๔๘
ขั้นที่ ๒ สารวจค้นหา
๑. ครแู บ่งนักเรียนเปน็ กลุ่ม กลมุ่ ละ ๕ คน โดยเรยี งตามลาดบั เลขที่ จากนัน้ ให้แตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั
ศึกษาความรู้เรอ่ื ง การแต่ง คาประพนั ธ์ประเภทรา่ ย จากหนงั สือเรยี น ห้องสมุด และแหล่งข้อมลู สารสนเทศ
ขั้นที่ ๓ อธบิ ายความรู้
๑. สมาชิกแตล่ ะคนในกลุม่ นาผลการศกึ ษาความร้เู รอ่ื ง การแตง่ คาประพันธ์ประเภทร่าย มา
ถา่ ยทอดแลกเปลย่ี นเรยี นรู้กนั
๒. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั ทาใบงานท่ี ๓ เรอื่ ง การแตง่ คาประพันธป์ ระเภทร่าย เมือ่ ทาเสร็จแล้วให้
นาส่งครูตรวจ
๓. นกั เรยี นตอบคาถามกระตนุ้ ความคดิ วา่ “การศึกษาเรอ่ื ง การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทรา่ ย มี
ประโยชนต์ ่อนกั เรียนอย่างไร”
(พจิ ารณาตามคาตอบของนักเรยี น โดยให้อยู่ในดลุ ยพนิ จิ ของครู)
ขน้ั ที่ ๔ ขยายความเข้าใจ
๑. ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละกลุม่ รว่ มกันเขยี นฉันทลกั ษณข์ องคาประพันธป์ ระเภทรา่ ย กลุ่มละ ๑ ชนดิ ลง
ในกระดาษบรู๊ฟ พร้อมทั้งยกตัวอยา่ งคาประพันธ์ประกอบ ตกแตง่ ใหส้ วยงาม
ขั้นที่ ๕ ตรวจสอบผล
๑. ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอฉันทลักษณ์ของคาประพันธ์ประเภทร่าย ครูตรวจสอบและ
ประเมนิ การนาเสนอของนกั เรยี น
๒. นกั เรยี นจดบนั ทึกฉนั ทลกั ษณข์ องคาประพนั ธป์ ระเภทรา่ ย ทง้ั ของกลมุ่ ตนเอง และของกลมุ่ อน่ื
ช่ัวโมงที่ ๒
ขน้ั ที่ ๑ กระตนุ้ ความสนใจ
๑. ครูสนทนากับนักเรียนเรื่อง นาเสนอฉันทลักษณ์ของคาประพันธป์ ระเภทร่ายในชัว่ โมง ที่ผ่านมา
ชมเชยกลุ่มท่ีทาได้ดี แนะนาให้นาไปตดิ ป้ายนเิ ทศเพ่อื ขยายความรู้
๒. ครูสนทนากบั นักเรยี นเรื่อง การแต่งคาประพนั ธ์ประเภทร่าย จากนัน้ ถามนกั เรยี นว่า หากให้เลอื ก
แต่งคาประพนั ธป์ ระเภทรา่ ย นักเรยี นจะแต่งร่ายชนดิ ใด
๓. นักเรียนตอบคาถามกระตุ้นความคิดว่า “เพราะเหตุใดนักเรียนจึงสนใจที่จะแต่งคาประพันธ์
ประเภทร่ายท่เี ลือกน้นั ”
(พิจารณาตามคาตอบของนักเรยี น โดยให้อยู่ในดลุ ยพินจิ ของคร)ู
๔๙
ข้ันท่ี ๒ สารวจค้นหา
๑. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น ๔ กลุ่ม จากนั้นให้แต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาความรู้ เรื่อง ลักษณะของคา
ประพันธ์ประเภทร่ายที่เรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๕ คือ ร่ายสุภาพ ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย และร่ายยาว
ในเร่อื งมหาเวสสนั ดรชาดก
๒. นักเรียนช่วยกันค้นหาจากหนังสือเรียน และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เพ่ือหาข้อมูล รวบรวมเน้ือหา
เตรยี มความพรอ้ ม ในการแต่งคาประพนั ธป์ ระเภทร่ายทร่ี บั ผดิ ชอบ ๒ กลุ่ม ต่อการแตง่ ร่าย ๑ ชนิด
ข้นั ที่ ๓ อธิบายความรู้
๑. สมาชกิ แตล่ ะคนในกล่มุ นาผลการการศึกษา การแตง่ คาประพนั ธ์ประเภทรา่ ยสุภาพ และรา่ ยยาว
มาแลกเปล่ยี นเรยี นรู้
๒. นกั เรยี นตอบคาถามกระตนุ้ ความคดิ วา่ “การแต่งคาประพนั ธป์ ระเภทร่าย มปี ระโยชน์ ต่อ
นกั เรยี นอยา่ งไร”
(พิจารณาตามคาตอบของนักเรยี น โดยให้อย่ใู นดลุ ยพนิ ิจของคร)ู
ขน้ั ที่ ๔ ขยายความเขา้ ใจ
๑. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันแต่งคาประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ และร่ายยาว กลุ่มละ ๑ ชนิด
ลงในกระดาษบร๊ฟู พรอ้ มท้ังยกตัวอยา่ งคาประพนั ธ์ประกอบ ตกแต่งใหส้ วยงาม
ขั้นท่ี ๕ ตรวจสอบผล
๑. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันแต่งคาประพันธ์ประเภทร่าย โดยเลือกแต่งร่ายสุภาพหรือร่ายยาว
เพื่อใช้เป็นบทสรรเสริญองค์ผู้ให้กาเนิดอักษรไทย หรือการสรรเสริญอ่ืน ๆ เช่นพระบาทสมเด็จประปกเกล้า
เจ้าอยหู่ วั พระผู้พระราชทานนามโรงเรยี น ครูตรวจสอบและประเมนิ การนาเสนอของนกั เรียน
๒. นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๔
๕๐
๗. การวัดและประเมนิ ผล
วิธีการ เคร่อื งมอื เกณฑ์
ประเมินการนาเสนอการแตง่ คา แบบประเมนิ การแตง่ คา ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์
ประพนั ธ์ ประพันธ์
แบบประเมนิ การนาเสนอ ระดบั คุณภาพ ๒ ผา่ นเกณฑ์
ประเมนิ การนาเสนอผลงาน ผลงาน ร้อยละ ๖๐ ผ่านเกณฑ์
ใบงานท่ี ๓ (ประเมนิ ตามสภาพจรงิ )
ตรวจใบงานที่ ๓ แบบทดสอบก่อนเรียน
ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๔ ระดบั คุณภาพ ๒ ผา่ นเกณฑ์
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๔ แบบสังเกตพฤติกรรม
การทางานกลมุ่
สงั เกตพฤติกรรมการทางานกล่มุ
๘. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
๘.๑ ส่ือการเรยี นรู้
- หนังสือเรียนภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษาเพื่อการสอ่ื สาร
ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๕
๕๑
๙. บันทกึ ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ รหิ ารหรือผทู้ ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..................………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................……………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..................………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................……………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………………………………..
(..............................................)
ตาแหนง่ .......................................................
วนั ท่ี……เดอื น……………..พ.ศ……….
๕๒
๑๐. บนั ทกึ ผลหลังกระบวนการจัดการเรียนรู้
ผลการเรียนรทู้ ่ีเกิดขนึ้ กับผ้เู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ปญั หา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………..
(นางสาววรรณภา สนิ ศรชยั )
(นายอรรคพล หว่ งจรงิ )
ตาแหน่ง ครู คศ.๑
วันท…ี่ …เดือน……………..พ.ศ………
๕๓
แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ๔
มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี
คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ดุ เพยี งคาตอบเดียว
๑. ลกั ษณะสังคมทป่ี รากฏในเรอื่ ง มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ัทรี เปน็ สงั คมแบบใด
ก. สังคมชนบท
ข. สถาบนั กษตั รยิ ์
ค. ครอบครัวไทย
ง. ครอบครัวนักบวช
๒. ข้อความใดใชพ้ รรณนาในโอกาสทแ่ี ตกต่างจากขอ้ ความอื่น
ก. จะเอาแตเ่ สียงจักจั่นและเรไรอันร่ารอ้ งนั่นหรอื มาตา่ งแตรสังข์และพณิ พาทย์
ข. แสงพระจนั ทรด์ น้ั ส่องตอ้ งนา้ คา้ งทข่ี ังใหไ้ หลลง หยดยอ้ ย เหมือนหนึง่ นา้ พลอยพร้อย ๆ
อยู่พราย ๆ
ค. รศั มีพระจนั ทรกม็ วั หมองเหมือนหนงึ่ จะโศกเศร้าแสนวปิ โยคเมอ่ื ยามปจั จุสมยั
ท้งั รศั มพี ระสุรโิ ยทัยส่องอยรู่ าง ๆ ขนึ้ เรอื งฟ้า
ง. เสยี งเนอ้ื นกนรี่ ่าร้องสาราญรังเรียกค่คู ขู ยบั ขนั ทงั้ จักจนั่ พรรณลองไนเรไรรอ้ งอยหู่ ร่ิง ๆ
ระเร่ือยโรยโหยสาเนยี งดั่งเสยี งสงั คีตขับประโคมไพร
๓. เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก กัณฑม์ ัทรี ให้ข้อคดิ ใดที่สามารถนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นสังคมปจั จุบนั
ก. ความรักเพ่อื นมนุษย์
ข. การปฏบิ ัติตอ่ นักบวช
ค. การปฏบิ ัติตนเพื่อความหลุดพ้น
ง. ความเป็นอันหน่งึ อนั เดียวของคนในครอบครวั
๔. ข้อความในบทอาขยานเรือ่ ง มหาเวสสนั ดรชาดก นาไปอ้างอิงในการเขียนเรอ่ื งใดได้
ก. ธรรมชาตสิ ตั ว์
ข. ความรักของแม่
ค. ความงามของภาษา
ง. การรกั ษาสง่ิ แวดล้อม
๕๔
๕. เร่ือง มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั รี แตง่ ด้วยคาประพันธ์ชนิดใด
ก. รา่ ยยาว
ข. ร่ายสุภาพ
ค. กลอนเทศน์
ง. กลอนเปลา่
๖. มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์มทั รี มคี วามดเี ดน่ ในด้านใด
ก. เนอ้ื หา
ข. รปู แบบคาประพนั ธ์
ค. การใชภ้ าษาภาพพจน์
ง. การใชถ้ อ้ ยคาใหเ้ กิดความรู้สกึ สะเทือนอารมณ์
๗. เรอ่ื ง มหาเวสสันดรชาดก ทีน่ ามาเป็นประเพณที อ้ งถนิ่ ทว่ั ไปจะปรากฏในลักษณะใด
ก. เทศน์มหาชาติ
ข. บทร้องสรรเสรญิ พระเวสสนั ดร
ค. มหรสพการแสดงเรื่อง พระเวสสันดร
ง. บทสวดในโอกาสทชี่ าวบ้านมารว่ มงานบุญ
๘. ขอ้ ความใดแสดงถึงความอดทนของพระนางมัทรี
ก. ได้แต่มัทรีผแู้ สนดือ้ ผเู้ ดยี วดอก
ไมร่ ูจ้ กั ปลนิ้ ปลอกพลิกไพล่เอาตัวหนี
ข. โอ้แม่อ้มุ ท้องประคองเคยี งเลีย้ งเจ้ามากห็ มายมน่ั
สาคญั ว่าจะได้อยู่เป็นเพื่อนยากจะฝากผพี ึ่งลูกท้งั 2 คน
ค. ถึงท่ไี หนจะรกเรย้ี วก็ซอกซอนอตุ สา่ ห์เท่ยี วไม่ถอยหลัง
จนเน้ือหนังขว่ นขาดเป็นร้ิวรอย โลหิตไหลย้อยทุกหยอ่ มหนาม
ง. ดะดุม่ เดินเมิลมุ่งละเมาะไม้มองหมอบ แต่ยา่ งเหยยี บเกรียบกรอบกเ็ หลยี วหลัง
พระโสตฟังให้หวาดแว่วว่าสาเนียงเสียงพระลูกแก้วเจ้าบ่นอยงู่ ึม ๆ
๙. “เจา้ เป็นแต่เพยี งเมียหรอื มาหมนิ่ ได้ ถา้ แมน้ พี่อย่ใู นกรุงไกรเหมอื นแต่กอ่ นเก่า
หากว่าเจา้ ทาเชน่ น้ี กายของมัทรีกข็ าดสะบ้นั ลงทนั ตา ดว้ ยพระกรเบอื้ งขวาของอาตมา
นีแ้ ลว้ แล” ข้อความนส้ี ะทอ้ นภาพใด ในสงั คมไทย
๕๕
ก. สะทอ้ นใหเ้ ห็นธรรมชาติของมนษุ ย์
ข. สะท้อนให้เห็นความเชอ่ื ของสังคมไทย
ค. สะทอ้ นใหเ้ หน็ ขนบธรรมเนยี มประเพณไี ทย
ง. สะท้อนใหเ้ ห็นค่านิยมเกี่ยวกบั สตรีเม่ือแต่งงานแลว้ ถอื วา่ เป็นทรัพย์สนิ ของสามี
๑๐. เร่อื ง มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์มทั รี มสี าระสาคัญอยา่ งไร
ก. การบรจิ าคทาน
ข. ความรักระหวา่ งแมก่ บั ลกู
ค. ความรักระหวา่ งสามีกับภรรยา
ง. ความทุกขย์ ากของพระนางมัทรี
๑๑. คาประพันธป์ ระเภทร่าย มีข้อแตกตา่ งจากบทรอ้ ยกรองประเภทอ่ืนอยา่ งไร
ก. มีฉนั ทลักษณ์นอ้ ยกว่าบทร้อยกรองประเภทอน่ื
ข. มกี ารนาไปใช้แตกต่างจากบทร้อยกรองประเภทอน่ื
ค. มกี ารเลอื กใชค้ าแตกต่างจากบทร้อยกรองประเภทอน่ื
ง. มปี ระวัตคิ วามเปน็ มายาวนานกว่าบทร้อยกรองประเภทอ่ืน
๑๒. ร่ายสภุ าพปรากฏอยใู่ นวรรณคดเี รื่องใดเป็นเรอ่ื งแรก
ก. ลิลิตพระลอ
ข. จารึกวดั ศรีชุม
ค. โองการแช่งน้า
ง. มหาเวสสันดรชาดก
๑๓. การแต่งรา่ ยสุภาพต้องจบลงด้วยบทร้อยกรองประเภทใด
ก. โคลงสองดั้น
ข. โคลงสามดน้ั
ค. โคลงสองสภุ าพ
ง. โคลงสามสภุ าพ
๑๔. รา่ ยยาวนยิ มแตง่ เพอื่ ใช้ในงานประเภทใด
ก. บทโศกเศรา้
ข. บทบรรยายทัว่ ไป
ค. บทบวงสรวง สดุดี
๕๖
ง. บทสนุก ตลกขบขนั
๑๕. คาท่ีใช้ในการแตง่ รา่ ย ควรมลี กั ษณะอย่างไร
ก. ให้ภาพพจน์
ข. สน้ั ๆ เข้าใจงา่ ย
ค. มีความหมายลึกซึ้ง
ง. คาท่มี ีพลงั ใช้คาน้อย มีความหมายมาก
๑๖. คาวา่ ชาดก มคี วามหมายตรงกับข้อใด
ก. เรือ่ งราวของพระโพธสิ ัตว์
ข. เรื่องราวของพระพทุ ธเจา้
ค. เรื่องราวของพระพุทธเจา้ กสอนตรสั รู้
ง. เรอื่ งราวของพระพุทธเจ้าตอนตรสั รแู้ ล้ว
๑๗. มลู เหตุเบอ้ื งต้นทที่ าให้เกิดเรื่องมหาเวสสนั ดรชาดก คอื ขอ้ ใด
ก. พระสงฆ์สาวกทลู อาราธนา
ข. เกิดฝนโบกขรพรรษตกลงมา
ค. พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดพทุ ธบดิ า
ง. พระประยรู ญาตติ ้องการทราบเร่ืองราว
๑๘. ผู้ทมี่ บี ทบาทเด่นทีส่ ุดในกัณฑม์ ทั รีคือใคร
ก. ชูชก
ข. พระนางมทั รี
ค. พระเวสสนั ดร
ง. พระชาลแี ละพระกณั หา
๑๙. การเทศนม์ หาชาตกิ ระทากันเม่อื ใด
ก. เทศนต์ ั้งแตเ่ ดือนอา้ ยเป็นต้นไป
ข. เทศน์ตัง้ แต่เดือนยถ่ี ึงเดือนสาม
ค. เทศนต์ ้งั แตเ่ ดอื นสามถึงเดือนสี่
ง. เทศน์ตง้ั แต่เดอื นสถี่ งึ เดอื นห้า
๒๐. จดุ ประสงค์ของการเทศน์มหาชาติคอื ขอ้ ใด
๕๗
ก. เพ่ือใหเกดิ อานสิ งคอ์ ันแรงกล้า
ข. เพ่ือไดพ้ บพบพระศรอี รยิ เมตตรยั โพธสิ ัตว์
ค. เพ่ือได้ประพฤตปฏบิ ตั ติ ามอย่างพระพุทธเจ้า
ง. เพ่อื ตายไปจะไม่แตกนรกซึ่งต้องทุกข์ทรมาน
๒๑. ขอ้ ใดไมใ่ ชล่ กั ษณะของหนงั สือประเภทคาหลวง
ก. พระมหากษัตริย์แต่ง
ข. แต่งดว้ ยคาประพนั ธห์ ลายชนิด
ค. เป็นเรอ่ื งเก่ียวกบั ศาสนาหรือศลี ธรรมจรรยา
ง. เนอ้ื เร่ืองมุ่งความบันเทิงและยกย่องวีรบรุ ุษ
๒๒. มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์ใด ทส่ี มเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส
ทรงพระนิพนธ์
ก. กัณฑ์มหาพน
ข. กณั ฑ์กุมาร
ค. กณั ฑท์ ศพร
ง. กัณฑ์มทั รี
๒๓. มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม์ ัทรี มลี ักษณะดที ส่ี ุด คือขอ้ ใด
ก. บรรยายโวหารให้เห็นภาพ
ข. ใช้คากล่าวเกินจรงิ ให้เหน็ ภาพ
ค. ใช้คาเลยี นเสียงธรรมชาติใหเ้ หน็ ภาพ
ง. ใชพ้ รรณนาโวหารได้อารมณ์ความรูส้ กึ เปน็ อย่างดี
๒๔. รสในวรรณคดที ่ดี ีเด่นที่สดุ ในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี คอื ขอ้ ใด
ก. สลั ปงั คพสิ ยั
ข. พิโรธวาทงั
ค. นารีปราโมทย์
ง. เสาวรสจนี
๕๘
๒๕. ข้อใดไมใ่ ช่พร ๑๐ ประการ ที่นางฟา้ ผุสดีทูลขอจากพระอินทร์
ก. จักษดุ าดจุ ลูกตาของกวาง
ข. พระหัตถ์เรยี วดุจลาเทยี น
ค. ผิวพรรณละเอียดดุจทองคาธรรมชาติ
ง. ขนค้วิ โคง้ งอนงามเหมอื นสร้อยคอนกยูง
๒๖. มหาชาติ ท้งั หมดมีกก่ี ัณฑ์
ก. ๑๐ กณั ฑ์
ข. ๑๑ กณั ฑ์
ค. ๑๒ กณั ฑ์
ง. ๑๓ กณั ฑ์
๒๗. เพราะเหตุใดเทวดาจึงเนรมิตเป็นสตั วร์ า้ ย ขวางพระนางมัทรี
ก. ทดลองใจพระนางมัทรี
ข. เพราะทีน่ น่ั เป็นที่สถิตของเทวดา
ค. เพอื่ แสดงอิทธฤิ ทธใ์ิ ห้พระนางมทั รเี กรงกลวั
ง. ขัดขวางพระนางมทั รีไปให้กลบั ไปยงั อาศรม
๒๘. ขอ้ ใดคือชา้ งเผอื กคู่บุญของพระเวสสันดร
ก. ปจั จัยนาเคนทร์
ข. พญาฉตั รฑณั ต์
ค. พญานาเคนทร์
ง. ปจั จัยฉัตรฑัณต์
๒๙. รา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มัทรี ใหข้ ้อคิดแกผ่ อู้ า่ นตามขอ้ ใดเดน่ ชดั ท่สี ดุ
ก. ลกู ที่ดตี อ้ งเคารพการตัดสนิ ใจของพ่อแม่
ข. ความสัมพนั ธฉ์ ันสามภี รรยานามาซึง่ ความทุกข์
ค. ไม่มีความรกั ใดท่ียิง่ ใหญเ่ ทา่ กับความรกั ของพอ่ แม่
๕๙
ง. มนษุ ยต์ ้องรจู้ ักระมัดระวังตนใหร้ อดปลอดภยั จากอนั ตรายทง้ั ปวง
๓๐. เพราะเหตใุ ดพระเวสสันดรจงึ ถกู ขับไล่ออกจากกรงุ สีวริ าษฎร์
ก. เพราะพระเวสสันดรไมส่ นใจในกิจการบ้านเมอื ง
ข. เพราะบรจิ าคช้างปัจจัยนาคท่เี ป็นชา้ งคบู่ ้านคู่เมืองแกเ่ มืองกลิงคราษฎร์
ค. เพราะพระเวสสันดรทรงบรจิ าคทรัพย์จากพระคลงั หลวงจนทาใหบ้ า้ นเมอื งขัดสน
ง. เพราะโหรทานายวา่ พระเวสสันดรเปน็ กาลกิณี จะทาใหก้ รุงสวี ิราษฎร์เผชญิ ภาวะ
ข้าวยากหมากแพง
๖๐
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๔
มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม์ ัทรี
ขอ้ คาตอบ ข้อ คาตอบ ขอ้ คาตอบ
๑ ค ๑๑ ก ๒๑ ง
๒ ก ๑๒ ก ๒๒ ค
๓ ง ๑๓ ค ๒๓ ง
๔ ข ๑๔ ค ๒๔ ก
๕ ก ๑๕ ง ๒๕ ค
๖ ง ๑๖ ค ๒๖ ง
๗ ก ๑๗ ข ๒๗ ง
๘ ค ๑๘ ข ๒๘ ก
๙ ง ๑๙ ง ๒๙ ค
๑๐ ข ๒๐ ข ๓๐ ค
๖๑
ใบงานที่ ๓
เรอื่ ง การแต่งคาประพนั ธป์ ระเภทรา่ ย
คาชี้แจง ให้นกั เรียนเขียนอธิบายการแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทร่ายตอ่ ไปน้ี (คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน)
๑. ความเป็นมาของบทร้อยกรองประเภทรา่ ย
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
๒. ลักษณะบังคบั ของรา่ ย
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
๓. ข้อบงั คบั ของร่ายสภุ าพ
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
๖๒
๔. ขอ้ บังคบั ของร่ายยาว
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
๕. กลวธิ กี ารแตง่ รา่ ยสุภาพและร่ายยาว
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
๖๓
แนวคาตอบใบงานท่ี ๓
เรื่อง การแตง่ คาประพันธ์ประเภทรา่ ย
คาช้แี จง ให้นกั เรียนเขียนอธบิ ายการแตง่ คาประพันธ์ประเภทรา่ ยตอ่ ไปนี้ (คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน)
๑. ความเป็นมาของบทรอ้ ยกรองประเภทร่าย
ร่ายเป็นคาประพันธเ์ ก่าแกข่ องไทย มมี าต้งั แต่สมัยสุโขทยั มีลกั ษณะใกล้เคยี งกบั
รอ้ ยแก้ว เพียงแต่มกี ารกาหนดสัมผสั และบังคับวรรณยกุ ตใ์ นบางแห่ง ร่ายจาแนกประเภท
ตามฉนั ทลกั ษณ์ ไดเ้ ปน็ ๔ ชนิด คอื รา่ ยโบราณ รา่ ยสภุ าพ รา่ ยด้ัน และร่ายยาว
๒. ลักษณะบงั คบั ของร่าย
๑) คณะ รา่ ยบทหนึง่ จะมีก่วี รรคกไ็ ด้ โดยท่ัวไปจะมตี ้งั แต่ ๕ วรรคขนึ้ ไป ส่วนตอนจบ
บางชนดิ ก็จบแบบธรรมดาบางชนิดก็จบโดยมีขอ้ บังคบั เพม่ิ เตมิ สว่ นจานวนคาในวรรคโดยมาก
กาหนด ๕ คา แต่บางชนิดอาจจะมมี ากกว่า หรอื น้อยกวา่ ก็ได้
๒) สมั ผัส มีสัมผสั สง่ ท้ายวรรคและมสี ัมผสั รบั เชื่อมหน้าวรรคต่อไปเช่นน้ีจนจบ สัมผสั สง่
และสัมผสั รับทเ่ี ชื่อมกนั น้ี จะตอ้ งสง่ และรับคาชนดิ เดียวกัน
๓. ขอ้ บงั คบั ของรา่ ยสุภาพ
๑) คณะ รา่ ยสภุ าพบทหนึง่ ๆ มีตั้งแต่ ๕ วรรคข้นึ ไป จัดเปน็ วรรคละ ๕ คา หรอื
มากกว่ากไ็ ด้ จะแตง่ ยาวกี่วรรคก็ได้ไมก่ าหนด แตอ่ ีก ๓ วรรคกอ่ นจบจะต้องแต่งเปน็ โคลงสอง
สภุ าพ เสมอ
๒) สัมผสั คาสดุ ท้ายของวรรคหน้าต้องสมั ผัสกับคาที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคต่อ ๆ ไป
จนถงึ วรรคสุดท้ายให้สง่ สมั ผสั ไปยงั บาทตน้ ของโคลงสองสุภาพ ซงึ่ เปน็ สมั ผสั รบั ในคาท่ี ๑, ๒
หรือ ๓ กไ็ ด้ ส่วนท่เี ปน็ โคลงสองสุภาพกใ็ ห้สมั ผสั ตามลักษณะของโคลง
๖๔
๔. ข้อบังคบั ของรา่ ยยาว
๑) คณะ ร่ายยาวบทหนึ่งมี ๕ วรรคขน้ึ ไป คาในวรรคหนึง่ ๆ มตี ง้ั แต่ ๖-๑๐ คา หรือ
มากกว่ากไ็ ด้
๒) สมั ผสั คาสดุ ทา้ ยของวรรคตน้ สัมผสั กบั คาใดคาหนงึ่ ของวรรคตอ่ ไป แตไ่ มค่ วรใหอ้ ยู่
ใกลช้ ิดกับคาสดุ ทา้ ย รา่ ยยาวไม่มีการบังคับเอก โท และคาสรอ้ ยอย่างรา่ ยสภุ าพ
๕. กลวธิ ีการแต่งร่ายสุภาพและรา่ ยยาว
๑) กาหนดเรอ่ื งราวเน้ือหาทีจ่ ะแตง่ โดยกาหนดไวเ้ ป็นความเรยี งธรรมดาก่อน เพือ่ ลาดับ
ความคดิ และเปน็ การกาหนดทิศทางของเรื่อง
๒) นาความมาเรียงกันทลี ะวรรคและสรรคาทีเ่ หมาะสม โดยเลือกสรรคาทมี่ นี ้าหนกั
มีเสยี งไพเราะ เริม่ จากการนาคาที่เลอื กสรรมาร้อยเรยี งกันทลี ะวรรค จนสบื เนอ่ื งจบเร่ืองราว
๖๕
ตารางแสดงคะแนน
ใบงานที่ ๓ เร่ือง การแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทรา่ ย
เลขที่ ชื่อ – สกลุ คะแนน (๑๐) หมายเหตุ
ใบงานท่ี ๓
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๒๗
๖๖
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๖๗
การประเมนิ ชนิ้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)
ประเมนิ การนาเสนอการแตง่ คาประพันธ์
คาช้แี จง ใหค้ รูประเมินการนาเสนอผลงานของนกั เรยี นตามรายการทกี่ าหนด
แล้วขดี ✓ ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั ระดับคะแนน
ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
๔ ๓ ๒๑
๑ ฉนั ทลักษณแ์ ละอกั ขรวธิ ี
๒ กวโี วหาร
๓ ความคดิ และเน้อื หา
๔ ความสวยงาม
รวม
เกณฑก์ ารให้คะแนน
ผลงานสมบูรณ์ชดั เจน ให้ ๔ คะแนน
ผลงานมขี อ้ บกพรอ่ งบางส่วน ให้ ๓ คะแนน
ผลงานมีข้อบกพร่องเปน็ ส่วนใหญ่ ให้ ๒ คะแนน
ผลงานมขี อ้ บกพร่องมาก ให้ ๑ คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
๑๘-๒๐ ดมี าก
๑๔-๑๗ ดี
๑๐-๑๓ พอใช้
ตา่ กว่า ๑๐ ปรับปรุง
ลงชอ่ื ...........................................ผู้ประเมิน
(นางสาววรรณภา สินศรชัย)
(นายอรรคพล หว่ งจริง)
๖๘
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาชี้แจง ให้ครปู ระเมินการนาเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการทีก่ าหนดแล้วขดี ✓ ลงในชอ่ งทต่ี รงกับ
ระดบั คะแนน
ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดับคะแนน
๔ ๓ ๒๑
๑ เนอ้ื หาละเอียดชัดเจน
๒ ความถกู ตอ้ งของเน้อื หา
๓ ภาษาทีใ่ ช้เข้าใจง่าย
๔ ประโยชน์ทไี่ ด้จากการนาเสนอ
๕ วิธีการนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชือ่ ...........................................ผู้ประเมนิ
(นางสาววรรณภา สินศรชัย)
(นายอรรคพล ห่วงจรงิ )
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสมบรู ณ์ชัดเจน ให้ ๔ คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมีขอ้ บกพรอ่ งบางส่วน ให้ ๓ คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมีข้อบกพรอ่ งเป็นสว่ นใหญ่ ให้ ๒ คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมมีข้อบกพรอ่ งมาก ให้ ๑ คะแนน
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
๑๘-๒๐ ดมี าก
๑๔-๑๗ ดี
๑๐-๑๓ พอใช้
ตา่ กว่า ๑๐ ปรับปรุง
๖๙
แบบประเมนิ พฤติกรรมรายบุคคล
พฤติกรรมที่ประเมนิ
เลข ช่ือ - สกลุ ความ ความมี ความ ความมี รวม
ที่ รับผิดชอบ วนิ ัย ซอ่ื สัตย์ น้าใจ
๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๑๒
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๗๐
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
เกณฑ์การวัดคะแนนระดบั คณุ ภาพของแต่ละพฤตกิ รรม ดงั น้ี
ระดับคณุ ภาพ ดี ปานกลาง ปรับปรุง
คะแนน
๓๒ ๑
เกณฑก์ ารวัดคะแนนรวมระดับคณุ ภาพ ดงั นี้
ระดับคณุ ภาพ ดี ปานกลาง ปรับปรุง
คะแนน ๙ - ๑๒ ๕ - ๘ ๑-๔
๗๑
แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
คาช้แี จง ๑. ให้ผ้ปู ระเมนิ ใส่คะแนนในช่วงตามความเหมาะสมและตามความเปน็ จรงิ
๒. ความหมายของระดับคะแนน
๕ = ดมี าก ๔ = ดี ๓ = ปานกลาง ๒ = พอใช้ ๑ = ปรบั ปรงุ
เกณฑก์ ารผ่านไดค้ ะแนน ๑๘ คะแนนหรอื ร้อยละ ๘๐
พฤตกิ รรม
เล ชอ่ื – สกุล ความ การ การแสดง การรับฟงั รวม
ขที่ ของผรู้ ับการประเมิน รว่ มมอื ต้งั ใจ ความ ความ ๒๐
ทางาน คิดเหน็ คดิ เห็น
๕๕ ๕ ๕
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๗๒
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๗๓
แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
เลข ซ่ือ ัสต ์ย
ท่ี ช่ือ – สกลุ สุจริต
ีมวิ ันย
ใฝ่เรียนรู้
่มุง ่ัมนใน
การทางาน
รวม
คะแนน
ผ่าน / ไ ่มผ่าน
๓ ๓ ๓ ๓ ๑๒
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๗๔
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๗๕
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
รายการประเมิน ระดับคณุ ภาพ
๑. ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ
๓๒๑
๒. มวี ินัย
ปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วม ปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วม ปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วม
๓. ใฝ่เรยี นรู้
๔. มุง่ มนั่ ในการทางาน ห้องด้วยความซื่อตรง ห้องด้วยความซ่ือตรง ห้องด้วยความซื่อตรง
แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม
ข้อตกลง ข้อตกลง ข้อตกลง
ของห้องในระดับดี ของห้องในระดับ ของห้อง ในระดบั พอใช้
ปานกลาง
ปฏิบัตติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง
กฎเกณฑ์ ระเบียบ ตรง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ ระเบียบ
ต่อเวลาในการปฏิบัติ ตรงต่อเวลาในการ ตรงต่อเวลาในการ
กิจกรรมต่าง ๆ ใน ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ
ระดับดี ในระดบั ปานกลาง ในระดบั พอใช้
มีความสนใจในการ มีความสนใจในการ มีความสนใจในการ
เรยี นและกระตอื รือรน้ เรียนและกระตือรอื ร้น เรียนและกระตือรอื รน้
ตอ่ การเรยี น ในระดับดี ต่อการเรยี น ต่อการเรียน
ในระดบั ปานกลาง ในระดบั พอใช้
มีความต้ังใจ อดทน มีความตั้งใจ อดทน มีความตั้งใจ อดทน
และพยายามในการ และพยายามในการ และพยายามในการ
ท า ง า น ท่ี ไ ด้ รั บ ท า ง า น ที่ ไ ด้ รั บ ท า ง า น ท่ี ไ ด้ รั บ
มอบหมายอย่างเต็ม มอบหมาย มอบหมายไมเ่ ต็มที่
ความสามารถ ในบางครั้ง
ความหมายระดับคณุ ภาพ ๓ หมายถงึ ดี เกณฑ์ระดบั คะแนน ๙ – ๑๒ = ๓
๒ หมายถึง พอใช้ เกณฑ์ระดบั คะแนน ๕ –๘ = ๒
๑ หมายถึง ปรับปรงุ เกณฑร์ ะดบั คะแนน ๑– ๔ = ๑
เกณฑก์ ารผา่ น ได้คะแนน ๑ ขึ้นไป
ลงชอื่ ...........................................ผูป้ ระเมนิ
(นางสาววรรณภา สินศรชยั )
(นายอรรคพล หว่ งจรงิ )
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ ๗๖
วิชา ภาษาไทย ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๕
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๒ การรอ้ ยเรียงประโยค เวลา ๕ ช่ัวโมง
เรื่อง การใช้คาหรือกลมุ่ คา สร้างประโยค เวลา ๑ ชวั่ โมง
ผู้สอน นางสาววรรณภา สินศรชยั
นายอรรคพล ห่วงจริง
๑. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
การร้อยเรียงประโยคท่ีดีนั้น ทั้งเน้ือความและถ้อยคาจะต้องมีความสัมพันธ์กันเก่ียวเน่ืองกัน เพราะ
เน้ือความของประโยคคือความคิดของผู้ส่งสารซ่ึงจะต้องมีลาดับและมีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน การทาให้
ประโยคมีความสัมพนั ธ์เก่ียวเน่ืองกันน้ัน สามารถทาได้ด้วยวธิ ีต่าง ๆ เช่น การเช่ือมประโยค การซ้าคาหรือวลี
การละคาหรือวลี การแทนดว้ ยคาหรือวลี
การสรา้ งประโยคใหต้ รงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ต้องรูจ้ ักเลอื กใช้คาและกลุ่มคาให้ถกู ตอ้ ง
๒. ตัวช้วี ดั /จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
๒.๑ ตวั ช้ีวัด
ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัตขิ องชาติ
ม.๔-๖/๒ ใชค้ าและกลุ่มคาสรา้ งประโยคตรงตามวัตถุประสงค์
ม.๔-๖/๗ วเิ คราะห์และประเมนิ การใช้ภาษาจากส่อื ส่งิ พมิ พแ์ ละส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์
๒.๒ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. อธิบายลกั ษณะการร้อยเรียงประโยคทด่ี ไี ด้ (K)
๒. ใช้คาและกลุม่ คาสร้างประโยคไดต้ รงตามเจตนาของผูส้ ่งสาร (K, P)
๓. เห็นคณุ คา่ ของการใชภ้ าษาไทย (A)
๓. สาระการเรียนรู้
๓.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๑) การใช้คาและกลุ่มคาสร้างประโยค
๒) การประเมนิ การใชภ้ าษาจากสื่อสง่ิ พิมพแ์ ละสื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
๔. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
๗๗
๔.๑ ความสามารถในการสือ่ สาร
๔.๒ ความสามารถในการคดิ
- ทักษะการจาแนกประเภท
- ทกั ษะการสังเคราะห์
๔.๓ ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
- กระบวนการทางานกลุ่ม
- กระบวนการนาไปใช้
๕. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
- มวี นิ ยั
- ใฝ่เรียนรู้
- มุ่งม่ันในการทางาน
๖. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ : เทคนิคการแบง่ ปนั ความสาเรจ็
ขนั้ นาเข้าสบู่ ทเรยี น
๑. ครสู นทนากับนักเรยี นเรือ่ ง การสนทนาในชีวติ ประจาวัน จากนั้นถามนกั เรียนวา่ ในการพูด
โดยทั่วไปนัน้ ผู้พดู มเี จตนาอยา่ งไร
๒. นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเรอ่ื ง เจตนาของผู้สง่ สาร
ขนั้ สอน
๑. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั ศกึ ษาความรเู้ รอ่ื ง การใช้คาหรอื กล่มุ คาสรา้ งประโยคให้ตรงตามเจตนา
ของผ้สู ่งสารจากหนงั สือเรยี น
๒. ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายเรือ่ ง การใชค้ าหรือกลมุ่ คาสรา้ งประโยคให้ตรงตามเจตนาของผ้สู ่ง
สาร จนมีความเขา้ ใจกระจ่างชดั เจน ซึ่งเราอาจแบง่ ประโยคตามเจตนาของผสู้ ง่ สารทแ่ี สดงในประโยค ๆ ได้
เป็น ๓ ประเภทคอื
- ประโยคแจง้ ให้ทราบ คอื ประโยคทผี่ ้พู ูดบอกกล่าวหรอื แจง้ เรอ่ื งราวบางประการให้ผู้ฟงั ทราบ
หรอื เรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ ว่าประโยคบอกเลา่
- ประโยคถามให้ตอบ คือประโยคทีผ่ ู้พูดใช้ถามเร่ืองราวบางประการเพอ่ื ให้ผู้ฟังตอบสิ่งท่ีผู้พูด
อยากรู้ หรือเรยี กอกี อย่างวา่ ประโยคคาถาม
- ประโยคบอกให้ทา คอื ประโยคทีผ่ ้พู ูดใชเ้ พอ่ื ใหผ้ ู้ฟังกระทาอาการบางอยา่ งตามความตอ้ งการ
ของผพู้ ูด เรียกวา่ ประโยคบอกให้ทา หรือเรยี กอีกอย่างหนึ่งวา่ ประโยคคาส่ังหรือขอร้อง
๗๘
๓. ครูช้ีแจงใหน้ ักเรยี นทราบวา่ ความสาเร็จของกลุม่ นัน้ จะตอ้ งอาศยั ผลจากการร่วมมอื กนั และ
ชว่ ยเหลอื กนั ผทู้ ี่เกง่ กว่าจะต้องชว่ ยเหลือผทู้ ่ีอ่อนกวา่ หรอื เรยี นชา้ กว่า
๔ นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั ทาใบงานท่ี ๑ เรอื่ ง ลักษณะของประโยคตามเจตนาของผู้สง่ สาร และใบ
งานที่ ๒ แตง่ ประโยค สรา้ งประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร เม่ือทาเสร็จแลว้ ใหน้ าส่งครตู รวจ
๕. ครูนาคะแนนของสมาชกิ ทุกคนในกลมุ่ มารวมกันเป็นคะแนนกลุม่ จากน้ันกล่าวคาชมเชยและนา
ผลงานของนกั เรยี นกลมุ่ ทไ่ี ดค้ ะแนนสงู สดุ มาใหน้ ักเรียนดเู ป็นตัวอย่าง
๖. นกั เรยี นตอบคาถามกระตุ้นความคดิ วา่ “นกั เรยี นคิดวา่ การใชค้ าหรอื กลมุ่ คาสรา้ งประโยคใหต้ รง
ตามเจตนาของผสู้ ง่ สาร มีความสาคัญอยา่ งไร”
(พจิ ารณาตามคาตอบของนกั เรียน โดยใหอ้ ยู่ในดลุ ยพนิ ิจของครผู ูส้ อน)
ขนั้ สรุป
๑. ครูให้นักเรยี นกลุม่ ที่ไดค้ ะแนนสูงสุดร่วมกันสรปุ องค์ความรูเ้ รอ่ื ง การใชค้ าหรือกลุ่มคาสรา้ ง
ประโยคใหต้ รงตามเจตนาของผ้สู ง่ สาร
๒. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเพ่ือสรุปองคค์ วามรูเ้ รือ่ ง การใช้คาหรือกลมุ่ คาสร้าง
ประโยคใหต้ รงตามเจตนาของผสู้ ง่ สาร
๗. การวัดและประเมนิ ผล
วิธีการ เครอื่ งมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานท่ี ๑, ๒ ใบงานท่ี ๑, ๒ ร้อยละ ๖๐ ผ่านเกณฑ์
สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคณุ ภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์
การทางานกลมุ่
สังเกตความมีวินยั ใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่ัน แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะ ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน และรกั ความเปน็ ไทย อนั พึงประสงค์
๘. ส่ือ/แหลง่ การเรยี นรู้
๘.๑ สื่อการเรียนรู้
- หนังสือเรยี นหลักภาษาและการใชภ้ าษาเพือ่ การสื่อสาร ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๕
- ใบงานท่ี ๑ ลักษณะของประโยคตามเจตนาของผูส้ ่งสาร
- ใบงานที่ ๒ แต่งประโยค สรา้ งประโยคใหต้ รงตามเจตนาของผู้สง่ สาร
๗๙
๙. บนั ทึกข้อเสนอแนะของผบู้ ริหารหรือผทู้ ไ่ี ด้รบั มอบหมาย
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..................………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................……………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..................………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................……………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ลงช่ือ…………………………………………..
(..............................................)
ตาแหน่ง .......................................................
วนั ที่……เดอื น……………..พ.ศ……….
๘๐
๑๐. บนั ทกึ ผลหลังกระบวนการจัดการเรยี นรู้
ผลการเรียนรทู้ ่ีเกิดขนึ้ กับผ้เู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ปญั หา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
……………………………………………....................................…………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………
…………………………………………………………....................................………………………………………………………………
ลงชอื่ …………………………………………..
(นางสาววรรณภา สินศรชัย)
(นายอรรคพล ห่วงจรงิ )
ตาแหนง่ ครู คศ.๑
วันท…่ี …เดือน……………..พ.ศ……….
๘๑
ใบงานท่ี ๑
เรอื่ ง การใช้คาหรอื กลุม่ คาสร้างประโยคใหต้ รงตามเจตนาของผูส้ ่งสาร
คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนอธิบายลกั ษณะของประโยคต่อไปน้ี (คะแนนเตม็ ๖ คะแนน)
๑. ประโยคแจ้งใหท้ ราบ
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
๒. ประโยคถามให้ตอบ
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
๓. ประโยคบอกให้ทา
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………….
๘๒
ใบงานท่ี ๒
เร่ือง แตง่ ประโยค สร้างประโยคใหต้ รงตามเจตนาของผสู้ ่งสาร
คาช้ีแจง ให้นกั เรียนแตง่ ประโยคต่อไปน้ี ประเภทละ ๓ ประโยค (คะแนนเตม็ ๙ คะแนน)
๑. ประโยคแจ้งให้ทราบ
๒. ประโยคถามใหต้ อบ
๓. ประโยคบอกให้ทา
๘๓
๘๔
แนวคาตอบใบงานที่ ๑
เรื่อง การใช้คาหรอื กล่มุ คาสรา้ งประโยคให้ตรงตามเจตนาของผูส้ ง่ สาร
คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นอธิบายลกั ษณะของประโยคต่อไปน้ี (คะแนนเตม็ ๖ คะแนน)
๑. ประโยคแจ้งใหท้ ราบ
ประโยคแจ้งใหท้ ราบ เป็นประโยคท่ผี ู้ส่งสารใช้แจง้ ขอ้ ความหรือบอกเล่าเรือ่ งราว
บางอย่างให้ผรู้ ับสารได้ทราบถึงข้อความหรอื เร่อื งราวน้ัน
๒. ประโยคถามใหต้ อบ
ประโยคถามให้ตอบ เป็นประโยคทผี่ ู้สง่ สารใช้ถามเร่ืองราวบางประการ เพ่อื ให้
ผู้รับสารตอบคาถาม ประโยคชนิดน้ี จะมรี ูปแบบเช่นเดียวกับประโยคแจง้ ใหท้ ราบ
จะแตกต่างกันตรงท่ีวา่ ประโยคถามใหต้ อบ จะตอ้ งมีคาท่ีแสดงความเปน็ คาถาม เช่น ใคร
อะไร ท่ีไหน เมอื่ ไร อยา่ งไร เป็นตน้
๓. ประโยคบอกให้ทา
ประโยคบอกให้ทา เป็นประโยคทผ่ี ้สู ่งสารบอกใหผ้ รู้ บั สารทาตามความต้องการ
ของตน อาจใช้วธิ กี ารต่าง ๆ เชน่ ขอร้อง ออ้ นวอน ชกั ชวน ส่ัง เปน็ ต้น ประโยคประเภทนี้
จงึ มีคาท่ีแสดงเจตนาดังกลา่ วประกอบอยูด่ ว้ ย เช่น คาว่า โปรด กรณุ า อยา่ ต้อง หา้ ม
เป็นต้น
๘๕
แนวคาตอบใบงานที่ ๒
เรอื่ ง แตง่ ประโยค สรา้ งประโยคให้ตรงตามเจตนาของผสู้ ่งสาร
คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนแต่งประโยคตอ่ ไปนี้ ประเภทละ ๓ ประโยค (คะแนนเต็ม ๙ คะแนน)
1. ประโยคแจง้ ให้ทราบ
2. ประโยคถามให้ตอบ
3. ประโยคบอกให้ทา
๘๖
(อยู่ในดุลยพินจิ ของคร)ู
ตารางแสดงคะแนน
ใบงานที่ ๑ และใบงานท่ี ๒
เลขที่ ชื่อ – สกลุ คะแนน (๖) คะแนน (๑๐)
ใบงานท่ี ๑ ใบงานที่ ๒
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๘๗
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๘๘
แบบประเมนิ พฤตกิ รรมรายบคุ คล
พฤตกิ รรมที่ประเมิน
เลข ชือ่ - สกลุ ความ ความมี ความ ความมี รวม
ที่ รบั ผิดชอบ วนิ ัย ซอื่ สตั ย์ นา้ ใจ
๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๑๒
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๘๙
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
เกณฑก์ ารวัดคะแนนระดบั คณุ ภาพของแต่ละพฤตกิ รรม ดงั น้ี
ระดับคณุ ภาพ ดี ปานกลาง ปรับปรุง
คะแนน
๓๒ ๑
เกณฑก์ ารวดั คะแนนรวมระดับคณุ ภาพ ดงั น้ี
ระดับคณุ ภาพ ดี ปานกลาง ปรับปรุง
คะแนน ๙ - ๑๒ ๕ - ๘ ๑-๔
๙๐
แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่
คาช้แี จง ๑. ให้ผ้ปู ระเมนิ ใส่คะแนนในชว่ งตามความเหมาะสมและตามความเป็นจริง
๒. ความหมายของระดับคะแนน
๕ = ดมี าก ๔ = ดี ๓ = ปานกลาง ๒ = พอใช้ ๑ = ปรับปรงุ
เกณฑก์ ารผ่านไดค้ ะแนน ๑๘ คะแนนหรอื ร้อยละ ๘๐
พฤตกิ รรม
เล ชอ่ื – สกุล ความ การต้ังใจ การแสดง การรบั ฟงั รวม
ขที่ ของผรู้ ับการประเมิน ร่วมมือ ทางาน ความ ความ ๒๐
คิดเหน็ คดิ เห็น
๕๕ ๕ ๕
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๙๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๙๒
แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
เลข ซ่ือ ัสต ์ย
ท่ี ช่ือ – สกลุ สุจริต
ีมวิ ันย
ใฝ่เรียนรู้
่มุง ่ัมนใน
การทางาน
รวม
คะแนน
ผ่าน / ไ ่มผ่าน
๓ ๓ ๓ ๓ ๑๒
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๙๓
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
๙๔
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
๑. ซ่ือสัตยส์ จุ รติ
๓๒๑
๒. มวี ินยั
ปฏิบัติตัวต่อเพ่ือนร่วม ปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วม ปฏิบัติตัวต่อเพ่ือนร่วม
๓. ใฝ่เรยี นรู้
๔. มุง่ มนั่ ในการทางาน ห้องด้วยความซ่ือตรง ห้องด้วยความซ่ือตรง ห้องด้วยความซ่ือตรง
แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม
ขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ของหอ้ งในระดบั ดี ของหอ้ งในระดบั ของหอ้ ง ในระดบั พอใช้
ปานกลาง
ปฏิบัตติ ามขอ้ ตกลง ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง
กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ตรง กฎเกณฑ์ ระเบียบ กฎเกณฑ์ ระเบียบ
ต่อเวลาในการปฏิบัติ ตรงต่อเวลาในการ ตรงต่อเวลาในการ
กิจกรรมต่าง ๆ ใน ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ
ระดบั ดี ในระดบั ปานกลาง ในระดับพอใช้
มีความสนใจในการ มีความสนใจในการ มีความสนใจในการ
เรยี นและกระตอื รือร้น เรยี นและกระตอื รอื รน้ เรียนและกระตอื รือร้น
ต่อการเรยี น ในระดับดี ตอ่ การเรยี น ตอ่ การเรยี น
ในระดับปานกลาง ในระดับพอใช้
มีความต้ังใจ อดทน มีความต้ังใจ อดทน มีความตั้งใจ อดทน
และพยายามในการ และพยายามในการ และพยายามในการ
ท า ง า น ที่ ไ ด้ รั บ ท า ง า น ท่ี ไ ด้ รั บ ท า ง า น ท่ี ไ ด้ รั บ
มอบหมายอย่างเต็ม มอบหมาย มอบหมายไม่เต็มที่
ความสามารถ ในบางคร้ัง
ความหมายระดับคุณภาพ ๓ หมายถึง ดี เกณฑ์ระดบั คะแนน ๙ – ๑๒ = ๓
๒ หมายถงึ พอใช้ เกณฑร์ ะดับคะแนน ๕ –๘ = ๒
๑ หมายถงึ ปรบั ปรุง เกณฑร์ ะดับคะแนน ๑– ๔ = ๑
เกณฑก์ ารผ่าน ได้คะแนน ๑ ข้ึนไป
ลงช่ือ...........................................ผปู้ ระเมนิ
(นางสาววรรณภา สินศรชยั )
(นายอรรคพล ห่วงจรงิ )
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๒ ๙๕
วิชาภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๕
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๒ การรอ้ ยเรียงประโยค เวลา ๕ ชว่ั โมง
เร่ือง การรอ้ ยเรยี งประโยค เวลา ๑ ชัว่ โมง
ผ้สู อน นางสาววรรณภา สนิ ศรชยั
นายอรรคพล ห่วงจริง
๑. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การร้อยเรียงประโยคที่ดีน้ัน ทั้งเน้ือความและถ้อยคาจะต้องมีความสัมพันธ์กันเกี่ยวเนื่องกัน เพราะ
เนอื้ ความของประโยคคือความคดิ ของผู้สง่ สาร ซงึ่ จะต้องมลี าดบั และมีความเปน็ อนั หน่ึง อนั เดยี วกนั การ
ทาให้ประโยคมีความสัมพนั ธ์เก่ยี วเน่ืองกนั น้นั สามารถทาได้ดว้ ยวิธีตา่ ง ๆ เชน่ การเชอ่ื มประโยค การซ้าคา
หรือวลี การละคาหรือวลี การแทนด้วยคาหรอื วลี
การศกึ ษาหลักภาษาไทย ตอ้ งอธบิ ายและวเิ คราะหห์ ลักการสรา้ งคาในภาษาไทย และใช้คาหรือ
กล่มุ คาสร้างประโยคไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
๒. ตวั ช้วี ัด/จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๒.๑ ตัวชว้ี ัด
ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัตขิ องชาติ
ม.๔-๖/๒ ใชค้ าและกลมุ่ คาสรา้ งประโยคตรงตามวตั ถปุ ระสงค์
ม.๔-๖/๖ อธบิ ายและวเิ คราะหห์ ลกั การสร้างคาในภาษาไทย
๒.๒ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
๑. อธิบายและวเิ คราะห์หลักการสรา้ งคาในภาษาไทย ได้ (K)
๒. ใช้คาและกลมุ่ คาสร้างประโยคไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ (K, P)
๓. เหน็ คณุ คา่ ของการใชภ้ าษาไทย (A)
๓. สาระการเรียนรู้
๓.๑ สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
๑) การใช้คาและกลุม่ คาสร้างประโยค
๒) หลักการสรา้ งคาในภาษาไทย
๔. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
๔.๑ ความสามารถในการสอ่ื สาร
๔.๒ ความสามารถในการคิด
๙๖
- ทกั ษะการจาแนกประเภท
- ทกั ษะการวเิ คราะห์
- ทกั ษะการสงั เคราะห์
- ทักษะการทาใหก้ ระจา่ ง
๔.๓ ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
- กระบวนการทางานกลมุ่
- กระบวนการนาไปใช้
๕. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
- มีวินัย
- ใฝ่เรยี นรู้
- มงุ่ ม่นั ในการทางาน
- รกั ความเป็นไทย
๖. กจิ กรรมการเรียนรู้
วิธีสอนโดยการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ : เทคนคิ คู่คดิ สสี่ หาย
ขัน้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น
๑. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเรื่อง ความสาคญั ของประโยค
๒. นกั เรยี นตอบคาถามกระตนุ้ ความคดิ วา่ “การร้อยเรยี งประโยคใหม้ คี วามสัมพนั ธเ์ กย่ี วเนอ่ื งกนั มี
ความสาคญั อยา่ งไร”
(พจิ ารณาตามคาตอบของนักเรียน โดยใหอ้ ย่ใู นดลุ ยพินิจของครูผ้สู อน)
ขัน้ สอน
๑. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ (กลมุ่ เดมิ จากแผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑) รว่ มกนั ศกึ ษาความรู้เรอ่ื ง
การรอ้ ยเรียงประโยค จากหนงั สือเรยี น
๒. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั ทาใบงานท่ี ๓ เร่อื ง การรอ้ ยเรยี งประโยค โดยให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
หาคาตอบดว้ ยตนเองจนครบทัง้ ๒ ตอน จากน้ันจับคกู่ บั เพอื่ นในกลุ่มผลัดกันอธบิ ายคาตอบให้คขู่ องตนเองฟงั
(สมาชิกกล่มุ อกี คหู่ นงึ่ กป็ ฏบิ ตั กิ จิ กรรมเชน่ เดยี วกัน)
๓. นกั เรยี นรวมกลมุ่ ๔ คน ให้แตล่ ะคู่ผลดั กันอธบิ ายคาตอบให้เพ่อื นอกี คู่หนึ่งในกล่มุ ฟงั
เพ่ือชว่ ยกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง
๔. ครสู มุ่ ตัวแทนนักเรยี น ๑-๒ กล่มุ นาเสนอคาตอบในใบงานท่ี ๓ และ ๔ ครแู ละเพอื่ นนักเรียนกลุม่
อน่ื ร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๙๗
ข้นั สรุป
๑. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายสรปุ ความรเู้ ร่ือง การร้อยเรียงประโยค
๒. นกั เรยี นตอบคาถามกระตนุ้ ความคดิ วา่ “การมีความรู้ความเข้าใจเกยี่ วกับประโยค มีผลดี
อย่างไร”
(พจิ ารณาตามคาตอบของนกั เรียน โดยใหอ้ ยใู่ นดุลยพินจิ ของครผู ู้สอน)
ครมู อบหมายใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนทาผังภูมิ เร่อื ง ลักษณะของภาษา โดยใหค้ รอบคลุม
ประเดน็ ตามท่ีกาหนด ดังน้ี
๑) การอธิบายลักษณะของภาษา
๒) การใช้คาและกลมุ่ คาสร้างประโยคตรงตามวตั ถุประสงค์
3) การอธิบายและวิเคราะห์หลกั การสร้างคาในภาษาไทย
๗. การวดั และประเมนิ ผล
วิธกี าร เครอื่ งมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานท่ี ๓, ตรวจใบงานท่ี ๔ ใบงานท่ี ๓, ใบงานที่ ๔ ร้อยละ ๖๐ ผ่านเกณฑ์
ประเมินการนาเสนอผลงาน แบบประเมนิ การนาเสนอ ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์
ผลงาน
สงั เกตพฤติกรรมการทางาน แบบสงั เกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ ๒ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล การทางานรายบุคคล
สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ ๒ ผา่ นเกณฑ์
การทางานกลุ่ม
สังเกตความมวี นิ ยั ใฝ่เรยี นรู้ มุง่ มนั่ แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั ระดับคุณภาพ ๒ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน และรกั ความเปน็ ไทย พึงประสงค์
ตรวจผังภมู ิ เรือ่ ง ลกั ษณะของภาษา แบบประเมนิ ผังภมู ิ ระดับคณุ ภาพ ๒ ผา่ นเกณฑ์