แนวทางบริหารจัดการสนิ คา้ เกษตรท่ีสาคัญ
จงั หวดั สกลนคร
สานักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี 3 rd
สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร 3 RIGIONAL OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ OFFICE OF AGRICULTURE ECONOMICS
กันยายน 2563 MINISTRY OF AGRICULTURE AND COOPERATIVES
SEPTEMBER 2020
แนวทางบริหารจัดการสินค้าเกษตรท่สี าคญั
จังหวัดสกลนคร
โดย
สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 3 สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กันยายน 2563
ก
บทสรุปสำหรบั ผูบ้ รหิ ำร
แนวทางบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สาคัญจังหวัดสกลนคร ปีการผลิต 2562 มีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาข้อมูลด้านเศรษฐกิจสินค้าเกษตรท่ีสาคัญของจังหวัด สินค้า ได้แก่ ข้าวเหนียวนาปี ยางพารา
มันสาปะหลังโรงงาน ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ และปาล์มน้ามัน และสินค้าหรือกิจกรรมทางเลือก ได้แก่
อ้อยโรงงาน และมัลเบอร์ร่ี ในการปรับเปล่ียนตามความเหมาะสมของพ้ืนท่ีเพ่ือจัดทาแนวทาง และ
มาตรการจูงใจในการผลิตสินค้าเกษตรตามความเหมาะสมของพื้นท่ี ผลการศกึ ษาสรปุ ดังนี้
ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตพื้นท่ีเหมาะสม (S1, S2) ดังน้ี ข้าวเหนียวนาปี ต้นทุนการผลิต
3,842.33 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนสุทธิ 786.49 บาทต่อไร่ ยางพารา ตน้ ทุนการผลิต 10,058.49 บาทต่อไร่
ผลตอบแทนสุทธิ -2,075.27 บาทต่อไร่ หรือขาดทุน 2,075.27 บาทต่อไร่ มันสาปะหลังโรงงาน ต้นทุน
การผลิต 5,500.76 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสทุ ธิ 539.68บาทต่อไร่ ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ รุ่น 2 ต้นทุนการผลติ
5,591.85 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิ -554.38 บาทต่อไร่ หรือขาดทุน 554.38 บาทต่อไร่ ปาล์มน้ามัน
ต้นทนุ การผลิต 3,555.11 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสทุ ธิ -684.30 บาทตอ่ ไร่ หรือขาดทนุ 684.30 บาทตอ่ ไร่
ต้นทุนและผลตอบแทนพ้ืนท่ีไม่เหมาะสม (S3, N) ดังน้ี ข้าวเหนียวนาปี ต้นทุนการผลิต 4,400.79
บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิ 155.93 บาทต่อไร่ ยางพารา ต้นทุนการผลิต 10,720.08 บาทต่อไร่
ผลตอบแทนสุทธิ -2,879.10 บาทต่อไร่ หรือขาดทุน 2,879.10 บาทต่อไร่ มันสาปะหลังโรงงาน ต้นทุน
การผลิต 6,535.98 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิ -1,426.14 บาทต่อไร่ หรือขาดทุน 1,426.14 บาทต่อไร่
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 2 ต้นทุนการผลิต 4,934.15 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิ -864.34 บาทต่อไร่ หรือ
ขาดทุน 864.34 บาทต่อไร่ ปาล์มน้ามัน ต้นทุนการผลิต 4,919.11 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิ -2,312.38
บาทตอ่ ไร่ หรือขาดทนุ 2,312.38 บาทต่อไร่
ผลผลิต (Supply) และความตอ้ งการใช้ (Demand) ขา้ วเหนยี วนาปี มผี ลผลิต 489,595 ตัน ความ
ต้องการใช้ 634,408 ตัน ผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ 144,813 ตนั ยางพารามผี ลผลิต 104,917
ตัน ผลผลิตมีเพียงพอกับความต้องการใช้ มันสาปะหลัง มีผลผลิต 401,210 ตัน ผลผลิตมีเพียงพอกับ
ความต้องการใช้ ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ มีผลผลิต 251 ตัน ผลผลิตมีเพียงพอกับความต้องการใช้ ปาล์มน้ามัน
มผี ลผลิต 471,000 ตัน ความตอ้ งการใช้ 560,000 ตนั ผลผลติ ไมเ่ พยี งพอกับความต้องการใช้ 89,000 ตนั
ต้นทุนและผลตอบแทนสินค้าพืชทางเลือกดังนี้ ต้นทุนการผลิตอ้อยโรงงาน 7,059.56 บาท
ผลตอบแทนสุทธิ 205.54 บาทต่อไร่ ต้นทุนการผลิตมัลเบอร์รี่ 19,276.87 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิ
8,389.88 บาทตอ่ ไร่
ข้อเสนอแนะการปลูกพืชในพน้ื ทเ่ี หมาะสม (S1, S2) สนิ คา้ ท่ีควรสง่ เสริมการผลติ ในพื้นทเ่ี หมาะสม
ได้แก่ ข้าวเหนยี วนาปี มันสาปะหลังโรงงาน และปาลม์ น้ามนั แนวทางในการส่งเสรมิ มดี ังนี้
ด้านการผลิต 1) สนับสนุนแนวทางเกษตรแบบแปลงใหญ่ โดยต่อยอดองค์ความรู้จากศูนย์
เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) ของจังหวัด เพ่ือนานวัตกรรม
ข
และเทคโนโลยมี าประยุกต์ใชใ้ นการทาการเกษตร ได้แก่ การนาเทคโนโลยี การปลูกและดูแลรักษา และการ
เก็บเก่ียวที่สามารถลดการใช้แรงงานในขณะเกิดสภาวะการขาดแคลนแรงงาน 2) สนับสนุนเครื่องจักรกล
การเกษตรใหค้ รอบคลุมพน้ื ที่เกษตร แทนการเชา่ หรือจา้ งจากบริษทั เอกชน เชน่ เครื่องเกีย่ วนวดข้าว เคร่ือง
ปลูกและเก็บเกี่ยวมันสาปะหลัง เป็นต้น 3) พัฒนาระบบชลประทานและการบริหารจัดการน้าให้ทั่วถึงทุก
พน้ื ที่ รวมทง้ั การจดั ต้งั ธนาคารน้าควบคกู่ บั การทาเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นท่ีเหมาะสม (S1, S2)
ด้านการตลาด 1) สนับสนุนภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต เพื่อช่วยกาหนดการผลิตให้
เหมาะสมกับความต้องการของตลาดทั้งด้านปริมาณ และคุณภาพ 2) สร้างแรงจูงใจให้วิสาหกิจชุมชน
พัฒนาตนเองก้าวไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์ เพ่ือให้วิสาหกิจชุมชนมีโอกาสในการเพิ่มระดับการพัฒนาตนเอง
และขยายฐานรายได้ 3) พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยให้ลูกหลานเกษตรกรได้เรียนรู้
การขายออนไลน์ หรือการใช้เครื่องมือสื่อสารในการทาการตลาด 4) ผลักดันระบบเกษตรพันธสัญญา
ระหว่างโรงงานกบั เกษตรกร
ข้อเสนอแนะการปลูกพืชในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) แนวทางการพัฒนาพื้นที่ไม่เหมาะสมจึง
พิจารณาเป็น 2 กรณี ดังน้ี 1) กรณีปรับเปล่ียนจากพืชเดิมเป็นการปลูกพืชทดแทน จากการข้าวเหนียวนาปี
ยางพารา มันสาปะหลังโรงงาน ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ และปาล์มน้ามัน เป็นการปลูกอ้อยโรงงานและมัลเบอรร์ ่ี
ซึ่งให้ผลตอบแทนท่ีดีกว่า 2) กรณีไม่ปรับเปล่ียนเป็นพืชทดแทน จากการศึกษา พบว่า การปลูกข้าวเหนียว
นาปี และปาล์มน้ามันในพ้ืนท่ีไม่เหมาะสม เกษตรกรผลิตแล้วให้ผลตอบแทนน้อยและขาดทุน แต่ผลผลิต
ข้าวเหนียวนาปีและปาล์มน้ามันไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของจังหวัด หากเกษตรกรไม่ต้องการ
ปรบั เปลี่ยนไปปลกู พชื ชนิดอ่นื ดงั น้นั ภาครัฐควรพัฒนาประสิทธภิ าพการผลติ โดยส่งเสริมท้งั ด้านปัจจยั การ
ผลิต เทคโนโลยีการผลิต และการเพิ่มพื้นท่ีชลประทานให้เพียงพอ เพ่ือให้ได้ผลผลิตสูงสุด โดยปรับปรุงดิน
ใหม้ ีความอุดมสมบรู ณแ์ ละลดตน้ ทนุ การผลิต
ค
คำนำ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำเขตเหมำะสมสำหรับกำรปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยวิเครำะห์
ควำมเหมำะสมของดินกับปัจจัยควำมต้องกำรของพืชแต่ละชนิด ร่วมกับปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เขตป่ำไม้
ตำมกฎหมำย เขตพื้นท่ีโครงกำรชลประทำน นอกจำกนั้นยังได้กำหนดกำรบริหำรจดั กำรกำรผลิตสินค้ำเกษตร
ตำมแนวทำงกำรบริหำรจัดกำรพ้ืนท่ีเกษตรกรรม (Zoning) เพ่ือจัดกำรผลผลิตทำงกำรเกษตรใหส้ อดคล้องกบั
ควำมต้องกำรของตลำด โดยเขตพ้ืนท่ีที่เหมำะสมมำกและปำนกลำงจะส่งเสริมให้เพ่ิมประสิทธิภำพกำรผลิต
สำหรับเขตพื้นที่ท่ีเหมำะสมน้อยและไม่เหมำะสมจะส่งเสริมให้ปรับเปล่ียนผลิตสินค้ำเกษตรอ่ืน ๆ ท่ีเหมำะสม
กวำ่ สนิ คำ้ เดิมทีท่ ำกำรผลิตอยู่ปจั จบุ นั
สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรท่ี 3 จึงไดท้ ำกำรศึกษำวเิ ครำะห์เศรษฐกจิ สินคำ้ เกษตรจังหวัดสกลนคร
โดยวิเครำะห์ทำงด้ำนกำยภำพและเศรษฐกิจ เพ่ือเป็นกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรผลิตสินค้ำเกษตรในพื้นที่
เหมำะสมมำกและเหมำะสมปำนกลำง (S1,S2) และปรับเปล่ียนกำรผลิตใพื้นที่เหมำะสมน้อยและไม่เหมำะสม
(S3,N) เพื่อปรับเปล่ียนไปปลูกพืชทำงเลือกชนิดอ่ืนที่ให้ผลตอบแทนท่ีดีกว่ำ เพ่ือนำผลกำรศึกษำไปใช้
ประกอบกำรตัดสินใจทำแผนกำรผลติ ตอ่ ไป
สว่ นแผนพฒั นำเขตเศรษฐกิจกำรเกษตร
สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 3
กนั ยำยน 2563
ง หนา้
สารบัญ ก
ค
บทสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร ง
คานา ฉ
สารบัญ ซ
สารบญั ตาราง 1
สารบญั ภาพ 1
บทท่ี 1 บทนา 2
2
1.1 ความสาคัญของการศึกษา 2
1.2 วัตถปุ ระสงค์ 4
1.3 ขอบเขตการศกึ ษา 10
1.4 วิธีการศกึ ษา 5
1.5 ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะได้รับ 8
บทท่ี 2 การตรวจสอบเอกสาร แนวคิดทฤษฎี 19
2.1 การตรวจเอกสาร 19
2.2 แนวคิดทฤษฎี 22
บทที่ 3 สภาพทั่วไปของจังหวดั สกลนคร 24
3.1 ลักษณะทางภูมิศาสตร์ 26
3.2 ลักษณะภมู ิอากาศ 27
3.3 แหล่งนาธรรมชาติ 29
3.4 ทรัพยากรธรรมชาติทสี่ าคัญ 30
3.5 ขอ้ มูลด้านการปกครองของจังหวัด 33
3.6 ขอ้ มูลสงั คมและวฒั นธรรม 33
3.7 ข้อมูลด้านการเกษตรท่สี าคญั ของจังหวัด 33
บทท่ี 4 ผลการศึกษา 37
4.1 ผลการศึกษาวิเคราะห์ดา้ นเศรษฐกิจสนิ ค้าเกษตรท่ีสาคญั ของจงั หวดั 41
46
4.1.1 ข้าวเหนียวนาปี
4.1.2 ยางพารา
4.1.3 มันสาปะหลังโรงงาน
4.1.4 ข้าวโพดเลยี งสัตว์
จ 50
54
สารบัญ (ตอ่ ) 54
56
4.1.6 ปาล์มนามัน 59
4.2 ผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านเศรษฐกจิ สินค้าทางเลือกของจงั หวดั 59
60
4.2.1 ออ้ ยโรงงาน 62
4.2.2 มัลเบอร์ร่ี
บทท่ี 5 บทสรปุ
5.1 บทสรปุ
5.2 ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
ฉ
สารบัญตาราง
ตารางที่ หนา้
3.1 แสดงปรมิ าณนาฝน ปี 2553 - 2562 23
3.2 แสดงอุณหภมู แิ ละความชืนสัมพทั ธ์สงู สดุ - ตา่ สุด ปี 2553 - 2562 24
3.3 แสดงพนื ทป่ี ่าไม้ 26
3.4 แสดงการแบ่งเขตการปกครองของจังหวดั 27
3.5 จานวนประชากรของจังหวดั สกลนคร ปี 2562 28
3.6 จานวนครัวเรอื นเกษตรกรและจานวนแรงงานภาคเกษตรของจงั หวัดสกลนคร 30
3.7 บัญชสี รุปแหลง่ นาขนาดใหญ่ จังหวัดสกลนคร 31
4.1 การปลกู ขา้ วในพืนท่รี ะดับความเหมาะสม ปี 2561 จังหวดั สกลนคร 33
4.2 เนือท่ปี ลูก เนือทเี่ ก็บเกย่ี ว ผลผลติ และผลผลติ ตอ่ ไร่ ขา้ วเหนียวนาปี ปี 2560-2562 34
4.3 รอ้ ยละผลผลิตข้าวเหนียวนาปี ปีเพาะปลูก 2562/63 จังหวดั สกลนคร 34
4.4 ตน้ ทนุ และผลตอบแทนการผลติ ข้าวเหนียวนาปี ปีเพาะปลูก 2562/63 จังหวัดสกลนคร 35
4.5 ราคาขา้ วเหนียวนาปที ีเ่ กษตรกรขายได้ (ความชืน 15%) ปี 2560 -2562 35
4.6 ผลผลติ (Supply) และความต้องการใช้ (Demand) ข้าวเหนียวนาปี ปี 2562 จงั หวดั สกลนคร 36
4.7 การปลูกยางพาราในพนื ท่ีระดบั ความเหมาะสม ปี 2561 จังหวัดสกลนคร 38
4.8 เนือท่ียนื ตน้ เนอื ท่กี รดี และผลผลติ ยางพาราปี 2560 – 2562 จังหวดั สกลนคร 38
4.9 ร้อยละผลผลิต ยางพารา ปี 2562 จังหวดั สกลนคร 39
4.10 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลิตยางพารา ปี 2562 จังหวัดสกลนคร 39
4.11 ราคายางกอ้ นถ้วยที่เกษตรกรขายได้ จังหวัดสกลนคร 40
4.12 ผลผลติ (Supply) และความต้องการใช้ (Demand) ยางพารา ปี 2562 จังหวดั สกลนคร 40
4.13 การปลกู มันสาปะหลังในพืนท่รี ะดบั ความเหมาะสม 2561 จงั หวัดสกลนคร 42
4.14 ผลผลิต และผลผลติ ต่อไร่ของมนั สาปะหลังโรงงาน ปี 2560 – 2562 จังหวดั สกลนคร 42
4.15 รอ้ ยละผลผลติ มันสาปะหลงั โรงงาน ปเี พาะปลูก 2562 จงั หวดั สกลนคร 43
4.16 ต้นทนุ และผลตอบแทนการผลิตมันสาปะหลงั โรงงาน ปเี พาะปลูก 2562 จงั หวัดสกลนคร 44
4.17 ราคามนั สาปะหลงั โรงงานที่เกษตรกรขายได้ ปี 2560-2562 จงั หวัดสกลนคร 44
4.18 ผลผลิตและความต้องการใชม้ ันสาปะหลังโรงงาน ปี 2562 จังหวดั สกลนคร 45
4.19 การปลกู ข้าวโพดเลยี งสัตว์ ในพนื ท่ีระดับความเหมาะสม ปี 2561 จงั หวดั สกลนคร 46
4.20 เนอื ทเ่ี พาะปลูกและผลผลติ ข้าวโพดเลียงสตั ว์ ปี 2560 – 2562 จงั หวดั สกลนคร 47
4.21 รอ้ ยละผลผลิตข้าวโพดเลยี งสตั ว์ ปี 2561 จังหวัดสกลนคร 47
ช
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หนา้
4.22 ตน้ ทนุ และผลตอบแทนการผลิตข้าวโพดเลยี งสัตว์ร่นุ 2 ปเี พาะปลูก 2562/63 จงั หวดั สกลนคร 48
4.23 ผลผลิตและความต้องการใช้ประโยชน์ข้าวโพดเลยี งสตั ว์ ปี 2562 จังหวดั สกลนคร 49
4.24 การปลูกปาลม์ นามนั ในพนื ทีร่ ะดบั ความเหมาะสม ปี 2561 จงั หวัดสกลนคร 50
4.25 เนอื ที่ให้ผล ผลผลติ และผลผลิตต่อไร่ ปาลม์ นามันจังหวัดสกลนคร 50
4.26 ร้อยละผลผลติ ปาล์มนามนั ปี 2561 จังหวดั สกลนคร 51
4.27 ตน้ ทนุ และผลตอบแทนการผลิตปาล์มนามัน ปีเพาะปลูก 2562 จังหวัดสกลนคร 52
4.28 ราคาปาลม์ นามนั ทงั ทะลาย (นาหนักมากกว่า 15 กก.) ปี 2562 จังหวัดสกลนคร 52
4.29 ผลผลติ และการใช้ปาล์มนามนั ปี 2562 จังหวดั สกลนคร 53
4.30 เนือทปี่ ลูก เนือท่เี กบ็ เกยี่ ว ผลผลิต ผลผลิตต่อไร่ ออ้ ยโรงงาน ปี 2560 – 2562 จังหวัดสกลนคร 54
4.31 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลิตออ้ ยโรงงาน ปีเพาะปลูก 2562/63 55
4.32 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลิตมัลเบอรร์ ่ี ปีเพาะปลูก 2562 จังหวัดสกลนคร 57
ซ หนา้
14
สารบญั ภาพ 16
ภาพที่ 17
2.1 ข้อมูลและปจั จยั ทีค่ วรพจิ ารณาในกรอบแนวคิด
2.2 กรอบแนวคิดหว่ งโซ่คณุ (Value chain) การผลิตสนิ คา้ เกษตร หนา้
2.3 โจทย์สาคญั ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเพม่ิ ประสิทธภิ าพบรหิ ารจัดการ 37
41
หว่ งโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตร 46
49
สารบญั แผนภาพ 53
56
แผนภาพที่ 58
4.1 วถิ ีการตลาดข้าวเปลือกเหนียวนาปี ปี 2562 จังหวดั สกลนคร
4.2 วิถกี ารตลาดยางพารา ปี 2562 จงั หวดั สกลนคร
4.3 วถิ กี ารตลาดมันสาปะหลังโรงงาน ปี 2562 จังหวดั สกลนคร
4.4 วถิ กี ารตลาดข้าวโพดเลยี งสตั ว์ ปี 2562 จังหวดั สกลนคร
4.5 วถิ ีการตลาดปาลม์ นามัน ปี 2562 จังหวัดสกลนคร
4.6 วถิ กี ารตลาดอ้อยโรงงาน ปี 2562 จงั หวดั สกลนคร
4.7 วิถกี ารตลาดมัลเบอร์ร่ี ปี 2562 จงั หวัดสกลนคร
ฌ
บทท่ี 1
บทนำ
1.1 ควำมสำคัญของกำรศกึ ษำ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินกำรขับเคลื่อนนโยบำยกำรบริหำรจัดกำรเขตเกษตรเศรษฐกิจ
สำหรบั สินค้ำเกษตรท่สี ำคัญ (Zoning) อย่ำงต่อเนอื่ ง ถอื เปน็ นโยบำยสำคัญในกำรพัฒนำและแก้ไขปญั หำ
ด้ำนกำรเกษตรของประเทศ ท้ังนี้ เพ่ือให้เกิดกำรใช้ท่ีดินให้มีประสิทธิภำพ ปรับสมดุลระหว่ำงอุปสงค์
(Demand) และอปุ ทำน (Supply) ของสนิ ค้ำเกษตรในพ้ืนท่ี ตำมกำรประกำศเขตเหมำะสมต่อกำรปลกู พืช
ปศุสัตว์ และประมง จำนวน 20 ชนิดสินค้ำ ประกอบด้วย พืช 13 ชนิด ปศุสัตว์ 5 ชนิด และประมง 2
ชนิด และเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกำรตัดสินใจในกำรทำกำรผลิตสินค้ำหรือกำรส่งเสริมกำรผลิตทำง
กำรเกษตรท่ีเหมำะสม ซึ่งต้องพิจำรณำตำมควำมสอดคล้องเชื่อมโยงกันของพ้ืนท่ี (Area) ชนิดสินค้ำ
(Commodities) เกษตรกร รวมถึงผู้ประกอบกำร โรงงำนอุตสำหกรรมเกษตร และเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐ
(Human Resource) โดยใช้ข้อมูลด้ำนเศรษฐกิจสำหรับเป็นฐำนข้อมูลเพ่ือกำหนดพ้ืนที่ปลูกท่ีสำคัญ เช่น
ข้อมูลปริมำณกำรผลิต ต้นทุน ผลตอบแทน ควำมต้องกำรของอุตสำหกรรมเกษตรท้ังในด้ำนปริมำณและ
คณุ ภำพมำตรฐำน เปน็ ต้น
ในรอบปี 2562 ท่ีผ่ำนมำ สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร ได้เน้นจัดทำและวิเครำะห์ข้อมูลพ้ืนท่ีปลูก
ปริมำณผลผลิต ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตของสินค้ำข้ำว/ยำงพำรำ รำยภำคเป็นสินค้ำหลัก รวมทั้ง
สินค้ำทำงเลือกเพ่ือสำหรับกำรปรับเปลี่ยนในพื้นที่ไม่เหมำะสมของข้ำว/ยำงพำรำรำยภำค เพื่อเป็นข้อมูล
ประกอบกำรตัดสินใจซ่ึงสอดรับกับนโยบำยกำรบริหำรจัดกำรข้ำวครบวงจรสำหรับกำรจัดทำแนวทำงใน
กำรบริหำรจดั กำรเขตเกษตรเศรษฐกิจสินค้ำเกษตรท่ีสำคัญระดับภำค
สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 3 ในฐำนะหน่วยงำนดำเนินกำรโครงกำรบริหำรจัดกำรกำรผลิต
สินค้ำเกษตรตำมแผนท่ีเกษตรเพ่ือกำรบริหำรจัดกำรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) ในระดับพื้นที่ได้
เล็งเห็นว่ำแต่ละจังหวัดยังมีกำรผลิตสินค้ำเกษตรที่สำคัญอีกหลำยชนิดท่ียังไม่มีประสิทธิภำพเท่ำที่ควร
เน่ืองจำกปริมำณของผลผลิตไม่สมดุลกับปริมำณควำมต้องกำรของตลำด รวมทั้งมีกำรเพำะปลูกพืชในพ้ืนท่ีท่ีมี
ควำมเหมำะสมน้อย และไม่เหมำะสม ส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรผลิต ดังน้ันจึงจำเป็นต้องสร้ำงฐำนข้อมูล
ระดับจังหวัดด้ำนเศรษฐศำสตร์สำหรับกำรจัดสรรพ้ืนที่ปลูกให้เกิดควำมเหมำะสมของสินค้ำเกษตรท่ีสำคัญ
ทำงเศรษฐกิจของจังหวัดสกลนคร จำนวน 5 ชนิดสินค้ำ ได้แก่ ข้ำวเหนียวนำปี ยำงพำรำ มันสำปะหลัง
โรงงำน ข้ำวโพดเล้ียงสัตว์ และปำล์มน้ำมัน และศึกษำสินค้ำหรือกิจกรรมทำงเลือกทดแทนเพื่อสำหรับ
กำรปรับเปลี่ยนสินค้ำเกษตรที่สำคัญทำงเศรษฐกิจ ตำมควำมเหมำะสมของพ้ืนท่ีเพ่ือประกอบกำรจัดทำ
แผนงำน/โครงกำร ในกำรเสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถในกำรแข่งขันระดับพ้ืนที่และจัดทำข้อเสนอแนะ
เชิงนโยบำย แนวทำงและมำตรกำรจูงใจในกำรผลิตสินค้ำเกษตรตำมควำมเหมำะสมของพื้นท่ีเพ่ือ
กำรบรหิ ำรจัดกำรพ้ืนที่ของสนิ ค้ำเกษตรแต่ละชนิดให้สอดคล้องเหมำะสมกับฐำนทรัพยำกร ต่อไป
2
1.2 วตั ถุประสงค์ของกำรศกึ ษำ
1.2.1 เพื่อศึกษำข้อมูลด้ำนเศรษฐกิจสินค้ำเกษตรที่สำคัญของจังหวัด 5 สินค้ำ (ข้ำวเหนียวนำปี
ยำงพำรำ มันสำปะหลังโรงงำน ข้ำวโพดเล้ียงสัตว์ และปำล์มน้ำมัน) และสินค้ำหรือกิจกรรมทำงเลือกใน
กำรปรบั เปลยี่ นตำมควำมเหมำะสมของพ้นื ที่
1.2.2 เพือ่ จัดทำแนวทำง และมำตรกำรจงู ใจในกำรผลิตสินคำ้ เกษตรตำมควำมเหมำะสมของพื้นท่ี
1.3 ขอบเขตกำรศกึ ษำ
สินค้ำเกษตรที่สำคัญของจังหวัดสกลนคร จำนวน 5 สินค้ำ ได้แก่ ข้ำวเหนียวนำปี ยำงพำรำ
มันสำปะหลัง ข้ำวโพดเล้ียงสัตว์ และปำล์มน้ำมัน รวมทั้งสินค้ำ/กิจกรรมทำงเลือก ได้แก่ อ้อยโรงงำน
และมัลเบอรร์ ่ี
1.4 วธิ กี ำรศึกษำ
1.4.1 กำรรวบรวมข้อมูล
1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) อำทิ ข้อมลู ต้นทนุ กำรผลติ ข้อมลู อปุ สงค์ อุปทำนของสินค้ำ
และสินค้ำทำงเลือกในกำรปรับเปล่ียน เป็นข้อมูลที่ได้จำกกำรลงพ้ืนที่สัมภำษณ์เกษตรกรในแต่ละจังหวัด
หน่วยงำนต่ำง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น กรมส่งเสริมกำรเกษตร กรมวิชำกำรเกษตร กรมพัฒนำท่ีดิน กรม
ชลประทำน องค์กรสว่ นทอ้ งถ่ิน และภำคเอกชน เป็นตน้
2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) อำทิ ข้อมูลกำรจำแนกพื้นท่ีควำมเหมำะสมเป็นข้อมูลท่ี
รวบรวมจำกเอกสำร รำยงำนกำรศึกษำ นโยบำย ข่ำว บทควำม วำรสำร งำนวิจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ
ข้อมลู จำกแผนท่ีเกษตร Agri-Map
1.4.2 กำรจดั เก็บข้อมลู
1) กำรคดั เลอื กสนิ คำ้ ทีม่ ลู ค่ำสูงจำนวน 10 อับดับ (TOP10) ของจังหวัด
สำหรับสินค้ำเกษตรหลักท่ีต้องกำรศึกษำคือสินค้ำเกษตรที่สำคัญและมีมูลค่ำสูงทำง
เศรษฐกิจของประเทศ 7 ชนิด ได้แก่ ข้ำว (ข้ำวเจ้ำนำปี และนำปรัง) ข้ำวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง
โรงงำน สบั ปะรดโรงงำน ยำงพำรำ ปำลม์ นำ้ มัน และมะพรำ้ ว โดยใช้หลักเกณฑ์คัดเลือกชนิดสินค้ำทมี่ ูลค่ำ
สูงจำนวน 10 ลำดับ (TOP10) ของแต่ละจังหวัดซ่ึงพิจำรณำเฉพำะสินค้ำพืช ไม่รวมอันดับสินค้ำประมง
และปศุสัตว์ หำกสินค้ำเกษตรหลักที่ต้องกำรศึกษำทั้ง 7 ชนิด ติดอันดับ TOP10 ของจังหวัด ถือว่ำเป็น
สินคำ้ เกษตรท่ีสำคัญและมีมูลค่ำสูงทำงเศรษฐกิจของจังหวัด
2) กำรคัดเลือกสินค้ำทำงเลือกที่มีอนำคต พิจำรณำจำกข้อมูลกำรตลำดนำกำรเกษตร
ซึ่งกำรจัดทำสินค้ำ/กิจกรรมทำงเลือกท่ีมีศักยภำพในพื้นที่คล้ำยคลึงกับกำรจัดทำสินค้ำเกษตรสร้ำงมูลค่ำ
ของจังหวัด เช่น พืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้ำว ยำงพำรำ มันสำปะหลังโรงงำน ปำล์มน้ำมัน) ปศุสัตว์ (เช่น สุกร
โคนม) และประมง เป็นกำรปรับเปล่ียนกำรผลิตสินค้ำที่อยู่ในเขตเหมำะสมน้อยหรือไม่เหมำะสม มำผลิต
3
สนิ ค้ำที่มีศักยภำพ ให้ผลตอบแทนสูงกว่ำ โดยสอดคล้องกับควำมต้องกำรของตลำด รวมถึงกำรปรับเปลี่ยน
กิจกรรมกำรผลิตในพื้นท่ีเป็นกำรทำกำรเกษตรผสมผสำน หรือกำรผลิตหลังฤดูทำนำ เพื่อลดควำมเสี่ยง
จำกภยั พบิ ัติและเพ่ือสรำ้ งควำมมัน่ คงดำ้ นอำหำร
3) กำรจัดเก็บตน้ ทนุ และผลตอบแทนและกำรปรับสัมประสทิ ธิต์ น้ ทนุ กำรผลิตรำยสนิ ค้ำ
หำกเป็นสินค้ำที่ยังไม่มกี ำรจัดเก็บตน้ ทนุ กำรผลติ ของจงั หวัดน้ัน ใหด้ ำเนนิ กำรตำมหลักกำร
จัดทำต้นทุนของศูนย์สำรสนเทศกำรเกษตร โดยเมื่อได้สินค้ำเกษตรหลักของแต่ละจังหวัดท่ีจะต้องจัดเก็บ
ตน้ ทุนให้พิจำรณำข้อมูลจำกแผนที่เกษตร Agri-Map ซ่ึงจัดทำโดยกรมพัฒนำที่ดิน และข้อมูลที่ไดจ้ ำกกำร
สำรวจเพ่ือตรวจสอบพื้นท่ีจริงของกำรผลิต จำกเกษตรกร ผู้นำชุมชนภำครัฐและเอกชนในพื้นที่แต่ละ
จงั หวัด โดยวิธีกำรสุ่มตัวอยำ่ งจำแนกตำมลักษณะควำมเหมำะสมทำงกำยภำพของพื้นท่ีในจังหวดั เป็นรำย
อำเภอ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มเหมำะสม (S1/S2) โดยเก็บข้อมูลในพื้นท่ี S1 ก่อน แต่ถ้ำมีกลุ่ม
ตัวอย่ำงไม่เพียงพอจะจัดเก็บในพ้ืนท่ี S2 (เป็นพื้นท่ีสำรอง) และ 2) กลุ่มไม่เหมำะสม (N/S3) โดยเก็บ
ข้อมูลในพื้นท่ี N ก่อน แต่ถ้ำมีกลุ่มตัวอย่ำงไม่เพียงพอจะจัดเก็บในพ้ืนที่ S3 (เป็นพ้ืนท่ีสำรอง) โดยมี
ลักษณะตน้ ทนุ กำรผลติ แบ่งเป็น
3.1) กลมุ่ ข้ำว พืชไร่ เปน็ กำรปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จส้ินในแตล่ ะรอบกำรผลติ หรือ
รุ่น ต้นทุนกำรผลิตจะมีชุดเดียว เช่น ข้ำว (ข้ำวเจ้ำนำปี และนำปรัง) ข้ำวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง
โรงงำน เปน็ ต้น
3.2) กลุ่มพืชไรม่ ีอำยุกำรเก็บเก่ียวมำกกว่ำ 1 ครั้ง เป็นกำรปลูกคร้ังเดียว แต่สำมำรถเก็บ
เกี่ยวผลผลิตได้มำกกว่ำหน่ึงรอบ และต้นทนุ กำรผลิตจะมีต้นทุนกำรผลิตปีที่ปลูก และต้นทุนถดั จำกปีปลูก
ทกุ ปีจนถงึ สนิ้ สุดรนุ่ กำรผลติ (รื้อทิง้ ) และคำนวณต้นทุนเฉลีย่ เชน่ สบั ปะรดโรงงำน เปน็ ตน้
3.3) กลุ่มไม้ผลไม้ยืนต้น เป็นกำรปลูกครั้งเดียว แต่สำมำรถยืนต้นให้ผลผลิตได้หลำยปี
ต้นทุนกำรผลิต เกิดจำกต้นทุนปีให้ผลผลิต รวมกับต้นทุนก่อนให้ผลผลิตท่ีเฉลี่ยไปทุกปีของกำรเก็บเก่ียว
ต้งั แต่ปเี รมิ่ ตน้ เกบ็ เกย่ี วจนหมดอำยขุ ยั ทำงเศรษฐกจิ ของพชื นั้น
หำกมีกำรดำเนินกำรจัดทำต้นทุนกำรผลิตของสินค้ำชนิดน้ันอยู่เดิมแล้วให้นำโครงสร้ำง
ตน้ ทุนกำรผลิตปี 2561 นำมำปรับด้วยสัมประสิทธ์ิต้นทุนกำรผลิต ซึ่งได้จำกกำรจัดเก็บข้อมูลอัตรำค่ำจ้ำง
แรงงำนและปจั จัยกำรผลิตพชื ในชว่ งปี 2562 – 2563 ของแตล่ ะพชื ในพน้ื ทจ่ี ังหวดั นนั้
4) กำรจัดทำวิถีกำรตลำดของสินค้ำและกำรจัดเก็บข้อมูลอุปทำน (Supply) และอุปสงค์
(Demand) ระดับจงั หวัดใชห้ ลกั กำรตำมแนวคิดกำรทำบัญชีสมดลุ สินคำ้ เกษตรและปีกำรตลำด (National
-Marketing Year) เป็นกำรบันทึกปริมำณของสินค้ำเกษตรในระดับจังหวัด โดยบันทึกข้อมูลเป็นรำยปี
กำรตลำดและปีกำรค้ำสำกล มีองค์ประกอบ 2 ด้ำน คือ ด้ำนอุปทำน (Supply) และด้ำนอุปสงค์
(Demand) และหลักกำรกระจำยผลผลิตของวถิ ีกำรตลำดใหไ้ ด้ครบร้อยละ 100
4
1.4.3 กำรวเิ ครำะหแ์ ละประมวลผลข้อมูล
1) กำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงคุณภำพ (Qualitative Analysis) เป็นกำรนำข้อมูลท่ีเกิดจำกกำร
เก็บรวบรวมโดยกำรสำรวจและใช้แบบสอบถำม อำทิ กำรสัมภำษณ์ กำรสังเกต มำวเิ ครำะห์และพรรณนำ
ในรูปขอ้ ควำม หรือใชส้ ถิติขัน้ ตน้ เชน่ ค่ำเฉลี่ย ร้อยละ เป็นตน้ ประกอบกำรพรรณนำ
2) กำรวิเครำะห์ขอ้ มูลเชิงปริมำณ (Quantities Analysis) เป็นกำรวิเครำะห์ข้อมลู เชิงปริมำณ
เกี่ยวกับด้ำนเศรษฐกิจและสังคมครัวเรือนเกษตรกร มูลค่ำผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด กำรใช้ท่ีดิน สัดส่วน
ครัวเรือนเกษตร ฯลฯ มำวิเครำะห์ โดยจัดหมวดหมู่ หรือเรียงลำดับ ด้วยวิธีกำรทำงสถิติพรรณนำ เช่น
ค่ำควำมถ่ี ค่ำเฉลี่ย ร้อยละ เป็นต้น และนำเสนอผลกำรวิเครำะห์ด้วยวิธีกำรพรรณนำโดยใช้ตำรำง
ประกอบ
1.5 ประโยชนท์ ่ีคำดว่ำจะได้รบั
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำย มำตรกำร และแนวทำงในกำรบริหำรจัดกำรพ้ืนที่และสินค้ำเกษตรแต่ละชนิด
ให้สอดคลอ้ งและเหมำะสมกบั ฐำนทรัพยำกร เพื่อประกอบกำรจัดทำแผนงำน/โครงกำรในระดับจังหวัด
บทที่ 2
การตรวจเอกสาร แนวคิดทฤษฎี
2.1 การตรวจเอกสาร
ในการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจการเกษตรคร้ังนี้ ได้นาผลการศึกษา ผลงานวิจัย
หลายฉบับจากหลายภาคส่วน ที่มีประเด็นการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการเชิงพื้นที่
(Zoning) มาพจิ ารณา สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตรที่ 3 (2560-2562) ไดศ้ กึ ษาวเิ คราะหด์ ้านเศรษฐกิจ
สินค้าเกษตรท่ีสาคัญตามแผนที่ Agri-Map จานวน 7 จังหวัด ในพ้ืนที่รับผิดชอบของสานักงานเศรษฐกิจ
การเกษตรท่ี 3 ได้แก่ จังหวดั อุดรธานี หนองคาย หนองบัวลาภู เลย บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม โดยมี
วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตสินค้าเศรษฐกิจสาคัญท่ีมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม
ระดับจังหวัด 4 อันดบั แรกของจังหวดั (Top4) ศกึ ษาสภาพการผลติ การตลาด และสมดุลสนิ คา้ (Demand
Supply) ของสินค้าเศรษฐกิจสาคัญที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมระดับจังหวัด 4 อันดับแรกของจังหวัด
และสินค้าทางเลือก ตลอดจนเสนอแนะแนวทางการปรับเปล่ียนการผลิตข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N)
เป็นสินค้าทางเลือกท่ีมีศักยภาพระดับพ้ืนท่ี ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาด้านนโยบายการบริหารจัดการพนื้ ท่ี
เกษตรกรรม (Zoning) ของ กรรณิกา แซ่ลิ่ว นาวิน โสภาภูมิ และ นิวัติ อนงค์รักษ์ (2560) ที่ศึกษา
ความเหมาะสมทางเศรษฐกจิ ของการกาหนดเขตเศรษฐกิจข้าว : กรณศี กึ ษาการผลิตขา้ วในจงั หวัดเชียงใหม่
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเหมาะสมทางเศรษฐกิจในการปลูกข้าวโดยพิจารณาแยกตาม
ความเหมาะสมทางกายภาพของพื้นท่ีโดยเลือกเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จานวน 757 ราย ในจังหวัดเชียงใหม่
ผลการศึกษา พบว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินในการทาการเกษตรของเกษตรกร อาจเกิดจากปัจจัยทางด้าน
ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมด้วย ไม่ใช่เพียงแค่การพิจารณาความเหมาะสมในการปลูกพืชของกรมพัฒนา
ที่ดินเท่าน้ัน เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกข้าวเพ่ือบริโภคเป็นหลัก และแบ่งขายเพื่อสร้างรายได้
โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ มีอายุมาก และนิยมปลูกข้าวสันป่าตอง 1 เพราะมีผลผลิตต่อไร่สูง เกษตรกรส่วน
ใหญ่เลือกทาการเพาะปลูกข้าวในพื้นที่เหมาะสม แต่เกษตรกรบางรายแม้ว่าจะเพาะปลูกข้าวในพ้ืนท่ีไม่
เหมาะสม แต่ยังคงปลูก การดาเนินการจัด Zoning การปลูกข้าว จึงไม่ควรมุ่งเป้าหมายเร่ืองการลดพ้ืนท่ี
การปลูกข้าวในเขตท่ีไม่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว เพราะเกษตรกรท่ีเคยทานามาหลายสิบปีจะไม่ยอมรับ
โดยเฉพาะเกษตรกรสูงอายุอาจปรับตัวไปสู่พืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ได้ลาบาก ดังนั้น การบริหารจัดการพื้นท่ี
ปลูกข้าวของเชียงใหม่ควรมุ่งเป้าหมายด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว การลดต้นทุนการผลิตข้าว
และการเพ่ิมมูลค่าข้าวควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพื้นท่ีด้วย นอกจากน้ียังสอดคล้องกับการการศึกษาความ
เป็นไปได้ของนโยบายบริหารพื้นท่ีเกษตรกรรม (Zoning) กรณีศึกษา อาเภอเมืองกาแพงเพชร จังหวัด
กาแพงเพชร ของ พรชัย ชัยสงคราม (2558) ทศ่ี ึกษาความเป็นไปได้ของนโยบายบรหิ ารพ้ืนทเี่ กษตรกรรม
(Zoning) ความต้องการ และความคิดเห็นของเกษตรกรในพ้ืนที่อาเภอเมืองกาแพงเพชร จังหวัด
กาแพงเพชร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างจานวน 100 ราย
6
วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชส้ ถิตเิ ชงิ พรรณนา ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรสว่ นใหญ่มเี นื้อท่ถี ือครองเฉลี่ย 29 ไร่
โดยเป็นของตนเอง การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย และท่ีนามีโฉนด เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกพืชชนิด
เดิม ร้อยละ 86 โดยอาศัยน้าฝน พบปัญหาด้านการขาดแหล่งน้าเพ่ือการเกษตร เน่ืองจากฝนแล้ง/ท้ิงช่วง
และขาดแหล่งน้าในการทาการเกษตรเป็นปัญหาที่มีความสาคัญมากที่สุดร้อยละ 98 และ 96 พบปัญหา
ด้านรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายร้อยละ 98 และปัญหาโจรกรรม การลักเล็กขโมยน้อยร้อยละ 45 โดย
เกษตรกรต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ จัดสร้างแหล่งน้าเพื่อการเกษตรร้อยละ 98 และความช่วยเหลือ
ด้านการครองชีพ จัดหาแหล่งน้าเพ่ือการบริโภคร้อยละ 97 นอกจากน้ีได้สอบถามถึงการปรับเปล่ียนการ
ผลิตเปน็ พืชชนิดอื่น พบว่า เกษตรกรสว่ นใหญ่ร้อยละ 86 ไมส่ นใจปรบั เปลีย่ นการผลิต เนอ่ื งจากขาดแคลน
เงินทุนในการปรับเปลี่ยนการผลิตเป็นพืชชนิดอ่ืน โดยเฉพาะเร่ืองการปรับสภาพท่ีดิน เกษตรกรอายุมาก
มีพ้ืนท่ีปลูกไม่มากนักทาให้เส่ียงต่อรายได้ที่จะได้รับหากปรับเปล่ียนการผลิตเป็นสินค้าชนิดอื่น สาหรับ
ความต้องการของเกษตรกรหากปรับเปลี่ยน พบว่า ต้องการให้ภาครัฐจัดหาแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่า
ชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากการปรับเปลี่ยนเป็นสินค้าชนิดใหม่ จัดหาแหล่งรับซื้อผลผลิตชนิดใหม่
จัดอบรมเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเพิ่มผลผลิต การลงทุนหรือการจัดหาแหล่งน้าให้ เช่นเดียวกับ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือท่ีมีการศึกษาในประเด็นเดียวกัน คือ การโซนนิ่งพ้ืนที่เกษตรกรรมสาหรับ
การผสมผสานหาทางเลือกสาหรับการใช้ที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย วาสนา พุฒกลาง และ
ชรัตน์ มงคลสวัสด์ิ (2556) ท่ีศึกษาเพื่อประเมินความเหมาะสมของท่ีดินสาหรับปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้แก่
ข้าว อ้อย มันสาปะหลัง และยางพารา ด้วยระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ และทาโซนน่ิงพื้นที่การเกษตรด้วย
การสรา้ งขอบเขตหนว่ ยการใชท้ ี่ดนิ ที่เหมาะสมสาหรับการผสมผสานทางเลือกการใช้ทีด่ ินโดยคานงึ ถึงสภาพ
เศรษฐกิจสังคมและส่ิงแวดล้อม พื้นท่ีศึกษาครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้ือที่ประมาณ 170,000
ตารางกิโลเมตร พืชเศรษฐกิจที่สาคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อยโรงงาน มันสาปะหลัง และยางพารา การวิเคราะห์
โซนน่ิงคร้ังนี้เพ่ือหาความเหมาะสมของท่ีดินของพืชเศรษฐกิจ ท้ัง 4 ชนิด ซ่ึงเป็นไปตามหลักการประเมิน
ท่ีดนิ ของ FAO โดยบรู ณาการคุณภาพท่ีดนิ สาหรับพชื เศรษฐกิจหลักแตล่ ะชนิด ไดแ้ ก่ นา้ คุณสมบัตขิ องดิน
ศักยภาพของดินเค็ม และสภาพภูมิประเทศ สร้างเป็นชั้นข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และทาการ
วิเคราะห์แบบซ้อนทับสร้างแบบจาลองแบบผลคูณ เพื่อให้ได้ความเหมาะสมของท่ีดินที่เป็นไปตามความ
ต้องการคุณภาพที่ดนิ ของพชื แต่ละชนิด จากน้ันทาการตรวจสอบภาคสนาม เพอ่ื วิเคราะหค์ วามถูกต้องของ
แบบจาลองโดยใช้สัมประสิทธิ์ Kappa ผลท่ีได้นามาประเมินด้านเศรษฐกิจ และการสูญเสียดิน เมื่อได้รับ
ความเหมาะสมของท่ีดินของพืชแต่ละชนิดแล้วนาชั้นความเหมาะสมของพืชท้ัง 4 ชนิดนี้ มาวิเคราะห์แบบ
ซ้อนทับอีกครั้งหนึ่ง และกาหนดทางเลือกเฉพาะความเหมาะสมมาก และความเหมาะสมปานกลาง
เพื่อเสนอทาแผนท่ีแบบบูรณาการพืชท้ัง 4 ชนิด ได้แก่ ข้าว อ้อย มันสาปะหลังและยางพารา โดยจาแนก
ระดับความเหมาะสมออกเป็น เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย และไม่เหมาะสม
ซง่ึ การบูรณาการข้อมูลความเหมาะสมของที่ดนิ สาหรับพชื แตล่ ะชนิด โดยการคัดเลือกเฉพาะพื้นที่เหมาะสม
มากและเหมาะสมปานกลาง นามาสร้างเป็นแผนที่โซนนิ่งพื้นที่การเกษตรสาหรับการผสมผสานทางเลือก
7
การใช้ท่ีดิน ผลการบูรณาการสามารถสร้างหน่วยแผนที่ได้ท้ังสิ้น 23 หน่วยแผนที่ ท่ีมีความยืดหยุ่นให้
เกษตรกรสามารถเลือกปลูกพืชและผสมผสานการใช้ท่ีดินได้หลายชนิด การกาหนดหน่วยแผนที่และโซนน่ิง
แบง่ ออกเป็น 5 โซนนิ่งหลัก ไดแ้ ก่ โซนน่ิงพ้นื ท่เี หมาะสมมากสาหรับปลูกพืชเศรษฐกิจ โซนนง่ิ พืน้ ทเ่ี หมาะสม
ปานกลางสาหรับปลูกพืชเศรษฐกิจ โซนน่ิงพ้ืนท่ีป่าไม้เพื่อการอนุรักษ์ โซนนิ่งพื้นท่ีชุมชนและที่อยู่อาศัย
และโซนนงิ่ พืน้ ทีแ่ หล่งน้า ตามลาดบั
สาหรับประเด็นด้านการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ต้นทุน
ผลตอบแทนจากการผลติ สานักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 (2549) ไดศ้ กึ ษาขอ้ มูลพืน้ ฐานเพอ่ื ใช้ในการ
ประเมินผลโครงการส่งเสริมการแปรรูปข้าวปลอดภัยจังหวัดพิษณุโลกข้าวปลอดภัย เน่ืองจากเห็นว่า
การผลิตข้าวปลอดภัยเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกรในการปรับเปล่ียนการผลิตจากข้าวทั่วไป เพราะ
เป็นการยกระดับสนิ ค้า เพ่ือเพิ่มมูลค่า การศึกษานี้ได้จัดเก็บข้อมูลจากเกษตรกรตัวอยา่ งท่ีเข้าร่วมโครงการ
จานวน 345 ราย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบกับช่วงหลังเข้าร่วมโครงการ โดยศึกษาสภาพ
ทั่วไปของเกษตรกร ภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนเกษตรท้ังทางด้านรายได้ รายจ่าย หนี้สิน เงินออมของ
ครัวเรือนเกษตรกร การใช้ท่ีดิน การกระจายผลผลิต สภาพการผลิต อันได้แก่พฤติกรรมการผลิต สายพันธุ์
ที่นิยมปลกู รวมถึงการวิเคราะห์ตน้ ทนุ การผลิตข้าวในแตล่ ะสายพนั ธุ์ที่พบว่าไม่แตกต่างกนั มากนักหากผลิตใน
รูปแบบเกษตรปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ย ยา และเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ
แต่อาจจะมีความแตกต่างทางด้านราคารับซื้อ โดยภาพรวมข้าวเจ้ามีผลตอบแทนการผลิตสุทธิสูงกว่า
ข้าวเหนียว ถึงแม้ว่าราคารับซ้ือจะต่ากว่า แต่เน่ืองจากมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่า และปริมาณผลผลิต
ต่อไร่สูงกว่าข้าวเหนียว นั่นคือ ต้นทุนการผลิตข้าวเจ้ารวมทุกสายพันธุ์เฉลี่ย 2,775.85 บาท/ไร่
มีปริมาณผลผลิต 736.74 กิโลกรัม/ไร่ ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ย 5.69 บาท/กิโลกรัม ทาให้ได้รับ
ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 1,149.56 บาท/ไร่ หรือ 1.53 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ต้นทุนการผลิตข้าวเหนียว
เฉลี่ย 3,072.41 บาท/ไร่ มีปริมาณผลผลิตเฉล่ีย 586.79 กิโลกรัม/ไร่ ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ย 6.34
บาท/กิโลกรัม ได้ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 647.84 บาท/ไร่ หรือ 1.10 บาท/กิโลกรัม นอกจากน้ีได้ประเมิน
ถึงความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกร ปัญหาท่ีพบด้านการผลิต อาทิ โรค แมลงศัตรูพืช
ระบาด ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ปัญหาทางด้านตลาด และความต้องการของเกษตรกรท่ีมีต่อหน่วยงานภาครัฐ
สาหรบั การศึกษาวิเคราะหต์ ้นทุนและผลตอบแทนการผลติ ในกล่มุ สนิ คา้ ปศสุ ัตว์ พบวา่ สานกั งานเศรษฐกจิ
การเกษตรท่ี 2 (2549) ได้ทาการศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตโคขุนพันธุ์ตาก
เปรียบเทียบกับโคขุนพันธุ์ลูกผสมอ่ืนของเกษตรกรในจังหวัดตาก วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงสภาพการผลิต
การตลาด และวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตโคขุนพันธ์ุตากและโคขุนสายพันธ์ุอ่ืน ๆ
โดยจัดเก็บข้อมูลจากเกษตรกรในแหล่งผลิตโคขุนในท้องที่อาเภอบ้านตาก และอาเภอสามเงา จังหวัดตาก
ซึ่งพบว่า การตลาดโคขุนในจังหวัดตากค่อนข้างแคบอยู่ภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงเท่าน้ัน ราคา
โคขุนมีชีวิตสายเลือดชาร์โรเล่ส์ตั้งแต่ 25% ขึ้นไปท่ีเกษตรกรขายได้สูงกว่าราคาโคขุนมีชีวิตพันธ์ุลูกผสม
พื้นเมือง-บราห์มัน ประมาณ 10 บาท/กิโลกรัม โดยต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตโคขุนพันธ์ุตาก
8
ระยะเวลาการขุน 5 เดือนให้ระดับผลตอบแทนสูงที่สุด มีผลตอบแทนการผลิตสุทธิ 3,910.07 บาท/ตัว
หรือมกี าไร 7.98 บาท/กิโลกรมั สว่ นในชว่ งระยะเวลาการขุน 8 เดือน โคขนุ พันธุล์ ูกผสมพืน้ เมอื ง-ชาร์โรเล่ส์
ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด มีผลตอบแทนสุทธิ 3,089.67 บาท/ตัว หรือมีกาไร 6.18 บาท/กิโลกรัม โดยโคขุน
พันธุ์ลูกผสมพ้ืนเมือง-บราห์มันจะใช้ระยะเวลาในการขุนนานกว่า อาจทาให้ขาดทุนจากการผลิต
แต่เกษตรกรมีต้นทุนท่ไี ม่เปน็ เงนิ สด อนั ไดแ้ ก่ ค่าพันธโ์ุ ค คา่ แรงงาน และค่าอาหารหยาบทาใหผ้ ลตอบแทน
ที่เกษตรกรได้รับจริงมากกว่าท่ีคานวณได้ ปัญหาทางด้านการผลิต พบว่า เกษตรกรขาดแคลนโคพันธ์ุดี
ท่ีจะนามาผลิตลูกโคขุน ตลอดจนขาดแคลนเงินทุนเพื่อใช้จ่ายในการผลิต ส่วนด้านการตลาด พบว่า
มีความแตกต่างทางด้านราคาน้อยระหว่างโคขุนกับโคเนื้อทั่วไป ส่วนปัญหาที่พบจากการศึกษา คือ อายุ
โคก่อนเข้าขุน และระยะเวลาสิ้นสุดการขุนที่แตกต่างกัน ทาให้ยากในการเปรียบเทียบต้นทุน
และผลตอบแทน อีกทั้งขาดแคลนข้อมูลต่าง ๆ ที่สาคัญเก่ียวกับโคขุน ทาให้ไม่สามารถวางแผนการผลิต
และแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ได้
สาหรับการศึกษาด้านการตลาด สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยสานักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี
1-12 (2563) ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ 6 กลุ่มชนิดสินค้า
สาคัญที่ มปี ริมาณการผลิตอยา่ งแพร่หลายในพนื้ ท่ีทว่ั ประเทศในปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ ข้าว ถัว่ เหลือง พืชผกั ผลไม้
ปศสุ ตั ว์ และประมง โดยอาศัยข้อมลู หลายประเดน็ ท่ีเกี่ยวข้องกบั ระบบตลาดสนิ ค้าเกษตรอินทรยี ์ อันได้แก่
ข้อมูลสภาพการตลาดในด้านต่าง ๆ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติอย่างง่าย และข้อมูลด้านทัศนคติและ
ความคิดเห็นของผู้มีส่วนเก่ียวข้องในระบบตลาด อาทิ การดาเนินนโยบายด้านเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐ
ผลการดาเนินงานของตลาด โดยใช้ Likert Scale ให้ค่าคะแนนท่ีสะท้อนถึงระดับความสาคัญของข้อมูลใน
แต่ละประเด็นแล้วนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วย SWOT และ TOWS Matrix พิจารณาครอบคลุมถึง
สภาพแวดล้อมภายใน และสภาพแวดล้อมภายนอกทางด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผู้ที่มีส่วน
เก่ียวข้องในระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยจานวน 6,276 ราย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการค้า
กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรท่ีเก่ียวข้องกับการจาหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งในและต่างประเทศ เกษตรกร
ผู้ผลิต ผู้จัดการตลาด ตลอดจนผู้บริโภคทั้งที่เคย และไม่เคยบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ เจ้าหน้าท่ีหน่วยงาน
ภาครัฐและภาคีเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้องกับระบบตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ท้ังนี้ เพ่ือให้เกษตรกร สถาบัน
เกษตรกร ผู้ประกอบการภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม หรือผู้ที่สนใจใช้เป็นข้อมูลประกอบการ
พจิ ารณาตัดสินใจผลติ และลงทนุ ด้านการตลาด หนว่ ยงานภาครฐั ที่เก่ียวขอ้ งนาไปใช้เปน็ ข้อมลู ประกอบการ
จัดทาแนวทางการส่งเสริมการผลิตการตลาดตลอดห่วงโซ่อุปทาน การจัดทาแผนงาน/โครงการท่ีเกี่ยวข้อง
เพ่ือขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ให้บรรลุผลนาไปสู่การพัฒนาท่ีย่ังยืน รวมทั้งเป็นข้อเสนอแนะ
ที่ผู้บริหารระดับสูงสามารถนาไปประกอบการพิจารณากาหนดนโยบาย มาตรการ แผนงานโครงการ
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งต่อไป
9
2.2 แนวคิดทฤษฎี
2.2.1 ทฤษฎีตน้ ทุนการผลติ
ตน้ ทุนการผลติ (Cost) หมายถงึ มูลคา่ ของทรพั ยากรท่สี ูญเสยี ไปเพ่ือให้ไดส้ นิ ค้าหรือบรกิ ารโดย
การวิเคราะห์ต้นทุนสามารถแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ต้นทุนทางบัญชี (ต้นทุนท่ีเป็นเงินสด) และต้นทุนทาง
เศรษฐศาสตร์ (ต้นทุนท่ีเป็นเงินสด และต้นทุนท่ีไม่เป็นเงินสด) กล่าวคือ ต้นทุนทางบัญชีนั้นจะสามารถวัด
ค่าใช้จ่ายที่เสียไปเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียวหรือเรียกได้ว่าเป็นต้นทุนท่ีเห็นแจ้งชัด (Explicit Cost)
แต่สาหรับต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Cost) นั้น จะรวมไปถึงค่าใช้จ่ายท่ีเสียไปทั้งท่ีสามารถวัด
เป็นตัวเงินได้และวัดเป็นตัวเงินไม่ได้ น่ันก็คือต้นทุนท่ีเห็นแจ้งชัด (Explicit Cost) และต้นทุนไม่แจ้งชัด
(Implicit Cost) ในทางเศรษฐศาสตร์จะเรียกต้นทุนท่ีมองไม่เห็นอีกอย่างหนึ่งว่า “ต้นทุนค่าเสียโอกาส”
(Opportunity Cost) และจะเป็นต้นทุนอีกตัวหนึ่งท่ีต้องมีการประเมิน ดังน้ันจะเห็นได้ว่าต้นทุนทาง
เศรษฐศาสตรป์ ระกอบดว้ ยต้นทุนแจ้งชัดกับต้นทุนไม่แจ้งชดั รวมกนั ต้นทนุ ทางบัญชีจะมีคา่ น้อยกวา่ ต้นทุน
ทางเศรษฐศาสตร์ และมีผลทาให้กาไรทางบัญชีมีค่าสูงกว่ากาไรทางเศรษฐศาสตร์ (นราทิพย์ ชุติวงศ์,
2547) ซ่ึงองค์ประกอบต้นทุนการผลิต แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ต้นทุนผันแปรรวม และต้นทุนคงที่รวม
(อรวรรณ ศรโี สมพนั ธ์, 2557)
1) ต้นทุนผันแปรรวม (Total Variable Cost : TVC) หมายถึง ต้นทุนการผลิตท่ีเปลี่ยนแปลง
ไปตามปริมาณของผลผลิตซ่ึงเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใชป้ ัจจัยผันแปรในการผลิต คือเป็นปัจจัยการผลติ
ท่ีผูผ้ ลติ สามารถเปล่ียนแปลงปรมิ าณการใชไ้ ดใ้ นช่วงเวลาการผลิตหนง่ึ ๆ ซงึ่ คา่ ใชจ้ ่ายสว่ นนี้จะเปล่ยี นแปลง
ไปตามปริมาณการผลติ ถ้ามกี ารผลิตผลผลติ จานวนมากต้นทนุ ประเภทนจ้ี ะสงู แตถ่ า้ มกี ารผลิตจานวนน้อย
ตน้ ทุนส่วนนีจ้ ะตา่ โดยต้นทนุ การผลติ ผนั แปรส่วนใหญจ่ ะเป็นค่าใช้จ่ายเก่ยี วกบั ปจั จัยการผลิตทางตรง เช่น
ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับเมล็ดพันธ์ุ สารเคมีป้องกันกาจัดศัตรูพืช และน้ามันเช้ือเพลิง เป็นต้น โดยการวิเคราะห์
ตน้ ทุนผนั แปรสามารถแบ่งเปน็ 2 ชนิด คือ ต้นทนุ ผันแปรท่เี ปน็ เงินสด และต้นทนุ ผนั แปรทไ่ี ม่เป็นเงนิ สด
1.1) ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด หมายถึง ค่าใช้จ่ายผันแปรที่ผู้ผลิตจ่ายออกไปจริงเป็นเงิน
สดในการซ้ือหรือเช่าปัจจัยการผลิตผันแปร เช่น ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับวัสดุทางตรงท่ีใช้เกี่ยวกับการผลิต
(ค่าพันธขุ์ า้ ว คา่ ปยุ๋ เคมี คา่ สารเคมี คา่ น้ามันเช้อื เพลงิ ) ค่าจ้างเกี่ยวกบั แรงงานหรือค่าเช่าเครื่องจักร (เตรยี ม
ดิน เก็บเกี่ยว ดูแลรักษา ค่าอาหารสาหรับแรงงาน) ค่าวัสดุอื่น ๆ (รองเท้ายาง ถุงมือ และหน้ากากป้องกัน
สารเคม)ี คา่ ใชจ้ ่ายอืน่ ๆ (ค่าซ่อมบารุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าโสห้ยุ ) เปน็ ตน้ บางครง้ั ค่าใชจ้ ่ายเหล่านั้น
อาจจะอยู่ในรูปของเงินเชื่อในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ต้องชาระให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีหรือหน่ึงฤดู
การผลติ ซ่ึงในกรณีนี้ การคานวณตน้ ทุนจะคานวณเป็นต้นทนุ แปรท่ีเปน็ เงนิ สด
1.2) ต้นทุนผันแปรที่ไม่เป็นผลผลิต หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิตไม่ได้จ่ายออกไปจริงเป็นเงิน
สดในการใช้ปัจจัยการผลิตผันแปรน้ัน ๆ ซ่ึงเป็นค่าปัจจัยการผลิตการผลิตต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็นของผู้ผลิตเอง
เช่น ค่าเสียโอกาสของแรงงานเจ้าของฟาร์ม ค่าแรงงานในครัวเรือนหรือแรงงานแลกเปลี่ยน ค่าเสียโอกาส
เงินลงทุนของเจ้าของฟาร์มที่นามาจ่ายในการผลิต ค่าเสียโอกาสของปัจจัยการผลิตท่ีฟาร์มผลิตข้ึนเอง
10
ค่าพนั ธ์ุขา้ ว ปุ๋ยชวี ภาพ ปุ๋)ยคอก ปยุ๋ พชื สดและค่าเสยี หายอนั เนือ่ งมาจากการเนา่ เสียของผลผลติ เป็นต้น (
2) ต้นทุนคงที่รวม (Total Fixed Cost : TFC) หมายถึง ต้นทุนการผลิตที่ไม่เปลี่ยนแปลงไป
ตามปริมาณของผลผลิต ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายท่ีเกิดขึ้นจากการใช้ปัจจัยคงที่ในการผลิต หรือไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงปริมาณการใชไ้ ด้ในชว่ งระยะเวลาของการผลิต ไม่ว่าจะผลิตให้ได้ผลผลิตเป็นปริมาณมากนอ้ ย
เท่าใด ก็ตามผู้ผลิตต้องเสียต้นทุนในจานวนเท่าเดิม ปัจจัยคงท่ี ได้แก่ ท่ีดิน ทรัพย์สินคงที่ต่าง ๆ เช่น
รถแทรกเตอร์ เครือ่ งสบู นา้ โรงเรอื น เปน็ ตน้ ต้นทุนคงทจี่ ดั เป็นค่าใชจ้ า่ ยที่มีอย่แู ลว้ ในฟาร์มแมว้ ่าปัจจัยคงที่
ดงั กล่าวจะไมถ่ ูกใชใ้ นช่วงเวลาของการผลติ นัน้ ๆ
กรณไี ม้ผลไม้ยนื ต้น จาเปน็ ตอ้ งคานวณต้นทุนก่อนให้ผลผลิต คดิ ในโครงสร้างต้นทนุ ไม้ผลไม้
ยืนต้นเป็นต้นทุน ก่อนให้ผลเฉลี่ยต่อไร่ ที่คานวณจากค่าใช้จ่ายที่เกิดข้ึนท้ังหมดตั้งแต่ปีแรก ถึงปีก่อนให้
ผลผลิต และนาไปปรับลดมูลค่าด้วยวิธี Discount Factor : DF แล้วนาไปกระจายเป็นค่าใช้จ่ายต่อปี
ในทุกช่วงอายุที่ให้ผลผลิต ด้วย วิธี Cost Recovery Factor : CRF หรือคือ (ต้นทุนรวมต่อไร่ ปีที่ 1 +
ผลรวม ต้นทุนรวมตอ่ ไร่ ปที ี่ 2 ถงึ ปกี อ่ นเกบ็ เก่ียว) * DF * CRF
ทั้งน้ีต้นทุนคงท่ีสามารถแบ่งต้นทุนคงท่ีเป็น 2 ชนิด คือ ต้นทุนการผลิตคงที่ที่เป็นเงินสด
และตน้ ทุนการผลติ คงทท่ี ่ีไมเ่ ป็นเงนิ สด
2.1) ตน้ ทนุ การผลิตคงทีท่ ีเ่ ป็นเงนิ สด หมายถงึ ค่าใชจ้ า่ ยทผี่ ูผ้ ลิตจะต้องจ่ายในรปู ของเงนิ สด
เกี่ยวกับปัจจัยการผลิตคงท่ี เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว ค่าภาษีที่ดิน ค่าประกันภัยของ
ฟาร์ม คา่ ภาษโี รงเรือน คา่ ค้นควา้ วิจัยผลผลิต ค่าสง่ เสรมิ การขาย ค่าเงินเดือนของฝา่ ยบรหิ ารฟาร์ม เปน็ ต้น
2.2) ต้นทุนการผลิตคงที่ท่ีไม่เป็นเงินสด หมายถึง ค่าใช้จ่ายจานวนคงท่ีท่ีผู้ผลิตไม่ได้จ่าย
ออกไปจริงในรูปของเงินสดหรือเป็นค่าใช้จ่ายท่ีประเมินจากค่าเสียโอกาสของปัจจัยการผลิตคงท่ีในแต่ละ
ฤดูการผลิต เช่น ค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์การเกษตรที่มีอายุการใช้งาน ค่าเสื่อมราคาของ
โรงเรือนหรือที่เก็บผลผลิตของฟาร์ม และค่าใช้ที่ดินกรณีเป็นที่ดินของตนเองแต่ประเมินตามอัตราค่าเช่า
ทีด่ นิ ในทอ้ งถ่ินนั้น เปน็ ต้น
3) ต้นทุนท้ังหมด (Total Cost : TC) หมายถึง ต้นทุนซึ่งเป็นผลรวมของต้นทุนผันแปรและ
ตน้ ทนุ คงทท่ี ้ังหมด การคานวณหาตน้ ทนุ ท้งั หมดนิยมคานวณออกมาในรูปตน้ ทนุ การผลติ ต่อหน่วย
ตน้ ทุนทัง้ หมด = ตน้ ทนุ ผนั แปร + ตน้ ทนุ คงที่
TC = TFC + TVC
ต้นทุนท้ังหมด = (ต้นทุนผนั แปรท่เี ปน็ เงินสด + ตน้ ทุนผนั แปรท่ีไมเ่ ปน็ เงินสด)
+ (ตน้ ทุนคงท่ีทเี่ ป็นเงนิ สด)
11
2.2.2 แนวคิดผลตอบแทนการผลติ
ผลตอบแทนการผลิต (Revenue) คือ ผลประโยชน์ที่ได้รับจากผลผลิตท่ีทาการผลิตหรือ
สว่ นตา่ งของรายได้รวมจากการขายผลผลติ กับต้นทุนการผลติ ทัง้ หมด
ผลผลิต หมายถึง จานวนผลผลิตท้ังหมดท่ีผ้ผู ลติ ผลติ ไดต้ อ่ หนึ่งรอบการผลิต
ผลผลิตต่อไร่ หมายถึง จานวนผลผลติ ทั้งหมดที่ผู้ผลิตผลิตได้ตอ่ หน่ึงรอบการผลิตคิดต่อพ้ืนที่ผลติ
ราคาของผลผลิต หมายถึง ราคาทผี่ ผู้ ลติ รายไดห้ รอื ไดร้ ับจากการขายผลผลิตทฟี่ ารม์
รายได้ หมายถึง รายได้ท้ังหมดท่ีผู้ผลติ ได้รับจากการผลติ ต่อหน่ึงรอบการผลิตซ่ึงเท่ากับจานวน
ผลผลิตทัง้ หมดคนู ดว้ ยราคาของผลผลิตตอ่ หนว่ ยทเี่ กษตรกรขายได้
รายได้ต่อไร่ หมายถึง รายได้ท้ังหมดของผู้ผลิตที่ได้รับจากการผลิตต่อหน่ึงรอบการผลิตโดยคิด
เฉลี่ยตอ่ พน้ื ทีผ่ ลิตหนงึ่ ไร่
ผลตอบแทนสทุ ธิ (Net Return) หมายถงึ รายได้ทัง้ หมดลบด้วยตน้ ทุนท้งั หมด
ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท่ีเป็นเงินสด หมายถึง ผลต่างระหว่างรายได้ทั้งหมดกับต้นทุนทั้งหมด
ท่ีเป็นเงนิ สด
2.2.3 แนวคิดบัญชีสมดลุ (balance sheet)
บัญชีสมดุลสินค้าเกษตร มีองค์ประกอบ 2 ด้านคือ ด้านผลผลิต (Production) และด้าน
การนาไปใชป้ ระโยชน์ (Utilization)
ผลผลติ รวมของจงั หวัด = การนาไปใชป้ ระโยชน์
ผลผลติ รวมของจงั หวดั
• ปริมาณผลผลติ ของจงั หวดั ในชว่ ง 12 เดอื น หรือ 1 ปี
• ปริมาณนาเข้าจากจงั หวัดอื่น/ตา่ งประเทศในชว่ ง 12 เดือน หรือ 1 ปี
ผลผลติ รวมของจงั หวดั = ปริมาณการผลิต + การนาเข้าสินค้า
การใชป้ ระโยชน์
• การใชภ้ ายในจงั หวัด เชน่ บริโภค เลย้ี งสัตว์ แปรรูป ในชว่ ง 12 เดือน
• การส่งออกไปจังหวัดอื่นและตา่ งประเทศในชว่ ง 12 เดอื น
การนาไปใชป้ ระโยชน์ = การใช้ภายในประเทศ + การสง่ ออกสินค้า
2.2.4 การศึกษาลักษณะของระบบตลาด (Marketing System Approach) เป็นการวิเคราะห์
เพื่อดูลักษณะความสัมพันธ์ของการดาเนินธุรกิจต่าง ๆ ในการตลาด ระหว่างผู้ผลิต ผู้จาหน่าย
ผูป้ ระกอบการ และผู้บริโภค ของสินค้าหลกั และสินค้าทางเลอื ก จาแนกออกเป็น 3 สว่ น ดังน้ี
1) โครงสร้างการตลาด (Structure) เป็นการพิจารณาถึงการวิเคราะห์ส่วนประกอบของ
การตลาด ประกอบด้วย ผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง พ่อค้าส่ง–ปลีก ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคว่า
มีความสัมพันธ์อย่างไร โดยการพิจารณาในหลายด้าน อาทิ ความแตกต่างของสินค้าสามารถตอบสนอง
ความต้องการของผู้บริโภคได้แค่ไหน ใครเป็นผู้นาตลาด มีจานวนและขนาดธุรกิจ ลักษณะการแข่งขันของ
12
ตลาด สภาพวิถีการตลาดเป็นอย่างไร มีส่วนแบ่งการตลาดระดับการผูกขาดที่กระทบต่อผู้ประกอบการ
รายใหม่ทีจ่ ะเข้าสธู่ รุ กิจหรอื การออกจากธรุ กจิ มากน้อยเพียงใด
2) ระบบพฤติกรรมการตลาด (Behavioral System) พิจารณาบุคคลท่ีทาหน้าที่ในการ
ตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ในตลาดว่ามีระบบพฤติกรรมแบบใด โดยพฤติกรรมของบุคคลในระบบตลาดจะ
แสดงออกในลักษณะการตัดสินใจด้านต่าง ๆ อาทิ การกาหนดราคา ขนาดของธุรกิจ การกาหนดนโยบาย
การผลิต และกลยุทธ์การสง่ เสรมิ การขาย จาแนกได้ 4 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1) ระบบปัจจยั ผลผลิต คอื พฤติกรรมชอบตดั สินใจบนพ้ืนฐานของปัจจยั ทห่ี ายากแต่ให้ได้
ผลผลิตที่นา่ พอใจมีการใชเ้ ทคโนโลยีใหม่ ๆ มาชว่ ยลดตน้ ทุนด้านการตลาด
2.2) ระบบอานาจ คือ พฤติกรรมชอบการแข่งขันเพื่อเอาชนะธุรกิจอื่น ๆ เพื่อสร้างอานาจ
ผกู ขาดให้ตนเอง
2.3) ระบบข่าวสารธุรกิจ คือ พฤติกรรมท่ีบุคคลในระบบตลาดมีความรวดเร็วด้านข้อมูล
ข่าวสารการตลาด จะนยิ มทาการทดสอบประกอบการตดั สนิ ใจ
2.4) ระบบการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงท้ังภายนอกและภายใน คือ พฤติกรรม ท่ีบุคคล
ในระบบตลาดมกี ารตัดสินใจทฉี่ ับไวพรอ้ มปรบั ตัวต่อการเปล่ียนแปลงของการตลาดเพอื่ การแข่งขนั
3) ผลการดาเนินงานของตลาด (Performance) เป็นการวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงระบบ
ตลาดท่ีมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด สามารถศึกษาได้หลายวิธี อาทิ การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม
การขาย การวิเคราะห์ด้านตัวสินค้า (การวิเคราะห์ถึงระบบหรือรูปแบบการส่งเสริมการขายว่าตรงกับ
ความต้องการของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด แสดงถึงการประสบความสาเร็จในการดาเนินธุรกิจ )
การวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีการผลิตและการตลาด (การวิเคราะห์ถึงความสามารถในการลดต้นทุน
การตลาดโดยนาเทคโนโลยีเพื่อการผลิต การตลาดที่มีประสทิ ธิภาพมาประยุกต์ใช้ ให้บริการการตลาดดีข้ึน
แสดงถึงการประสบความสาเร็จในการดาเนินธุรกิจ) การวิเคราะห์ด้านผลกาไรและต้นทุนการตลาดของ
หน่วยธุรกิจ (การวิเคราะห์ถึงอัตราผลกาไร ความคุ้มค่าในการลงทุนด้านการตลาด ที่จะส่งผลต่อการสร้าง
แรงจูงใจในการขยายธุรกิจซ่ึงจะเป็นผลดีต่อระบบตลาด)
2.2.5 แนวคดิ ด้านการวัดทัศนคตขิ องมนุษย์
ทัศนคติ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึงทั้งท่ีเก่ียวกับบุคคล ส่ิงของ และ
สภาพการณ์ เมือ่ เกดิ ความรู้สกึ นัน้ แล้วจะมีการเตรียมพร้อมเพ่ือสรา้ งปฏกิ ิรยิ าตอบโต้ไปในทศิ ทางใดทิศทาง
หน่งึ ตามความรสู้ ึกของตนเอง การศึกษาทัศนคติของบคุ คลสามารถทาได้โดยดูจากการแสดงพฤติกรรมของ
ผู้น้ันโดยใช้วิธีการสังเกต สอบถาม สัมภาษณ์ และทดสอบ นักจิตวิทยามีความเห็นว่าทัศนคติเป็นพื้นฐาน
อย่างหนึ่งในการกาหนดพฤติกรรมของมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าทัศนคติเป็นพ้ืนฐานท่ีแท้จริงในการแสดง
พฤติกรรมของแต่ละบุคคล และสามารถจาแนกทัศนคติออกเป็น 2 ประเภท คือ ทัศนคติทางบวก
คือ ความรู้สึกที่ดี ที่ชอบ ที่อยากมีความสัมพันธ์กับส่ิงใดส่ิงหน่ึง และทัศนคติทางลบ คือ ความรู้สึกที่ไม่ดี
13
ไม่ชอบ ไม่อยากมีความสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดทัศนคติ ได้แก่ ประสบการณ์ต่าง ๆ
ในอดีตท่ีถูกหล่อหลอมมาจากความเชือ่ ของแต่ละคน และการรบั ทัศนคติของผูอ้ ่ืนมาเป็นของตน
2.2.6 กรอบแนวคดิ การบรหิ ารจดั การพน้ื ทเี่ กษตรกรรมโดยใช้แผนท่ี Agri-Map (Zoning by
Agri-Map)
กรอบแนวคิดดังกล่าวมุ่งเน้นการวางแผนภาคการเกษตรอย่างย่ังยืน โดยกาหนดยุทธศาสตร์ที่
สาคญั คือ เพิม่ ประสิทธิภาพการผลิต ลดตน้ ทุน และเพ่มิ ขีดความสามารถในการแข่งขันดว้ ยการยกระดับ
มาตรฐานสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการผลิตสินค้าให้มี
ความสมดุระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเกิดจากการผสานของแนวคิด Zoning และห่วงโซ่คุณค่า (Value
Chain) ดงั น้ี
1) แนวคิด zoning = area + commodity + Human resource
แ น ว คิ ด zoning = area + commodity + Human resource มี ส า ร ะ ส า คั ญ คื อ
การขับเคลื่อนนโยบายการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (zoning) ในพ้ืนท่ีหนึ่งให้ประสบความสาเร็จ
ต้องอาศัยความพร้อมของปัจจัยหลัก 3 ด้านในการขับเคล่ือน ประกอบด้วย การบริหารจัดการพ้ืนที่และ
ทรัพยากรที่เหมาะสม ผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของตลาด รวมทั้งการมีบุคลากรด้านการเกษตร
ทัง้ เกษตรกรและเจ้าหน้าท่ที ี่จะทาหน้าทีบ่ ริหารจัดการการผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่าได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าข้อมูลข้อเท็จจริงเก่ียวกับปัจจัยทั้ง 3 ด้านท่ีเกิดข้ึนในพ้ืนท่ีต่าง ๆ น้ัน
มีความแตกต่างกัน โดยในบางพ้ืนท่ีมีความพร้อมสาหรับการพัฒนา เช่น พ้ืนที่มีความเหมาะสมและ
โครงสร้างพ้ืนฐานเอื้ออานวยสินค้าหลักในพ้ืนที่มีราคาดีมีตลาดรองรับ มีบุคลากรทั้ง Smart Farmer และ
Smart Officer ที่มีความพร้อมในการบริหารจัดการการผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่าของสินค้า
เกษตรต่าง ๆ ในพ้ืนที่นั้น เป็นต้น แต่ในบางพ้ืนที่อยู่ในเขตยังขาดความพร้อมในบางเรื่อง หรือมีปัญหาท่ี
ต้องเร่งแก้ไขก่อน การพัฒนาในแต่ละพื้นท่ีจึงไม่สามารถใช้รูปแบบ วิธีการเหมือนกันได้ หน่วยงานในพื้นที่
และคณะกรรมการระดับจังหวัดจะต้องกาหนดมาตรการ โครงการและกิจกรรมในการพัฒนาที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย พ้ืนที่และสินค้าโดยคานึงถึงข้อมูลข้อเท็จจริงจากปัจจัยท้ัง 3 ด้าน
ทด่ี าเนินการสารวจ รวบรวม ตรวจสอบข้อมลู ตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วข้องมาแล้วเป็นสาคัญ
สาหรับชนิดของข้อมูลที่เป็นองค์ประกอบสาคัญในปัจจัยหลักทั้ง 3 ด้าน ได้ประมวลไว้
เป็นตัวอย่างตามภาพท่ี 3 ซึ่งหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและจังหวัดจาเป็นต้องทราบเพ่ือนามาพิจารณา
กาหนดแนวทางการพัฒนาหรือตัดสนิ ใจในการแนะนาและสง่ เสรมิ แกเ่ กษตรกรอยา่ งเหมาะสม พจิ ารณาได้จาก
ภาพท่ี 2.1
14
ภาพที่ 2.1 ขอ้ มูลและปจั จัยทีค่ วรพิจารณาในกรอบแนวคิด
Zoning = Area + Commodity + Human Resource
การให้ได้มาของข้อมูลที่สาคัญดังกลา่ ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขอความร่วมมือให้
หน่วยงานในและนอกสังกัดกระทรวง โดยเฉพาะหน่วยงานในระดับจังหวัดดาเนินการสารวจ รวบรวม
ตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องจากในพื้นที่มาเป็นระยะ ซ่ึงการบริหารจัดการข้อมูลดังกล่าว
มีความสาคัญและส่งผลต่อความสาเร็จในการขับเคลื่อนนโยบาย Zoning เป็นอย่างมาก ซ่ึงข้อมูลต่าง ๆ
เหล่านี้จะเป็นปัจจัยในการพิจารณากาหนดมาตรการ โครงการ กิจกรรม เพ่ือพัฒนาการเกษตรให้ตรงตาม
ศักยภาพและเหมาะสมกับพื้นท่ี ให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาตามกรอบแนวคิด Zoning = Area +
Commodity + Human Resource ซึ่งต้องมีการบูรณาการนโยบายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะ
การพิจารณาความเช่ือมโยงของกรณีที่พบจากข้อมูล/ข้อเท็จจริงพื้นท่ีและข้อมูลจากส่วนกลาง ท้ังด้านพ้ืนที่
และทรัพยากร (Area & Resource) ด้านสินค้า (Commodity) และด้านทรัพยากรบุคลากร (Human
Resource: Smart Farmer & Smart officer) โดยจับคู่กรณีต่าง ๆ แล้วกาหนด โครงการ/กิจกรรม
แนวทางการตอบสนองต่อกรณี รวมทั้งช่วงเวลาในการดาเนินการทเี่ หมาะสม
ดังตัวอย่างการขับเคล่ือนนโยบายตามกรอบแนวคิด Zoning = Area + Commodity +
Human Resource (ภาพที่ 1) กล่าวคือ การบริหารจัดการพ้ืนท่ีเกษตรกรรม (Zoning) เป็นการใช้
ประโยชน์ที่ดินของประเทศให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องอาศัยปัจจัยหลักทั้ง 3 ด้าน ท้ัง
ด้านพืน้ ท่ีและทรัพยากร (Area & Resource) ด้านสนิ ค้า (Commodity) และด้านคน (Human Resource:
Smart Farmer & Smart officer) ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้ประสบความสาเร็จ โดยดาเนินการ
ขับเคลื่อนบูรณาการนโยบายต่าง ๆ ประกอบด้วย โครงการ One ID Card for Smart Farmer
15
เพื่อตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรและบริการ e-services ด้านต่าง ๆ ของกระทรวง การสารวจ คัดกรอง
เกษตรกรและแบ่งเกษตรกรออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย Smart Farmer ต้นแบบ Existing Smart
Farmer และ Developing Smart Farmer ว่าในพ้ืนที่มีแต่ละกลุ่มเท่าไร และนโยบาย Zoning
เป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญในการพิจารณาความเหมาะสมของการผลิตสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ ในพื้นท่ี รวมทั้ง
นโยบาย Commodity เพ่ือเป็นข้อพิจารณาในการกาหนดปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ ในพื้นท่ี
เช่นกัน หลังจากนั้นนาข้อมูลทั้งหมดนาเสนอในรูปแบบแผนท่ีและเจ้าหน้าท่ีของกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ในพ้ืนที่ ไปดาเนินการ สาหรับตัวอย่างท่ีได้นาเสนอ คือ พื้นที่ ต.บ้านพริก อ.บ้านนา จ. นครนายก
จากข้อมูลพื้นที่เขตความเหมาะสมในการปลูกข้าว พบว่าตาบลน้ีอยู่ในเขตช้ันความเหมาะสมปานกลางและ
เหมาะสมนอ้ ย เมอื่ นาขอ้ มลู เกษตรกรแตล่ ะรายลงแผนที่กท็ ราบได้ว่าเกษตรกรแต่ละรายลงแผนทีก่ ็ทราบได้
ว่าเกษตรกรที่ยงั เป็น Developing Smart Farmer เนื่องจากสาเหตใุ ด เชน่ ปลูกพชื ในพื้นท่ีไมเ่ หมาะสม มี
กระบานการผลิตที่ไม่ดี ทาให้สามารถกาหนดโครงการและกิจกรรมเพื่อพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรราย
นั้นๆ ได้ตรงตามความต้องการ รวมทั้งการดาเนินงานและการติดต่อประสานงานของ Smart Officer ท่ีมี
ความรู้ความเช่ียวชาญในพ้ืนท่ีและองค์ความรู้ทางด้านการเกษตรสาขาต่าง ๆ ของกรมเป็นผู้ให้คาแนะนา
และประสานงานกับทุกภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้องภายในพื้นท่ีท้ังภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้ระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารในการช่วยเหลือ ให้คาปรึกษากับเกษตรกรในพ้ืนท่ี รวมทั้งการเรียนรู้และ
ถ่ายทอดบทเรียนซึ่งกันและกันระหว่าง Smart farmer ต้นแบบกับเกษตรกรรายอื่น ๆ ซ่ึงจะนาไปสู่การ
พัฒนาเกษตรกรพน้ื ท่ี และสินคา้ ได้อยา่ งเหมาะสม และสามารถบรหิ ารจดั การการผลติ ทางการเกษตรตลอด
ห่วงโซ่คุณค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การตลาดเป็นตัวชี้นาในการส่งเสริมการผลิต ซึ่งตั้งเป้าหมายว่า
ผลิตออกมาแลว้ ตอ้ งขายไดใ้ นราคาทเี่ กษตรกรอยไู่ ด้
2) แนวคดิ หว่ งโซค่ ณุ ค่า (value chain) การผลิตสนิ ค้าเกษตร
ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) การผลิตสินค้าเกษตร เป็นอีกหลักการหนึ่งที่ที่ผู้ร่วม
ดาเนินการจากทุกภาคสว่ น ทัง้ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรในพ้นื ที่ควรทาความเข้าใจให้ตรงกัน
เนื่องจากภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตรมีกระบวนการและข้ันตอนรวมท้ังผู้ท่ีเกี่ยวข้องอยู่เป็น
จานวนมาก และการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรให้มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลต่อทรัพยากรให้มาก
ทีส่ ุดต้องมกี ารดาเนินการอยา่ งสอดคล้องกนั ตั้งแตต่ น้ นา้ จนถึงปลายน้า พจิ ารณาได้จากภาพท่ี 2
16
ภาพที่ 2.2 กรอบแนวคิดห่วงโซ่คุณค่า (value chain) การผลติ สนิ ค้าเกษตร
จากภาพท่ี 2.2 กรอบแนวคิดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) การผลิตสินค้าเกษตร
อุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน โดยท่ัวไปทิศทางของสินค้าเกษตรจะเคล่ือนจากต้นน้าสู่ปลายน้า โดย
ต้นน้า จะเป็นด้านการผลิตจากการจดั หาปัจจัยการผลติ เพ่ือทาการผลิต การปลูกเล้ียงจนไดผ้ ลผลติ ออกมา
ส่งต่อไปท่ี กลางน้า เป็นส่วนของการแปรรูปซ่ึงต้องจัดหาวัตถุดิบ ตามความต้องการป้อนสู่กระบวนการ
แปรรูปให้เป็นสนิ ค้าแต่ละชนดิ เพื่อเข้าสู่กลไก ปลายน้า ซ่ึงเป็นกระบวนการด้านการตลาดสผู่ ู้บริโภคทง้ั ใน
และตา่ งประเทศ
สาหรบั ทิศทางของผลตอบแทนจะเปน็ ในทศิ ทางตรงข้าม กล่าวคอื ผบู้ รโิ ภคจะเป็นต้นทาง
ของผลตอบแทนให้กับผู้ท่ีเก่ียวข้องในห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตรชนิดน้ันๆ โดยจ่ายผลตอบแทน
ให้กับพ่อค้า/นักธุรกิจที่เป็นผู้นาเสนอสินค้าและบริการที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค โดยพ่อค้า/
นักธุรกิจ จะเลือกซ้ือสินค้าท่ีมีคุณภาพ/มาตรฐานจากแหล่งแปรรูปซึ่งอยู่กลางน้า ตามปริมาณท่ีผู้บริโภค
ต้องการซ่ึงเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งหากมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นแหล่งแปรรูปก็จะซ้ือผลผลิตทางการเกษตร
ซึง่ เป็นวัตถดุ บิ ในการแปรรูปมากข้นึ ให้เกษตรกรสามารถขายผลผลติ ทางการเกษตรได้เพิม่ ขน้ึ
ทั้งน้ี ปัจจัยสาคัญในการบริหารจัดการให้ห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสนิ ค้าเกษตรแต่ละชนิดให้
มีประสิทธิภาพ คือ การสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตรแต่ละชนิดในตลาดต้ังแต่
ต้นน้าถึงปลายน้า ในสภาพปัจจุบันประเทศไทยยังประสบปัญหาการผลิตที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการ
ของตลาดในสินค้าเกษตรหลาย ๆ ชนิด ซึ่งเป็นปัญหาสาคัญที่สร้างความสูญเสยี โอกาสในการพัฒนาต่าง ๆ
สง่ ผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาทางเศรษฐกจิ และสังคมตามมาใน
หลายกรณี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซ่ึงเป็นหนว่ ยงานรับผิดชอบในการขับเคล่ือนการผลิตสนิ ค้าเกษตร
17
ส่วนต้นน้าเป็นหลักและสนับสนุนการขับเคล่ือนส่วนกลางน้าและปลายน้าให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ต้องทา
ความเข้าใจโจทย์สาคัญท่ีต้องเร่งดาเนินการทั้งในส่วนต้นน้า กลางน้า และปลายน้า โดยในเบ้ืองต้นสามารถ
สรุปไดจ้ ากภาพท่ี 2.3
โจทยส์ าคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
มีข้อมูลเชิงพื้นท่ี ทั้งปัจจัยการผลิต รู้ข้อมูลความต้องการผลผลิตเกษตรแต่ละ มีช่องทางหรือวิธีการที่ จะรู้ข้อมูล
เกษตรกรที่ชัดเจน เพียงพอหรือไม่ ชนิดที่ใชเ้ ป็นวัตถุดิบของหน่อยธุรกิจ/โรงงาน ปริมาณและคุณภาพสินค้า ข้อมูลแนวโน้ม
แปรรปู ทงั้ ในเชงิ ปริมาณและคุณภาพหรือไม่ ความต้องการสินค้าท่ีมีอยู่ในตลาดหรือไม่
มี ข้อมู ล กา รผลิต และผลผลิตท้ัง อยา่ งไร
ปริมาณและคุณภาพสินค้าการเกษตรที่ ศักยภาพของสหกรณ์/วสิ าหกจิ /กลุม่
ชดั เจนเพยี งพอหรอื ไม่ เกษตรกรในการแปรรปู สนิ ค้าและการสร้าง มีช่องทางหรือวธิ กี ารท่จี ะรขู้ ้อมลู ความ
มลู ค่าเพ่มิ เป็นอยา่ งไร ตอ้ งการสินคา้ ท่ผี ลติ จากผลผลิตทาง
มีช่องทางและข้อมูลข่าวสาร องค์ การเกษตรทงั้ เชิงปรมิ าณและคุณภาพ
ค ว า ม รู้ เ พ่ื อ ส นั บ ส นุ น ก า ร ผลิต ท่ี มี มีการสรา้ งเครอื ขา่ ยความร่วมมือกบั หรอื ไม่ อยา่ งไร
ประสิทธิภาพเพยี งพอหรอื ไม่ หนว่ ยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศกึ ษา
ในดา้ นข้อมลู /เทคโนโลยี/แนวโนม้ ความ มีการสรา้ งเครอื ข่ายความร่วมมอื กับ
มี แ น ว ท า ง ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร แ ล ะ ต้องการผลผลติ ทางการเกษตรเพ่ือแปรรปู ที่ หนว่ ยงานภาครฐั เอกชน
ส่งเสริมการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพ เพยี งพอหรือไม่ สถาบนั การศกึ ษาในดา้ นข้อมลู /ความ
สูงสุดอย่างไร ตอ้ งการผโู้ ภค/ตลาดทงั้ ในและตา่ งประเทศ
ฯลฯ ที่เพยี งพอหรอื ไม่
ฯลฯ
ฯลฯ
ภาพท่ี 2.3 โจทย์สาคญั ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเพมิ่ ประสทิ ธิภาพบริหารจัดการ
ห่วงโซค่ ณุ ค่าการผลติ สนิ ค้าเกษตร
สาหรับการจัดการโซ่อุปทานเป็นกระบวนการในการบูรณาการเก่ียวกับการจัดการ
ความสัมพันธ์ (Relationship)ระหว่างคู่ค้า (Supplier) และลูกค้าตั้งแต่ต้นน้าซ่ึงเป็นแหล่งกาเนิดวัตถุดิบ
(Origin Upstream) จนสนิ คา้ น้นั ได้มกี ารเคลื่อนยา้ ยจัดเก็บและส่งออกในแต่ละช่วงของโซ่อปุ ทานจนสินค้า
ได้ส่งมอบไปถึงผู้รับคนสุดท้าย (Customer Down Stream) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งใน
เชิงตน้ ทนุ และระยะเวลาในการส่งมอบ (ธนิต โสรตั น์, 2550)
องคป์ ระกอบของความหมายของการจดั การโซ่อุปทาน ไดแ้ ก่ 1) การจัดการความสัมพันธ์
(Relationship Management) เป็นการจัดการปฏิสมั พันธ์ระหว่างตัวบริษัท (Firm) กับคู่ค้าที่เปน็ (Source
of supplier) และลูกค้าที่เป็น (End Customer) โดยประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดการ
โซ่อุปทานอยู่ท่ีการจัดความสมดุลในการพึ่งพาระหว่างหน่วยงานธุรกิจในโซ่อุปทานในส่วนทีเ่ กี่ยวข้อง
อุปสงค์และอุปทาน การจัดการความสัมพันธ์ท่ีมีประสิทธิภาพจะต้องพัฒนาไป สู่วัฒนธรรมขององค์กรกับ
องค์กรมากกว่าการสร้างความสัมพันธ์ ในลักษณะท่ี เป็นบุคคลที่เป็น Personal Relationship การจัด
ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เป็น "Good Customer" แต่ต้องพัฒนาไปสู่ระดับท่ีเป็น "Good Partnership" ท่ีมี
ความยุติธรรมทางธุรกิจต่อกันร่วมถึงการไว้วางใจและเช่ือถือต่อกัน 2) การจัดการความร่วมมือ (Chain
18
Collaborate Management) ระหว่างองค์กรหรือระหว่างหน่วยงานต่างบริษัท (Firm) เพ่ือให้เกิด
การประสานภารกิจ (Co-Ordination) ในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับ การไหลล่ืนของข้อมูลข่าวสารในโซ่อุปทาน
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยกิจกรรมการจัดการโลจิสติกส์ ซึ่งประสบความล้มเหลว ปัจจัยสาคัญเกิด
การขาดประสิทธิภาพของการประสานประโยชน์และความร่วมมือในการดาเนินกิจกรรม ทางโลจิสติกส์
ร่วมกันในการกระจายสินค้า และส่งมอบสินค้า ระหว่างองค์การต่าง ๆ ภายในโซ่อุปทานในลักษณะท่ีเป็น
บูรณาการทางธุรกิจ (Business Integration) ซึ่งผลกระทบจากการขาดประสิทธิภาพหน่วยงานใดหรือ
องค์กรใดในโซ่อุปทานจะส่งผลต่อต้นทุนรวมและส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของทุกธุรกิจใน
โซ่อุปทาน 3) การจัดการความน่าเชื่อถือ (Reliability Value Management) การเพิ่มระดับของ
ความเช่ือถือ เชื่อมั่น ท่ีมีต่อการส่งมอบสินค้าท่ีตรงตอ่ เวลา ไปสู่ความไวว้ างใจและความน่าเชอื่ ถือ ในการที่
จะเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการความไหลล่ืน ของสินค้าในโซ่อุปทาน ภายใต้เง่ือนไขของข้อจากัดของ
สถานท่ีต่อเงื่อนไขของเวลา (Place and Time Utility) จาเป็นท่ีต่างฝ่ายจะต้องมีการปฏิบัติการอย่าง
เป็น (Best Practice) จนนาไปสกู่ ารเชือ่ มัน่ ที่เปน็ (Reliability Value) ซึง่ เปน็ ปัจจัยในการลดต้นทุน สินคา้
คงคลังส่วนเกิน หรือเรียกว่า Buffer Inventory 4) การรวมพลังทางธุรกิจ (Business Synergy)
ความร่วมมือทางธุรกิจในกลุ่มของ Supplier ในโซ่อุปทานท้ังท่ีมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมสนับสนุนท่ีเป็น
Support Industries เช่นผู้ผลิตกล่อง ผู้ผลิตสลาก ผู้ผลิตวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้การผลิต บรรจุ
ผสม และประกอบรวมตลอดไปจนถึงธุรกิจ ให้บริการ โลจิสติกส์ โดยบริษัทจะต้องมียุทธศาสตร์ในการ
จัดการความสมดุลของความสัมพันธ์ของคู่ค้า ( Suppliers Relationship Management : SRM)
กับความสัมพันธ์ ของคู่ค้าท่ีเป็นลูกค้า (Customer Relationship Management : CRM) ท้ังระบบ
การส่ือสารการประสานผลประโยชน์ท่ีเป็น Win - Win Advantage และการใช้ยุทธศาสตร์ร่วมกัน ภายใต้
ลูกค้าคนสดุ ทา้ ยเดียวกัน
หว่ งโซอ่ ปุ ทานมคี วามแตกต่างของโลจสิ ติกส์ คือ โลจสิ ตกิ สเ์ ป็นกระบวนการที่เนน้ กจิ กรรม
เกี่ยวกับการเคล่ือนย้าย การจัดเก็บ การกระจายสินค้าและบริการ การวางแผนการผลิตและการส่ งมอบ
สินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ในขณะท่ีโซ่อุปทานจะเป็นกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการปฏิสมั พันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ของหน่วยงานต่าง ๆ ท้ังภายในองค์กรและระหว่างองค์กรต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้อง
สอดประสานในการทางานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต่อการส่งมอบสินค้าภายใต้ต้นทุน
ท่ีสามารถแข่งขันได้โดยความแตกต่างท่ีชัดเจนน้ันเห็นได้จาก โลจิสติกส์จะเน้นพันธกิจเก่ียวกับ
การเคลื่อนย้ายสินคา้ และบริการรวมทง้ั ข้อมูลข่าวสาร สว่ นโซ่อปุ ทานจะเนน้ บทบาทเกี่ยวกับความสัมพันธ์
และความร่วมมือระหวา่ งองค์กรเพ่ือให้โซ่อุปทานมีความบูรณาการโดยกิจกรรมของโลจิสติกส์ จะดาเนิน
อยู่ภายในโซ่อุปทาน ดังนั้น โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จึงเป็นกิจกรรมท่ีดีลักษณะเป็นบูรณาการยาก
ทจี่ ะแยกแยะได้
บทที่ 3
สภาพท่วั ไปของจงั หวดั สกลนคร
3.1 ลักษณะทางภูมศิ าสตร์
3.1.1 ทีต่ ั้งและขนาดพน้ื ท่ีของจงั หวดั
จังหวัดสกลนครตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นที่ราบสูงล้อมรอบ
ดว้ ยภูเขาและปา่ ไม้ เสน้ รุ้งที่ ๑๖ องศา ๔๕ ลิปดาถงึ ๑๘ องศา ๑๕ ลิปดาเหนือ และเส้นแวงท่ี ๑๐๓ องศา
๑๕ ลิปดาถึง ๑๐๔ องศา ๓๐ ลิปดาตะวันออก มีขนาดพ้ืนที่ประมาณ ๙,๖๐๕.๗๖ ตารางกิโลเมตรหรือ
ประมาณ ๖,๐๐๓,๖๐๒ ไร่ ตงั้ อยู่เหนือระดับนา้ ทะเล ๑๗๒ เมตร ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ ๖๔๗
กิโลเมตรทางรถยนต์ ห่างจากสะพานมิตรภาพไทย – ลาวแห่งที่ ๒ จังหวัดมุกดาหาร ประมาณ ๑๒๐
กิโลเมตรและสะพานมิตรภาพไทย – ลาวแห่งท่ี ๓ จังหวัดนครพนม ประมาณ ๙๐ กิโลเมตร เป็นเขตแดน
ระหวา่ งประเทศไทยกบั สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
3.1.2 อาณาเขต
ทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กับ จรดอ้าเภอเฝ้าไร่ อ้าเภอโซ่พิสัย จงั หวดั หนองคาย
อา้ เภอพรเจริญ อา้ เภอเซกา จังหวัดบงึ กาฬ
อา้ เภอนาทม อ้าเภอศรสี งคราม จังหวดั นครพนม
ทิศตะวันออก ตดิ ตอ่ กับ จรดอ้าเภอนาหว้า อ้าเภอโพนสวรรค์ อา้ เภอนาแก
อา้ เภอวงั ยาง อา้ เภอปลาปาก อ้าเภอเมืองนครพนม
จังหวัดนครพนม
ทศิ ใต้ ตดิ ต่อกบั จรดอา้ เภอดงหลวง จงั หวัดมุกดาหาร
อา้ เภอนาคู อ้าเภอเขาวง อา้ เภอสมเดจ็
อา้ เภอคา้ มว่ ง จงั หวดั กาฬสินธุ์
อ้าเภอวงั สามหมอ อา้ เภอกมุ ภวาปี จงั หวดั อดุ รธานี
ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกับ จรดอา้ เภอไชยวาน อ้าเภอหนองหาน อ้าเภอท่งุ ฝน
อ้าเภอบา้ นดุง จงั หวัดอดุ รธานี
3.1.3 สภาพพ้นื ที่
ลักษณะภูมิประเทศโดยท่ัวไป ทางด้านทิศใต้เป็นเทือกเขาสูงจากนั้นจะค่อย ๆ เอียงลาดลง
มาทางทิศเหนือและทิศตะวันออก พื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้าทะเลประมาณ ๑๗๒ เมตร ขนาดพ้ืนท่ีของ
จังหวัดสกลนครเปน็ ล้าดับ 19ของประเทศ และล้าดับ ๘ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะภูมิประเทศ
แตล่ ะบริเวณ (ท่ีมา : สถานีพัฒนาท่ีดนิ ) ดงั นี้
20
1) พ้ืนที่ตอนใต้ สภาพพนื้ ทเี่ ปน็ ท่รี าบสูงบนเทือกเขาภูพานและทร่ี าบระหว่างหุบเขามีสภาพ
พ้ืนท่ีแบบลูกคล่ืนลอนลาดอยู่บริเวณอ้าเภอกุดบาก มีล้าธารและล้าห้วยอันเกิดจากเทือกเขาหลายแห่งมี
ปา่ ไม้และทุ่งหญ้า เหมาะส้าหรับการเลี้ยงสตั ว์
2) พ้ืนท่ีตอนตะวันออก มีสภาพพื้นที่แบบลูกคล่ืนลอนลาด รวมถึงบริเวณที่ติดกบั อ้าเภอนา
แกจงั หวัดนครพนม
3) พื้นที่ตอนตะวันตก สภาพพ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นท่ีราบสลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่นลอนลาด
เหมาะสา้ หรบั การท้าไรบ่ รเิ วณทีต่ ิดกบั อุดรธานี
4) พ้ืนท่ีตอนกลาง สภาพพื้นที่เป็นที่ราบต้่า เหมาะแก่การท้านา โดยเฉพาะท้องท่ีอ้าเภอ
เมืองท่ีมีหนองหาร ท้าให้มีน้าตลอดปี มีอาณาเขตกว้างประมาณ ๗ กิโลเมตร ยาวประมาณ ๑๘ กิโลเมตร
ระดบั น้าลึกประมาณ 2 - 4.5 เมตร หนองหารเปน็ ท่ีรองรบั นา้ จากแม่น้าตา่ ง ๆ หลายสาย
5) พ้ืนที่ตอนเหนือ สภาพพื้นที่เป็นลูกคลื่นลอนลาด มีสภาพเป็นป่าปนไร่ ป่าส่วนใหญ่เป็น
พวกป่าแดงโปร่ง มีไม้เต็ง ไม้รัง พลวง เหนือท่ีตั้งอ้าเภออากาศอ้านวยและริมน้าสงครามบางส่วนเป็นท่ีราบ
ลุ่มน้าท่วมซึ่งใช้ท้านาได้บางส่วนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะท้ิงไว้รกร้างว่างเปล่า มีพวกไม้พุ่มเตี้ย และหญ้าขึ้นปก
คลมุ ทวั่ ไป
4) ลกั ษณะดนิ
ดนิ ในพ้ืนที่จังหวัดสกลนครแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ได้แก่ บริเวณเทือกเขาทางตอน
ใต้เป็นดินบนภูเขาที่ลาดเชิงเขาท่ัวไป ส่วนบริเวณท่ีราบเป็นดินเกิดบนที่ราบขั้นบันไดสูงท่ีเก่าๆ ของล้าน้า
ดินเกดิ บนทีร่ าบข้นั บันไดสูงที่เก่าๆ ของล้าน้า เป็นดินที่มีความสมบูรณ์ต่า้ มาก ดนิ สว่ นใหญ่เป็นดินปนทราย
ซึง่ มีโครงสร้างไมค่ งทน เม่ือมีฝนตกท้าให้เกิดการกัดกร่อนผิวดินสงู โดยเฉพาะบริเวณท่ีว่างเปล่าเป็นเหตุให้
ดินถูกน้าท่ีซึมลงไปชะล้างอาหารและส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อพืช ลงไปยังส่วนลึกพ้นเขตของรากพืชที่จะดูด
เอามาเล้ียงล้าต้นได้การปรับปรุงดินท้าได้ค่อนข้างล้าบาก เพราะการใส่ปุ๋ยอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้อง
ดแู ลเรอื่ งการชลประทานและการจดั การบ้ารุงรักษาดินอนื่ ๆ พร้อมกันไปด้วย
จากผลการส้ารวจดิน พบดินทั้งหมด 12 กลุ่มชุดดิน และเปนหน่วยพ้ืนที่เบ็ดเตล็ด 7
ประเภท พ้ืนท่ีเหมาะสมส้าหรับการเกษตรกรรมประมาณ 4,841,123 ไร หรือรอยละ 80.64 ของเนื้อที่
ท้ังหมดและพ้ืนที่ที่ไม่เหมาะสมส้าหรับการเกษตรกรรมประมาณ 1,162,410 ไร หรือรอยละ 19.36 ของเน้ือที่
ทั้งหมด (ทม่ี า : สถานีพฒั นาท่ีดนิ )
ความเหมาะสมของดินสา้ หรับการปลกู พืชเศรษฐกิจ
1) ชน้ั ความเหมาะสมของดนิ สา้ หรบั นาข้าว รวมจ้านวน 1,601,331.19 ไร่
2) พ้ืนท่ีปลูกข้าวในช้นั ความเหมาะสมต่าง ๆ
- ปลูกในชั้นเหมาะสม จา้ นวน 1,199,266 ไร่ คิดเป็น 49.92
- ปลกู ในช้นั ไม่เหมาะสม จ้านวน 1,202,673 ไร่ คิดเป็น 50.06
3) ชน้ั ความเหมาะสมของดนิ สา้ หรับอ้อย รวมจา้ นวน 1,232,035.02 ไร่
21
4) พน้ื ทีป่ ลูกออ้ ยในชั้นความเหมาะสมตา่ ง ๆ
- ปลูกในชั้นเหมาะสม จา้ นวน 107,012 ไร่ คดิ เป็น 79.19
- ปลูกในชน้ั ไม่เหมาะสม จา้ นวน 33,413 ไร่ คิดเปน็ 23.79
5) ชน้ั ความเหมาะสมของดิน ส้าหรบั มนั ส้าปะหลัง รวมจ้านวน 154,973.53 ไร่
6) พนื้ ท่ปี ลูกมันสา้ ปะหลงั ในชั้นความเหมาะสมตา่ งๆ
- ปลกู ในชั้นเหมาะสม จ้านวน 14,375 ไร่ คดิ เปน็ 5.06
- ปลูกในชน้ั ไมเ่ หมาะสม จา้ นวน 269,239 ไร่ คิดเป็น 94.92
7) ชั้นความเหมาะสมของดนิ ส้าหรับยางพารา รวมจ้านวน 1,717,174.60 ไร่
8) พ้ืนที่ปลูกยางพาราในชน้ั ความเหมาะสมตา่ งๆ
- ปลกู ในชั้นเหมาะสม จา้ นวน 417,182 ไร่ คดิ เป็น 96.86
- ปลกู ในช้ันไมเ่ หมาะสม จ้านวน 13,476 ไร่ คดิ เปน็ 0.19
9) ช้ันความเหมาะสมของดิน ส้าหรบั ปาลม์ น้ามัน รวมจา้ นวน 210,563.27 ไร่
8) พ้ืนทป่ี ลกู ปาลม์ น้ามันในชน้ั ความเหมาะสมต่างๆ
- ปลกู ในชั้นเหมาะสม จ้านวน 1,028 ไร่ คิดเป็น 7.33
- ปลกู ในชน้ั ไม่เหมาะสม จ้านวน 12,987 ไร่ คดิ เป็น 92.66
ลักษณะภูมปิ ระเทศและธรณสี ณั ฐาน
จังหวดั สกลนคร เป็นจังหวัดทตี่ ั้งอยู่ทางตอนบนของทรี่ าบสูงภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ หรือ
เรียกว่าแอ่งสกลนคร สภาพพื้นท่ีโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นที่ราบเรียบจนถึงภูเขาสูง บริเวณตอนกลางและ
ตอนบนเป็นพ้ืนที่ราบและลูกคลื่นลอนลาดที่รองรับด้วยหมวดหินมหาสารคาม ทางตอนล่างประกอบด้วยพื้นท่ี
ลูกคล่ืนลอนลาดท่ีรองรับด้วยหมวดหินโคกกรวด และลูกคล่ืนลอนชันจนถึงภูเขาสูงของเทือกเขาภูพานที่
รองรบั ด้วยหมวดหินท่ีมีอายุมากกว่าโคกกรวด สภาพภูมิประเทศมีลกั ษณะลาดเอียงจากทางใต้ลงทางเหนือ
ซง่ึ อาจแบ่งลักษณะสภาพภูมปิ ระเทศและธรณีสณั ฐาน ได้ดังนี้
1. พ้ืนท่ีภูเขา (mountainous area) มีพ้ืนท่ีส่วนใหญ่เปนพ้ืนท่ีลาดชันเชิงซอน (slope
complex) ระดับความสูงของภูเขามีตั้งแต 200-567 เมตรจากระดับน้าทะเลปานกลาง ทางด้านตอนล่าง
ของพื้นทีใ่ นเขตอ้าเภอภูพานเต่างอย นิคมน้าอูนกุดบากวารชิ ภูมิ และสองดาว เป็นพ้ืนท่ีภูเขาของหมวดหิน
ท่ีมีอายุแกกว่าหมวดหินโคกกรวด ได้แก หมวดหินภูพาน หมวดหินเสาขรัว หมวดหินพระวิหาร หมวดหิน
ภูกระดึง หมวดหินน้าพอง และหมวดหินห้วยหินลาด เป็นต้น ลักษณะของภูเขาเป็นแนวเทือกเขาภูพานที่
ต่อเนื่องมาจากจังหวัดกาฬสินธุและจังหวัดมุกดาหาร สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบดวยที่ราบสูง ท่ีราบ
ระหว่างหุบเขาพื้นที่ลูกคล่ืนลอนชัน พ้ืนที่ลาดชันเชิงซ้อน และภูเขาผาชัน (escarpment) ลักษณะของ
เทือกเขาวางตัวในแนวทิศตะวนออกและตะวันตกเป็นแนวแบ่งขอบเขตระหว่างจังหวดสกลนครกับจังหวัด
กาฬสนิ ธ์ุและจงั หวัดมกุ ดาหาร
22
2. พื้นที่ท่ีมีการปรับระดับหรือพื้นท่ีซ่ึงเกิดจากการกร่อน (denudation or erosion plain)
และรองรับด้วยหมวดหินโคกกรวด ตะกอนพ้ืนผิวสวนใหญ่เกิดจากการผุพังอยู่กับที่ (in situ material) ของหิน
ทราย หรือเคลื่อนย้ายไปทับถมในบริเวณต้่ากวา่ โดยกระบวนการธรณีสัณฐานต่าง ๆ สภาพพื้นท่ีมีลักษณะ
เป็นลกู คล่นื ลอนลาด (undulating ) ถงึ ลอนชัน (rolling) บริเวณดงั กล่าวจะวางตัวเป็นแนวยาวขนานไปกับ
ส่วนต้่าของเทอื กเขาภูพาน พบในเขตอ้าเภอเมืองสกลนคร ภูพาน โคกศรสี ุพรรณ เต่างอย วาริชภูมิ กุดบาก
นคิ มน้าอนู พรรณานิคม และส่องดาว
3. พื้นท่ีที่มีการปรับระดับหรือพื้นท่ีซึ่งเกิดจากการกรอ่ น (denudation or erosion plain)
และรองรับด้วยหมวดหินมหาสารคาม ตะกอนพื้นผิวสวนใหญ่เกิดจากการผุพังอยู่กับที่ (in situ
material) ของหินทรายและหินทรายแปง หรือเคลื่อนย้ายไปทับถมในบริเวณต่้ากว่า โดยกระบวนการ
ธรณีสัณฐานต่าง ๆ สภาพพื้นท่ีมีลักษณะเป็นพื้นที่เกือบราบ (gently slope) ถึง ลูกคลื่นลอนลาด
(undulating ) บริเวณดังกล่าวจะวางตัวอยู่ถัดจากพื้นท่ีที่มีการปรับระดับของหมวดหินโคกกรวดไปทาง
ตอนเหนือของพื้นท่ี พบในเขตอ้าเภอเมืองสกลนคร โคกศรีสุพรรณ พรรณานิคม วาริชภูมิ โพนนาแกว
กุสมุ าลย์ พงั โคน อากาศอา้ นวย วานรนวิ าสเจรญิ ศิลป์ คา้ ตากลา บ้านมว่ งและสว่างแดนดิน
4. พื้นที่ตะกอนล้าน้า (fluvial plain) ซ่ึงเกิดจากการกัดเซาะและทบั ถมของล้าน้าในปจจุบัน
ไดแกตะกอนล้าน้าที่เกิดจากล้าน้าสงคราม ล้าน้ายาม ล้าน้าอูนล้าห้วยปลาหาง ล้าน้าพุง ล้าน้าก้่า และ
ล้าหวยสาขาของล้าน้าดังกล่าว สภาพพื้นท่ีสวนใหญเป็นพื้นท่ีราบ (nearly level to level) และวางตัว
เปนแนวแคบ ๆ ขนานไปตามล้าน้าพบมากในเขตอ้าเภอเมืองสกลนคร โคกศรีสุพรรณ พรรณานิคม
วาริชภมู ิ โพนนาแกว กุสมุ าลย พังโคน อากาศอ้านวย วานรนิวาส เจริญศิลป ค้าตากลา บานมวง และสวาง
แดนดิน
3.2 ลกั ษณะภมู ิอากาศ
3.2.1 ฤดกู าล
สกลนครเป็นจังหวัดหนึ่งในจ้านวน 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภาคที่แห้ง
แล้งกวา่ ภาคอน่ื ๆ ในประเทศไทย เนือ่ งจากสภาพภมู ิประเทศเป็นทร่ี าบสงู ดอนดินเปน็ หินตะกอนดูดซบั น้า
และเก็บรักษาน้าไว้ไม่ได้ แม้ปริมาณน้าฝนท่ีตกแท้จริงแล้วมากกว่าภาคเหนือและภาคกลาง (ที่มา: สถานี
อตุ ุนยิ มวิทยาสกลนคร)
1) ฤดูฝน โดยทั่วไปจะเร่ิมต้ังแต่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม รวมเวลา
4-5 เดือน ฝนท่ีตกส่วนมากเป็นฝนท่ีเกิดจากพายุดีเปรสช่ันท่ีเคลื่อนตัวมาจากทะเลจีนใต้ ส่วนที่เกิดจากลม
มรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้มีไม่มากนัก ถ้าปใี ดพายดุ ีเปรสชั่นเข้าน้อย ปนี ้ันจะแห้งแลง้ โดยปกติจะมีพายุดเี ปรสชั่น
ถึงพายโุ ซนร้อนเข้าเฉลี่ยปีละ 1-2 ลูก สกลนครมีปรมิ าณนา้ ฝนเฉลย่ี คาบ 30 ปี (พ.ศ.2524-2553 มาตรฐาน
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก) เท่ากับ 1,644.6 มิลลิเมตร มีค่าใกล้เคียงกับจังหวัดอุดรธานี,มุกดาหาร,
นครพนม และจังหวดั อบุ ลราชธานี ซึ่งมากกวา่ จงั หวัดในภาคกลางและภาคเหนือ
23
2) ฤดหู นาว เร่มิ ตัง้ แต่ประมาณกลางเดือนตุลาคม ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์รวมเวลา4 เดือน ใน
ตอนต้นเดือนตุลาคมเป็นระยะเปล่ียนฤดรู ะหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาว อาจมีฝนตกได้เป็นบางวัน ฤดหู นาวของ
จังหวัดสกลนครมีลักษณะอากาศหนาวอย่างชัดเจน กระแสลมที่เย็นและแห้งพัดมาจากประเทศจีน คือ
ลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือความหนาวเย็น มีผลกระทบตอ่ ดนิ ฟา้ อากาศในจังหวัดสกลนคร เคยมีอุณหภูมิ
ต่้าสุดจนถึง –1.4 องศาเซลเซียส เมื่อวันท่ี 2 มกราคม 2517 ท่ีสถานีอากาศเกษตรสกลนคร ซึ่งอยู่ท่ีศูนย์วิจัยพืชไร่
สกลนคร บ้านนานกค้า ต้าบลห้วยยาง อ้าเภอเมือง จงั หวัดสกลนคร
3) ฤดูร้อน ต้ังแต่ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม รวมระยะเวลา
ประมาณ 3 เดือน ระยะนี้มรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือหมดก้าลงั ลง ลมตะวันออกเฉียงใต้จากทะเลจีนใตแ้ ละ
อา่ วไทยจะพัดมาแทนที่ และเป็นระยะหนึ่งท่ีประเทศไทยได้รับแสงแดดกล้าท่ีสุดท้าให้มีความร้อนและแห้ง
แล้งมาก สถิตภิ มู อิ ากาศสงู ทส่ี ดุ ของสกลนคร คือ 41.9 องศาเซลเซียสเมือ่ วันที่ 24 เมษายน 2500
3.2.2 ปรมิ าณน้าฝน
ในปี 2562 จังหวัดสกลนครมีปริมาณน้าฝน 1,213.0 มิลลิเมตร โดยปริมาณน้าฝนเฉล่ียในปี
2553 – 2562 เท่ากบั 1,683.1 มิลลิเมตร (ตารางท่ี 3.1)
ตารางท่ี 3.1 แสดงปริมาณน้าฝน ปี 2553 - 2562 ปรมิ าณน้าฝน
(มม.)
ปี 1,213.0
1,575.6
2562 2,422.9
2561 1,349.3
2560 1,441.4
2559 1,701.1
2558 2,044.3
2557 1,741.0
2556 1,892.6
2555 1,449.9
2554 1,683.1
2553
เฉล่ยี รอบ 10 ปี (2553-2562)
ทม่ี า : สถานีอตุ ุนยิ มวทิ ยาสกลนคร (2562)
24
3.2.3 อุณหภมู ิและความชื้นสัมพทั ธ์
ตารางที่ 3.2 แสดงอณุ หภูมิและความชน้ื สมั พทั ธส์ งู สดุ - ต่้าสุด ปี 2553 - 2562
ปี อุณหภูมิ (°c) ความชน้ื สัมพทั ธ์ (%)
สงู สดุ ต่า้ สุด เฉล่ยี ทัง้ ปี สงู สดุ ตา้่ สุด เฉลย่ี ทั้งปี
2562 36.27 19.90 27.25 96.00 39.33 70.60
2561 35.51 18.10 26.18 97.42 41.58 73.07
2560 35.23 18.28 26.04 97.75 41.58 74.54
2559 36.29 18.23 26.90 96.33 38.25 69.41
2558 36.41 18.88 26.82 98.17 39.67 72.49
2557 35.43 18.71 26.70 97.00 41.17 71.80
2556 35.63 18.68 26.14 9575 38.83 69.62
2555 35.70 19.32 26.61 95.83 41.33 72.54
2554 34.75 18.65 25.31 96.25 40.83 71.26
2553 36.28 18.88 26.77 95.58 39.25 73.37
ทม่ี า : สถานีอตุ ุนิยมวทิ ยาสกลนคร (2562)
3.3 แหลง่ นา้ ธรรมชาติ
จากรายงานแผนหลักการพัฒนาลุ่มน้าจังหวัดสกลนคร โดย ส้านักบริหารโครงการ กรมชลประทาน
ได้กล่าวถึงแหล่งน้าท่ีส้าคัญของจังหวัดสกลนคร นอกจากน้าฝนแล้วยังได้แก่ น้าท่าซึ่งประกอบด้วย แหล่ง
น้าธรรมชาตหิ ลายสาย อันมีตน้ น้าอยใู่ นบริเวณเทอื กเขาภูพาน ลา้ นา้ ท่ีส้าคัญได้แก่
ลุ่มน้าแม่น้าโขง เป็นลุ่มน้าหลักและมีลุ่มน้าย่อยที่ส้าคัญ 8 ลุ่มน้าด้วยกัน คือ 1. ลุ่มน้าสงคราม
ตอนบน 2. ลุ่มน้าสงครามตอนล่าง 3. ลุ่มน้ายาม4. ลุ่มน้าอูน 5. ลุ่มน้าห้วยทวย 6. ลุ่มน้าก้่า 7. ลุ่มน้าพุง
และ 8.ลุ่มน้าบางทรายลักษณะโดยท่ัวไปของล้าน้าค่อนข้างคดเค้ียว แคบ และตื้นเขิน ทิศทางการไหลของ
น้าส่วนใหญ่จะไหลจากทางทิศใต้และตะวันตกของตัวจังหวัดไปสู่ทิศตะวันออกค่อนไปทางเหนือ โดย
ล้าน้าอูนและล้าน้ายามจะไหลลงไปรวมกับล้าน้าสงคราม ส่วนล้าน้าพุงจะไหลลงไปรวมกับล้าน้าก่้า ซึ่งทุก
ลา้ น้าสดุ ทา้ ยแลว้ กจ็ ะไหลออกสู่แม่น้าโขงทจี่ ังหวัดนครพนม
ล้าน้าสงคราม เป็นล้าน้าท่ีมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ปริมาณน้ามาก ต้นน้าเกิดบริเวณพ้ืนที่อ้าเภอ
ส่องดาว ไหลผ่าน อ้าเภอสว่างแดนดิน อ้าเภอค้าต้ากล้า อ้าเภอบ้านม่วง อ้าเภอวานรนิวาส และอ้าเภอ
อากาศอา้ นวย แล้วไหลลงแม่น้าโขงท่ี อา้ เภอศรสี งคราม จังหวดั นครพนม
25
ลา้ น้ายาม เป็นล้าน้าขนาดเล็ก ต้นน้าเกิดบรเิ วณเทือกเขาภูพาน เขตอ้าเภอวาริชภมู ิ ไหลผา่ นอ้าเภอ
ส่องดาว อ้าเภอสว่างแดนดิน อ้าเภอวานรนิวาส อ้าเภอพรรณานิคม และไหลลงแม่น้าสงครามที่ อ้าเภอ
อากาศอ้านวย
ล้าน้าอูน เป็นล้าน้าขนาดกลาง มีต้นน้าอยู่ท่ีเทือกเขาภูพาน เขตอ้าเภอกุดบาก ไหลลงสู่เข่ือนกั้น
ล้าน้าอูน ซ่ึงเป็นเข่ือนขนาดใหญ่ท่ีสุดของจังหวัดสกลนคร ปริมาณเก็บกักน้าได้ 520 ล้านลูกบาศก์เมตร
ไหลผ่านอ้าเภอพังโคน อา้ เภอพรรณานคิ ม ไปบรรจบกบั แมน่ ้าสงครามทอี่ ้าเภอศรีสงคราม จังหวดั นครพนม
เป็นล้าน้าท่ีได้พัฒนาเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรมากที่สุด เนื่องจากมีปริมาณน้ามากไหลผ่านพ้ืนท่ี
ราบ ซึ่งเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดสกลนคร ได้มีการพัฒนาให้มีการกระจายน้าชลประทานในระดับ
แปลงนา การจัดรูปท่ีดิน พื้นที่ประมาณ 164,574ไร่ ในเขตพื้นที่อ้าเภอพังโคน อ้าเภอพรรณานิคม และ
อ้าเภอเมืองสกลนคร นอกจากจะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรท้านาตามฤดูกาลแล้ว ยังมีการส่งเสริมให้
เกษตรกรปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง ซ่ึงเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัด ทา้ ให้เศรษฐกิจของจังหวดั สกลนครมีมูลค่า
สงู มากขึ้น
ล้าห้วยปลาหาง เป็นล้าน้าขนาดเล็ก มีต้นน้าในพ้ืนที่อ้าเภอวาริชภูมิ ผ่านอ้าเภอ สว่างแดนดิน
อา้ เภอพงั โคน แลว้ ไหลบรรจบล้าน้าอนู ท่อี ้าเภอพงั โคน
ล้าน้าพุง ต้นน้าเกิดในเขตอ้าเภอกุดบาก มีสภาพลาดชันในช่วงต้นน้าไหลผ่านท้องที่อ้าเภอกุดบาก
ลงสู่เข่ือนน้าพุงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ความจุ 165 ล้านลูกบาศก์เมตรจากนน้ันไหลผ่าน
อ้าเภอเตา่ งอย อา้ เภอโคกศรีสพุ รรณ และอา้ เภอเมืองสกลนครแล้วไหลลงหนองหาร
ล้าน้าก่้า เป็นล้าน้าลักษณะพิเศษที่มีต้นน้าที่ส้าคัญอยู่ที่หนองหารเสมือนหน่ึงทางระบายน้าของลุ่ม
นา้ พุงและนา้ ในหนองหารไปยังแม่น้าของโดยไหลผ่านอ้าเภอเมืองสกลนครอ้าเภอโคกศรีสุพรรณของจงั หวัด
สกลนครผา่ นอ้าเภอนาแกไปลงแมน่ า้ โขงทอี่ ้าเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม
หนองหาร เป็นหนองน้าธรรมช้าติขนาดใหญ่มีเนื้อท่ีประมาณ 123 ตารางกิโลเมตรมีน้าตลอดปีลึก
เฉล่ียประมาณ 3 – 6 เมตรมีเกาะแก่งมากมายหนองหารน้ีเป็นที่รวมของล้าห้วยต่างๆหลายสายปัจจุบัน
หนองหารเป็นแหล่งประมงน้าจืดท่ีใหญ่ท่ีสุดของจังหวัดและยังเป็นสถานท่ีเพาะพันธุ์ปลาน้าจืดของ
กรมประมงดว้ ย
26
3.4 ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ีส่ ้าคัญ
พ้ืนท่ีป่าไม้จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน พบในบริเวณที่อยู่ใกล้กับแนวเทือกเขาภูพานเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนั้นจะกระจายเปน็ หย่อมๆ ตามท้องที่อา้ เภอต่าง ๆ ภายในจังหวัด สา้ หรบั สภาพป่าไม้ท่ยี ังคงความ
อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่จะพบในท้องท่ี อ้าเภอภูพาน อ้าเภอส่องดาว อ้าเภอเต่างอย และอ้าเภอโคก
ศรีสพุ รรณ โดยป่าที่พบส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ประเภทป่าแดง และป่าโปรง่ พันธไ์ุ ม้ที่
ส้าคัญที่พบได้แก่ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้พลวง ไม้ยาง ไม้ประดู่ ไม้มะค่าโมง ไม้มะค่าแต้ ไม้แดง และไม้ไผ่ป่า เป็น
ตน้ (ท่มี า : แผนพัฒนาจังหวัดสกลนคร ปี 2562)
ตารางท่ี 3.3 แสดงพืน้ ทปี่ ่าไม้
ปี พ.ศ. พื้นที่ (ตร.กม.) พน้ื ทปี่ ่าไม้ (ไร)่ % ของพ้ืนทจ่ี ังหวดั
2554 2,048 1,280,000 21.32
2555 1,910.90 1,193,750 19.89
2556 1,753.05 1,095,795.99 18.28
2557 1,695.42 1,059,636.98 17.65
2558 1,692.12 1,057,015.20 17.61
2559 1,691.09 1,056,911.98 17.60
2560 - 1,056,911.95 17.60
2561 - 1,056,267.17 17.59
หมายเหตุ: พ้นื ที่จงั หวดั สกลนคร 9,605.76 ต.ร.กม. หรือ 6,003,602 ไร่
1. พืน้ ทปี่ ่าของประเทศไทย พ.ศ.2547 อ้างอิงจากข้อมูลสถิติกรมป่าไม้ ปี 2552
2. สัดส่วนพ้นื ทีส่ เี ขยี วต่อพ้นื ทจี่ ังหวดั สกลนคร
- พ้ืนทจี่ ังหวดั สกลนคร 9,605.76 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,003,602 ไร่
- พื้นท่ปี า่ ไมจ้ ังหวัดสกลนคร 1,691.09 ตารางกิโลเมตร หรอื 1,056,911.98 ไร่ (ปี 2559)
- พนื้ ทก่ี ารเกษตร 2,767,855 ไร่
รวมทัง้ ส้นิ 3,824,766.98 ไร่ (พน้ื ท่ปี า่ ไม+้ พื้นที่การเกษตร)
- คดิ เปน็ สดั สว่ นพื้นทีส่ เี ขยี วตอ่ พื้นที่จังหวดั สกลนคร รอ้ ยละ 63.708
3. พ้ืนท่ีป่าไม้จังหวัดสกลนคร ปี 2558 และ ปี 2559 อ้างอิงจากใช้ภาพถ่ายดาวเทียมจากส้านักพัฒนา
เทคโนโลยีอวกาศและภมู สิ ารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISDA
27
3.5 ข้อมลู ด้านการปกครองของจงั หวัด
3.5.1 การแบ่งเขตการปกครอง
ตารางที่ 3.4 แสดงการแบ่งเขตการปกครองของจงั หวดั
ลา้ ดบั อา้ เภอ เขตการปกครอง รปู แบบการปกครอง พนื้ ท่ี (ไร)่
ต้าบล หมู่บา้ น อบจ. ทน. ทต. อบต.
1 เมืองสกลนคร 15 173 1 1 9 8 571,474
2 สวา่ งแดนดิน 16 189 - - 7 11 606,250
3 วานรนิวาส 14 183 - - 6 9 625,625
4 พรรณานิคม 10 135 - - 8 3 421,112
5 บ้านมว่ ง 9 98 - - 2 8 531,250
6 อากาศอ้านวย 8 94 - - 6 3 365,625
7 วาริชภูมิ 5 71 - - 4 2 297,578
8 พังโคน 5 69 - - 4 2 239,844
9 กสุ มุ าลย์ 5 71 - - 1 5 283,750
10 เจริญศลิ ป์ 5 59 - - 1 5 250,625
11 โพนนาแกว้ 5 53 - - 3 2 220,000
12 ภูพาน 4 65 - - 2 2 417,500
13 คา้ ตากล้า 4 61 - - 2 3 251,250
14 โคกศรีสพุ รรณ 4 53 - - 1 3 132,500
15 สอ่ งดาว 4 46 - - 5 - 198,594
16 เตา่ งอย 4 32 - - - 4 205,000
17 นคิ มนา้ อูน 4 29 - - - 4 101,250
18 กุดบาก 3 40 - - 4 - 284,375
รวม 124 1,521 1 1 65 74 6,003,602
หมายเหตุ ตัดต้าบลธาตุเชิงชุม อ้าเภอเมือง ออกเนื่องจากมีการปกครองแบ่งออกเป็น 43 ชมุ ชน
ทม่ี า :ทีท่ า้ การปกครองจังหวดั สกลนคร (2562)
28
3.5.2 ข้อมูลประชากร
ตารางที่ 3.5 จา้ นวนประชากรของจงั หวัดสกลนคร ปี 2562
อ้าเภอ ชาย หญิง รวม จ้านวน
(คน) (คน) (คน) ครวั เรือน
196,948
เมอื งสกลนคร 96,858 100,090 78,217
33,094 10,425
กดุ บาก 16,612 16,482 47,941 14,811
40,078 13,547
กสุ มุ าลย์ 23,847 24,094 34,511 12,924
45,255 12,579
คา้ ตากล้า 20,035 20,043 24,329 8,377
14,833 4,485
โคกศรีสพุ รรณ 17,126 17,385 71,089 20,637
80,735 27,355
เจริญศลิ ป์ 22,765 22,490 53,055 20,844
36,884 13,048
เต่างอย 12,190 12,139 37,083 12,116
126,289 35,603
นคิ มนา้ อูน 7,448 7,385 52,887 17,184
151,605 45,168
บ้านม่วง 35,831 35,258 34,861 9,117
71,913 23,214
พรรณานคิ ม 40,123 40,612 1,153,390 379,651
พงั โคน 26,156 26,899
โพนนาแกว้ 18,461 18,423
ภูพาน 18,713 18,370
วานรนวิ าส 62,943 63,346
วารชิ ภมู ิ 26,137 26,750
สวา่ งแดนดนิ 75,407 76,198
ส่องดาว 17,699 17,162
อากาศอ้านวย 35,991 35,922
รวม 574,342 579,048
ท่ีมา: ท่ที ้าการปกครองจงั หวัดสกลนคร (2562)
29
3.6 ข้อมลู ด้านสังคมและวฒั นธรรม
3.6.1 เชื้อชาติ
ประกอบด้วยคนพนื้ เมืองด้ังเดิมหลายเผ่าพันธุ์ เช่น ชาวภูไท ไทยย้อ ไทยโยย้ ไทยกะเลิง และ
ไทยกระตาก ซึ่งอพยพ มาจากสาธารณรัฐประชาชนลาว มาเป็นเวลานานแล้ว และมีประชากรเช้ือชาติ
เวียดนาม อพยพเข้ามาอยู่คร้ังสมัยอินโดจีน และมีชาวจีนท่ีมีอยู่ทั่วไป (ท่ีมา :แผนพัฒนาจังหวัดสกลนคร
ปี 2562)
3.6.2 ขนบธรรมเนียมประเพณแี ละวฒั นธรรม
ชาวจังหวัดสกลนครมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และการละเล่นพ้ืนเมืองที่ส้าคัญ
สืบทอดกัน มาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน คือ งานสมโภชพระธาตุเชิงชุม(จัดประมาณเดือนมกราคม)
งานประเพณแี ห่ปราสาทผ้ึงและแขง่ เรือยาว ชิงถ้วยพระราชทาน (จัดข้ึนในวนั ออกพรรษา) งานประเพณีเซ้ิง
ผีตาโขน ท่ีบ้านไฮหย่อง อ.พังโคน (จัดขึ้นในวันขึ้น 14 ค้่า เดือน4) งานประเพณีโส้ร้าลึก ที่ อ.กุสุมาลย์
(จัดข้ึนในวันขึ้น 4 ค่้า เดือน 3) งานกาชาด และงานรวมน้าใจไทสกล จัดบริเวณศูนย์ราชการจังหวัด
ประมาณต้นเดือนกมุ ภาพันธข์ องทกุ ปี
3.6.3 อาชพี
ประชากรในจังหวัดสกลนครส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งท้ารายได้ให้แก่
เกษตรกรเอง และน้ารายได้เข้าจังหวัด ปีละมาก ๆ อาชีพท่ีส้าคัญ มีดังนี้ การท้านา (ปลูกข้าวจ้าว
ข้าวเหนียว) การท้าไร่อ้อย ไร่มันส้าปะหลัง การท้าสวนผลไม้ การปลูกผัก ไม้ดอกไม้ประดับ การปศุสัตว์
การเลี้ยงโคขุน สุกร ไก่ การประมงน้าจืด การเพาะเล้ียงปลา การหัตถกรรม ประเภททอเส่ือ การจักสาน
เครื่องปน้ั ดนิ เผา ทอผ้าไหม ผ้าฝา้ ย นอกจากนย้ี งั มอี าชพี อ่ืน ๆ อกี เชน่ การคา้ ขาย การอุตสาหกรรม
3.6.4 สถาบันอดุ มศกึ ษาทส่ี า้ คญั ในจังหวัด
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มีเอกลักษณ์ คือ “การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการใหโ้ อกาส” มี
5 ภารกิจหลักในการด้าเนินงาน ได้แก่ 1) การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและคุณธรรม 2) วิจัย พัฒนาองค์
ความรู้ และถา่ ยทอดสู่การพัฒนาท้องถิน่ 3) ท้านุบ้ารงุ ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4) พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ และ 5) บริหารจัดการมหาวิทยาลัยให้มีคุณภาพ ปีการศึกษา 2563 เปิดการ
เรียนการสอน 6 คณะ 64 หลักสูตร ท้ังภาคปกติและภาคพิเศษ ได้แก่ 1) คณะครุศาสตร์ 2) คณะ
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 3) คณะวิทยาการจัดการ 4) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
5) คณะเทคโนโลยีการเกษตร และ 6) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
30
3.7 ขอ้ มูลดา้ นการเกษตรท่สี า้ คญั ของจังหวดั
3.7.1 ครวั เรอื นเกษตรกรและแรงงานภาคเกษตร
ตารางท่ี 3.6 จ้านวนครัวเรือนเกษตรกรและจ้านวนแรงงานภาคเกษตรของจังหวัดสกลนคร
อา้ เภอ จ้านวน จา้ นวนครวั รอ้ ยละจ้านวน จา้ นวนสมาชิก สมาชิกที่ชว่ ย
ครวั เรือน เรอื นเกษตรกร ครัวเรอื เกษตรกร/ ในครวั เรอื นเกษตร ทา้ การเกษตร
ครวั เรือนท้ังหมด
เมืองสกลนคร 78,217 24,870 31.8 60,114 49,372
กดุ บาก 10,425 7,131 68.4 23,232 18,448
กสุ ุมาลย์ 14,811 9,238 62.37 20,446 19,123
ค้าตากล้า 13,547 7,285 53.78 23,821 18,172
โคกศรีสพุ รรณ 12,924 7,557 58.47 22,374 18,325
เจริญศิลป์ 12,579 7,793 61.95 26,479 20,652
เต่างอย 8,377 5,668 67.66 16,096 14,224
นิคมน้าอนู 4,485 2,965 66.11 9,548 6,767
บ้านมว่ ง 20,637 13,216 64.04 45,652 31,441
พรรณานิคม 27,355 16,535 60.45 38,578 35,777
พงั โคน 20,844 9,126 43.8 23,169 18,583
โพนนาแก้ว 13,048 8,824 67.63 18,692 17,316
ภูพาน 12,116 7,949 65.61 20,939 17,073
วานรนิวาส 35,603 24,804 69.67 61,988 54,834
วารชิ ภมู ิ 17,184 10,234 59.56 22,623 20,938
สวา่ งแดนดนิ 45,168 27,433 60.74 100,318 56,372
สอ่ งดาว 9,117 5,772 63.31 22,890 17,201
อากาศอา้ นวย 23,214 15,012 64.67 54,241 33,279
รวม 379,651 211,412 55.69 611,200 467,897
ที่มา : ส้านกั งานเกษตรจงั หวัดสกลนคร ข้อมลู ณ 30 กันยายน 2562
31
3.7.2 พ้นื ทีช่ ลประทานและระบบชลประทาน
1) แหล่งน้าชลประทาน มี 308 โครงการ เก็บกักน้าได้ 1,146 ล้าน ลบ.ม. พ้ืนที่ชลประทาน
478,862 ไร่ คดิ เป็นร้อยละ 20.3 ของพื้นท่ีเพาะปลูก (ท่มี า :โครงการชลประทานสกลนคร) แบ่งเป็น
2) โครงการชลประทานขนาดใหญ่ 3 แห่ง เก็บกักน้าได้ 952 ล้าน ลบ.ม. พ้ืนท่ีชลประทาน
192,785 ไร่ ได้แก่ เข่ือนน้าอูน เก็บกักน้าได้ 520 ล้าน ลบ.ม. มีพ้ืนท่ี 180,464ไร่ เข่ือนน้าพุง เก็บกักน้าได้
165 ล้าน ลบ.ม. เพ่ือการผลิตกระแสไฟฟ้า และหนองหาร มีพ้ืนท่ีท้ังหมด 77,014 ไร่มีพ้ืนท่ีผิวน้า 46,000 ไร่
ลกึ เฉลีย่ 2 เมตร
3) โครงการชลประทานขนาดกลาง 41 แห่ง เก็บกักน้าได้ 120.795 ล้าน ลบ.ม. พ้ืนที่
ชลประทาน 177,390 ไร่
4) โครงการชลประทานขนาดเล็ก 210 แห่ง เก็บกักน้าได้ 93.51 ล้าน ลบ. พื้นที่ชลประทาน
127,574 ไร่
5) โครงการสูบน้าด้วยไฟฟ้า 54 แหง่ พน้ื ที่ชลประทาน 64,412 ไร่
ตารางท่ี 3.7 บญั ชสี รุปแหลง่ น้าขนาดใหญ่ จังหวดั สกลนคร
ลำดบั ช่ือโครงกำร หมู่บำ้ น ทตี่ งั้ ประเภท พน้ื ที่ (ไร่) ควำมจุ ปที ก่ี อ่ สร้ำง หมำยเหตุ
ที่ ตำบล อำเภอ ชลประทำน (ลำ้ น ลบ.ม.) แลว้ เสร็จ
แหลง่ น้ำขนำดใหญ่
1 เขอ่ื นน้ำอนู หนองบัว แร่ พงั โคน เขอ่ื นขนำดใหญ่ 192,785 520.000 2499 ชลประทำน
2 เขื่อนน้ำพงุ 2507 กฟผ.
3 หนองหำร บ้ำนจัดระเบียบ ค้ำเพม่ิ ภูพำน เขอ่ื นขนำดใหญ่ - 165.480
- ประมงจังหวดั
3 รวมทงั้ สน้ิ - ธำตเุ ชิงชุม เมอื ง หนองน้ำขนำดใหญ่ - 266.924
192,785 952.404
ท่มี า: โครงการชลประทานจังหวดั สกลนคร (ขอ้ มลู ณ วันท่ี 24 กรกฎาคม 2563)
3.7.3 ข้อมูลสนิ คา้ เกษตรทไี่ ด้รับรองสิ่งบง่ ช้ที างภมู ิศาสตร์ (GI)
ดา้ นพืช
1. ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี เป็นข้าวกล้อง มีสีน้าตาลอ่อนถึงน้าตาลคล้า (เหลืองทอง)
เมล็ดผอม เรียว แกร่ง ใส ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี หมายถึง ข้าวกล้องท่ีได้จากการแปรรูปข้าวเปลือก
เหนียวพันธุ์ กข6 หรือข้าวเปลือกพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ในระยะเป็นน้านมยังไม่แก่จัด ท่ีปลูกในพื้นท่ี
อ้าเภอวาริชภูมิ พังโคน และอ้าเภออากาศอ้านวยจังหวัดสกลนคร โดยน้ามาผ่านกรรมวิธีเฉพาะตามหลัก
ประเพณีการท้าข้าวฮางท่ีสืบต่อกันมาในพื้นที่ มีคุณค่าทางโภชนาการ คือ จมูกข้าวและเย่ือหุ้มเมล็ด
เป็นส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมาก มีโปรตีน วิตามินและเกลือแร่สูง มีสารกาบาช่วยรักษาสมดุลของสมอง
ลดความวิตกกังวัล หลับสบาย ป้องกันโรคความจ้าเสื่อม ชะลอความชรา ลดความดันเลือด กระตุ้น
การขับถ่าย ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในล้าไส้ มีแกมมาออริซานอล วิตามินอี สารฟีโนลิค ไลซีน และมี
32
โปรตีนช่วยในการย่อยเปปไทด์ มีไฟเบอร์สูงกวา่ ข้าวขาวถงึ 15 – 20 เท่า ชว่ ยใหอ้ ่ิมท้องไม่หิวง่าย จึงมสี ่วน
ช่วยให้ลดความอ้วน ป้องกนั การเกดิ โรคเบาหวาน ขับถ่ายสะดวก และชว่ ยดดู ซับสารพิษออกจากรา่ งกาย
2. เม่า หมากเม่าและน้าหมากเม่าสกลนคร ผลิตภัณฑ์น้าหมากเม่า ท้าจากหมากเม่าสุก สี
ม่วงแดง มีสารอาหารท่ีร่างกายต้องการ หลายชนิด เช่น แคลเซียม เหล็ก วติ ามินอี วิตามินบี 1 และบี 2 มี
กรดอะมีโน และสารแอนโธไชยานิน มสี รรพคณุ ช่วยระบายท้องขับเสมหะ แกไ้ อ ฟอกโลหติ บ้ารุงธาตุ ชว่ ย
ขับปัสสาวะ บ้ารุงโลหติ ในน้าหมากเมา่ มสี ารแอนโธไชยานิน และมีปรมิ าณ สารประกอบฟีนอลิก จึงเป็นไป
ได้วา่ น้าหมากเมา่ มีสารทม่ี ีคุณสมบัติเป็นสารตา้ นอนมุ ลู อิสระ ป้องกนั การแก่ชราของเซลล์และเพ่มิ ภูมคิ ุ้มกัน
อกี ด้วย
ด้านสัตว์
1. โคขุนโพนยางค้า เป็นเนื้อโคขุนคุณภาพสูงจากหมู่บ้านโพนยางค้า ต้าบลโนนหอม อ้าเภอ
เมอื ง จังหวดั สกลนคร ซึ่งเป็นโคเนือ้ ลูกผสมไทย-ฝรัง่ เศส โดยมกี ารตกลงจัดตั้งเป็นสหกรณ์โพนยางค้าตั้งแต่
ปี 2523 ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศแม้จะมีราคาสูงกว่าเนื้อโคปกติ
การเลย้ี งโคขุนเป็นการเลี้ยงโคเนื้ออีกรปู แบบหน่ึงท่ีม่งุ ผลิตเน้ือโคคุณภาพดีเพ่อื ตอบสนองความต้องการของ
ตลาด ทดแทนการน้าเข้าเนื้อจากต่างประเทศ การเลี้ยงโคขุนจะใช้เวลาน้อยกว่าการเลี้ยงโคเนื้อโดยทั่วไป
การเล้ียงโคขุนสามารถยดึ เป็นอาชีพได้และเป็นอาชีพท่ีให้รายได้ดี ท้าให้ผู้เลี้ยงใช้เวลาว่างและวัสดุเหลือใช้
เช่น มันส้าปะหลัง ซังข้าวโพด เป็นต้น เป็นการช่วยแก้ปัญหาการตลาดของพืชไร่ดังกล่าวโดยน้าผลผลิต
เหล่านนั้ มาเปล่ียนเป็นอาหารส้าหรับเลยี้ งโค เพอื่ ผลิตเนอ้ื โคซง่ึ ได้ราคาสงู กว่า
โคขุนโพนยางค้า มที ี่มาจากโคเน้ือลกู ผสมไทย-ฝร่ังเศส เกิดจากการผสมเทียมโดยใช้น้าเช้ือจากพอ่ -
แม่พันธุ์โคเน้ือ 3 สายพันธุ์ ได้แก่พันธ์ุชาโรเลย์ส (Charolais) ถ่ินก้าเนิดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และพันธ์ุ
ลิมูซีน (Limusin) ถ่ินก้าเนิดประเทศฝร่ังเศส พันธุ์ของโคที่เหมาะสมต่อการขุน ได้แก่ โคลูกผสมบราห์มัน
ผสมพันธพ์ุ ื้นเมืองผสมพันธช์ุ าโรเสลส์ บราหม์ ันผสมชาร์โรเล่ส์ บราห์มันผสมพันธ์ุพืน้ เมือง บราห์มันผสมชิม
เมนทอน บราห์มันผสมแฮงกสั (แบงส์กสั ) และลกู โคนม
ในปี พ.ศ. 2560 ราคาเน้ือโคขุนโพนยางค้าเกือบสามสิบรายการมีต้ังแต่หน่ึงร้อยถึงหน่ึงพันบาทต่อ
กิโลกรัม เนื้อท่ีมีราคาต่้าสุด คือ เน้ือย่างกิโลกรัมละ 115 บาท ท่ีมีราคาสูงสุด คือ เนื้อสันในกิโลกรัมละ
1,050 บาท
ปัจจุบันโคขุนโพนยางค้าได้รับความนิยมท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลาดเน้ือโคช้าแหละใน
บรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ท่ีกรุงเทพมหานคร มีตัวแทนจ้าหน่ายต่างประเทศท่ีจังหวัดปทุมธานี มีสหกรณ์
จ้าหน่ายในจังหวัดสกลนคร ปัจจุบันสามารถผลิตโคได้ 55 ตัวต่อวันช้าแหล่ะสัปดาห์ละ 2 วัน จาก
ความส้าเรจ็ ของโคขนุ โพนยางคา้ ท้าให้มีการแอบอา้ งโดยร้านค้าหลายแห่ง ซงึ่ ถอื เป็นการหลอกลวงผู้บริโภค
โคขนุ โพนยางค้าจริงจะมปี ้ายรับรองมาตรฐานของสหกรณ์ติดอยู่หนา้ ร้าน
บทท่ี 4
ผลการศกึ ษา
4.1 ผลการศกึ ษาวเิ คราะห์ด้านเศรษฐกจิ สนิ ค้าเกษตรทสี่ าคญั ของจังหวดั
ผลการศึกษาสินค้าเกษตรด้านพืชท่สี าคัญของจังหวัดสกลนคร จานวน 5 สินคา้ ได้แก่ ข้าวเหนยี วนาปี
ยางพารา มันสาปะหลงั โรงงาน ข้าวโพดเลย้ี งสัตว์ และปาลม์ นา้ มัน รายละเอียดดังน้ี
4.1.1 ขา้ วเหนียวนาปี
1) ระดับความเหมาะสมของพืน้ ที่ปลูกข้าว
จากข้อมูล Agri-Map online ของกรมพัฒนาท่ีดิน พื้นท่ีระดับความเหมาะสมในการปลูก
ขา้ วของจงั หวัดสกลนคร รวม 4,905,761 ไร่ แบง่ เป็นพื้นทเี่ หมาะสมมาก (S1) จานวน 1,031,445 ไร่ พนื้ ท่ี
เหมาะสมปานกลาง (S2) 569,887 ไร่ พ้ืนท่ีความเหมาะสมน้อย (S3) 615,971 ไร่ และพื้นท่ีไม่เหมาะสม
(N) 2,688,457 ไร่ โดยในปี 2561 มีพ้ืนท่ีปลูกข้าวในพื้นท่ีเหมาะสมมาก (S1) 781,267 ไร่ พื้นท่ีเหมาะสม
ปานกลาง (S2) 417,959 ไร่ พื้นที่เหมาะสมน้อย (S3) 503,608 ไร และพ้ืนที่ไม่เหมาะสม (N) 699,065 ไร
คดิ เป็นรอ้ ยละ 32.53, 17.40, 20.97 และ 29.10 ตามลาดับ (ตารางท่ี 4.1)
ตารางท่ี 4.1 การปลกู ข้าวในพ้นื ทีร่ ะดับความเหมาะสม ปี 2561 จังหวดั สกลนคร
ชั้นความเหมาะสม พนื้ ท่เี หมาะสม พืน้ ทปี่ ลูกจริง
เนื้อที่ปลูก (ไร่) รอ้ ยละ เน้อื ทปี่ ลูก (ไร่) ร้อยละ
เหมาะสมมาก (S1) 1,031,445 21.02 781,267 32.53
เหมาะสมปานกลาง (S2) 569,887 11.61 417,959 17.40
เหมาะสมนอ้ ย (S3) 615,971 12.55 503,608 20.97
ไม่เหมาะสม (N) 2,688,458 54.80 699,065 29.10
รวม 4,905,761 100 2,401,899 100
ท่ีมา : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์/ Agri Map online (2561)
2) การผลติ ขา้ วเหนยี วนาปี
ในชว่ ง 3 ปี (ปี 2560– 2562) เนอ้ื ทป่ี ลูกข้าวเหนยี วนาปีของจังหวดั สกลนคร ลดลงร้อยละ
0.94 ส่วนเนอ้ื ท่ีเก็บเกย่ี วและผลผลิตในภาพรวมขา้ วเหนยี วนาปขี องจังหวัดสกลนคร เพิ่มขน้ึ ร้อยละ 3.22
ผลผลิตต่อไรล่ ดลงร้อยละ 3.43 เนอ่ื งจากชว่ งปี 2561 – 2562 สภาพอากาศร้อนจดั ในช่วงการเจรญิ เตบิ โต
ของขา้ ว ประกอบกับฝนทิง้ ช่วง โดยเฉพาะสภาพอากาศทีร่ ้อนและแห้งแล้ง สง่ ผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง
(ตารางที่ 4.2)
34
ตารางท่ี 4.2 เนอ้ื ท่ีปลูก เน้ือทีเ่ กบ็ เกยี่ ว ผลผลติ และผลผลิตต่อไร่ ข้าวเหนยี วนาปี ปี 2560 – 2562
ปี เนื้อท่เี พาะปลูก เน้อื ทเ่ี ก็บเกย่ี ว ผลผลติ ผลผลติ ต่อไร่
(ไร)่ (ไร่) (ตนั ) (กก.)
2560 1,574,729 1,284,058 457,615 356
2561 1,536,282 1,465,876 504,454 344
2562 (f) 1,545,131 1,468,594 487,595 332
อัตราการเตบิ โต (รอ้ ยละ) -0.94 6.94 3.22 -3.43
ทม่ี า : สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร (2562), f = ข้อมูลพยากรณ์ ณ เดอื นกนั ยายน 2563
พันธุ์ข้าวเหนียวนาปีที่เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูก ได้แก่ ข้าวพันธ์ุ กข.6 และพันธุ์พ้ืนเมือง โดย
ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเหนียวนาปีจะเร่ิมต้ังแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2561 โดยผลผลิตออกสู่ตลาดมาก
ทีส่ ดุ ในเดือนพฤศจิกายน ประมาณรอ้ ยละ 96.32 ชองผลผลิตท้งั หมด (ตารางท่ี 4.3)
ตารางที่ 4.3 รอ้ ยละผลผลิตข้าวเหนยี วนาปี ปีเพาะปลูก 2562/63 จังหวดั สกลนคร
เดอื น ต.ค.62 พ.ย.62 ธ.ค.62 รวม
100.00
ร้อยละ 1.75 96.32 1.93
ทีม่ า : สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร (2562)
3) ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวเหนยี วนาปี
ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตข้าวเหนยี วนาปี ปเี พาะปลูก 2562/63 ของจงั หวัดสกลนคร
แยกตามความเหมาะสมของพื้นทดี่ ังน้ี (ตารางที่ 12)
ในพ้ืนท่ีเหมาะสม (S1, S2) ต้นทุนรวม 3,842.33 บาทต่อไร่ ประกอบด้วยต้นทุน
ผันแปร 2,870.70 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 74.71 ของต้นทุนรวม และต้นทุนคงที่ 971.63 บาทต่อไร่ หรือ
ร้อยละ 25.29 สาหรับพื้นท่ีเหมาะสมเกษตรกรได้รับผลผลิต 321 กิโลกรัมต่อไร่ กรณีท่ีราคาเกษตรกรขาย
ได้ 14.42 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 14,420 บาทต่อตัน เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทน 4,628.82 บาทต่อไร่
หรอื ผลตอบแทนสทุ ธิ 786.49 บาทตอ่ ไร่
ในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) ต้นทุนรวม 4,400.79 บาทต่อไร่ ประกอบด้วยต้นทุน
ผันแปร 3,319.37 บาทต่อไร่ หรือร้อยละ 75.43 และต้นทุนคงท่ี 1,081.42 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ
24.57 ของต้นทุนรวม ส่วนผลผลิตในพ้ืนท่ีไม่เหมาะสมไร่ละ 316 กิโลกรัม ราคาท่ีเกษตรกรขายได้ 14.42
บาทต่อไร่ หรือตันละ 14,420 บาท เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทน 4,556.72 บาทต่อไร่ หรือผลตอบแทน
สุทธิ 155.93 บาทต่อไร่ (ตารางที่ 4.4)
35
ตารางที่ 4.4 ต้นทนุ และผลตอบแทนการผลติ ขา้ วเหนยี วนาปี ปเี พาะปลกู 2562/63 จงั หวดั สกลนคร
สกลนคร
รายการ พ้นื ทเ่ี หมาะสม (S1/S2) พ้ืนทไ่ี มเ่ หมาะสม (S3/N)
เงนิ สด ไมเ่ ป็น รวม เงินสด ไม่เปน็ รวม
เงนิ สด เงนิ สด
1. ต้นทุนผันแปร 1,782.90 1,087.90 2,870.70 2,078.98 1,249.39 3,319.37
2. ต้นทุนคงที่ - 971.63 971.63 - 1,081.42 1,081.42
3. ต้นทนุ รวมตอ่ ไร่ 1,782.90 2,959.43 3,842.33 2,078.98 2,321.81 4,400.79
4. ตน้ ทุนรวมตอ่ กิโลกรมั 5.55 6.42 11.97 6.58 7.35 13.93
5. ผลผลิตตอ่ ไร่ (กโิ ลกรมั ) 321.00 316.00
6. ราคาทเ่ี กษตรกรขายได้ทไ่ี รน่ า 14.42 14.42
(บาท/กิโลกรมั )
7. ผลตอบแทนตอ่ ไร่ 4,628.82 4,556.72
8. ผลตอบแทนสุทธติ อ่ ไร่ 2,845.92 2,569.39 786.49 2,477,74 2,234.91 155.93
9. ผลตอบแทนสทุ ธติ ่อกิโลกรัม 8.87 8.00 2.45 7.84 7.07 0.49
ท่ีมา : จากการคานวณ
4) การตลาดข้าวเหนยี วนาปี
4.1) ราคาท่ีเกษตรกรขายได้
ราคาข้าวเหนียวนาปีเกษตรกรขายได้ ปี 2560 - 2562 (ความชื้น 15%) อยู่ในช่วง
10,543 – 14,420 บาทตอ่ ตัน ราคาเพ่มิ ขึน้ ร้อยละ 16.96 (ตารางที่ 4.5)
ตารางที่ 4.5 ราคาข้าวเหนยี วนาปีที่เกษตรกรขายได้ (ความชืน้ 15%) ปี 2560 -2562
ปี ราคา (บาท/ตนั )
2560 10,543
2561 10,044
2562 14,420
อตั ราการเตบิ โต (รอ้ ยละ) (%) 16.96
ท่ีมา : สานกั เศรษฐกจิ การเกษตร (2562)
4.2) ผลผลติ และการใช้ประโยชน์ขา้ วเหนียวนาปี
ผลผลติ ข้าวเปลือกเหนยี วนาปี (Supply) ในจังหวัดสกลนคร 489,595 ตัน เป็นผลผลิต
ของจังหวดั 487,595 ตัน และนาเขา้ จากจังหวดั อืน่ 2,000 ตัน เป็นการรบั ซือ้ ผลผลติ ข้าวเปลือกจากจังหวัด
ใกล้เคียง ได้แก่ นครพนม อุดรธานี ด้านความต้องการใช้ข้าวเปลือกเหนียวนาปี (Demand) 634,408 ตัน
36
ทั้งนี้เกษตรกรมีความต้องการใช้ผลผลิตไว้สาหรับบริโภค จานวน 345,000 ตัน และเก็บไว้ทาพันธ์ุ 3,656
ตัน โรงสีมีความต้องการใช้ผลผลิตเพ่ือสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร จานวน 276,000 ตัน โดยโรงสี
รับซื้อผลผลิตข้าวเปลือกจากเกษตรกรโดยตรง และรับซ้ือผ่านท่าข้าว พ่อค้าท้องถ่ิน และสถาบันเกษตรกร
ในจังหวัดสกลนคร นอกจากน้ีจังหวัดมีความต้องการใช้ข้าวเปลือกเหนียวนาปีเพื่อส่งออกนอกจังหวัด
จานวน 9,752 ตนั ส่งผลให้ผลผลติ ขา้ วเปลือกเหนียวนาปีในจังหวดั และนาเข้าไม่เพียงพอต่อ ความต้องการ
ใช้ในจังหวดั หรอื มสี ่วนขาดประมาณ 144,813 ตนั (ตารางที่ 4.6)
ตารางที่ 4.6 ผลผลิต (Supply) และความต้องการใช้ (Demand) ข้าวเหนียวนาปี ปี 2562 จังหวัด
สกลนคร
รายการ จานวนผลผลติ (ตนั ขา้ วเปลือก)
1. ผลผลติ (Supply) 489,595
1.1 ผลผลิตของจังหวัด 487,595
1.2 นาเข้าของจงั หวัดอ่นื 2,000
2. ความต้องการใช้ (Demand) 634,408
2.1 บรโิ ภคภายในครวั เรอื น 345,000
2.2 เกบ็ ไว้ใช้ทาเมลด็ พนั ธุ์ 3,656
2.3 เข้าโรงสี ภายในจังหวดั 276,000
2.4 สง่ ออกของจังหวดั 9,752
3. ผลผลติ ส่วนเกิน/ขาด (1-2) -144,813
ทมี่ า : จากการคานวณ
4.3) วิถกี ารตลาดขา้ วเหนียวนาปี
วิถีการตลาดข้าวเปลือกเหนียวนาปี จังหวัดสกลนคร โดยเกษตรกรผู้ผลิตจาหน่ายให้
โรงสี สถาบันเกษตรกร ท่าข้าว และพ่อค้าท้องถ่ิน ซ่ึงสถาบันเกษตรกรจะแปรรูปเป็นข้าวสารจาหนา่ ย ส่วน
ท่าข้าว และพ่อค้าท้องถิ่นจะนามาขายต่อให้โรงสแี ละส่งออกนอกจังหวัด เมื่อโรงสีได้ทาการแปรรูปผลผลติ
เรียบร้อยแล้ว จะมีการขายต่อตลาดข้าวสาร โดยเป็นลักษณะการขายส่งให้นายหน้าหรือหยง พ่อค้าทั้งใน
ประเทศ และตา่ งประเทศ (แผนภาพที่ 4.1)
37
แผนภาพที่ 4.1 วถิ ีการตลาดขา้ วเปลอื กเหนียวนาปี ปี 2562 จังหวดั สกลนคร
เกษตรกร
100
88%% 40% 30% 22%
สถาบนั ทา่ ขา้ ว/ 4% พ่อค้ารวบรวม
เกษตรกร ฉางข้าว
ทอ้ งถน่ิ
สเี พอื่ แปรสภาพ 22% 12%
กอ่ นจาหนา่ ย
สง่ ออกนอก
โรงสีในจังหวดั จงั หวัด
18%
ทมี่ า : จากการสารวจ
4.1.2 ยางพารา
1) ระดับความเหมาะสมของพื้นท่ีปลกู ยางพารา
จากข้อมูล Agri-Map online ของกรมพัฒนาท่ีดิน พ้ืนท่ีระดับความเหมาะสมในการปลูก
ยางพาราของจังหวัดสกลนคร รวม 4,905,761 ไร่ แบ่งเป็นพ้ืนที่เหมาะสมมาก (S1) 84,821 ไร่ พ้ืนที่
เหมาะสมปานกลาง (S2) 1,632,353 ไร่ พน้ื ทีเ่ หมาะสมน้อย (S3) 1,402,223 ไร่ และพืน้ ท่ไี มเ่ หมาะสม (N)
1,786,364 ไร่ โดยในปี 2561 มีพ้ืนท่ีปลูกยางพาราในพื้นท่ีเหมาะสมมาก (S1) 25,491 ไร่ พ้ืนท่ีเหมาะสม
ปานกลาง (S2) 391,691 ไร่ พื้นท่ีเหมาะสมน้อย (S3) 12,640 ไร และพื้นท่ีไม่เหมาะสม (N) 828 ไร คิด
เปน็ รอ้ ยละ 5.92, 90.95, 2.94 และ 0.19 ตามลาดบั (ตารางที่ 4.7)
38
ตารางท่ี 4.7 การปลูกยางพาราในพน้ื ทร่ี ะดบั ความเหมาะสม ปี 2561 จงั หวัดสกลนคร
ช้นั ความเหมาะสม พ้นื ท่ีเหมาะสม พนื้ ที่ปลูกจรงิ
เนอื้ ท่ีปลกู (ไร่) รอ้ ยละ เนื้อที่ปลกู (ไร)่ ร้อยละ
เหมาะสมมาก (S1) 84,821 1.73 25,491 5.92
เหมาะสมปานกลาง (S2) 1,632,353 33.28 391,691 90.95
เหมาะสมน้อย (S3) 1,402,223 28.58 12,640 2.94
ไม่เหมาะสม (N) 1,786,364 36.41 828 0.19
รวม 4,905,761 100.00 430,650 100.00
ท่มี า : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์/ Agri Map online (2561)
2) การผลิตยางพารา
ในช่วง 3 ปี (ปี 2560– 2562) เน้ือที่ยืนต้นของยางพาราในจังหวดั สกลนครอัตราการเตบิ โต
เฉลี่ยคงที่ โดยเนื้อที่ปลูกจาก 336,937 ไร่ ในปี 2560 เพิ่มเป็น 336,944 ไร่ ในปี 2562 ส่วนเน้ือที่กรีด
ยางพารา เพม่ิ ขน้ึ เฉล่ยี ร้อยละ 8.53 โดยเนื้อทก่ี รดี ยางพารา เพม่ิ ข้ึนจาก 274,792 ไร่ เป็น 323,689 ไร่ ส่งผล
ให้ผลผลิตโดยรวมเพิ่มข้ึนจาก 60,688 ตัน เป็น 69,917 ตัน หรือเพ่ิมขึ้นร้อยละ 7.33 แต่ผลผลิตต่อไร่ลดลง
จาก 221 กิโลกรมั เปน็ 216 กิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 1.14 (ตารางที่ 4.8)
ตารางที่ 4.8 เนอ้ื ทยี่ ืนตน้ เนือ้ ทก่ี รดี และผลผลติ ยางพาราปี 2560 – 2562 ของจังหวัดสกลนคร
ปี เนือ้ ทย่ี ืนต้น เนือ้ ทก่ี รีด ผลผลติ ผลผลติ ต่อไร่
(ไร่) (ไร่) (ตนั ) (กก.)
2560 336,937 274,792 60,688 221
2561 337,018 313,536 68,351 218
2562 336,944 323,689 69,917 216
อัตราการเติบโต (ร้อยละ) 0.00 8.53 7.33 -1.14
ทม่ี า : สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร (2562)
ผลผลิตน้ายาพารางออกสู่ตลาดมากท่ีสุด เร่ิมต้ังแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม เน่ือง
สภาพอากาศเย็น ทาให้มีปริมาณน้ายางมาก สาหรับช่วงที่เกษตรกรหยดุ กรีดยางเรมิ่ ประมาณเดือนมีนาคม
ถงึ เดือนพฤษภาคม ซ่งึ เขา้ สชู่ ว่ งท่ีมสี ภาพอากาศร้อนและแลง้ ทาให้ผลผลติ ออกส่ตู ลาดน้อย เมอ่ื เข้าส่ฤู ดูฝน
ในเดอื นมิถนุ ายนจงึ จะเปิดกรดี ยางอีกครั้ง (ตารางที่ 4.9)
39
ตารางท่ี 4.9 ร้อยละผลผลิต ยางพารา ปี 2562 จงั หวัดสกลนคร
รายการ รอ้ ยละผลผลิตเปน็ รายเดอื น รวม
รอ้ ย
ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ละ/ตนั
รอ้ ยละ 9.91 5.58 0.15 0.07 0.21 10.62 10.92 9.94 11.00 13.14 14.08 14.38 100.00
ท่มี า : สานักงานเศรษฐกจิ การเกษตร (2562)
3) ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลติ ยางพารา
ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตยางพารา ปีเพาะปลูก 2562/63 ของจังหวัดสกลนคร แยก
ตามความเหมาะสมของพื้นท่ีดังนี้ (ตารางที่ 12)
ในพ้นื ทเ่ี หมาะสม (S1, S2) ตน้ ทุนรวม 10,058.49 บาทต่อไร่ ประกอบด้วยตน้ ทนุ ผันแปร
8,069.89 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 80.23 และต้นทุนคงท่ี 1,988.60 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 19.77
สาหรับพื้นท่ีเหมาะสมเกษตรกรได้รับผลผลิต 449 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาเกษตรกรขายได้ 17.78 บาทต่อ
กโิ ลกรมั เกษตรกรจะได้รบั ผลตอบแทน 7,983.22 บาทตอ่ ไร่ หรอื ผลตอบแทนสทุ ธิ -2,075.27 บาทต่อไร่
ในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) ต้นทุนรวมต่อไร่ 10,720.08 บาท ประกอบด้วยต้นทุนผัน
แปร 8,634.63 บาท คิดเป็นร้อยละ 80.55 และต้นทุนคงท่ี 2,085.45 บาท คิดเป็นร้อยละ 19.45
ผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับต่อไร่ สาหรับพ้ืนที่ไม่เหมาะสมเกษตรกรได้รับผลผลิต 441 กิโลกรัมต่อไร่
กรณีท่ีราคาเกษตรกรขายได้ 17.78 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทน 7,840.98 บาทต่อไร่
หรือผลตอบแทนสุทธิ -2,879.10 บาทตอ่ ไร่ (ตารางท่ี 4.10)
ตารางท่ี 4.10 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลิตยางพารา ปี 2562 จังหวดั สกลนคร
พ้ืนทเี่ หมาะสม (S1/S2) พื้นท่ีไม่เหมาะสม (S3/N)
รายการ เงนิ สด ไม่เปน็ รวม เงนิ สด ไมเ่ ปน็ รวม
เงนิ สด เงนิ สด
1. ต้นทนุ ผนั แปร 1,966.21 6,103.68 8,069.89 2,213.20 6,421.43 8,634.63
2. ต้นทุนคงท่ี - 1,988.60 1,988.60 - 2,085.45 2,085.45
3. ตน้ ทุนรวมตอ่ ไร่ 1,966.21 8,092.28 10,058.49 2,213.20 8,506.88 10,720.08
4. ต้นทนุ รวมตอ่ กิโลกรัม 4.38 18.02 22.40 5.02 19.29 24.31
5. ผลผลติ ตอ่ ไร่ (กิโลกรมั ) 449.00 441.00
6. ราคาที่เกษตรกรขายไดท้ ่ไี ร่นา 17.78 17.78
(บาท/กิโลกรัม)
7. ผลตอบแทนต่อไร่ 7,983.22 7,840.98
8. ผลตอบแทนสุทธติ ่อไร่ 6,017.01 -2,075.27 5,627.78 -2,879.10
9. ผลตอบแทนสทุ ธติ ่อกโิ ลกรัม 13.40 4.62 12.76 6.53
ที่มา : จากการสารวจ