The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แหล่งเรียนรู้ สกร.อำเภอบางไทร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กศน. อําเภอบางไทร, 2024-04-17 05:04:26

แหล่งเรียนรู้ สกร.อำเภอบางไทร

แหล่งเรียนรู้ สกร.อำเภอบางไทร

Keywords: แหล่งเรียนรู้ สกร.อำเภอบางไทร

1 ท ำเนียบแหล่งเรียนรู้ ห้องสมุดประชำชนอ ำเภอบำงไทร ศูนย์ส่งเสริมกำรเรียนรู้อ ำเภอบำงไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยำ


2 ท ำเนียบแหล่งเรียนรู้ ห้องสมุดประชำชนอ ำเภอบำงไทร ศูนย์ส่งเสริมกำรเรียนรู้อ ำเภอบำงไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยำ


3 ค ำน ำ การจัดทำทำเนียบแหล่งเรียนรู้ของห้องสมุดประชาชนอำเภอบางไทร จัดทำขึ้น เพื่อการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้อันหลากหลายของอำเภอบางไทร ผู้จัดทำได้รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นของอำเภอบางไทร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ ประวัติความเป็นมาของแหล่งเรียนรู้ต่างๆของพื้นที่อำเภอบางไทร การศึกษาค้นคว้า เรื่องแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เล่มนี้ ได้ดำเนินงานการศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆ อาทิเช่น ตำรา หนังสือ วารสาร ฯลฯ และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ และรูปภาพจากคณะครู และผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ ห้องสมุดประชาชนอำเภอบางไทร ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอบางไทร หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในหนังสือฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ ผู้จัดทำ ห้องสมุดประชาชนอำเภอบางไทร


4 สำรบัญ เรื่อง หน้า แหล่งเรียนรู้ ความหมายของแหล่งเรียนรู้ 1 ประเภทของแหล่งเรียนรู้ 1 ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอำเภอบางไทร 1 แหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ตำนาน เรื่องเล่าท้องถิ่น 5 ที่มาชื่อตำบลในอำเภอบางไทร 5 สถานที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 11 ห้องสมุดประชาชนอำเภอบางไทร 11 เจดีย์วัดสนามไชย 12 หลวงพ่อวัดน้อย 13 หลวงพ่อจง 14 หลวงปู่สด ธัมวโร 15 หลวงพ่อเพิ่ม (พระครูประโชติธรรมวิจิตร) 17 ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรฯ 19 ลานเท 20 วัดเชิงเลน 21 วัดโบสถ์สมพรชัย 22 วัดโพธิ์แตงใต้ 23 วัดโพธิ์แตงเหนือ 24 วัดกกแก้วบูรพา 26 วัดช่างเหล็ก 28 วัดศิริสุขาราม 30 วัดป่าคา 32 วัดหน้าต่างนอก 34 วัดหน้าต่างใน 36 วัดป้อมแก้ว 37 วัดปากน้ำ 38 วัดกระแชง 39 วัดบางยี่โท 40


5 สำรบัญ เรื่อง หน้า สถานที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ (ต่อ) วัดบางแขยง 41 วัดนาคสโมสร 42 วัดท่าซุงทักษิณาราม 43 วัดอนุกุญชราราม 45 วัดโบสถ์อินทราราม 46 วัดขุนจ่าธรรมาราม 47 วัดสุนทราราม 49 วัดสิงห์สุทธาวาส 50 วัดช้างใหญ่ 51 วัดสนามไชย 53 วัดบางไทร 54 วัดพระคริสตประจักษ์เกาะใหญ่อยุธยา 56


1 แหล่งเรียนรู้ ควำมหมำยของแหล่งเรียนรู้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 43) ได้นิยามความหมายของแหล่งเรียนรู้ว่า หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศและประสบการณ์ที่สนับสนุนให้ผู้เรียนใฝ่เรียนใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ และ เรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการ เรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ ช่วยขยายแนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้กว้างขวางขึ้น แหล่งเรียนรู้กระตุ้นให้เกิดการพัฒนากระบวนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ เนาวรัตน์ ลิขิตวัฒนเศรษฐ (2544 : 28) แหล่งเรียนรู้ คือถิ่น ที่อยู่ บริเวณบ่อเกิด แห่งที่ หรือ ศูนย์รวมความรู้ที่ให้เข้าไปศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจ และความชำนาญ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่เป็น ธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นได้ทั้งบุคคล สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ลัดดา ศิลาน้อย (2545 : 34) ได้ให้ความหมายของ แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งวิชาการหรือ แหล่งทรัพยากรแหล่งข้อมูลในท้องถิ่นแต่ละแห่ง ประกอบไปด้วยบุคคลในชุมชน สถานที่สำคัญในชุมชน รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ควำมส ำคัญของแหล่งเรียนรู้ 1. แหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย 2. แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3. แหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 4. แหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ 5. แหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์ ประเภทของแหล่งเรียนรู้ จากความหมายของคำว่า แหล่งเรียนรู้ที่มีความหมายครอบคลุมกว้างขวางมากมีตั้งแต่สิ่งใกล้ตัว สิ่งไกลตัว สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นรวมถึงตัวบุคคล ดังนั้นจึงมีผู้รู้และ หน่วยงานทางการศึกษาได้ให้แนวคิดต่างๆ ไว้มากมาย เพื่อวัตถุประสงค์ของการจำแนกประเภทของ แหล่งเรียนรู้ให้เป็นกลุ่มเป็นระเบียบเพื่อสะดวกต่อการเรียกชื่อและใช้ประโยชน์ ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2544) ได้จำแนกแหล่งเรียนรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทธรรมชาติ ประเภท สิ่งพิมพ์ ประเภทเทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้ในชุมชนทุกประเภท กระทรวงศึกษาธิการ (2545) จำแนกแหล่งเรียนรู้ออกเป็น ๒ ประเภท คือ


2 1. แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนได้แก่ ห้องสมุด ห้องหมวดวิชา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยบริการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์สื่อการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรมการ เรียนการสอน Resource Center สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ ธรรมะ ฯลฯ 2. แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ องค์การของรัฐ และเอกชน


3 ขอ ้ มูลพ ้ ื นฐำนเก ี่ยวกบัอ ำเภอบำงไทร อำเภอบางไทร ตั้งอยู่บริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลบางไทร อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห่างจากจังหวัดประมาณ 35 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 150.7 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 137,299 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอบางบาล และอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเสนา และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


4 อำเภอบางไทร มีประวัติศาสตร์ในอดีต อำเภอบางไทร รวมการปกครองอยู่กับอำเภอเสนา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้แบ่งการปกครองออกเป็น เสนาใหญ่ (ด้านเหนือ) เสนาน้อย (ด้านใต้) แต่ใช้ชื่อ แขวงราชคราม ในปี พ.ศ.2468 ย้ายอำเภอมาตั้งใหม่ริมฝั่งแม่น้ำน้อย หมู่ที่ 4 ตำบล บางไทร และยังใช้ชื่อว่า อำเภอราชคราม ต่อมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2582 จึงเปลี่ยนชื่อ เป็น อำเภอบางไทร อำเภอบางไทร มีคำขวัญอำเภอว่า “ศิลปาชีพเรืองชื่อ เลื่องลือหลวงพ่อจง มั่นคงหลวงพ่อ น้อย รอยคอยที่ลานเท” อำเภอบางไทร เป็นอำเภอหนึ่งในสิบหกอำเภอของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีประชากรมากกว่า 48,000 คน การเมืองการปกครองของอำเภอบางไทร อำเภอบางไทร แบ่งเขตการปกครองท้องถิ่นออกเป็น ๒๓ ตำบล ประกอบด้วย ตำบล บางไทร ตำบลบางพลี ตำบลบ้านเกาะ ตำบลกกแก้วบูรพา ตำบลไผ่พระ ตำบลไม้ตรา ตำบลบ้านม้า ตำบลโคกช้าง ตำบลสนามชัย ตำบลบ้านแป้ง ตำบลช้างน้อย ตำบลกระแชง ตำบลบ้านกลึง ตำบลหน้าไม้ ตำบลแคออก ตำบลบางยี่โท ตำบลช่างเหล็ก ตำบลห่อหมก ตำบลแคตก ตำบลราชคราม ตำบลช้างใหญ่ ตำบลโพแตง ตำบลเชียงรากน้อย เขตการปกครอง อำเภอบางไทร แบ่งเขตการปกครอง ออกเป็น 23 ตำบล 136 หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลบางไทร 10 หมู่บ้าน ตำบลบางพลี5 หมู่บ้าน ตำบลบ้านเกาะ 6 หมู่บ้าน ตำบลกกแก้ว บูรพา 6 หมู่บ้าน ตำบลไผ่พระ 7 หมู่บ้าน ตำบลไม้ตรา 13 หมู่บ้าน ตำบลบ้านม้า 8 หมู่บ้าน ตำบลโคกช้าง 7 หมู่บ้าน ตำบลสนามชัย 8 หมู่บ้าน ตำบลบ้านแป้ง 3 หมู่บ้าน ตำบลช้างน้อย 5 หมู่บ้าน ตำบลกระแชง 5 หมู่บ้าน ตำบลบ้านกลึง 9 หมู่บ้าน ตำบลหน้าไม้ 4 หมู่บ้าน ตำบล แคออก 4 หมู่บ้าน ตำบลบางยี่โท 5 หมู่บ้าน ตำบลช่างเหล็ก ๔ หมู่บ้าน ตำบลห่อหมก ๔ หมู่บ้าน ตำบลแคตก ๕ หมู่บ้าน ตำบลราชคราม 5 หมู่บ้าน ตำบลช้างใหญ่ 4 หมู่บ้าน ตำบล โพแตง 4 หมู่บ้าน ตำบลเชียงรากน้อย 4 หมู่บ้าน ท้องที่อำเภอบางไทร ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 11 แห่ง ได้แก่ เทศบาล 2 แห่ง ได้แก่ เทศบาลตำบลบางไทร เทศบาลตำบลราชคราม และองค์การบริหารส่วนตำบล 9 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลไผ่พระ องค์การบริหารส่วนตำบลกระแชง องค์การบริหาร ส่วนตำบลสนามชัย องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลึง องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านม้า องค์การบริหารส่วนตำบลโคกช้าง องค์การบริหารส่วนตำบลโพแตง องค์การบริหารส่วนตำบล ไม้ตรา องค์การบริหารส่วนตำบลบางยี่โท


5 การคมนาคม ระยะทางห่างจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 45 กิโลเมตร ระยะทางเรือ (ทาง แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย) ห่างจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 35 กิโลเมตร มี เส้นทางคมนาคม 2 เส้นทาง คือ ทางหลวงจังหวัด สายที่ 1 ถนนสายพระนครศรีอยุธยา - สุพรรณบุรี สายที่ 2 ถนนสายปทุมธานี - เสนา สายที่ 3 ถนนสายปทุมธานี - บางปะหัน (ถนนวงแหวนรอบนอก) ทางน้ำ มี ๒ สาย คือ สายที่ 1 แม่น้ำน้อยจากอำเภอเสนา - อำเภอบางไทร สายที่ 2 แม่น้ำเจ้าพระยา - บางปะอิน - ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ลักษณะทางภูมิศาสตร์ สภาพพื้นที่โดยทั่วไปของอำเภอบางไทร มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำเจ้าพระยาและ แม่น้ำน้อยไหลผ่าน โดยมีลำคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ำทั้ง 2 สาย เกือบทั่วบริเวณพื้นที่ของอำเภอ ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอเหมาะแก่การประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ ทำนา ทำไร่ และทำสวน ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคมของทุกปี จะเป็นฤดูหลาก ระดับน้ำ ในแม่น้ำลำคลองจะเพิ่มสูงกว่าปกติประมาณ 3 เมตร ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศของอำเภอบางไทร แบ่งออกเป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ ฤดูฝน ฤดูร้อน ฤดู หนาว จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของมรสุมเขตร้อน ทำให้มีสภาพอากาศเหมาะสำหรับการเพาะปลูก ซึ่งสภาพอากาศโดยทั่วไปจะมีลักษณะอบอุ่น ฤดูฝนมีฝนตกชุก ฤดูร้อนอากาศไม่ร้อนจัด และฤดู หนาวอากาศไม่หนาวจัด ทรัพยากร ทรัพยากรน้ำของอำเภอบางไทร มีแม่น้ำและลำคลองที่สำคัญรวม 3 สาย สายที่ 1 แม่น้ำเจ้าพระยา สายที่ 2 แม่น้ำน้อย เป็นลำน้ำธรรมชาติรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา สายที่ 3 ลำคลองที่สำคัญ ได้แก่ คลองพระยาบันลือ คลองไผ่พระ คลองกกแก้ว ทรัพยากรดินของอำเภอบางไทร มีดินเหนียวที่อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ พบได้ในบริเวณ พื้นที่ราบลุ่ม


6 5แหล่งเรียนรู้ดำ ้ นประวตัิศำสตร ์ ต ำนำน เร ื่องเล่ำของทอ ้ งถิ่น การศึกษาข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ และตำนานท้องถิ่น ของท้องถิ่นต่างๆ ใน อำเภอนี้ เนื้อหาเรื่องราวแต่ละเรื่องนั้น มีเนื้อหาสอดคล้อง ตรงกันบ้าง และมีความคลาดเคลื่อน ต่างกันไปบ้าง บางเรื่องมีความพยายามผูกโยงเรื่องราว เพื่ออธิบายความหมายของชื่อเรียกของ ท้องถิ่น ท ี่มำช ื่อตำ บลในอำ เภอบำงไทร 1. ต ำบลบำงไทร ตั้งขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาขึ้นอยู่กับแขวงเสนา เรียกว่าเสนาน้อย ปี 2468 ได้ย้ายสถานที่ตั้ง อำเภอจากตำบลราชครามมาสร้างใหม่ที่ตำบลบางไทร แต่ยังใช้ชื่ออำเภอราชครามอยู่ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2482 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางไทร คำว่า บางไทร ได้เล่าต่อกันมาว่าหมู่บ้านที่ ตั้งอยู่ในตำบลบางไทร ประชาชนได้ตั้งบ้านเรือนกระจายไปตามริมฝั่งแม่น้ำน้อยและแม่น้ำ เจ้าพระยา ซึ่งอยู่ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอราชคราม ประกอบอาชีพทำไซจับปลาขายทุกหมู่บ้าน จึงเรียกว่า "บางไซ" และได้เรียกเพี้ยนกันมาจาก "บางไซ" เป็น "บางไทร" และเชื่อกันว่าอาจจะมี ต้นไทรขึ้นอยู่จำนวนมากตามริมฝั่งแม่น้ำและหมู่บ้าน ที่ตั้งอยู่ตามริมแม่น้ำส่วนใหญ่เรียก บางหมู่บ้านว่า "บางไทร"


7 2. ต ำบลบำงพลี สมัยกรุงศรีอยุธยาเคยเป็นสนามรบ เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีราษฎรล้มตายเป็น จำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า "บางพลี" ต่อมาได้มีการแบ่งเขตเป็นตำบล เมื่อปี พ.ศ. 2457 ได้จัดตั้งเป็น ตำบลบางพลี และได้ยกฐานะเป็นเขตสุขาภิบาล ในปี พ.ศ. 2504 แต่ก็เพียงบางส่วน คือ หมู่ 1,3 และต่อมาได้ยกฐานะเป็นเขตเทศบาลในปัจจุบัน 3. ต ำบลบ้ำนเกำะ สันนิษฐานว่ามีมานานครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น และได้แบ่งการปกครองเป็นตำบล เมื่อปี 2457 กำนันคนแรกชื่อ นายแม้น ประมาณปี 2500-2503 ต่อมาทางราชการได้รวมตำบล บ้านเกาะ และตำบลบางพลีเป็นตำบลเดียวกัน ชื่อตำบล บ้านเกาะบางพลี ซึ่งต่อมาแยกเป็นสอง ตำบลตามเดิม สาเหตุที่ชื่อว่าตำบลบ้านเกาะเนื่องจากมีแม่น้ำลำคลองล้อมรอบหมู่บ้าน ซึ่งมี ลักษณะเหมือนเกาะ และได้ยกเป็นสุขาภิบาลบางส่วน ในปี พ.ศ. 2540 มีหมู่ที่ 1,2,3,4,5,6 แบ่ง การปกครองเป็น 6 หมู่บ้าน 4. ต ำบลกกแก้วบูรพำ เหตุที่ชื่อกกแก้วบูรพา เพราะเดิมมีหนองกกอยู่ทั่วไปเลยให้ชื่อหมู่บ้าน กกแก้ว ตามชื่อต้น กก เพื่อมาตั้งเป็นตำบลและเพื่อความไพเราะจึงต่อเติมเป็น กกแก้วบูรพา ตำบลกกแก้วบูรพากับ ตำบลไผ่พระ อำเภอเสนาน้อย ต่อมาเปลี่ยนแปลงจาก อำเภอเสนาน้อยมาเป็นอำเภอราชคราม และได้ย้ายมาตั้งที่อำเภอบางไทร เป็นอำเภอบางไทรตำบลกกแก้วบูรพามีพื้นที่มากจึงได้แยกจาก ตำบลไผ่พระจำนวน 6 หมู่บ้าน มาตั้งชื่อตำบลใหม่ ตามชื่อของหมู่บ้าน คือ ตำบลกกแก้วบูรพา 5. ต ำบลไผ่พระ ตั้งเป็นตำบลเมื่อปี พ.ศ. 2475 เดิมบริเวณนี้เป็นป่าไผ่ เป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ มีราษฎร จากตำบลบ้านกลึง ตำบลช้างใหญ่ อพยพมาตั้งถิ่นฐานกันเป็นจำนวนมาก สาเหตุที่ชื่อตำบลไผ่ พระ เนื่องจากมีต้นไผ่สีทอง ซึ่งคล้ายกับจีวรของพระ เดิมขึ้นกับตำบลเสนาน้อย อำเภอเสนา ต่อมาขึ้นกับตำบลราชคราม และ อำเภอบางไทรตามลำดับ 6. ต ำบลหน้ำไม้ สันนิษฐานว่า เดิมนั้นที่บริเวณนี้เป็นที่รวมพลทหารมีอาวุธเพื่อช่วยในการทำสงครามใน สมัยกรุงศรีอยุธยา อาวุธที่ใช้นั้นมีธนู และหน้าไม้ หมู่บ้านนี้จึงได้เป็นที่ราบพลธนูและหน้าไม้มา จนถึงทุกวันนี้


8 7. ต ำบลไม้ตรำ เดิมครั้งสมัยการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน การตัดไม้ทางภาคเหนือจากผู้ได้รับ สัมปทานไม้ได้ล่องแพซุงตามลำน้ำต่างๆ โดยใช้เรือลากจูงหรือปล่อยให้ลอยตามกระแสน้ำ ขบวน แพซุงได้มาจอดที่พักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่าบ้านท่าซุง และจะมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาทำ การตีตราไม้ที่นี่นานวันเข้าจึงเรียกขานใหม่ว่าบ้านไม้ตรา จึงใช้เรียกและตั้งชื่อตำบลในเวลาต่อมา และในสมัยนั้นการปกครองเดิมเป็นแบบเทศาภิบาลปกครองโดย "ขุนไม้ตรา" ซึ่งควบคุมการตีตรา ไม้ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรียกว่าบ้านไม้ตรา ตำบลไม้ตราในปัจจุบัน 8. ต ำบลบ้ำนม้ำ สันนิษฐานว่า ตำบลจัดตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2475 แต่ราษฎรตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว แต่ก่อนราษฎรนิยมเลี้ยงม้าไว้จำนวนมาก และมีทุ่งหญ้าจำนวนมาก ประชาชนนิยมเลี้ยงม้าไว้เป็น พาหนะ และนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น จึงตั้งชื่อปากต่อปากกันมาเป็น "ตำบลบ้านม้า" จนกระทั่งปัจจุบัน 9. ต ำบลโคกช้ำง เมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว พื้นที่ตำบลโคกช้าง เป็นพื้นที่ของตำบลบ้านม้า เมื่อประชากร เพิ่มมากขึ้น อำเภอบางไทรจึงได้แยกตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ เรียกว่า "บ้านโคกช้าง" เพราะแต่ก่อนพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นป่า ในช่วงน้ำหลากมีช้างประมาณ 20 เชือก มาพักค้างบนโคกซึ่งสูงประมาณ 2 เมตร ชาวบ้านจึงเรียกว่า "โคกช้าง" มาจนถึงปัจจุบันนี้ 10. ต ำบลสนำมชัย เดิมมีชื่อเรียกว่า ตำบลสาละโว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่า ครั้งที่่ 2 ในสมัยกรุง ศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2310 พม่าได้ยกกำลังมาตั้งฐานทัพอยู่ที่ตำบลแห่งนี้กองทัพไทย จึงได้ยกกำลังมาโจมตีจนพม่าพ่ายแพ้แตกทัพ กองทัพไทยได้รับชัยชนะจึงได้เรียกชื่อตำบลนี้ใหม่ว่า ตำบลสนามชัย 11. ต ำบลช้ำงน้อย เดิมเป็นที่พักของช้างลากซุก ซึ่งเดินทางมาจากเพนียดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วมา หยุดพักแรมก่อนที่จะเดินทางไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี และเห็นว่าบริเวณที่พักดังกล่าว มีภูมิ ประเทศอุดมสมบูรณ์จึงพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยจนถึงปัจจุบันจึงเรียกว่าตำบลช้างน้อยปัจจุบัน แบ่งการปกครองออกเป็น 5 หมู่บ้าน 173 ครัวเรือน


9 12. ต ำบลบ้ำนแป้ง ในอดีตตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เล่ากันว่าพื้นที่ในหมู่บ้านบริเวณนี้ชาวบ้าน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำขนมจีน และทำขนมจีนจะต้องมีการหมักแป้งซึ่งจะทำเป็นประจำเกือบ ทุกครัวเรือน ต่อมาชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า "บ้านแป้ง" ซึ่งเป็นความหมายของแป้งที่หมักไว้ทำ ขนมจีน จึงได้ตั้งเป็นชื่อตำบลบ้านแป้ง ประกอบด้วย 3 หมู่บ้าน หมู่ที่ 1 บ้านแป้งใต้ (ปัจจุบันเรียก บ้านใต้) หมู่ที่ 2 บ้านแป้ง หมู่ที่ 3 บ้านขนมจีน หรือบ้านลาว ปัจจุบันตำบลบ้านแป้งเป็นตำบลที่ เล็กที่สุดของอำเภอบางไทร 13. ต ำบลกระแชง ตั้งขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 350 ปี มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าสมัยก่อนได้มีพวกมอญ และพวกพ่อค้า ต่างๆ ได้เดินทางมาค้าขายโดยใช้เรือกระแชง ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ ล่องมาตามแม่น้ำน้อย เมื่อ มาถึงบริเวณที่ตั้งของตำบลกระแชงก็แวะพักทุกครั้งจึงได้เห็นว่าที่นี่มีภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์จึง ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน โดยทางราชการได้จัดขึ้นเป็นชื่อตำบลกระแชง ในปี พ.ศ. 2457 โดยตั้งชื่อ ตามเรือกระแชง แรกตั้งเดิมมี 8 หมู่บ้าน ต่อมาได้ตั้งใหม่ ยุบและแยกย้ายไป บางหมู่บ้านไปรวม กับตำบลอื่น จนปัจจุบันเหลือเพียง 5 หมู่บ้าน 14. ต ำบลบ้ำนกลึง ได้มีชาวบ้านประมาณ 2-3 ครัวเรือน อพยพมาตั้งบ้านเรือนและประกอบอาชีพทำนา และ มีช่างกลึงไม้ด้วยพื้นที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา และมีน้ำท่วมในฤดูฝน และได้มีชาวบ้านอื่นๆ มากลึง ไม้ที่หมู่บ้านนี้เพื่อใช้สอยประโยชน์ จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า บ้านกลึง ปัจจุบันบ้านกลึงมี 9 หมู่บ้าน 15. ต ำบลแคออก สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พม่าได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ได้ตั้งทัพอยู่บริเวณวัดบาง แขยง ตำบลบางยี่โทในปัจจุบัน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นทนการกดขี่ข่มเหงของพม่าไม่ไหว ก็พากัน อพยพข้ามฝั่งแม่น้ำน้อย มาทางทิศตะวันออกประมาณ 20 คน และได้ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านแค พม่า ข้ามฝั่งแม่น้ำน้อยมาปล้นสะดมเอาเสบียงจากชาวบ้านแคอีก และนำดอกแคที่ชาวบ้านปลูกไว้ไป กิน โดยไม่ได้เด็ดเกสรด้านในออกก่อนทำให้มีรสขม พม่าคิดว่าเป็นดอกไม้พิษจึงกลัวไม่กล้ากินดอก แค เมื่อเห็นคนไทยกินดอกแคได้จึงกลัวคนไทย ไม่กล้ามารบกวนอีก ชาวบ้านจึงนิยมปลูกต้นแค กันมาก จนมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นแค จนเรียกบ้านนี้ว่าบ้านแค และเหตุที่เรียกว่า "แคออก" เพราะว่าที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำน้อย


10 16. ต ำบลเชียงรำกน้อย ชนดั้งเดิมเป็นชาวบ้านกรุงศรีอยุธยา มีตำนานเล่ากันว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่แยกตัวมาจาก กรุงศรีอยุธยา สมัยที่พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกแยกย้ายถิ่นฐานไปรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เดินทางมายึด ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแหล่งทำกินจนถึงปัจจุบันมี 4 หมู่บ้าน 17. ต ำบลบำงยี่โท เดิมขึ้นกับการปกครองของอำเภอเสนาน้อย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง จากอำเภอเสนาน้อยเป็นอำเภอราชคราม และอำเภอราชครามย้ายมาตั้งฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ เจ้าพระยาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางไทรจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นตำบลบางยี่โทจึงเป็นตำบลหนึ่งของ อำเภอบางไทร ส่วนชื่อบางยี่โทนั้น มีเรื่องเล่าต่อกันว่าที่บ้านเกาะหลวง หมู่ที่ 3 ตำบลบางยี่โทได้มี เจ้านายจากในวังเสด็จมาประทับเป็นประจำ ชาวบ้านเกาะหลวง และบริเวณใกล้เคียงได้ตักน้ำใส่ โถมาให้ดื่มพร้อมใส่ดอกยี่โถในโถน้ำ เพื่อให้กลิ่นหอมน่าชวนดื่ม อีกทั้งดอกยี่โทเป็นยาสมุนไพร แก้ ท้องเสีย จากข้อมูลดังกล่าวจึงได้ตั้งชื่อว่า "ตำบลบางยี่โถ" ต่อมาเพี้ยนเป็น "บางยี่โท" จนถึง ปัจจุบัน 18. ต ำบลช่ำงเหล็ก ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย ประวัติตำบลช่างเหล็กกล่าวว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานี พม่ายกกองทัพมาตี ทางกรุงศรีอยุธยาได้สั่งระดมพลเพื่อต่อสู้กับทัพพม่า เมื่อระดมพลมา ได้แล้วก็เกิดปัญหาตามมา คือ อาวุธที่จะต่อสู้กับข้าศึกไม่เพียงพอ หากจะตีดาบในวังหลวงก็เกรง ว่าพม่าจะล่วงรู้ จึงให้ทหารมาจ้างชาวบ้านที่มีอาชีพตีมีดนอกเมืองหลวงให้หันมาตีดาบแทน ซึ่งต่อมาทหารก็เรียกหมู่บ้านที่รับจ้างตีดาบนี้ว่า "บ้านช่างเหล็ก" 19. ต ำบลห่อหมก สันนิษฐานว่า หมู่บ้านนี้ตั้งไม่ต่ำกว่า 250 ปี เดิมชื่อ บ้านม่วงบางทราย ผู้สูงอายุได้เล่าต่อ กันมาว่า หมู่บ้านนี้มีวัดชื่อวัดม่วงบางทราย วัดนี้มีสมบัติหรือมีทรัพย์แผ่นดินอยู่ ต่อมาได้มีคนต่าง เมือง (ต่างประเทศ) มีอาคมทางไสยศาสตร์มาขอขุด แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากไม่มีผู้ใดรับประกันใน ความปลอดภัยสมบัติที่จะขุดขึ้นมาได้ต่อมาชาวบ้าน และวัดได้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็นห่อหมก และวัดห่อหมก เพื่อปกปิดความลับเรื่องสมบัติดังกล่าว และเชื่อว่าสมบัติที่เล่าขานกันต่อมานั้น ปัจจุบันอยู่ใต้พระอุโบสถ


11 20. ต ำบลแคตก เดิมขึ้นกับการปกครองของอำเภอเสนาน้อย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง จากอำเภอเสนาน้อยเป็นอำเภอราชคราม ชื่อตั้งอยู่ตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็นอำเภอบางไทรจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นตำบลแคตกจึงเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอบางไทร ส่วนชื่อ ตำบลแคตกนั้น มีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าเป็นตำบลที่มีต้นแคมาก ประกอบกับตำบลแคตกอยู่ฝั่งแม่น้ำ แถบตะวันตก จึงได้ตั้งชื่อว่าตำบลแคตก จนถึงปัจจุบัน 21. ต ำบลรำชครำม เป็นชุมชนที่ราษฎรอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา มาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมลุ่มแม่น้ำ พื้นสภาพ เดิมพื้นที่เป็นป่าสะแก ราษฎรที่อพยพมาถางป่ายึดเป็นพื้นที่ทำนา และประกอบอาชีพประมง หมู่บ้านก่อตั้งมานานกว่า 180 ปี เดิมขึ้นอยู่กับ อำเภอบางไทร ปัจจุบันขึ้นอยู่กับอำเภอบางไทร การปกครองเป็นส่วนท้องถิ่นในเขตเทศบาลตำบลราชคราม 22. ต ำบลช้ำงใหญ่ เดิมพื้นที่ชุมชนเป็นป่า ชาวบ้านเล่ากันต่อๆ มาว่าบริเวณที่ตั้งของตำบลช้างใหญ่ในปัจจุ บันมีฝูงช้างมาอาศัยมากมาย เป็นป่าไผ่และมีรางเพนียดช้าง ซึ่งเป็นที่ดักของช้างมารวมชุมนุมไว้ที่ บริเวณแห่งนี้ ซึ่งชาวบ้านเห็นรอยเท้าช้างใหญ่มาก จึงใช้เรียกตำบลแห่งนี้ว่า "ตำบลช้างใหญ่" 23. ต ำบลโพแตง คนกลุ่มแรกที่เริ่มตั้งหมู่บ้าน สันนิษฐานว่า เป็นชาวรามัญ(มอญ) ได้ศึกษาจากพงศาวดาร มอญว่า ประมาณสมัย รัชกาลที่ 4 พ.ศ.2358 หรือ 187 ปี มาแล้ว ชาวมอญได้อพยพมาจากกรุง หงสาวดี มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินไทย มาพักพิงอาศัยอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปากเกร็ด ปทุมธานี ราชคราม และบ้านโพธิ์แตง พระนครศรีอยุธยา แต่เดิมนั้น บ้านโพธิ์แตง ชาวบ้านเรียกว่า โพธ์แดง ซึ่งคำว่า โพธิ์แดงนั้น สันนิษฐานว่าเนื่องมาจากที่ตำบลแห่งนี้มีต้นโพธิ์ขึ้น เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้นโพธิ์ในแถบนี้ก็จะมีลักษณะพิเศษกว่าที่อื่นนั่นคือ ใบโพธิ์จะมีสีแดงนวล จน ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าโพธิ์แดง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เพี้ยนจากโพธิ์แดงมาเป็น โพธิ์แตง จนถึง ปัจจุบัน


12 ห้องสมุดประชำชนอ ำเภอบำงไทร ที่ตงั้ 2/3 หมู่ที่ 4 ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: ห้องสมุด ห้องสมุดประชำชนอ ำเภอบำงไทร ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ เดิมห้องสมุดประชาชนอำเภอบางไทร ตั้งอยู่ด้านหลังสำนักงานเกษตรอำเภอบางไทร เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว และอยู่ข้างสำนักงานสาธารณสุขอำเภอบางไทร ปัจจุบันห้องสมุด ประชาชนอำเภอบางไทร ตั้งอยู่เลขที่ 2/3 หมู่ที่ 4 ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ใกล้ที่ว่าการอำเภอบางไทร อยู่เยื้องกับสำนักงานเกษตรอำเภอบางไทร บน เนื้อที่ 200 ตารางวา ก่อสร้างด้วยเงินงบประมาณของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการต่อมาในปี พ.ศ.2537 กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศให้ห้องสมุด ประชาชนทุกแห่งเป็นหน่วยงานสถานศึกษาและให้ใช้เป็นที่ทำการของศูนย์บริการการศึกษานอก โรงเรียน ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของอำเภอ นั้นๆ ตามนโยบายของกรมการศึกษานอกโรงเรียนจนถึงปัจจุบัน ผู้รับผิดชอบ : นางสาววิชชุตา แก้วโมรา ตำแหน่งบรรณารักษ์


13 เจดีย์วัดสนำมไชย ที่ตงั้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลสนามชัย อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: โบราณสถาน เจดีย์วัดสนำมชัย อนุสรณ์แห่งชัยชนะ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ เจดีย์วัดสนามไชย (เจดีย์หน้าวัด) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นโบราณสถานทาง ประวัติศาสตร์ ที่สำคัญครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง อายุ ประมาณ 211 ปี ชาวบ้านเล่ากันว่า ที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่สำหรับค่ายทหารในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อทำการสู้รบกับทหารพม่าในสมัยนั้นได้ใช้เชือกคาดผ่านแม่น้ำเพื่อดักทำร้ายทหารพม่าที่จะมา รุกราน ในครั้งหนึ่งที่มีการสู้รบกับทหารพม่าปรากฏว่าได้รับชัยชนะ สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึง ชัยชนะ


14 หลวงพ่อวัดน้อย ที่ตงั้ วัดน้อย หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านแป้ง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: ปูชนียวัตถุ หลวงพ่อวัดน้อย ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ หลวงพ่อวัดน้อยไม่มีประวัติที่แน่นอน โดยมีแต่เรื่องเล่าสืบทอดต่อๆ กันมาจากรุ่นหนึ่ง ไปอีกรุ่นหนึ่งเท่านั้น เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับหลวงพ่อวัดน้อย โดยบุคคลดังนี้ พระแสนศักดิ์ เจ้าอาวาสวัดสิงห์สุทธาวาส เล่าว่า พระครูสุทธิคุณวัฒน์ (หลวงพ่อบำรุง สุทธกโร) ได้บันทึกประวัติ ขึ้นไว้ในปี พ.ศ.2517 โดยมีความว่า หลวงพ่อวัดน้อย ได้ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารร้าง หมู่ที่ 3 ตำบล บ้านแป้ง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์พระมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง สร้างเป็นรูปปั้น ไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัดว่าผู้ใดสร้าง สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนต้น มีพระประธานองค์ใหญ่ที่สุดอยู่ในวิหาร และยังมีพระพุทธรูปรวมอยู่บนแท่นสุกชีอีก 9 องค์รวมทั้งหมด 10 องค์ หลวงพ่อวัดน้อยองค์นี้ มีหลายชื่อ อาทิ หลวงพ่อพุทธกมล หลวงพ่อ พิสดารโลก หลวงพ่อภิญญะละมะจักสุรัตนบวรฯ หลวงพ่อวัดน้อยนี้เป็นวัดร้างมีแต่พระพุทธรูปอยู่ ในวิหารหลังเดียว ไม่ระบุว่าร้างมานานเท่าใด


15 หลวงพ่อจง ที่ตงั้ วัดหน้าต่างนอก หมู่ที่ 1 ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: ปูชนียบุคคล หลวงพ่อจง วัดหน้ำต่ำงใน อ ำเภอบำงไทร(พ.ศ.2415-พ.ศ.2508) ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ หลวงพ่อจง พุทฺธสโร พระเกจิชื่อดังตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร สถานที่ตั้งวัดหน้าต่าง นอก หลวงพ่อจง ท่านเกิดเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2415 ตรง กับต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่าน ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก ท่านถึงแก่ มรณภาพเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 ตรงกับรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวมสิริอายุ ได้ 92 ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกได้นานถึง 58 ปี หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของ ท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล สามารถต่อการคุมจิตของตนไว้ใต้ อำนาจ มิให้กระดิกกระโดดออกนอกทางที่เคร่งที่สุด คือมั่นใน พรหมวิหารสี่ เป็นผู้ดำรงสัจจะ และต้องการอบรมคนทุกคนให้เป็นผู้มีสัจจะ ไม่พูดปดมดเท็จ หลวงพ่อจงมีเกียรติคุณเป็นที่นิยมกว้างขวางจริงจังในคุณแห่งวิทยาคม เมตตา เป็นอันดับ


16 แรก ต่อไปก็คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหานิยม และน้ำมนต์ของท่านลือชาว่า สามารถสะเดาะ เคราะห์ ความอับโชคได้ผลประสิทธิภาพมาก หลวงปู่ สด ธัมวโร ที่ตงั้ วัดโพธิ์แตงใต้ หมู่ที่ 3 ตำบลโพแตง อำเภอบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: ปูชนียบุคคล หลวงปู่ สด ธัมมวโร (พระครูอเนกสำรคุณ) วัดโพธิ์แตงใต้อ ำเภอบำงไทร(พ.ศ.2442-พ.ศ.2537) “พระสุปฏิปันโน แห่งทุ่งบำงไทร” ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ หลวงพ่อสด ธัมมวโร อดีตเจ้าอาวาส วัดโพธิ์แตงใต้ ตำบลโพธิ์แตงใต้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีนามเดิมว่า สด นามสกุล ธรรมประเสริฐ เกิด ณ บ้านโพธิ์แตงใต้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2442 ตรงกับวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน โยมบิดานามว่า เปลี่ยน ธรรมประเสริฐ มีอาชีพทำนาทำสวน สมัยที่หลวงพ่อสด อายุประมาณ 7 ขวบ เป็นเด็กเรียบร้อยชอบตามโยมบิดาโยมมารดาไปทำบุญตามวัดต่างๆ พออายุ ประมาณ 10 ขวบ ด.ช.สด ท่านขออนุญาตโยมบิดาและโยมมารดาบวชเป็นสามเณร เพื่อศึกษา พระธรรมวินัยและเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไปด้วย ต่อมาหลวงพ่อสด ต้องลาสิกขาตามคำ ขอร้องของโยมบิดาและโยมมารดา มาช่วยทำนาและทำสวน พ.ศ. 2460 ญาติผู้ใหญ่ของหลวงพ่อ สด ถึงแก่กรรมลงตอนนั้น หลวงพ่อสด อายุ 18 ปี ได้บวชหน้าไฟเพื่อทดแทนพระคุณแก่ผู้ตาย และศึกษาธรรมตลอดมาจนพ.ศ. 2462 หลวงพ่อสด ท่านมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หลวงพ่อสด


17 ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถ วัดโพธิ์แตงใต้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระ อริยทัชชะมุนี วัดสำแล จังหวัดปทุมธานี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ) ธมมวโร สังกัดรามัญนิกาย หลวงพ่อสดท่านได้ศึกษาธรรมและวิชาไสยเวทย์จากพระเกจิที่เป็น ชาวมอญหลายองค์ทางด้านคงกระพันชาตรี เมตตามหานิกายโดยเฉพาะด้านกันแลแก้คุณไสยที่ ชาวมอญเก่งมาก นานถึง 27 ปี ต่อมา พ.ศ. 2489 วัดโพธิ์แตงใต้ ได้โอนย้ายการปกครองสงฆ์มา อยู่ในนิกายธรรมยุติ หลวงพ่อสดท่านได้เดินทางไปวัดบวรนิเวศฯ เพื่อทำการอุปสมบทใหม่โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายา เดิม ธมมวโร จากนั้นหลวงพ่อสด ก็ได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดบวรนิเวศฯ เรียนภาษาบาลีและศึกษา ธรรมจนแตกฉาน หลวงพ่อสด ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ (วิสามัญ) นามพระครูอเนก สารคุณ พ.ศ. 2507 ท่านเจ้าอาวาส วัดโพธิ์แตงใต้ ได้มรณภาพลงชาวบ้านจึงได้พร้อมเพรียงกัน นิมนต์ หลวงพ่อสด มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แตงใต้ต่อ หลวงพ่อสด ท่านเริ่มพัฒนา วัดโพธิ์แตงใต้ ทันทีจนเจริญรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน ต่อมาพ.ศ. 2514 หลวงพ่อสด ท่านได้รับแต่งตั้งเป็น พระครู สัญญาบัตรชั้นตรี พ.ศ. 2515 หลวงพ่อท่านมีอายุครบ 72 ปี 6 รอบ ชาวบ้านจึงได้จัดงานฉลอง สมณศักดิ์ให้ท่าน โดยหลวงพ่อสดได้สร้างเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์รุ่นแรกแจกผู้มาร่วมงาน สมเด็จ พระสังฆราชวัดบวรนิเวศ กทม. (สมเด็จญาณ) ท่านทรงเคารพหลวงพ่อสด ศิษย์ผู้พี่มาก ท่านได้ เดินทางมาวัดโพธิ์แตงใต้เป็นประจำเพื่อสนทนาธรรม เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2537 สมเด็จ พระสังฆราช วัดบวรนิเวศฯ (สมเด็จญานฯ) ท่านยังทรงเป็นประธานย่อช่อฟ้าศาลาการเปรียญ วัด โพธิ์แตงใต้ โดยทรงอนุญาตให้ใช้พระนามย่อ (ญสส) ของท่านที่ช่อฟ้าศาลาการเปรียญด้วย และ ท่านยังอนุญาตให้จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นฉลองยกช่อฟ้าแจกญาติโยมที่มาร่วมงาน โดยสมเด็จ พระสังฆราชวัดบวรนิเวศฯ (สมเด็จญานฯ) และหลวงพ่อสด ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกพิธีอัน ยิ่งใหญ่ ต่อมาในปีเดียวกัน หลวงพ่อสด ท่านได้จัดสร้างเหรียญนั่งพานรุ่นสุดท้ายโดยปลุกเสกเดี่ยว ขณะนั้นหลวงพ่อสด ท่านชราภาพมาก แต่ก็ยังต้อนรับญาติโยม ต่อมาหลวงพ่อสดท่านได้ป่วยด้วย โรคชรา และมรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2537 รวมอายุ 96 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2537 ที่หลวงพ่อสด ท่านได้มรณภาพจนถึงปัจจุบัน ร่างของหลวงพ่อสด ยังไม่เน่าเปื่อยนอนอยู่ในโรง แก้วอย่างสงบ


18 หลวงพ่อเพิ่ม ที่ตงั้ วัดป้อมแก้ว เลขที่ 30 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: ปูชนียบุคคล หลวงพ่อเพิ่ม (พระครูประโชติธรรมวิจิตร) วัดป้อมแก้ว อ ำเภอบำงไทร(พ.ศ.2469-พ.ศ.2562) ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ หลวงพ่อเพิ่ม ถือกำเนิดเมื่อวันอาทิตย์เดือนสี่ ตรงกับปีขาล พ.ศ.2469 ณ บ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเป็นบุตรคนที่ 3 ของโยมบิดาชื่อ นายเล็ก บำรุงสุข โยมมารดาชื่อนางแพร บำรุงสุข หลวงพ่อเพิ่มได้เริ่มการศึกษาเบื้องต้นที่วัดช่างเหล็ก โดยเรียนกับ พี่ชาย จนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงบรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดบางยี่โถ เพื่อศึกษา อักขระขอม และบทสวดมนต์ต่างๆ ต่อมาบิดาล้มป่วยลง ท่านจึงลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยงานทาง บ้านประกอบอาชีพ และเมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร ท่านได้เป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปีครั้นพอออก จากทหาร มารดาของท่านได้เสียชีวิต ท่านจึงตัดสินใจอุปสมบท เมื่อ พ.ศ.2493 ณ วัดสีกุก อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูประโชติวุฒิกร (หลวงพ่อโชติ) วัดป้อมแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรธรรมคุณ วัดสีกุก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูไพโรจน์ วัดเสาธง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายา "อตฺตทีโป" แปลว่า "ผู้มีประทีปแห่งตน" การศึกษา พุทธาคม หลวงพ่อเพิ่มท่านได้สนใจศึกษาวิชาอาคมอย่างจริงจัง เมื่อครั้งย้ายมาจำพรรษาที่วัดป้อม แก้ว โดยได้รับการถ่ายทอดมาจาก หลวงพ่อโชติอดีตเจ้าอาวาส ในขณะนั้น ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของ


19 หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โถ ในสายพุทธาคมของ หลวงปู่ปั้น วัดพิกุล สุดยอดพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในอดีตโดยในขั้นแรก ท่านได้เริ่มจากการเขียนอักขระเลขยันต์ต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อโชติให้เป็นผู้เขียนอักขระยันต์แทนหลวงพ่อโชติช่วงที่ท่านมี อายุมาก และสายตาไม่ดี ต่อมาหลวงพ่อเพิ่มได้รับการมอบหมายให้จารอักขระเลขยันต์ต่างๆ รวมทั้งการนั่งปรกปลุกเสกแทนหลวงพ่อโชติอีกด้วย จนกระทั่งหลวงพ่อโชติมรณภาพ หลวงพ่อ เพิ่มจึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป้อมแก้วแทน ตั้งแต่ พ.ศ.2511 เป็นต้นมา หลวงพ่อเพิ่ม ได้ใช้ วิชาความรู้ต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาพัฒนาวัดป้อมแก้วตลอดเวลา จนทำให้สภาพของวัดดีขึ้นเรื่อยๆ และมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน จนถึงกาลมรณภาพ วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2562 สิริอายุ 93 ปี 3 เดือน 6 วัน 69 พรรษา ท่านพระครูประโชติธรรมวิจิตร (หลวงพ่อเพิ่ม อตฺตทีโป) นับได้ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งของ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งงาน พัฒนาพระศาสนา ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆของวัดและทางด้านปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ จนปรากฏ เป็นที่เลื่องลือในหมู่ลูกศิษย์และผู้ศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อ


20 ศูนยศ์ ิลปำชีพบำงไทร ในสมเด ็ จพระนำงเจำ ้ สิริกิติ์ พระบรมรำชินีนำถ ที่ตงั้ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ศิลปำชีพ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ ดำเนินงานโดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาทางด้านศิลปหัตถกรรมของไทย มุ่งเน้นการฝึกและส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกรในชนบท เพื่อเป็นรายได้พิเศษเพิ่มขึ้นจากช่วงที่ว่าง จากงานเกษตรกรรม ภายในศูนย์ฯ ประกอบด้วยอาคารต่างๆ อาทิ 1. กลุ่มอาคารแผนกช่าง 30 แผนก เช่น แผนกช่างสานย่านลิเภา ช่างทอผ้าไหม เครื่องเคลือบดิน เผา ช่างแกะสลัก ช่างเป่าแก้ว ช่างทอผ้าลายตีนจก ช่างประดิษฐ์หัวโขน ช่างปักผ้า ฯลฯ 2. ศาลาพระมิ่งขวัญ จำหน่ายสินค้าและของที่ระลึก 3. หมู่บ้านศิลปาชีพ ภายในแบ่งเป็นหมู่บ้านไทยของแต่ละภาค โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่กลาง พื้นที่ แสดงงานศิลปะหัตถกรรมของแต่ละภาค และสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยของแต่ละท้องถิ่น 4. สวนนก เป็นกรงนกขนาดใหญ่ 2 กรง จัดสภาพแวดล้อมให้คล้ายคลึงธรรมชาติ เช่น สภาพป่า น้ำตก ธารน้ำ เป็นต้น มีระบบไฟล่อแมลงซึ่งเป็นอาหารของนก ในวันที่ร้อนจัดมีระบบฝนเทียมให้ ความชุ่มชื้น ดำเนินการโดยมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชินูปถัมภ์ มีนกหายากกว่า 100 ชนิด เช่น นกชาปีไหน นกกาฮัง นกเงือกรามช้าง นกสาลิกา เขียว นกยูงไทย เป็นต้น 5. วังปลา มีตู้แสดงพันธุ์ปลา 2 ตู้ ตู้ใหญ่ขนาดความจุ 1,400 ตัน อีกตู้เป็นตู้ทรงกลมขนาด 600 ตัน มีปลาน้ำจืดหลากหลายชนิด ทั้งปลาพื้นเมืองใกล้สูญพันธุ์ และปลาที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น กระเบน


21 ราหู ปลาตะเพียนทอง ปลาเสือพ่นน้ำ ปลาบึก ปลากดดำ เป็นต้น ภายในอาคารยังมีภาพเขียนปลา ไทยพร้อมคำบรรยาย ลำนเท ที่ตงั้ ตั้งอยู่ที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: แหล่งธรรมชาติ ลำนเท ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ ลานเท คือบริเวณที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน้อยที่สามแยกบางไทร ตำบลราชคราม อำเภอบางไทร ไปจนถึงตำบลโพแตง อำเภอบางไทร เป็นช่วงที่กว้างที่สุดของ แม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะมีการพัฒนาการคมนาคมทางบกในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น ลานเทเป็นชุมทางสำคัญ ของการคมนาคมทางน้ำจากจังหวัดกรุงเทพมหานคร ผ่านลานเทไปยังจังหวัดอ่างทอง จังหวัด สิงห์บุรี จังหวัดสระบุรี การเดินทางผ่านลานเท ในช่วงฤดูฝนในสมัยนั้นมีอันตรายมาก เพราะเป็น บริเวณโล่งเตียน ไม่มีกำบังลม ประกอบกับพื้นน้ำกว้างใหญ่ เมื่อลมพัดจึงมีความแรงเป็นทวีคูณ เรือโดยสาร เรือสินค้า เมื่อมาถึงลานเท ถ้ามีฝนตกหรือลมแรงจะต้องรีบจอดเรือทันที เคยมีเรือ โดยสาร เรือสินค้าล่มที่ลานเทหลายต่อหลายครั้ง มีคนจมน้ำตายไปมาก ในปัจจุบันเป็นเส้นทาง การขนส่งทางน้ำภายในประเทศเส้นทางระหว่างจังหวัดกรุงเทพมหานคร – จังหวัดนครสวรรค์ และระหว่างจังหวัดกรุงเทพมหานคร - อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงมีอยู่ มีเรือ ลำเลียงบรรทุกสินค้าขนาด 100-300 ตัน ผ่านตลอดปี


22 วัดเชิงเลน ที่ตงั้ หมู่ที่ 4 ตำบลราชคราม อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด หลวงพ่อแก้ว ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดเชิงเลน พื้นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด คือ หลวงพ่อ แก้ว อายุประมาณ 300 ปี เนื้อสัมฤทธิ์ วัดเชิงเลนประมาณการว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2370 แต่เดิมนั้นตั้งอยู่คลองโรงข้าง มีชื่อว่า “วัดสระแก้วป่าใหญ่” หรือวัดสระแก้ว ต่อมาได้ย้าย ชุมชนมาและสร้างเสนาสนะขึ้นใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน เป็นที่ดินชายเลนตื้นเขิน ห่างจากที่ดินเดิม ประมาณ 2 กิโลเมตร เรียกว่า “วัดชายเลน” หรือ “วัดดินเลน” ตามสภาพที่ตั้งของวัดอยู่ริมน้ำ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในราวประมาณปี พ.ศ. 2375 มีเจ้าอาวาสวัดมาโดยลำดับ 10 รูป ผู้รับผิดชอบ : พระครูสุวัฒน์บุญโญภาส (จรัส โอภาโส) เจ้าอาวาสวัดเชิงเลน ภำพแหล่งเรียนรู้


23 วัดโบสถ์สมพรชัย ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 1 ตำบลราชคราม อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด หลวงพ่อภำยในพระอุโบสถ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดโบสถ์สมพรชัย สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2339 มีที่ดินตั้งวัดรวม 17ไร่ 3 งาน 86 ตารางวา เดิมเรียกว่า “วัดโบสถ์บ้าง” “วัดโบสถ์ แควใหญ่” บ้าง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “วัดโบสถ์สมพรชัย” เพื่อให้มีความหมายที่ดีขึ้น และจะได้ไม่มีใครเรียกเพี้ยนไปในทางที่ไม่ดี นับเป็นวัดที่ได้พระราชทานวิสุงคามสีมาแล้วในราว พ.ศ.2344 ผู้รับผิดชอบ : พระมหาสุเทพ สุเมโท เจ้าอาวาสวัดโบสถ์สมพรชัย ภำพแหล่งเรียนรู้


24 วดัโพธิ์ แตงใต ้ ที่ตงั้ หมู่ 3 ตำบลโพแตง อำเภอบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด สรีระหลวงพ่อสด ธัมวโร ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดโพธิ์แตงใต้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งดูได้จากโครงสร้าง ของ พระอุโบสถและพระเจดีย์ ที่เป็นถาวรวัตถุคู่วัดมาแต่เดิม มีเพียงหลักฐานของกรมการศาสนา เท่านั้นที่ระบุว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2394 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ รัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์ในยุคแรกวัดโพธิ์แตงใต้อยู่ภายใต้สังกัดการปกครองของคณะสงฆ์ธรรมยุตรามัญ ต่อมาในปี พ.ศ.2489 พระสด ธมมวโร (พระครูอเนกสารคุณ) ได้เข้าไปศึกษาเปรียญธรรมที่วัดบร นิเวศฯ กรุงเทพ ได้ขอเปลี่ยนไปขึ้นกับคณะสงฆ์ธรรมยุตเช่นเดียวกับวัดบวรนิเวศฯ ผู้รับผิดชอบ : พระครูสุวัฒนศีลสังวร เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แตงใต้ ภำพแหล่งเรียนรู้ 24 วดัโพธิ์ แตงเหน ื อ


25 ที่ตงั้ ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 1 ตำบลโพแตง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด เจดีย์มอญโบรำณ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดโพธิ์แตงเหนือ เป็นวัดรามัญ มาตั้งรกรากกันอยู่หน้าวัดติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา บ้าน โพธิ์แตง ชุมชนมอญริมน้ำเจ้าพระยา ตำบลโพธิ์แตง อำเภอบางไทร พระนครศรีอยุธยา ประวัติ กล่าวว่า มอญที่อพยพหนีพม่ามาจากเมืองมอญสมัยอยุธยาก่อตั้งชุมชนขึ้น มอญกลุ่มนี้ตั้ง บ้านเรือนอยู่บริเวณริมเจ้าพระยาตั้งแต่เขตบ้านราชคราม บ้านเกาะใหญ่ บ้านท้ายเกาะ ต่อเนื่อง จนถึงสามโคก รวมทั้งบ้านโพธิ์แตง ซึ่งเดิมมีชื่อว่า “โพธิ์แดง” เนื่องจากมีต้นโพธิ์ที่มีใบสีแดงต่อมา ชาวบ้านเรียกขานจนเพี้ยนเป็น“โพธิ์แตง” เมื่อมอญลงหลักปักฐานตั้งชุมชนบ้านเรือนมั่นคงแล้วก็ มักช่วยกันสร้างวัดขึ้นในชุมชนเพื่อให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษา ปฏิบัติกิจทางศาสนา ชาวบ้านได้ ทำบุญสุนทาน และใช้เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางโลกทางธรรมของบุตรหลาน วัดในชุมชน โพธิ์แตงวัดแรกที่สร้างขึ้นมีชื่อเป็นภาษามอญว่า เพ่ย์เกาะปี่ หมายถึง “วัดเกาะมะตูม” ต่อมาได้มี ชาวบ้านและพระสงฆ์ไทยจากชุมชนข้างเคียงมาร่วมใช้วัดประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทว่ามีวัตร ปฏิบัติต่างกัน เกิดขัดกัน จึงได้แยกพื้นที่ทำสังฆกรรม อาณาเขตติดต่อกัน แต่มีลำรางสาธารณะ ขนาดเล็กคั่นกลาง เมื่อเกิดวัดขึ้น 2 แห่ง ชาวบ้านจึงเรียกวัดเดิมว่า เพ่ย์เกาะปี่ฮะโม (วัดโพธิ์แตง ใต้) ส่วนวัดที่เกิดขึ้นใหม่เรียกชื่อว่า เพ่ย์เกาะปี่อะตาว (วัดโพธิ์แตงเหนือ) ซึ่งบางคนเรียกวัดที่สร้าง ขึ้นใหม่ว่า เพ่ย์ฮะโมปี่ แต่เนื่องจากในยุคต่อมาชาวบ้านใช้ภาษามอญกันได้น้อย จึงเกิดเรียกกัน เพี้ยนในเวลาต่อมาเป็น โมปี่ มู่ปี่ มู่ปิ จนในที่สุดคนทั่วไปก็เข้าใจว่าวัดทั้งสองนี้มีชื่อว่า เพ่ย์มู้ปิฮะ โม และ เพ่ย์มู้ปิอะตาว แม้เป็นชื่อที่ไม่ถูกต้องแต่ไม่มีผู้ใดสนใจแก้ไข รวมทั้งไม่เห็นประโยชน์ที่จะ แก้ไขหรือไม่มีแม้แต่ความสำคัญพอที่จะต้องจดจำ


26 ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ) วัดโพธิ์แตงเหนือ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2414 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2429 มีเจดีย์มอญโบราณซึ่งได้รับการบูรณะเมื่อ พ.ศ. 2491 คาดว่าเจดีย์องค์นี้สร้างขึ้นพร้อม กับวัดโพธิ์แตงใต้ ทว่าภายหลังเมื่อสร้างวัดโพธิ์แตงเหนือขึ้น เจดีย์มอญโบราณซึ่งอยู่ฝั่งลำราง สาธารณะด้านทิศเหนือจึงตกเป็นสมบัติของวัดโพธิ์แตงเหนือในที่สุด ผู้รับผิดชอบ : พระครูนิเทศธรรมรส เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แตงเหนือ ภำพแหล่งเรียนรู้


27 วัดกกแก้วบูรพำ ที่ตงั้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลกกแก้วบูรพา อำเภอกกแก้วบูรพา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้ : วัด โบสถ์วัดกกแก้วบูรพำ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดกกแก้วบูรพา ตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2443 โดยมีพระอุปัชฌาย์เล็ก ฐิตสีโล เป็น ผู้ดำเนินการสร้างวัด และได้พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2508 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ประวัติวัด เดิมทีวัดกกแก้วบูรพา ตั้งอยู่ที่ บ้านหนองกก ตำบลไผ่พระ อำเภอราชคราม (เสนาน้อย) จังหวัดกรุงเก่า เนื่องจากบริเวณวัดตั้งอยู่ในที่ลุ่มน้ำ เมื่อฤดูน้ำหลากจึงเกิดน้ำท่วมสูง ทุกปี ทำให้เกิดความเสียหายและเกิด ความลำบากในการพัฒนาวัด ชาวบ้านหนองกก จึงได้ ปรึกษากับเจ้าอาวาส ว่าควรหาที่ทำเลใหม่ เพื่อใช้สร้างวัด โดยมี นายวอน, นางแก้ว, นายสำเภา, ได้ดำเนินการจัดหาที่ดิน เพื่อย้ายวัดมาสร้างในที่ปัจจุบันนี้ และตั้งชื่อวัดใหม่ว่า วัดกกแก้ววรพา ตามนามของผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญ ในการริเริ่มถวายที่ดินสร้างวัด ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงแบ่งเขต การปกครองท้องถิ่น ของหน่วยงานราชการ จากบ้านหนองกก ตำบลไผ่พระ อำเภอราชคราม (เสนาน้อย) จังหวัดกรุงเก่า จึงทำให้วัดต้องขึ้นกับ เขตการปกครองที่ตั้งขึ้นใหม่ คือ บ้านหนองกก ตำบลกกแก้วบูรพา อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนถึงปัจจุบันนี้


28 ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ) เจ้าอาวาสและชาวบ้านหนองกก มี ความเห็นว่าเมื่อมีการย้ายวัดจากทิศตะวันตก มาอยู่ทางทิศตะวันออกแล้ว จึงทำการตั้งชื่อวัด ขึ้นใหม่ว่า วัดกกแก้วบูรพา มาจนถึงทุกวันนี้ โด ยมครอบครัวของ นายสำเภา ได้ถวายที่ดินให้ วัด กกแ ก้วบูรพา จำนวน 7 ไ ร่ 40 วา พ.ศ. 2475 นายวอน, นางแก้ว, ได้ถวายที่ดิน ให้ วัดกกแก้วบูรพา 15 ไร่ พ.ศ. 2478 จัดทำข้อมูล/เรียบเรียงประวัติ โดย พระปลัดสมศักดิ์ สมจิตโต เจ้าอาวาสวัดกกแก้วบูรพา วันที่ ๓ กรกฎาคม 2563 ผู้รับผิดชอบ : พระปลัดสมศักดิ์ สมจิตโต เจ้าอาวาสวัดกกแก้วบูรพา ภำพแหล่งเรียนรู้


29 วัดช่ำงเหล็ก ที่ตงั้ เลขที่ 33 หมู่ที่ 1 ตำบลช่างเหล็ก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด พระประธำนปำงมำรวิชัย ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดช่างเหล็ก ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 2321 สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระอุโบสถ มีทางขึ้นด้านเดียวที่เรียกว่า “ทรงมหาอุตม์” มีพระประธานประจำอุโบสถ ปางมารวิชัย ขนาด หน้าตักกว้าง 52 นิ้ว สูง 75 นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ. 2325 พระประธานประจำศาลาการเปรียญ ปาง มารวิชัย ขนาดหน้าตัก 24 นิ้ว สูง 55 นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ. 2484 ปูชนียวัตถุอื่นๆ เช่น เจดีย์บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ รอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ นายฟื้น บุตรนายเจ๊ก นางพริ้ง เป็นผู้ถวายที่ดินแก่วัด เหตุที่ใช้นามว่า วัดช่างเหล็ก เนื่องจากสมัยก่อนหมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านประกอบอาชีพเป็นช่างตีดาบ ตีมีดเป็นส่วนใหญ่ เมื่อ ตีดาบ แล้วนำไปกลึงที่บ้านกลึง เพื่อในส่วนของด้ามดาบและมีด หมู่บ้านช่างเหล็กและบ้านกลึงจึง มีส่วนสัมพันธ์สอดคล้องกบชื่อวัดดังกล่าว ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2325 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 12.80 เมตร ยาว 18.50 เมตร


30 ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ (ต่อ) สถาปัตยกรรมของโบสถ์วัด ช่างเหล็ก มีลักษณะเฉพาะ คือ เป็น โบสถ์สมัยอยุธยาตอนปลายสร้างโดย ช่างชาวจีน ด้วยรูปแบบศิลปะจีน หน้า บันประดับด้วยเครื่องสังคโลก อีกทั้งยัง มีสถูปทรงระฆังลายกลีบบัว บรรจุสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญมาจากวัดระฆังโฆสิ ตารามโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี ที่เคยธุดงค์มาปักกลด ณ ที่วัด ช่างเหล็กแห่งนี้ ผู้รับผิดชอบ : พระครูประทีปวัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดช่างเหล็ก ภำพแหล่งเรียนรู้


31 วัดศิริสุขำรำม ที่ตงั้ เลขที่ 70 บ้านโรงหลวง หมู่ที่ 4 ตำบลช่างเหล็ก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด โบสถ์วัดศิริสุขำรำม ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดศิริสุขาราม เริ่มสร้างขึ้น พ.ศ. 2502 โดยมีนายไย นางถมยา สุขสิงขร บริจาคที่ดิน ให้เป็นที่สร้างวัด ประมาณ 12 ไร่ นำคำว่า “ศิริ” มาจากชื่อพรสมุห์ศิริ ซึ่งเป็นที่ปรึกษา และ คำว่า “สุข” มาจาก “สุขสิงขร” นามสกุลของผู้บริจาคที่ดิน หากจะแปลเอาความหมาย คงจะได้ ใจความว่า “วัดที่สร้างขึ้นโดยตระกูลสุขสิงขร ซึ่งมี พระสมุห์ศิริ เป็นที่ปรึกษา” ชาวบ้านเรียก “วัด ใหม่โรงหลวง” ตามชื่อบ้าน เกี่ยวกับที่ดินวัดนั้น ในปี พ.ศ. 2519 ได้มีผู้มาบริจาคที่ดินให้แก่วัด เป็นการเพิ่มเติมอีก คือ นายไย นางถมยา สุขสิงขร เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 58 ตารางวา นางจำรูญ สะมะโน เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งานเศษ สังกัดคณะสงค์มหานิกาย เจ้าอาวาสปัจจุบันคือ “พระครูกันต ธรรมาภิรักษ์”


32 ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ) 1. วัดศิริสุขาราม (ชื่อเดิมวัดโรงหลวง) เป็นศูนย์กลาง ในการประกอบกิจกรรมของพุทธศาสนิกชน ของชาว ตำบลช่างเหล็กมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังมีสถานศึกษา คือโรงเรียนวัดศิริสุขารามอันเป็นสถานศึกษาในท้องถิ่น 2. โบสถ์วัดศิริสุขราม ยังทาบทาด้วยสีทอง อร่ามตาเหมาะอย่างยิ่งกับการถ่ายรูปยาม เย็นตอนพระอาทิตย์ตกดิน ลักษณะที่ สำคัญ คือพื้นที่ฐานใต้โบสถ์ทางวัดได้ทำ การปรับแต่งให้สามารถรอดใต้โบสถ์ได้ ซึ่ง เปรียบเหมือนราหูเดินเวียนสามรอบไหว้ ขอพรแล้วเดินออกมาอีกฝั่งหนึ่งเสมือน ออกจากปากของราหูเป็นการสะเดาะ เคราะห์เพื่อความเป็นศิริมงคลกับชีวิต ถือ เป็น ถือเป็นจุดหมาย (LANDMARK) ที่ น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้รับผิดชอบ : พระครูกันตธรรมาภิรักษ์ (พระอาจารย์เสริม) เจ้าอาวาสวัดศิริสุขาราม ภำพแหล่งเรียนรู้


33 วัดป่ ำคำ ที่ตงั้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลโคกช้าง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด โบสก์เก่ำแก่สมัยอยุธยำ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดป่าคา มีพื้นที่ 54 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา เป็นวัดโบราณสร้างมาแต่ครั้งศรีอยุธยาเป็น ราชธานี โดยมีอุโบสถหลังเก่าเป็นที่สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่สร้างครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลายแต่ไม่ ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในปีใด วัดป่าคาในชั้นเดิมเป็น วัดรามัญ ที่สร้างขึ้นโดยชาวรามัญที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ตำบลนี้แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีชื่อมาแต่เดิมว่า วัดสุวรรณคงคาราม วัดป่าคาคงเป็น วัดของ พระสงฆ์ฝ่ายรามัญเรื่อยมา กระทั่งถึงยุคต้นรัตนโกสินทร์ จึงเปลี่ยนเป็นวัดของพระสงฆ์ไทยฝ่าย ธรรมยุต ทั้งนี้คงเนื่องมาจากพระสงฆ์ที่เป็นชาวรามัญคงมีน้อยลงตามลำดับ จนที่สุดก็มีแต่ พระสงฆ์ที่เป็นกุลบุตรไทย เชื้อรามัญเป็นพื้น วัดรามัญจึงค่อยกลายเป็นวัดไทยไปในที่สุด วัดสุวรรณคงคารามได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น วัดป่าคา ก็คงในยุคที่ได้เปลี่ยนมาเป็นวัดพระสงฆ์ไทย ดังกล่าวนี้ ซึ่งสันนิษฐานว่าในราวปลายรัชกาลที่ 6 หรือต้นรัชกาลที่ 7 เป็นอย่างช้า เพราะเมื่อ 60 ปีเศษมาแล้วสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์แต่ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระราชาคณะ ได้เคยเสด็จมาทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ประทานบรระชาอุปสมบท แก่กุลบุตร ณ วัดป่าคานี้


34 ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ) โบราณสถานสำคัญของวัดป่า คือ อุโบสถเก่า ที่สร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาแลง พุทธ ศิลป์สมัยกรุงศรีอยุธยา พระเจดีย์โบราณทรง ลังกา และหอระฆังเก่าทรงมณฑป 3 สิ่งนี้ สันนิษฐานว่าคงมีมาแต่แรกสร้างวัด นับเป็น โบราณสถาน และโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า อุโบสถหลังใหม่ ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2514 มี ขนาดกว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 ภายใน ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาประธาน ซึ่งเป็น พระพุทธรูปโบราณ และประดิษฐานพระพุทธรูปยืน ทรงเครื่อง ซึ่งเล่ากันว่า ลอยมากับเรือโขลนพร้อม ด้วยธรรมาสอีกหลังหนึ่ง มาเกยหาดที่หน้าวัด เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเกิดจนเสียกรุงครั้งสุดท้าย พ.ศ.2310 จึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ วัดนี้สืบมา นับเป็นปูชนียวัตถุสำคัญของวัดอีกอย่าง หนึ่ง ผู้รับผิดชอบ : พระครูปัญญาคุณารักษ์ (รำพึง ปัญญาเตโช) เจ้าอาวาสวัดป่าคา ภำพแหล่งเรียนรู้ 34 วัดหน้ำต่ำงนอก


35 ที่ตงั้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด วัดหน้ำต่ำงนอก ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ พระครูสมบูรณ์จริยธรรม (อาจารย์แม้น อาจารสมปนโน) เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ได้เล่าถึง ประวัติของวัดหน้าต่างนอก พอสังเขปว่า ท่านได้ฟังมาจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า เจ้าคณะอำเภอบางบาล หลวงพ่อไวทย์ วัดบรมวงศ์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา อำเภอบางบาล หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว เจ้าคณะอำเภอบางไทร ถึงประวัติของวัดหน้าต่างนอก อย่างตรงกันว่า วัดหน้าต่างนอก สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปลายกรุงศรี อยุธยา เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2300 ซึ่งหลวงปู่เณร เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างขึ้นเหตุที่ชื่อวัดหน้าต่าง นอกนั้น ก็มีเหตุอยู่ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก กองทัพพม่าที่ยกมาตีกรุงศรีอยุธยา ได้ตั้งค่ายใกล้กับสะพานสีกุก ทางกองทัพ กรุงศรีอยุธยาได้ให้ทหารหน่วยสอดแนมสอดส่องดูว่า ข้าศึกจะขยับเขยื้อนไปทางไหน โดยให้ดูด้วย การเปิดหน้าต่าง หน้างต่างใน หมายถึง ใกล้ชายแม่น้ำน้อย ก็คือที่ตั้งวัดหน้าต่างใน หน้าต่างนอก หมายถึง ทางนอกทุ่ง ก็คือที่ตั้งวัดหน้าต่างนอก ประเด็นที่สอง ในสมัยโบราณนั้น พระภิกษุสงฆ์ท่านเคร่งครัดในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน และได้มีการกล่าวไว้ว่า เดิมทีตรงที่ตั้งวัดหน้าต่างนอก เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของสงฆ์วัดหน้าต่าง ใน ต่อมาหลวงปู่เณร จึงได้ตั้งเป็นวัดขึ้นอาจจะตั้งชื่อวัดโดยอรรถโดยธรรมก็ได้ เช่น วัดหน้าต่าง นอก ท่านหมายเอาอายตนะภายนอก คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส วัดหน้าต่างใน ท่านหมายเอา ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ)


36 อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อหลวงปู่เณรได้มรณภาพไปแล้ว ทางคณะสงฆ์ คณะอุบาสกอุบาสิกา ได้อาราธนาหลวงปู่เอี่ยมขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแทนหลวงปู่เณร สืบมา ปฏิปทาของหลวงปู่เอี่ยมเป็นที่เลื่องลือกันมากในสมัยนั้นท่านเป็นพระปฏิบัติในด้าน พระกัมมัฏฐานน้ำมนต์ของท่านศักดิ์สิทธิ์มากผู้คนเลื่อมใสศรัทธาไปมาหาสู่เพื่อสักการะไม่ขาดสาย ครั้นพอต่อมาหลวงปู่เอี่ยมท่านได้มรณภาพ สิ้นอายุขัย ทางคณะสงฆ์จึงได้อาราธนา หลวงปู่ อินทร์ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแทนหลวงปู่เอี่ยม ต่อมาหลวงปู่อินทร์ได้ลาสิกขาบท ทาง คณะสงฆ์จึงได้อารธนาหลวงพ่อจง ซึ่งบวชอยู่วัดหน้าต่างใน มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแทน เมื่อหลวงพ่อจงได้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้แล้วนั้น ท่านก็ได้บูรณะอุโบสถหลังเก่า เดิมทีเป็นเรือนไม้ แล้วก็ได้บูรณะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ตลอดทั้งวิหารซึ่งคู่กับอุโบสถนั้น แล้วก็ ได้สร้างพระพุทธฉายขึ้นที่หน้าวัดขึ้นเป็นอนุสรณ์และได้สร้างเรือหงส์ขึ้นอีกหนึ่งลำจากนั้นได้ ซ่อมแซมเสนาสนะเช่น กุฏิมีสภาพทรุดโทรม ให้อยู่ในสภาพที่ดีเป็นต้นจนกระทั่งหลวงพ่อท่านอายุ ย่างเข้า 93 ปี กับ 10 เดือนท่านก็มาป่วยด้วยโรคอัมพาตอยู่เดือนหนึ่งแล้วท่านก็มรณภาพลงเมื่อ วันจันทร์ เดือน 3 พ.ศ.2508 ทางคณะกรรมการจึงได้ทำฌาปนกิจศพหลวงพ่อจง พ.ศ.2509 จากนั้นก็ได้อาราธนาพระอาจารย์ไวยท์ ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส และได้แต่งตั้งเมื่อ พ.ศ.2510 พระอาจารย์ไวยท์ได้เป็นเจ้าอาวาสเพียง 5 เดือนก็ได้มรณภาพลงจากนั้นก็้จึงได้ อาราธนาพระอาจารย์ครุฑ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส พระอาจารย์ครุฑเป็นเจ้าอาวาสอยู่ได้ เพียง 3 ปีราว พ.ศ.2514 พระอาจารย์ครุฑก็ได้มรณภาพลงจากนั้น พ.ศ.2515 ทางคณะกรรมการ จึงได้อาราธนาพระอาจารย์แม้น หรือพระครูสมบูรณ์จริยธรรม จากวัดกลางคลองสาม อำเภอ คลองหลวงจังหวัดปทุมธานี มารักษาการแทนเจ้าอาวาสเมื่อเดือนสี่ พ.ศ.2515 และเป็นเจ้าอาวาส สมาจนถึงปัจจุบัน ผู้รับผิดชอบ : พระครูสมบูรณ์จริยธรรม (แม้น อาจารสมปนโน) เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก ภำพแหล่งเรียนรู้


37 วัดหน้ำต่ำงใน ที่ตงั้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด โบสถ์วัดหน้ำต่ำงใน ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดหน้าต่างใน สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2290 ปลายกรุงศรีอยุธยา นับว่าเป็นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว ได้รับครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2508 ได้รับครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2538 ที่วัดนี้มีโรงเรียนของทางราชการตั้งอยู่ ด้วย ผู้รับผิดชอบ : พระอธิการยวง สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ภำพแหล่งเรียนรู้


38 วัดป้อมแก้ว ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 30 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด หลวงพ่อนำค ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดป้อมแก้ว เป็นวัดสังกัดสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา วัดป้อมแก้วมีปูชนียวัตถุ คือพระประธานในอุโบสถ และพระประธานในวิหาร ชื่อหลวงพ่อนาค วัด ป้อมแก้วชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดแก้ว” สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2311 นับเข้าเป็น วัดชนิดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๑๔ เจ้าอาวาสที่พอสืบทราบได้มีดังนี้ หลวงพ่อนาค หลวงพ่อไผ่ หลวงพ่อถึก หลวงพ่อกลั่น อาจารย์เจริญ พระครูโชติวุฒิกร (หลวงพ่อ โชติ พุทธสโร) พระครูประโชติธรรมวิจิตร (หลวงพ่อเพิ่ม อตฺตทีโป) ผู้รับผิดชอบ : พระครูใบฎีกาไพโรจน์เจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว ภำพแหล่งเรียนรู้ 38


39 วัดปำกน ้ำ ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 9 หมู่ที่ 1 ตำบลแคออก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด กุฏิสงฆ์ทรงไทย ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดปากน้ำ มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 41 ไร่ 80 ตารางวา พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ สร้างวัดขึ้นนับ แต่ พ.ศ. 2446 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2349 ต่อมาใน พ.ศ. 2530 เจ้าอาวาสรูป ปัจจุบันได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้นมาใหม่ และพ.ศ. 2537 ได้ก่อสร้างอุโบสถขึ้นมาใหม่ ได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2541 ผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ. 2545 ในปี พ.ศ. 2546 ได้เริ่ม การก่อสร้างกุฎิสงฆ์ทรงไทยขึ้นมาใหม่ จำนวน 11 หลัง ผู้รับผิดชอบ : พระครูศุภกิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภำพแหล่งเรียนรู้


40 วัดกระแชง ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 49 หมู่ที่ 2 ตำบลกระแชง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด วัดกระแชง ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดกระแชง สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่สมัยอยุธยา ราว พ.ศ. 2189 ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดบ้านกระแชง” ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้วในราว พ.ศ 2192 ที่วัดนี้ได้จัดให้มีการสอน พระปริยัติธรรมตลอดมา มีพระเถระที่มีวิทยาคมขลัง เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนถิ่นนี้มีชื่อ หลวงปู่เจีย ผู้รับผิดชอบ : พระครูสุวรรณธรรมกิจ เจ้าอาวาสวัดกระแชง ภำพแหล่งเรียนรู้


41 วดับำงย ี่โท ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 16 หมู่ที่ 1 ตำบลบางยี่โท อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด โบสถว์ดับำงยี่โท ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดบางยี่โท ได้จัดตั้งเป็นวัดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2378 ได้รับวิสุงคามสีมาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2462 ผู้รับผิดชอบ : พระสมุห์ไสว สญญโต เจ้าอาวาสวัดบางยี่โท ภำพแหล่งเรียนรู้


42 วัดบำงแขยง ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 74 หมู่ที่ 4 ตำบลบางยี่โท อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด หลวงพ่อสุ่น ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดบางแขยง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2366 มีเนื้อที่วัดประมาณ 9 ไร่ โดยได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. 2366 ได้มีการปฏิสังขรณ์โดยหลวงพ่อสุ่น แห่งวัดบางปลาหมอ และ ต่อมา มีพระอดุลธรรมเวที ได้พัฒนาเรื่อยมา การบูรณะครั้งสุดท้ายมีพระครูเกษมสังฆการ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้รับผิดชอบ : พระสมุห์ไสว สญญโต เจ้าอาวาสวัดบางแขยง ภำพแหล่งเรียนรู้ 42


43 วัดนำคสโมสร ที่ตงั้ ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลไผ่พระ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด โบสถ์วัดนำคสโมสร ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดนาคสโมสร สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ พ.ศ.2445 โดยมีนายสุ่น จั่นบำรุง บริจาคที่ดิน ให้เป็นที่สร้างวัด และได้รื้อบ้านพักอาศัยมาสร้างเสนาสนะ 2 หลัง มีที่ดินที่ตั้งวัดเนื้อที่ 8 ไร่ พื้นที่เป็นที่ราบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีอุโบสถ สร้างด้วยคอนกรีต ศาลาการเปรียญสร้างด้วยไม้ กุฏิสงฆ์ จำนวน ๗ หลัง เป็นอาคารไม้นอกจากนี้มีหอระฆัง และหอสวดมนต์สำหรับปูชนียวัตถุมี พระประทานในอุโบสถ ทางวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว ราวพ.ศ. 2447 ที่วัดนี้มี โรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการตั้งอยู่ด้วย ผู้รับผิดชอบ : พระอธิการสมโภชน์ ธมมีธโร เจ้าอาวาสวัดนาคสโมสร ภำพแหล่งเรียนรู้ 43


44 วัดท่ำซุงทักษิณำรำม ที่ตงั้ หมู่ที่ 6 ตำบลไม้ตรา อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเภทแหล่งเรียนรู้: วัด พระพุทธสิหิงค์ ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้ วัดท่าซุงทักษิณาราม เป็นวัดที่อยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับวิสุงคามสีมา พ.ศ.2250 มีถาวรวัตถุที่เก่าแก่หลายรายการ เช่น เจดีย์หลัง พระอุโบสถ พระสังกัจจาย อายุประมาณ 300 ปี พระพุทธสีหิงค์ อายุประมาณ 200 ปีพระทรงเครื่อง 80 องค์ อายุประมาณ 200 ปีศาลาการเปรียญทรงมงกุฎ ศาลาไทยลายทองติดกระจกรอบ ศาลา หอสวดมนต์ไทยลายทอง ไม้สักทองทั้งหลัง พระประธานในประอุโบสถชื่อหลวงพ่อเกสร อายุประมาณ 300 ปี มีหลวงพ่อ หุ่น ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หล่อมาให้มีอายุกว่า 140 ปี(จากการสันนิษฐานของ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงทักษิณารามองค์ปัจจุบัน) สืบเนื่องมาจากหลวง พ่อหุ่น เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงทักษิณาราม ท่านเป็นสหายธรรมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ครั้งหนึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ท่านมาพักจำวัดค้างคืนที่วัดท่าซุงทักษิณาราม กับหลวงพ่อหุ่น หลวงพ่อหุ่นท่านดำริอยากได้รูปหล่อเหมือนของตัวท่านกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต


45 ประวัติควำมเป็ นมำ/เนื้อหำสำระในแหล่งเรียนรู้(ต่อ) สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านจึงบอกกับหลวงพ่อหุ่นว่า ท่านจะสร้าง รูปหล่อนี้ให้ หลังจากท่านกลับไปแล้ว ท่านนำรูปหล่อเหมือนองค์ หลวงพ่อหุ่นใส่เรือมาให้ แต่หลวงพ่อหุ่นกล่าวว่าไม่เหมือนตัวท่านเลย ต่อมาอีก 50 ปี รูปหล่อนี้เหมือนหลวงพ่อหุ่นเป๊ะ นอกจากนี้มีที่วัด ท่าซุงทักษิณารามมีค้างคาวแม่ไก่ประมาณ 20,000 ตัว เป็นค้างคาวที่ กินใบไม้ เกสรดอกไม้ และผลไม้เป็นอาหาร ผู้รับผิดชอบ : พระครูทักษิณวรกิจ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงทักษิณาราม ภำพแหล่งเรียนรู้ หลวงพ่อเกสร ศาลาไทยลายทองติดกระจกรอบศาลา ภาพจิตรกรรม พระสังกัจจาย


Click to View FlipBook Version