The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ninja89119, 2024-02-09 06:00:00

วิจัยในชั้นเรียน

นายพรชัย ปัททุม

รายงานวิจัย เรื่อง ผลของการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง พรชัย ปัททุม วิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา รหัสวิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566


รายงานวิจัย เรื่อง ผลของการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง โดย นายพรชัย ปัททุม รหัสนักศึกษา 62100189119 วิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา รหัสวิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566


ชื่อเรื่อง ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวใน การเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3โรงเรียนหมาก บ้านแข้ง ผู้วิจัย นายพรชัย ปัททุม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์วันวิสา ป้อมประสิทธิ์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม นายเจนณรงค์ พรมหลวง ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคล่องแคล่วว่องไวในการเรียน กีฬาแชร์บอลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนหมากบ้านแข้งที่เรียนด้วยกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกตารางเก้าช่อง กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนบ้าน หมากแข้ง จังหวัดอุดรธานีได้จากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาจัดรูปแบบการสอนโดยใช้แบบฝึกตารางเก้าช่องที่มีผลต่อความ คล่องแคล่วว่องไวในการเรียนกีฬาแชร์บอลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 จำนวน 8 แผนแผน ละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยโดยหาค่า IOC ของแบบ ฝึกและแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ ดังนี้ 1.พบว่าการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง9 ช่อง ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวในการเรียนกีฬา แชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 หลังจากใช้แบบฝึกแล้วนักเรียนเมื่อนำมาเปรียบเทียบ กับเกณฑ์ นักเรียนชายอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 82.35 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนชายทั้ง ห้อง 2.พบว่าการฝึกโดยใช้แบบฝึกตารางเก้าช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไวของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากใช้แบบฝึกแล้วนักเรียนเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ นักเรียน หญิงอยู่ในเกณฑ์พอใช้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 47.37เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนหญิงทั้งห้อง ก


กิตติกรรมประกาศ วิจัยนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความกรุณา คำแนะนำและความช่วยเหลืออย่างยิ่งจาก อาจารย์ วันวิสา ป้อมประสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือในการทดลองและเครื่องมือ ในการ เก็บรวบรวมข้อมูล จนสามารถได้เครื่องมือที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์ที่ให้คำปรึกษาให้ คำแนะนำ ให้ข้อคิดในการทำวิจัยตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ มาโดยตลอด ผู้จัดทำขอกรา บ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์วันวิสา ป้อมประสิทธิ์,นายปานเพชร พรมพิมพ์,นายเจน ณรงค์ พรมหลวง, ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัย ตลอดจนให้คำแนะนำแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ ในการสร้างเครื่องมือ และผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนบ้าน หมากแข้ง คณะครูและนักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 4/3 ที่มีส่วนช่วยเหลือให้ความร่วมมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการจัดการเรียนการสอนในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ ทุกท่านที่ให้ความ ช่วยเหลือ ชี้แนะ สนับสนุนและให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยเสมอมา คุณค่าและคุณประโยชน์ที่ได้จากวิจัยเล่มนี้ ผู้วิจัยขอมอบกตัญญุตาบูชาแด่ บิดา มารดา และ บูรพาจารย์ที่ให้การศึกษาอบรมสั่งสอนให้สติปัญญาความรู้ความสามารถและคุณธรรมเสมอมา นายพรชัย ปัททุม ข


สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย........................................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................ ข สารบัญ............................................................................................................................................. ค สารบัญ(ต่อ)...................................................................................................................................... ง บทที่ 1 บทนำ................................................................................................................................... 1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................................ 1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................... 5 3. สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................... 5 4. ขอบเขตของการวิจัย...................................................................................................... 5 5. นิยามศัพท์เฉพาะ........................................................................................................... 5 6. ประโยชน์ที่จะได้รับ........................................................................................................ 6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................... 8 1. การเรียนรู้ทักษะ (Skills Learning)............................................................................... 8 2. การพัฒนาการประสานงานการเคลื่อนไหว.................................................................... 10 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ................................................... 10 2.2 ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว...................................................................................... 12 2.3 เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง........................................................................................... 12 3. แนวคิดเกี่ยวกับตารางเก้าช่อง........................................................................................ 13 3.1 ความความเป็นของตารางเก้าช่อง........................................................................... 13 3.2 วิวัฒนาการและบทบาทสำคัญของตาราง 9 ช่อง.................................................... 14 3.3 ประโยชน์ของตาราง 9 ช่อง.................................................................................... 17 3.4 วิธีการฝึกตาราง 9 ช่อง 18 4. แนวคิดเกี่ยวกับความคล่องแคล่วว่องไว 22 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง......................................................................................................... 29 6. กรอบแนวคิดการวิจัย..................................................................................................... 32 บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย................................................................................................................ 33 1. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง................................................................................................... 33 2. แบบแผนการทดลอง...................................................................................................... 33 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................. 34 ค


สารบัญ (ต่อ) หน้า 4. วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ............................................................... 34 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล.................................................................................................... 34 6. การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................... 35 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์................................................................................................. 35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................................... 37 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...................................................................................... 42 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................... 42 2. สมมติฐานการวิจัย.......................................................................................................... 42 3. วิธีดำเนินการวิจัย........................................................................................................... 42 4. สรุปผลการวิจัย.............................................................................................................. 42 5. การอภิปรายผล.............................................................................................................. 42 6. ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... 45 6.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้.......................................................... 45 6.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป.................................................................. 46 รายการอ้างอิง.................................................................................................................................. 47 ภาคผนวก......................................................................................................................................... 50 ภาคผนวก กรายนามผู้เชี่ยวชาญ........................................................................................ 51 ภาคผนวก ขเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง............................................................................ 53 ภาคผนวก คผลการหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................ 70 ภาคผนวก ง แผนการจัดการเรียนรู้ (กีฬาแชร์บอล) โดยใช้แบบฝึกตารางเก้าช่อง............. 72 ภาคผนวก จ รูปภาพกิจกรรม............................................................................................. 97 ภาคผนวก ฉ ประวัติย่อผู้วิจัย.............................................................................................. 102 ง


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา กีฬาแชร์บอลในภาค เรียนที่ 1 นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนมาก มีนักเรียนหลายคนที่มีทักษะกีฬาแชร์บอลอยู่ ในระดับทักษะพอใช้ ในการปฏิบัติกิจกรรม นักเรียนยังขาดความคล่องแคล่ววองไวในการเคลื่อนไหว ร่างกายในการทำคะแนน และ ขาดความคล่องแคล้วว่องไวในการเลี้ยงลูกบอล ดังนั้นจึงได้นำ นักเรียนที่มีความสามารถทักษะในการเล่นกีฬาแชร์บอลมาฝึกพัฒนาทักษะขั้นพื้นฐาน การ เคลื่อนไหว การเลี้ยงลูก การทำคะแนนให้ดีขึ้น เพื่อนำไปสู่การเรียนกีฬาแชร์บอลของ นักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ปีการศึกษา 2566 ต่อไป กีฬาแชร์ บอลไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีกำเนิดหรือเล่นกันมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ในอดีต กีฬาแชร์บอล เป็นเกมกีฬาที่มุ่งเน้นการปลูกฝัง หรือเป็นการ ปูพื้นฐานการเล่นกีฬาจำพวกบาสเกตบอล แฮนด์บอล หรือกีฬาประเภทอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะด้านการเคลื่อนไหว รวมถึงทักษะการ ฝึกฝนเบื้องต้นด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการฝึกความพร้อมของร่างกายและจิตใจ กีฬาแชร์บอลไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีกำเนิดหรือเล่นกันมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ใน อดีต กีฬาแชร์บอลเป็นเกมกีฬาที่มุ่งเน้นการปลูกฝัง หรือเป็นการปูพื้นฐานการเล่นกีฬาจำพวก บาสเกตบอล แฮนด์บอล หรือกีฬาประเภทอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะด้านการเคลื่อนไหว รวมถึงทักษะการฝึกฝนเบื้องต้นด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการฝึกความพร้อมของร่างกายและจิตใจ ส่วนระเบียบการเล่น หรือ กติกาแชร์บอล ในตอนแรกยังไม่มีระบุขึ้นมาตายตัว เพียงแต่ยึดถือกติกา บาสเกตบอลในบางส่วนมาใช้ โดยการอนุโลมให้เหมาะสมเท่านั้น จากหลักฐานที่ปรากฏผู้ที่คิดค้นกีฬา แชร์บอลขึ้นมาเล่นคือ พันเอกมงคล พรหมสาขา ณ สกลนคร และได้มีการพัฒนาอย่างแพร่หลาย เนื่องจากแชร์บอลเป็นกีฬาที่เล่นง่าย เพราะไม่จำกัดเพศของผู้เล่น คือ อาจจะเล่นรวมทั้งชายและหญิง ผสมกัน และสถานที่ สามารถเล่นได้กับทุกสนามไม่ว่าจะเป็น สนามหญ้า พื้นดิน พื้นซีเมนต์ พื้นไม้ ฯลฯ ส่วนลูกบอลที่ใช้จะใช้ลูกเนตบอล หรือลูกวอลเลย์บอล ถ้าไม่มีก็ใช้วัสดุอื่นแทนได้ เช่น ม้วนผ้า เป็นลักษณะกลม ๆ ก็สามารถเล่นได้ ส่วนภาชนะที่ใช่รับลูกบอลนอกจากตะกร้ายังสามารถใช้อย่างอื่น ที่ใส่ลูกได้โดยจุดประสงค์ของกีฬาแชร์บอล คือ ผู้เล่นแต่ละฝ่ายช่วยกันรับส่งลูกบอลให้ผู้เล่นฝ่าย เดียวกัน นำลูกบอลผ่านฝ่ายตรงข้ามโยนลงไปในตะกร้าของฝ่ายตนเองที่ยืนรอรับอยู่ข้างหน้า(ด้านหลัง ของฝ่ายตรงข้าม) โดยโยนให้เข้าตะกร้าให้มากที่สุด และในทางตรงกันข้ามอีกฝ่ายก็จะต้องป้องกัน


2 ไม่ให้ลูกบอลส่งข้ามไปเข้าตะกร้าเช่นกันปัจจุบันกีฬาแชร์บอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่เล่นหรือแข่งขันภายในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเท่านั้น หน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง ภาครัฐบาลและเอกชนต่างก็ให้ความสนใจนิยมเล่นกัน และมีการแข่งขันทั้งภายในหน่วยงานหรือ ระหว่างหน่วยงาน เนื่องจากกีฬาแชร์บอลเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เชื่อมความสามัคคีระหว่างกัน ได้เป็นอย่างดี ตาราง 9 ช่อง เป็นเครื่องมือในการพัฒนาปฏิกิริยาความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของมือและ เท้า รวมทั้งพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ ตลอดจนการทรงตัวในการเคลื่อนไหวร่างกายให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ นอกจากนี้ การออก กำลังกายด้วยตาราง 9 ช่องยังช่วยกระตุ้นและพัฒนาการทำงานของสมองให้มีประสิทธิสภาพ ฝึก ปฏิกิริยารับรู้และตอบสนองต่อการเคลื่อนไหว ตลอดจนการคิด การตัดสินใจ การแก้ปัญหาเฉพาะ หน้า ทำให้ความจำแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายสมองและคลายเครียดได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการ ลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยได้ โดยตาราง 9 ช่องนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย ได้ อยู่ที่เราจะใช้ประโยชน์ในด้านใดหรือเพื่อวัตถุประสงค์อะไร “สมองคนเราพัฒนาได้ตลอดชีวิต หลักการง่ายๆ คือ ถ้าเราไม่ใช้สมองนานๆ สมองก็จะฝ่อลีบและจะเสื่อมความสามารถในการรับรู้ สั่งงาน เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อที่ไม่ได้รับการฝึกหรือไม่ได้รับการออกกำลังกาย แต่ถ้าใช้มากเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายและสมองก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น สมองในส่วนที่เราใช้งานในการ เคลื่อนไหวเป็นประจำ คือ สมองส่วนที่ใช้ควบคุมการเดินไปข้างหน้า แต่เราไม่ค่อยได้ใช้สมองส่วนที่ ควบคุมการเดินถอยหลัง สมองส่วนนี้จึงสูญเสียความสามารถในการควบคุม ทำให้เวลาถอยหลังเราจะ เสียการทรงตัวหรือล้มง่ายเพราะสมองส่วนนี้ไม่เคยถูกใช้งาน. ตาราง 9 ช่อง ใช้หลักการเคลื่อนไหว ร่างกายที่สำคัญ 3 มิติคือ มิติหน้า- หลัง มิติซ้าย-ขวา และมิติบน-ล่าง. เป็นหลักการในการฝึก เคลื่อนไหวซึ่งผู้นำไปใช้สามารถออกแบบการไหวได้ตามที่ตนเองต้องการ” ศ.ดร.เจริญ กล่าว (มติชน ออนไลน์, 2563) รศ.เจริญ กระบวนรัตน์อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้นำแนวคิดข้างต้นไปคิดค้น "ตาราง 9 ช่อง" อุปกรณ์ที่ช่วยในการพัฒนาสมองของนักกีฬาและเด็ก การฝึกปฏิกิริยารับรู้และตอบสนองต่อการเคลื่อนไหว เป็นหนึ่งในหลักการพัฒนาความเร็ว ที่สำคัญ สำหรับนักกีฬา ในการแข่งขันที่ต้องใช้ความรวดเร็วแม่นยำในการเคลื่อนไหว และทักษะการกีฬา ตลอดจนการคิด การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รูปแบบของการฝึกนั้น จะเน้นการ กระตุ้นการทำงานของสมองหรือระบบประสาทที่ทำหน้าที่ในการรับรู้ข้อมูล ( Sensory Neuron ) เพื่อส่งไปยังสมองส่วนกลาง ( Central Nervous System ) ซึ่งทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และแปล ความหมายข้อมูล ก่อนที่ส่งไปยังเซลล์ประสาท ที่ทำหน้าที่สั่งงานและควบคุมการเคลื่อนไหวให้เป็นไป


3 ตามข้อมูลที่ส่งมา ( Motor Neuron ) ช่วงการทำงานของระบบประสาทดังกล่าวนี้ จะโดยเน้นความ ถูกต้องแม่นยำและความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวเป็นสำคัญ ดังนั้นตาราง 9 ช่องจึงผุดขึ้นมาใน ความคิดและถูกนำมาใช้ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาปฏิกิริยาความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของมือ และเท้าให้กับนักกีฬา รวมทั้งพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ ตลอดจนการทรงตัวในการเคลื่อนไหว ร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รูปแบบการเคลื่อนไหวที่ถูกนำมาใช้เป็นกิจกรรมในการฝึกให้กับ นักกีฬาบนตาราง 9 ช่อง ซึ่งมีกว่า 100 รูปแบบ ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวในแต่ละ ชนิดกีฬา จากนั้นนำมาประยุกต์เป็นรูปแบบการเคลื่อนไหว ให้นักกีฬาทำการฝึกบนตารางเก้าช่อง ซึ่ง มีขนาดช่องตารางแต่ละช่องใหญ่สุดไม่เกิน 30 x 30 ซม. เล็กสุดไม่ควรต่ำกว่า 20x20 ซม. โดย สามารถปรับขนาดของช่องตาราง 9 ช่อง ให้มีความเหมาะสมกับลักษณะรูปร่างของนักกีฬา และ จุดประสงค์ ของการ ใช้งานหรือการฝึกตาราง 9 ช่องได้ถูกนำมาใช้ในการกระตุ้นและพัฒนา ความสามารถให้กับนักกีฬาเป้นครั้งแรกที่ชมรมนักกรีฑามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2539 เพื่อต้องการพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วของเท้า ความสัมพันธ์ การทรงตัวในแต่ละรูปแบบการ เคลื่อนไหว เพื่อพัฒนาความสามารถให้กับนักกีฬา เนื่องจากเชื่อมั่นว่าเด็กและนักกีฬาไทยหากได้รับ การเรียนรู้หรือการฝึกอย่างถูกต้องเป็นระบบ ด้วยกระบวนการและหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์ จะ สามารถพัฒนาการเรียนรู้และขีดความสามารถเรียนรู้และขีดความสามารถของนักกีฬาให้ก้าวไปสู่การ ซึ่งประโยชน์ของตาราง 9 ช่อง สรุปได้ดังนี้ พัฒนาการรับรู้ เรียนรู้ และการสั่งงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ พัฒนาทักษะการใช้มือและเท้าในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว พัฒนาระบบไหลเวียน เลือดและระบบหายใจ พัฒนาความแข็งแรงและความสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหว พัฒนาระบบพลังงาน และการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ปรับความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายพัฒนารูปแบบการ เรียนรู้ให้มีความหลากหลายได้คุณภาพ พัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบการคิดอย่างมีเหตุผล ช่วย พัฒนาบุคลิกภาพ ความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในตัวเอง พัฒนาและเสริมสร้างสมาธิในการรับรู้เรียนรู้ สร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ให้รู้สึกสนุก ผ่อนคลาย ไม่เครียด พัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ) วุฒิภาวะทางสังคม (SQ) และวุฒิภาวะทางด้านสติปัญญา(IQ) พัฒนาการรับรู้เรียนรู้ของสมองทั้งซีก ซ้ายและซีกขวา ช่วยให้สามารถประเมินผลการรับรู้ เรียนรู้ได้อย่างถูกต้องเป็นรูปธรรม ส่งเสริมทักษะ พัฒนาความคิด จินตนาการและความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติในการเรียนรู้(สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ, 2560) ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) เป็นองค์ประกอบหนึ่งของสมรรถภาพที่มีความจำเป็นใน การเคลื่อนไหว เกชา พูลสวัสดิ์ (2548) ได้กล่าวว่า ความคล่องแคล่วว่องไว เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ของสมรรถภาพทางกายที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นต่อการ เล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ ซึ่งผู้ที่มีความคล่องแคล่วว่องไวดีนั้นจะสามารถส่งผลช่วยให้ การเคลื่อนไหว ใน สถานการณ์กีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ อัจฉรา จันทร์ช่วย (2550) กล่าวว่า ความ


4 คล่องแคล่วว่องไวเป็นพื้นฐานของสมรรถภาพทางกายที่ดี มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการเล่นกีฬาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเกตบอล เทเบิลเทนนิส ดังนั้น ความคล่องแคล่วว่องไว คือ ความสามารถในการเปลี่ยนตำแหน่ง หรือทิศทาง การเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อันเป็นผลเนื่องมาจาก ความสามารถในการหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพื่อทำงาน ประสานกันได้เป็นอย่างดี โดย กิจกรรมการออกกำลังกายที่จะช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายมีความคล่องแคล่วว่องไวสูงขึ้น ได้แก่ กิจกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ทำงานร่วมกันและประสานกันในการเปลี่ยน ตำแหน่งและทิศทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย (วรศักดิ์ เพียรชอบ, 2548) ในการฝึกที่เน้นการกระตุ้นการทำงาน ของสมองหรือระบบประสาทที่ทำหน้าที่ในการ รับรู้ ตาราง 9 ช่อง เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ช่วยใน กระตุ้นการพัฒนาของสมองและตอบสนองต่อการ เคลื่อนไหวของนักกีฬา รูปแบบของการฝึกตาราง 9 ช่อง จะเน้นการกระตุ้นการทำงานของสมอง หรือ ระบบประสาทที่ทำหน้าที่ในการรับรู้ข้อมูล เพื่อส่งไปยังสมองส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์และ แปลความหมายข้อมูล ก่อนจะส่งไปยังเซลล์ ประสาทที่ทำหน้าที่สั่งงาน และควบคุมการ เคลื่อนไหว ให้เป็นไปตามข้อมูลที่ส่งมา ช่วงการ ทำงานของระบบประสาทดังกล่าวนี้จะใช้เวลา เพียงสั้น ๆ โดย เน้นความถกูต้องแม่นยำ และความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวเป็นสำคัญรูปแบบการฝึกนี้ถูกนำมาใช้ เป็นเครื่องมือในการฝึกพัฒนา ปฏิกิริยาความเร็วในการเคลื่อนไหวของมือและ เท้าให้กับนักเรียน รวมทั้ง พัฒนาทักษะ ความสัมพันธ์ ตลอดจนการทรงตัวในการเคลื่อนไหวร่างกายให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น และมีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่นำมาใช้เป็น กิจกรรมในการฝึกให้กับนักเรียนซึ่งได้มาจาก การ วิเคราะห์การเคลื่อนไหวในแต่ละชนิดกีฬาและ นำมาประยุกต์เป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวให้ นักเรียนฝึกบนตาราง 9 ช่อง ให้มีความเหมาะสม กับลักษณะรูปร่างของนักเรียนและจุดประสงค์ของ การใช้งานหรือการฝึก ตาราง 9 ช่องถูกนา มาใช้ใน การกระตุ้นและพัฒนาความสามารถใหกับนักกีฬา เป็น ครั้งแรกในไทยที่ชมรมนักกรีฑามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2539 โดย รศ.เจริญ กระบวนรัตน์ เพื่อต้องการพัฒนา ปฏิกิริยาความเร็วของเท้า ความสัมพันธ์การทรง ตัวในแต่ละ รูปแบบของการเคลื่อนไหว เพื่อพัฒนา ความสามารถให้กับนักกีฬา เนื่องจากเชื่อมั่น ว่าเด็ก หรือ นักกีฬาไทย หากได้รับการเรียนรู้หรือการ ฝึกอย่างถูกต้องเป็นระบบ ด้วยกระบวนการและหลักการ ทางด้านวิทยาศาสตร์ จะสามารถพัฒนาการเรียนรู้และขีดความสามารถของนกักีฬา ให้ก้าวไปสู่การ แข่งขัน ระดับ นานาชาติหรือระดับ โลกได้ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่13 ในปีพ.ศ.2541 มีผู้ ฝึกสอนกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย ใช้ตาราง 9 ช่องฝึกซ้อมนักกีฬา หลังจากนั้น ได้มีการนำ มาใช้ฝึก นักกีฬาประเภทต่างๆ เพิ่มมาก ขึ้นทั้งในระดับสถาบันการศึกษา ระดับสโมสร และระดับชาติ จนถึง ปัจจุบัน (นภสร นีละไพจิตร, 2549)


5 จากแนวคิดและเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงได้นำมาเป็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาร่างกาย ของนักเรียนให้มีความคล่องแคล่วว่องไวเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนในรายวิชาพลศึกษากีฬาแชร์ บอล โดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง โดยผู้วิจัยจัดทำวิจัยเพื่อศึกษาผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่ มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง และยังเป็น แม่แบบหรือแนวทางในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้กับนักเรียนที่สนใจ และยังสามารถนำแบบฝึก ไปใช้ในการฝึกนักกีฬาเพื่อให้เกิดความเป็นเลิศทางการกีฬา และยังเป็นอีกทางเลือกสำห รับผู้ที่ ต้องการออกกำลังกายโดยใช้พื้นที่ขนาดเล็กในการออกกำลังกาย วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการฝึก โดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง เพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวในการ เรียนกีฬาแชร์บอลของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4/3 สมมุติฐานการวิจัย นักเรียนมีพัฒนาการด้านความคล่องแคล่วว่องไวในการเรียนกีฬาแชร์บอล โดยใช้แบบฝึก ตาราง 9 ช่อง หลังฝึกสูงกว่าก่อนฝึก ขอบเขตการวิจัย ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง จำนวน 36 คน ตัวแปรในงานวิจัย 1. ตัวแปรต้น คือ แบบฝึกทักษะตาราง 9 ช่อง 2. ตัวแปรตาม คือ ความคล่องแคล่วว่องไวในการเรียนกีฬาแชร์บอล ระยะเวลา ในการวิจัยครั้งนี้ใช้เวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ กีฬาแชร์บอล หมายถึง เป็นเกมนำ มิใช่กีฬาสากล การเล่นแชร์บอลนั้น มีจุดมุ่งหมาย คือ การออกกำลังกายและปูพื้นฐานทักษะการเคลื่อนไหว สำหรับกีฬาชนิดอื่น เช่น บาสเกตบอล แฮนด์บอล เบสบอล เป็นต้น นอกจากนี้ แชร์บอลยังเป็นเกมการเล่นที่ส่งเสริมให้คนได้รู้จักการใช้เวลา ว่าง ให้เป็นประโยชน์ โดยการออกกำลังกาย แชร์บอลนิยมใช้เล่นเพื่อเชื่อม ความสามัคคีได้เป็นอย่าง ดี แบบฝึกตาราง 9 ช่อง หมายถึง เครื่องมือในการพัฒนาปฏิกิริยาความรวดเร็วในการ เคลื่อนไหวของมือและเท้า รวมทั้งพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ ตลอดจนการทรงตัวในการเคลื่อนไหว ร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ


6 นอกจากนี้ การออกกำลังกายด้วยตาราง 9 ช่องยังช่วยกระตุ้นและพัฒนาการทำงานของสมองให้มี ประสิทธิสภาพ ฝึกปฏิกิริยารับรู้และตอบสนองต่อการเคลื่อนไหว ตลอดจนการคิด การตัดสินใจ การ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้ความจำแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายสมองและคลายเครียดได้เป็น อย่างดี ถือเป็นการลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยได้ ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) หมายถึง สิ่งที่เป็นเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสมรรถภาพ ที่มีความเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสมรรถภาพทางกายที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นต่อการเล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ ซึ่งผู้ที่มีความคล่องแคล่วว่องไวดีนั้นจะสามารถ ส่งผลช่วยให้ การเคลื่อนไหว ในสถานการณ์กีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.เป็นทางเลือกที่ครูผู้สอนสามารถนำรูปแบบการฝึกมาใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะทักษะที่ ต้องการฝึกหรือที่ต้องการสอน 2.พัฒนาความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ข้อต่อและกระดูกช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ของการ เคลื่อนไหวและพัฒนาระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต 3.พัฒนาทักษะการทรงตัว หรือภาวะสมดุลของการทรงตัว และการเคลื่อนไหวโดยใช้มือและ เท้าประกอบกันและการออกกำลังกายอย่างมีสติ จะช่วยสร้างสมาธิในการเรียนรู้มีการพัฒนารูปแบบ การเรียนรู้อย่างหลากหลายอีกทั้งยังเพิ่มทักษะทางด้านการคิดให้เป็นระบบ อย่างมีเหตุผล 4.นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 มีทักษะการเคลื่อนไหวที่ความคล่องแคล่วว่องไวในการ เรียนกีฬาแชร์บอลดีขึ้น รูปแบบการฝึกตาราง 9 ช่อง ท่าที่ 1 ก้าวชิด – ก้าวชิด ยืนท่าเตรียมโดยเท้าซ้ายและเท้าขวายืนบนช่องหมายเลข 3 ก้าวเท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 1 และก้าวเท้าขวามาชิดกับเท้าซ้ายในช่องหมายเลข 1 ก้าวเท้าขวาไป ช่องหมายเลข 3 และเก้าเท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวาในช่องหมายเลข 3 ท่าที่ 2 แยกชิด ยืนท่าเตรียมบนช่องหมายเลข 2 ก้าวเท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 1 ก้าวเท้า ขวาไปช่องหมายเลข 3 ก้าวเท้าซ้ายกลับมาช่องหมายเลข 2 และก้าวเท้าขวากลับมาช่องหมายเลข 2 ท่าที่ 3 เดินหน้า – ถอยหลัง ด้วยการวางเท้าซ้ายที่ช่องหมายเลข 2 เท้าขวาอยู่ที่ช่อง หมายเลข 3 จากนั้นก้าวเท้าซ้ายขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 5 ก้าวเท้าขวาขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 6 ต่อด้วย ก้าวเท้าซ้ายต่อไปที่ช่องหมายเลข 8 ก้าวขวาก้าวต่อไปที่ช่องหมายเลข 9 จากนั้นถอยเท้าซ้ายลงไปที่ ช่องหมายเลข 5 ถอยเท้าขวาไปที่ช่องหมายเลข 6 ถอยเท้าซ้ายลงไปที่ช่องหมายเลข 2 สุดท้ายถอย เท้าขวาลงไปที่ช่องหมายเลข 3


7 ท่าที่ 4 ตัวอักษร V ท่าเตรียมยืนด้วยเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 2 เริ่มต้นด้วยก้าว เท้าซ้ายขึ้นไปที่หมายเลข 7 ก้าวเท้าขวาขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 9 ต่อด้วยก้าวเท้าซ้ายกลับมาที่ช่อง หมายเลข 2 และสุดท้ายก้าวเท้าขวากลับมาที่ช่องหมายเลข 2 ท่าที่ 5 ตัวอักษร V (คว่ำ) ท่าเตรียมยืนด้วยเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 8 เริ่มต้น ด้วยก้าวเท้าซ้ายขึ้นไปที่หมายเลข 1 ก้าวเท้าขวาขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 3 ต่อด้วยก้าวเท้าซ้ายกลับมาที่ ช่องหมายเลข 8 และสุดท้ายก้าวเท้าขวากลับมาที่ช่องหมายเลข 8 ท่าที่ 6 รวม ตัวอักษร V (หงาย-คว่ำ) ท่าเตรียมเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 5 ก้าว เท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 7 ก้าวเท้าขวาไปช่องหมายเลข 9 จากนั้นถอยเท้าซ้ายลงไปที่ช่องหมายเลข 5 ถอยเท้าขวาลงไปที่ช่องหมายเลข 5 จากนั้นถอยเท้าซ้ายลงไปที่ช่องหมายเลข 1 ถอยเท้าขวาลงไปที่ ช่องหมายเลข 3 จากนั้นก้าวเท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 5 ก้าวเท้าขวาไปช่องหมายเลข 5


8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัย เรื่อง ผลของการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องโดยนำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1.การเรียนรู้ทักษะ 1.1 การฝึกขั้นพื้นฐาน 1.2 การฝึกขั้นก้าวหน้า 1.3 การฝึกขั้นพัฒนาความสามารถสูงสุด 2.การพัฒนาการประสานงานการเคลื่อนไหว 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ 2.2 ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว 2.3 เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง 3.แนวคิดเกี่ยวกับตาราง 9 ช่อง 3.1ความหมายของตาราง 9 ช่อง 3.2วิวัฒนาการและบทบาทสำคัญของตาราง 9 ช่อง 3.3ประโยชน์ของตาราง 9 ช่อง 3.4วิธีการฝึกตาราง 9 ช่อง 4.แนวคิดเกี่ยวกับความคล่องแคล่วว่องไว 4.1ความหมายของความคล่องแคล่วว่องไว 4.2ประโยชน์ของความคล่องแคล่วว่องไว 4.3หลักการในการฝึกความคล่องแคล่วว่องไว 4.4วิธีการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว 5.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1งานวิจัยในประเทศ 5.2งานวิจัยต่างประเทศ 6.กรอบแนวคิดการวิจัย 1. การเรียนรู้ทักษะ (Skills Learning) การเรียนรู้ทักษะ เป็นขบวนการทางกลไกของระบบประสาทที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่เราสามารถสังเกตความก้าวหน้าได้จากทักษะการเคลื่อนไหวและความสามารถที่ได้รับการพัฒนา


9 จากการเรียนรู้ทักษะนั้น เนื่องจากขบวนการเรียนรู้รับรู้จะเกิดขึ้นภายในร่างกายและจิตใจ ซึ่งรวมไป ถึง การทำงานระบบประสาท สมอง และหน่วยความจำ เมื่อไรก็ตามที่เราทำการฝึกหรือปฏิบัติทักษะ ใด ทักษะหนึ่ง หน่วยความจำจะพยายามเรียนรู้การปฏิบัติทักษะนั้น ยิ่งลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติ ทักษะมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องและสมบูรณ์ถูกต้องมากเท่าใด หน่วยความจำจะจดจำลำดับขั้นตอนของ การเคลื่อนไหวของทักษะนั้นหน่วยความจำของสมองที่ทำหน้าที่จดจำและควบคุมเทคนิคการ เคลื่อนไหว เฉพาะด้านทักษะนี้เรียกว่า โปรแกรมการเคลื่อนไหว (Motor Programs) ซึ่งสามารถ พัฒนาได้ด้วยการคิดและระบบการสอนที่ดี เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) กล่าวไว้ว่า ขั้นตอนที่เป็นพื้นฐานสำคัญของหลักการ ฝึกซ้อม ที่ผู้ ฝึกสอนกีฬาและนักกีฬาควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องเพื่อประสิทธิภาพในการฝึกนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ 1.1 การฝึกขั้นพื้นฐาน (Basic Training) เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) การฝึกในขั้นนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการฝึกซ้อม ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานทักษะ พื้นฐานการเคลื่อนไหว (Basic Movement) และทักษะกีฬา (Basic Skill) ที่ถูกต้องให้กับนักกีฬา ควบคู่ ไปกับการพัฒนาสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายโดยทั่วไป อาทิเช่น ความแข็งแรง ความเร็ว ความอดทน การประสานของระบบประสาทกล้ามเนื้อ และความอ่อนตัวเป็นต้น เป็นการเตรียมสภาพ ร่างกายและทักษะพื้นฐานการเคลื่อนไหว ตลอดจนทักษะกีฬาโดยทั่วไปที่จำเป็นต่อนักกีฬาให้พร้อมที่ จะรับการฝึกหนัก หรือการฝึกที่มีรายละเอียดซับซ้อนในขั้นต่อไปให้ได้ผลดีและมีคุณภาพ 1.2 การฝึกขั้นก้าวหน้า (Advanced Training) เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) การฝึกในขั้นนี้จะมุ่งเน้นในการพัฒนาสร้างเสริมความสามารถทางกลไกการเคลื่อนไหว (Motor Ability) สมรรถภาพทางกายและเทคนิคทักษะความสามารถในการเคลื่อนไหวเฉพาะ ประเภท กีฬาหรือเฉพาะด้านที่จำเป็น และต้องการพัฒนาในนักกีฬาแต่ละบุคคล ภายหลังจากที่ได้ ผ่านการฝึกขั้นพื้นฐานมาเป็นอย่างดีแล้ว โดยพิจารณาองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนา ทักษะ และความสามารถในการเคลื่อนไหวของกีฬาแต่ละประเภท โดยเฉพาะด้านความแข็งแรง กำลัง ของกล้ามเนื้อ ความเร็ว ความคล่องแคล่วว่องไวเป็นต้น เพื่อมุ่งเน้นรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนของ การฝึกทางด้านทักษะและเทคนิคเฉพาะประเภทกีฬา ให้นักกีฬามีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น 1.3 การฝึกขั้นพัฒนาความสามารถสูงสุด (Training to Build up Performance) เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) การฝึกในขั้นนี้มุ่งพัฒนาขีดความสามารถของนักกีฬาแต่ละบุคคล แต่ละประเภทกีฬา ให้ พัฒนาก้าวหน้าไปจนถึงระดับความสามารถสูงสุด (Maximum Capacity) เป็นลักษณะของการฝึก ที่ มุ่งเน้นข้อมูลรายละเอียดเฉพาะเป็นรายบุคคลในทุกขั้นตอนของการฝึกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน


10 เทคนิค ทักษะหรือแทกติก ตลอดจนความสามารถเฉพาะตัวให้มีการพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศ หรือ ความ ชำนาญถึงขั้นเชี่ยวชาญสูงสุด โดยมีการนำรูปแบบของการเคลื่อนไหวที่เป็นความถนัด หรือ ความสามารถ เฉพาะตัวของนักกีฬาแต่ละคนที่มีความโดดเด่น พัฒนาไปสู่ความเป็นรูปแบบหรือ เอกลักษณ์ตนเอง (Style) สรุป การเรียนรู้ทักษะเป็นกระบวนการกลไกลของระบบประสาท ที่ไม่สามารถมองเห็น ได้ด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยการสังเกตความก้าวหน้าจากทักษะการเคลื่อนไหว และความสามารถที่ได้รับ การพัฒนาจากการเรียนรู้ทักษะนั้น 2. การพัฒนาการประสานงานการเคลื่อนไหว เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) กล่าวไว้ว่า การพัฒนาการประสานงานการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่ มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับนักกีฬาเกือบทุกประเภท และสามารถฝึกหรือพัฒนาให้ดีขึ้นได้ การ สอนหรือฝึกให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้พื้นฐานของการประสานงานเบื้องต้น อย่างถูกต้องเป็นลำดับเป็น ขั้นตอนจึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะกลไกการเคลื่อนไหว และ การประสานงานการเคลื่อนไหวเฉพาะประเภทกีฬาต่อไป 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) กล่าวถึง การศึกษาวิจัยทางด้านสรีรวิทยาการกีฬา ส่วนใหญ่ มุ่งเน้นการวัดหรือการทดสอบสมรรถภาพทางด้านความแข็งแรง ความอดทน ความเร็วและ ความสามารถของนักกีฬาเป็นหลัก ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสรีรวิทยาการกีฬาอีกส่วนหนึ่งให้ ความสำคัญกับการศึกษาทางด้านผลของการออกกำลังกายและการฝึกซ้อมกีฬา ที่มีต่อระบบการ ทำงานของ อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเป็นสำคัญ อาทิเช่น ระบบไหลเวียนเลือด (Cardiovascular System) ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) ระบบประสาท (Nervous System) ระบบหายใจ (Respiratory System) ระบบพลังงาน (Energy System) เป็นต้น สนธยา สีละมาด (2555) กล่าวถึง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อ ไว้ว่า การหดตัวคลายตัวของกล้ามเนื้อเป็นผลทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกาย การทำงานของ กล้ามเนื้อจึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดระดับความสามารถในการเคลื่อนไหวของนักกีฬา อย่างไร ก็ตามการทำงานของกล้ามเนื้อให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่ปัจจัยที่ถือว่ามีความสำคัญมากก็คือ ปัจจัยทางด้านการกระตุ้นของระบบประสาท ( Neural Stimulus) ความสามารถในการตอบสนองของกล้ามเนื้อ (Muscle Activation) ต่อสัญญาณ ประสาท และระดับพลังงานที่มีอยู่ (Energy) ภายในกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ระดับการตอบสนองของกล้ามเนื้อ จะขึ้นอยู่กับระดับ ความแรงจากการกระตุ้นของระบบประสาทมากที่สุด การทำงานของกล้ามเนื้อจะ ถูกควบคุมโดยระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System ชื่อย่อ C.N.S.) โดยสัญญาณ


11 ประสาทจากสมองและไขสันหลังจะถูกส่งผ่านมาตามเซลล์ประสาท (Neuron) ซึ่งโดยปกติกล้ามเนื้อ ภายในร่างกาย จะมีเซลล์ประสาทมาควบคุม 2 ชนิด คือ 1. ประสาทสั่งการ (Motor Nerves) ประสาทสั่งการจะรับสัญญาณประสาทจากระบบ ประสาทส่วนกลางไปสิ้นสุดที่เส้นใยกล้ามเนื้อ ซึ่งจะเป็นผลให้กล้ามเนื้อหดตัวและคลายตัว 2. ประสาทรับความรู้สึก (Sensory Nerves) เป็นประสาทที่รับและถ่ายทอดรายละเอียด เกี่ยวกับความรู้สึกเจ็บปวด และการเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกายจากอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่งกลับไปยังระบบประสาทส่วนกลาง การหดตัวของกล้ามเนื้อจะเป็นผลมาจากสัญญาณประสาทที่ส่งมาจากระบบประสาท ส่วนกลาง การหดตัวคลายตัวของกล้ามเนื้อช้าหรือเร็วจะขึ้นอยู่กับสัญญาณประสาทที่มาควบคุมการที่ นักกีฬาจะมีความเร็วขึ้นได้นักกีฬาจึงควรฝึกสมองหรือระบบประสาทให้เร็วก่อน นักกีฬาจะต้องฝึก ระบบประสาทให้มีการทำงานด้วยความรวดเร็วบ่อยๆ โปรแกรมความคิดช้า (Slow-thinking Program) ต้องถูกแทนที่ด้วยโปรแกรมกลไกที่มีความรวดเร็ว (Faster Motor Program) กล่าวคือ การทำงานจะต้อง เป็นไปอย่างอัตโนมัติทั้งระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ การทำงานของระบบ ประสาทมีความสัมพันธ์ กับระบบกล้ามเนื้อ ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ (Agonist) จะต้องมี การหดตัวคลายตัวที่สัมพันธ์ กับการการหดตัวคลายตัวของกล้ามเนื้อมัดตรงข้าม (Antagonist) ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อร่างกายได้รับ คลื่นสัญญาณ (Sensory Impulse) จากเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึก (Sensory Neurons) ส่งกระแสประสาท หรือคลื่นสัญญาณไปยังสมองหรือเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่สั่งงาน (Motor Neurons) ทำให้เกิดการตอบสนองต่อสัญญาณนั้นๆ ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายและข้อต่อในรูปแบบ ใดรูปแบบหนึ่งตามสัญชาตญาณหรือประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกหรือการปฏิบัติจนเกิดเป็นทักษะ โดยคลื่นสัญญาณหรือกระแสประสาทนี้จะถูกส่งไปยังเซลล์ประสาท หรือสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุม การเคลื่อนไหวของร่างกาย (Motor Neurons : Efferent Neurons) ส่วนใดส่วนหนึ่งใน 3 ส่วน คือ 1. ประสาทไขสันหลัง (Spinal Cord) 2. สมองส่วนล่าง (Lower Region of Brain) 3. สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Area of the Cerebral Cortex) จากนั้น ประสาทหรือสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมการเคลื่อนไหว ร่างกาย จะส่ง คลื่นสัญญาณสั่งการผ่านไปยังเซลล์ประสาทสั่งงาน (Motor Neurons) ให้กล้ามเนื้อและข้อต่อเกิด การเคลื่อนไหวหรือทำงาน ขณะเดียวกันการตอบสนองของกล้ามเนื้อหรือการเคลื่อนไหว จะหยุดลง เมื่อไม่ได้รับคลื่นสัญญาณจากเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึก (Sensory Neurons) สำหรับ รูปแบบการเคลื่อนไหวของร่างกายมีหลายระดับและมีหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว อย่าง ง่ายและการเคลื่อนไหวที่ยากหรือสลับซับซ้อน ซึ่งจะต้องใช้กระบวนการคิดพิจารณา และการ


12 ตัดสินใจที่ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำ เข้ามาประกอบร่วมด้วย การเคลื่อนไหวร่างกายที่มีรูปแบบซับซ้อน หรือมีการเคลื่อนไหวหลายขั้นตอนนี้ (Complex Movement Patterns) จะได้รับคลื่นสัญญาณสั่ง การจากสมองส่วนที่มีบทบาทหรือส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Area of the Cerebral Cortex) สั่งงานให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกาย ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางเซลล์ ประสาทรับความรู้สึก เจริญ กระบวนรัตน์(2552) 2.2 ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว การช่วยพัฒนาสร้างสรรค์ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว และความสามารถให้กับนักกีฬา คือสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการฝึกสอนกีฬา การที่นักกีฬาจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติทักษะ และการปฏิบัติทักษะในกีฬาแต่ละประเภทแต่ละชนิด สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือต้องให้นักกีฬารู้ และต้องเข้าใจในรายละเอียดพื้นฐานของการปฏิบัติ จะช่วยให้ได้มาซึ่งการปฏิบัติทักษะการ เคลื่อนไหว ที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบนั้นได้อย่างไร สิ่งที่เป็นคำตอบคือทักษะเกิดจากการฝึกปฏิบัติเท่านั้น และการปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหวแต่ละขั้นตอนนั้นจะต้องกระทำอย่างถูกต้อง จึงจะทำให้เกิดเป็น ทักษะที่สมบูรณ์แบบอย่างไรก็ตามกระบวนการในการสร้างหรือทำให้เกิดทักษะการเคลื่อนไหวยัง ขึ้นอยู่กับ ธรรมชาติที่แตกต่างกันระหว่างนักกีฬาที่มีประสบการณ์ความชำนาญ หรือนักกีฬาอาชีพกับ นักกีฬาที่ ฝึกหัดใหม่ หรือนักกีฬาสมัครเล่น ดังนั้น ความรู้ (Knowledge) คือ สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิด ความเข้าใจในเหตุผลและตระหนักในความสำคัญว่าทักษะที่ดีที่สุดสามารถสร้างและพัฒนาให้ก้าวหน้า ได้ด้วยการเรียนรู้ขั้นตอนของการฝึกหรือการปฏิบัติอย่างถูกต้อง มิใช่เป็นการลอกเลียนแบบ ซึ่งเป็น สิ่งที่ผู้ฝึกสอนกีฬา (Coach) สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยพัฒนาและสร้างเสริมหรือ ยกระดับความสามารถทางการกีฬาให้เกิดกับนักกีฬาได้เป็นอย่างดี เจริญ กระบวนรัตน์ (2557) กล่าวว่า ทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย (Motor Skill) หมายถึง องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรวมหรือการเคลื่อนไหวร่างกายส่วน ใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อต้องการให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย (Goal) จะประสบความ สำเร็จ ได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของการเคลื่อนไหว (Quality of Movement) ที่เกิดจากการทำ หน้าที่ของทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกายขณะเดียวกันทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย (Motor Skill) จะแตกต่างจากทักษะการเรียนรู้ทางปัญญา (Cognitive Skill) เช่น การอ่าน การเขียน การพูด การฟัง การเล่นครอสเวิร์ด การเล่นหมากรุก แม้จะมีการเคลื่อนไหวร่างกายบางส่วนรวมอยู่ด้วย แต่ เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องและแตกต่างกับทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย 2.3 เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง สุวัตร หลวงตระกูล (2550) กล่าวว่า การออกกำลังกายจำเป็นต้องใช้อวัยวะ หลายส่วน เคลื่อนไหวและทำงานประสานร่วมกัน พฤติกรรมการเคลื่อนไหวนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ ในการ


13 ทำงานของระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ ดังนั้นในการเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ก็ตามจะถูก จำกัด ด้วยคุณสมบัติและประสิทธิภาพของระบบประสาท และความพร้อมของระบบกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวนั้นๆ โดยกระบวนการของความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวนั้นเริ่มตั้งแต่ ได้รับสัญญาณให้เคลื่อนไหวจนกระทั่งได้ทำงานหรือเคลื่อนไหวสิ้นสุดลง ถ้าจะมีการนับระยะเวลา ตั้งแต่เริ่ม ได้รับสัญญาณให้เริ่มเคลื่อนไหวจนกระทั่งเคลื่อนไหวแล้วนั้นมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง 3 อย่าง คือ 1. เวลาปฏิกิริยา (Reaction time) คือช่วงเวลาที่ตั้งแต่สิ่งเร้ามากระตุ้น และเริ่ม มีการ สั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว 2. เวลาเคลื่อนไหว (Movement time) คือการที่ร่างกายเริ่มมีการเคลื่อนไหวจน กระทำ ต่อสิ่งเร้าเสร็จสิ้น 3. เวลาตอบสนอง (Response time) คือผลรวมระหว่างเวลาปฏิกิริยากับเวลา การ เคลื่อนไหว เวลาปฏิกิริยานั้นต้องอาศัยทางเดินที่นำผ่านระบบประสาทจากตัวรับ (Receptors) ขึ้น ไปสู่สมองส่วนที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ โดยผ่านเซลล์ประสาทหลายตัวแล้วจึงส่งลงมายังกล้ามเนื้อให้ ทำงาน เวลาปฏิกิริยาแบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ 1. เวลารับความรู้สึก (Sense time, Receiving of time) เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น ระบบสัมผัสของร่างกาย เช่น ตา หู จมูก รับสิ่งเร้านั้นส่งกระแสประสาทไปยังสมองส่วนที่อยู่ ใต้ อำนาจจิตใจ 2. เวลาตัดสินใจ (Decision) เกิดขึ้นหลังจากเวลารับความรู้สึก โดยสมองจะประมวลผล และตัดสินใจว่าจะเป็นอะไรและจะทำอย่างไร 3. เวลาสั่งให้เริ่มเคลื่อนไหว (Inertia of movement time) หลังจากสมองรับรู้สมองจะ ส่งคำสั่งผ่านเซลล์ประสาทมาที่อวัยวะเป้าหมาย ให้เริ่มเคลื่อนไหวกระทำต่อสิ่งเร้านั้น สรุป การประสานงานการเคลื่อนไหวเฉพาะประเภทกีฬา ประกอบด้วยความสัมพันธ์ ระหว่างระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว และเวลาปฏิกิริยาตอบสนอง 3.แนวคิดเกี่ยวกับตาราง 9 ช่อง 3.1ความหมายของตาราง 9 ช่อง ตาราง 9 ช่อง คือ เครื่องมือที่คิดค้นขึ้นในเบื้องต้น เพื่อใช้นำไปสู่การพัฒนาปฏิสัมพันธ์ใน การเรียนรู้และการรับรู้สั่งงานของสมองช่วยประสานความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและ กล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นและพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหว ความรวดเร็ว ในการคิด และการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาสมองทั้งซีกซ้ายและ ซีกขวาควบคู่กันไป ด้วยการพัฒนามาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของมนุษย์


14 นำไปสู่การกำหนดวิธีการโดยใช้หลักการทำงานของสมองมาควบคุมการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนเป็น ลำดับอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดโครงสร้างของสมองในการรับรู้เรียนรู้และพัฒนาการควบคุมการ ทำงานของสมองให้มีแบบแผนเป็นขั้นตอน ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ถูกสร้างขึ้นหรือวางแผนไว้ อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากรูปแบบและขั้นตอนการเคลื่อนไหวที่ง่ายไปสู่การเคลื่อนไหวที่ยาก และ หลากหลายทิศทางมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สมองได้รับการกระตุ้นและพัฒนาการรับรู้เรียนรู้ รวมทั้งการ เชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกจัดลำดับความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องตามแบบแผนของรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ กำหนดไว้ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีรูปแบบวิธีการ และขั้นตอนที่ถูกต้องชัดเจน เป็นระบบ คือ การกำหนดเงื่อนไขให้สมองทำงานอย่างมีทิศทางและเป้าหมาย ภาพสะท้อนหรือผล ย้อนกลับของการเคลื่อนไหว (feedback) จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการรับรู้เรียนรู้ และพัฒนาการ ของสมองโดยตรงที่ก้าวหน้าขึ้นจากการฝึกหรือการเรียนรู้อย่างแท้จริง และเป็นการประเมินผลที่มี ความเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด (นฤเดช วีระสุข 2563) ตาราง 9 ช่องเป็นกิจกรรมที่เน้นให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว แบบ 3 มิติ คือ ซ้าย–ขวา, หน้า–หลัง และ บน–ล่าง ในพื้นที่ที่กำหนด อาศัยพื้นที่ไม่มาก อุปกรณ์มีเพียงกระดาษหรือแผ่นไม้ และเทปกาว หรือหากมีพื้นที่ที่เอื้ออำนวยต่อการเล่นอยู่แล้ว (แนวหินบล็อก พื้นกระเบื้องลายตาราง) แทบจะไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆนอกจากสีชอล์กไว้เขียนตัวเลข เป็นกิจกรรมทางกายบริหารที่เหมาะกับ คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ นอกจากเป็นการออกกำลังกายเบาๆ กระตุ้นการทำงาน ของหัวใจและระบบหมุนเวียนเลือดทั่วร่างกายแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่ฝึกบริหารสมองได้เป็นอย่างดี ให้ ช่วยฝึกการรับรู้ การเคลื่อนไหว ความจำ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และยังช่วยยืดกล้ามเนื้อ ให้ กระดูกได้ขยับทำงาน พร้อมกับฝึกการทรงตัวไปด้วยกัน 3.2 วิวัฒนาการและบทบาทสำคัญของตาราง 9 ช่อง เจริญ กระบวนรัตน์ (2550) กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2539 อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ตาราง เท้า ของได้ นำมาใช้เป็นรูปในการกระตุ้นพัฒนาความสามารถทางด้านปลาคาเร้นรู้ สั่งงานของสมองให้กับ นักกีฬาเป็นครั้งแรกที่ชมรมกรีฑา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วย จุดมุ่งหมายที่ต้องการพัฒนาเวลา ปฏิกิริยาความเร็วของเท้า ความสัมพันธ์การทรงตัวในแต่ละ รูปแบบของการเคลื่อนไหวที่วิเคราะห์ และสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อพัฒนาความสามารถให้กับนักกีฬา โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา ผสมผสานกับหลักทฤษฎีการฝึกซ้อมกีฬาไทยหากได้รับ การเรียนรู้หรือการฝึกอย่างมีระบบ ด้วย กระบวนการและหลักการทางวิทยาศาสตร์การกีฬา แทนการใช้ความเชื่อและประสบการณ์ที่ไม่ สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล จะสามารถพัฒนา การเรียนรู้ และขีดความสามารถของนักกีฬาให้ก้าว ไปสู่การแข่งขันระดับนานาชาติ หรือระดับโลก ได้เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศที่ประสบความสำเร็จไป ก่อนหน้าแล้ว


15 พ.ศ. 2540 ผู้ปกครองนักกีฬา ผู้ฝึกสอนกีฬาที่สนใจและยอมรับในหลักวิทยาศาสตร์ การกีฬา ได้นำนักกีฬามาขอรับการฝึกเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกาย และพัฒนากลไก การ เคลื่อนไหวด้วยตารางเก้าช่อง ที่ชมรมกรีฑา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีจำนวนมากขึ้น ตามลำดับ จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเวลาปฏิกิริยา ความเร็ว ความสัมพันธ์และการทรงตัวใน การเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งกลายเป็นนวัตกรรมที่เริ่มได้รับความสนใจและถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่ง โปรแกรมการฝึกซ้อมให้กับ นักกีฬาอย่างแพร่หลายมากขึ้นตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา พ.ศ. 2541 ตาราง 9 ช่องได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการฝึกซ้อมให้กับ นักกีฬาเซปักตะกร้อและนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย จนเป็นที่สนใจของผู้ฝึกสอนกีฬาประเภทต่าง ๆ ในเวลาต่อมา จากนั้นตารางเก้าช่อง เริ่มเป็นที่ยอมรับและถูกนำมาใช้ในการฝึกกีฬาประเภทต่าง ๆ มากขึ้นในวงการกีฬาไทยในระดับชาติ ระดับสโมสรและสถาบันการศึกษาไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา แบดมินตัน เทนนิส เทเบิลเทนนิส ฟุตบอล ยูโด เทควันโด กรีฑา กอล์ฟ และว่ายน้ำ เป็นต้น พ.ศ. 2544 ตาราง 9 ช่อง เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ถูกนำมามาบรรจุเข้าไว้ในหลักสูตรพิเศษ เพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ทักษะกลไกการเคลื่อนไหว (Psychomotor Learning) ให้กับคุณพุ่ม เจนเซ่น โดยรองศาสตราจารย์เจริญ กระบวนรัตน์ ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการอำนวยการ โครงการ พัฒนาดูแลโรคออทิซึม และคณะอนุกรรมการดำเนินการฝ่ายพัฒนาด้านการศึกษาและ สังคม เข้าร่วม อยู่ในทีมฝ่ายพัฒนาด้านการศึกษาและสังคม มีหน้าที่ในการวางแผนดำเนินการจัด กิจกรรมบำบัด และฟื้นฟูสมรรถภาพการเรียนรู้ให้คุณพุ่ม เจนเซ่น โดยทำหน้าที่ถวายการสอนและ พัฒนาทักษะการ เคลื่อนไหว พ.ศ. 2545 โครงการเครือข่ายโรงเรียนสร้างเสริมสุขภาพในดวงใจ สำนักงานกองทุน สนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้อบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ด้านพลานามัยด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์การกีฬา” ให้กับคณะครูโรงเรียนที่ได้รับการเลือก เข้า ร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการนำตาราง 9 ช่องเข้าสู่โรงเรียน เพื่อเป็น กิจกรรมส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวออกกำลังกายสำหรับเด็กนักเรียน คณะครูจากโรงเรียนต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการอบรมหลายท่านได้ทดลองนำตาราง 9 ช่องไป ประยุกต์และบูรณาการในการสอนวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ รวมทั้งใช้เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายในชั่วโมงพลศึกษา หรือในยามว่างให้เด็กได้ ฝึก ทักษะการรับรู้การสั่งงานของสมองทางด้านปฏิกิริยาความเร็วและความสัมพันธ์ใน การเคลื่อนไหว รวมทั้งพัฒนาทักษะการใช้ความคิดในการสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้แบบ การเคลื่อนไหวบนตาราง 9 ช่องได้อย่างเป็นอิสระ ต่อมาพันอากาศเอกอานัต หัตถา ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับฝึกตาราง 9 ช่องด้วย มือ ซึ่งสามารถปรับเลื่อนระดับความสูงของแผ่นกระดาน 9 ช่องทั้ง 4 ด้าน ให้เหมาะสมกับระดับ


16 ความสูงของเด็กแต่ละวัยหรือนักกีฬาได้ และนำไปจดสิทธิบัตรที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยใช้ ชื่อ ว่า "หัตถาเจริญ" ซึ่งเป็นนามสกุลของผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์และชื่อของรองศาสตราจารย์เจริญ กระบวน รัตน์ ผู้ที่คิดรูปแบบการเคลื่อนไหวสำหรับใช้ฝึกบนตาราง 9 ช่อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนา ระบบกลไก การทำงานสำหรับใช้ฝึกตาราง 9 ช่อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบกลไกการทำงาน ของสมอง ปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวและการควบคุมทักษะการใช้มือในการเขียนหนังสือ การหยิบ การจับ การทุ่ม การเหวี่ยง การขว้าง ที่สำคัญและจำเป็นในแต่ละประเภทกีฬา รวมทั้งการประกอบ กิจกรรมที่ใช้ ทักษะการเคลื่อนไหวด้วยมือให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป พ.ศ. 2546 ความต้องการที่จะพัฒนาตาราง 9 ช่องให้เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางด้าน วิทยาศาสตร์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อนำไปใช้วัดและประเมินผลพัฒนาการความก้าวหน้าในการรับรู้ สั่งงาน และการควบคุมการเคลื่อนไหวของสมองก็กลายเป็นความจริง เมื่อคุณวัฒนา อำพันสุวรรณ ได้รับ ทราบความคิดและความตั้งใจที่ต้องการจะพัฒนาตาราง 9 ช่องให้เป็นเครื่องมือทาง อิเล็กทรอนิกส์ โดยอรรถพันธ์ นามสกุล วิศวกรที่เป็นนักประดิษฐ์อุปกรณ์และเครื่องมือที่มี ประสบการณ์ความ ชำนาญ ช่วยดำเนินการสร้างตาราง 9 ช่องเป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ โดย ประดิษฐ์ขึ้นเป็น ต้นแบบครั้งแรก 3 เครื่อง แบ่งเป็น 3 ขนาด ได้แก่ ตารางที่มีขนาด 20 x 20 เซนติเมตร, 25 x 25 เซนติเมตร และ 30 x 30 เซนติเมตร เพื่อใช้สำหรับเด็กนักเรียนที่มีขนาดรูปร่าง และความสูงแตกต่าง กัน ทำให้การประเมินผลประสิทธิภาพและความหนาแน่นตรงมากยิ่งขึ้น พ.ศ. 2547 โครงการศึกษานานาชาติ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัด อบรมเชิงปฏิบัติการเพิ่มเสริมความรู้ให้กับคณะครูในโรงเรียนได้เข้าใจถึงการจัดรูปแบบกิจการ เคลื่อนไหว เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการทำงานของสมอง ต่อมาได้กำหนดเป็น หลักสูตรของโรงเรียนให้นักเรียนทุกระดับชั้นได้เรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะกลไกการเคลื่อนไหว (Psychomator Skills) โดยมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวในตาราง 9 ช่อง เป็นหลัก และมีกิจกรรม รูปแบบอื่นเสริม ผลจากการประเมินโครงการ พบว่า สมรรถภาพทางกายทั่วไป สุขภาพ บุคลิกภาพ ทักษะ และความสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหวของนักเรียนมีการพัฒนาดีอย่างชัดเจน สรุปได้ว่า ตาราง 9 ช่อง คือ เครื่องมือที่ถูกคิดค้นเพื่อนำไปสู่การพัฒนาปฏิสัมพันธ์ในการ เรียนรู้และการรับรู้สั่งงานของสมอง ช่วยประสานความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทกล้ามเนื้อ เพื่อ กระตุ้นและพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหว ความรวดเร็วในการคิด และ การตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาควบคู่กัน ไป การา รูปแบบคลื่อนไหวนี่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของมนุษย์เป็นหลัก ตาราง ร่อง สามารถนำมาฝึกกับกีฬา ประเภทต่าง ๆ ได้ เช่น แบดมินตัน เทนนิส กรีฑา กาบัดดี้ เป็นต้น กิจกรรม ตาราง 9 ช่องจะเป็นส่วน หนึ่งของกิจกรรมที่จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้รับรู้ของสมองได้ดียิ่งขึ้น เป็นการฝึกการทำงานของ สมองโดยการจัดการเคลื่อนไหวอย่างมีขั้นตอน เคลื่อนไหวจากง่ายไป ยาก และพัฒนาการเคลื่อนไหว


17 จากช้าไปเร็วทำให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เกิด ความสัมพันธ์ทางด้านทักษะกลไก การเคลื่อนไหวร่างกาย (Psychometer Skill) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน การรับรู้ของสมองที่จะเกี่ยวข้องกับ เวลาปฏิกิริยา เวลาตอบสนอง และเวลาการเคลื่อนไหวเพราะจะ เกิดการเรียนรู้โดยการลดช่วงเวลาใน การคิดและตัดสินใจ จึงทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปได้อย่างรวดเร็วจนเป็นอัตโนมัติ จะเห็นได้ว่าผล ของการฝึกด้วยตาราง 9 ช่องนั้นมีประโยชน์ต่อนักกีฬา กาบัดดี้อย่างมากในด้านของความคล่องตัวซึ่ง ต้องใช้ความสัมพันธ์ของสมองและร่างกายเพื่อ การเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ (สุรชัย แซ่ด่าน, 2560) 3.3 ประโยชน์ของตาราง 9 ช่อง เจริญ กระบวนรัตน์ (2552) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของตาราง 9 ช่องไว้ดังนี้ตาราง 9 ช่อง สามารถนำไปบูรณาการสร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนการสอนและรูปแบบการเคลื่อนไหวได้ หลากหลาย ดังนั้น ครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่สนใจหากศึกษาและเข้าใจวิธีการจะสามารถคิด และจัดรูปแบบกิจกรรมการเคลื่อนไหวได้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปประยุกต์ใช้ในด้าน การเรียนการสอนเนื้อหาแต่ละกลุ่มสาระวิชา หรือการฝึกทักษะกลไกการเคลื่อนไหวบนตาราง 9 ช่อง ให้กับเด็ก นักกีฬา บุคคลทั่วไป ผู้สูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางด้านการเคลื่อนไหวและสมอง รวมทั้งการ นำไปใช้ประกอบจังหวะดนตรีในการออกกลังกายแบบแอโรบิก รำเซิ้ง รำฟ้อน ลีลาศและเต้นรำเพื่อ สุขภาพ ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำตาราง 9 ช่อง ไปใช้อาจจะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ รูปแบบ วิธีการ กิจกรรม และความสม่ำเสมอในการฝึกปฏิบัติของแต่ละบุคคล ซึ่งพอจะสรุปประโยชน์ ของตาราง 9 ช่อง โดยรวมได้ดังนี้ 3.3.1 ช่วยพัฒนาการรับรู้เรียนรู้และการสั่งงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ 3.3.2 ช่วยพัฒนาทักษะการใช้มือและเท้าในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว 3.3.3 ช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหาบใจ 3.3.4 ช่วยพัฒนาความแข็งแรงและความสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหว 3.3.5 ช่วยพัฒนาระบบพลังงานและการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย 3.3.6 ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย 3.3.7 ช่วยพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ให้มีความหลากหลายได้คุณภาพ 3.3.8 ช่วยพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างมีเหตุผล 3.3.9 ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ ความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในตนเอง 3.3.10 ช่วยพัฒนาและเสริมสร้างสมาธิในการรับรู้เรียนรู้ 3.3.11 ช่วยสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ให้รู้สึกสนุก ผ่อนคลาย ไม่เครียด


18 3.3.12 ช่วยพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ EQ วุฒิภาวะทางสังคม SQ และวุฒิภาวะ ทางด้านสติปัญญา IQ 3.3.13 ช่วยพัฒนาการรับรู้เรียนรู้ของสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา 3.3.14 ช่วยให้สามารถประเมินผลการรับรู้เรียนรู้ได้อย่างถูกต้องเป็นรูปธรรม 3.3.15 ช่วยส่งเสริมทักษะ พัฒนาความคิด จินตนาการ และความรู้สึกที่เป็น ธรรมชาติในการเรียนรู้ 3.4 วิธีการฝึกตาราง 9 ช่อง นฤเดช วีระสุข (2563) วิธีการปฏิบัติเพื่อพัฒนาปฏิกิริยาการรับรู้สั่งงานของสมองให้มี ความสามารถในการควบคุมการทำงานของร่างกายดียิ่งขึ้น การปฏิบัติในแต่ละรูปแบบของการ เคลื่อนไหวที่กำหนดไว้ในตาราง 9 ช่อง มีขั้นตอนการปฏิบัติดังต่อไปนี้ 3.1 เริ่มต้นการฝึกจากการปฏิบัติอย่างช้า ๆ ทีละขั้นตอน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการ ปฏิบัติตามรูปแบบแต่ละรูปแบบอย่างถูกต้อง 3.2 ปฏิบัติโดยใช้มือซ้ายหรือเท้าซ้ายเคลื่อนไหวนำ และใช้มือขวาหรือเท้าขวาเคลื่อนไหว ทีละขั้นตอน จนจบการเคลื่อนไหวตามรูปแบบที่กำหนดไว้แต่ละรูปแบบ จากนั้นให้เปลี่ยนมาใช้มือ ขวาหรือเท้าขวานำในลักษณะเช่นเดียวกันจนจบการเคลื่อนไหวตามรูปแบบที่กำหนดไว้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนดังกล่าวสลับกันอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามไม่หยุดชะงักในช่วงที่ปรับเปลี่ยนมือซ้ายหรือเท้า ซ้ายเป็นมือขวาหรือเท้าขวานำในการเคลื่อนไหว 3.3 ให้ปฏิบัติการเคลื่อนไหวตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อสอง โดยพยายามปรับ ความเร็วในการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นตามลำดับ หรือเท่าที่ผู้ฝึกปฏิบัติจะสามารถทำได้เร็วสุดในขณะนั้น โดยไม่ผิดพลาด 3.4 หากการปรับเปลี่ยนจังหวะจากมือซ้ายหรือเท้าซ้ายไปเป็นมือขวาหรือเท้าขวาในการ เคลื่อนไหว มีความผิดพลาดในระหว่างที่มีการพยายามปรับความเร็วในการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น ให้หยุด การปฏิบัติทันทีและเริ่มต้นทำการปฏิบัติการเคลื่อนไหวในรูปแบบนั้นใหม่อย่างช้า โดยค่อยๆปรับ ความเร็วเพิ่มขึ้นตามลำดับ 3.5 การฝึกแต่ละรูปแบบอาจใช้ระยะในการฝึกปฏิบัติต่อรอบประมาณ 10-15 วินาทีโดย มีช่วงพักสลับแต่ละช่วงประมาณ 30-60 วินาทีแต่ละรูปแบบปฏิบัติช้า 3-5 รอบ 3.6 ผู้สนใจหรือผู้ฝึกปฏิบัติสามารถกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวในตาราง 9 ช่องเพื่อ นำไปสู่การพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการรับรู้สั่งงานของสมองได้ตามต้องการ โดยอาศัยหลักการและ วิธีการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น


19 รูปแบบการฝึกตาราง 9 ช่อง มีดังนี้ ท่าที่ 1 ก้าวชิด – ก้าวชิด ยืนท่าเตรียมโดยเท้าซ้ายและเท้าขวายืนบนช่องหมายเลข 3 ก้าวเท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 1 และก้าวเท้าขวามาชิดกับเท้าซ้ายในช่องหมายเลข 1 ก้าวเท้าขวาไป ช่องหมายเลข 3 และเก้าเท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวาในช่องหมายเลข 3 ท่าที่ 2 แยกชิด ยืนท่าเตรียมบนช่องหมายเลข 2 ก้าวเท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 1 ก้าวเท้า ขวาไปช่องหมายเลข 3 ก้าวเท้าซ้ายกลับมาช่องหมายเลข 2 และก้าวเท้าขวากลับมาช่องหมายเลข 2 ท่าที่ 3 เดินหน้า – ถอยหลัง ด้วยการวางเท้าซ้ายที่ช่องหมายเลข 2 เท้าขวาอยู่ที่ช่อง หมายเลข 3 จากนั้นก้าวเท้าซ้ายขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 5 ก้าวเท้าขวาขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 6 ต่อด้วย ก้าวเท้าซ้ายต่อไปที่ช่องหมายเลข 8 ก้าวขวาก้าวต่อไปที่ช่องหมายเลข 9 จากนั้นถอยเท้าซ้ายลงไปที่


20 ช่องหมายเลข 5 ถอยเท้าขวาไปที่ช่องหมายเลข 6 ถอยเท้าซ้ายลงไปที่ช่องหมายเลข 2 สุดท้ายถอย เท้าขวาลงไปที่ช่องหมายเลข 3 ท่าที่ 4 ตัวอักษร V ท่าเตรียมยืนด้วยเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 2 เริ่มต้นด้วยก้าว เท้าซ้ายขึ้นไปที่หมายเลข 7 ก้าวเท้าขวาขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 9 ต่อด้วยก้าวเท้าซ้ายกลับมาที่ช่อง หมายเลข 2 และสุดท้ายก้าวเท้าขวากลับมาที่ช่องหมายเลข 2


21 ท่าที่ 5 ตัวอักษร V (คว่ำ) ท่าเตรียมยืนด้วยเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 8 เริ่มต้น ด้วยก้าวเท้าซ้ายขึ้นไปที่หมายเลข 1 ก้าวเท้าขวาขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 3 ต่อด้วยก้าวเท้าซ้ายกลับมาที่ ช่องหมายเลข 8 และสุดท้ายก้าวเท้าขวากลับมาที่ช่องหมายเลข 8 ท่าที่ 6 รวม ตัวอักษร V (หงาย-คว่ำ) ท่าเตรียมเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 5 ก้าว เท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 7 ก้าวเท้าขวาไปช่องหมายเลข 9 จากนั้นถอยเท้าซ้ายลงไปที่ช่องหมายเลข 5 ถอยเท้าขวาลงไปที่ช่องหมายเลข 5 จากนั้นถอยเท้าซ้ายลงไปที่ช่องหมายเลข 1 ถอยเท้าขวาลงไปที่ ช่องหมายเลข 3 จากนั้นก้าวเท้าซ้ายไปช่องหมายเลข 5 ก้าวเท้าขวาไปช่องหมายเลข 5


22 4. แนวคิดเกี่ยวกับความคล่องแคล่วว่องไว 4.1 ความหมายของความคล่องแคล่วว่องไว ความคล่องแคล่วว่องไวเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสมรรถภาพทางกายที่มีผลต่อ ประสิทธิภาพของการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกเดินได้เร็ว การออกวิ่งได้เร็ว การหยุดการ เคลื่อนไหว ความคล่องแคล่วว่องไวมีความสำคัญต่อการออกกาลังกายและการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอล ฟุตซอล บาสเกตบอล แบดมินตัน เทนนิส ฯลฯ และได้มีนักวิชาการได้ให้ความหมายความคล่องแคล่ว ว่องไว ดังนี้ หงส์ทอง บัวทอง (2559) ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความสามารถของร่างกายที่ จะเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนอิริยาบถจากท่าหนึ่งไปสู่อีกท่าหนึ่งได้ในเวลาอันสั้น การฝึก ความ คล่องแคล่วว่องไวนี้สามารถฝึกได้หลายวิธี เช่น ฝึกโดยใช้กิจกรรมยิมนาสติก ฝึกวิ่งซิกแซก ฝึกวิ่งกลับ ตัว หรือกิจกรรมอื่น ๆ มาร่วมในการฝึก เช่น ให้เล่นลูกบอล หรือบาสเกตบอล เป็นต้น อารีย์ อินสุวรรโณ (2560) ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความคล่องแคล่วว่องไวเป็น องค์ประกอบหนึ่งของสมรรถภาพ ทางกายและมีความสำคัญต่อกีฬาวอลเลย์บอลที่ต้องใช้ตวาม สามารถในการเปลี่ยนตำแหน่งหรือทิศ ทางการเคลื่นไหวของร่างกายด้วยความรวดเร็วอันเป็นการ ทำงานอย่างเป็นระบบของระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่สัมพันธ์กัน


23 ถาวร กมุทศรี (2560) ความคล่องแคล่วว่องไว เป็นความเร็วในการเคลื่อนที่ของร่างกาย ในระยะทางสั้น ๆ และมีการเปลี่ยนทิศทางจะมีความสัมพันธ์กับความเร็วโดยตรงการฝึกที่เน้นให้เกิด ความเร็วส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนที่ในเชิงเส้นตรงด้วยระยะทางต่าง ๆ ตามเป้าหมายแต่เมื่อใช้ ความเร็วแล้วมีการปรับเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วจะมีความคล่องแคล่วว่องไวเข้ามาเกี่ยวข้อง ในทันที ซึ่งในจังหวะเปลี่ยนทิศทางนั้นร่างกายจะไม่มีความเร็ว (ความเร็วเป็น 0) แต่อาศัยกาลังความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อเพื่อให้ร่างกายสามารถเปลี่ยนทิศทางแล้วเร่งความเร็วขึ้นมาเพื่อเคลื่อนที่ไปใน ทิศทางที่ต้องการอย่างรวดเร็วต่อไป จตุรงค์ เหมรา (2560) ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความสามารถในการควบคุม ความสมดุลและการประสานงานของร่างกายในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใน ทิศทางต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธนากาญจน์ เสถียรพูนสุข (2561) ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความสามารถ ของ ร่างกายในการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เร็ว และมีทิศทางตำแหน่งของร่างกายได้ อย่างมี ประสิทธิภาพ เป็นการทำงานที่ต้องมีความสัมพันธ์กันของระบบกล้ามเนื้อ ซึ่งทำหน้าที่ ประสานงาน กันได้อย่างดีมีการตอบสนองเร็วต่อการรับรู้เช่นการวิ่งกลับตัว การวิ่งเก็บของการเอี้ยวตัวหลบหลีกคู่ ต่อสู้ในการเล่นกีฬาต่าง ๆ หรือการหลบหลีกอันตรายอันอาจเกิดขึ้นกับตนเองในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน ซึ่งความคล่องตัวเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการเคลื่อนไหว จากความหมายของความคล่องแคล่วว่องไวข้างต้น สรุปได้ว่า ความคล่องแคล่ว หมายถึง ความสามารถในการควบคุมร่างกายในการเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ และเปลี่ยนทิศทางได้อย่าง รวดเร็วว่องไวโดยที่ร่างกายมีความสมดุล และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการทำงานที่ต้อง อาศัยความสัมพันธ์กันระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อได้อย่างดี และการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจึงต้องมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ 4.2 ประโยชน์ของความคล่องแคล่วว่องไว หงส์ทอง บัวทอง (2559) กล่าวว่า ความคล่องแคล่วมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับนักกีฬา การที่จะทำให้เกิดความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ กระทำโดยการสั่งงาน ของระบบประสาทส่วนกลางจะเป็นตัวนาข้อมูลจากระบบประสาทรับความรู้สึกของ ร่างกายที่ เคลื่อนไหวเพื่อควบคุมให้ทำงานอย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งประกอบด้วยเวลาปฏิกิริยากับการ เคลื่อนไหว ที่จะสามารถตอบสนองในการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วในเวลาการฝึกหรือเวลาในการ แข่งขัน ดังนั้น นักกีฬาควรจะต้องตอบสนองในการเปลี่ยนแปลงทิศทาง การพัฒนาความสามารถด้าน ความ คล่องแคล่วนั้นจะเป็นผลให้นักกีฬามีการเคลื่อนที่ และเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยัง รักษา สมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี และจะสามารถประสบผลสำเร็จในการแข่งขันได้


24 จตุรงค์ เหมรา (2560) กล่าวว่า ผู้ที่มีความคล่องตัวดีจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อ สิ่ง กระตุ้นได้ดี มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ในทิศทางที่ดี สามารถเปลี่ยนทิศทางหรือหยุดได้อย่าง รวดเร็วทาให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ซึ่งความคล่องตัวเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการเล่นกีฬาที่ต้องใช้ความคล่องตัวสาหรับหลบหลีกคู่ต่อสู้ หรือเคลื่อนที่เข้าไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ในการแข่งขันกีฬา เช่น กีฬาเทนนิส กีฬาฟุตบอล กีฬาบาสเกตบอล เป็นต้น อารีย์ อินสุวรรโณ (2560) กล่าวว่า การฝึกและการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว มี ความสำคัญต่อการกีฬามาก ความคล่องแคล่วว่องไวจะเกิดขึ้นได้โดยการควบคุมของระบบกล้ามเนื้อ และระบบประสาท ที่ทำงานประสานกันเป็นอย่างดี โดยกล้ามเนื้อต้องมีความแข็งแรง ความอดทนสูง ข้อต่อต้องไม่ติด สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มความสามารถ ประสาทการรับรู้และการตอบสนองต้อง รวดเร็ว ว่องไว การควบคุมการทรงตัวต้องมีประสิทธิภาพ เพราะว่ากีฬาแทบทุกประเภทต้องมีการ เคลื่อนไหว และบางประเภทต้องอาศัยการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว หากร่างกายมีความคล่องแคล่ว ว่องไว และ สมรรถภาพด้านอื่น ๆ ดี จะช่วยให้การเล่นกีฬาประสบความสำเร็จ พชรพล บุญเรือง (2562) ความคล่องแคล่วว่องไวอาจะเป็นตัวกำหนดความสามารถของ ร่างกายในการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งและทิศทางของร่างกายความคล่องแคล่วว่องไว มีความสำคัญต่อ กิจกรรมกีฬาหลายประเภท เช่น การเล่นแบตมินตัน หรือฟุตบอล ก็ต้องอาศัยความ คล่องแคล่วว่องไวเป็นพื้นฐานของครูพลศึกษจำเป็นต้องอาศัยแบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวเพื่อ วัดและจัด ลำดับความสามารถของนักเรียนในชั้นประโยชน์ของความคล่องตัวของบุคคลที่มีต่อ กิจกรรม พลศึกษามีดังนี้ 1. ใช้เป็นองค์ประกอบในการทานายความสามารถการเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ ได้ เป็นอย่างเครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธิ์และให้คะแนนการพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวอันเป็น จุดมุ่งหมายในการสอนแต่ละหน่วย 2. เป็นส่วนหนึ่งของแบบทดสอบความสามารถทางกลไก และเป็นส่วนหนึ่งของ แบบทดสอบสมรรถภาพ 3.ใช้เป็นเครื่องมือในการวัดผลการเรียนการสอนรวมทั้งวิธีสอนของครูพลศึกษา 4. ทำให้ทราบระดับความคล่องแคล่วว่องไวของร่างกายในแต่ละระดับ ทำให้ผู้ ฝึกสอนสามารถปรับปรุงแบบฝึก และกิจกรรมการฝึกได้เหมาะสม 5. ใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาข้อแตกต่างด้านสมรรถภาพโดยทั่วไปของนักกีฬา ประเภทต่าง ๆ จากการศึกษาประโยชน์ของความคล่องแคล่วว่องไวสามารถสรุปได้ว่า ความคล่องแคล่ว ว่องไวนั้นให้คุณประโยชน์แก่ ผู้ฝึก ซึ่งทำให้ผู้ฝึกมีความสามารถในการเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทาง ตำแหน่ง เป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ในการเคลื่อนที่เข้าหาเป้าหมาย


25 4.3 หลักในการฝึกความคล่องแคล่วว่องไว หลักการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวหรือการฝึกความเร็วและความสัมพันธ์ของระบบ ประสาทกล้ามเนื้อ (speed and coordination training) ความสัมพันธ์ของระบบประสาทกล้ามเนื้อ เป็นความสามารถของร่างกายที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การควบคุม เท้าในการเลี้ยงลูกบอลของนักฟุตบอล การควบคุมร่างกายของนักกีฬากระโดดน้าหรือนักยิมนาสติก เป็นต้น การจะพัฒนาความสามารถเชิงทักษะของนักกีฬาจึงขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของระบบประสาท กล้ามเนื้อเป็นสำคัญ ความเร็วเป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวของแขนและขาในการที่จะเปลี่ยน ตำแหน่งของร่างกายที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การพัฒนาความเร็วจึงต้องอาศัยการเพิ่มสมรรถภาพด้าน อื่น ๆ เป็นพื้นฐาน เช่น ความแข็งแรง พลังความอ่อนตัว และความสัมพันธ์ของระบบประสาทและ กล้ามเนื้อ เป็นต้น การจะพัฒนาความเร็วให้เฉพาะเจาะจงกับชนิดกีฬานักกีฬาต้องใช้รูปแบบการฝึกซ้อมที่ มีลักษณะใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวในการกีฬา เช่น ความเร็วของนักกรีฑา นักกีฬาฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล นักกีฬาเหล่านี้จะต้องใช้ความเร็วที่แตกต่างกัน นักกรีฑาต้องการความเร็ว ในการออกตัว (เวลาปฏิกิริยา) ความเร็วในการเร่งความเร็ว ความเร็วสูงสุด และความเร็วอดทน ขณะที่นักกีฬาประเภททีมอาจจะต้องการความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (ลูกบอล) ความเร็วใน การเร่งความเร็ว ลดความเร็ว และความเร็วในการเปลี่ยนทิศทาง (ความว่องไว) การเคลื่อนที่ในระยะ สั้น ๆ การเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการออกตัวและหยุดได้อย่าง รวดเร็ว หลบหลีกคู่ต่อสู้ สิ่งเหล่านี้เป็นรูปแบบของความเร็วในเกมกีฬาประเภททีมส่วนใหญ่ซึ่งไม่ค่อย ได้ใช้ความเร็วสูงสุดในการเคลื่อนที่เหมือนกับนักวิ่งระยะสั้น ความหนัก (ความเร็วในการปฏิบัติ) ค่อนข้างสูง จำนวนเที่ยวน้อยและต้องเปิดโอกาสให้ นักกีฬามีการพักอย่างเต็มที่ เช่น การพัฒนาการเร่งความเร็วใช้การวิ่งเร็ว 10-30 เมตร 3-6 เที่ยว 3-5 เซท โดยมีเวลาพัก 3-5 นาที/เที่ยว 5-7 นาที/เซท สาหรับแบบฝึกต่อไปนี้ในการจะปฏิบัติให้ได้อย่าง รวดเร็วนักกีฬาต้องอาศัยสมรรถภาพพื้นฐานหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะความสัมพันธ์ของระบบประสาท กล้ามเนื้อ นักกีฬาจะปฏิบัติได้เร็วขึ้นถ้านักกีฬามีความสัมพันธ์ของระบบประสาทกล้ามเนื้อ ฉะนั้น แบบฝึกจึงควรพัฒนาได้ทั้งความสัมพันธ์ของระบบประสาทกล้ามเนื้อ ความเร็ว และความว่องไว หลักในการฝึกเพื่อเป็นพื้นฐาน และจะต้องฝึกปฏิบัติการเคลื่อนไหวนั้น ๆ อย่างถูกต้อง ซ้ำ แล้วซ้ำอีกและด้วยความเร็วสูง ทั้งความคล่องแคล่วว่องไวทั่วไปและความคล่องแคล่วว่องไว เฉพาะ ส่วนสามารถเพิ่มได้ด้วยการฝึกในส่วนประกอบต่าง ๆ ตามที่ นรินทรา จันทศร (2562) กล่าวไว้ ดังนี้ 1. การร่วมงานกันของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อต้องมีการพัฒนาให้เกิดการทางานร่วมกัน ใน การเคลื่อนไหวที่เป็นแบบหนึ่งแบบใดที่จำเป็นสาหรับกิจกรรมนั้น ๆ


26 2. พลังของกล้ามเนื้อ พลังของกล้ามเนื้อจะช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วว่องไว ถ้าพลัง ของ กล้ามเนื้อไม่ดีการควบคุมแรงของร่างกายจะเป็นไปได้ไม่ดี ตัวอย่างเช่น ในการเคลื่อนไหวอย่าง รวดเร็วย่อมต้องการกำลังขาอย่างมากเพื่อให้ร่างกายหยุดหรือเพื่อทำให้เปลี่ยนทิศทาง การพุ่งตัว ออกไปซึ่งขึ้นอยู่กับกำลัง (power) ย่อมต้องอาศัยพลังงาน (energy) และความเร็ว (speed) ด้วย 3. เวลาปฏิกิริยา (reaction time) เวลาที่ใช้ในการตอบสนองต่อการกระตุ้น จนกระทั่ง เกิดการเคลื่อนไหวมีความสำคัญต่อความคล่องแคล่วว่องไว เช่น การตอบสนองอย่าง รวดเร็วใน สภาพการณ์ทางกีฬา หรือการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม เวลาปฏิกิริยาจะได้รับการฝึก ตอบสนองที่ รวดเร็วเมื่อได้รับการกระตุ้นในระดับใดระดับหนึ่งที่ต้องการ ดังนั้น การสร้างสมาธิหรือ ทำจิตใจให้สงบ เพื่อเตรียมรับสถาณการณ์จึงเป็นตัวแปรหนึ่งที่จะทำให้การตอบสนองช้าหรือเร็ว 4.ความอ่อนตัว (flexibility) การมีความอ่อนตัวในช่วงปกติมีความจำเป็นในการ เคลื่อนไหวได้เต็มช่วงจะทำให้การเคลื่อนไหวเรียบและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดียังเป็นที่สงสัยว่า ความอ่อนตัวเกินกว่าปกติจะทำให้ความคล่องแคล่วว่องไวเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถึงแม้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของความคล่องตัวที่ได้กล่าวนี้จะเป็นพื้นฐานของความคล่องตัวจะทำให้ความคล่องตัวเพิ่ม ประสิทธิภาพ แต่ก็ควรจะตระหนักว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มความคล่องตัวเฉพาะก็คือ การฝึก ปฏิบัติการเคลื่อนไหวนั้นอย่างถูกต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าและต้องกระทำด้วยความเร็วสูง หลักการฝึกเพื่อพัฒนาความคล่องตัวของนักกีฬา กิตติภูมิ บริสุทธิ์ (2555) อธิบายว่ามี หลักการฝึกดังนี้ 1. หลักการฝึกความคล่องตัวนั้นจะคล้ายคลึงกับการฝึกความเร็วซึ่งนักกีฬาและ ผู้ ฝึกสอนจะต้องพยายามพัฒนาทักษะกีฬาและเทคนิคควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาความ คล่องตัวในการเคลื่อนไหวขณะปฏิบัติทักษะ 2. การฝึกความคล่องตัวนั้นจะต้องเริ่มจากการปฏิบัติด้วยรูปแบบที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน และใช้ปฏิบัติด้วยความเร็วจากช้าไปสู่ความเร็วสูงสุดและต้องเน้นเพื่อให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์ ก่อนความเร็วในการปฏิบัติ และไม่เกิดอาการเกร็งกล้ามเนื้อหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายในขณะที่ ปฏิบัติด้วยความเร็วสูงสุด 3. การฝึกความคล่องตัวเป็นการฝึกที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทที่สั่งการการ เคลื่อนไหว ดังนั้น การฝึกความคล่องตัวจึงควรได้รับการฝึกเป็นอันดับต้น ๆ ของการฝึกในแต่ละวัน หรือในสภาวะที่ร่างกายไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย 4. การพัฒนาความคล่องตัวกระทำได้ด้วยการให้นักกีฬาพยายามใช้ความเร็วสูงสุด ใน การวิ่ง หรือเคลื่อนที่ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวในกีฬานั้น 5. ช่วงเวลาพักระหว่างเที่ยว ระหว่างเซต ควรเปิดโอกาสให้ร่างกายได้มีเวลาพักมาก พอ หรือนานพอที่จะทำให้นักกีฬารู้สึกหายเหนื่อยหรือประมาณ 2-3 นาที


27 6. การปฏิบัติซ้ำ ในการฝึกความคล่องตัวจะไม่มีการปฏิบัติจำนวนมากเพราะว่าอาจ ทำให้ร่างกายเกิดความล้าสะสม และทำให้การปฏิบัติได้ไม่เต็มความสามารถของแต่ละคน ดังนั้น ควร มีการทำซ้ำประมาณ 5-6 ครั้ง/เซตปฏิบัติ 1-2 เซต สรุปได้ว่าหลักการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวข้างต้นมีการฝึกวิธีดังนี้ 1. ฝึกการประสานงานระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยการช้าท่าฝึกที่ ถูกต้องและฝึกซ้ำ แล้วเพิ่มระดับการฝึกขึ้นทีละน้อยจนถึงสูงสูด 2.ฝึกเพิ่มพลังกล้ามเนื้อ เพื่อสามารถเคลื่อนที่โดยใช้ความเร็วสูงสุดได้ 3.ฝึกปฏิกิริยาการตอบสนอง เป็นการฝึกตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับ การกระตุ้นจากสิ่งเร้า 4.ฝึกโดยการฝึกเป็นเซ็ตหรือเป็นชุด โดยมีเวลาเป็นตัวกำหนดและมีเวลาให้ร่างกาย ได้พักเพื่อเตรียมพร้อมฝึกต่อไป 4.4 วิธีการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว นักกีฬาต้องการความคล่องแคล่วว่องไวเพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ การจัด การกับการบาดเจ็บ (manage injuries) การปรับปรุงคุณสมบัติของนักกีฬา และการเพิ่มสมรรถภาพ ในระยะยาว (long-term performance) วัตถุประสงค์ของการฝึกความคล่องแคล่วว่องไว ประกอบด้วย การเพิ่มพลัง ความสมดุล ความเร็ว และการหดตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งการหดตัวนี้เพื่อ เพิ่มการทางานประสานกันของกล้ามเนื้อภายในร่างกาย (intramuscular coordination) เมื่อมีการ ทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อภายในร่างกายดีแล้วก็จะช่วยเพิ่มความเร็วระเบิด (explosive speed) พลังและความแข็งแรงที่บริเวณกลุ่มกล้ามเนื้อหลักด้วย และยังจะช่วยพัฒนาความคล่องตัว (quickness) ช่วยเพิ่มความอดทนหรือความสามารถในการทำงานที่มีความหนักสูงซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง ได้ ชารี จันสุพรม (2556) การฝึกความคล่องแคล่วว่องไว ควรมีการปฏิบัติด้วยความหนักสูงสุด โดยมีระยะเวลา ในการพักที่สมบูรณ์ระหว่างการฝึกนั้น ในทางตรงกันข้ามถ้าช่วงเวลาการฟื้นตัวสั้น อาจส่งผลเป็นการพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว ความอดทนได้ การมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา พลังและความแข็งแรงในการตอบสนองนั้นจะเป็นสิ่งหลักที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพด้านความคล่องแคล่ว ว่องไวได้ อย่างไรก็ตามการฝึกความแข็งแรงโดยทั่วไปเพื่อความมั่นคงของแกนกลางร่างกายและความ สมดุลจะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพพื้นฐานในการเคลื่อนไหวของนักกีฬาได้ ธนากาญจน์ เสถียรพูนสุข (2561) ได้กล่าวถึงวิธีการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวที่ นิยมใช้กันทั่วไปมี ดังนี้


28 1. วิ่งเก็บของ (shuttle) สุรศักดิ์ เกิดจันทึก (2560) กล่าวถึง การทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว เป็นการ ทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความเร็วในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างมี เป้าหมาย ซึ่งนักกีฬาฟุตบอลควรมีทักษะทั้งการวิ่งกลับตัว ถอยหลัง สไลด์ ซึ่งจาเป็นสาหรับการ เคลื่อนไหวในเกมกีฬาฟุตบอล มีการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว ดังนี้ 1. ทดสอบวิ่งเก็บของ (shuttle run) เครื่องมือ ประกอบด้วย 1.1 นาฬิกาจับเวลาอยา่ งละเอียด 1/10 วินาที 1.2 ทางวิ่งเรียบระหว่างเส้นขนาน 2 เส้น ห่างกัน 10 เมตร ชิดด้านนอกของเส้น ทั้ง สองมีวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร ถัดออกไปจากเส้นเริ่ม ควรมีทางให้วิ่งต่อไปได้ อีก อย่างน้อย 5 เมตร 1.3 ท่อนไม้ 2 ท่อน (3x3x5 เซนติเมตร) วิธีการ วางท่อนไม้สองท่อนกลางวงใน จุดที่กาหนดที่อยู่ชิดเส้นตรงข้ามเส้นเริ่ม ผู้เข้ารับการทดสอบยืนให้เท้าข้างใดข้างหนึ่งอยู่ที่่เส้นเริ่มเมื่อ พร้อมแล้วผู้ปล่อยตัวสั่ง“ไป”ให้ผู้เขา้ รับการทดสอบวิ่งไปหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งในวงกลม วิ่งกลับมา วางในวงกลมหลังเส้นเริ่ม แล้ววิ่ง กลับไปหยิบท่อนไม้อีกท่อนหนึ่งมาวางในวงกลมเดียวกัน ห้ามโยน ท่อนไม้ ถ้าวางไม่เข้าในวงต้องเริ่มใหม่ ทดสอบ 2 ครั้ง ใช้เวลาที่ดีที่สุด ภาพที่ 1 การทดสอบวิ่งเก็บของ ที่มา: สำนักงานวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2560)


29 เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายวิ่งเก็บของ (วินาที) ของนักเรียนชาย อายุ14ปี รวมทั่วประเทศ ช่วงคะแนน(วินาที) คุณภาพ 10.85 ลงมา ดีมาก 10.86-11.34 ดี 11.35-12.33 พอใช้ 12.83 ขึ้นไป ปรับปรุง เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายวิ่งเก็บของ (วินาที) ของนักเรียนหญิง อายุ14ปี รวมทั่วประเทศ ช่วงคะแนน(วินาที) คุณภาพ 12.24 ลงมา ดีมาก 12.25-12.79 ดี 12.80-13.90 พอใช้ 14.46 ขึ้นไป ปรับปรุง 5.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ ช่อพุทธรักษา หมายบุญ และ วายุ กาญจนศร (2559) ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยความ คล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาเนตบอลหญิงทีมโรงเรียนกัลยาณวัตร ก่อนการฝึกรูปแบบตารางเก้าช่อง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 22.47 วินาที ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.50 และภายหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 8 ของการฝึกรูปแบบตารางเก้าช่อง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 19.75 วินาที ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.00 เมื่อ นำผลการทดสอบที่ได้มาวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยความคล่องแคล่วว่องไว พบว่า สูงขึ้น ก่อนได้รับการฝึกรูปแบบตารางเก้าช่องอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจ ของนักกีฬาเนตบอลหญิง ทีมโรงเรียนกัลยาณวัตร ที่มีต่อการฝึกโดยใช้โปรแกรมการฝึกรูปแบบตาราง เก้าช่อง ในภาพรวมนักกีฬาเนตบอลหญิง ทีมโรงเรียน กัลยาณวัตรมีความพึงพอใจคิดเป็นคะแนน เฉลี่ย 4.68 อยู่ในระดับ พึงพอใจมากที่สุด สุรชัย แช่ด่าน(2559) การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกโดย ใช้ดารางเก้าช่อง และบันไดลิงถึงที่มีต่อความคล่องตัวในนักกีฬากาบัดดี้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักกีฬากา บัดดี้ สถาบัน การพลศึกษา วิทยาเขตกระบี่ จำนวน 30 คน แบ่งกลุ่มการฝึกโดยการสุ่มเพื่อแบ่งกลุ่ม จำนวน 3 กลุ่ม ทำการฝึกด้วยโปรแกรมปกติ ฝึกเสริมด้วยโดยใช้ตารางเก้าช่อง และบันไดลิง เป็นเวลา


30 8 สัปดาห์ เครื่องมือการวิจัย คือ แบบทดสอบความคล่องตัว ได้แก่ การทดสอบความคล่องตัวของ อิลลินอยส์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบวิลคอก ซัน (Wilcoxon Signed Rank Test) และครัสคัล-วอลลิส (Kruskal-Wallis Test) และเปรียบเทียบ รายคู่ด้วยวิธี Multiple Confidence- Interval Procedures ผลของวิจัย พบว่า 1. ผลการเปรียบเทียบความคล่องตัวก่อนฝึกและหลังการฝึกภายในกลุ่มการฝึกทั้ง 3กลุ่ม พบว่า กลุ่มการฝึกทั้ง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มการฝึกปกติ กลุ่มการฝึกโดยใช้ตารางเก้าช่อง และกลุ่มการฝึก โดยใช้บันใคถึง มีความคล่องตัวก่อนฝึกและหลังการฝึกมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. ผลความคล่องตัวหลังการฝึก พบว่า ความคล่องตัวหลังการฝึก 8 สัปดาห์ ของกลุ่มทั้ง 3 กลุ่ม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และเมื่อทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบ รายคู่ระหว่างกลุ่ม พบว่า ความคล่องตัวหลังการฝึกระหว่าง กลุ่มการฝึกปกติกับกลุ่มการฝึกโดยใช้ บันไดลิง กลุ่มการฝึกโดยใช้ตารางเก้าช่องกับกลุ่มการฝึกโดยใช้บันไคงไม่แตกต่างกัน ส่วนกลุ่มการฝึก ปกติกับกลุ่มการฝึกโดยใช้ตารางเก้าช่อง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วัชรินทร์ เลิศนอก (2560) ผลของการฝึกตาราง 9 ช่อง ที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ของนักเรียนกลุ่มบกพร่องทางการเรียนรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลการของการฝึกตาราง 9 ช่อง ที่มีต่อ ทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของนักเรียนกลุ่มบกพร่องทางการเรียนรู้ระหว่างก่อนการทดลองและ หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนที่มีความปกพร่องทางการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจวินิจฉัยทาง จิตวิทยาคลินิกตามเกณฑ์ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการที่กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนบ้านปางละกอ ปีการศึกษา 2559 อายุ 9-10 ปี จำนวน 9 คน เป็นนักเรียนชาย4 คน นักเรียนหญิง 5 คน วิธีการ คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ทำการทดสอบก่อนและหลังการทดลองเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง คือ โปรแกรมการฝึกตาราง 9 ช่อง มีค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ 0.92 และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบทดสอบการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ประกอบด้วย แบบวัดทักษะการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ มีคำ ความเที่ยงตรง เท่ากับ 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.91 แบบวัดทักษะการเคลื่อนไหวแบบ เคลื่อนที่มีค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.85 แบบวัดทักษะการ เคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ มีค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.77 ผลของ การฝึกการเคลื่อนไหวบนตาราง 9 ช่อง ทำให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานของเด็กนักเรียน กลุ่มบกพร่องทางการเรียนรู้ มีพัฒนาการดีขึ้นมากกว่าก่อนการทดลอง ทั้งการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ และการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


31 สมพร ส่งตระกูล (2564) ผลของการฝึกตารางใยแมงมุมและการฝึกตารางเก้าช่องที่มี ต่อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อความคล่องแคล่วว่องไว และความเร็วของนักกีฬาวอลเลย์บอล กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนชุมชนวัด หนองค้อ อายุระหว่าง 15-18 ปี มีประสบการณ์ในการแข่งขันอย่างน้อย 2 ปี จำนวน 30 คน แบ่ง ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ฝึกตารางใยแมงมุม 10 คน กลุ่มที่ 2 ฝึกตารางเก้าช่อง 10 คน และ กลุ่มที่ 3 กลุ่มควบคุม 10 คน ทำการฝึกเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 วัน ๆ ระยะเวลา 30 นาที ตัว แปรที่ศึกษาคือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความคล่องแคล่วว่องไว และความเร็ว สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ค่าความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่างที่ เป็นอิสระต่อกัน (Independent t-test) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวของค่าเฉลี่ยของตัว แปร (One-Way ANOVA) มีนัยสำคัญทางสถิติกำหนดไว้ที่ .05 ผลการวิจัย พบว่าความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อ (ประเมินจากการคำนวณหาค่าเฉลี่ยแรงเหยียดขา (กิโลกรัม/น้ำหนักตัว)) ก่อนและ หลังจากการฝึก 8 สัปดาห์ ของกลุ่มฝึกตารางใยแมงมุม (1.01±0.41กิโลกรัม/น้ำหนักตัว) และ (1.25±0.29 กิโลกรัม/น้ำหนักตัว) แตกต่างกัน กลุ่มฝึกตารางเก้าช่อง (0.83±0.23 กิโลกรัม/น้ำหนัก ตัว) และ (1.10±0.23 กิโลกรัม/น้ำหนักตัว) แตกต่างกัน และกลุ่มควบคุม (0.92±0.42กิโลกรัม/ น้ำหนักตัว) และ (1.00±0.39 กิโลกรัม/น้ำหนักตัว) แตกต่างกัน ความคล่องแคล่วว่องไว (ประเมินจาก การคำนวณหาค่าเฉลี่ยวิ่งอิลลินอยส์เทส (วินาที)) ก่อนและหลังจากการฝึก 8 สัปดาห์ ของกลุ่มฝึก ตารางใยแมงมุม (19.44±0.41วินาที) และ (18.17±0.66 วินาที) แตกต่างกัน กลุ่มฝึกตารางเก้าช่อง (19.80±1.12 วินาที) และ (18.36±1.28 วินาที) แตกต่างกัน และกลุ่มควบคุม(19.54±0.56 วินาที) และ (19.22±0.62 วินาที) แตกต่างกัน ความเร็ว (ประเมินจากการคำนวณหาค่าเฉลี่ยวิ่งเร็ว 40 หลา (วินาที)) ก่อนและหลังจากการฝึก 8 สัปดาห์ของกลุ่มฝึกตารางใยแมงมุม (6.44±0.44 วินาที) และ (5.77±0.48 วินาที) แตกต่างกัน กลุ่มฝึกตารางเก้าช่อง (6.36±0.26 วินาที) และ (5.79±0.29 วินาที) แตกต่างกัน และกลุ่มควบคุม (6.20±0.36วินาที) และ (5.98±0.36 วินาที) แตกต่างกัน และการ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวของค่าเฉลี่ยของตัวแปรตามภายหลังการฝึกออกกำลังกาย 8 สัปดาห์ ของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 กลุ่ม พบว่าค่าเฉลี่ยความคล่องแคล่วว่องไวของกลุ่มควบคุมกับกลุ่มฝึก ตารางใยแมงมุม แตกต่างกัน และกลุ่มควบคุมกับกลุ่มฝึกตารางเก้าช่อง แตกต่างกัน จากข้อมูลที่ ปรากฎ สามารถสรุปได้ว่า การฝึกตารางใยแมงมุมและการฝึกตารางเก้าช่อง สามารถพัฒนาความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความคล่องแคล่วว่องไว และความเร็ว ของนักกีฬาวอลเลย์บอลได้ จึงเป็นอีก หนึ่งทางเลือกที่สามารถนำเป็นในการฝึกซ้อมกีฬาวอลเลย์บอลต่อไป อริญชย์ นิลสกุล. (2558: บทคัดย่อ). ทาการศึกษาผลการฝึกตารางเก้าช่องและ เอส เอ คิว ที่ มีต่อเวลาปฏิกิริยาการวิจัยครั้งนี้มี ความมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลการฝึกตาราง เก้าช่องและเอส เอ คิว ที่มีต่อเวลาปฏิกิริยา ทางการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เพศหญิง


32 จำนวน 32 คน ท าการทดสอบเวลาปฏิกิริยา ก่อนการฝึกและแบ่งกลุ่ม ตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการฝึกตารางเก้าช่อง จำนวน 16 คน และกลุ่มการฝึก เอส เอ คิว จำนวน 16 คน ทั้ง 2 กลุ่ม และฝึกตามโปรแกรมการฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ใช้เวลาในการฝึกทั้งหมด 8 สัปดาห์ทุกวันจันทร์ พุธ และ ศุกร์ เวลา 16.30 –17.30 น. ท าการทดสอบเวลาปฏิกิริยาด้วยเครื่องวัดเวลาปฏิกิริยา ก่อนการฝึก ,หลังการฝึก สัปดาห์ที่ 2 4 6 และ 8 วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน, ทดสอบค่าที ( t-test Independent) และทดสอบ ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของเวลา ปฏิกิริยาก่อนการฝึกและหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 2 4 6 และ 8 ภายในกลุ่มการฝึกตารางเก้าช่องและเอส เอ คิว โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ ( One-Way Analysis of Variance with Repeated Measure) และทดสอบความแตกต่างรายคู่ โดยใช้ วิธีของ บอนเฟอโรนีBonferroni ก าหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จาก ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ค่าเฉลี่ยเวลาปฏิกิริยา กลุ่มการฝึกตารางเก้าช่อง ก่อนการฝึกและหลังการฝึก สัปดาห์ที่ 2 4 6 และ 8 มีค่าเท่ากับ 0.696 0.573 0.540 0.529 และ 0.519 ตามล าดับ และกลุ่ม การฝึกเอส เอ คิว มีค่าเท่ากับ 0.696 0.547 0.526 0.514 และ 0.510 ตามล าดับ 2. ค่าเฉลี่ยเวลาปฏิกิริยาภายในกลุ่มการฝึกตารางเก้ าช่องและเอส เอ คิว ระหว่าง ก่อนการ ฝึกกับหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 2 ก่อนการฝึกกับหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 ก่อนการฝึก กับหลังการฝึก สัปดาห์ที่ 6 และก่อนการฝึกกับหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่แตกต่างกัน 3. ค่าเฉลี่ยเวลาปฏิกิริยาระหว่างกลุ่มการฝึกตารางเก้าช่อง และเอส เอ คิว หลัง การฝึก สัปดาห์ที่ 2 4 6 และ 8 ไม่แตกต่างกัน 6.กรอบแนวคิดการวิจัย บทที่ 3 แบบฝึกตาราง 9 ช่อง ท่าที่ 1 ก้าวชิด - ก้าวชิด ท่าที่ 2 แยกชิด ท่าที่ 3 เดินหน้า – ถอยหลัง ท่าที่ 4 ตัวอักษร V ท่าที่ 5 ตัวอักษร V (คว่ำ) ท่าที่ 6 รวม ตัวอักษร V (หงาย-คว่ำ) การฝึกโดยใช้แบบฝึก ตาราง 9ช่อง ความคล่องแคล่วว่องไว ในการเรียนกีฬาแชร์ บอล


33 วิธีดำเนินงานวิจัย ผลของการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนบ้านหมากแข้งผู้วิจัย ได้นำเสนอวิธีการดำเนินการศึกษาตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการทดลอง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ 1. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียน บ้านหมากแข้ง จำนวน 46 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียน บ้านหมากแข้ง จำนวน 36 คน 2. แบบแผนการทดลอง การวิจัยในครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียว โดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง กลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลก่อนฝึก โปรแกรมการฝึก แบบบันทึกข้อมูลหลังฝึก E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง T1 แทน แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวก่อนฝึก X แทน แบบฝึกตาราง 9 ช่อง T2 แทน แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวหลัง


34 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบไปด้วย 3.1 แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว 3.2 แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว 4. วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 4.1 แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว 4.1.1 ศึกษาค้นคว้าหนังสือเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตารางเก้าช่องที่มีต่อ ความคล่องแคล่วว่องไว 4.1.2 สร้างแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว และนำแบบฝึกที่สร้างขึ้น เสนอแก่ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบแก้ไขเพิ่มเติมและนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น 4.1.3 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนพลศึกษาจำนวน 3 คน พิจารณา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ระหว่างวัตถุประสงค์การทดสอบ รูปแบบการฝึกความคล่องแคล่วว่องไว ได้แก่ แบบทดสอบวิ่งเก็บของ (shuttle run) ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและสอดคล้อง แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of objective congruence: IOC) ระหว่าง องค์ประกอบแบบฝึกตารางเก้าช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว จะต้องได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ทุกองค์ประกอบตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไป 4.1.4 ปรับปรุงและแก้ไขแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว ตาม ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 4.1.5 นำแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว ที่ผ่านการตรวจสอบความ สอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.67 ไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อศึกษา ความเป็นไปได้ ความเหมาะสมในการนำแบบฝึกตารางเก้าช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว ไปใช้กับ กลุ่มตัวอย่าง และนำมาปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้จริงต่อไป 4.1.6 นำแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไว ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลนำมาวิเคราะห์และอภิปรายผลการวิจัยต่อไป 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5.1 ก่อนการทดลองให้นักเรียนทดสอบก่อน ฝึกโดยให้นักเรียนเคลื่อนที่ในทิศทางที่กำหนด และ บันทึกลงในแบบบันทึกสมรรถภาพความคล่องแคล่วว่องไว


35 5.2 ผู้รายงานดำเนินการฝึกกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ว ว่องไว ตามขั้นตอน 5.3 เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้บันทึกผลการฝึกลงแบบบันทึกความคล่องแคล่วว่องไว หลังจาก ใช้แบบฝึกตารางเก้า 9 ที่มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ต่อไป 6. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ในการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ สถิติพื้นฐาน ใช้ในการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Test Analysis Programs (TAP) 7.1.1 หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ว ว่องไว โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 7.1.2 หาค่าที่ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ว ว่องไว โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) = ∑ − เมื่อ IOC เป็นดัชนีความสอดคล้อง ∑R เป็นผลรวมของความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N เป็นจำนวนของผู้เชี่ยวชาญ 7.1.3 การหาค่าสถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าเฉลี่ย ซึ่งจะใช้สูตรดังนี้ x̅= ∑x N เมื่อ x̅แทน ค่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูล 7.1.4 การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งจะใช้สูตรดังนี้


36 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ค่าคะแนน n แทน จำนวนคะแนนในแต่ละกลุ่ม ∑ แทน ผลรวม


37 บทที่ 4 ผลของการวิเคราะห์ข้อมูล ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวในการเรียนกีฬาแชร์ บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนหมากบ้านแข้ง ผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ ตามวัตถุประสงค์ของวิจัย ดังนี้ ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวในการเรียนกีฬาแชร์ บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 หลังฝึกดีกว่าก่อนฝึก ตารางที่ 1 ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวในการเรียนกีฬาแชร์ บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 (นักเรียนชาย) ระหว่างก่อนการฝึกและหลังการฝึก โดยใช้ แบบทดสอบวิ่งเก็บของ นักเรียน ( เลขที่ ) ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้ แบบทดสอบวิ่งเก็บของ (วินาที) ก่อนฝึก (วินาที) หลังฝึก (วินาที) ผลต่าง (วินาที) 1 11.10 09.97 1.13 2 10.86 09.81 1.05 3 13.00 11.59 1.41 4 15.31 13.41 1.90 5 9.96 08.79 1.17 6 10.06 09.66 0.40 7 13.06 11.19 1.87 8 10.73 09.78 0.95 9 11.00 10.77 0.23 10 11.26 09.99 1.27 11 11.37 09.11 2.15 12 12.00 10.57 1.43 13 11.50 10.56 0.94 14 11.00 10.01 0.99 15 09.66 08.09 1.57 16 15.00 12.78 2.22 17 11.25 10.24 1.01 ̅ 11.65 10.37 1.27 S.D. 1.55 1.29 0.53


38 จากตารางที่ 1 พบว่าการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 ระหว่างก่อนการฝึกและหลังการฝึก ปรากฏมีค่าเฉลี่ยของเวลาก่อนฝึกเท่ากับ 11.65 วินาที ค่าเฉลี่ยของเวลาหลังฝึกเท่ากับ 10.37 วินาที และค่าเฉลี่ยผลต่างของเวลาลดลง 1.27 วินาที ตารางที่ 2 ตารางเปรียบเทียบเวลาในการวิ่งของแต่ละช่วงอายุเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียนชาย อายุ 9 ปีรวมทั่วประเทศ ป.4 (นักเรียนชาย) หลังฝึก นักเรียน (คนที่) รายการ ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง เวลา (วินาที) 10.85 ลง ไป 10.86- 11.34 11.35- 12.33 12.83 ขึ้น ไป 1 11.10 √ 2 10.86 √ 3 13.00 √ 4 15.31 √ 5 9.96 √ 6 10.06 √ 7 13.06 √ 8 10.73 √ 9 11.00 √ 10 11.26 √ 11 11.37 √ 12 12.00 √ 13 11.50 √ 14 11.00 √ 15 09.66 √ 16 15.00 √ 17 11.25 √ เปอร์เซ็นต์ 82.35 % 7.35 % 2.95 % 7.35 %


39 จากตารางที่ 2 พบว่าการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง9 ช่อง ที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 หลังจากใช้แบบฝึกแล้วนักเรียนเมื่อ นำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ นักเรียนชายอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 82.35 เปอร์เซ็นต์ของ นักเรียนชายทั้งห้อง ตารางที่ 3 ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวในการเรียน กีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 (นักเรียนหญิง) ระหว่างก่อนการฝึกและหลังการ ฝึก โดยใช้แบบทดสอบวิ่งเก็บของ นักเรียน ( คนที่ ) ผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้ แบบทดสอบวิ่งเก็บของ (วินาที) ก่อนฝึก (วินาที) หลังฝึก (วินาที) ผลต่าง (วินาที) 1 13.25 12.56 0.69 2 16.50 15.37 1.13 3 12.76 10.56 2.2 4 15.12 13.02 2.1 5 11.63 10.12 1.51 6 12.66 11.59 1.07 7 13.38 12.29 1.09 8 14.13 12.01 2.12 9 12.16 10.11 2.05 10 12.38 11.45 0.93 11 13.00 12.11 0.89 12 12.55 13.97 1.24 13 14.41 13.25 1.16 14 14.10 12.11 1.99 15 15.56 14.23 1.33 16 13.40 12.38 1.02 17 13.63 11.48 2.15 18 11.17 10.35 0.82 19 13.25 11.45 1.80 ̅ 13.42 12.13 1.44 S.D. 1.33 1.41 0.52


40 จากตารางที่ 3 พบว่าการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไว ในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 ระหว่างก่อนการฝึกและหลังการฝึก ปรากฏมีค่าเฉลี่ยของเวลาก่อนฝึกเท่ากับ 13.42 วินาที ค่าเฉลี่ยของเวลาหลังฝึกเท่ากับ 12.13 วินาที และค่าเฉลี่ยผลต่างของเวลาลดลง 1.44 วินาที ตารางที่ 4 ตารางเปรียบเทียบเวลาในการวิ่งของแต่ละช่วงอายุเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพ ทางกายของนักเรียนหญิง อายุ 9 ปีรวมทั่วประเทศ ป.4 (นักเรียนหญิง) หลังฝึก นักเรียน (คนที่) รายการ ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง เวลา (วินาที) 12.24 ลงไป 12.25- 12.79 12.80- 13.90 14.46 ขึ้นไป 1 13.25 √ 2 16.50 √ 3 12.76 √ 4 15.12 √ 5 11.63 √ 6 12.66 √ 7 13.38 √ 8 14.13 √ 9 12.16 √ 10 12.38 √ 11 13.00 √ 12 12.55 √ 13 14.41 √ 14 14.10 √ 15 15.56 √ 16 13.40 √ 17 13.63 √ 18 11.17 √ 19 13.25 √ เปอร์เซ็นต์ 15.79 % 21.05 % 47.37 % 15.79 %


41 จากตารางที่ 2 พบว่าการฝึกโดยใช้แบบฝึกตารางเก้าช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากใช้แบบฝึกแล้วนักเรียนเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ เกณฑ์ นักเรียนหญิงอยู่ในเกณฑ์พอใช้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 47.37เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนหญิงทั้งห้อง


42 บทที่ 5 สรุปผล อภิปาย และข้อเสนอแนะ การวิจัย เรื่อง ผลของการฝึกโดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่อง ที่ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววอง ไวในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 ผู้วิจัยขอเสนอการสรุปผล อภิปายผล และข้อเสนอแนะดังนี้ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการฝึกโดยใช้แบบฝึก โดยใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ว วองไวในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนมีพัฒนาการด้านความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้ใชแบบฝึกตาราง 9 ช่อง หลังฝึกสูงกว่า ก่อนฝึก สรุปผลการวิจัย การใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวในการเรียนกีฬาแชร์บอล ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ระหว่างก่อนการฝึกและหลังฝึก ของนักเรียน ชาย และนักเรียนหญิง ปรากฏมีค่าเฉลี่ยของผลต่างของเวลาก่อนฝึกและหลังฝึกลดลง นักเรียนชายมี ค่าเฉลี่ยผลต่างของเวลาโดยใช้แบบทดสอบวิ่งเก็บของลดลงอยู่ที่ 1.27 วินาที นักเรียนหญิงมีค่าเฉลี่ย ผลต่างของเวลาโดยใช้แบบทดสอบวิ่งเก็บของลดลงอยู่ที่ 1.44 เมื่อนำไปเปรียบเทียบเกณฑ์นักเรียน ชายอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 82.35 เปอร์เซ็นต์ และนักเรียนหญิงอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คิด เป็นเปอร์เซ็นต์ 15.79 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในเกณฑ์/พอใช้/ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 47.37 เปอร์เซ็นต์พบว่า นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่4/3 มีการใช้เวลาในการเคลื่อนที่ลดลง อภิปายผลวิจัย จากการวิจัยพบว่าผลของการใช้แบบฝึกตาราง 9 ช่องช่องที่มีผลต่อความคล่องแคล่ววองไวใน การเรียนกีฬาแชร์บอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 มีค่าเฉลี่ยก่อนการฝึกของนักเรียนชาย โดยใช้แบบทดสอบการวิ่งเก็บของเท่ากับ 11.65 มีค่าเฉลี่ยหลังการฝึกของนักเรียนชายโดยใช้ แบบทดสอบการวิ่งเก็บของเท่ากับ 10.37 มีค่าเฉลี่ยก่อนการฝึกของนักเรียนหญิงโดยใช้แบบทดสอบ การวิ่งเก็บของเท่ากับ 13.42 ค่าเฉลี่ยหลังการฝึกของนักเรียนหญิงโดยใช้แบบทดสอบการวิ่งเก็บของ เท่ากับ 12.13 แสดงให้เห็นว่า การใช้แบบฝึกตารางเก้าช่องสามารถพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่4/3 ให้สูงขึ้นได้จริง เพราะการฝึกตาราง 9 ช่อง เป็นการฝึกที่เน้น ให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว แบบ 3 มิติ คือ ซ้าย–ขวา, หน้า–หลัง และ บน–ล่าง ในพื้นที่ที่ กำหนด ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจและระบบหมุนเวียนเลือดทั่วร่างกายแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่


43 ฝึกบริหารสมองได้เป็นอย่างดี ให้ช่วยฝึกการรับรู้ การเคลื่อนไหว ความจำ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และยังช่วยยืดกล้ามเนื้อ ให้กระดูกได้ขยับทำงาน พร้อมกับฝึกการทรงตัวไปด้วยกัน จากสิ่งที่กล่าวมา นั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นฤเดช วีระสุข (2563) ที่ได้กล่าวว่าตาราง 9 ช่องช่วยพัฒนาปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้และการรับรู้ สั่งงานของสมองช่วยประสานความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นและ พัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหว ความรวดเร็วในการคิด และการตัดสินใจ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาควบคู่กันไป ด้วยการ พัฒนามาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของมนุษย์นำไปสู่การกำหนดวิธีการโดยใช้ หลักการทำงานของสมองมาควบคุมการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนด โครงสร้างของสมองในการรับรู้เรียนรู้และพัฒนาการควบคุมการทำงานของสมองให้มีแบบแผนเป็น ขั้นตอน ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ถูกสร้างขึ้นหรือวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากรูปแบบ และขั้นตอนการเคลื่อนไหวที่ง่ายไปสู่การเคลื่อนไหวที่ยาก และหลากหลายทิศทางมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ สมองได้รับการกระตุ้นและพัฒนาการรับรู้เรียนรู้ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกจัดลำดับ ความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องตามแบบแผนของรูปแบบการเคลื่อนไหวที่กำหนดไว้ การเคลื่อนไหว ร่างกายอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีรูปแบบวิธีการ และขั้นตอนที่ถูกต้องชัดเจนเป็นระบบ คือ การกำหนด เงื่อนไขให้สมองทำงานอย่างมีทิศทางและเป้าหมาย ภาพสะท้อนหรือผลย้อนกลับของการเคลื่อนไหว จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการรับรู้เรียนรู้ และพัฒนาการของสมองโดยตรงที่ก้าวหน้าขึ้นจากการฝึก หรือการเรียนรู้อย่างแท้จริง และเป็นการประเมินผลที่มีความเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด ซึ่งสอดคล้อง กับ สุวัตร หลวงตระกูล (2550) ที่ได้กล่าวว่า การออกกำลังกายจำเป็นต้องใช้อวัยวะ หลายส่วน เคลื่อนไหวและทำงานประสานร่วมกัน พฤติกรรมการเคลื่อนไหวนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ ในการ ทำงานของระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ ดังนั้นในการเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ก็ตามจะถูก จำกัด ด้วยคุณสมบัติและประสิทธิภาพของระบบประสาท และความพร้อมของระบบกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวนั้นๆ โดยกระบวนการของความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวนั้นเริ่มตั้งแต่ ได้รับสัญญาณให้เคลื่อนไหวจนกระทั่งได้ทำงานหรือเคลื่อนไหวสิ้นสุดลง ถ้าจะมีการนับระยะเวลา ตั้งแต่เริ่ม ได้รับสัญญาณให้เริ่มเคลื่อนไหวจนกระทั่งเคลื่อนไหว ซึ่งการฝึกตาราง 9 ช่องนี้ก็ช่วยใน พัฒนาของระบบประสาท การสั่งการร่างกาย ให้เคลื่อนไหวตามรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับ นฤเดช วีระ สุข (2563) ที่ได้กล่าวว่า ตาราง 9 ช่อง คือ เครื่องมือที่คิดค้นขึ้นในเบื้องต้น เพื่อใช้นำไปสู่การพัฒนา ปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้และการรับรู้สั่งงานของสมองช่วยประสานความสัมพันธ์ระหว่างระบบ ประสาทและกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นและพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหว ความรวดเร็วในการคิด และการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาสมองทั้ง ซีกซ้ายและซีกขวาควบคู่กันไป ด้วยการพัฒนามาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้น


44 ของมนุษย์นำไปสู่การกำหนดวิธีการโดยใช้หลักการทำงานของสมองมาควบคุมการปฏิบัติในแต่ละ ขั้นตอนเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดโครงสร้างของสมองในการรับรู้เรียนรู้และพัฒนาการ ควบคุมการทำงานของสมองให้มีแบบแผนเป็นขั้นตอน ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ถูกสร้างขึ้นหรือ วางแผนไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากรูปแบบและขั้นตอนการเคลื่อนไหวที่ง่ายไปสู่การเคลื่อนไหวที่ ยาก และหลากหลายทิศทางมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สมองได้รับการกระตุ้นและพัฒนาการรับรู้เรียนรู้ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกจัดลำดับความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องตามแบบแผนของรูปแบบการ เคลื่อนไหวที่กำหนดไว้ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีรูปแบบวิธีการ และขั้นตอนที่ ถูกต้องชัดเจนเป็นระบบ คือ การกำหนดเงื่อนไขให้สมองทำงานอย่างมีทิศทางและเป้าหมาย ภาพ สะท้อนหรือผลย้อนกลับของการเคลื่อนไหว จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการรับรู้เรียนรู้ และพัฒนาการ ของสมองโดยตรงที่ก้าวหน้าขึ้นจากการฝึกหรือการเรียนรู้อย่างแท้จริง และเป็นการประเมินผลที่มี ความเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับ สนธยา สีละมาด (2555) ที่ได้กล่าวว่า ปัจจัยที่มี อิทธิพลต่อการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อ ไว้ว่า การหดตัวคลายตัวของกล้ามเนื้อเป็นผลทำให้เกิดการ เคลื่อนไหวของร่างกาย การทำงานของ กล้ามเนื้อจึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดระดับ ความสามารถในการเคลื่อนไหวของนักกีฬา อย่างไร ก็ตามการทำงานของกล้ามเนื้อให้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่ปัจจัยที่ถือว่ามีความสำคัญมากก็คือ ปัจจัย ทางด้านการกระตุ้นของระบบประสาท อีกทั้งตาราง 9 ช่อง เป็นการฝึกที่ช่วยเพิ่มทักษะกีฬาด้าน ต่างๆ เช่น ความคล่องแคล่วว่องไว ความเร็ว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับ สุรชัย แซ่ด่าน (2560) ที่ได้กล่าวว่า ตารางเก้าช่อง คือ เครื่องมือที่ถูกคิดค้นเพื่อนำไปสู่การพัฒนา ปฏิสัมพันธ์ในการ เรียนรู้และการรับรู้สั่งงานของสมอง ช่วยประสานความสัมพันธ์ระหว่างระบบ ประสาทกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นและพัฒนาปฏิกิริยาความเร็วในการปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหว ความ รวดเร็วในการคิด และการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีก ขวาควบคู่กันไป ก รูปแบบคลื่อนไหวนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของมนุษย์เป็นหลัก ตาราง 9 ช่อง สามารถ นำมาฝึกกับกีฬาประเภทต่าง ๆ ได้ เช่น แบดมินตัน เทนนิส กรีฑา กาบัดดี้ เป็นต้น กิจกรรม ตาราง เก้าช่องจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้รับรู้ของสมองได้ดียิ่งขึ้น เป็นการฝึก การทำงานของสมองโดยการจัดการเคลื่อนไหวอย่างมีขั้นตอน เคลื่อนไหวจากง่ายไป ยาก และ พัฒนาการเคลื่อนไหวจากช้าไปเร็วทำให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เกิด ความสัมพันธ์ ทางด้านทักษะกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน การรับรู้ของสมองที่จะเกี่ยวข้องกับ เวลาปฏิกิริยา เวลาตอบสนอง และเวลาการเคลื่อนไหวเพราะจะ เกิดการเรียนรู้โดยการลดช่วงเวลาใน การคิดและตัดสินใจ จึงทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปได้อย่างรวดเร็วจนเป็นอัตโนมัติ จะเห็นได้ว่าผล ของการฝึกด้วยตารางเก้าช่องนั้นมีประโยชน์ต่อนักกีฬา กาบัดดี้อย่างมากในด้านของความคล่องตัวซึ่ง ต้องใช้ความสัมพันธ์ของสมองและร่างกายเพื่อ การเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ และทั้งนี้การที่


Click to View FlipBook Version