The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มวิจัยของนักเรียนชั้น ม3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Natchaya Phusung, 2023-03-02 22:17:56

เล่มวิจัยของนักเรียนชั้น ม3

เล่มวิจัยของนักเรียนชั้น ม3

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ นางสาวณัฐชยา ภูสูง รหัสนักศึกษา 6111060006 กลุ่ม 07/61 งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 (1005802) ตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ปีการศึกษา 2565


development of learning achievement in science learning subjects on the relationship of living things in an ecosystem Grade 3 by managing learning with the 5E inquiry-based learning process technique with a set of learning activities Ms. Natchaya Phusung 6111060006 (61/07) This research is part of the course Teaching practice in educational institutions2 (1005802) according to the Bachelor of Education program Thonburi Rajabhat University Academic year 2022


ก คำนำ งานวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค กระบวนการเรียนแบบสืบเสาะ 5E สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยความกรุณาของ อาจารย์ณัฐธิดา เขียวบ้านยาง ที่ได้เมตตามาเป็นอาจารย์นิเทศในรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 (1005802) และเป็นผู้ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้อีกทั้งยังคอยดูแลช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาแนะนำ ให้ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ติดตามผลงาน ความคืบหน้า และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง จึงทำให้งานวิจัยนี้ประสบความสำเร็จด้วยความเอาใจใส่ จากท่านเสมอมาผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ไว้ ณ ที่นี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ คุณครูสินีนิตย์ เพชรศรีเงิน ครูพี่เลี้ยงและเป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ให้ความกรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบและให้คำแนะนำในเรื่องแผนการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ และตรวจแบบทดสอบวัดผลการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ ทำให้งานวิจัยมี ความครบถ้วนสมบูรณ์และมีคุณภาพ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาไทยในอนาคต ณัฐชยา ภูสูง


Introduction Research on the development of learning achievement in science learning subjects on the relationship of living things in ecosystems Mathayomsuksa 3 by learning management using the 5E inquiry learning process technique was successfully completed. kindly Ajarn Natthida Kheawbanyang who has kindness to be a supervising teacher in the subject of Teaching Operations in Educational Institution 2 (1005802) and is the endowment of academic knowledge and also takes care and helps give advice Give comments and follow up on the results. progress and check for bug fixes. therefore making this research a success with care Always from you, the researcher would like to thank you very much here. The researcher would like to thank Ms. Sineenit Phetsingerngern, mentor and leader of science and technology learning group who has kindly been an expert in examining and giving advice on science learning management plans on the relationship of living things in ecosystems And check the science learning management assessment test on the relationship of living things in the ecosystem. used in this research to make the research complete and of good quality. The researcher sincerely hopes that the research results will be beneficial to the development of Thai education in the future. Natchaya Phusung


ข บทคัดย่อ ชื่องานวิจัย : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้5E เพื่อประกอบการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์6 เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ผู้วิจัย : ณัฐชยา ภูสูง อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์ณัฐธิดา เขียวบ้านยาง ปีที่ทำวิจัย : 2565 คำสำคัญ : การสอนโดยใช้การเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E,แผนการจัดการ เรียนรู้,ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 6 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้ด้วยเทคนิค กระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 จำนวน 43 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนนาหลวง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการ จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ ผลการวิจัยปรากฏว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียน แบบสืบเสาะหาความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลความก้าวหน้าในข้อสอบที่เป็นมาตรฐาน/ตัวชี้วัด ว 1.1 ม.3/2 ได้เพิ่มขึ้น ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของนักเรียน ดียิ่งขึ้น


Abstract Research title : development of academic achievement By using the learning process using the 5E inquiry-based learning process to supplement the science course on the relationship of living things in ecosystems. of Mathayomsuksa 3 students at Naluang School. Researcher : Ms. Natchaya Phusung Advisor : Dr. Natthida Nkhiewbanyang Years of research : 2022 Keywords : Teaching by using learning with the quest for knowledge learning process technique 5E, learning management plan, science achievement. The purpose of this research was to develop learning achievements on the relationship of organisms in an ecosystem. of Mathayomsuksa 3 students who were taught by using the 5E inquiry-based learning process technique. The samples used in the research were 43 students in Grade 3/5, 2nd semester, academic year 2022, Na Luang School. The tools used in the research were the learning management plan using the 5E inquiry-based learning process technique on the relationship of organisms in an ecosystem. A set of science learning activities based on the process of seeking knowledge on the relationship of living things in an ecosystem. and an achievement test of 20 items. The research results showed that The development of learning achievement through learning process techniques The knowledge-seeking questionnaire 5E on the relationship of living things in ecosystems found that Mathayomsuksa 3 students had an increase in progress in standardized/indicator exams Wor 1.1, m.3/2, post-school achievements. of students is better.


ค กิตติกรรมประกาศ การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ช่วงชั้นที่ 3 ชั้น ม.3 การวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ ได้โดยความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณอาจารย์ณัฐธิดา เขียวบ้านยาง ที่ให้ความอนุเคราะห์องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำ การวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้ ขอขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง จำนวน 43 คน ที่ให้ความร่วมมือในการศึกษา ค้นคว้าและทดลองครั้งนี้ สุดท้ายนี้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม และมีส่วนช่วยในการวิจัยฉบับนี้ ณัฐชยา ภูสูง ผู้วิจัย


Acknowledgments Classroom research on the development of learning achievement in science learning subjects on the relationship of living things in ecosystems. Grade 3, Naluang School Learning subject group Science For junior high school students, Level 3, Mattayom 3, this class research has been completed with great kindness. I would like to express my gratitude to Ms. Natthida Nkhiewbanyang for providing knowledge that is useful for conducting research in this class. Thank you to 43 Mathayomsuksa 3 students of Naluang School for their cooperation in this study and experiment. Finally, the researcher would like to thank all those who did not mention their names. and contributed to this research. Natchaya Phusung researcher


ง สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 ขอบเขตของการวิจัย 2 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย 2 กรอบแนวคิด 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 6 งานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง 16 กรอบแนวคิดการวิจัย 18 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 19 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 19 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 20 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 20 การดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล 22 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 23


ง สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิจัย 25 ผลการวิเคราะห์ 25 ข้อวิจารณ์ 25 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 27 สรุปผลการวิจัย 27 อภิปรายผล 28 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 28 บรรณานุกรม 31 ภาคผนวก 32 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือ 33 ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 35 ภาคผนวก ค แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ความหลากหลายของพืช 42 ภาคผนวก ง ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 53


1 บทที่1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนาธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ มีบทบาทสำคัญในสังคมโลกปัจจุบันและ อนาคต และมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับ มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้นความรู้วิทยาศาสตร์ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับนานประเทศและดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข การที่จะสร้างความเข้มแข็ง ทางด้านวิทยาศาสตร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งคือการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมคนให้อยู่ในสังคมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551, 92; สสวท. 2546, 1) การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เป็นการนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหา ความรู้และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นเหตุผล คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และจิต วิทยาศาสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2552) เพื่อให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนทุกขั้นตอนและทำกิจกรรมที่ มีความหลากหลาย ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน เป็นรูปแบบของการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้นักเรียนมี ประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหา ได้ตัวเอง และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจ ศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติด้วย ตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ ทำให้การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนนี้ นับได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (นรรัชต์ ฝันเชียร : 2563) จากประสบการณ์การเรียนการสอนในโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาศาสตร์ บุรีรัมย์ การเรียนการสอนส่วนใหญ่จะ ประสบปัญหาไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พบว่านักเรียนยังขาดความกระตือรือร้น การใฝ่รู้ใฝ่เรียน ทักษะการคิด วิเคราะห์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในปีการศึกษา 2554 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 69.82และในปีการศึกษา2555 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็น ร้อยละ69.90โดยโรงเรียนได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ ร้อยละ 75 ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์.2552: 13) ชุดกิจกรรมการเรียนเป็นวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ซึ่งเหมาะสมที่จะช่วยให้นักเรียนได้ ฝึกฝนทักษะกระบวนการคิดเป็นสื่อการสอนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสอนของครูและส่งเสริมการเรียนของ นักเรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมจากชุดกิจกรรม ด้วยตนเองซึ่งเป็นการเรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามความสามารถ ของแต่ละบุคคล ทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่ายที่จะเรียน แต่มีความกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหาค าตอบด้วยตัวเอง ท าให้นักเรียนมีโอกาสในการฝึกทักษะปฏิบัติ ในด้านต่าง ๆ ได้ด้วย (อภิญญาเคนบุปผา.2546 : 26)


2 จากการศึกษาปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ประกอบการ สอนตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ให้นักเรียนได้ฝึก กระบวนการ เรียนรู้การค้นคว้าด้วยตนเอง เกิดการพัฒนาความรู้ และสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นไปได้อย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพต่อไป 1.2 จุดประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ให้มีประสิทธิภาพ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน นาหลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ที่จะนำไปพัฒนาการ เรียนการสอน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนนาหลวง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ สูงขึ้น 3. ได้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการนำ ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ มาช่วยในการจัดการเรียนการสอน ให้แก่ผู้เรียน 1.4 ขอบเขตของการวิจัย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้วิจัยจึงกำหนดขอบเขตของการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้อง รวมนักเรียนทั้งหมด 128 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนนาหลวง จำนวน 43 คน ได้ทำการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 1.5 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย 4.1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ระบบนิเวศและ


3 ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 4.2 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4.3 ตัวชี้วัด ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ 1.6 ระยะเวลา การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยกำหนดระยะเวลาในการทดลอง ตั้งแต่ เดือน มกราคม - กุภาพันธ์ พ.ศ.2566 1.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 1.9 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง ชุดสื่อการสอน ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่ควบคู่ไปกับกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรง ในการเรียนรู้โดยประกอบด้วยเนื้อหาการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ซึ่งภายในชุดกิจกรรมจะประกอบไปด้วยเนื้อหาต่าง ๆ ได้แก่ ความหมายความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2. กระบวนการสืบเสาะหาความรู้หมายถึง รูปแบบวิธีจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนรู้จัก ค้นคว้า หาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งมีครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ จัดเตรียมกิจกรรมให้เอื้อต่อกระบวนการที่ฝึก ให้คิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้รวมทั้งการแก้ปัญหาให้ได้โดยการใช้คำถามและสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เช่น ของจริง สถานการณ์ ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาด้วยตนเอง ซึ่งมีขั้นในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้น สำรวจและค้นหา 3) ขั้นขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 4) ขั้นขยายความรู้ และ 5) ขั้นประเมิน ตัวแปรต้น - การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ


4 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามหลักสูตรที่ได้มาจากการวัดและ ประเมินผลที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ความคิดหรือพุทธิพิสัย ด้านอารมณ์และความรูสึกหรือจิตพิสัย และด้านทักษะปฏิบัติหรือทักษะพิสัย ที่ผู้สอนกำหนดไว้ในช่วงการจัดการเรียนการสอน 4. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หมายถึง ความสัมพันธ์มี 2 ลักษณะ คือ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ระหว่าง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตที่แวดล้อมอยู่ และในขณะเดียวกันก็จะมีความสัมพันธ์อีกลักษณะหนึ่งคือ ความเกี่ยว โยงพึ่งพากัน หรือการส่งผลต่อกันระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง ความสัมพันธ์ทั้งสองลักษณะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และมีอยู่ในระบบนิเวศทุกระบบ แสดงว่าชีวิตทั้งหลายไม่อาจอยู่ได้ อย่างโดดเดี่ยว โดยปราศจากการ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่น ๆ


5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ ที่ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่ำกว่าเกณฑ์ ในกลุ่มสาระวิชาวิทยาศาสตร์ 6 ผู้วิจัยได้ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ทั้งความหมาย ประเภทรูปแบบ ดังนี้ เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 1.1 ระบบนิเวศ 1.2 ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2. เอกสารที่เกี่ยวกับชุดกิจกรรม 2.1 ความหมายของชุดกิจกรรม 2.2 ประเภทของชุดกิจกรรม 2.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรม 2.4 ขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรม 2.5 ประโยชน์ของชุดกิจกรรม 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2 วิธีการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5. กรอบแนวคิด


6 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 1.1 ระบบนิเวศ ระบบนิเวศ(ecosystem) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม โครงสร้างของระบบนิเวศ ระบบนิเวศมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ 1. องค์ประกอบทางชีวภาพ (biological component) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เช่น พืช สัตว์ มนุษย์ เห็ด รา จุลินทรีย์ เป็นต้น 2. องค์ประกอบทางกายภาพ (physical component) ได้แก่ สิ่งไม่มีชีวิตในระบบนิเวศ เช่น ดิน น้ำ แสง อุณหภูมิ เป็นต้น โครงสร้างของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งออกเป็น 3 ระดับ (trophic levels) คือ 1. ผู้ผลิต(producer) ได้แก่พืช สาหร่าย โปรโตซัว เช่น ยูกลีน่า หรือเเบคทีเรียบางชนิด โดยมีบทบาท ในการนำพลังงานจากแสงอาทิตย์มากระตุ้นสารอนินทรีย์บางชนิดให้อยู่ในรูปของสารอาหาร 2. ผู้บริโภค(consumer) ได้แก่ สัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินสิ่งมีชีวิตอื่น ได้แก่ - ผู้บริโภคพืช (herbivore หรือ primary consumer) เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ กระต่าย เป็นต้น - ผู้บริโภคสัตว์ (carnivore หรือ secondary consumer) เช่น เสือ สิงโต เหยี่ยว งู เป็นต้น - ผู้บริโภคทั้งสัตว์ทั้งพืช (omnivore) เช่น คน ไก่ ลิง เป็นต้น 3. ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์(decomposer) ได้แก่ เห็ด รา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ต่างๆ ที่สามารถ ย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์ หรือสารอินทรีย์ ให้เป็นสารอนินทรีย์พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ กระบวนการหลักสองอย่างของระบบนิเวศคือ การไหลของพลังงานและการหมุนเวียนของสารเคมี การไหลของพลังงาน (energy flow) เป็นการส่งผ่านของพลังงานในองค์ประกอบของระบบนิเวศ ส่วนการหมุนเวียนสารเคมี (chemical cycling) เป็นการใช้ประโยชน์และนำกลับมาใช้ใหม่ของแร่ธาตุ ภายในระบบนิเวศ อาทิเช่น คาร์บอน และ ไนโตรเจน 1.2 ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 1.2.1 ภาวะที่ต้องพึ่งพา (Mutualism) ใช้สัญลักษณ์ (++) หมายถึง ความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิต ทั้งคู่ต่างได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกัน และสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดที่อยู่ร่วมกันนี้ แยกออกจากกันไม่ได้ หาก แยกกันฝ่าย หนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายอาจจะตาย ได้แก่ ไลเคน (Lichens) ปลวกกับโปรโตซัวในลำไส้ปลวก แบคทีเรียกับรากพืช ตระกูลถั่ว เป็นต้น 1.2.2 ภาวะการได้ประโยชน์ร่วมกัน (Protocooperation) ใช้สัญลักษณ์ (++) หมายถึง ความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน การอยู่ร่วมกันแบบนี้ ต่างจากสิ่งมีชีวิตกลุ่ม ที่แล้ว คือ สิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้แยกกันอยู่ได้ ได้แก่ ดอกไม้กับแมลง มดกับเพลี้ย ควายกับนกเอี้ยง ดอกไม้ทะเล กับ ปูเสฉวน เป็นต้น


7 1.2.3 ภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกื้อกูล (Commensalisin) ใช้สัญลักษณ์ (+0) เป็นการอยู่ ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่ชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ ส่วนอีกชนิดไม่ได้หรือไม่เสียประโยชน์ ได้แก่ พืชพวกกล้วยไม้หรือ เถาวัลย์อาศัยเกาะต้นไม้ใหญ่ ปลาใหญ่กับปลาเหาฉลามหรือปลาติด และเพรียงหิน บนกระดองเต่า เป็นต้น 1.2.4 ภาวะปรสิต (Parasitism) ใช้สัญลักษณ์ (+ -) เป็นการอยู่ร่วมกันในลักษณะ เบียดเบียนกัน ฝ่ายที่เบียดเบียนได้ประโยชน์ เรียกว่า ตัวเบียน หรือตัวปรสิต (Parasite) ฝ่ายที่เสียประโยชน์ เรียกว่า ผู้ถูกอาศัย (Host) ปรสิตในพืช ได้แก่ กาฝาก ฝอยทอง เป็นต้น 1.2.5 การล่าเหยื่อ (Predation) ใช้สัญลักษณ์ (+ -) สัตว์สองชนิดมีความสัมพันธ์กัน โดยมีผู้ล่า (Predator) กับผู้ถูกล่า หรือเหยื่อ (Prey) ลักษณะเด่นของผู้ล่าหรือสัตว์กินเนื้อ ได้แก่ เสือ สิงโตจะ มีเล็บและเขี้ยวที่ แหลมคม ซ่อนตัวได้เก่ง จมูกไว ผู้ถูกล่าส่วนใหญ่เป็นสัตว์กินพืช ได้แก่ วัว ควาย เก้ง กวาง หมู กระต่าย แม้จะมีอาวุธ ป้องกันตัวแต่มักใช้ป้องกันตัวจากผู้ล่าไม่ได้ 1.2.6 ภาวะการแก่งแย่ง (Competition) ใช้สัญลักษณ์ (- -) เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิต สองชนิด อาจเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกัน ต่างเสียประโยชน์ทั้งคู่ ได้แก่ เมล็ดพืชที่งอกทุกต้น พยายามชูลำต้นให้สูง เพื่อรับแสงสว่าง ลูกนกแย่งอาหารกัน เมื่อแม่นกหาอาหารมาป้อนปลาในบ่อเลี้ยง แย่งอาหารกันเมื่อเจ้าของนำอาหาร มาเลี้ยง 2. เอกสารที่เกี่ยวกับชุดกิจกรรม 2.1 ความหมายของชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมหรือชุดการสอน ใช้ชื่อเรียกต่างกัน เช่น ชุดการสอน ชุดการเรียนสำเร็จรูป ชุดกิจกรรม ซึ่งเป็นชุด ทางสื่อประสมใช้สื่อต่าง ๆ หลายชนิดมาเป็นองค์ประกอบ ซึ่งมีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ ดังนี้ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2525:185) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมไว้ว่าชุดกิจกรรมเป็นระบบการผลิตและการนำสื่อ การเรียนหลายอย่างมาสัมพันธ์กันและมีคุณค่าส่งเสริมซึ่งกันและกัน สื่ออย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ สื่ออีก อย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหาและสื่ออีกอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดการเสาะแสวงหา อันนำไปสู่ ความเข้าใจอันลึกซึ้งและป้องกันการเข้าใจความหมายผิด สื่อการสอนเหล่านี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สื่อประสม นำมาใช้ ให้สอดคล้องกับเนื้อหา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระพินทร์โพธิ์ศรี (2549:49) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมไว้ว่าชุดกิจกรรม คือ สื่อการสอนที่ประกอบไป ด้วยจุดประสงค์การเรียนรู้ที่สะท้อนถึงปัญหาและความต้องการในการเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ และกิจกรรม ประเมินผลการเรียนรู้ที่นำมาบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2542:91) ได้ให้ความหมายของชุดการสอนหรือชุดกิจกรรม ว่าเป็นสื่อการสอนชนิดหนึ่ง ของสื่อประสม(Multi-media) ที่จัดขึ้นสำหรับหน่วยการเรียน ตามหัวข้อ เนื้อหา และประสบการณ์ของแต่ละหน่วยที่ ต้องการให้ผู้เรียนได้รับ โดยจัดเอาไว้ เป็นชุด ๆ แล้วแต่ผู้สร้างจะทำขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้สอน เกิดความมั่นใจที่พร้อมจะสอน สุดารัตน์ไผ่พงศาวงศ์ (2543:52) กล่าวว่า ชุดกิจกรรมหรือชุดการเรียนหรือชุดการสอน หมายถึง สื่อการสอน ที่ครูสร้างประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายชนิด และองค์ประกอบอื่น เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำช่วยเหลือ และมีการนำหลักทางจิตวิทยามาใช้ประกอบการเรียนเพื่อ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับความสำเร็จ


8 ปิยพงษ์ สุริยพรหม (2546:63-64) กล่าว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้สื่อต่างๆ หลาย ชนิดเป็นองค์ประกอบ เพื่อก่อให้เกิดความสมบูรณ์ในตัวเอง ลักษณะของชุดฝึกหรือชุดการสอนจะแตกต่างกันไปตาม วัตถุประสงค์ของการสร้าง เพื่อให้ผู้ใช้บรรลุเป้าหมายการเรียนที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ดำรงศักดิ์ มีวรรณ์ (2552:17) สรุปไว้ว่า ชุดกิจกรรม คือ การจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้แก้ปัญหาด้วยตนเอง มีอิสระในการเรียนรู้ โดยใช้แหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ครูมีหน้าที่เป็นผู้ วางแผน กำหนดเป้าหมายวัตถุประสงค์การเรียนรู้ สิ่งที่ต้องการผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูมีหน้าที่ให้คำปรึกษา จากการ สรุปได้ว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง สื่อการสอนที่ครูสร้างขึ้นมาประกอบด้วยอุปกรณ์ในการเรียน คู่มือครู เนื้อหา แบบทดสอบ ข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาและปฏิบัติ กิจกรรมด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำช่วยเหลือ และมีการนำหลักทางจิตวิทยามาใช้ ประกอบการเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับความสำเร็จ 2.2 ประเภทของชุดกิจกรรม ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2545:59) ได้แบ่งประเภทของชุดกิจกรรมได้ดังนี้ 1. ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self Study package) คือ ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นโดยมีจุดมุ่ง หมายให้ผู้เรียนนำไปศึกษาด้วยตนเอง โดยไม่มีครูเป็นผู้สอน 2. ชุดการเรียนการสอน คือ ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นโดยมีครูเป็นผู้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543) ได้แบ่งประเภทของชุดกิจกรรมเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมประกอบคำบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมสำหรับผู้สอนที่ต้องการปูพื้นฐานให้ ผู้เรียนส่วนใหญ่ได้รู้และเข้าใจในเวลาเดียวกัน มุ่งในการขยายเนื้อหาสาระให้ชัดเจนขึ้นชุดกิจกรรมแบบนี้จะช่วยให้ ผู้สอนลดการพูดให้น้อยลง และเป็นการใช้สื่อการสอนที่มีพร้อมอยู่ในชุดกิจกรรม ในการเสนอเนื้อหามากขึ้น สื่อที่ใช้ อาจได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ หรือกิจกรรมที่กำหนดไว้ เป็นต้น 2. ชุดกิจกรรมแบบกลุ่มกิจกรรม เป็นชุดกิจกรรมสำหรับให้ผู้เรียนร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5 - 7 คน โดยใช้สื่อการสอนที่บรรจุไว้ในชุดกิจกรรมแต่ละชุด มุ่งที่จะฝึกทักษะในเนื้อหาวิชาที่เรียนและ ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกัน ชุดกิจกรรมชนิดนี้มักจะใช้สอนในการสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม เช่น การสอนแบบศูนย์การ เรียน เป็นต้น 3. ชุดกิจกรรมแบบรายบุคคลหรือชุดกิจกรรมตามเอกัตภาพ เป็นชุดกิจกรรมสำหรับเรียน ด้วยตนเองเป็นรายบุคคล คือ ผู้เรียนจะต้องศึกษาหาความรู้ตามความสามารถและความสนใจของตนเอง อาจเรียนที่ โรงเรียนหรือที่บ้านก็ได้ ส่วนมากมักจะมุ่งให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนเพิ่มเติมผู้เรียนสามารถจะ ประเมินผลการเรียนด้วยตนเองได้ด้วยชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมชนิดนี้อาจจะจัดในลักษณะของหน่วยการสอนส่วนย่อย หรือโมดูลก็ได้ วิชัย วงศ์ใหญ่ (2525:185-186) ได้แบ่งชุดกิจกรรมตามลักษณะของการใช้ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมสำหรับคำบรรยาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชุดกิจกรรมสำหรับครูใช้เป็นชุด กิจกรรมสำหรับกำหนดกิจกรรมและสื่อการเรียนให้ครูใช้ประกอบคำบรรยาย เพื่อลดบทบาทการพูดของครูให้น้อยลง และเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมมากขึ้น ชุดกิจกรรมนี้จะมีเนื้อหาเพียงหน่วยเดียวและใช้กับนักเรียนทั้งชั้น 2. ชุดกิจกรรมสำหรับกิจกรรมกลุ่ม ชุดกิจกรรมนี้มุ่งเน้นที่ตัวผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมร่วมกัน และอาจ จัดการเรียนในรูปศูนย์การเรียน ชุดกิจกรรมแบบกลุ่มประกอบด้วยชุดกิจกรรมย่อยที่มีจำนวนเท่ากับจำนวนศูนย์ที่แบ่ง ไว้ในแต่ละหน่วย ในแต่ละศูนย์มีสื่อการเรียนหรือบทเรียนครบตามจำนวนผู้เรียนในศูนย์กิจกรรมนั้น สื่อการเรียนอาจ


9 จัดในรูปของการเรียนรายบุคคลหรือผู้เรียนทั้งศูนย์ใช้ร่วมกันได้ ครูอาจจะต้องให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในระยะเริ่มต้น หลังจากที่ผู้เรียนเคยชินต่อการใช้แล้ว ผู้เรียนสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เอง ในระหว่างการทำกิจกรรมการ เรียนหากมีปัญหาผู้เรียนสามารถซักถามผู้สอนได้เสมอ เมื่อจบการเรียนแต่ละศูนย์แล้วผู้เรียนอาจจะสนใจการเรียน เสริมเพื่อเจาะลึกถึงสิ่งที่รู้ได้อีกจากศูนย์สำรองที่ผู้สอนเตรียมไว้ทั้งนี้เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาที่จะต้องรอผู้เรียนคนอื่น 3. ชุดกิจกรรมรายบุคคล เป็นชุดกิจกรรมที่จัดระบบขั้นตอนเพื่อให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองตามลำดับ ขั้นตอนความสามารถของแต่ละบุคคล เมื่อศึกษาครบแล้วจะทำการทดสอบประเมินความก้าวหน้าและศึกษาชุด กิจกรรมอื่นต่อไปตามลำดับ เมื่อมีปัญหาผู้เรียนสามารถปรึกษากันได้ ผู้สอนจะให้ความช่วยเหลือในฐานะผู้ ประสานงานหรือผู้ที่ชี้แนะแนวทางการเรียน ด้วยชุดกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตนเองเต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยผู้อื่น ชุดกิจกรรมแบบนี้บางครั้ง เรียกว่า บทเรียนโมดูล ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2531:117-118) ได้แบ่งชุดกิจกรรมตามลักษณะการใช้ ออกเป็น 4 ประเภทดังนี้ 1. ชุดการสอนประกอบคำบรรยาย อาจเรียกว่าชุดการสอนสำหรับครูเป็นชุดการสอนที่กำหนดกิจกรรมและ สื่อการเรียนรู้ที่มุ่งช่วยขยายเนื้อหาสาระการสอนแบบบรรยายให้ชัดเจนขึ้น เพื่อเปลี่ยนบทบาทครูให้พูดน้อยลง และ เป็นโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมการเรียนมากยิ่งขึ้น หรือให้สื่อทำหน้าที่แทน สื่อที่ใช้อาจเป็นแผ่นคำสอน สไลด์ประกอบเสียงบรรยายในเทป แผ่นภูมิ แผ่นภาพ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนได้ ทดลองอภิปราย หรือประกอบกิจกรรมอื่น ๆ ตามปัญหา และหัวข้อที่ครูกำหนดให้ เพื่อความเรียบร้อย และความ สะดวก ชุดการสอนประเภทนี้ มักจะบรรจุใส่กล่องที่มีขนาดที่เหมาะสมกับจำนวนสื่อการสอน อย่างไรก็ตามหากเป็น วัสดุอุปกรณ์ที่มีราคาแพงเกินไป มีขนาดเล็ก หรือใหญ่มากเกินไป แตกหรือเสียง่าย และเป็นสิ่งมีชีวิตจะไม่ใส่ไว้ในชุด การสอน แต่จะกำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้าก่อนทำการสอนใน “คู่มือครู” ชุดการสอนแบบ บรรยายนี้นิยมใช้กับการฝึกอบรม และการสอนในระดับอุดมศึกษาที่ยังถือว่าการสอนแบบบรรยายมีบทบาทสำคัญใน การถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียน 2. ชุดการสอนแบบกลุ่มกิจกรรม เป็นชุดการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมกลุ่มเช่น ในการสอนแบบ ศูนย์การเรียน การสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ เป็นต้น รูปแบบการเรียนในปัจจุบันมิได้ถือว่าครูเป็นผู้แสดง หรือเป็นแหล่ง ความรู้หลักอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงผู้ที่เตรียมการ เป็นผู้อำนวยการ และมีหน้าที่ คอยประสานงานอำนวยความ สะดวกในการดำเนินกิจกรรมของผู้เรียนจะเรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ จากสื่อ และจากการทำกิจกรรมตามขั้นตอนที่กำหนด ไว้ในชุดสอนสำหรับกลุ่มกิจกรรม ดังนั้นชุดการสอนชนิดนี้จึงยึดระบบการผลิตสื่อการสอนตามหน่วยและหัวเรื่องที่จะ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประกอบกิจกรรมร่วมกัน คือ ในลักษณะของห้องเรียน “แบบศูนย์การเรียน” โดยการสอนแบบ กลุ่มกิจกรรม จะประกอบด้วยชุดการสอนย่อยตามศูนย์ที่แบ่งไว้ในแต่ละหน่วย ในแต่ละศูนย์มีสื่อหรือบทเรียนครบชุด ตามจำนวนผู้เรียนในศูนย์กิจกรรมนั้น ๆ สื่อที่ใช้ในศูนย์จะจัดไว้ในรูปสื่อประสม อาจใช้สื่อเป็นรายบุคคล หรือสื่อ สำหรับผู้เรียนทั้งศูนย์จะใช้ร่วมกันก็ได้ ผู้เรียนที่เรียนจากชุดการสอนแบบกลุ่มกิจกรรมนี้จะแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่ม จะไปศึกษาตามศูนย์ที่กำหนดไว้ หมุนเวียนไปจนครบทุกศูนย์ ผู้เรียนจะต้องการความช่วยเหลือ จากครูเพียงเล็กน้อย ในระยะเริ่มเรียนเท่านั้น หลังจากเคยชินต่อวิธีการใช้แล้ว ผู้เรียนจะสามารถช่วยเหลือกันและกันได้เอง ระหว่างการ ประกอบกิจกรรมการเรียน หากมีปัญหาผู้เรียนสามารถซักถามครูได้เสมอ 3. ชุดการสอนรายบุคคลเป็นชุดการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ตามความ แตกต่างระหว่างบุคคล อาจเป็นการเรียนในโรงเรียนหรือที่บ้านก็ได้ เพื่อให้ผู้เรียนก้าวไปข้างหน้าตามความสามารถ ความสนใจและความพร้อมของผู้เรียน ชุดการสอนรายบุคคลอาจออกมาในรูปของหน่วยการสอนย่อย หรือโมดูล ชุด การสอนรายบุคคลนั้นผู้เรียนจะใช้เรียนด้วยตนเองตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ อาจต้องใช้ห้องเรียนพิเศษที่เรียกว่า “ห้องเรียนรายบุคคล” ซึ่งมีลักษณะเป็นคูหาจัดเตรียมไว้สำหรับผู้เรียนนำชุดการสอนไปใช้ในคูหา ซึ่งมีอุปกรณ์อำนวย


10 ความสะดวก เช่น เครื่องเล่นเทป เครื่องฉายภาพจอเล็ก เป็นต้น หากไม่มีห้องเรียนหรูหราขนาดนี้ ก็ต้องเปลี่ยนระบบ สื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและเครื่องมือเมื่อมีปัญหาระหว่างการเรียน ผู้เรียนจะปรึกษาหารือกันได้ ผู้สอนต้อง พร้อมที่จะช่วยเหลือได้ทันทีในฐานะผู้ประสานงาน ผู้เรียนอาจนำชุดการสอนประเภทนี้ไปเรียนที่บ้านได้ด้วย โดยมี บุคลากรอื่น ๆ คอยให้ความช่วยเหลือ 4. ชุดการสอนทางไกล เป็นชุดการสอนที่ผู้สอนกับผู้เรียนต่างถิ่น ต่างเวลากัน มุ่งสอนให้ผู้เรียนศึกษาได้ด้วย ตนเองโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน แต่สามารถเรียนได้เองที่บ้าน โดยมีสื่อประสมต่าง ๆ ที่ผู้สอนจัดให้เช่น รายการ วิทยุกระจายเสียง เอกสารการสอน เทปเสียงประกอบชุดวิชา แบบฝึกปฏิบัติรายการวิทยุโทรทัศน์ ตลอดจนเข้ารับการ สอนเสริมตามศูนย์บริการการศึกษาที่จัดขึ้น การศึกษาโดยระบบการสอนทางไกลนี้ ความสำเร็จของการศึกษาจึงขึ้นอยู่ กับตัวผู้เรียนเป็นส่วนใหญ่ โดยผู้สอนเป็นเพียงผู้จัดประสบการณ์ในรูปของสื่อต่าง ๆ และให้คำแนะนำในการศึกษา เท่านั้น ฉะนั้นผู้เรียนที่หวังความสำเร็จในการศึกษาโดยระบบนี้จึงจำเป็นต้องมีวินัยและควบคุมตนเองได้อีกทั้งต้องยึด มั่นในแนวปฏิบัติ ตามคำแนะที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด จากการศึกษา สรุปได้ว่า ประเภทของชุดกิจกรรมแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. ชุดกิจกรรมสำหรับครู เป็นชุดสำหรับจัดให้ครูโดยเฉพาะ มีคู่มือและเครื่องมือสำหรับครูซึ่งจะนำไปใช้สอนให้ เด็กเกิดพฤติกรรมที่คาดหวัง ครูเป็นผู้ดำเนินการและควบคุมกิจกรรมทั้งหมด นักเรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมภายใต้การ ดูแลของครู 2. ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียนเป็นชุดกิจกรรมสำหรับจัดให้นักเรียน เรียนด้วยตนเอง ครูมี หน้าที่เพียงจัดอุปกรณ์และมอบชุดการสอนให้และคอยรับรายงานผลเป็นระยะ ให้คำแนะนำเมื่อมีปัญหาและ ประเมินผล ชุดกิจกรรมนี้จะฝึกการเรียนด้วยตนเอง เมื่อนักเรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว ก็สามารถเรียนรู้ หรือศึกษาสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง 3. ชุดกิจกรรมที่ครูและนักเรียนใช้ร่วมกันชุดนี้มีลักษณะผสมผสานระหว่างชุดแบบที่ 1 และ ชุดแบบที่ 2 ครูเป็นผู้คอยดูแลและกิจกรรมบางอย่างครูต้องเป็นผู้แสดงนำให้นักเรียนดูและกิจกรรมบางอย่างนักเรียน ต้องกระทำด้วยตนเอง ชุดกิจกรรมอย่างนี้ เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาซึ่งจะเริ่มฝึกให้รู้จักการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลของครู 2.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรม ในการสร้างชุดกิจกรรม ผู้สร้างจะต้องศึกษาถึงองค์ประกอบหลักของชุดกิจกรรมเพื่อจะได้นำมากำหนด องค์ประกอบหลักของชุดกิจกรรมที่จะสร้างขึ้น มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบหลักของชุดกิจกรรม ไว้ดังนี้ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2542:94-97) ได้จำแนกองค์ประกอบที่สำคัญๆ ภายในชุดกิจกรรม ไว้4 ส่วน คือ 1. คู่มือ เป็นคู่มือและแผนการสอนสำหรับผู้สอนหรือผู้เรียนตามชนิดของชุดกิจกรรมภายใน คู่มือจะชี้แจงถึงวิธีการใช้ชุดกิจกรรมเอาไว้อย่างละเอียด ทำเป็นเล่มหรือแผ่นพับ 2. บัตรคำสั่งหรือคำแนะนำ จะเป็นส่วนที่บอกให้ผู้เรียนดำเนินการเรียนหรือประกอบ กิจกรรมแต่ละอย่าง ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ บัตรจะมีอยู่ในชุดกิจกรรมแบบกลุ่มและรายละเอียดซึ่งจะประกอบไปด้วย 2.1 คำอธิบายในเรื่องที่จะศึกษา 2.2 คำสั่งให้ผู้เรียนดำเนินการ 2.3 การสรุปบทเรียน


11 3. เนื้อหาสาระและสื่อ จะบรรจุไว้ในรูปของสื่อการสอนต่าง ๆ ประกอบด้วยบทเรียน โปรแกรม สไลด์ เทปบันทึกเสียง ตัวอย่างจริง รูปภาพ เป็นต้น ผู้เรียนจะศึกษาจากสื่อการสอนต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ในชุด การสอนตามบัตรที่กำหนดให้ 4. แบบประเมินผล ผู้เรียนจะทำการประเมินผลที่อยู่ในชุดกิจกรรมอาจจะเป็น แบบฝึกหัด ให้เติมคำในช่องว่าง เลือกคำตอบที่ถูก จับคู่ ดูผลจากการทดลอง หรือให้ทำกิจกรรม เป็นต้น ทิศนา แขมมณี (2534:10-12) ได้จำแนกองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ ภายใน ชุดกิจกรรมไว้7 ส่วน คือ 1. ชื่อกิจกรรม ประกอบด้วย หมายเลขกิจกรรม ชื่อของกิจกรรม และเนื้อหาของกิจกรรมนั้น 2. คำชี้แจงเป็นส่วนที่อธิบายความมุ่งหมายที่สำคัญของกิจกรรมและลักษณะของการจัด กิจกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น 3. จุดมุ่งหมายในส่วนที่ระบุจุดมุ่งหมายที่สำคัญของกิจกรรมนั้น 4. ความคิดรวบยอด เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหาหรือมโนทัศน์ของกิจกรรมนั้นส่วนนี้ควรได้รับการ ย้ำและเน้นพิเศษ 5. สื่อ เป็นส่วนที่ระบุถึง วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดำเนินกิจกรรม เพื่อช่วยให้ครูทราบ ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง 6. เวลาที่ใช้ เป็นส่วนที่ระบุเวลาโดยประมาณว่า กิจกรรมนั้นควรใช้เวลาเพียงใด 7. ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม เป็นส่วนที่ระบุในการจัดกิจกรรมเพื่อให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ วิธีการจัดกิจกรรมนี้ได้จัดไว้เป็นขั้นตอน ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักวิชาแล้วยังเป็นการอำนวยความ สะดวกแก่ครูในการดำเนินการซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 7.1 ขั้นนำ เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียน 7.2 ขั้นกิจกรรม เป็นส่วนที่ทำให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้เกิดประสบการณ์นำไปสู่การเรียนรู้ตามเป้าหมาย 7.3 ขั้นอภิปราย เป็นส่วนที่ผู้เรียนจะได้มีโอกาสนำประสบการณ์ที่ได้รับจากขั้น กิจกรรมมาวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและอภิปรายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก 7.4 ขั้นสรุป เป็นส่วนที่ครูและผู้เรียนประมวลข้อความรู้ที่ได้จากขั้นกิจกรรมและขั้น อภิปราย นำมาสรุปหาสาระสำคัญที่สามารถนำไปใช้ต่อไป 7.5 ขั้นฝึกปฏิบัติ เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้นำความรู้ที่ได้จากการเรียนในกิจกรรม ไปฝึกปฏิบัติเพิ่ม 7.6 ขั้นประเมินผล เป็นส่วนที่ได้รับความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนหลังจากการฝึก ปฏิบัติครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้ว โดยได้ทำแบบฝึกกิจกรรมทบทวนท้ายชุดกิจกรรม จากการศึกษา สรุปได้ว่า องค์ประกอบของชุดกิจกรรมที่สำคัญๆ ภายในชุดกิจกรรมไว้ 5 ส่วน คือ 1. ชื่อกิจกรรม และ เนื้อหาของกิจกรรม 2. คู่มือ เป็นคู่มือ และ แผนการสอนสำหรับผู้สอนหรือผู้เรียนตามชนิดของชุดกิจกรรมภายใน คู่มือจะชี้แจงถึงวิธีการใช้ชุดกิจกรรมเอาไว้อย่างละเอียด 3. บัตรคำสั่งหรือคำแนะนำ 4. เนื้อหาสาระและสื่อ จะบรรจุไว้ในรูปของสื่อการสอนต่าง ๆ 5. ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม เป็นส่วนที่ระบุในการจัดกิจกรรมเพื่อให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้


12 2.4 ขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรม ชัยยงค์ พรหมวงศ์(2545:123) กล่าวว่าได้ลำดับขั้นตอนในการพัฒนาชุดการสอนที่สำคัญ 10 ขั้นตอน ดังนี้ 1. หมวดหมู่ เนื้อหา และประสบการณ์ อาจกำหนดเป็นหมวดวิชาหรือบูรณาการเป็น แบบสหวิทยาการตามที่เห็นเหมาะสม 2. กำหนดหน่วยการสอน แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการสอนโดยประมาณเนื้อหาวิชาที่ ถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียนได้ในหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งครั้ง 3. กำหนดหัวเรื่อง ผู้สอนต้องถามตัวเองในการสอนแต่ละหน่วยควรให้ประสบการณ์ แก่ผู้เรียนอะไรบ้างแล้วกำหนดออกมาเป็น 4 – 5 หัวเรื่อง 4. กำหนดมโนทัศน์และหลักการ มโนทัศน์และหลักการที่กำหนดจะต้องสอดคล้องกับหน่วย และหัวเรื่อง โดยสรุปแนวคิด สาระ และหลักเกณฑ์สำคัญไว้เพื่อเป็นแนวทางการจัดเนื้อหา มาสอนให้สอดคล้องกัน 5. กำหนดจุดประสงค์ให้สอดคล้องกับหัวเรื่อง เป็นจุดประสงค์ทั่วไปก่อน แล้วเปลี่ยนเป็น จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่มีเงื่อนไขและเกณฑ์การเปลี่ยนพฤติกรรม 6. กิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมซึ่งเป็น แนวทางการ เลือกและการผลิตสื่อการเรียนการสอน “กิจกรรมการเรียน” หมายถึงกิจกรรมทุกอย่างที่ผู้เรียนปฏิบัติ เช่น การอ่าน การทำกิจกรรมตามใบงาน ตอบคำถาม เขียนภาพ เล่นเกม เป็นต้น 7. กำหนดแบบประเมินผล ต้องประเมินผลให้ตรงกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมโดยใช้ แบบทดสอบอิงเกณฑ์ เพื่อให้ผู้สอนทราบค่าหลังจากผ่านกิจกรรมมาเรียบร้อยแล้วผู้เรียนได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ 8. เลือกและผลิตสื่อการเรียนการสอน วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่ครูใช้ คือ เป็นสื่อการ สอนทั้งสิ้น เมื่อผลิตสื่อการสอนของแต่ละหัวเรื่องแล้ว ก็จัดสื่อการสอนเหล่านั้นไว้เป็นหมวดหมู่นำไปทดลองหา ประสิทธิภาพ เรียกว่า “ชุดกิจกรรม” 9. หาประสิทธิภาพชุดกิจกรรม เพื่อเป็นการประกันว่า ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ ในการสอนผู้สร้างจำต้องกำหนดเกณฑ์ล่วงหน้า โดยคำนึงหลัก ที่ว่าการเรียนรู้ เป็นกระบวนการช่วยเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของผู้เรียนให้บรรลุผล 10. การใช้ชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมที่ได้ปรับปรุงแล้วและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ สามารถนำไปสอนผู้เรียนได้ตามประเภทของชุดกิจกรรม และตามระดับการศึกษาโดยกำหนดขั้นตอนการใช้ดังนี้ 10.1 ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อพิจารณาพื้นความรู้เดิมของผู้เรียน 10.2 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 10.3 ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน 10.4 ขั้นสรุปบทเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดพฤติกรรมการเรียนรู้หลัง เรียนที่เปลี่ยนไป Heathers (1977 : 344) กล่าวว่าได้ลำดับขั้นตอนในการสร้างชุดกิจกรรมที่สำคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรเลือกเนื้อหาบทเรียนแล้วจัดลำดับขั้นของเนื่องหาให้ต่อเนื่องกันจากง่ายไปหายาก 2. ประเมินความรู้พื้นฐานประสบการณ์เดิมของนักเรียน 3. เลือกกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีการสอนและสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยคำนึงถึงความพร้อมและความต้องการของผู้เรียน 4. กำหนดรูปแบบการเรียน


13 5. การกำหนดหน้าที่ของครูผู้ประสานงานหรือจัดความสะดวกในการเรียน จากการศึกษา สรุปได้ว่า ลำดับขั้นตอนในการสร้างชุดกิจกรรมที่สำคัญ 8 ขั้นตอน 1. ศึกษาหลักสูตรเลือกเนื้อหาบทเรียนแล้วจัดลำดับขั้นของเนื่องหาให้ต่อเนื่องกันจากง่ายไปหายาก 2. ประเมินความรู้พื้นฐานประสบการณ์เดิมของนักเรียน 3. กำหนดหน่วยการสอน แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการสอน 4. กำหนดหัวเรื่อง และจุดประสงค์ให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง 5. กิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ และกำหนดแบบประเมินผล 6. เลือกและผลิตสื่อการเรียนการสอน วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่ครูใช้ คือ เป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น 7. หาประสิทธิภาพชุดกิจกรรม เพื่อให้ทราบว่า ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 8. การใช้ชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมที่ได้ปรับปรุงแล้วและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ สามารถนำไปสอน ผู้เรียนได้ตามประเภทของชุดกิจกรรม 2.5 ประโยชน์ของชุดกิจกรรม เนื่องจากชุดกิจกรรมสร้างได้โดยอาศัยพื้นฐานของชุดการเรียน ดังนั้น ในการศึกษาประโยชน์ ของชุดกิจกรรมครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาประโยชน์ของชุดการสอนในการใช้ชุดการสอนเพื่อช่วยในการจัดการเรียนรู้นั้น ได้มี ผู้ศึกษาไว้ดังนี้ สันทัด ภิบาลสุข (2522 : 50) ประหยัด จิระวรพงศ์ (2537 : 267) และ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2542 : 110) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรมไว้ดังนี้ 1. ส่งเสริมการเรียนแบบหลายบุคคล นักเรียนสามารถเรียนได้ตามความสามารถ ความสนใจ ตามเวลา และโอกาสที่เหมาะสมของแต่ละคน 2. ช่วยขจัดปัญหาการขาดแคลนครู เพราะชุดการสอนช่วยให้ผู้เรียนเรียนได้ด้วยตนเองหรือ ต้องการความช่วยเหลือจากผู้สอนเพียงเล็กน้อย 3. ช่วยในการศึกษานอกระบบโรงเรียน เพราะผู้เรียนสามารถนำเอาชุดการสอนไปใช้ได้ทุก สถานที่และทุกเวลา 4. ช่วยลดภาระและช่วยสร้างความพร้อมและความมั่นใจให้แก่ครูเพราะชุดการสอนที่ผลิตไว้ เป็นหมวดหมู่สามารถนำไปใช้ได้ทันที 5. เป็นประโยชน์ในการสอนแบบศูนย์การเรียน 6. ช่วยให้ครูวัดผลผู้เรียนได้ตรงตามความมุ่งหมาย 7. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นฝึกการตัดสินใจแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและมี ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม 8. ช่วยให้ผู้เรียนจำนวนมากได้รับความรู้แนวเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ 9. สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 10. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองและมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างแท้จริงจากชุดการ สอนรายบุคคล และการสอนแบบกลุ่มกิจกรรม 11. สิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้มีมากที่บูรณาการเป็นอย่างดี จึงทำให้การเรียนการ สอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการศึกษา สรุปว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดการจัดการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียนได้ศึกษาและ ปฏิบัติกิจกรรมตามที่กำหนดไว้ด้วยตนเองจากสื่อต่าง ๆ ที่จัดรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา โดยครูหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะนำช่วยเหลือเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และได้รับความสำเร็จบรรลุตามจุดประสงค์


14 อย่างมีประสิทธิภาพในชุดกิจกรรมประกอบด้วย คู่มือครู คู่มือนักเรียน ใบความรู้ ใบงาน แบบบันทึกกิจกรรม และ แบบทดสอบกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ชุดกิจกรรม จึงเป็นนวัตกรรมที่ครูสร้างขึ้นใช้ควบคู่ กับการเรียนเพื่อฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะหรือแก้ไขทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและสามารถนำความรู้ไปใช้ได้อย่าง ถูกต้องแม่นยำคล่องแคล่ว ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ชุดกิจกรรมมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมสามารถ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพและความสามารถ นอกจากนี้ ชุดกิจกรรมยังช่วยให้ครูเกิดความ พร้อมและความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ด้วยประโยชน์ดังกล่าวจึงทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะสร้างชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นสมรรถภาพของสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนที่ได้รับประสบการณ์ทั้งทางตรง และ ทางอ้อมจากครู สำหรับความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้มี การกล่าวถึงความหมายไว้ดังนี้ ผลการ สังเคราะห์ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากพวงรัตน์ทวีรัตน์ (2529, หน้า 29) สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะรวมถึงความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการ เรียน การสอนทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพของสมองบุคคลเรียน แล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร เช่น พฤติกรรมด้านความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ และการประเมินค่ามากน้อยอยู่ในระดับใด นั่นคือ ผลสัมฤทธิ์เป็นการตรวจสอบ พฤติกรรมของผู้เรียนใน ด้านพุทธิพิสัยนั่นเอง ซึ่งพวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2530, หน้า 29-30) ได้กล่าวถึงการวัด 2 องค์ประกอบตามจุดมุ่งหมายและลักษณะ ของวิชา ที่เรียนคือ 1. การวัดด้านการปฏิบัติเป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถทางการปฏิบัติโดยให้ผู้เรียนได้ลงปฏิบัติจริงให้ เป็นผลงานปรากฏออกมา การวัดแบบนี้จึงต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ (Performance test) ซึ่งการ ประเมินผลจะ พิจารณาที่วิธีปฏิบัติ (Process) และผลงานที่ปฏิบัติ (Product) 2. การวัดด้านเนื้อหาเป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา (Centent) รวมถึง พฤติกรรม ความสามารถในด้านต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนมีวิธีการสอบวัดได้ 2 ลักษณะ คือ 2.1 การสอบปากเปล่า (oral Test) การสอบแบบนี้มักกระทำเป็นรายบุคคลซึ่งเป็นการสอบที่ต้องการดูผล เฉพาะอย่าง เช่น การสอบอ่านฟังเสียง การสอบสัมภาษณ์ซึ่งต้องการดูการใช้ถ้อยคำในการตอบคำถาม รวมทั้งการ แสดงความคิดเห็นและบุคลิกภาพต่าง ๆ เช่น การสอบปริญญานิพนธ์ ซึ่งต้องการวัดความรู้ความ เข้าใจในเรื่องที่ทำ ตลอดจนแง่มุมต่าง ๆ การสอบปากเปล่าสามารถวัดได้ละเอียดลึกซึ้ง และคำถามก็สามารถ เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมได้ตาม ต้องการ 2.2 การสอบแบบให้เขียนตอบ (Paper-Pencil test or written test) เป็นการวัดที่ให้ผู้สอบเขียนเป็น ตัวหนังสือตอบซึ่งมีรูปแบบการตอบ 2 แบบคือ 2.2.1 แบบไม่จำกัดคำตอบ (Free ResponseType) ซึ่งได้แก่การสอบวัดที่ใช้ข้อสอบแบบอัตนัยหรือ ความ เรียง (Essay test) นั่นเอง 2.2.2 แบบจำกัดคำตอบ (Fixed Response Type) ซึ่งเป็นการสอนที่กำหนดขอบเขตของคำถามที่จะให้ คำตอบหรือกำหนดคำตอบมาให้เลือกซึ่งมีรูปแบบของคำถามคำตอบอยู่ 4 รูปแบบ คือ แบบเลือกทางใดทาง หนึ่งแบบ จับคู่แบบเติมคำและแบบเลือกตอบ


15 สมพร เชื้อพันธ์ (2547, หน้า 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียน การสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ปราณี กองจินดา (2549,หน้า 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จ ที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และ ทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของ การเรียนการสอนที่แตกต่าง กัน นิ่มน้อย แพงปัสสา (2551, หน้า 79) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงคุณลักษณะ ความรู้ความสามารถ และมวลประสบการณ์ของบุคคลอันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้และเป็นผลให้บุคคลเกิดการ เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งตรวจสอบได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร ได้มาตามหลักการวัดและประเมินผล ที่ ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ความคิดหรือพุทธิพิสัย ด้านอารมณ์และความรูสึกหรือจิตพิสัย และด้านทักษะปฏิบัติหรือ ทักษะพิสัยที่ผู้สอนก าหนดไว้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง 2.2 วิธีการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom (1982) ถือว่าสิ่งใดก็ตาม ที่มีปริมาณอยู่จริงสิ่ง นั้น สามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว ซึ่งผลการวัดจะเป็นประโยชน์ใน ลักษณะทราบ และประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน และระดับความรู้ความสามารถตาม แนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ดังนี้ 1. ความจำ คือ สามารถจำเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น คำจำกัดความสูตรต่าง ๆ วิธีการ เช่น นักเรียนสามารถ บอกชื่อ สารอาหาร 5 ชนิดได้ นักเรียนสามารถบอกชื่อธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนได้ครบถ้วน 2. ความเข้าใจ คือ สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสำคัญได้ 3. การน าไปใช้ คือ สามารถนำความรู้ ซึ่งเป็นหลักการ ทฤษฎี ฯลฯ ไปใช้ในสภาพการณ์ที่ต่างออกไปได้ 4. การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเช่น วิเคราะห์องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ หลักการดำเนินการ 5. การสังเคราะห์ คือ สามารถนำองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่อย่างมีความหมาย 6. การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่าของ หลักการโดยใช้มาตรการที่ผู้อื่น กำหนด ไว้หรือตัวเองกำหนดขึ้น สรุปได้ว่าวิธีการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ต้องมีการสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าผู้เรียน เข้าใจ หรือไม่เข้า การใช้คำถาม ถามความรู้เดิมว่าผู้เรียนยังมีการจดจำได้หรือไม่ 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัด ความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่ กำหนดไว้ เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545 : 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุดคำถามที่มุ่ง วัด พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่าง ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไป แล้วมาก น้อยเพียงใด ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2531) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี 2 ประเภท คือ แบบทดสอบของครูที่สร้างขึ้น กับแบบทดสอบมาตรฐาน


16 1. แบบทดสอบของครูหมายถึง ชุดของข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งจะเป็นข้อคำถามที่ถามเกี่ยวกับ ความรู้ที่ นักเรียนได้เรียนในห้องเรียน ว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหนบกพร่องที่ตรงไหนจะได้สอนซ่อมเสริม หรือวัดดูความ พร้อมที่จะขึ้นบทเรียนใหม่ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญใน แต่ละสาขาวิชาหรือจากครู ที่สอน วิชานั้น แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้งจนกระทั่งมีคุณภาพดีพอจึงสร้างเกณฑ์ปกติของ แบบทดสอบนั้น สามารถใช้เป็นหลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอนในเรื่องใด ๆ ก็ได้จะใช้วัดอัตราความงอก งามของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มแต่ละภาคก็ได้จะใช้สำหรับให้ครูวินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ ระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละ คน ก็ได้ข้อสอบมาตรฐานนอกจากจะมีคุณภาพของแบบทดสอบสูงแล้วยังมีมาตรฐานในด้านวิธีดำเนินการสอบคือไม่ว่า 1 โรงเรียนใดหรือส่วนราชการใดจะนำไปใช้ต้องดำเนินการสอบ เป็นแบบเดียวกันแบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือ ดำเนินการสอบ บอกถึงวิธีการสอบว่าทำอย่างไรและยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนด้วย ทั้งแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นและแบบทดสอบมาตรฐาน มีวิธีในการสร้างข้อคำถามเหมือนกัน คือจะเป็น คำถามที่ วัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ได้สอนนักเรียนไป แล้วสำหรับพฤติกรรมที่ใช้วัดจะเป็นพฤติกรรมที่สามารถ ตั้งคำถามวัด ได้ มักนิยมใช้ตามหลักที่ได้จากผลการประชุมของนักวัดผลซึ่ง บลูม (Bloom) ได้เขียนรวมไว้ใน หนังสือ Taxonomy of Educational Objectives สรุปได้ว่าการวัดผลด้านสติปัญญาควรวัดพฤติกรรมดังนี้ 1. วัดด้านความรู้ความจำ 2. วัดด้านความเข้าใจ 3. วัดด้านการนำไปใช้ 4. วัดด้านการวิเคราะห์ 5. วัดด้านการสังเคราะห์ 6. วัดด้านการประเมินค่าการวัดพฤติกรรมทั้ง 6 ด้านนี้จะใช้แบบทดสอบประเภทอัตนัยหรือปรนัยก็ได้ข้อสำคัญ อยู่ที่คำถาม สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ เครื่องมือที่ใช้วัดความรู้ ความเข้าใจ และ สมรรถภาพของ สมองด้านต่าง ๆ ตลอดจนทักษะที่ผู้เรียนได้รับจากประสบการณ์ที่ครูผู้สอนจัดให้ ที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่า บรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ปริญภรณ์ อุไรรัมย์ (2555) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.02/82.08 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่า รู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก พงษ์พิศ พงษ์อินทร์ธรรม (2555) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง น้ำและ อากาศ โดยการสืบเสาะหาความรู้ เพื่อเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง น้ำและอากาศ โดยการสืบเสาะหาความรู้ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.60/81.30 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง น้ำและอากาศ โดยการสืบเสาะหาความรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


17 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน หลังจากที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้ เรื่อง น้ำและอากาศ โดยการสืบเสาะหาความรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง น้ำและอากาศ โดยการสืบเสาะหาความรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมาก พนมพร ค่ำคูณ (2556) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การดำรงชีวิตของพืช เพื่อพัฒนาทักษะการคิดโดยใช้รูปแบบ การสอนแบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 ทักษะการคิดทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนใช้ชุด กิจกรรมดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 วิลาวัณย์ ละมุล (2556) ได้ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่องสมบัติของสารและ การจำแนกสารโดยใช้การเรียนรู้แบร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ผลการวิจัยพบว่า ชุด กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติของสารและการจำแนกสารโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 88.47/86.88 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนหลังเรียนโยใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เรื่อง สมบัติของสารและการจำแนกสารโดยใช้การเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STADสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดัชนี ประสิทธิผลของการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่องสมบัติของสารและการจำแนกสารโดยใช้การเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.7510 แสดงว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพิ่มมขึ้นคิดเป็นร้อยละ 75.10 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เรื่องสมบัติ ของสารและการจำแนกสารโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวม อยู่ในระดับมาก สิริลักษณ์ มหิทธยาภรณ์และคณะ (2556) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เสียงกับการได้ยิน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง เสียงกับการได้ยิน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.13/80.22 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เสียงกับการได้ยิน สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนเฉลี่ยร้อยละ 70.88 ของคะแนนเต็มสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ ร้อยละ 65 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เสียงกับการได้ยิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนเฉลี่ยร้อยละ 73.68 ของคะแนนเต็มสูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ คือ ร้อยละ 65 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อนุสสรา เฉลิมศรี (2555) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการภายในกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการภายในเป็นสื่อ ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 82.08/80.14 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มี คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80.14 อุทัยวรรณ ปันคำ (2563) ได้ศึกษา การใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ระดับพื้นฐานที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4- 6 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ระดับพื้นฐานของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่า


18 ก่อนเรียน และหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยในประเทศ สรุปได้ว่า การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดี ขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ตามความสามารถของตนเอง ที่เป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ชุดกิจกรรม สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด การลงมือกระทำ แก้ปัญหาได้ รู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ มีความรับผิดชอบ มีความคิดสร้างสรรค์ เกิดความรู้ เมื่อเกิดองค์ความรู้แล้วผู้เรียนจะสามารถตีความหมายและลงข้อสรุปของสิ่งที่เรียนมา ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่ผู้เรียนจำเป็นต้องสามารถทำได้ 5. กรอบแนวคิดการวิจัย ในการวิจัยการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมประกอบการสอน มีหลักการดังนี้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ หลักการออกแบบการจัดการเรียนการสอน โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการ เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E แบบ ทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 1.กำหนดเรื่องหรือเนื้อหาที่จะใช้ในการทำกิจกรรม 2.ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอน แนวคิดทฤษฎีและพัฒนาการของผู้เรียน 3.วางแผนว่ากิจกรรมควรครอบคลุมเนื้อหาและพัฒนาด้านใด 4.กำหนดวัตถุประสงค์ของกิจกรรมให้สอดคล้องกับเนื้อหา 5.ออกแบบการจัดการเรียนการสอน ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ทบทวนความรู้ เตรียมความพร้อมในการเรียน ขั้นสอน จัดสภาพของนักเรียนหรือชั้นเรียนให้อยู่ในลักษณะที่ต้องการ ขั้นสรุป ทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง 6.ให้นักเรียนทำข้อสอบหลังเรียน


19 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ระหว่างการสอนโดยใช้แบบชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างชุด กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 (ห้องทดลอง) และ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 ,3/4 (ห้องควบคุม) โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ กับการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัย ตามขั้นตอนดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร 1.2 กลุ่มตัวอย่าง 2. ตัวแปรที่ศึกษา 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. วิธีดำเนินการวิจัย 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 128 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวงวัด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 128 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง จากนั้นแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ดังนี้ - กลุ่มทดลอง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนาหลวง วิชาวิทยาศาสตร์ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้รับการจัดการสอนโดยใช้การสอนแบบชุดกิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ จำนวน 43 คน - กลุ่มควบคุม เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3, 3/4 โรงเรียนราชบพิธ วิชาวิทยาศาสตร์ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่ได้รับการจัดการสอนโดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) จำนวน 84 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษาสำหรับการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ตัวแปร 2 ประเภท 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ


20 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ใช้เครื่องมือในการศึกษาวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 6 เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) จำนวน 1 แผน) 2. แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 6 เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (วิธีการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้จำนวน 1 แผน) 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 6 (ก่อนเรียน - หลังเรียน) ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ในการสร้างเครื่องมือในการวิจัยนั้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือดังต่อไปนี้ 1.1 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ 1.2 แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E 1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 6 (ก่อนเรียน - หลังเรียน) ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่5 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4.1. การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและเนื้อหาที่จะใช้สร้างเครื่องมือ โดยมีขั้นตอนดังนี้ 4.1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แผนการ จัดการเรียนรู้ คู่มือครู และแบบเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 4.1.2 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับการสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 4.1.3 สร้างชุดกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ Active learning โดยรวบรวมเนื้อหาการเปลี่ยนสถานะของสสาร ในบัญชีเนื้อหาพื้นฐานระดับมัธยมศึกษา มาสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ จำนวน 1 ชุด จำแนกเป็นเนื้อหาความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศ ผู้วิจัยเลือกเนื้อส่วนที่เป็นภาวะพึ่งพา ภาวะอิงอาศัย ปรสิต การล่าเหยื่อ 4.1.4 นำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ที่สร้างขึ้นไปเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะ 4.1.5 ทำการแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ เพื่อได้เนื้อหาที่ถูกต้องและเหมาะสม ก่อนนำไปสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ


21 4.2 แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E 2.2.1 ผู้วิจัยศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E 2.2.2 ผู้วิจัยเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นสร้างความสนใจ ขั้นสำรวจและค้นหา ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ขั้นขยายความรู้ และขั้นประเมินผล 2.2.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และแผนจัดการเรียนรู้โดย ใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูลที่ใช้ในการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 4.3.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ไปปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ จากขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และแผนจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปและนำเสนอในรูปแผนภูมิได้ดังนี้ กำหนดจุดมุ่งหมายในการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน โดยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้แบบ 5E เพื่อเปรียบเทียบผลการประเมินทักษะการตีความหมาย และลงข้อสรุปจากเอกสาร บทความและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ศึกษารายละเอียดของเนื้อหาตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551(ฉบับปรับปรุง 2560) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุด กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ ตรวจสอบคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ รับฟังคำแนะนำเพิ่มเติมแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข


22 4.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ (ก่อนเรียน - หลังเรียน) ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่4 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก มีขั้นตอนการสร้างและพัฒนา 3.3.1 วิเคราะห์เนื้อหา กำหนดน้ำหนักของเนื้อหาและผลการเรียนรู้ที่คาดหวังวิชาวิทยาศาสตร์6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ 3.3.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือกให้ครอบคลุม เนื้อหาสาระ และตัวชี้วัด เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 3.3.3 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ พิจารณาความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา จำนวน 3 คน ตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบ 3.3.4 นำผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก ของแบบทดสอบเป็นรายข้อ (D) ทำการคัดเลือกข้อสอบ ซึ่งได้ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 1.00 และค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.20 – 0.80 และนำแบบทดสอบที่ได้คัดเลือกแล้วไปหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร KR20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder- Richardson) (อัปสร ลีซอ, 2550) 3.3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ได้ไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายหลังจากเรียนจบ เนื้อหาเพื่อประเมินผลการเรียนการสอน 5. วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยในชั่วโมงเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 6 ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบ่งเป็น 2 ขั้น คือ ขั้นเตรียมการทดลอง และขั้นการทดลอง 5.1 ขั้นเตรียมการทดลอง ใช้เวลาทั้งสิ้น 1 สัปดาห์ โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ 5.1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 128 คน 5.1.2 สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ แบบ 5E ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 6 (ก่อนเรียน - หลังเรียน) 5.1.3 ชี้แจงให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/3, 3/4 (กลุ่มควบคุม) ใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 (กลุ่มทดลอง) ใช้วิธีการสอนโดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5.2 ขั้นการทดลอง ขั้นการทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 128 คน มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 5.2.1 ผู้วิจัยทำการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5E เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ให้แก่นักเรียนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 (กลุ่มควบคุม) จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ และจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการ


23 สืบเสาะหาความรู้เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ให้แก่นักเรียน นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 (กลุ่มทดลอง) จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ละ 120 นาที โดยทำการสอน 2 คาบ ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นสร้างความ สนใจ ขั้นสำรวจและค้นหา ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ขั้นขยายความรู้ และขั้นประเมินผล ทำการสอนตาม รายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5E และจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5.2.2 หลังการทดลองผู้วิจัยดำเนินการวัดผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นและผ่านการหาคุณภาพแล้ว ซึ่งเป็นข้อคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ แบบให้นักเรียนเติมคำตอบ และใบงานสำหรับการสรุปเนื้อหาที่ได้เรียน 1 ใบ เพื่อนำผลการ ทดสอบที่ได้มาทำการศึกษาผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน กลุ่มทดลอง และนำผลนี้ไปเปรียบเทียบกับคะแนนของนักเรียนกลุ่มควบคุม เพื่อศึกษาผลการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. หาค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน ( x̅) โดยคำนวณจากสูตร ดังนี้ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2543 : 351) สูตร x= ∑ X N เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย ∑X แทน ผลรวมคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูล 2. หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน ใช้สูตร ดังนี้ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2543 : 352) สูตร S.D. =√ N( ∑ X) - ( ∑ X) 2 N(N-1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑X2 แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูล


24 3. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย หาค่าความเที่ยงตรงโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องหรือค่าดัชนีความเหมาะสม (IOC = Index of Item-Objective Congruence) ของแบบทดสอบ ซึ่งมีการให้คะแนนแบบทดสอบตามเกณฑ์ ดังนี้ + 1 รู้สึกแน่ใจว่าแบบทดสอบนั้นวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ข้อนั้น 0 รู้สึกไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบนั้นวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ข้อนั้น - 1 รู้สึกแน่ใจว่า แบบทดสอบนั้นวัดได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ข้อนั้น ผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละข้อไปหาค่าดัชนีความเที่ยงตรงตามเนื้อหาและค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ โดยมีสูตรคำนวณ ดังนี้ สูตร IOC= ∑ R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง R แทน คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ∑ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ โดยการแปลความคือ ถ้า IOC >= 0.5 แสดงว่า ข้อสอบนั้นวัดจุดประสงค์ข้อนั้นจริง ถ้า IOC < 0.5 แสดงว่า ข้อสอบนั้นไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น 4. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยร้อยละระหว่างคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนและหลังเรียน และเปรียบเทียบ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับเกณฑ์ที่กำหนด และ คำนวณหาความพึงพอใจในการเรียนโดยใช้เกมประกอบการสอน


25 บทที่ 4 ผลการวิจัยและข้อวิจารณ์ ผลการวิจัย การวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต ในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E มี วัตถุประสงค์คือ 1.1 เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน นาหลวง เขตทุ่งครุกรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพ 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ผู้วิจัยนำเสนอการวิจัยดังนี้ ตอนที่ 1 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง กรุงเทพมหานคร ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้กับการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) โดยมีรายละเอียดในแต่ละตอนดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง เขตทุ่งครุกรุงเทพมหานคร ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อที่ 1 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้5E เรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง เขตทุ่งครุกรุงเทพมหานคร มีประสิทธิภาพ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) ในการทำใบงานสำหรับการสรุปเนื้อหาเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนกลุ่มทดลอง จำนวน 43 คน จำนวนนักเรียน คะแนนเต็ม ค่าเฉลี่ย X ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน กระบวนการ 33 8 6.4 0.69 ผลลัพธ์ 33 3 2.7 0.49 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มทดลองสามารถทำคะแนนชุดชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ได้ค่าเฉลี่ยรวม เท่ากับ 6.4 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.69 และผลการประเมินทักษะการตีความหมายและลงข้อสรุปจากการทำใบ งานสรุปความรู้เนื้อหาที่เรียนหลังจากจบชุดชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.7 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.49 ดังนั้นประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์


26 ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง มีประสิทธิภาพเป็นไปตามสมมติฐาน ข้อที่ 1 สามารถดูตารางคะแนนเปรียบเทียบได้จากตารางที่ 2 ตอนที่ 2 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนา หลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้กับการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้กับการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อที่ 2 เปรียบเทียบ2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้กับการ จัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คะแนน จำนวน นักเรียน คะแนน เต็ม X S.D t ก่อนเรียน 33 3 2.03 0.31 29.00 หลังเรียน 33 3 2.63 0.48 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่าคะแนนผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนาหลวง ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย2.03 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.31 และที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้กับการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.63 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) มีค่าเท่ากับ 0.48 และคะแนน พิจารณาจากค่า t มีค่าเท่ากับ 29.00 ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนาหลวง ที่เรียนด้วย ชุดกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้กับการ จัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานข้อที่ 2


27 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมะยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียน แบบสืบเสาะหาความรู้5E เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Expermental Research) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างชุดกิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง เขตทุ่งครุกรุงเทพมหานคร ให้มีประสิทธิภาพ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนาหลวง เขตทุ่งครุกรุงเทพมหานคร ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมมศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง เขตทุ่งครุกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ทำการเลือกนักเรียน จำนวนนักเรียน 43 คน ซึ่งได้มาโดย การเลือกแบบเจาะจง โดยมีขั้นตอนการวิจัยดังนี้ การสร้างเครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ ดำเนินการโดยศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับการสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนสถานะ ทั้งการที่สารดูดหรือได้รับ ความร้อนและสารคายหรือสูญเสียความร้อน วิเคราะห์ความเหมาะสมของการใช้ประโยคเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยน สถานะเพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น ที่จะนำมาสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศ นำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เสนออาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบคุณภาพแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ พร้อมนำไปใช้จริง แบบทดสอบ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดำเนินการโดย ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบ วิเคราะห์เนื้อหาสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบบทดสอบ เรื่อง ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน คือ 3 คะแนน สำหรับการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยผลที่ได้จากการทำกิจกรรมหรือการทดลองหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและสอดคล้องกับ การสรุปผล 2 คะแนน สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยผลที่ได้จากการทำกิจกรรมหรือการทดลองหรือความรู้ที่ เกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่และสอดคล้องกับการสรุปผล และ 1 คะแนน สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยผลที่ได้จากการทำ กิจกรรมหรือการทดลองหรือ ความรู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วน และสอดคล้องกับการสรุปผลบางส่วน การทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เป็นการนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ที่สร้างขึ้นไปใช้กับนักเรียนกลุ่มทดลองในสถานการณ์จริง เพื่อประเมิน ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ โดยการทดลองกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนนาหลวง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 43 คน ตามขั้นตอนดังนี้ 1. ก่อนการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชี้แจงให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการ


28 เปรียบเทียบผลการประเมินทักษะการตีความหมายและลงข้อสรุปของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 ใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E 2. ดำเนินการฝึกกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2 ชั่วโมง 3. หลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ทำการทดสอบการเรียน เรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนำไปวิเคราะห์ เพื่อทดสอบสมมติฐาน สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชั้นมัธยมมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค กระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง ระหว่างการสอนโดย โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ ผลการวิจัยครั้งนี้ ทำให้ได้โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบ สืบเสาะหาความรู้5E ของนักเรียนชั้นมัธยมมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาหลวง จำนวน 1 ชุดกิจกรรม สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกระบวนการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้5E ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพ 2. คะแนนผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนหลังจากเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 อภิปรายผล ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5E เรื่อง ความสัมพันธ์ ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้5E เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ คือ หลังจากการ ทดลองวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน นักเรียนทำแบบทดสอบเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย 2.03 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 0.31และหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.63 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) มีค่าเท่ากับ 0.48 ดังนั้น แสดงว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5E สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจาก 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5E เรืองความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต ในระบบนิเวศ มีขั้นตอนที่ชัดเจน โดยศึกษาเอกสารต่าง ๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ดังนี้ 1.1 วิเคราะห์เนื้อหาและภาษาที่ใช้ให้เหมาะสมกับวัยผู้เรียน 1.2 กำหนดจุดประสงค์ของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ไว้อย่างชัดเจน 1.3 เขียนคำชี้แจงในการใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ อย่างชัดเจน


29 1.4 เนื้อหาตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1.5 รูปแบบของกิจกรรมมีหลากหลาย 1.6 ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ มีภาพประกอบที่จูงใจผู้เรียนให้เกิดความสนใจ 2. การทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ใช้เวลาฝึกไม่นาน แต่เหมาะสมกับความสามารถและ วัยของนักเรียน อีกทั้งการได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอตามจุดประสงค์ ทำให้นักเรียนมีพัฒนาการในการตีความหมาย และลงข้อสรุปเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ได้อย่างถูกต้อง และในการทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ครูจะ ใช้การเสริมแรงทางบวก เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดความพยายาม เกิดความมั่นใจในการร่วมกิจกรรม 3. การทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ นักเรียนจะได้รับทราบผลของ การทำกิจกรรมของตนเอง ถ้าพบว่านักเรียนทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ไม่ถูกขั้นตอน จะได้รับการแก้ไขทันที และมีโอกาส ปรับปรุงแก้ไขการวิธีการให้ถูกต้องต่อไป ข้อค้นพบจากการวิจัย จากการจัดการทดลองการทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ 5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สังเกตเห็นผลที่เกิดขึ้นกับ นักเรียน ดังนี้ 1. กระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยนักเรียนได้ปฏิบัติจริง จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความรู้สึก และความคิดเห็นของนักเรียนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ นักเรียนยังรู้จักปรับปรุงพฤติกรรมการใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ จากการทำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2. นักเรียนมีทักษะทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยปกติการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในแต่ละวัน นักเรียนมี โอกาสในการร่วมกิจกรรมวิทยาศาสตร์ในชั่วโมงเรียนน้อย นักเรียนอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อหาบางตอน ดังนั้นการฝึกชุด กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ กับกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้ จึงทำให้นักเรียนมีความสนใจ มีความกระตือรือร้นในการทำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่งผล ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้นขึ้นสามารถนำไปใช้บูรณาการกับ กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ได้ เช่น วิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เป็นต้น การสรุปเนื้อหากับวิชาอื่นๆได้ เช่น ภาษาไทย เป็นต้น 3. นักเรียนมีเจตคติที่ดี เจตคติมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ เพราะจะทำให้นักเรียนเรียนอย่างเข้าใจ มีความตั้งใจ มีแรงจูงใจในการเรียนรู้สูง ในการสอนเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ผู้วิจัยจึงสร้างเจตคติในด้านดีให้ เกิดขึ้นในตัวนักเรียน โดยการให้การเสริมแรงอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ การชมเชย การให้กำลังใจ การให้รางวัล การให้ คะแนน ซึ่งผู้วิจัยสังเกตได้ว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้น ตื่นตัว มีกำลังใจในการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใน การเรียนรู้ในทางที่ดี


30 ข้อเสนอแนะ จากการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ 2 ด้านคือ ด้านการนำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ไปใช้ และด้านการวิจัย มีดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการนำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ไปใช้ 1.1 ในการนำชุดชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ไปใช้นั้น ครูผู้สอนควรเตรียมตัวให้พร้อม ชี้แจงคำสั่งในชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ให้เข้าใจก่อน 1.2 ครูผู้สอนควรอ่านคำชี้แจ้งให้ชัดเจน เพื่อให้นักเรียนทำกิจกรรมไม่เกินความผิดพลาด 1.3 ควรมีการประยุกต์การทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ให้มีความหลากหลาย 1.4 ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้5E เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ไปใช้ในโอกาสต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ 2. ข้อเสนอแนะด้านการวิจัย 2.1 ควรมีการศึกษาถึงรูปแบบการสอนตามแนวคิดทฤษฎีอื่นๆ ในการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 2.2 ควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพ เพื่อติดตามประเมินผลความสามารถในทักษะทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ของนักเรียนที่ได้รับการทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์จากชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น


31 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ชัยยงค์พรหมวงศ์. (2531). ชุดการสอนระดับประถมศึกษา.(เอกสารประกอบการสอน). กรุงเทพฯ. (2545). นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนพานิช. ทิศนา แขมมณี. (2534, 10-12). การจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง: โมเดล ซิปปา(CIPPA MODEL). วารสารครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นรรัชต์ ฝันเชียร. (2562). “7กลยุทธ์ทช่วยสร้างชั้นเรียนที่มีคุณภาพ.” สืบค้น 19 มกราคม 2566, จาก https://www.trueplookpanya.com/education/content/73708/-teaarttea-teaart-teamet บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2542). นวัตกรรมการศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.(2543). นวัตกรรมการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: หจก.เอส อาร์ พริ้นติ้ง. ปิยะพงษ์ สุริยะพรหม. (2546). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4MAT เรื่องป่าชุมชนเพื่อ ส่งเสริมเจตคติต่อการอนุรักษ์ป่าชุมชนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต(การประถมศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พงษ์พิศ พงษ์อินทร์ธรรม. (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง น้ำและอากาศ โดยการ สืบเสาะหาความรู้ เพื่อเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 4(9), พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2545). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : เฮาส ออฟ เคอรมิสท. หน้า 96. ระพิน โพธิ์ศรี. (2549). การสร้างและวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัย. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2531). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. สริพร ทิพย์คง. (2545). หลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : บริษัท พัฒนา คุณภาพวิชาการ(พว.) จ ากัด. หน้า 193 สิริลักษณ์ มหิทธยาภรณ์และคณะ. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เสียงกับการ ได้ยิน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ , 7(3), 142 - 155.35 - 43. สุดารัตน์ ไผ่พงศาวงศ์. (2543). การพัฒนาชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน แบบ CIPPA MODEL เรื่องเส้นขนานและความคล้ายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. อนุสสรา เฉลิมศรี. (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการภายในกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร(ฝ่ายประถม). กรุงเทพฯ.


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัย


34 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ประเมินความสอดคล้องของเครื่องมือการวิจัย ดังนี้ 1. นางสินีนิตย์ เพชรศรีเงิน คุณครูพี่เลี้ยง และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณครูประจำวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนาหลวง 2. นายอภิลักษณ์ คำสถิตย์ คุณครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณครูประจำวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนาหลวง 3. นางสาวผุสดี วงษ์สมศรี คุณครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณครูประจำวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนาหลวง


35 ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ แบบประเมินคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ


35 แบบประเมินคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาช่วยตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อข้อคำถามแต่ละข้อมีความ เหมาะสมที่จะนำไปใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมบัติของวัสดุ ได้หรือไม่ โดยใส่เครื่องหมาย () ลงใน ช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียนข้อเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป โดยให้ผลการ ประเมินในแต่ละข้อคำถามดังนี้ +1 แทน ข้อคำถามนั้นตรงกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 0 แทน ข้อคำถามนั้นไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง -1 แทน ข้อคำถามนั้นไม่สอดคล้อง จุดประสงค์ การเรียนรู้ พฤติกรรม รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอ แนะ +1 0 -1 อธิบายรูปแบบ ความสัมพันธ์ สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตรูปแบบ ต่าง ๆ ได้ ความรู้ ความจำ 1. ข้อใดไม่ใช่ความหมายของปรสิต ก. อาจเป็นสัตว์หรือพืชก็ได้ ข. ติดอยู่กับผู้ถูกอาศัย ค. เป็นได้เฉพาะสัตว์เท่านั้น ง. เป็นอันตรายต่อผู้ถูกอาศัย ความรู้ ความจำ 2. ภาวะแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน หมายถึง ก. สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกัน เสียประโยชน์ทั้งคู่ ข. สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกัน สามารถแยกจากกันได้ ค. สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกัน และไม่สามารถแยกจากกันได้ ง. สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกัน ฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์ ส่วนฝ่าย เสียประโยชน์ การ วิเคราะห์ 3. ต้นทานตะวันกับผึ้งมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ก. ทั้งสองชนิดได้ประโยชน์ร่วมกัน ข. ทั้งสองชนิดต้องพึ่งพากันและกัน ค. ชนิดหนึ่งได้ประโยชน์อีกชนิดหนึ่งเสียประโยชน์ ง. ชนิดหนึ่งได้ประโยชน์อีกชนิดหนึ่งไม่ได้และไม่เสีย ประโยชน์


36 จุดประสงค์ การเรียนรู้ พฤติกรรม รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอ แนะ +1 0 -1 อธิบายรูปแบบ ความสัมพันธ์ สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตรูปแบบ ต่าง ๆ ได้ ความรู้ ความจำ 4. ข้อใดต่อไปนี้เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศแบบภาวะอิงอาศัย ก. นกเอี้ยงกับควาย ข. จระเข้กับนกกระสา ค. กาฝากกับต้นไม้ใหญ่ ง. กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่ ความ เข้าใจ 5. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับ กล้วยไม้ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ก. แมวกับหนู ข. กาฝากบนต้นไม้ ค. ควายกับนกเอี้ยง ง. ปลาฉลามกับเหาฉลาม ความ เข้าใจ 6. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใดไม่ใช่การล่าเหยื่อ ก. นกกับหนอน ข. เสือกับกวาง ค. สุนัขกับเห็บ ง. จิ้งจกกับแมงเม่า การ วิเคราะห์ 7. สิ่งมีชีวิตคู่ใดมีความสัมพันธ์แตกต่างจากข้ออื่น ก. แมลงกับดอกไม้ ข. ความกับนกเอี้ยง ค. ปลาฉลามกับเหาฉลาม ง. ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล ความ เข้าใจ 8. “กาฝากบนต้นไม้ใหญ่ กาฝากเป็นพืชที่อาศัยบนต้นไม้ โดยชอนไชรากเข้าไปดูดน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ที่อาศัยอยู่” จากข้อความเป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบใด ก. ภาวะปรสิต ข. ภาวะอิงอาศัย ค. ภาวะล่าเหยื่อ ง. ภาวะแก่งแย่งแข่งขัน


37 จุดประสงค์ การเรียนรู้ พฤติกรรม รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอ แนะ +1 0 -1 อธิบายรูปแบบ ความสัมพันธ์ สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตรูปแบบ ต่าง ๆ ได้ การ วิเคราะห์ 9. สิ่งมีชีวิตคู่ใดมีความสัมพันธ์แตกต่างจากข้ออื่น ก. แมลงกับดอกไม้ ข. ความกับนกเอี้ยง ค. ปลาฉลามกับเหาฉลาม ง. ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล ความ เข้าใจ 10. สิ่งมีชีวิต A ได้ประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกับ สิ่งมีชีวิต B โดยสิ่งมีชีวิต B ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ ข้อ ใดเป็นความสัมพันธ์เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิต A และ B ก. มดดำกับเพลี้ย ข. โพรโทซัวในลำไส้ปลวก ค. แบคทีเรียในรากพืชตระกูลถั่ว ง. กล้วยไม้เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ การ วิเคราะห์ 11. สิ่งมีชีวิตในข้อใดที่มีความสัมพันธ์แตกต่างจากข้ออื่น ก. งูกับกบ ข. เสือกับกวาง ค. เห็บบนตัวสุนัข ง. ปลาฉลามกับปลาการ์ตูน ความ เข้าใจ 12. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใด ที่มีความสัมพันธ์ ในลักษณะเดียวกัน ก. เห็บบนตัวสุนัข เหาฉลามกับปลาฉลาม ข. นกเอี้ยงกับควาย โพรโทซัวในลำไส้ปลวก ค. ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล ดอกไม้กับแมลงภู่ ง. กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่ พยาธิในร่างกายมนุษย์ การ วิเคราะห์ 13. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากข้ออื่น ก. พลูด่างที่เลื้อยเกาะไปตามต้นปีบ ข. กุ้งซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ กับดอกไม้ทะเล ค. พยาธิตัวตืดที่ผนังลำไส้สุนัขคอยดูดสารอาหาร ง. ต้นตำลึงใช้มือเกาะยึดไปตามล าต้นไม้เพื่อให้ได้รับแสง มากขึ้น


38 จุดประสงค์ การเรียนรู้ พฤติกรรม รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอ แนะ +1 0 -1 อธิบายรูปแบบ ความสัมพันธ์ สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตรูปแบบ ต่าง ๆ ได้ ความรู้ ความจำ 14. สิ่งมีชีวิตสองชนิดอยู่ร่วมกัน สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้ ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง การอยู่ร่วมกันแบบนี้เป็นความสัมพันธ์รูปแบบใด ก. ภาวะปรสิต ข. ภาวะอิงอาศัย ค. ภาวะพึ่งพากัน ง. ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน ความ เข้าใจ 15. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ายไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ ก. เฟินกับต้นไม้ใหญ่ ข. ต้นหูกวางกับกาฝาก ค. โพรโทซัวในลำไส้ปลวก ง. ลูกนกกระจอกในรังเดียวกัน ความ เข้าใจ 16. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ภาวะใด มีบทบาทในการควบคุมสมดุลของจำนวนประชากร สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติมากที่สุด ก. ภาวะแข่งขัน ข. ภาวะล่าเหยื่อ ค. ภาวะอิงอาศัย ง. ภาวะพึ่งพากัน ความ เข้าใจ 17. ความสัมพันธ์ระหว่างผีเสื้อกับดอกไม้เป็นแบบ เดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดใด ก. หมัดกับหนู ข. เฟินกับต้นจามจุรี ค. กาฝากกับต้นมะม่วง ง. ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล ความ เข้าใจ 18. ความสัมพันธ์ระหว่างผีเสื้อกับดอกไม้เป็นแบบ เดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดใด ก. หมัดกับหนู ข. เฟินกับต้นจามจุรี ค. กาฝากกับต้นมะม่วง ง. ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล


39 จุดประสงค์ การเรียนรู้ พฤติกรรม รายการพิจารณา ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอ แนะ +1 0 -1 อธิบายรูปแบบ ความสัมพันธ์ สิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตรูปแบบ ต่าง ๆ ได้ การ วิเคราะห์ 19. ข้อใดจับคู่ความสัมพันธ์กันได้ถูกต้อง ก. มดดำกับเพลี้ย - ภาวะปรสิต ข. ผีเสื้อกับดอกไม้ - ภาวะอิงอาศัย ค. เหาฉลามกับปลาฉลาม – ภาวะล่าเหยื่อ ง. แบคทีเรียในปมรากพืชตระกูลถั่ว - ภาวะพึ่งพากัน ความรู้ ความจำ 20. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในรูปแบบ ภาวะพึ่งพากัน ก. ไลเคน ข. นกกับแมลง ค. นกเอี้ยงบนหลังควาย ง. พลูด่างกับต้นไม้ใหญ่ ความ เข้าใจ 21. ภาวะใดเป็นภาวะอิงอาศัย ก. วีรภาพพบกล้วยไม้รองเท้านารีเกาะอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ข. พร้อมพงศ์พยายามปลูกต้นยูคาลิปตัสบริเวณคันนาเพื่อ ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ค. ณัฐพงศ์มักจะพักอาศัยอยู่บ้านญาติในกรุงเทพมหานคร เพื่อทำงานบริษัท ง. เจตณัฐรับเลี้ยงสุนัขบางแก้วจากวัดแต่ต้องพาสุนัขไป พบแพทย์เนื่องจากพบเห็บอยู่ในสุนัขเป็นจำนวนมาก ความรู้ ความจำ 22. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ไม่เหมือนกับ “ดอกไม้ทะเลที่ เกาะบนปูเสฉวน” ก. รากับสาหร่าย ข. ผีเสื้อกับดอกไม้ ค. ควายกับนกเอี้ยง ง. ปลาฉลามกับเหาฉลาม ความรู้ ความจำ 23. ข้อใดต่อไปนี้เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศแบบภาวะอิงอาศัย ก. นกเอี้ยงกับควาย ข. จระเข้กับนกกระสา ค. กาฝากกับต้นไม้ใหญ่ ง. กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่


Click to View FlipBook Version