนวกวนกับสิ่งที่พ้นผ่านไปแล้ว เหล่านี้ คือ การสร้างบารมี เพื่อตรัสรู้ การตรัสรู้ คือ การบรรลุความรู้สูงสุด ความรู้สูงสุดในธรรมกาลยุคแดง ก็คือ เริ่มจากรู้ ทุกข์ รู้สมุห์ทัย รู้นิโรธ แล้วรู้มรรค บัดนี้เป็นธรรม กาลยุคขาวสุดท้าย แม้เบื้องบนจะโปรดประทานหนทางสะดวกง่ายดาย ให้เราเข้าถึงความรู้สูงสุดนั้นอย่าง


ชัดเจนโดยตรงแล้วก็ตาม หากเราไม่ศึกษาไม่พิจารณา ไม่ปฏิบัติให้รู้ชัดต่อความรู้สูงสุดนั้น เราก็จะยังเข้าไม่ ถึงแม้แต่การ “รู้ทุกข์” อันเป็นบันไดขั้นแรกของอริยสัจสี่ ชีวิตที่เวียนว่ายเกิดตายล้วนมีทุกข์ การจะเรียนรู้ทุกข์จึงต้องเรียนรู้จากชีวิต เท่ากับว่า การจะบรรลุความรู้สูงสุดนั้นได้อย่างแท้จริง คือ จะต้องรู้จักและเข้าถึงชีวิตของตนเองอย่างแท้จริงอีกทั้ง จะต้องรู้จักและเข้าถึงชีวิตทั้งปวงอย่างแท้จริง พระโพธิสัตว์จึงเป็นพระผู้อยู่กับชาวโลก มีชาวโลกเป็นเป้าหมายในการเสริมสร้างบารมี ปฏิปทานั้นเรียกว่าการ “โปรดสัตว์” หรือการฉุดช่วยขนสัตว์อื่นให้ล่วงพ้นกองทุกข์ ความหมายของ พระโพธิสัตว์ฝ่ายมหายานที่ว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระผู้บ าเพ็ญบารมีด้วยการขนสัตว์อื่นให้ล่วงพ้นกองทุกข์ “จนเหลือตนเองเป็นคน สุดท้ายแล้วจึงจะขอบรรลุโพธิญาณ” ความถูกต้องที่ตรงต่อกันโดยข้อเท็จจริงทั้งฝ่ายหินยานและมหายาน ซึ่งถึงแม้ข้อความที่แสดงไว้จะ แตกต่างกันก็ตาม มีอยู่ว่า ในขณะที่พระโพธิสัตว์ “โปรดสัตว์” โดยมีชาวโลกเป็นเป้าหมายในการเสริมสร้าง บารมี บารมีของพระองค์ก็ย่อมจะต้องสูงส่งยิ่งขึ้นเป็นแน่แท้ “การขนสัตว์อื่น ให้ล่วงพ้นกองทุกข์” กับการ “ยังตนให้บรรลุโพธิญาณ” จึงเป็นงานที่ท าพร้อม ๆ กันไปและบังเกิดผลพร้อม ๆ กันไป อาทิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในครั้งที่ยังทรงโปรดสัตว์อยู่จน แม้กระทั่งใกล้จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ยังคงจะปรารภสัตว์โลกก่อนจะปรารภพระองค์เองเสมอ นั่นคือ ปฏิปทาของความเป็นพระโพธิสัตว์ แม้ในขณะนี้ก็ตาม, การที่พุทธานุภาพของพระองค์ยังคงด ารงอยู่ จะด้วยบุญญาธิการที่ทรงปรกแผ่ คุ้มครองรักษาชาวเราก็ดีหรือพุทธานุภาพที่ก าซาบอยู่ในจิตใจของเราทั้งหลายให้เลื่อมใสใฝ่ดีกันเรื่อยมาถึง สองพันห้าร้อยกว่าปีก็ตาม พุทธานุภาพนี้ก็ยังคงเป็นพระมหากรุณาของพระโพธิสัตว์อยู่นั่นเอง ค าที่ว่า “เหลือตนเองเป็นคนสุดท้ายแล้วจึงจะขอบรรลุโพธญาณ” จึงน่าจะพิจารณาว่าเป็น “มหา ปณิธาน” อันเกิดจาก “พระมหากรุณา” ของพระองค์เสียมากกว่า ดังจะเห็นได้ว่า


มหำปณิธำน มหาปณิธาน อันเกิดจาก มหากรุณา ของพระโพธิสัตว์มากมายหลายพระองค์ที่เราได้รู้มาว่า หลังจากจะสังขารกลับคืนเบื้องบนไปได้ไม่นาน พระองค์ก็รีบอุบัติมาโปรดสัตว์อีกต่อไป อย่างเช่น พระพุทธ จี้กง ของเราที่เจริญปฏิปทาพระโพธิสัตว์อยู่ในสมัยราชวงศ์ซ้อง เมื่อละสังขารไปแล้วก็ได้อุบัติมาโปรดสัตว์ อีกในสมัยราชวงศ์ซิงพระองค์ก็คือ ซือจุน พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยานของเรา ในพระชาติสงฆ์จี้กง พระอาจารย์ของเรา ได้ตั้งมหาปณิธานไว้สามข้อใหญ่ ๆ คือ ส าหรับในชั้นโลกุตตรเหนือโลก หรือที่เรียกว่า อนุตตรภาวะ คือ การเข้าถึงจิตเดิมแท้ธรรมญาณ พระอาจารย์ได้โปรดแสดงมหาปณิธานว่า (1) “จะฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้กลับสู่ต้นธาตุต้นธรรมรากฐานเดิม” ส าหรับในชั้นโลกิยะ คือ ชาวโลกทั่วไปหรือที่เรียกว่า ปุถุชนคนทั้งหลาย คือ การเข้าถึงสามัญส านึก ของจิตใจพระอาจารย์ได้โปรดแสดงมหาปณิธานว่า (2) “จะแปรเปลี่ยนสมัยนิยมตกต่ าให้โลกเป็นเอกภาพสันติสุข” (3) “จะสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามดั้งเดิมของจีนให้เฟื่องฟู” จะเห็นได้ว่าด้วยมหาปณิธานในข้อที่หนึ่งของพระอาจารย์นั่นเอง วันนี้เราทั้งหลาย จึงมีโอกาสได้รับ วิถีอนุตตรธรรมบ าเพ็ญจิตเดิมแท้ได้โดยตรงจากการจุดเบิกจากพระอาจารย์ พระพุทธจี้กงแบ่งพระภาคมาจาก “มหาพรหมราชเจ้าวิเสสสัทธธรรมญาณ หลิงเมี่ยวเทียนจุน” ในพระภาคพระสงฆ์จี้กง ปฏิปทาของพระองค์คือ พระโพธิสัตว์ พระนามของ พระองค์คือ พระโพธิสัตว์ “จี้” แปลว่า สงเคราะห์ คือการให้ทานทุกสิ่งทุกอย่างอันเกิดประโยชน์สุขแก่มวลชีวิต “กง” แปลว่า เสมอ ภาคทั่วหน้า บัดนี้ แม้พระอริยฐานะของพระองค์จะสูงส่งอยู่ในระดับพระพุทธะแล้วก็ตาม แต่มหาปณิธานและ พระนามของพระองค์ก็ยังคงความเป็นโพธิสัตว์อยู่ต่อไป ท่านหันเหล่าเฉียนเหยินของเราก็เช่นกัน ท่านเจริญปฏิปทาพระโพธิสัตว์ มากกว่าหกสิบปีชั่วชีวิต ของท่านด าเนินอยู่บนหนทางของการสร้างบารมีทั้งสิ้น ท่านเคยแสดงปณิธานไว้ว่า กลับคืนไปแล้วจะ กลับมาใหม่ เพื่อสานต่องานโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคสุดท้ายนี้ให้สมบูรณ์ ค าที่ว่า “เหลือตนเองเป็นคนสุดท้ายแล้วจึงขอบรรลุโพธิญาณ” จึงน่าจะเป็น การแสดง มหา ปณิธาน อันเกิดจาก มหากรุณา ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระโพธิสัตว์กวนอิมทรงมีมหาปณิธานอยู่ข้อหนี่งว่า “เมื่อใดที่เสียงคร่ าครวญทุกข์ร้อนของชีวิตทั้งหลายยังไม่หมดไปจากโลกนี้ เราจะไม่ขอ เข้าสู่ ปรินิพพาน” พระโพธิสัตว์กษิคิครรภ์ก็ทรงมีมหาปณิธานอยู่ข้อหนึ่งว่า


“เมื่อใดทีวิญญาณผีทั้งหลายยังไม่หมดไปจากนรก เราจะไม่ขอเข้าสู่ปรินิพพาน” เมื่อพระองค์ไม่ ขอเข้าสู่ปรินิพพานเช่นนี้ จะเป็นข้อแสดงว่า “พระองค์ยังไม่อาจ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณกระนั้นหรือ” อีกทั้ง “บารมี” อันเกิดจาก “มหากรุณา” ของทั้งสองพระองค์ที่ทรงบ าเพ็ญเพียรเรื่อย มานับพัน ๆ ปี ยังไม่เพียงพอกับการเข้าสู่ปรินิพพานได้หรืออย่างไร น่าจะกล่าวได้ว่า แม้มิใช่ “ปณิธาน” อันเกิดจากพระ “มหากรุณา” ของพระองค์ในอันที่ จะโปรด กอบกู้อุ้มชูชีวิตทั้งปวงเรื่อยไปแล้วไซร้ ชาวโลกที่ประสบเคราะห์ภัยคงจะหยุดร้องหา “พระโพธิสัตว์กวนอิม” ช่วยด้วยไปแล้วนับร้อยนับพันปี ดังจะเห็นได้ว่า บัดนี้ แม้ทั้งสองพระองค์จะทรงพระฐานะเป็น “พระพุทธกษิติครรภ์” และ “พระบรรพพุทธาทะเล ใต้” มาหกสิบกว่าปีแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังคงโปรดสัตว์นรกโปรดสัตว์โลกอยู่ต่อไปตามปฏิปทา มหา ปณิธาน มหากรุณา ของพระโพธิสัตว์ที่อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์นรกและสัตว์โลกเสมอมา พลานุภาพจากมหากรุณาของพระโพธิสัตว์ มีค าเปรียบเทียบแสดงให้เห็นไว้ว่า ทันทีที่ได้สดับรับรู้ความทุกข์ของชาวโลก มหากรุณานั้นดุจดวงตะวันขณะโผล่พ้น เหลี่ยมเขายาม เช้าตรู่ พลันรัศมีเจิดจ้าก็ฉาบฉายไปทั่วพื้นพสุธา พลานุภาพนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วสิบทิศดุจอากาศกว้างอันมิ อาจประมาณขอบเขตได้เลย เช่นนี้ในความรู้สึกนึกคิดของสาธุชน พระมหากรุณาของพระโพธิสัตว์จึงเป็นความ สว่างสดใส เป็น ความอบอุ่น เยือกเย็นเป็นความสงบสบาย และด ารงคงอยู่ในจิตใจของชาวโลกเรื่อยไปไม่ดับสูญ พระมหากรุณาจึงปรกแผ่ทั่วถึงทุกชีวิตโดยมิได้เลือกที่รักมักที่ชัง จึงเปรียบได้ดังดวงจันทร์ที่ทอดเงาลงสู่ผืนน้ าทั้งขุ่นใสทั้งมหาสมุทรใหญ่และแอ่งน้ า น้อย ๆ พระมหากรุณาของพระโพธิสัตว์จึงน่าจะสรรเสริญได้ด้วยธรรมวจนะที่พระอาจารย์ “หย่งเจีย” มหาเถระได้รจนาไว้ว่า หนึ่งจันทร์เพ็ญที่เห็นอยู่คู่เวหา ทอดดวงมาปรากฏในทุกสายน้ า แม้แอ่งจ้อย บ่อน้อยนิด เพียงติดน้ า จันทร์ก็น าก าซาบไว้ในดวงเพ็ญ พระโพธิสัตว์จึงได้รับการเทิดทูนสรรเสริญว่าเป็น “มหาจิตตะสามัญชน” และ “ธรรม จิตตะ มวลชน” เพราะพระองค์อยู่ร่วมกับคนทุกชนชั้นได้โดยไม่รังเกียจ “แม้แอ่งจ้อยบ่อน้อยนิดเพียงติดน้ า จันทร์ ก็น าก าซาบไว้ในดวงเพ็ญ” จึงเป็นอุทาหรณ์อย่างดียิ่ง ส าหรับผู้ปรารถนาเจริญมหาปณิธาน และปฏิปทา พระโพธิสัตว์ต่อไป พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ทรงพระนามตามคุณสมบัติแห่งมหาปณิธาน ทรงพระนาม ตามคุณสมบัติ แห่งมหาปฏิปทาของพระองค์ เช่น


พระโพธิสัตว์ กวนซื่ออิน พระผู้ทรงกรุณาสดับเสียงร้องทุกข์ของชาวโลก พระโพธิสัตว์ กวนจื้อไจ้ (กวนอิม) พระผู้ทรงเกษมธรรมอันปลอดโปร่ง พระโพธิสัตว์ ซวีคงจิ้ง พระผู้สถิตอยู่ในอากาศกว้างแห่งอุทรธรรม พระโพธิสัตว์ เอวี้ยฮุ่ย พระผู้ทรงปัญญาอันวิสุทธิ์แจ่มกระจ่างดั่งเดือนเพ็ญ พระโพธิสัตว์ วัชรครรภ์ (จินกังจั้งผูซ่า) พระผู้ทรงรัศมีธรรมอันล้ าเลิศดุจวัชรอันกล้าแกร่ง พระโพธิสัตว์ ไภษัชยคุรุฯ (เอี้ยวซือผูซ่า) พระผู้ทรงมหากรุณาปณิธานจะรักษาโรคทุกชนิด ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ นอกจากการสร้างบารมีทั้งสิบแล้ว ในขณะเดียวกัน ยังจะต้องเพิ่มพูน “คุณความดี” ด้านต่าง ๆ โดยล าดับจนกว่าบารมีจะสมบูรณ์อีกด้วย คือ ความ ประพฤติของพระโพธิสัตว์ในทุกชาติ เป็นความประพฤติที่ปราศจากการติเตียนและไม่สร้างกรรมใหม่ทั้ง ประกอบด้วยความรู้ กายวาจาใจ ก็อยู่ในกุศลกรรมบทสิบยิ่งกว่านั้น คุณความดีด้านต่าง ๆ ล้วนตั้งอยู่บน พื้นฐานของ “มหากรุณาร่วมตัวตน” ถงถี่ต้าเปย มหำกรุณำร่วมตัวตน “มหากรุณาร่วมตัวตน” เป็นมหากรุณาอันมิได้แบ่งแยก ฉะนั้น มหากรุณาของพระโพธิสัตว์จึงเป็นพุทธภาวะตามปกติที่บังเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีผู้ใดแนะน า เพราะพระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่มีอิสระ ไม่ถูกจ ากัดด้วยภาวะและสิ่งใด ๆ ในทุกประการ พระโพธิสัตว์มิได้ถูกจ ากัดด้วยอายุ มิได้ถูกจ ากัดด้วยจิต มิได้ถูกจ ากัดด้วยสิ่งเกื้อกูล มิได้ถูกจ ากัดด้วยกรรม มิได้ถูกจ ากัดด้วยการอุบัติ มิได้ถูกจ ากัดด้วยการหลุดพ้น มิได้ถูกจ ากัดด้วยธรรมปฏิบัติ มิได้ถูกจ ากัดด้วยปณิธาน มิได้ถูกจ ากัดด้วยฤทธานุภาพ และมิได้ถูกจ ากัดด้วยฌาณปัญญา พระโพธิสัตว์จึงรู้วิธีช่วยสัตว์ให้หลุดพ้น


รู้จักแสดงยานที่ประเสริฐอันเหมาะแก่จริตของสัตว์ด้วยความฉลาดในอุบาย พระโพธิสัตว์จึง สงเคราะห์สัตว์ทั้งปวงด้วยสังคหวัตถุสี่ (สังคหวัตถุสี่ คือ ทาน, ปิยวาจา, ท าประโยชน์ , เสมอต้นเสมอปลาย) จึงแสดงทางแห่งความหลุดพ้นจากสังสารวัฏและทางแห่งพระนิรมาร พระโพธิสัตว์จึงฉลาดในการ บ าเพ็ญเพียรโยคธรรม (โยคธรรมหรือโยคเกษมธรรม คือ ธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ คือ ปลอดโปร่งปลอดภัยจาก โยคกิเลสสี่ คือ กาม, ภพ, ทิฐิ, อวิชชา) ไม่ท้อถอยในการแสวงหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งยังผลให้รู้ธรรมทั้งหลาย พระองค์จึงเป็น ผู้อดทนได้ต่อกองทุกข์ทั้งปวงและเปลี้องสัตว์ทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์เหล่านั้น พระองค์จึงชักน าให้โลกทั้งปวงถึงความเกษม และ พระโพธิสัตว์ไม่หวั่นไหวในปณิธานที่จะบรรลุถึงความเป็นสัพพัญญูในท่ามกลางหมู่ชนและสาวกผู้ โง่เขลา ธรรมะกับศำสนำ ธรรมะ มีหลักสัจธรรมเป็นคุณสมบัติ ธรรมะ จึงเป็นความเที่ยงแท้ของธรรมชาติ ธรรมะ จึงเป็นรากฐาน เป็นเหตุและปัจจัยในการก่อเกิดศาสนา ศาสนา คือ พระธรรมค าสอนของพระศาสดา ศาสนา มีสัจธรรมความเที่ยงแท้ของธรรมชาติเป็นหลักธรรม ศาสนา จึงเป็นนามรูปในการน าพาให้สาธุชนเข้าไปหาธรรมะ ธรรมะ ถ้าเปรียบเป็นเช่น ตัวตน อันเป็น หลัก ศาสนา ก็จะเปรียบเป็นเช่น พฤติกรรม อันเป็นงาน ถ้า ตัวตนดี หลักดี พฤติกรรม ก็จะดี งานก็จะดี หากธรรมะกับศาสนาสมบูรณ์อยู่คู่กันในผู้ใด ผู้นั้นก็จะเป็นปกติสุข ชีวิตมีประสิทธิภาพ ธรรมะกับศาสนาจึงเป็นของคู่กัน ธรรมะ ถ้าจะเปรียบเป็นเช่น ประมุขของบ้านเมือง


ศาสนา ก็จะเปรียบเป็นเช่นชาวเมือง ถ้ามีแต่ประมุขไม่มีชาวเมืองก็จะไม่เป็นบ้านเมือง ถ้ามีแต่ชาวเมืองไม่มีประมุขบ้านเมืองก็วุ่นวาย ธรรมะอาศัยศาสนาจรรโลงส่งเสริม ศาสนาอาศัยธรรมะเป็นหลักน าค้ าชู ธรรมะกับศาสนาจึงเป็นของคู่กัน หากอาศัยแต่ศาสนาเป็นเนื้อนาบุญ ไม่เข้าใจให้ถึงแก่นแท้คือธรรมะ จะเหมือนดอกไม้ได้แต่เบ่งบานไม่ตกผล หากอาศัยแต่ธรรมะเป็นล าต้น ไม่มีศาสนาเป็นเนื้อนาบุญหรือเป็นน้ าหล่อเลี้ยง ธรรมะที่มีอยู่ในตนก็ยากจะยืนต้นยาวนาน ธรรมะกับศาสนาจึงเป็นของคู่กัน


Click to View FlipBook Version