100 ค่มู ือนักดูดาว วัตถใุ นหว้ งอวกาศลึกท่นี า่ สนใจในฤดูใบไม้รว่ ง
ชือ่ วตั ถุ : ดาวอลั บิเรโอ (Albireo) ชอ่ื วัตถุ : M2
กลุม่ ดาว : หงส์ (Cygnus) กลมุ่ ดาว : คนแบกหม้อนา�้ (Aquarius)
ชนดิ วัตถุ : ดาวฤกษ์ ชนดิ วตั ถุ : กระจกุ ดาวทรงกลม
อันดับความสว่างปรากฏ : 3.3 อันดบั ความสวา่ งปรากฏ : 6.3
RA : 19h 30m 43s ขนาดเชงิ มุม : 0o 16’
DEC : +27o 57’ 34’’ RA : 21h 33m 27s
ระยะหา่ งจากโลก : 385.53 14.47 ปแี สง DEC : -0o 49’ 23’’
ระยะหา่ งจากโลก : 39,144 ปแี สง
A GUIDE TO STARGAZING 101 ช่อื วตั ถุ : M13
กลมุ่ ดาว : เฮอรค์ ิวลีส (Hercules)
ชนิดวตั ถุ : กระจุกดาวทรงกลม
อันดับความสวา่ งปรากฏ : 5.8
ขนาดเชงิ มุม : 0o 20’ 00’’ x 0o 07’ 54’’
RA : 16h 41m 41s
DEC : +36o 27’ 40’’
ระยะหา่ งจากโลก : 25,117.4 ปีแสง
ดวงอาทติ ย์ พธุ ศุกร์
โลก อังคาร
102 คู่มือนักดดู าว
องั คาร เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน
พฤหสั บดี
การสังเกตการณ์ดาวเคราะห์
(Observing the planets)
A GUIDE TO STARGAZING 103
“ดาวเคราะห์” หรือ “Planet” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกแปลว่า “ผู้พเนจร” เนื่องจากเป็น
วัตถุท้องฟ้าท่ีมีต�าแหน่งปรากฏเปล่ียนแปลงตลอดเวลาตามแนวเส้นสุริยวิถี (ตามแนวกลุ่มดาว
จักรราศี) ซ่ึงเกิดจากดาวเคราะห์เคลื่อนที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ หากใช้วงโคจรของโลกเป็นเกณฑ์
จะแบ่งดาวเคราะหไ์ ด้เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้
“ดาวเคราะห์วงใน” (Inferior planet) “ดาวเคราะห์วงนอก” (Superior planet)
มีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ มีวงโคจรห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าวงโคจร
ดาวพุธ และดาวศกุ ร์ ดาวเคราะห์ประเภทนี้จะ โลก ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์
มีระยะเวลาปรากฏบนท้องฟ้าไม่นานเห็น ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน เม่ือมองจากโลก
ได้เฉพาะช่วงเช้ามืดทางทิศตะวันออกหรือ จะสามารถเห็นดาวเคราะห์เหล่าน้ีในช่วง
หัวค่�าทางทิศตะวันตกเท่าน้ัน โดยดาวพุธจะ กลางดึกได้ ช่วงท่ีเหมาะกับการสังเกตการณ์
มีมุมห่างจากดวงอาทิตย์ได้มากสุดประมาณ มากทสี่ ดุ คอื ช่วงทดี่ าวเคราะห์อยู่ในตา� แหนง่
28 องศา ขณะที่ดาวศุกร์จะมีมมุ หา่ งมากทส่ี ุด ตรงข้ามกบั ดวงอาทติ ย์ (Opposition) เน่อื งจาก
ประมาณ 46 องศา จ ะ เข ้ า ใ ก ล ้ โ ล ก ม า ก ที่ สุ ด แ ล ะ ส า ม า ร ถ
สังเกตการณ์ได้ตลอดท้ังคืน
104 ค่มู ือนักดดู าว
ดาวเคราะหว์ งใน
(วงโคจรอยูใ่ กล้ดวงอาทติ ย์มากกวา่ โลก)
พฤหสั บดี เสาร์
ยเู รนัส เนปจนู
อังคาร
พุธ ศุกร์ โลก
ดาวเคราะห์วงนอก
(วงโคจรอยู่ไกลจากดวงอาทติ ยม์ ากกว่าโลก)
สี ความสวา่ ง และชว่ งเวลาที่ปรากฏของดาวเคราะห์
ดาวเคราะห์ที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีท้ังหมด 5 ดวง
ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์
แตล่ ะดวงมคี วามสว่าง และสีท่ีแตกตา่ งกันไป ดงั นี้
สแกนเพ่ือตรวจสอบ
เวลาข้ึน-ตกของดาวเคราะห์
ดาวเคราะห์ ประเภท ค่าอันดบั สี
ท่เี ห็นได้ด้วยตาเปลา่ ดาวเคราะห์ ความสวา่ งปรากฏ
ขาว
ดาวพธุ วงใน สงู สดุ
(Mercury)
วงใน -2.4
ดาวศกุ ร์
(Venus) วงนอก -4.9 ขาว
ดาวอังคาร วงนอก -2.9 ส้ม-แดง
(Mars)
วงนอก -2.9 ขาว-เหลือง
ดาวพฤหสั บดี
(Jupiter) -0.6 ขาว-เหลอื ง
ดาวเสาร์
(Saturn)
พุธ ศกุ ร์ องั คาร พฤหสั บดี เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน
ภาพถ่ายผ่านกลอ้ งโทรทรรศน์ เปรียบเทยี บขนาดปรากฏของดาวเคราะห์ที่มองเห็นจากโลก
โดยทีด่ าวยูเรนัสและดาวเนปจูนไมส่ ามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปลา่
106 คู่มือนกั ดูดาว
แยกดาวเคราะห์จากดาวฤกษเ์ มื่อสังเกตดว้ ยตาเปลา่
ในเบ้ืองต้นให้สังเกตจากการกะพริบแสงของดาว ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะกะพริบแสง ขณะท่ี
ดาวเคราะห์จะคอ่ นข้างนงิ่ นนั่ เป็นเพราะว่าระยะห่างของดาวฤกษอ์ ยู่ไกลออกไปจากโลกมากเม่ือ
เทียบกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ท�าให้ดาวฤกษ์ที่ปรากฏบนท้องฟ้านั้นเป็นเพียงแหล่ง
ก�าเนิดแสงที่เป็นจุด ซ่ึงถูกรบกวนโดยชั้นบรรยากาศโลกได้ง่าย ดาวฤกษ์จึงกะพริบแสงมากกว่า
ขณะที่ดาวเคราะห์จะเป็นแหล่งก�าเนิดแสงที่มีขนาด ถูกรบกวนโดยชั้นบรรยากาศโลกน้อยกว่า
ดาวเคราะหจ์ ึงกะพริบแสงน้อยกวา่
อีกหน่ึงวิธีที่ช่วยให้เราสามารถแยกดาวเคราะห์ได้ดีท่ีสุด คือ สังเกตการเปลี่ยนต�าแหน่งของ
ดาวเคราะห์ผ่านกลุ่มดาวพ้ืนหลังท่ีดาวเคราะห์โคจรผ่าน หรือกลุ่มดาวจักรราศี หากเราเห็น
ดาวปริศนาปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวจักรราศี แล้วลองสังเกตต่อเนื่องหลายวัน จะเห็นว่าดาวปริศนา
ดังกล่าวเปล่ียนต�าแหน่งเทียบกับดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวพื้นหลัง เท่าน้ีก็เพียงพอจะยืนยันได้ว่า
ดาวดวงนั้น คือ ดาวเคราะห์
เกร็ดความรู้ ดาวทีอ่ ยกู่ ลางทอ้ งฟ้า
การกะพริบแสงของดาวนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณ แสงเดินทางผ่านชนั้ บรรยากาศ
ฝุ่นในชั้นบรรยากาศ ความแปรปรวนของอากาศ และมุมเงย เป็นระยะทางสัน้ = กะพริบน้อย
ของวัตถุท้องฟา้ ดงั นัน้ ดาวฤกษ์ทอ่ี ยู่กลางท้องฟา้ ในคืนท่ีสภาพ
อากาศนิง่ ไร้มลภาวะ กอ็ าจจะไมก่ ะพริบแสง ขณะเดียวกันหาก
ดาวเคราะห์อยู่ใกล้ขอบฟ้า แสงจะเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศ
เป็นระยะทางยาวกว่า เจอกับความแปรปรวนในบรรยากาศ
ที่มากกวา่ ก็อาจท�าให้ดาวเคราะห์กะพรบิ แสงได้
แสงเดินทางผา่ นชนั้ บรรยากาศ
เปน็ ระยะทางยาว = กะพรบิ มาก
ดาวทอ่ี ยู่ใกล้ขอบฟ้า
ช้นั บรรยากาศโลก
A GUIDE TO STARGAZING 107
ดาวเคราะหท์ ่ีมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่
1. ดาวพธุ (Mercury)
ดาวเคราะห์ล�าดับที่ 1 ในระบบสุริยะ มีขนาดเล็กท่ีสุดท�าให้
สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ได้น้อย จึงเป็นวัตถุท้องฟ้าที่
ไม่สว่างนัก
ดาวพธุ จะมมี มุ ห่างจากดวงอาทติ ย์ไม่เกิน 28 องศา
เท่าน้ัน หมายความว่าจะมีระยะเวลาในการ
สั ง เ ก ต ก า ร ณ ์ ด า ว พุ ธ ท า ง ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก ก ่ อ น
ดวงอาทิตย์ขึน้ ไม่เกิน 2 ช่วั โมง หรอื ทางทิศตะวันตก
หลงั ดวงอาทติ ย์ตกไม่เกิน 2 ช่วั โมง ซ่งึ หากรวมระยะ
เวลาของแสงสนธยาท่จี ะรบกวนการดดู าวแลว้ ก็จะยง่ิ มี
เวลาสงั เกตการณด์ าวพธุ นอ้ ยลงไปอีก หากใชก้ ลอ้ งโทรทรรศน์
ทม่ี ีก�าลังขยายสงู ตงั้ แต่ 50 เท่าขน้ึ ไปจะมองเห็นดาวพุธเป็นสี
ขาว-เทา และมีส่วนเงามืดคล้ายกับดวงจันทร์ท่ีไม่เต็มดวง
23 March 2007 1 April 2007
108 ค่มู ือนักดูดาว
2. ดาวศกุ ร์ (Venus)
ดาวเคราะห์ล�าดับที่ 2 มีขนาดใกล้เคียง
กับโลกมีชัน้ บรรยากาศท่สี ามารถสะทอ้ นแสง
ได้ดี และอยู่ใกล้โลกมากท่ีสุด จึงเป็น
ดาวเคราะห์ที่สว่างที่สุดเมื่อมองจากโลก
ดาวศุกร์มีมุมห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เกิน
46 องศา หมายความว่าจะมีระยะเวลาใน
การสงั เกตการณ์ดาวศกุ ร์ทางทิศตะวนั ออกก่อน
ดวงอาทิตยข์ ึ้นไม่เกนิ 3 ชว่ั โมง หรอื ทางทศิ ตะวันตก
หลังดวงอาทิตย์ตกไม่เกิน 3 ชั่วโมง ซึ่งดาวศุกร์มีค่า
อันดับความสว่างปรากฏเปลี่ยนแปลงอยู่เร่ือย ๆ ในช่วง
ท่ีสว่างมากท่ีสุดจะมีค่าอันดับความสว่างปรากฏสูงถึง -4.2
สามารถสงั เกตเห็นได้แมท้ อ้ งฟา้ จะไม่มืดสนทิ หากใช้กลอ้ งโทรทรรศนท์ ่ีมีก�าลังขยายต้ังแต่ 40 เทา่
ขึ้นไป จะมองเห็นดาวศุกร์เป็นสีขาว-เหลือง และมีส่วนเงามืดคล้ายกับดวงจันทร์ท่ีเปลี่ยนแปลง
เสีย้ วสว่าง
คนไทยเรียกดาวศกุ ร์ทพี่ บในชว่ งร่งุ เชา้ ทางทศิ ตะวนั ออกว่า “ดาวประกายพรึก” และเรียกดาวศกุ ร์
ที่พบในชว่ งหวั คา�่ ทางทิศตะวันตกวา่ “ดาวประจ�าเมือง”
12 Aug 2018 13 Aug 2018 17 Aug 2018 29 Aug 2018
30 Aug 2018 20 Sep 2018 29 Sep 2018 1 Oct 2018
A GUIDE TO STARGAZING 109
3. ดาวอังคาร (Mars)
ดาวเคราะห์ล�าดับท่ี 4 ในระบบสุริยะ มีขนาด
ประมาณคร่งึ หนึ่งของโลก มสี ีแดงเดน่ ชัด หากใช้
กล้องโทรทรรศน์ที่มีก�าลังขยายต้ังแต่ 100 เท่า
ขึ้นไป จะสามารถสังเกตเห็นพื้นน้�าแข็งสีขาว
ที่อยู่บริเวณขั้วของดาวอังคารได้
ช่วงเวลาท่ีเหมาะสมในการสังเกตการณ์ดาวอังคาร
คือ ช่วงท่ีดาวอังคารอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์
(Mars Opposition) ดาวอังคารจะข้ึนทางทิศตะวันออก
ทันทีที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า จึงสามารถสังเกตการณ์ได้
ตลอดท้งั คืน อกี ทงั้ ยังเป็นชว่ งทีด่ าวองั คารเขา้ มาใกลโ้ ลกมากกว่าชว่ งอ่นื ๆ จึงสามารถสังเกตเหน็
ดาวอังคารไดช้ ัดเจน ซึ่งดาวอังคารจะเคลอื่ นมาอยใู่ นตา� แหนง่ นี้ทุก ๆ 26 เดอื น
อย่างไรก็ดี ดาวอังคารไม่ได้เข้าใกล้โลกมากที่สุดในต�าแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์พอดี
เนื่องจากวงโคจรของดาวอังคารค่อนข้างรี จงึ ท�าให้วันที่ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สดุ น้ันเคลื่อน
ไปจากวนั ที่ดาวองั คารอยูใ่ นต�าแหน่งตรงขา้ มดวงอาทิตย์เลก็ นอ้ ย
11 Apr 2016 25 Apr 2016 28 May 2016 27 June 2016
(at opposition)
110 คู่มือนักดูดาว
4. ดาวพฤหัสบดี (Jupiter)
ดาวเคราะห์ล�าดับท่ี 5 และเป็นดาวเคราะห์แก๊สที่ใหญ่ท่ีสุด
ในระบบสุรยิ ะ (ใหญ่กว่าโลก 11 เทา่ ) มีลวดลายท่เี ป็นเอกลักษณ์
หากใช้กล้องโทรทรรศน์ท่ีมีก�าลังขยายต้ังแต่ 100 เท่าขึ้นไป
จะสามารถสังเกตเห็นพายุสีแดงขนาดใหญ่ได้ เรียกพายุนี้ว่า
“จุดแดงใหญ่ (The Great Red Spot)”
ด าวพฤหัสบดี มี ด ว ง จั น ท ร ์ ข น า ด ใ ห ญ ่ ท่ี ส า มา ร ถ
สังเกตการณ์ได้ด้วยกล้องขนาดเล็กจ�านวน 4 ดวง เรียกว่า
“ดวงจันทร์กาลิเลียน (Galilean Moons)” ได้แก่ ไอโอ (Io)
ยูโรปา (Europa) แกนีมีด (Ganymede) และคัลลิสโต
(Callisto) จะปรากฏเป็นจดุ สวา่ งเล็ก ๆ อย่รู อบดาวพฤหสั บดี
สามารถระบดุ วงจนั ทร์ไดง้ ่าย ๆ โดยการสงั เกตการณ์ดวงจันทร์
เหล่านี้ทุก ๆ 1 ช่ัวโมง ดวงท่ีเปล่ียนต�าแหน่งเยอะท่ีสุด คือ ไอโอ
รองลงมาตามล�าดับคือ ยูโรปา แกนีมีด และคัลลิสโต
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์ดาวพฤหัสบดีคือ ช่วงท่ี
ดาวพฤหัสบดีอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ (Jupiter Opposition)
ดาวพฤหัสบดีจะขึ้นทางทิศตะวันออกทันทีที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า
จึงสามารถสังเกตการณ์ได้ตลอดท้ังคืน อีกท้ังยังเป็นช่วงท่ีดาวพฤหัสบดีเข้ามาใกล้
โลกมากที่สุด จึงสามารถสังเกตการณ์ได้ชัดเจนท่ีสุด ซึ่งดาวพฤหัสบดีจะเคลื่อนมาอยู่
ในต�าแหน่งน้ีทุก ๆ 13 เดือน
คลั ลสิ โต ยโู รปา ไอโอ แกนมี ดี
จดุ แดงใหญ่
A GUIDE TO STARGAZING 111
5. ดาวเสาร์ (Saturn)
ดาวเคราะห์ล�าดับที่ 6 ในระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่
เปน็ อันดบั ที่ 2 รองลงมาจากดาวพฤหัสบดี หาก
สังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ท่ีมีก�าลัง
ขยาย 30 เทา่ ข้นึ ไป จะเหน็ วงแหวนทโี่ ดดเดน่
และชัดเจน หากใช้กล้องโทรทรรศน์ท่ีมี
กา� ลังขยายตงั้ แต่ 100 เทา่ ขน้ึ ไปจะสามารถ
มองเห็นแนวชอ่ งวา่ งภายในวงแหวน น่ันคือ
ชอ่ งวา่ งแคสสนิ ี (Cassini Division) ทแี่ บง่
ระหว่างวงแหวนชนั้ A และช้นั B รวมถงึ
สามารถสังเกตเห็นดวงจันทร์ของ
ดาวเสาร์ได้เช่นกัน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์ดาวเสาร์คือ ช่วงท่ีดาวเสาร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์
(Saturn Opposition) ดาวเสาร์จะขึ้นทางทิศตะวันออกทันทีท่ีดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า สามารถ
สังเกตการณ์ได้ตลอดทั้งคืน อีกท้ังยังเป็นช่วงที่ดาวเสาร์เข้ามาใกล้โลกมากท่ีสุด จึงสามารถ
สังเกตการณ์ไดช้ ดั เจนท่ีสุด ซ่ึงดาวเสาร์จะเคล่อื นมาอยูใ่ นตา� แหนง่ น้ีทกุ ๆ 12 เดือน กบั อีก 2 สัปดาห์
ชอ่ งวา่ งแคสสนิ ี
ไททัน
ไดโอนี
ทธี สิ
รีอา
112 ค่มู ือนกั ดูดาว
ดาวเสาร์
ดวงจนั ทร์
ดาวศกุ ร์
ดาวพฤหสั บดี
A GUIDE TO STARGAZING 113
การสงั เกตการณ์ดวงจันทร์
(Observing the Moon)
“ดวงจันทร์” ดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของโลก เป็นวัตถุ
ทอ้ งฟ้าทอี่ ย่ใู กลโ้ ลกและสวา่ งมากทส่ี ดุ บนทอ้ งฟ้าตอน
กลางคนื มีขนาดเชิงมมุ เทา่ กับดวงอาทติ ย์ สามารถ
สังเกตเห็นได้ท้ังตอนกลางวันและตอนกลางคืน
โดยดวงจันทร์มีคาบการหมุนรอบตัวเองเท่ากับ
คาบการโคจรรอบโลก ท�าให้ดวงจันทร์หัน
ด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอ ด้านท่ีเรามองเห็น
เรยี กว่า “ดา้ นใกล”้ ดา้ นทมี่ องไม่เหน็ เรยี กวา่
“ด้านไกล”
ขอ้ มูลทัว่ ไป
ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางเฉลี่ย 3,474.8 กม
. ระยะห่างจากโลกเฉลีย่ 384,400 กม.
คาบการเปล่ยี นเฟสประมาณ 29.5 วนั
คาบการโคจรรอบโลก 27.3 วัน
ขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์เตม็ ดวง 0.5o
ค่าอันดับความสว่างปรากฏของดวงจันทร์
เต็มดวงประมาณ -12.7
การเกดิ ข้างข้ึน-ข้างแรม
ข้างข้ึน-ข้างแรมของดวงจันทร์ หรือเฟสของ
ดวงจันทร์ (Lunar Phase) คือ ลักษณะเว้าแหว่ง
ของดวงจันทร์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เกิดจากแสง
ดวงอาทติ ยท์ ก่ี ระทบผวิ ของดวงจนั ทรแ์ ลว้ สะทอ้ นมายงั โลก
ท�ามมุ แตกตา่ งกันไปในแตล่ ะวัน เราจงึ เหน็ ดวงจันทร์มสี ่วนมืด
และส่วนสว่างเปล่ียนแปลงไปทุกวัน มีคาบการเปล่ียนเฟส 1 รอบ
ใช้เวลาประมาณ 29.5 วัน
114 ค่มู ือนักดูดาว
ขึ้น 15 คา่�
(จันทรเ์ ต็มดวง)
ดวงจันทร์ข้างข้ึน สามารถสังเกตการณ์ เฟสดวงจนั ทร์ เวลาข้นึ เวลาตก
ได้ในช่วงหัวค่�าทางทิศตะวันตก เริ่มนับจาก
ข้ึน 1 ค�่า ไปจนถึงขึ้น 15 ค่�า (จันทร์เต็มดวง) จนั ทร์ดบั 06:00 น. 18:00 น.
มีข้อสังเกตคือ เสี้ยวสว่างของดวงจันทร์ข้าง (แรม 15 คา�่ ) 12:00 น. 00:00 น.
ขึ้นจะหนั ไปทางทศิ ตะวนั ตกเสมอ 18:00 น. 06:00 น.
ครง่ึ ดวง 00:00 น. 12:00 น.
ดวงจันทร์ข้างแรม สามารถสังเกตการณ์ ข้างขน้ึ
ได้ในช่วงรุ่งเช้าทางทิศตะวันออก เร่ิมนับจาก (ขน้ึ 7 - 8 คา�่ )
แรม 1 ค่�า ไปจนถึงแรม 15 ค�่า (จันทร์ดับ)
มีข้อสังเกตคือ เสี้ยวสว่างของดวงจันทร์ข้าง เตม็ ดวง
แรมจะหันไปทางทศิ ตะวนั ออกเสมอ (ขน้ึ 15 คา�่ )
นอกจากนี้ การที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกยัง คร่งึ ดวง
ท�าให้แต่ละวันดวงจันทร์จะขยับไปทางตะวัน ข้างแรม
ออก วันละประมาณ 12 - 13 องศา จึงมีเวลา (แรม 7 - 8 คา่� )
ข้ึนและตกช้าไปจากวันก่อนหน้า เฉล่ียวันละ
50 นาที สามารถประมาณเวลาขึ้น-ตกของ
ดวงจนั ทรใ์ นแต่ละเฟสไดด้ ังตารางด้านขา้ ง
A GUIDE TO STARGAZING 115
พน้ื ผิวของดวงจันทร์
พื้นที่สีออ่ น พนื้ ทสี่ ีคลา�้
บริเวณที่มีสีขาวสว่างเรียกว่า พื้นที่สูงบน บริเวณที่มีพื้นที่สีเข้มเรียกว่า มาเร (Mare) หรือ
ดวงจันทร์ (Lunar Highland) เป็นพ้ืนท่ี มาเรีย (Maria) ในภาษาละตนิ มีความหมายว่า
ที่มีระดับความสูงมากกว่าพ้ืนที่อ่ืน มีหลุม “ทะเล” ซ่ึงเรียกตามลักษณะพื้นผิวราบเรียบสี
อุกกาบาตหนาแน่นและขรุขระมาก อุดมไป คล�้าคล้ายทะเล มีระดับความสูงท่ีต�่ากว่า
ด้วยหินอัคนีจ�าพวกอะนอร์โทไซต์ เป็นพ้ืนผิว และราบเรียบกว่า อุดมไปด้วยหินอัคนีพวก
ดวงจันทร์ด้ังเดิมที่มีอายุประมาณ 3,800 ถึง บะซอลต์ เป็นพ้ืนผิวส่วนที่ใหม่กว่า มีอายุ
4,300 ล้านปี ประมาณ 3,300 ถงึ 3,800 ลา้ นปี
เน่ืองจากพื้นท่ีสูงบนดวงจันทร์มีสภาพขรุขระ ทะเลบนดวงจันทร์เกิดจากการชนของอุกกาบาต
กว่าพ้ืนท่ีอ่ืน ในการส่งยานไปส�ารวจพื้นผิว ครั้งใหญ่ในช่วงที่ดวงจันทร์ยังมีอายุน้อย
ดวงจันทร์จึงมักหลีกเล่ียงที่จะลงจอดบริเวณน้ี ลาวาจากใต้เปลือกดวงจันทร์ทะลักข้ึนมากลบ
ซ่งึ มเี พียงยานทล่ี งจอดส�าเรจ็ เพียงไมก่ ่ีล�า เชน่ พ้ืนหลุมอุกกาบาต กลายเป็นแอ่งลาวาขนาด
เซอร์เวเยอร์ 7 และยานอะพอลโล 16 ใหญ่ เม่ือเย็นตัวลงจงึ เกดิ เปน็ แอง่ พืน้ ทีร่ าบเรยี บ
สคี ลา้� เข้ม
กระตา่ ยบนดวงจันทร์
ลวดลายพ้ืนที่สีคล�้าบนดวงจันทร์
ท� า ใ ห ้ ค น ส มั ย ก ่ อ น สั ง เ ก ต เ ห็ น
ด ว ง จั น ท ร ์ ด ้ ว ย ต า เ ป ล ่ า เ ป ็ น
รู ป ก ร ะ ต ่ า ย โ ด ย สามารถ
มองเป็นรูปก ร ะ ต ่ า ย ไ ด ้
หลายแบบ เช่น กระต่าย
กระโดด กระต่ายต�าครก
ห รื อ ก ร ะ ต ่ า ย น่ั ง ดั ง ภ า พ
ประกอบ เกิดเป็นลวดลาย
ท่ีจินตนาการแตกต่างกันไป
ทั่วโลก ผกู โยงเขา้ กับวฒั นธรรม
และความเชอ่ื ของประเทศนั้น ๆ
A GUIDE TO STARGAZING 117
เทคนิคการดขู า้ งข้ึน–ขา้ งแรม
การดูดวงจนั ทรช์ ่วงหวั คา่� และช่วงเช้ามดื
หากสังเกตการณ์ดวงจันทร์ในช่วงหัวค�่าติดต่อกันหลายคืน แล้วพบว่าดวงจันทร์
มีส่วนสว่างมากข้ึน เช่น จากจันทร์เส้ียวไปเป็นจันทร์คร่ึงดวง หรือจากจันทร์
ครึ่งดวงไปเป็นจนั ทร์เตม็ ดวง แสดงว่าชว่ งนนั้ เปน็ ช่วงขา้ งขึน้
หากสังเกตการณ์ดวงจันทร์ในช่วงเช้ามืดติดต่อกันหลายคืน แล้วพบว่าดวงจันทร์
มสี ่วนสวา่ งลดลง เชน่ จากจันทรเ์ ต็มดวงเปน็ จันทรค์ รง่ึ ดวง หรอื จากจนั ทรค์ ร่ึงดวง
เปน็ จนั ทร์ดบั แสดงว่าช่วงนนั้ เปน็ ช่วงข้างแรม
บอกขา้ งขึ้น-ข้างแรมดว้ ยกระต่ายบนดวงจันทร์
ขา้ งขน้ึ 7-8 ค�่า ขา้ งแรม 7-8 ค�่า
หากสังเกตเห็นส่วนหัวของกระต่ายอยู่ หากสังเกตเห็นส่วนขาของกระต่ายอยู่
ในส่วนสว่าง และส่วนขาอยู่ในเงามืด ในส่วนสว่าง และส่วนหัวอยู่ในเงามืด
แสดงว่าช่วงน้ันเป็นช่วงข้างข้นึ แสดงว่าชว่ งนนั้ เปน็ ช่วงขา้ งแรม
118 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 119
มองดวงจันทร์ผา่ นกลอ้ งโทรทรรศน์
นอกจากพื้นที่สูงและทะเลบนดวงจันทร์แล้ว ยังมีลักษณะภูมิประเทศแบบอื่น ๆ ท่ีสามารถ
สังเกตการณ์ผ่านกลอ้ งสองตาหรอื กล้องโทรทรรศนข์ นาดเล็กได้ เชน่ หลุมอุกกาบาต แนวหน้าผา
หรือเทือกเขา
หลุมอกุ กาบาตแบบซบั ซ้อน (Complex Crater)
หลมุ อุกกาบาตแบบนี้เกิดขึ้นเมือ่ คลื่นกระแทกจากการพงุ่ ชนผ่านไป เปลือกดวงจันทรบ์ ริเวณกลาง
หลมุ จะยกตัวสะท้อนกลบั ขน้ึ มา คล้ายเวลาเราโยนหินลงน้�า แล้วมนี ้�าบรเิ วณตรงกลางยกตัวกลับ
ข้ึนมา เกิดเป็นยอดเขากลางหลุมอุกกาบาตแบบนี้ ผนังขอบหลุมอุกกาบาตท่ีพังถล่มตัวลงมา
ภายหลังท�าให้ขอบหลุมอุกกาบาตมีลักษณะคล้ายข้ันบันได บางหลุมมีร่องรอยการปะทะที่สาด
กระจายสสารไปไกลนับพันกิโลเมตร เรียกว่า “Ejecta”
หลุมอุกกาบาตไทโค (Tycho) มีขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 85 กิโลเมตร ลึก 4.8 กิโลเมตร มีอายุราว
108 ล้านปี (เกิดขึ้นช่วงยุคครีเทเชียสท่ีไดโนเสาร์
ยังอาศัยอยู่บนโลก) เป็นหลุมอุกกาบาตที่สว่างและ
มีร่องรอย Ejecta เด่นชัดที่สุด มีร่องรอยสาดกระจาย
สสารออกไปเป็นระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร และ
ยานเซอร์เวเยอร์ 7 ของสหรฐั ฯ ลงจอดสา� รวจบรเิ วณนี้
ชว่ งทส่ี ังเกตได้ชดั : ขึ้น 9 คา่� - แรม 5 คา�่
หลุมอุกกาบาตโคเปอร์นิคัส (Copernicus)
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 93 กิโลเมตร ลึก 3.8
กิโลเมตร มีอายุราว 800 ล้านปี นักธรณีวิทยา
ดาวเคราะห์น�าชื่อหลุมแห่งน้ีใช้เป็นชื่อ “ยุค
โคเปอร์นิกัน” (Copernican Period) ยุคทาง
ธรณีกาลของดวงจันทร์ในช่วง 1,100 ล้านปีก่อน
จนถึงปัจจุบัน นับเป็นหลุมอุกกาบาตท่ีเด่นชัด
รองลงมาจากหลุมไทโค มีแนว Ejecta เด่นชัด
เป็นความยาวกวา่ 800 กโิ ลเมตร
ชว่ งทีส่ งั เกตได้ชัด : ขึน้ 10 ค�่า - วันแรม 8 ค�่า
120 ค่มู ือนักดูดาว
หลมุ อุกกาบาตพนื้ ราบ (Lava-filled Crater)
หลุมอุกกาบาตแบบน้ีเกิดจากลาวาที่เอ่อข้ึนมากลบพื้นหลุม เม่ือลาวาเย็นตัวและแข็งตัว
พื้นหลุมจะกลายเป็นที่ราบสีคลา้� เช่นเดยี วกบั ทะเลบนดวงจนั ทร์ เพียงแตห่ ลมุ อุกกาบาตเหล่านีจ้ ะ
ไม่ได้มีขนาดใหญ่เทา่ ทะเลบนดวงจันทร์
หลุมอุกกาบาตเพลโต (Plato) มีขนาดเส้นผ่าน
ศนู ยก์ ลาง 101 กโิ ลเมตร ลกึ ประมาณ 1.5 - 2 กิโลเมตร
เป็นหลุมอุกกาบาตพื้นราบสีคล�้าท่ีปรากฏทางเหนือ
ของ Mare Imbrium (ทะเลแหง่ สายฝน) มอี ายปุ ระมาณ
3.84 ล้านปี ซ่งึ น้อยกวา่ อายขุ อง Mare Imbrium
ชว่ งทส่ี ังเกตได้ชัด : ขน้ึ 9 ค�่า - แรม 7 ค�่า
หลุมอุกกาบาตอาร์คิมิดีส (Archimedes)
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 81 กิโลเมตร ลึกประมาณ
2.1 กิโลเมตร เป็นหลุมอุกกาบาตพื้นราบสีคล�้าอยู่
บริเวณฝั่งตะวันออกภายใน Mare Imbrium (ทะเลแห่ง
สายฝน) มอี ายุน้อยกว่า Mare Imbrium สังเกตไดจ้ าก
หลุมอาร์คมิ ดิ สี ซ้อนทับอยูบ่ น Mare Imbrium
ช่วงทสี่ ังเกตไดช้ ดั : ขึน้ 9 คา�่ - แรม 7 คา่�
หลมุ อุกกาบาตทบั ซ้อน (Overlapped Crater)
หลมุ อกุ กาบาตไซรลิ ลสุ (Cyrillus)และหลมุ อุกกาบาต
ธีโอฟิลุส (Theophilus) หลุมอุกกาบาตท้ังคู่เป็นหลุม
อุกกาบาตแบบซับซ้อนที่มียอดเขาตรงกลาง โดยหลุม
ไซริลลุสเกิดขึ้นก่อนแล้วมีอุกกาบาตลูกอื่นมาชนภายหลัง
จงึ เกิดหลมุ ธีโอฟิลสุ ซ้อนทับด้านขา้ ง
ช่วงที่สังเกตไดช้ ัด : ข้นึ 6 - 7 ค่�า
A GUIDE TO STARGAZING 121
แนวเทือกเขา (Mountain Range)
เทือกเขาแอเพนไนน์ (Montes Apenninus)
เป็นเทือกเขาขรุขระเหยียดยาวไปตามขอบทางตะวันออก
เฉียงใต้ของ Mare Imbrium (ทะเลแห่งสายฝน)
มีความยาวประมาณ 600 กิโลเมตร จุดสูงสุดของ
เทือกเขามีระดับความสูง 5 กิโลเมตร เทือกเขาแห่งนี้
เกิดขึ้นเนื่องจากการพุ่งชนท่ีท�าให้เกิด Mare Imbrium
เม่อื 3,900 ลา้ นปีกอ่ น และยานอะพอลโล 15 ไดล้ งจอด
ในท่รี าบใกล้เทือกเขาแหง่ นี้
ช่วงท่สี ังเกตได้ชดั : ขึน้ 8 ค�่า - แรม 7 ค่�า
แนวรอยย่น (Wrinkle Ridge)
รอยยน่ เซอรเ์ พนไทน์ (Serpentine Ridge
หรือ Dorsa Smirnov) ปรากฏทางฝั่งตะวัน
ออกของ Mare Serenitatis (ทะเลแห่งความ
เงียบสงบ) มลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศเป็นแนวร้ิวโค้ง
ปรากฏในพ้ืนท่ีทะเลบนดวงจันทร์ เกิดขึ้นจาก
การเย็นตัวและหดตัวของลาวาในช่วงท่ีทะเล
บนดวงจนั ทรย์ ังเป็นแอง่ ลาวา
ช่วงทีส่ ังเกตไดช้ ดั : ข้ึน 6 - 7 คา่�
แนวหน้าผายาว (Straight Cliff)
แนวหน้าผาเรคตา (Rupes Recta)
เป็นแนวรอยเลื่อน หรืออาจเป็นแนวหน้าผาที่
เ กิ ด จ า ก ก า ร ยุ บ ตั ว ข อ ง เ ป ลื อ ก ด า ว เ ม่ื อ
ดวงจันทร์เย็นตัวลง วางตัวพาดยาวทางฝั่ง
ตะวันออกภายใน Mare Nubium (ทะเลแห่ง
หมู่เมฆ) มีความยาว 110 กโิ ลเมตร กว้าง 2 - 3
กิโลเมตร และสงู ประมาณ 240 - 300 เมตร
ชว่ งทสี่ ังเกตได้ชดั : ขึน้ 8 - 9 ค่�า
122 ค่มู ือนักดดู าว
A GUIDE TO STARGAZING 123
124 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 125
การสงั เกตการณ์ทางชา้ งเผือก
(Observing the Milky Way)
126 คู่มือนักดดู าว
A GUIDE TO STARGAZING 127
ทางชา้ งเผือก (Milky Way)
เป็นวัตถุท้องฟ้าท่ีมีขนาดใหญ่เป็นแนวฝ้าจาง ๆ คล้าย
แถบเมฆที่พาดผ่านกลางท้องฟ้าจากทิศเหนือจรดทิศใต้
สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าตลอดทั้งปี บริเวณ
ที่สวยงามที่สุด คือ บริเวณใจกลางทางช้างเผอื ก อยรู่ ะหว่าง
กลุม่ ดาวแมงป่องและกลุ่มดาวคนยงิ ธนู สามารถสงั เกตเห็น
แนวฝุ่นหนาทึบของกาแล็กซีได้ชัดเจน และมีวัตถุในห้วง
อวกาศลกึ อยหู่ นาแน่น
ในหนึ่งปีจะมีช่วงเวลาที่สามารถสังเกตเห็นแนวใจกลาง
ทางช้างเผือกได้ไม่ครบทุกเดือน เน่ืองจากช่วงปลายเดือน
พฤศจิกายนจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ดวงอาทิตย์จะ
เคลอ่ื นที่เข้าไปอย่ใู กลบ้ ริเวณใจกลางทางช้างเผอื ก ทา� ให้ไม่
สามารถสงั เกตเห็นใจกลางทางช้างเผอื กในช่วงนไ้ี ด้
เทคนิคสงั เกตการณท์ างชา้ งเผอื ก
ควรสังเกตในสถานที่ที่มืดสนิทและไม่มีแสงรบกวน เช่น
พื้นท่ีชนบทห่างไกลชุมชน และควรเป็นคืนเดือนมืดหรือ
ช่วงที่ไม่มีแสงจันทร์รบกวน หากไม่แน่ใจว่าทางช้าง
เผือกอยู่ ณ ต�าแหน่งใดบนท้องฟ้า สามารถใช้แผนท่ดี าว
หรือแอปพลิเคชั่นดูดาวเพ่ือหาต�าแหน่งทางช้างเผือกได้
ช่วงเดือนเมษายนถึงต้นเดือนตุลาคม จะสังเกตเห็นใจ
กลางทางช้างเผือกบริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนู
ได้ง่าย ทางช้างเผือกบริเวณนี้จะสว่างและสวยงามกว่าบริเวณอ่ืน และจะอยู่กลางท้องฟ้าเกือบ
ตลอดท้ังคืน แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงดังกล่าวตรงกับฤดูฝนของประเทศไทย จึงมักมีอุปสรรคเร่ือง
เมฆและฝนตก แต่หากท้องฟ้าเปิดและไม่มีเมฆฝนก็จะถือเป็นโอกาสดีท่ีสุดของการถ่าย
ภาพทางช้างเผือกในรอบปี
หลังจากนั้นในช่วงตุลาคมถึงพฤศจิกายน เป็นช่วงต้นฤดูหนาวอุปสรรคเรื่องเมฆฝนจะเริ่มน้อยลง
จะสงั เกตเห็นทางช้างเผอื กไดใ้ นชว่ งหัวคา่� ทางทศิ ตะวันตกเฉียงใต้
128 คู่มือนักดูดาว
ภาพตวั อย่างบริเวณใจกลางทางชา้ งเผอื ก อยู่ระหวา่ งกลุ่มดาวแมงป่องและกลมุ่ ดาวคนยงิ ธนู
หากใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กจะสามารถสังเกตวัตถุท้องฟ้านานาชนิดใน
แนวระนาบกาแล็กซีทางช้างเผือกได้ โดยการส่องกล้องกราดไปตามแนวทางช้างเผือกภาพ
ท่ีผู้สังเกตจะเห็นคือดวงดาวเป็นจุดละเอียดคล้ายเม็ดทรายทั่วท้ังภาพ และยังจะได้เห็นวัตถุใน
ห้วงอวกาศลึก เช่น กระจุกดาวและเนบิวลาอีกมากมายกระจัดกระจายอยู่ท่ัวไป หากใช้แผนท่ี
ดาวหรือแอปพลิเคชันดูดาวก็จะช่วยให้การสังเกตการณ์สนุกสนานเพลิดเพลินยิ่งขึ้น เพราะจะ
สามารถระบุชนิดของวตั ถทุ ่พี บได้ทนั ที
A GUIDE TO STARGAZING 129
กลางเดือน กุมภาพนั ธ์ : สงั เกตได้ในช่วงกอ่ นร่งุ เชา้ ทางทิศตะวันออก (ใกล้ขอบฟา้ )
เดือน เมษายน : สังเกตได้หลงั เทีย่ งคืน ทางทศิ ตะวันออก
130 ค่มู ือนักดูดาว
ช่วงเวลาทดี่ ีทีส่ ดุ คือ “ปลายฝน ตน้ หนาว“ ประมาณเดอื น กันยายน
เดอื น พฤศจิกายน : ใจกลางทางชา้ งเผอื กจะตกลับขอบฟา้ ทางทศิ ตะวันออก ในชว่ งหัวคา�่
A GUIDE TO STARGAZING 131
132 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 133
วธิ ถี า่ ยภาพทางช้างเผือก
อุปกรณ์
1. กลอ้ งดจิ ิตอลที่สามารถใช้คา่ ISO สูงได้ หรอื กลอ้ งโทรศพั ทม์ ือถือทีส่ ามารถตั้งคา่ การเปดิ
หน้ากลอ้ งนานได้
2. เลนสไ์ วแสงมมุ กว้าง
3. ขาตง้ั กลอ้ ง
การตัง้ ค่ากลอ้ งถา่ ยภาพ
1. ระยะเวลำเปดิ หนำ้ กล้อง (Exposure Time) หรือ Speed Shutter : เปน็ ส่งิ แรก
ทีต่ อ้ งใหค้ วามส�าคัญ เนอ่ื งจากเราต้องการใหก้ ล้องสามารถเก็บแสงของทางช้างเผือกใหน้ านท่สี ดุ
โดยท่ีภาพดาวยังไมย่ ืดเป็นเสน้ คา� นวณค่าท่ีเหมาะสมโดยใชส้ ูตร Rule of 400/600 ดังน้ี
- ในกรณีกล้องที่เป็นตัวคูณให้น�า 400 หารด้วยระยะทางยาวโฟกัสเลนส์ เช่น เลนส์ 16 mm
จะสามารถเปิดหน้ากล้องค้างไว้ได้นานไม่เกิน 400/16 = 25 วินาที
- ในกรณีกล้องทีเ่ ป็นฟูลเฟรมใหน้ า� 600 หารดว้ ยระยะทางยาวโฟกัสเลนส์ เช่น เลนส์ 16 mm
จะสามารถเปิดหน้ากล้องค้างไว้ได้นานไม่เกิน 600/16 = 37.5 วินาที
2. รูรับแสง (Aperture) : ควรใช้รูรับแสงที่กว้างที่สุด เช่น f/2.8 เพ่ือให้เลนส์มีความไว
แสงมากท่ีสุดในการถ่ายภาพทางช้างเผือก
134 ค่มู ือนกั ดดู าว
3. ควำมไวแสง (ISO) : ปรับค่าความไวแสงท่ีเหมาะสม ซ่ึงค่าตั้งต้นที่แนะน�าให้ใช้ท่ี
ISO 3200 ไวก้ อ่ น จากนน้ั ลองถ่ายภาพดู หากสว่างหรือมืดไปสามารถปรับเพม่ิ -ลดไดต้ ามสภาพ
ทอ้ งฟา้ (ท้องฟ้าที่มดื มาก ๆ จะใชค้ ่า ISO ค่อนขา้ งสงู )
ตวั อย่างการโฟกัสดาว โดยการใช้ Live view แลว้ ซูมภาพที่ 10x เพื่อปรบั ใหด้ าวเปน็ จดุ เล็กท่ีสุด
4. โฟกัสดำวด้วย Live View หลังกล้อง : เทคนิคในการโฟกัสดาวคือ เล็งกล้องไปยัง
ดาวดวงใดกไ็ ด้ที่สว่างเดน่ ทส่ี ดุ ในขณะน้ัน จากนั้นเปิดแสดงภาพทจี่ อหลงั กลอ้ ง (Live View) และ
ขยายดาวเป้าหมาย 10x เปลยี่ นระบบโฟกสั อตั โนมัตเิ ป็นโฟกสั แบบแมนนวล แลว้ จึงปรบั โฟกัสให้
ดาวเป็นจุดเล็กที่สุดเท่าท่ีจะท�าได้ เพียงเท่าน้ีก็สามารถน�ากล้องไปถ่ายบริเวณอ่ืนบนท้องฟ้าได้
ทั้งหมด (หากกล้องมรี ะบบกันส่ัน ให้ปิดระบบกันสน่ั ด้วย)
5. ใช้โหมดกำรบันทึกภำพแบบ RAW File : จะช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการปรับ
แก้ไขภาพในภายหลังได้ดีกว่า เน่ืองจากจะมีค่าข้อมูลที่มากกว่าแล้ว ยังมีค่าของโทนสีท่ีมากกว่า
6. เปิดระบบ Long Exposure Noise Reduction : และ High ISO Speed Noise
Reduction เพ่ือให้กล้องช่วยลดสัญญาณรบกวนของภาพได้ดีข้ึน และการเปิดระบบ High ISO
น้ันระบบของกล้องก็จะช่วยลดสัญญาณรบกวนในส่วนเงามืดท�าให้ได้รายละเอียดท่ีดีข้ึน เมื่อใช้
ความไวแสงสงู
A GUIDE TO STARGAZING 135
136 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 137
138 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 139
140 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 141
142 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 143
144 ค่มู ือนักดูดาว
A GUIDE TO STARGAZING 145
146 ค่มู ือนักดูดาว
Deep-Sky Objects
Near the Galactic Center
A GUIDE TO STARGAZING 147
ภาคผนวก
148 คมู่ ือนักดูดาว
รายช่ือกลมุ่ ดาวท่กี �าหนดอยา่ งเป็นทางการโดย IAU
ลา� ดบั ชอ่ื ละตนิ อักษรยอ่ ช่ือไทย
1 Andromeda And แอนโดรเมดา
2 Antlia Ant เครอื่ งสูบลม
3 Apus Aps นกการเวก
4 Aquarius Aqr คนแบกหม้อนา้�
5 Aquila Aql นกอินทรี
6 Ara Ara แท่นบูชา
7 Aries Ari แกะ, เมษ
8 Auriga Aur
9 Bootes Boo สารถี
10 Caelum Cae คนเลย้ี งสัตว์
11 Camelopardalis Cam
12 Cancer Cnc สว่ิ
13 Canes Venatici CVn ยีราฟ
14 Canis Major CMa
15 Canis Minor CMi ปู
16 Capricornus Cap หมาลา่ เน้อื
17 Carina Car หมาใหญ่
18 Cassiopeia Cas หมาเล็ก
19 Centaurus Cen แพะทะเล
20 Cepheus Cep กระดูกงูเรอื
21 Cetus Cet แคสซิโอเปยี
22 Chameleon Cha คนครึ่งมา้
23 Circinus Cir เซเฟอุส
24 Columba Col เซตุส,วาฬ
25 Coma Berenices Com ก้งิ ก่าคาเมเลียน
26 Corona Australis CrA วงเวยี น
27 Corona Borealis CrB
28 Corvus Crv นกเขา
29 Crater Crt ผมเบเรนิซ
มงกฎุ ใต้
มงกฎุ เหนอื
นกกา
ถ้วย
A GUIDE TO STARGAZING 149