The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บันทึกจาริกแสวงบุญ 2 ธ.ค.61

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanchana Limthawonkit, 2020-12-18 02:20:49

บันทึกจาริกแสวงบุญ 2 ธ.ค.61

บันทึกจาริกแสวงบุญ 2 ธ.ค.61

บนั ทกึ จาริกแสวงบุญ

ณ สงั เวชนียสถาน

2-9 ธันวาคม 2561

บันทกึ เส้นทางบุญ
วันท่ี 1
2 ธันวาคม 2561 คณะมาพร้อมกนั ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 10
โมงเช้า นาโดยพ่อแม่ครูอาจารย์บุญมี ธัมมรโต พระชาญวุฒิ และ
ฆราวาส 25 คน ออกเดินทางส่เู มืองคยาเม่ือเวลา12.30 น. โดยใช้
เวลาเดนิ ทางประมาณ 3 ชว่ั โมง มาถงึ สนามบนิ คยา 14.00 น. (เวลา
ท้องถ่ินช้ากวา่ ประเทศไทย 1.30 ชม.) เม่ือผ่านขนั้ ตอนการตรวจคน
เข้าเมืองและศลุ กากร แล้ว

การเร่ิมต้นจาริกแสวงบุญสงั เวชนียสถานทงั้ 4 แห่ง จึงเร่ิม
ขึน้ คณะเดินทางไปคยา เข้าไปทาบุญร่วมสร้ างอาคารท่ีวัดไทย
พทุ ธคยา พอดีทา่ นเจ้าคณุ ฯ ตดิ รับคณะแขกผ้ใู หญ่

1

วัดไทยพทุ ธคยา

เราจึงเดินทางต่อไปที่พระมหาเจดีย์พุทธคยาสถานท่ีท่ีเช่ือ
กันว่าเป็ นที่ตรัสร้ ู ของพระพุทธเจ้ าซ่ึงค้ นพบโดยนักโบราณคดีชาว
องั กฤษ ช่ือ เซอร์ อเลกซานเดอร์ คนั นิงแฮม เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เข้า
ชมพระมหาโพธ์ิเจดีย์อนุสรณ์สถานแห่งการตรัสรู้ของพระสมั มาสมั
พทุ ธเจ้าภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธเมตตา พระพทุ ธรูปปางมารวิชยั
ท่ีสวยงามมาก ที่รอดพ้นจากการถูกทาลายจากพระเจ้าศศางกา
พระพทุ ธรูปองค์นีเ้ป็นพระพทุ ธรูปปางมารวิชยั แบบศิลปะปาละ เป็น
ที่เคารพศรัทธาของชาวพทุ ธทว่ั โลก นมสั การสถปู พุทธคยา แล้วนา
นมสั การต้นศรีมหาโพธ์ิท่ีได้ปลูกซา้ ต้นเดิมที่พระพทุ ธเจ้าประทบั นง่ั
บาเพ็ญเพียรจนตรัสรู้สมั มาสมั โพธิญาณ แล้วนาชมสตั ตมหาสถาน
สถานที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุติสุขหลงั จากตรัสรู้แล้วเจ็ดแห่ง ๆ ละ
สปั ดาห์ รอบๆ พทุ ธคยา เพ่ือทบทวนพระธรรม ก่อนที่จะเสดจ็ ออกสงั่
สอนผ้คู น อนั ประกอบไปด้วย

2

1. เสดจ็ ประทบั บนพระแท่นวัชรอาสน์ ใต้ต้นศรีมหา
โพธ์ิพร้อมเสวยวิมตุ ตสิ ขุ ตลอด 7 วนั ในสปั ดาห์ท่ี 1

2. เสดจ็ ประทบั ณ อนิมสิ เจดยี ์ ทรงยืนจ้องพระเนตรดตู ้น
ศรีมหาโพธ์ิ โดยมไิ ด้กระพริบพระเนตรตลอด 7 วนั ในสปั ดาห์ที่ 2

3. เสดจ็ ประทับ ณ รัตนจงกรมเจดยี ์ ทรงนิมิตจงกรมขนึ ้
แล้วเสดจ็ จงกรมเป็นเวลา 7 วนั ในสปั ดาห์ท่ี 3

4. เสด็จประทับ ณ รัตนฆรเจดีย์ โดยเสด็จไปทางทิศ
ตะวนั ออกเฉียงเหนือของต้นศรีมหาโพธิ์ และประทบั นง่ั ขดั สมาธิใน

3

เรือนแก้วซ่ึงเทวดานิรมิตถวาย ทรงพิจารณาพระอภิธรรม 7 วนั ใน
สปั ดาห์ที่ 4

5. เสดจ็ ไปประทับน่ังขัดสมาธิใต้ต้นไทร อชปาล
นิโครธ ซง่ึ เป็นที่พกั ของคนเลีย้ งแกะ ในสปั ดาห์ท่ี 5

6. เสดจ็ ไปประทบั น่ังขัดสมาธิใต้ต้นจิก มุจลนิ ทร์ ไป
ทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ของต้นศรีมหาโพธ์ิ ในสปั ดาห์ท่ี 6

4

7. เสดจ็ ไปประทับใต้ต้นเกด ราชายตนะ ประทบั นงั่ เสวย
วิมตุ สิ ขุ ตลอด 7 วนั
คณะร่วมกนั สวดมนต์ทาวตั ร นง่ั ภาวนา และฟังธรรมจากพ่อแม่ครู
จารย์ ห่มผ้าทองรอบต้นพระศรีมหาโพธ์ิและห่มพระพุทธเมตตา
ภายในองค์พระเจดีย์เสร็จ ท่านก็นาคณะเดินประทกั ษิณบูชารอบ
องคพ์ ระมหาเจดยี ์ จนสามทมุ่ จงึ ได้กลบั เข้าท่ีพกั

5

6

พระธรรมเทศนา รับฟัง
ช่วงท่ี 1

ให้มีความรู้สึกอย่กู ับตวั ตอนนีเ้ ริ่มแล้วนะ เริ่มพูดแล้วนะ ไม่ต้องไป
กลวั มนั ยงุ นะ่ ไมต่ ้องไปกลวั มนั ให้เราทาความรู้สกึ อยกู่ บั ตวั พวกเรา
ทัง้ หลายเคยผ่านการได้ยิน ได้ฟัง ได้ฝึกกันมากันมากต่อมากกัน
แล้ว ไอ้ที่ไมเ่ คยได้ยนิ มาเลย เราวา่ ไมม่ ีหรอก ทกุ คนจะต้องเก่ียวข้อง
กบั วดั กบั วา กบั ครูบาอาจารย์ด้วยกนั ทกุ ทา่ นทกุ คน แตเ่ ราจะสนใจ
มาก สนใจน้อยเทา่ นนั้ แหละ เพราะฉะนนั้ เรามาครัง้ นี ้ 7 วนั 8 วนั เรา
พยายามตงั้ อกตงั้ ใจ เก็บเอาแตค่ ณุ งามความดีเข้าสหู่ วั ใจ ความไมด่ ี
ผา่ นเข้ามาปั๊บ ปลอ่ ยทงิ ้ ผา่ นเข้ามาป๊ับ รู้ทนั ป๊ัป ปลอ่ ยทงิ ้ ผา่ นเข้ามา

7

ปั๊บ รู้ปั๊ป ปลอ่ ยทงิ ้ พระพทุ ธเจ้าทา่ นทรงตรัสเอาไว้ ท่ีพวกเราเป็นเหตุ
ที่พวกเราได้มาเนี่ย พระพทุ ธเจ้าทา่ นทรงตรัสเอาไว้ หลงั จากพระองค์
ลว่ งลบั ไปแล้ว ภิกษุทงั้ หลาย สงั เวชนียสถาน 4 ตาบล 4 ตาบลก็คือ
4 แห่ง 4 ท่ีน่ันแหละ สถานท่ีประสูติ นู้น ที่ป่ าลุมพินีวัน เดี๋ยวนีเ้ ป็น
ประเทศเนปาล ที่ตรัสรู้ คือตรงนี ้พระพทุ ธเจ้าไมไ่ ด้ประสตู ิในบ้านใน
เมือง ประสตู ใิ นป่า ป่าลมุ พินีวนั เสร็จแล้วพระองคเ์ สดจ็ ออกบรรพชา
อปุ สมบท เสดจ็ ออกบวชอายุ 29 ตอนอายุ 29 แล้วก็มาบาเพญ็ เพียร
อยแู่ ถวนีแ้ หละ ตรงนีเ้ลยเป็นสถานที่ตรัสรู้ สถานที่ตรัสรู้คือรู้ธรรม รู้
ทวั่ ถึงของธรรม ตาบลที่ 2 หรือแห่งท่ี 2 ที่แสดงธรรมะที่แสดงธรรม
นนู่ ที่เมืองสาวตั ถี เมืองพาราณสี สาวตั ถี แคว้นสาวตั ถี เมืองพาราณ
สี ซ่ึงเราจะต้องเดินทางไปอีกไกล ท่ีท่านทรงแสดงธรรมและที่
ปรินิพพาน ท่ีเมืองกสุ ินาราน้นู ซึ่งพวกเราจะต้องไปทงั้ 4 ตาบลเนี่ยะ
ไปกราบ ไปกราบทาไม ไปกราบเพื่อให้เกิดความสลดสงั เวช การสลด
สงั เวชคือ ปิติอยา่ งหนึ่งที่มนั เกิดขนึ ้ ในหวั ใจของเรา ถ้าท่านทงั้ หลาย
ไม่เคยได้ยินได้ฟังคาว่าสังเวช สังเวชโดยธรรมในที่นีม้ ันหมายถึง
ความปิติอย่างหนึ่งมันเกิดขึน้ ในหัวใจของเรา พอเวลามันเกิดขึน้
มาแล้ว น่ีจิตใจของเรามันอ่อนนิ่ม สงบเยือกเย็นมีความสุขข้างใน
พระพุทธเจ้าได้ท่านทรงแสดงสังเวชนียสถาน 4 ตาบล เม่ือเรา
ลว่ งลบั ไปแล้ว เป็นสถานท่ีท่ีสาหรับพวกเธอทงั้ หลายไปกราบ ไปไหว้

8

ไปสานึก ไประลึกถึงบุญถึงคณุ ของพระพทุ ธเจ้า ของพระธรรม ของ
พระสงฆ์ ซงึ่ เป็นรัตนตรัยท่ีเราตงั้ ใจถือตาม ประพฤตติ าม ปฏิบตั ติ าม
อยู่ เป็นสงั เวชเป็นแดนทาให้เราเกิดสลดสงั เวช สลดสงั เวชนีเ้ราก็จะ
ตีความตีความหมายมาวา่ พวกเราทงั้ หลายจะสลดสงั เวชในภพชาติ
ของเราเอง สลดสงั เวชเวลาเราเจอ เราประสบความทกุ ข์ในหวั ใจของ
เรา เรามาดูเถอะ อู้ย ทาไมเราต้องทุกข์ต้องทนต้องลาบากต้อง
ทรมาน ต้องน้อยเนือ้ ต้องต่าใจ ต้องทุรนทุราย ต้องอะไรต่ออะไร
สารพดั ทาไมต้องเป็นเรา ทาไมต้องเป็นเรา นี่คือความทกุ ข์ เราดใู ห้
เกิดความสลดสงั เวชในภพชาติของเรา พระพทุ ธเจ้าทา่ นสลดสงั เวช
มาทุกภพทุกชาติน่ันหล่ะ ในภพชาติของพระองค์ เพราะฉะนัน้
พระองค์จึงตงั้ ปณิธานแสวงหาคณุ ธรรมบาเพ็ญบารมีกว่าจะเต็ม 4
อสงไขยแสนมหากปั เน่นิ นาน พระพทุ ธเจ้าทรงบาเพญ็ มาโดยส่วนตวั
ของพระองค์เอง กว่าจะได้บรรลุธรรมในวันเพ็ญเดือน 6 น่ะ บรรลุ
ธรรมก็บรรลุตรงนี ้ สถานที่ตรัสรู้ ตรงนีเ้ ป็นพุทธคยา ท่านเรียกว่า
พุทธคยา พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ก็เป็นสถานที่สงั เวชนียสถานแห่ง
หน่ึง เราอยเู่ ฉยๆ ให้เกิดความสลดสงั เวชในหวั ใจของเราเกิดไมไ่ ด้แต่
บางคนเกิดได้ บางคนเกิดไม่ได้ดอก ถ้าเราไม่ทาเหตุสลดสงั เวชใน
หวั ใจของเราจะเกิดไมไ่ ด้ เพราะฉะนนั้ เราจะต้องนกึ ถงึ บญุ ถึงคณุ ของ
พระพทุ ธเจ้า ผ้ทู ี่เสียสละ เสียสละทกุ ข์ยากลาบากสร้างบารมีมาถึง

9

ขนาดนี ้ ขนาดนี ้ ขนาดนี ้ สมมติอยา่ งเป็นทานเนี่ยก็ทานบารมีให้ทกุ
สิ่งทกุ อยา่ งให้จนหมด ทานอปุ บารมี ไมม่ ีของนอกกายที่จะให้แล้วตดั
อวยั วะให้เป็นทาน ให้อวยั วะเป็นทานแล้วยงั ไมพ่ อ ทานปรมตั ถบารมี
ให้ชีวิตเป็นทาน น่ีเราดูวิธีการบาเพ็ญของพระพุทธเจ้า ท่านทาถูก
ไหม ท่านทาถกู เพราะวิธีการที่พระองค์ทรงทานนั้ น่ะ มนั เป็นวิธีการท่ี
ทาเพ่ือให้เราผ่อนคลายจากความอยาก คือ ความโลภ ความโลภ
อยากได้ โลภอยากได้ในทรัพย์ โลภอยากได้ โลภติดในอวัยวะของ
ตวั เอง เรามาดเู ถอะเราตดิ สวยเหลือเกิน งามเหลือเกิน ผอมเหลือเกิน
อ้วนเหลือเกิน พีเหลือเกิน มันติดทาให้เกิดความโลภ พระองค์ทรง
เสียสละเพื่อทาลายความโลภ เสียสละอวัยวะทาลายความโลภ
เสียสละชีวิตทาลายความโลภ แม้ แต่สิ่งท่ีให้ ยากที่สุด คือชีวิต
พระองค์เสียสละได้ เพราะฉะนนั้ พระองค์จึงเป็นผ้ชู นะเด็ดขาดหมด
ทุกส่ิงทุกอย่าง การที่ตงั้ ใจบาเพ็ญบารมีเพื่อชนะความโลภนนั้ น่ะ
โลภะ โลภะคือความโลภ เป็นกิเลสกองหน่ึงนะ พระองค์ทรงสร้ าง
บารมีเพ่ือเอาชนะส่งิ เหลา่ นี ้เวลามนั มีอะไรขดั ข้องในหวั ใจ เกิดความ
โกรธ พระองค์ก็ทรงแผเ่ มตตา เพราะฉะนนั้ การแผ่เมตตาทานบารมี
ทานอปุ บารมี เมตตาบารมี พระองค์ทรงเจริญเมตตา เมตตาจนไมม่ ี
ที่สุดไม่มีประมาณ เมตตาคือสงสารสัตว์ นึกเห็นสัตว์เน่ีย เมตตา
สงสารไมม่ ีอะไรที่จะบอกได้ ความเมตตาสงสาร พอจะชว่ ยเหลือด้วย

10

ส่ิงด้วยของได้ก็ให้จนหมดเนือ้ หมดตวั พอจะช่วยเหลือด้วยสติด้วย
ปัญญาก็บอก สอน แนะ พอจะช่วยเหลือได้ด้วยเรี่ยวด้วยแรง
เสียสละแรงเอาชีวิตแทน ตายแทนว่างัน้ เถอะ ด้วยความเมตตา
สงสารต่อสตั ว์ทงั้ หลายทงั้ ปวงท่ีพระพทุ ธเจ้าท่านสร้างบารมีมาเนี่ย
เมตตาบารมี การแผ่เมตตาบารมี มันเป็นการทาลายความโกรธ
คนเราเพราะความโกรธมนั ถึงฆ่ากันได้ เพราะความโกรธนนั้ แหละ
มนั ถึงทาลายล้างกันได้ เพราะความโกรธเนี่ยะ แม้แต่พ่อแม่กับลูก
มนั ก็สามารถทาลายล้างกนั ได้ ผวั กบั เมียรักกนั ปานจะกลืนก็สามารถ
ทาลายล้างกนั ได้ นี่คอื ความโกรธ อานาจของความโกรธ พระพทุ ธเจ้า
ทา่ นทรงสร้างบารมี ทา่ นทรงสร้างเพื่อเอาชนะความโกรธ เอาเมตตา
บารมีมาเจริญทาให้พระทัยของพระองค์อ่อนน่ิมไปทุกสัตว์ ตงั้ แต่
สตั ว์มนษุ ย์ด้วยกนั สตั ว์ตวั ใหญ่ช้าง ม้า จนมาถึงสตั ว์ตวั เล็ก สตั ว์ตวั
แดง แมงตวั น้อย เมตตาสงสารเทา่ เสมอกนั หมด น่ีคอื พระเมตตาของ
พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเจริญทาไม เจริญเพื่อทาลายความโกรธ
ความโกรธเป็นกิเลสกองหน่ึง ความโลภเป็นกิเลสกองหน่ึง ปัญญา
ปัญญาบารมีก็สร้างปัญญา ปัญญาพืน้ ๆ ธรรมดา สตุ ตะได้ยินได้ฟัง
เสาะหาความรู้ เข้าส่หู วั ใจ ได้ยินได้ฟัง ได้ความรู้แล้วก็มาใคร่ครวญ
มาจินตะ สุตตะเสร็จแล้วก็มาจินตะ จินตะก็คือ มานึกมาคิดมาใคร่
มาครวญครวญด้วยสติด้วยปัญญา แคน่ นั้ ยงั ไม่พอ ต้องมาตงั้ ใจถือ

11

ตาม ประพฤติตาม ปฏิบตั ิตาม วิชาการใดก็ตามเป็นทางโลกก็ตาม
เป็นทางธรรมก็ตาม พยายามมาศึกษา มาค้นคว้า มาทดสอบ มา
ทดลอง จนเห็นผลปรากฏในหัวใจของตัวเองอันนัน้ คือปัญญา
ภาวนาปัญญา ก็คือ ภาวนาปัญญา ทาจนเห็นเหตุ เห็นปัจจัยแจ่ม
แจ้งชดั เจน พ้นจากความหลงงมงาย นี่คือวิธีที่พระองค์ทรงเจริญมา
ทรงสร้างบารมีมา เพราะฉะนนั้ เราระลึกถึงบญุ ถึงคณุ ของพระองค์
วา่ มาถึงตอนนี ้พระรูปของพระองค์เนี่ยจากพวกเราไปแล้ว เหมือนทา
ให้เราเกิดความเห่ียวแห้งทกุ ข์ระทมตรมตรอมใจ ระลกึ นกึ ถงึ พระองค์
ผู้มีความอุตสาหะผู้มีความพยายาม ผู้มีพระเมตตาที่จะช่วย
สงเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งเราทัง้ หลายท่ีตกทุกข์อยู่ในวัฏฏะสงสาร
เนี่ย เรามาคิดถึงบคุ คลท่ีเคยให้ความอบอนุ่ กบั เรา ให้บญุ ให้คณุ กับ
เรา แล้วเราก็มีความใจอ่อนน้อมปลืม้ ปิติยินดีจนเป็นเหตใุ ห้จิตของ
เราเนี่ยเกิดตืน้ ตนั ขึน้ มา ในคณุ ความดีของท่าน เกิดความสลดเกิด
ความสงั เวชในหวั ใจของเรา อยเู่ ฉยๆ ไมเ่ กิดหรอก ถ้าหากเราไปใน
สถานท่ีพระพทุ ธเจ้าปรินิพพาน ด้วยแล้วเนี่ย มนั จะทาให้เกิดความ
สลดสงั เวชขึน้ ได้เร็วมากเลย บางทีเรายงั ตงั้ หลกั ไมไ่ ด้ดอก ไม่ได้นึก
คิดอะไรเป็นหลักเลยแหละ ขึน้ มาแล้วแหละ ความสลดสังเวช ก็
เหมือนกบั หวั ใจของเรา นึกถึงพ่อ นกึ ถึงแม่ นกึ ถึงคนท่ีเราคิดถึงที่สดุ
เป็ นพ่อเป็ นแม่เป็ นลูกเป็ นสามีเป็ นภรรยา ความนึกความคิด

12

ความคิดถึงเหล่านัน้ รุนแรงขนาดไหน พวกเราอาจจะเคยประสบ
อย่างใดอย่างหนึ่งในหวั ใจของเรา เหมือนอย่างคนท่ีเรารักท่ีสดุ เรา
หว่ งท่ีสดุ เราสงวนที่สดุ เราถนอมท่ีสดุ เป็นอันต้องพลดั พรากจากเรา
ไป ความรู้สกึ ในใจของเราเกิดเป็นยงั ไง เป็นยงั ไง ความสลดสงั เวชใน
หวั ใจของเรามนั ก็จะเกิดขึน้ แบบนนั้ แหละ ไม่ใช่แรงของความโกรธ
ไม่ใช่แรงของความโลภแตเ่ ป็นแรงของความคิด ความคิดถึง ความ
เมตตาถึง ความอ่อนน้อมถึง ความปลืม้ ปิติยินดีถึง เหมือนอยา่ งเรา
ได้ยินวา่ คนนนั้ คนนนั้ เขาประกอบคณุ งามความดีอยา่ งนนั้ อยา่ งนนั้
หัวใจของเราอ่อนนิ่มไปกับคุณงามความดีท่ีเขาประกอบ มันเกิด
ความอ่อนน่ิมในหวั ใจของเรานน่ั น่ะ แท้ท่ีจริงมนั เป็นปิติอย่างหน่งึ ท่ี
เกิดขนึ ้ ในหวั ใจของเรา จนสามารถอดั อนั้ ตนั ใจของเรานา้ หนู า้ ตาไหล
ร้ องไห้เบ้าๆ ๆ ออกมาเลย ทันทีเลย มันตืน้ ตันในหัวใจของเรา
พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ นี่แหละคือสงั เวช สงั เวชมีอย่จู ริง ใคร
เป็นก็จะรู้เองแหละ ความสลดความสงั เวช เป็นความสงั เวชโดยธรรม
แต่มนั ไม่ใช่เกิดความสังเวชเพราะความทุกข์เหมือนอย่างที่เราไป
ประสบพบความทุกข์จนนา้ ตาไหล มนั ไม่ใช่ มันคนละอย่าง ความ
สลดความสงั เวชใจเน่ีย ความสงั เวชโดยธรรมแท้ๆ มนั เป็นอยา่ งนี ้มนั
เป็นไปเพื่อประโยชน์ ไม่ใช่มันเป็นไปเพ่ือโทษ ใครก็ตามสามารถ
เจริญจิตใจให้ระลกึ ถึงเกิดความสลดสงั เวชกบั พระพทุ ธเจ้าแว้บเดียว

13

เทา่ นนั้ แหละ โอ๊ยไปสงู มาก ไปสงู มาก เกิดปิติ เกิดยินดี ปลืม้ ปิตยิ ินดี
ในหวั ใจของเราจิตดวงนนั้ ถีบตวั เองไปสงู มาก อยา่ งตานานท่ีทา่ นพดู
ถึงพระมฏั ฐกณุ ฑลีปลืม้ ปิตเิ ล่ือมใสศรัทธากบั พระพทุ ธเจ้าแป๊ บเดยี ว
เท่านนั้ เอง ตาย ตายในขณะนนั้ น่ะ ทงั้ ๆ ที่พ่อไม่เคยทาบญุ ให้ ทาน
พาทาบุญให้ ทานเลย แค่เลื่อมใสศรัทธาเกิดปลืม้ ปิ ติยินดีกับ
พระพทุ ธเจ้าแคน่ นั้ นะหล่ะ ตาย ตายในขณะนนั้ นะ่ ไปเกิดบนสวรรค์
ชนั้ ดาวดึงส์นู่น มีวิมานทิพย์อลังการเต็มไปหมด นี่คือคณุ สมบัติที่
เกิดขึน้ ภายในจิต เพราะฉะนนั้ ที่พระพทุ ธเจ้าให้พวกเรามาแสวง 4
ตาบลนีใ้ ห้เกิดความสลดสงั เวช มนั มีคณุ สมบตั ิในหวั ใจของเราอยา่ ง
นี ้ บางคนก็ว่า อู้ย! เราไปเท่าไหร่ไม่เห็นเป็นสกั ที ไปเท่าไหร่ไม่เคย
เกิดสกั ทีไปกี่ครัง้ ก่ีหนไม่เคยเป็นสกั ที เพราะเราไมเ่ คยทาเหตุ การท่ี
เราพยายามทาเหตุ คิดให้มาก คิดถึงเรื่องความทุกข์ความลาบาก
ความดี คุณสมบตั ิ คุณงามความดีที่พระพุทธเจ้าท่านสร้ างมากับ
สตั ว์ทงั้ หลายทงั้ ปวง จนจะเป็นเหตใุ ห้เราน่ีเกิดเมตตาเกิดตืน้ ตนั เกิด
อะไรตอ่ อะไรในหวั ใจของเรานนั้ นะ่ ความสลดสงั เวชในหวั ใจของเรา
ถึงจะเร่ิมเกิดขึน้ มีขึน้ บางครัง้ ก็เกิดยาก บางครัง้ เกิดง่าย หวั ใจของ
เรา เราพดู ง่ายๆ แม้แต่เสียงก็ทาให้เราเกิดความสลดสงั เวชได้ เช่น
อยา่ งมีผ้ทู ี่มีบญุ คณุ กบั เราเป็นอนั ต้องพราก พลดั พรากจากเราไป เรา
ไปได้ยินเสียงเพลงที่มันโศกๆ อย่างเมืองไทยก็เรียกว่าเพลงธรณี

14

กรรแสงเน่ีย พอเปิดขนึ ้ มาปั๊บ จากคนดีๆ เนี่ย จิตใจมนั ออ่ นน้อม นา้
หูนา้ ตาไหลขึน้ มาได้เลย คือ ความท่ีใจมันอ่อน มันน่ิมไปกับสิ่ง
เหล่านนั้ เราจะว่าอะไรอ่ะ เราจะว่าอะไร มันหกั ห้ามกันไม่ได้ดอก
ความสลดสงั เวชเหลา่ นี ้ แตแ่ ท้ท่ีจริงแล้วมนั เกิด หวั ใจของเรามนั ออ่ น
น่ิม มนั เป็นคณุ ธรรมอยา่ งหน่ึงนะ พระพทุ ธเจ้าท่านจึงให้พวกเรามา
แสวงสังเวชนียสถาน 4 ตาบล ซึ่งวันนีพ้ วกเราก็มาแล้ว เนี่ยมาถึง
พทุ ธคยา เป็นสถานที่ที่พระพทุ ธเจ้าทา่ นบาเพญ็ ใต้ต้นโพธ์ิ ใต้ร่มโพธิ์
นะ่ มนั จะมีร่มโพธิ์ต้นโพธ์ิอย่ตู รงนนั้ แตต่ ้นโพธิ์นี่ไม่รู้กี่ช่วง กี่ช่วงอายุ
ของต้นโพธ์ิมาแล้วแหละ เราลองมาคดิ ดสู ิ วา่ ตงั้ 2561 ปีมาแล้ว ต้น
โพธิ์ต้นนีไ้ ม่รู้ตงั้ ก่ีรุ่นมาแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าต้นจริงตงั้ แต่เมื่อไหร่ ต้นใหม่
โผล่ขึน้ มาเน่ีย กว่าจะมาดแู ลได้ กว่าจะมารักษาได้ ยิ่งสมยั แต่ก่อน
ด้วยแล้วเน่ีย สมยั แตก่ อ่ นด้วยไมม่ ีใครมาฟื น้ มาฟู ไมม่ ีใครดแู ลรักษา
ไมม่ ีใครดแู ลรักษาดอก ก็อยตู่ ามบญุ ตามกรรมไปอยา่ งนนั้ แหละ กวา่
ผ้มู ีบญุ มีคณุ เห็นบญุ เห็นคณุ กบั พระพทุ ธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มา
ฟื น้ ฟู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่างพระเจ้าอโศกอย่างนี ้ ท่านมาฟื ้นฟู
สญั ลกั ษณ์ก็บง่ บอกถึงว่าพระองค์เนี่ย เอาเสาหิน ท่ีทา่ นเรียกว่าเสา
หินพระเจ้าอโศก ท่านเอาไปปักไว้ที่นู่นท่ีนี่เต็มไปหมด เป็นการบ่ง
บอกถึงที่ประสูติ ท่ีตรัสรู้ ที่ปรินิพพาน ที่แสดงธรรมจกั ร มนั จะมี มนั
จะมีเสาหินของพระเจ้าอโศกไปปักหลกั เอาไว้ ยงั เป็นเหลือร่องรอย

15

ทงั้ หลาย ให้พวกเราทงั้ หลายได้สืบได้เสาะให้เหน็ สถานที่เรียกวา่ พทุ ธ
ภมู ิ คือสถานท่ีท่ีเกิดของพระพุทธเจ้า สถานท่ีตรัสรู้ของพระพทุ ธเจ้า
คือตรงนี ้ สถานท่ีปรินิพพานท่ีสาลวโนทยานน่ันนะ สถานท่ีแสดง
ธรรมโน่นท่ีป่ าอิสิปตนมฤคทายวันเมืองพาราณสีโน่น ซึ่งพวกเรา
จะต้องเดินทางไปในวนั ข้างหน้า ซึง่ เป็นแหลง่ ท่ีมีแม่นา้ คงคาอย่ทู าง
โน้นแหละ พระพทุ ธเจ้าท่านทรงแสดงสถานท่ีทงั้ 4 ตาบลเอาไว้ พวก
เราก็มาเสาะแสวงเอา ได้ยินได้ฟัง เราจะเห็นวา่ ชาวพทุ ธเราที่มีอยใู่ น
โลกมีมากมาย ถ้าเรานง่ั อยู่อย่างนี ้ อยู่นานๆ 4 ชวั่ โมง 5 ชัว่ โมง 6
ชวั่ โมง เราจะได้ยนิ พวกเขมร เขมรต่านะ เขาจะมาสวดภาษาของเขา
อู้ย ไพเราะ เราจะเห็น เราจะได้ยินเสียงคนไทย คนไทยก็จะสวด
เหมือนอย่างท่ีพวกเราสวด สวดภาษาบาลีเนี่ย แล้วก็พม่าเหมือน
อย่างที่พวกเราได้ยินเน่ียะ เสียงพม่าสวดเน่ีย พม่าเขาสวดเนี่ย พม่า
เขามักจะสวดคนเดียว เขาไม่ได้สวดเยอะๆ เหมือนอย่างเราเน่ียะ
สวดใครสวดเรา ตา่ งคนตา่ งสวด สวดทานองเขานี่แหละ พมา่ เขาจะ
สวดอย่างนี ้ เขาจะสวดไพเราะ พวกจีน เขาจะสวดแบบจีนไป พวก
ญวนก็จะสวดภาษาญวนไป ภาษาของใครของเรา เราจะเห็นพวกเรา
เหมือนเป็นพ่ีเป็นน้อง เห็นแล้วจติ ใจของเรามนั ออ่ นน่มิ เข้าหากนั หมด
เหมือนกบั เป็นลกู พ่อแมเ่ ดียวกัน ทาให้เรามีความสนิทสนมในหัวใจ
ของเรา ซ่ึงมันเกิดขึน้ ในหัวใจของเราอย่างนี ้ นี่ คือเร่ืองที่เป็นท่ีไป

16

ที่มาท่ีเป็นเหตใุ ห้พวกเราทงั้ หลายที่ได้มาถึงดินแดนท่ีพระพุทธเจ้า
ท่านได้ตรัสรู้แล้ ว ท่ีนี่หนทางท่ีจะทาให้ เราเข้ าถึงธรรมะตามที่
พระองค์ทรงสอน ท่ีพระองค์ได้ตรัสรู้ ตรัสรู้ตรงนีแ้ หละและเอาธรรมะ
เหล่านีแ้ หละมาบอกมาสอนพวกเรา วนั ที่พระพทุ ธเจ้าท่านตรัสรู้นน่ั
แหละ หลังจากท่ีพระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ยังไม่ได้ไปไหนนะ
พระองค์เสด็จอย่ใู นบริเวณนีแ้ หละ ในสถานท่ี 7 แห่ง แห่งละ 7 วนั
เช่นอย่างยืนเพ่งต้นโพธ์ิ 7 วนั เน่ียะ นง่ั พิจารณาอภิธรรม 7 วนั เนี่ย
นั่งพิจารณาหลักปฏิจจสมุปบาทเนี่ย พิจารณาทบทวนคุณสมบตั ิ
คณุ ธรรมทงั้ หลายทงั้ ปวงที่พระองค์ทรงได้ทรงตรัสรู้มาในบริเวณนีใ้ น
ท่ี 7 แห่งแห่งละ 7 วัน 7 7 49 49 วนั นีพ้ ระองค์ไม่ได้ทรงเสวยพระ
กระยาหารนะ มนั ครบพอดีกบั ที่นางสชุ าดาถวายข้าวมธุปายาส เสร็จ
แล้วพระองค์ก็นามาปัน้ ปัน้ ๆ ปัน้ ได้ 49 ก้อนนะ พระองค์ทรงเสวยจง
หมด ถ้าเราจะพูดตามประสาเราก็คือ วันนนั้ เป็นวนั ท่ีพระองค์ทรง
เสวยเตม็ อ่ิม เสวยมากที่สดุ วนั นนั้ หลงั จากบาเพ็ญเสวยเตม็ อ่ิมแล้ว
บาเพ็ญแล้ว ได้ตรัสรู้ในคืนนนั้ เลย หลังจากตรัสรู้แล้วก็ทรงเสวยท่ี
เรียกว่าวิมุตติสุข วิมุตติสุขความสุขที่เกิดขึน้ จากการหลุด การพ้น
จากเคร่ืองจองจาในวัฏสงสาร พ้นจากอานาจของกิเลสตณั หาใน
หวั ใจของเรา มันจะพ้นไปได้ยงั ไง จะเกิดขึน้ ได้ยังไง มนั จะเป็นได้
ยงั ไง เราจะต้องตงั้ อกตงั้ ใจทาตามที่พระองค์ทรงบอกทรงสอน ครูบา

17

อาจารย์ของเราท่านได้ยินได้ฟัง ท่านได้บอกได้สอน ท่านตงั้ ใจถือ
ตาม ประพฤตติ าม ปฏิบตั ิตาม ท่านได้หลดุ ได้พ้นไปมากมายเหมือน
อยา่ งท่ีพวกเราอยใู่ นเมืองไทยเนี่ย โดยเฉพาะเป็นยคุ ที่มาฟื น้ ฟู ทาให้
มีพระป่ าสายกรรมฐานเต็มไปหมด ก็คือหลวงป่ มู น่ั หลวงป่ เู สาร์เนี่ย
เป็นยุคที่มาเร่ิมฟื ้นฟู หลังจากหลวงป่ ูม่ัน หลวงป่ ูเสาร์มา ผู้ที่เอา
คณุ สมบตั ิ ของธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือที่หลวงป่ มู น่ั ท่านปลูกฝัง
ท่านบอกท่านสอนมา ตอ่ เน่ืองมา ก็คือครูบาอาจารย์ต่อๆ เน่ืองมา
หลวงตาอย่างเน่ียะทาให้มีพระสายปฏิบตั ิอย่เู มืองไทยเรา ได้พากนั
ตงั้ อกตงั้ ใจถือตามประพฤติตาม ปฏิบตั ติ ามพระวินยั อยา่ งเคร่งครัด
ตงั้ ใจปฏิบัติภาวนาตามอย่างเคร่งครัด สมถะตามอย่างเคร่งครัด
วิปัสสนาตามอยา่ งเคร่งครัด ตราบใดก็ตามยงั มีการถือตามประพฤติ
ตาม ปฏิบตั ิตาม พระอรหนั ต์จะไม่สญู ไปจากโลก พระพทุ ธเจ้าท่าน
ทรงตรัสเอาไว้เพราะฉะนนั้ พวกเราตงั้ ใจทาความสงบ ตงั้ ใจทาความ
สงบในหวั ใจของเรา ทายงั ไงหนอ ทาใจให้สงบเน่ีย ปกตใิ จของเรามนั
ไม่สงบ มันไม่หยุดนิ่ง มันมีสิ่งพาให้จิตเรามันไม่หยุดนิ่ง มันมีส่ิง
ผลกั ดนั จิตของเรามนั ขบั เคล่ือนจิตของเรา ให้ว้าวนุ่ อย่นู นั่ แหละ มนั
ไม่ทาให้ใจของเราหยดุ น่ิง เห็นรูปก็นึกเร่ืองรูป ได้ยินเสียงก็นึกเร่ือง
เสียง ตาไมเ่ ห็นรูป หไู มไ่ ด้ยนิ เสียง แตว่ า่ สญั ญาท่ีมนั ตกผลกึ ในหวั ใจ
ของเรา มนั พาเรานึก เราคิด ตามเร่ืองท่ีผ่านมา เพราะในใจของเรา

18

นะ มนั มีขนั ธ์ อยขู่ นั ธ์นึง ท่ีเรียกว่าสญั ญาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ มนั จาได้
จารูปที่ลว่ งไปแล้วมนั จาได้ เสียงที่ลว่ งไปแล้วมนั จาได้ กล่ินที่ลว่ งไป
แล้วมนั จาได้ แม้แตก่ ารสมั ผสั เย็นร้อนออ่ นแข็งท่ีลว่ งไปแล้วมนั จาได้
เร่ืองราวสารพดั สารพนั ในหวั ใจของเราท่ีล่วงไปแล้ว มนั จาได้ มนั จา
ได้แล้วมนั ปรุง ปรุงแล้วมนั นึกแล้วมนั คิด ความอยากคือกิเลสตณั หา
มาแทรกเข้ามา แทรกเข้ามาตามจิตของเราที่มนั ปรุงมนั นึกมันคิด
นนั่ หละ่ ทาให้จติ ของเราไมห่ ยดุ อยกู่ บั ท่ี ไม่นง่ิ อยกู่ บั ท่ี บางทีกิเลสมนั
ก็ยใุ ห้เรานกึ คิด ปรุงไปทงั้ ว่ีทงั้ วนั นนั่ แหละ ไม่มีโอกาสเป็นอิสระเป็น
ตวั ของตวั ดอก นึก ไปแง่นึงทาให้เราเกิดความโลภ โลภๆๆๆ นกึ ไปแง่
หนึ่งทาให้เราเกิดความโกรธเพราะมีสิ่งน้นู ส่ิงนี่มาขดั มาข้อง มาคา
นึกโลภมากมายมหาศาลด้วยอานาจความล่มุ หลงโลภ ด้วยอานาจ
ของความลุ่มหลงโกรธ ด้วยอานาจของความลุ่มหลงกิเลสตณั หา
ราคะ มนั มดั หวั ใจของเราอยอู่ ยา่ งนี ้ไมเ่ คยสงบไมเ่ คยนิง่ เพราะฉะนนั้
เราต้องการจะถึงอรรถถึงธรรมเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า เบือ้ งต้น
ทา่ นจึงให้เราหยดุ ไม่ให้เราดีดดิน้ ไปตามอานาจของตณั หาในหวั ใจ
ของเรา จะให้หยดุ น่ิงอยเู่ ฉยๆ ไมไ่ ด้ เราต้องมีงานให้เขาทางาน งานที่
ทาก็เหมือนอยา่ งกบั ที่ครูบาอาจารย์สอนพวกเราเน่ีย ให้พวกเราดาริ
คาว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ เอาสติผูกจิตของเราอย่กู ับ คาบริกรรมว่า
พทุ โธ พทุ โธ ให้มนั สงบอย่กู บั อารมณ์เดียว อารมณ์บทเดียวนี่แหละ

19

นี่ทา่ นเรียกว่าภาวนา ภาวนาให้ใจได้รับความสงบ ภาวนาทกุ ครัง้ ใจ
ของเราได้รับความสงบ ครัง้ ท่ี 2 ครัง้ ที่ 3 ทาทกุ วี่ทกุ วนั ทาทกุ ระยะทกุ
เวลามนั สะสมในตวั ของมนั เอง ทาให้มีพืน้ มีฐาน มีพืน้ มีบาทมีฐานมี
ความสงบละเอียดลึกเข้าไปเรื่อย ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มเห็น
ความปลอดโปร่ง ความสะดวกสบาย ความมี ความผาสกุ เห็นแวว
ความฉลาดปัญญาเกิดขนึ ้ ในหวั ใจของเรา น่ีคอื อานาจของความสงบ
นะ ไม่ใชส่ งบเฉยๆ นะ มนั มีความสขุ มนั มีความแชม่ ชื่น มนั มีความ
เบิกบาน ความสงบเหล่านีแ้ หละที่ท่านเรียกว่าบุญ ส่ิงเหล่านีแ้ หละ
คือบญุ อาศยั จิตท่ีสงบนน่ั แหละ ทาให้ความนึกความคิดของเรามนั
ใกล้กบั หลกั ความจริงที่ทา่ นเรียกว่าสจั จะ สจั ธรรมเพราะฉะนนั้ ท่าน
จึงให้เราเจริญสมถะ ให้ใจได้รับความสงบแล้วให้พิจารณาให้เกิด
ความรู้จริง เห็นจริง ตามหลกั ของสัจธรรม ตามหลกั ท่ีพระพุทธเจ้า
ท่านทรงบอก ทรงสอน เพราะฉะนนั้ งานนีเ้ ป็นงานท่ีเราเรียนรู้แล้ ว
เราต้องทา การที่เราเรียนรู้เฉยๆ นนั่ นะเป็นหลกั เป็นข้อปฏิบตั ิ เราเอา
มาตงั้ ใจพิจารณาตงั้ ใจทาจนได้รับความสงบ จิตเป็นสมาธิ จนทาให้
เกิดปัญญารอบรู้ คาว่ารอบรู้ ในท่ีนี ้คือ มนั รู้ทนั รู้ทนั กล รู้ทนั อุบาย
รู้ทนั มายาของกิเลสตณั หาในหวั ใจของเรา โอกาสท่ีมนั แทรกเข้ามา
พอเราเห็นหน้ามนั เราจาได้ มนั ก็ยบุ ยอบไป พอมนั โผล่มา เราจบั ได้
มนั ก็หายไป โผล่มา มนั จบั ได้ มนั ก็หายไป แท้ท่ีจริงกิเลสตณั หาใน

20

หวั ใจของเรา ก็ไมใ่ ชอ่ ะไรอื่นไกล มนั ก็เป็นกิริยาที่เลวๆ ของใจของเรา
น่ันเอง ไม่มีใครจับมาใส่ให้เรา ไม่มีใครทาให้เรา แต่หากเราเคย
ปล่อยเนือ้ ปล่อยตวั มาอย่างนนั้ จนชิน จนมนั ตกผลึกเป็นนิสยั เป็น
กิเลสในหวั ใจของเรา ที่ท่านเรียกว่าเป็นกิเลส กิเลสในหวั ใจของเรา
ไมม่ ีใครสร้างให้เรา ไมม่ ีใครทาให้เรา แตเ่ ราสะสมมาด้วยตวั ด้วยตวั
ของเราเอง การที่เราพยายามตงั้ ใจปฏิบตั ิ พิจารณา เพื่อเป็นการขัด
เกลาชะล้างความเลวๆ ในใจของเราน่ีหละ่ ออก ไม่มีใครมาทาให้ เรา
ทาเอาเอง ไอ้ที่มันดือ้ ด้านเป็นกิเลส ความโลภรุนแรง ความโกรธ
รุนแรง ราคะตณั หารุนแรง มนั สะสมมาในตวั ของตวั ของมนั เอง คือ
เราเป็นคนสะสม ไม่มีใครสะสมให้เราดอก ที่น่ีเวลาเราต้องการจะมา
ชะมาล้าง เราก็ต้องมาเรียนรู้วิธีการแล้วก็ตงั้ อกตงั้ ใจชะล้างด้วยตวั
ของตวั เราเอง พยายามตงั้ อกตงั้ ใจภาวนา จนใจของเราได้รับความ
สงบ เสร็จแล้วก็พจิ ารณาจนเห็น เห็นหลกั ธรรมชาติ หลกั ธรรมชาตสิ งิ่
ท่ีเราควรเห็น ก็คืออนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา มนั หากมีอย่ใู นกายของเรา
มันหากมีอยู่ในใจของเรา เราตัง้ ใจพิจารณาไป เราจะเห็นว่าส่ิง
เหลา่ นีเ้ป็นสิ่งท่ีไมเ่ ท่ียงแท้แนน่ อน จะทาให้เราเนี่ยะหายเพลนิ จะทา
ให้เราหายหลง จะทาให้เรารู้รอบ รู้ทวั่ ถึง รู้เท่าทนั และจะเป็นเหตใุ ห้
เรารู้จกั วิธีละ รู้จกั วิธีปลอ่ ย รู้จกั วิธีวาง การไม่ปล่อย การยึดถือ การ
ไมร่ ู้จกั ปล่อย การไมร่ ู้จกั วาง ยึดอะไรก็ทกุ ข์กบั อนั นนั้ ถืออะไรก็ทกุ ข์

21

กับอันนนั้ ไอ้แค่เราถือว่าเป็นตวั เป็นตนก็ทุกข์ ก็เพราะว่าเราถือว่า
เป็นตวั เป็นตน แตถ่ ้าหากเราเจาะลึกเข้าไปอีก กิริยาที่มนั บอกเราว่า
เป็นตวั เป็นตนมีอยู่ ความหลงที่ไปบดบงั ทาให้เราเกิดความนกึ คดิ วา่
เป็นตวั เป็นตนมีอยู่ แตถ่ ้าหากเราใช้สตใิ ช้ปัญญาพิจารณาเข้าไป เข้า
ไป ไปแยกแยะ ไปกระจาย เราก็จะเห็นข้อเท็จจริงของมนั ก็จะทาให้
เราฉลาดขึน้ มา กิริยาที่เลว ๆ เคยร้ายกาจในหวั ใจของเรา ก็จะเร่ิม
อ่อนลง อ่อนลง อ่อนลง แล้วก็จะเร่ิมฉลาดขึน้ คุณธรรมทงั้ หลายทงั้
ปวงก็จะเริ่มเกิดขึน้ มีขึน้ ในหัวใจของเรา เท่าท่ีปรารภมาก็นาน
พอสมควร ตอ่ ไปให้พวกเรานง่ั ตงั้ ใจภาวนา ตงั้ ใจภาวนา ใจของเรา
จะอย่กู บั เสียงที่เขาสวด เราก็อย่ไู ด้ หรือเราจะอยกู่ บั คาวา่ พทุ โธ พทุ
โธ ที่เราดารินี ้ก็ขอให้มนั อยู่กบั คาว่าพทุ โธ พทุ โธเนี่ย น่ีแหละคือการ
ตงั้ ใจภาวนา เรามาต่อส้ทู ่ามกลางคลื่นท่ีรุนแรง คือเสียง เสียงท่ีมนั
ทิ่มแทงหวั ใจของเรา กบั ภาวะแวดล้อมท่ีคนเพน่ พา่ นไปมา เราตงั้ อก
ตงั้ ใจและส่ิงที่มากวนเราก็คือยงุ ยงุ เราก็ปลอ่ ยมนั ให้มนั เจาะ ให้มนั
เจาะไป คนไล่ก็ไล่ อย่าไปบีม้ ันนะ บีม้ นั ไม่ได้นะ บีม้ นั น่ะ เสียทีละ
คะแนน 2 คะแนน 3 คะแนน ติดลบไปเรื่อย ติดลบไปเร่ือย แทนที่จะ
น่ังเอาบุญกับนั่งเอาบาปให้ระวังที่สุดนะ เพราะฉะนัน้ ตงั้ แต่วันนี ้
จนถึงวนั ท่ีเรากลบั ระวังรักษาใจของเราให้ดี อย่าเอาใจของเราให้
เคร่ืองที่ต่าทราม เหยียบย่า ให้ใจของเรามนั ต่าทรามลงไปอีก ทงั้ ๆ ที่

22

เรามาแสวงหาคณุ งามความดี เข้าสหู่ วั ใจ ให้ทกุ คนตงั้ อกตงั้ ใจ อย่า
เพลนิ ไปกบั ส่งิ ที่เรารู้เราเห็นจนเป็นเหตใุ ห้เราเผลอไปกบั มนั แท้ท่ีจริง
มันเสียหายไปกับความเพลินนั่นแหละ เพลิน เพลินแล้วก็เผลอ
เพลินๆ แล้วก็เผลอ เสียอีกแล้ว เพลิน เพลินไปเผลอ เสียอีกแล้ว ลุ
อานาจให้กับมนั อีกแล้ว น่ีคือข้อเสีย เอานะตงั้ อกตงั้ ใจภาวนาไปซกั
เท่าไรล่ะ จากนีไ้ ปซกั เท่าไหร่ล่ะ อย่างน้อยๆ สกั ครึ่งชว่ั โมงนะ อ้าว
ตอ่ ไปเงียบสงบ นงั่ ภาวนาใคร นงั่ ภาวนาเรา

--------------------------------------

ช่วงท่ี 2 รับฟัง

เป็นไง สงบบ้างไหม สงบยากหรือสงบง่าย ใจของเราถ้ามนั ไม่สลด

มนั ไมส่ งั เวช ใจมนั แขง็ กระด้าง ใจมนั แข็งกระด้างเน่ีย สงบได้ยาก ใจ

23

มนั ดือ้ ด้าน เราจะเห็นว่ามนั ง่าย หรือมนั ยาก ไอ้สิ่งท่ีมนั ฝังรากอย่ใู น
หวั ใจของเรา มนั ไม่รู้ว่ามันฝังรากมากี่กัป ก่ีกัลป์ ก่ีปุเรชาติ ขนาด
พวกเราเกิดมาในกัปท่ีมีพระพุทธเจ้าตงั้ 5 พระองค์ เรายงั หนาป๊ึก
ขนาดนี ้ สตั ว์บางจาพวก เกิดมาไม่เคยเจอพระพุทธเจ้าอุบตั ิขึน้ มา
เลย พวกเราโชคดีขนาดนี ้พระกกสุ นั โธ ล่วงไปแล้ว พวกเราไปอย่ทู ่ี
ไหน พระโกนาคมโน พระกสั สโป พระโคตโม พระพทุ ธโคดมของ
เรา เราอยใู่ นรัศมีธรรมของพระองค์อย่ทู กุ วนั นี ้จิตใจของเรายงั ดือ้ ดงึ
แข็งกระด้างขนาดนี ้ ท่ีจะออ่ นน้อมให้เห็นข้อเท็จจริงในหวั ใจของเรา
มันเห็นยาก เราอยู่ด้วยความเพลิน เกิดภพไหนภพไหน ก็อยู่ด้วย
ความเพลนิ ความเพลนิ ก็ทาให้เราเผลอไปกบั กิเลส เพราะกิเลสมนั ย่ี
ยวนชวนให้เราปลืม้ ปิติยินดีไปกบั มนั แตว่ ่าผลตามมาก็คือ พนั เรา
ไว้ในวฏั สงสาร กองทกุ ข์ ทะเลทกุ ข์ เพลินไปในโลก ในวฏั สงสาร มนั
ก็เลยพนั เราไว้ในวฏั สงสารไม่จบ ไม่รู้จกั จบ มนั ง่ายหรือมนั ยาก มนั
ดอื ้ ด้านดกั ดานขนาดไหนเรารู้ แตห่ ากทกุ คนต้องผา่ นการสง่ั สมอบรม
ผา่ นมาด้วยกนั มากน้อย เท่ากนั ไมเ่ ทา่ กนั ถ้าพดู ถึงวา่ พวกเรามีบญุ
พวกเรามีบุญด้วยกนั ไม่มีบญุ ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เราดสู ตั ว์เต็มไป
หมดนัน้ หน่ะ ในภพภูมิ สัตว์ตัวเล็ก สัตว์ตัวใหญ่ สัตว์เดรัจฉาน
ทงั้ หลายทงั้ ปวงที่เราเห็น เขาไม่มีคุณสมบตั ิพอท่ีจะเป็นมนุษย์ แต่
มนษุ ย์เรามีคณุ สมบตั พิ อ เพราะเรามีศีล เรามีธรรม อยา่ งน้อยศีล 5

24

พวกเรามีไม่ครบกันทุกข้อ แต่เราก็ยังมี มีมากมีน้อย อาจจะด่าง
อาจจะพร้อย อาจจะอะไรก็ตาม เพราะฉะนนั้ คณุ สมบตั ิในหวั ใจของ
เราจงึ ตา่ งกนั คณุ สมบตั ขิ องเราไมเ่ ทา่ กนั ก็เพราะวา่ ระยะการเวลาท่ี
เราสั่งสมอบรมมาไม่เท่ากัน ความขยันหมั่นเพียรไม่เท่ากัน
ความสามารถไม่เท่ากนั สติปัญญาไม่เท่ากัน ความม่งุ มนั่ ท่ีจะได้ ท่ี
จะมี ท่ีจะเป็นไม่เท่ากนั ไม่เหมือนกัน ดีกรีแห่งความฉลาดในหัวใจ
ของเราจึงไม่เท่ากัน เพราะการสั่งสมอบรมสติปัญญาของเราไม่
เท่ากัน แต่เรามีคุณธรรมพิเศษติดตวั มาด้วยกันทุกคน คือสติธรรม
ตวั สาหรับท่ีมาปลุกจิตของเราให้ต่ืน ให้รู้อยู่ มนั มีอย่ดู ้วยกันทุกคน
ด้วยเหตทุ ่ีเรามีสิ่งนี ้เราจงึ สามารถปลกู ฝังจิตใจของเราได้ แตถ่ ้าเป็น
เหมือนสตั ว์เดรัจฉานแล้ว หมดโอกาส เพราะมนั พฒั นาไม่ขึน้ มัน
พฒั นาไม่ขึน้ เหมือนจิตมนุษย์ เหมือนใจมนษุ ย์ ใจมนษุ ย์มนั พฒั นา
ได้ พัฒนาขึน้ แต่ก็ต้องอาศัยเหตุ ต้องอาศัยปัจจัย เหตุปัจจัยทัง้
ภายนอกทงั้ ภายใน เหตปุ ัจจยั ภายนอกต้องได้ยินได้ฟัง ต้องมีผ้ฝู ึก มี
ผ้บู อก มีผ้สู อน เหตปุ ัจจยั ภายในก็คือการอยากได้ อยากดี อยากมี
อยากเป็น ความมงุ่ มน่ั ความพากความเพียร ความพยายาม ความ
ละเอียดลออ ความสงั เกตสังกา ความจดจ่อต่อเน่ือง คือการสร้ าง
คณุ สมบตั ิในหวั ใจของเรา มนั สร้างได้ เหมือนอย่างความรู้ทวั่ ๆ ไปท่ี
เราเกิดมา เรารู้ที่ไหน ก ไก่ ก กา เราหดั เรียนมาด้วยกนั ทุกคน กว่า

25

จะจบอนบุ าล จบประถม มธั ยม อดุ ม ปริญญาตรีโทเอก จบดอกเตอร์
2-3 ดอกเตอร์ เราเรียนรู้ได้หมด พฒั นาความลกึ ละเอียดไปได้หมด
บญุ ในใจของเราก็เชน่ เดียวกนั สง่ั สมมากก็มีมาก สงั่ สมน้อยก็มีน้อย
แตก่ ารสง่ั สมเน่ีย มนั ยงั ไม่คงที่ เราคิดว่า สงั่ สมบญุ เรามีสมั มาทิฏฐิ
ในขณะเดียวกันที่มนั ยงั ไม่คงที่ มนั พร้อมท่ีจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราจึง
ทาบญุ บ้าง ทาบาปบ้าง ทาบาปบ้าง ทาบญุ บ้าง ส่งิ ท่ีตามมาก็คือ เรา
มีความสขุ บ้าง เรามีความทกุ ข์บ้าง มีความทกุ ข์บ้าง มีความสขุ บ้าง
มีความสุขมาก มีความทุกข์น้อย มีความสุขน้อย มีความทุกข์มาก
มนั ก็เป็นไปตามเหตตุ ามปัจจยั ของเราอย่อู ย่างนีแ้ หละ แตก่ ารท่ีเรา
เกิดในวฏั สงสารเน่ีย เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ถ้าหากเรา
ไม่เคยมองให้เห็น เกิดความสลดสงั เวชในหวั ใจของเราเน่ีย เราก็จะ
ลอยคอไปไม่มีจุดจบไม่มีท่ีจบ ไม่มีความเบ่ือหน่ายในวัฏสงสาร
เพลินหมกอย่ใู นโลก ไมม่ ีที่จบไมม่ ีจดุ จบ โลกนีเ้ป็นโลกที่เรามาหมก
อยู่ เหมือนกบเหมือนเขียดเหมือนปเู หมือนปลา กบอยใู่ นขีต้ มขีโ้ คลน
กลบอยู่ในกองของกามคุณทัง้ หลาย หมกอยู่ในกองของกามคุณ
ทงั้ หลาย สิง่ ที่พาเราเพลนิ พาเรากาหนดั พาเรายินดี ผกู มดั เราไว้ใน
วฏั สงสารไมจ่ บ ไมม่ ีจดุ จบ ถ้าตราบใดเราไมเ่ หน็ ทกุ ข์ เราไมพ่ ิจารณา
เรื่องทกุ ข์ ไม่พิจารณาให้เห็นทุกข์ โอกาสท่ีเราจะย่นย่อวฏั สงสารมี
น้อย มีแตท่ าให้ยืดยาวไปไมม่ ีที่จบ เกิดแก่เจ็บตาย เกิดแก่แล้วก็เจ็บ

26

แล้วก็ตาย น่ีแหละคือกองทกุ ข์ คือความทุกข์ อย่างทกุ วนั นี ้ พวกเรา
พอจะมีความสขุ บ้าง เพราะเรามีความเพลิน ถึงจะมีความทกุ ข์ปนอยู่
ในนนั้ พวกเราก็มองไม่ออก เรามีความสขุ ท่ามกลางกองทุกข์ เรามี
ความชมุ่ เย็นอยบู่ ้าง ทา่ มกลางความเร่าร้อน กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
น่ันหน่ะ คือความร้ อน ราคัคคิ ความร้ อนคือราคะ ความกาหนัด
ความยินดี โทสคั คิ ความร้อนคือความโลภ คือความโกรธ โมหคั คิ
ความหลง แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นไฟ แต่
พวกเราดไู มอ่ อก เราเห็นเพลิน เห็นนา่ ยินดี ร้อน ร้อนๆ ชุ่มเย็นๆ เย็น
เย็นเจี๊ยบ เย็นเหมือนนา้ แข็ง พวกเราดไู ม่ออก เราติดเราเพลินในส่ิง
เหล่านี ้ ไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ตราบใดที่เราไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ
วัฏสงสารเรายาวไป ไม่มีจุดจบไม่มีท่ีจบ ท่านจึงพยายามให้เรา
มองเห็นกองทกุ ข์ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา อนั นีเ้ป็นยอดของสจั จะที่มนั
มีอยู่ ในกองรูปของเรา ในกองนามของเราเนี่ย รูปคือร่างกาย นามก็
คือใจ กาย เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เป็นผลิตผลของใจ ใจ
ของเราคือผ้รู ู้ คอื ธาตรุ ู้ ธาตรุ ู้กบั ธาตไุ มร่ ู้ มนั มีมาประจาโลก ธาตรุ ู้คือ
ใจ คือจิตของเรานั่นแหละ ท่านเรียกว่าธาตุรู้ ๆ มโนธาตุ หรือ
วิญญาณธาตุ ท่านว่าเป็นธาตรุ ู้ เป็นส่ิงท่ีมีประจาโลก ไมใ่ ช่เพ่ิงเกิดมี
แคเ่ ราเกิดมาในชาตินี ้ ในอตั ภาพนี ้ หากมนั เกิดสะสมมาไมร่ ู้เท่าไหร่
ต่อเท่าไหร่ แต่หากมันจะเปล่ียนภพภูมิไปตามอานาจของบุญของ

27

กรรม ทากรรมไม่ดี มีคณุ สมบตั ไิ ม่พอ ไม่ได้มาเป็นมนษุ ย์แหละ เป็น
สตั ว์เดรัจฉาน มีคุณสมบตั ิพอ ก็ได้เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์สมบูรณ์
ด้วยศีล ศีล 5 สมบรู ณ์เป็นอจั ฉริยบคุ คล มีสติดี มีปัญญาดี มีความ
เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบตั ิ ปัญญาสมบตั ิ ทรัพย์สมบตั ิ อริยสมบตั ิ
มีเพียบพร้อม ถึงกระนนั้ ก็ตาม เราก็ยงั ต้องดนิ ้ รน ขวนขวาย แสวงหา
กว่าเราจะถีบตวั เองให้ประสบความสาเร็จ ด้วยคณุ ธรรมที่จะทาให้
เราเบ่ือหน่ายคลายจาง ในภพในชาตนิ ี ้มนั ต้องอาศยั ความมนั่ ความ
พยายาม ความพากความเพียร ที่เรามาอย่างนี ้ ก็เป็นแรงกระต้นุ
อย่างหน่ึงทาให้เราไม่ลืมเนือ้ ลืมตวั ทาให้เรามาเกี่ยวข้องกับผู้ที่เป็น
มหาบุรุษ พระพุทธเจ้าท่านเป็นมหาบุรุษ อุบัติเกิดขึน้ มาในโลก
เสียสละเอาเป็นเอาตายเพื่อให้รู้ให้ได้วิชาเหลา่ นีม้ าสอน มาบอกมา
สอน สอนตวั เอง แล้วก็สอนคนอ่ืน พาสตั ว์ข้ามพ้นจากภพชาตเิ กิดแก่
เจ็บตายเน่ีย ขนสตั ว์ออกจากโลก คือ อนิจจัง ทุกขงั อนัตตา สร้ าง
บารมี ว่าแต่อะไรที่ดีท่ีสุด ท่ีจะแลกได้ ท่ีเปล่ียนได้ มนั ไม่มีอะไรเกิน
ชีวิต เอาชีวิตเข้าแลกเลย ทานก็ต้องให้ชีวิตเป็นทาน ตงั้ ใจบาเพ็ญ
ความเพียร เพียรเอาความเป็นความตายใส่เข้าไปเลย ตายเพราะ
ความเพียร ศึกษาเกี่ยวกับเร่ืองปัญญา เสาะแสวงหาเรื่องปัญญา
ทาลายความหลง เอาชีวิตแลกเข้าไปเลย ชีวิตนีไ้ มม่ ีคณุ คา่ ขอให้ ได้
ส่ิงเหล่านนั้ พระพุทธเจ้า ท่านอุตส่าห์พยายามสร้างเนือ้ สร้างตวั ถึง

28

ขนาดนัน้ เราเห็นพระเมตตาของพระองค์แล้ ว ทาให้ เราเห็น
ความสามารถของพระองค์ เห็นความเสียสละของพระองค์ เห็นความ
เหนื่อยยากของพระองค์ น้อมมาใสใ่ จของเรา เราเป็นคนทกุ ข์ เราเป็น
คนยากไร้ อบั จน น้อยบุญ น้อยกศุ ล น้อยสติ น้อยปัญญา ที่จะรู้เห็น
สจั ธรรมตามพระองค์ไปได้ นึกคดิ ให้มาก พิจารณาให้มาก ถึงความ
ทุกข์ยาก ทุกข์ไร้ อับจนสติ อับจนปัญญา เหมือนกับเราไปราพึง
ราพนั อย่ทู า่ มกลางมหาเศรษฐี พระพทุ ธเจ้า มหาเศรษฐี มหาเศรษฐี
มหาปัญญา มหาสติ มหาปัญญา มหาปราชญ์ มหาบัณฑิต มหา
บุรุษ เป็นคนท่ีไม่มีความขาดตกบกพร่องแม้แตเ่ ม็ดหินเม็ดทรายไม่
มี ดแู ต่วนั เกิดของพระองค์เกิดในวัน วนั เพ็ญ ประสูติในวันเพ็ญ
เดือน 6 เกิดในวันเพ็ญ เดือน 6 ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ เดือน 6 แสดง
ธรรมจกั รก็วนั เพ็ญอีก ปรินิพพานก็วนั เพ็ญ เดือน 6 อีก มีแตว่ นั เต็ม
ไมม่ ีวนั บกพร่อง เป็นปริศนาสอน บอกวา่ เป็นคนที่ไมม่ ีความบกพร่อง
สร้างบารมีทาความปอ้ งกนั ให้กบั ตวั เองทกุ ระยะทกุ เวลา จนไมม่ ีเวร
ไม่มีภัยไม่มีข้าศึกไม่มีศตั รู แม้แต่เม็ดหินเม็ดทรายในพระทัยของ
พระองค์ หลงั จากได้บรรลธุ รรมแล้ว ชนะเดด็ ขาดกบั ผ้ทู ่ีผกู เวร ผกู ภยั
อาฆาตพยาบาทกับพระองค์เน่ีย พ่ายแพ้พระองค์หมด พระองค์ไม่
ต้องไปต่อกร ไม่ต้องมีอาวุธศตั รูอะไร อาศยั เมตตาอย่างเดียวเน่ีย
กลบทบั ส่ิงเหล่านนั้ หมด ดทู ่ีช้างตกมนั นาฬาคีรีตกมนั พระองค์ตรัส

29

สอนด้วยพระวาจาแค่นนั้ แหละ ต่ืน ต่ืนจากตกมนั สร่างเลยความ
เมานนั่ หนะ เมาจากตกมนั มนั เมาเพราะอะไร ความโลภ ความโกรธ
มองเห็นเร่ืองล้าง ทาลายล้างผลาญ เห็นมยั้ ท่ีพระเทวทตั ปล่อยไป
เน่ีย ปล่อยไปให้ไปทาร้ ายพระพุทธเจ้ าเนี่ย แต่พระเมตตาของ
พระองค์ ไปชะไปล้างไปชโลม ไอ้ความเร่าร้อนในหัวใจดวงนนั้ จน
เยือกเย็น สลดใจสงั เวชใจ ด้วยอานาจความเมตตาของพระองค์แผ่
ไป มันเย็น มนั อ่อน มันนิ่ม มนั นุ่มไปหมด ความร้ ายกาจในใจดวง
นนั้ น่ะ ความแผดเผาด้วยความเร่าร้อนในใจดวงนนั้ น่ะ เยือกเย็นลง
อ่อนน่ิมลง กราบปลก ปลก เห็นบญุ เห็นคณุ เห็นไหม ร้องโก้กๆ สอน
อีก สอนเอาฟังรู้เร่ือง สตั ว์ทงั้ หลายฟังรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าท่านสอน
อาศยั พุทธานุภาพ บารมีของพระองค์ ดูแต่พระเทวทัตจ้างคนไป
ฆ่านะ่ บวชหมด จ้างไปมากน้อยเท่าไหร่ไปฆา่ พระพทุ ธเจ้าบวชหมด
จ้างไปเทา่ ไหร่ บวชหมด ในที่สดุ ก็แพ้ภยั ตวั เองเห็นไหม แพ้ภยั ตวั เอง
จนตกอเวจีมหานรกนน่ั นะ แตด่ ้วยความมาเก่ียวข้องกบั พระพทุ ธเจ้า
พระองค์เล็งดอู นาคตงั สญาณ โอ้ว ด้วยเหตทุ ี่เธอมาเก่ียวข้องกับเรา
เน่ีย จากนีไ้ ปเท่านนั้ กปั เท่านนั้ กปั แล้วก็ด้วยเหตทุ ี่เธอกลบั ใจ พระ
เทวทตั กลบั ใจ ก่อนท่ีพระพทุ ธเจ้าจะพยากรณ์ขนั้ นนั้ ระดบั นนั้ พระ
เทวทตั กลบั ใจเคยอาฆาตกบั พระพทุ ธเจ้ามาทกุ ภพทกุ ชาติ ก็กลบั ใจ
ยอมศิโรราบเต็มร้อยหล่ะตอนนี ้จากนนั้ แล้วพระองค์ก็ทรงแย้มพระ

30

โอษฐ์ เอ่อ เธอไม่เสียเปล่าที่มาเก่ียวข้องกับเรา จากนีไ้ ปเท่านนั้ กัป
เท่านนั้ กัป เธอจะได้มาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพทุ ธะ เป็นพระพุทธเจ้า
เหมือนกัน แต่เป็นประเภทพระปัจเจกพทุ ธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็น
สมั มาสมั พทุ ธะ เป็นพระประเภทปัจเจกพทุ ธะ ตรัสรู้จาเพาะตน ไมไ่ ด้
ตงั้ ศาสนา ไม่มีภิกษุ ภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกา เป็นบริษัทบริวาร ถึง
กระนนั้ แล้วก็ตาม ก็ถือว่าเยี่ยมที่สุด แตต่ อนนีย้ งั รับกรรมอยใู่ นมหา
อเวจีนรก พระเทวทตั เน่ีย ด้วยเหตทุ ี่มาเกี่ยวข้องกบั พระพทุ ธเจ้า ชีวติ
และภพชาติของสตั ว์ทกุ ๆ ประเภท ทุกๆ จาพวกไม่ว่าจะเป็นคน คน
ไมว่ ่าจะชาติไหน ศาสนาไหน ภาษาไหน ชาตไิ หน ศาสนาไหนก็ตาม
ความสนิ ้ สดุ ของภพชาติ ของสตั ว์ทงั้ หลายทงั้ ปวงเหลา่ นนั้ จะต้องพ้น
ทกุ ข์พ้นโทษตามพระพทุ ธเจ้า ถ้ามาไม่ถกู ทางไมพ่ ้น วฏั สงสารไมม่ ีท่ี
จบ ไม่มีจดุ จบ เกิดท่ีสงู พอหมดอายขุ ยั หมดบญุ ก็ตกลงมาที่ต่า ไป
เป็นสตั ว์เดรัจฉาน ไปเป็นมนษุ ย์ บางทีก็ตกต่าไปเป็นเปรต เป็นสตั ว์
นรกเปลี่ยนกันอยู่แบบนีแ้ หละ ไม่มีจุดจบไม่มีท่ีจบ นี่คือ สัตว์
ทงั้ หลายเกิดตาย เกิดตาย ไม่มีจดุ จบ ไม่มีท่ีจบ ถ้าหากไม่เห็นทุกข์
เห็นโทษ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตาแล้วเน่ีย ไมเ่ ห็นโทษในการเกิด โอกาส
ท่ีจะแสวงหาเกิด มนั ก็จะมีอยรู่ ่าไป พระพทุ ธเจ้าทา่ นมีความสามารถ
นะ ระงบั ดบั ความเกิดได้ ในเมื่อดบั ความเกิดได้ ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย มนั ก็ไม่มี ไปแก้ความเจ็บ แต่ไม่ระงับความเกิด เจ็บจน

31

ตาย ตายแล้วไปเกิดอีก ไมเ่ ข็ดหลาบในความตาย ไมพ่ จิ ารณาสาเหตุ
แห่งการเกิด ไม่เข็ดหลาบในการเกิด ตายแล้วก็ไปเกิดอีก เกิดทีไร
เม่ือไหร่ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เกิดทีไรเมื่อไหร่ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ
ต้องตาย นี่แหละคือวฏั สงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดเนี่ย ที่ท่าน
เรียกวา่ สงั สารวฏั สงั สารวฏั กิเลสมนั พนั หวั ใจของเรา ให้เราทากรรม
เราทากรรมอยา่ งไร เราจะต้องได้รับผลอยา่ งนนั้ กิเลสเป็นเหตใุ ห้เรา
ทากรรม ทากรรมอย่างใดอย่างหน่ึง ทาให้เราได้รับผลของกรรมนนั้
ตรงแน่วตามเหตุ ตามผลเหล่านัน้ ไม่มีใครบิดเบีย้ วได้ เป็นความ
ศกั ดิ์สิทธิ์ เป็นความขลงั ที่สุด เป็นความชดั เจนที่สดุ เรื่องการให้ผล
ของกรรม ไม่มีใครเอายศถาบรรดาศกั ด์ิ เอาชาติตระกูลสูงต่า ไป
ต่อรองกับสิ่งเหล่านีไ้ ด้ คือไปต่อรองกับกรรมได้ ชาติชัน้ วรรณะ
ตระกลู ไหน ยอ่ มเป็นไปตามอานาจของกรรมทงั้ นนั้ กรรมพาไป กรรม
คืออะไร คือพฤติกรรมที่เราลงมือทาเหตลุ งไปแล้ว มนั มีผลตามมา
กริยาที่เราทา ทา่ นเรียกวา่ กรรม ๆ ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤตผิ ิดใน
กามเนี่ยะ กายกรรม เพราะฉะนนั้ แค่เรารักษาศีล 5 ได้ ทาให้กรรม
ของเราบริสุทธิ์ กายกรรม วจีกรรมของเราบริสุทธ์ิ บริสุทธ์ิขนั้ ศีล 5
เนี่ย ไมม่ ีเลย อบายมขุ อบายภมู ิไมม่ ี มีแตส่ วรรคเ์ ป็นท่ีไป บริสทุ ธ์ิขนั้
ศีล 5 เราบริสุทธิ์ขัน้ ศีลแล้ว เราจาเป็นจะต้องปฏิบัติเพ่ือให้รู้เห็น
เก่ียวกับหลกั ของธรรม ศีลนีเ้ ป็นปลายเหตุ ระงับดบั ปลายเหตุแค่

32

ระงบั ดบั ปลายเหตขุ องตณั หาในหวั ใจของเรา ตณั หาคือกิริยาของใจ
ท่ีมนั เลว ใจมนั เลว พฤตกิ รรมของมนั ท่ีมนั เลวๆ ที่ทา่ นเรียกวา่ ตณั หา
ตณั หา แปลว่าความอยาก แปลเป็นภาษาไทยๆ เรา แปลว่าความ
อยาก ดไู ปแล้ว มนั เหมือนมนั ลกึ ลบั เราสามารถดไู ด้ ความอยากใน
หวั ใจของเราเนี่ย ตวั นีแ้ หละเป็นตวั ร้ายกาจ ที่ดงึ เราขนึ ้ สงู ขนึ ้ ต่า ที่ดงึ
เราสขุ ดงึ เราทกุ ข์ ตวั นี่แหละ เพราะฉะนนั้ เราสามารถสงบระงับดบั
ตณั หาได้ ความเกิดมนั ก็เกิดไม่ได้ ไอ้ท่ีเราติดภพ ติดชาติ ตายแล้ ว
เราจะต้องไปเกิด ตายแล้วเราจะต้องไปเกิด เพราะความอยากนี ้
แหละมนั ดงึ เราไป ผ้ทู ี่ท่านละความเกิดได้เหมือนอย่างพระพทุ ธเจ้า
พระอริยสาวกทงั้ หลาย ทา่ นละความเกิดได้ ทา่ นไมเ่ กิด ก็เพราะทา่ น
หมดความอยาก ในเมื่อหมดความอยากแล้ว มนั ไมม่ ีอะไรพาไป ไมม่ ี
สิ่งพาไป ความอยากตัวนีแ้ หละ กระดุกกระดิกพลิกแพลงมาอย่าง
หน่ึงเป็นความโลภ อีกอย่างหน่ึงเป็นความโกรธ ทงั้ โลภทงั้ โกรธ คือ
กิริยาของความหลงในหวั ใจของตวั เอง แสดงออกมาป๊ับทาให้ผ้รู ู้ดวง
นนั้ ธาตรุ ู้ดวงนนั้ มีความเศร้าหมองในตวั เอง ทา่ นเรียกวา่ กิเลส กิเลส
แปลวา่ ความเศร้าหมอง มนั ไมอ่ ยทู่ ่ีไหน มนั อยทู่ ี่ใจของเราทงั้ หมดนนั่
แหละ กิเลสตณั หาราคะเนี่ยอนั เดียวกัน เกิดขึน้ อย่กู ับธาตรุ ู้ของเรา
อย่างเดียว ธรรมะในหวั ใจของเรานะ เราพยายามศกึ ษาและย้อนมา
ท่ีใจของเรา เราจะเห็น ถ้าไมศ่ กึ ษา ไมเ่ หน็ หรอก ไมร่ ู้ไมเ่ ข้าใจ ไมเ่ ห็น

33

เพราะฉะนนั้ เราจะรู้ เราจะเข้าใจ เราจะเห็นมนั เราจะต้องหยดุ มนั ซะ
ก่อน การที่เราจะหยดุ มนั เราจะต้องเอางานของเราไปปิดไปกัน้ มัน
แคเ่ รากาหนดจดุ จอ่ ด้วยสติ มนั ก็หยดุ ได้ ความอยากเหล่านนั้ ความ
อยากในหวั ใจของเราเน่ีย แคเ่ รากาหนดจดจ่อด้วยสติ ไอ้คาวา่ สติ ก็
คือความต่ืนรู้ชดั เจนท่ีสุดในหวั ใจของเรา ขณะใดก็ตามในหวั ใจของ
เราที่มันชัดเจนท่ีสุดนัน้ นะ ขณะนัน้ ใจของเรามีสติกากับดูแลอยู่
ตราบใดขาดสติกากบั ดแู ลอยู่ เลือนลางจางไปแล้ว อารมณ์ที่ใจมนั
เกาะอย่นู นั้ มนั จางไปแล้ว มนั หายไปแล้ว เชน่ อย่างเราพยายามจบั
อารมณ์พทุ โธ พทุ โธ ซง่ึ เป็นอารมณ์ธรรม มาอย่กู บั ใจของเราเน่ีย ถ้า
สติของเรามนั เลือนลางจาง มนั หายไปแล้ว พทุ โธ เนี่ยมนั หายไปแล้ว
เกิดความรัก ความชัง ความโกรธ ความเกลียด อารมณ์ใดที่มัน
รุนแรง เคยรุมรบเร้าในหวั ใจของเรา มนั ก็จะโผลข่ นึ ้ มา ก็คืออารมณ์ที่
เป็นลูกสมุนของเจ้าตณั หาน่ันแหละ ความอยากในหัวใจของเรา
อยากตามอานาจของสมุทยั ในเร่ืองของตณั หา แตถ่ ้าอยากทาตาม
อานาจของมรรค อนั นนั้ ท่านว่าเป็นมรรค ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
พระพุทธเจ้าท่านจึงสรุปมาท่ีนี่ เพราะพระองค์มาเรียนจบตรงนี ้
พระองค์จึงได้ช่ือว่า พระสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้ตรัสรู้เอง โดยชอบ
เพราะมาตรัสรู้ตรงนีแ้ หละ มาตรัสรู้ทกุ ข์ เห็นวา่ ร่างกายเป็นกองทกุ ข์
เป็นก้อนทกุ ข์ เห็นวา่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ขนั ธ์ทงั้ 4 เป็น

34

นามขนั ธ์ เป็นก้อนทุกข์ เป็นกองทุกข์ แตว่ ่ามนั เป็นผล สิ่งเหล่านีม้ นั
เป็นผล เหตขุ องมนั มาจากสมทุ ยั สมทุ ยั ก็คือ กามตณั หา ภวตณั หา
วิภวตณั หา เราสรุปลงแบบภาคปฏิบตั ิก็คือความอยาก อยากอย่าง
หน่ึง เก่ียวกบั เรื่องวตั ถกุ าม อยากอยา่ งหนึ่งเก่ียวกบั เรื่องความอยาก
มี อยากเป็น ไม่มีตวั ไม่มีตน มีแต่ความอยาก อยากเป็น อยากเป็น
ใหญ่อยา่ งนี ้อยากไมม่ ี ไมเ่ ป็น เชน่ อยา่ งเราเจบ็ เราปวดเนี่ย ร่างกาย
มนั จะต้องเจ็บปวดตามหลกั ธรรมชาติของมนั แต่กิเลสในหวั ใจของ
เรามนั ไม่อยาก พอเวลามนั เจ็บ มนั ปวด มนั ทกุ ข์เพิ่มเข้าไปอีกเลยห
ละ่ พยายามหนีให้พ้นจากความทกุ ข์อนั นี ้ เหมือนอยา่ งคนท่ีพยายาม
มดั คอตวั เอง เพ่ือจะหนีทกุ ข์ อนั นีเ้ขาเรียกว่าอยากไม่มี อยากไม่เป็น
อยากผลกั สิง่ ท่ีมีแล้วเป็นแล้ว ผลกั ให้ออกไปจากหวั อกของเรา ท่ีทา่ น
เรียกว่าวิภวตณั หา ร่างกายต้องแก่ ไม่อยากแก่ ร่างกายต้องเจ็บ ไม่
อยากเจ็บ ร่างกายต้องตาย ไมอ่ ยากตาย ไอ้ความไมอ่ ยากอนั นีแ้ หละ
ท่ีท่านเรียกว่าวิภวตณั หา วิภวตณั หา ภาคปฏิบตั ิเราไม่ต้องไปดูมนั
เราดูที่ความอยากอย่างเดียวเนี่ย อย่างอื่นมาโผล่เอง เรารู้จักเอง
เข้าใจเอง ว่าแตเ่ ราตามให้ทนั ความอยากในใจของเราก็แล้วกนั มนั
จบั ไม่ยากดอก เราคอยสงั เกตเวลาเราภาวนาพุทโธ พุทโธ ก็ดเู วลา
ความอยากมนั แทรกเข้ามา อยากไม่ให้ยงุ เจาะอย่างนี ้ คนั เหลือเกิน
เจาะซ้าย เจาะขวา อย่เู น่ีย อยากนอนเหลือเกินเนี่ย ดึกแล้ว อยาก

35

ข้าวเหลือเกิน เคยรับประทานข้าวตามใจชอบ หิวกาแฟอยา่ งนี ้ หวิ นา้
ปวดอจุ จาระปัสสาวะ ในแง่ของการปฏิบตั ิ ทา่ นให้เรามีสติรู้ทนั มีสติ
รู้ทนั ความอยาก เพราะความอยากมนั นาไปส่ภู พ ความอยากนาไปสู่
ความเกิด ความเกิด เกิดขึน้ จากอานาจของความอยาก ผ้ทู ่ีท่านไม่
อยาก ในเม่ือไม่อยากแล้วก็ไม่ยึด หมดตณั หา หมดอุปาทาน เมื่อ
หมดอปุ าทาน ก็หมดภพ หมดชาติ หมดภพ หมดที่เกิด หมดผ้ทู ่ีจะไป
เกิด เพราะหมดตวั หมดตน ไม่รู้จะเอาอะไรไปเกิด มันหมดตวั มนั
หมดตน หมดตวั หมดตนท่ีจะไปเกิด พ้นจากอานาจของความอยาก
ผู้ท่ีหมดอานาจของความอยากนั่นแหละคือ ผู้ท่ีไม่เกิด ผู้หมดเกิด
ความไม่เกิดทงั้ หลายทงั้ ปวงเหล่านนั้ นะ่ คือการชะล้างผ้รู ู้ ธาตรุ ู้ของ
เราจนเหลือแต่หน่ึงเดียวบริสุทธิ์ ไม่มีพิษสงแห่งความอยาก ไป
กระต้นุ เตือนผ้รู ู้ ผ้นู นั้ ให้หลงเคลมิ ้ ไปกบั สิง่ นนั้ ๆ ทา่ นจงึ วา่ จะเหลือแต่
ธาตรุ ู้ท่ีบริสุทธิ์ เหลือแต่จิตท่ีบริสทุ ธ์ิ หน่ึงเดียวไม่ได้เป็น 2 กับส่ิงใด
ไม่มีกิริยาอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา ไมม่ ีภพที่จะไปเกิด และไมม่ ีตวั ตนที่
จะไปเกิด ภาวะมีแตค่ วามอยาก ความอยากเฉยๆ ละได้ หมดแล้ว
ตราบใดที่เราละไม่ได้อตั ตามนั โผลข่ ึน้ อตั ตามนั โผลข่ นึ ้ มา ความถือ
เนือ้ ถือตวั มนั ก็โผล่ขนึ ้ มา มีเรา มีเขา มีนาย ก นาย ข มีสงู มีต่า มีโง่
มีฉลาด มีรวย มีจน มีสวย มีงาม มีขีร้ ิว้ ขีเ้ หร่ มีอะไรต่ออะไรสารพดั
มนั เทียบเคียงเข้ามา เพราะความวา่ ตวั ว่าตนมนั โผล่ขนึ ้ ในหวั ใจของ

36

เรา กิริยาสกั แตว่ า่ เป็นธรรมชาติ มีอยู่ ให้เราพิจารณา ให้เราเข้าถงึ อยู่
แตเ่ ราไม่เคยเข้าถึง เราไมเ่ คยพิจารณา โอกาสท่ีเราจะเข้าไปรู้จกั ตรง
นีเ้น่ียะ เข้าไปรู้จกั ได้ยาก เพราะเราไมเ่ คยพิจารณา มนั ก็สนกุ ดนิ ้ รน
แสดงลวดลายอยู่ในหัวใจของเรา เอาใจของเราเนี่ยไปทาตาม
บทบาทแล้วแตม่ นั จะเสกสรรปัน้ แตง่ ให้ เพราะฉะนนั้ ภพชาติของเรา
จึงไม่มีจดุ จบ ไมม่ ีที่จบ ผ้ทู ี่ทา่ นไม่เกิด ก็คือผ้หู มดภพชาติที่จะไปเกิด
หมดอานาจของความอยากท่ีจะไปเกิด ความอยากในหวั ใจของเรา
มนั หยดุ ได้ มนั ชะลอได้ มนั สงบได้จริง แคเ่ ราดาริสตใิ ห้จ่ออย่ใู นหวั ใจ
ของเรา แล้วก็ผ้รู ู้ของเราเน่ียะ ความอยากมนั ก็ดบั ลงตอนนนั้ อนั นี ้
ข้อทดสอบให้เรารู้ ให้เราเห็นเข้าใจง่ายๆ แคน่ ี ้พระพทุ ธเจ้าทา่ นจึงให้
พวกเราเจริญสติ ๆ ๆ สติเต็มแปล้ สติเต็มที่ ผู้รู้ของเราก็ตื่นเต็มที่
สัมปชัญญะของเราก็เต็มท่ี ต่ืนรู้ตัวท่ัวพร้ อมอยู่ในนัน้ อาศัย
คณุ สมบตั ขิ องใจอยา่ งเดียวหน่ึงเดียวน่ีแหละ สร้างสรรค์จนเป็นเหตุ
ให้เกิดปัญญา จนเกิดปัญญาญาณ สามารถเบื่อหนา่ ยคลายจางจาก
ภพชาตทิ ่ีเราเคยเก่ียวข้องผกู พนั มา จนสามารถปัดเป่ าชะล้างออกได้
หมด หมดแล้วผู้รู้ของเราหมดไหม ไม่หมด ผู้รู้ของเราเหลือผู้รู้หน่ึง
เดียวบริสุทธิ์ พ้นจากภาวะของความเป็นทกุ ข์ พ้นจากภาวะอนิจจงั
ทกุ ขงั อนตั ตา พ้นจากภาวะของความเกิด แก่ เจบ็ ตาย เราเอาตวั ยึด
ออกตวั เดยี ว เราเข้าถึงความสขุ ปรมงั สขุ งั ได้ เรามีความทกุ ข์กบั การ

37

ที่เราไปเกี่ยวข้องไปยึด ไปติดกับส่ิงเหล่านนั้ ทุกอย่าง ทุกเร่ือง เรา
พิจารณาดใู ห้ดี เรามีความทกุ ข์กบั สิ่งเหลา่ นี ้กบั ทกุ อยา่ ง กบั ทกุ เรื่อง
หวงั ว่าร่างกายอย่เู ย็นเป็นสุข สะดวกสบายปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บ
แต่ร่างกายมนั ก็เป็นไปตามอานาจของมนั เพราะมนั เป็นรังโรค มนั
ต้องเจ็บ ต้องไข้ ต้องป่ วย เจ็บมากเจ็บน้อย ป่ วยมาก ป่ วยน้อย อายุ
ยืนยาวบ้างสนั้ บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง มนั ไมเ่ ทา่ กนั ธรรมชาตมิ นั มีอยู่
อยา่ งนี ้มนั เป็นอย่อู ย่างนี ้ อาศยั ความไมอ่ ยาก มีสตกิ ากบั จดจ่อดแู ล
มีปัญญาพิจารณาเพียบพร้อม ทาให้เราหยุดจิตที่หลงเพลินไปตาม
อานาจของตณั หาได้ ทาให้จิตดวงนีเ้ ป็นธรรมขึน้ มา จิตดวงนีเ้ ป็น
ธรรมขึน้ มา สติก็กล้า ปัญญาก็กล้า สมาธิก็กล้า เห็นทุกข์เห็นโทษ
เห็นภยั ในวฏั สงสาร ความเพียรก็กล้า ความอด ความทนก็เป็นหนงึ่
สามารถบกุ งานทงั้ หลายทัง้ ปวงเหล่านีใ้ ห้ผ่านพ้นไปได้ พ้นทุกข์พ้น
โทษไปได้ ครูบาอาจารย์ของเรายคุ หลงั รุ่นหลงั ท่ีอยใู่ นยคุ ของพวกเรา
น่ี ทา่ นตงั้ อกตงั้ ใจบาเพ็ญ ให้มีภมู ิธรรมเหล่านี ้ มีมากมายที่พวกเรา
ทงั้ หลายได้ยินได้ฟัง เป็นประจกั ษ์พยานไม่ให้พวกเราลงั เลสงสยั แต่
จะถึงจิต ถึงใจเรา จะทาให้ เราเห็นโทษเห็นภัยกับทุกข์กับโทษ
ทัง้ หลายทัง้ ปวงเหล่านี ้ ตัง้ อกตัง้ ใจแสวงหาเหมือนอย่างที่ครูบา
อาจารย์ของพวกเราตงั้ ใจแสวงหานนั้ มนั จะมีมากน้อยสักเท่าไหร่
เพราะฉะนนั้ พวกเราก็เลยต้องแบก แล้วก็ต้องจมอย่ใู นกองทกุ ข์ อยู่

38

อย่างนีแ้ หละร่าไป หากมีความสุขอยู่บ้าง เพราะมันเพลิน ท่าน
เรียกวา่ สขุ เวทนา สขุ เวทนา คาว่า เวทนามนั เป็นตวั ทกุ ข์ แตเ่ ราเอา
ความเพลินไปว่ามนั เป็นความสขุ แท้ที่จริงพระพทุ ธเจ้าทา่ นทรงตรัส
วา่ น่ีทกุ ข์ ทกุ ข์ สขุ เวทนา ก็เป็นทกุ ข์ ทกุ ขเวทนาก็เป็นทกุ ข์ อทกุ ขมสขุ
ก็เวทนา จะวา่ สขุ ก็ไมใ่ ช่ จะว่าทกุ ข์ก็ไมใ่ ช่ ก็เป็นกองทกุ ข์ ทาไมถึงวา่
เป็นกองทกุ ข์ เพราะว่ามนั ไม่คงทน ส่ิงท่ีมนั ไม่คงทนคือสิ่งท่ีมนั ต้อง
เปลี่ยนไป ส่ิงที่มนั ต้องเปลี่ยนไปน่ันแหละ ท่านเรียกว่าทุกข์ ทุกขงั
ทกุ ขงั มนั เป็นความทกุ ข์ในหลกั อริยสจั ทงั้ 4 ท่านเรียกว่าทกุ ขงั ทกุ ข์
ที่มนั ไม่ทนอย่ใู นสภาพเดิม แต่พวกเรารู้จกั ทุกข์ เช่น อย่างทกุ ข์ปวด
หวั ตวั ร้อน เป็นไข้เป็นหนาว เจ็บไข้ได้ป่ วย เป็นน้นู เป็นนี ้ ถูกทบุ ถกู ตี
เราเห็นความเจ็บป่ วย เห็นความเจ็บปวดเหล่านีแ้ หละเป็นกองทกุ ข์
แท้ที่จริงความเปลี่ยนแปลง ความไมค่ งที่ พระพทุ ธเจ้าท่านทรงตรัส
วา่ นี่แหละ่ ทกุ ขงั ทกุ ขงั ความไมค่ งที่เปล่ียนไปเป็นอนิจจงั มนั อย่ใู น
ฉากเดยี วกนั อยใู่ นหน้าเดียวกนั เหน็ อนิจจงั เทา่ กบั เห็นทกุ ขงั เห็นทกุ
ขงั เท่ากบั เห็นอนิจจงั เพราะมนั มีเหตุ มีปัจจยั ส่งช่วงต่อแก่กันและ
กนั ภาวะทงั้ สองอยา่ งไมม่ ีใครสามารถดดั แปลงได้ พระพทุ ธเจ้าทา่ น
จงึ ทรงตรัสวา่ อนตั ตา อนตั ตา ไม่ใชต่ น ถ้าตนเราต้องดดั แปลงได้ เรา
ฟังดพู ระพุทธเจ้าท่านวินิจฉัยท่านบอกว่าไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตน ถ้าตน
เราต้องดดั แปลงได้ เราต้องบอกได้ เราต้องสอนได้ เราไม่ให้มนั แก่ได้

39

ไหมร่างกาย ให้มนั อ้วนพีขาวผอ่ งอยอู่ ยา่ งนีต้ ลอดไปได้ไหม ไมไ่ ด้เลย
เราดไู ม่ยากดอก เราส่องกระจกทกุ วัน เราเห็นเลยหล่ะ ช่วงไหนเรา
ตบเราแตง่ สวยเหลือเกิน งามเหลือเกิน เพลิน น่าเพลินใจเหลือเกิน
ติดอกติดใจ เราดูความเพลินใจของเราน่ะ มันมีอะไรถึงใจเราไหม
ความทกุ ข์ความโทษทงั้ หลายทงั้ ปวงเหลา่ นนั้ ไม่เคย ไมเ่ คยมีอะไรทา
ให้เราถึงอกถึงใจ มีแต่เพลินกับเพลิน เพลิน กับเพลิน มันเป็นไป
ตามใจหวังเราสักอย่างไหม ไม่เป็ นไปตามใจหวังเราดอก
เพราะฉะนนั้ ท่านจึงว่าอนตั ตา อนตั ตาบงั คบั บญั ชาไม่ได้ อนตั ตาก็
คือไม่ใช่ตน ไมใ่ ช่ตน คาวา่ ไม่ใช่ตน ความรู้สกึ วา่ เป็นตวั เป็นตนมนั
มีอยู่ เรากาหนดจดจ่อจ้องมองดูสิ่งเหล่านนั้ สงบระงับดบั ละลาย
หายไป มีอย่มู ยั้ มีอยู่ กาหนดจดจ่อพิจารณาดู มนั เห็น มนั มีอยู่ แต่
ต้องสามารถทาจนชานิชานาญ จนคล่องแคล่ว จนมีผลตกผลึก ทา
ให้ส่งิ เหลา่ นนั้ มีอยจู่ ริง เป็นอยจู่ ริง พ้นจากภาวะความเสกสรรปัน้ แตง่
ภาวะเหล่านนั้ สามารถมีได้เป็นได้ การที่จะปล่อยจากอตั ตาตวั ตน
เหลา่ นนั้ จงึ สามารถจะพ้นไปได้และก็ปลอ่ ยไปได้เป็นภาวะของความ
ไม่มีตวั ไม่มีตนเป็นอนัตตา ไม่เอาตวั ไม่มีตวั ไปรองรับอะไรทงั้ สิน้
ร่างกายเจ็บ ร่างกายก็ไม่ใช่ตน แต่พวกเราเห็นร่างกายเนี่ยเป็นตน
เป็นก้อนเป็นแทง่ นี่แหละเป็นตน เป็นตนที่ไหน พระพทุ ธเจ้าทา่ นบอก
โอ๊ย ดิน นา้ ลม ไฟ มีตัวตนที่ไหน ก็นี่แหละมีหัว มีขา มีแขน มี

40

ลาตัวเนี่ย อ้วนพี ขาวผ่องอยู่ นี่แหละตน นี่แหละตน เรายังไม่ได้
ปฏิบตั ธิ รรม เรายงั ไม่ได้แยกแยะ เราก็ยดึ อย่รู ่าไป น่ีแหละตน เม่ือมี
ตนขึน้ มา ก็มีของ ของตน มนั ก็มีเพ่ือตน ทาน้นู ก็เพื่อตน ทานีก้ ็เพ่ือ
ตน การเสาะแสวงหาทรัพย์สมบตั ิก็เพ่ือตนเ พื่อตน เพ่ือลูกของตน
เพ่ือผวั ของตน เพ่ือเมียของตน เพื่อพ่อเพ่ือแม่ เพื่อญาติของตน เพ่ือ
พวกพ้องของตน เอาอะไรมาจบหล่ะ มันไม่มีจุดจบ เพราะอะไร
เพราะมันมีตน ถ้ าไม่มีตนแล้ว จะเอาอะไรไปใส่เหมือนเราไม่มี
ภาชนะ ไม่รู้เราจะเก็บเอาอะไรใส่อะไรไป ไม่มีอะไรใส่ หมดภาชนะ
หมดความถือเป็นตัวเป็นตน หมดภาชนะเก็บ เก็บบาปเก็บกรรม
บาปกรรมไม่มีท่ีเก็บ เพราะมันไม่มีผู้ท่ีจะเก็บ ไม่มีผู้ท่ีจะให้
ความสาคญั มนั่ หมาย พ้นจากภาวะความเป็นตวั เป็นตน แคเ่ ราทาใจ
ได้แค่นี ้เราก็มีความสุข แค่เรามาเจริญอนตั ตสญั ญา อนตั ตสญั ญา
แคน่ ีเ้ราก็มีความสขุ อนตั ตสญั ญา สญั ญาคือความจาได้หมายรู้ วา่
เราไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ภาวะท่ีแท้จริงยังไม่ปรากฏในหัวใจของเรา
พระพุทธเจ้าท่านให้เจริญอนตั ตสัญญา อนตั ตสัญญา มันไม่ใช่ตวั
มนั ไม่ใชต่ น ไมใ่ ชท่ ่านหลอกให้เราทาเฉยๆ เราจ่อไปคาว่า “ตน” มนั
ละลายไปจริงๆ

-----------------------------------------------------------

41

เหตเุ กิดท่มี หาเจดีย์พุทธคยา
ใต้ร่มพระตรีมหาโพธ์ิ ประวตั ิความป็นมาของพระศรีมหาโพธ์ิ ต้นที่
เห็นนีเ้ ป็นต้นท่ี 4 มีอายุได้ 5 ปี โดยแตกหน่อมาจากต้นที่ 3 ที่มีอายุ
1,258 ปี และหมดอายุขยั ไปตามรรมชาติ สาหรับต้นที่ 1 และ 2 นนั้
ถูกทาลายโค่นลงโดยคนไร้ ศรัทธาเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อพระเจ้ าอโศก
มหาราช ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์จะเสด็จมา
นมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่เป็นประจา จนเป็นเหตุให้พระนาง
ตษิ ยรักษิต หรือเรียกอีกพระนามหนงึ่ วา่ มหสิ นุ ทรี เกิดจิตริษยา ลอบ
ให้คนไปทาลายต้นโพธ์ิเสีย อายตุ ้นโพธิ์ขณะนนั้ มีอายุ 352 ปี พระเจ้
อโศกมหาราชทอดพระเนตรเห็นต้นโพธ์ิล้มลง ทรงตกพระทยั ถึงกับ
วิสัญญีภาพล้มลงสลบ ณ ท่ีนัน้ เหล่าเสนาอามาตย์ใช้นา้ ลูบพระ
พกั ตร์ เม่ือทรงฟื น้ คืนสติ พระองค์ได้โปรดให้สร้ างกาแพงอิฐล้อมราก
โพธิ์นนั้ ทนั ที และโปรดให้นานา้ นมโคราดรากโพธ์ิให้ช่มุ เพื่อให้แตก

42

หนอ่ ออกมาใหม่ ทรงทอดพระองค์ลงกบั พืน้ ตงั้ สตั ยาธิษฐานวา่ จะไม่

ขอลกุ ขนึ ้ หากมิได้ห็นหนอ่ โพธิ์แตกงอกออกมา ในไมช่ าหนอ่ โพธิ์ก็ได้

แตกงอกออกจากรากเดิม เป็นหน่อที่ 2 จวบกระทงั่ ถึง พ.ศ. 1,100

พระเจ้าศศางกา กษัตริย์มุสลิมจากเบงกอล ไม่พอใจในสญั ลกั ษณ์

ของพทุ ธศาสนา ได้สง่ั เผาทาลายวดั วาอารามรวมทงั้ พระศรีมหาโพธิ์

หน่อท่ี 2 โดยขุดรากขึน้ ทิง้ ใช้ไฟเผาราดด้วยนา้ อ้อย ด้วยหวงั ว่าจะ

ไม่ให้เหลือพนั ธ์ุสืบต่ออีก บงั เอิญว่าขดุ ปลายรากแก้วทิง้ ไม่หมด ต้น

พระศรี มหาโพธ์จึงไม่สูญสิน้ หลังจากนัน้ พระเจ้ าศศางกาก็

สนิ ้ พระชนม์ อยา่ งอเนจอนาถ พระเจ้าปรู ณารมนั กษัตริย์องคส์ ดุ ท้าย

ในราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเศร้ าโศกพระทัยยิ่ง เม่ือ

ทราบว่าพระเจ้าศศางกาทาลายต้นพระศรีมหาโพธ์ิ จึงรีบทาการ

บารุงรากท่ีเหลือ โดยใช้นา้ นมโคจากแม่โค 1,000 ตวั รดให้ช่มุ ในไม่

ช้าหนอ่ โพธ์ิก็แตกงอกงามออกจากรากเดิม และมีอายถุ ึง 1,276 ปี ก็

หมดอายขุ ยั โคน่ ล้มเอง หนอ่ ท่ี 4 นนั้ ทา่ น Sir Kunningham ได้ค้นพบ

หนอ่ โพธ์ิ 2 หนอ่ ขณะทาการบรู ณะสถานที่ โดยหน่อพี่สงู 6 นิว้ ปลกู

ไว้ที่เดมิ ส่วนหนอ่ น้องปลกู ไว้บริเวณใกล้เคียง ปัจจบุ นั โตกวา่ เพราะ

ไมถ่ กู รบกวน ชาวพทุ ธล้วนเชื่อกนั วา่ ด้วยพทุ ธบารมี พระศรีมหาโพธ์ิ

จะยืนดารงอยู่จนกระท่ังสิน้ อายุของพุทธศาสนา 5,000 ปี ใครจะ

ทาลายให้ยอ่ ยยบั ไมไ่ ด้ นนั้ แลคือพทุ ธบารมี

โพธิพฤกษ์ แผก่ ้านกงึ่ นิ่งสงบ อยบู่ นภพ ปฐพี แผน่ นหี ้ นอ

แม้ลว่ งกาล ผา่ นเวลา มานานพอ กระนนั้ ก็ ยงั หยดั ยืน อยา่ งมนั่ คง

43

โพธิพฤกษ์ แผส่ าขา ตราตรึงจิต ชวนเชิญเพลนิ พนิ ิจนา่ พศิ วง

สมั ผสั ตา ต้องถึงใจ ในเจตจง ลดลมุ่ หลง ละอาลา เลกิ อาลยั

แผร่ ่มเงา เข้าไป ภายในจิต ให้ร่มเย็น เป็นนจิ จิตผอ่ งใส

พทุ ธคณุ พทุ ธธรรม เหน่ยี วนาใจ ดาเนินไป ตามรอยบาท พระศาสดา

โพธิพฤกษ์ นมี ้ คี า่ มหาศาล ได้กราบกราน น้อมใจนบ จบหรรษา

เกิดเคารพ เลอื่ มใส ใจศรัทธา ในพทุ ธ บารมี ไมเ่ สอ่ื มคลาย ฯ

พระมหาอเุ ทน ปัญญาปริทตั ต์

ญาณ (ยานะ) แปลว่า ปรีชาหย่ังรู้หรือกาหนดรู้ท่ีเกิดจากอานาจ

สมาธิ, ความสามารถหยงั่ รู้เป็นพิศษ ความหมายดียวกันกับ วิชชา

หมายถึง ความรู้ขัน้ สูงเหนือความรู้ท่ีเกิดจากประสาทสัมผัสและ

เหตผุ ลทางตรรกะ แบง่ ออกเป็น วชิ ชา ๓ และ วิชชา ๘

วิชชา ๓ ได้แก่ บุพพนิวสานสุ สติญาณ อญาณเป็นเหตใุ ห้ระลึกชาติ

ของตนเอง ได้ จตุ ปู ปาตญาณ ญาณเป็นเหตใุ ห้กาหนดรู้จตุ ิและอุบตั ิ

ของสตั ว์ทงั้ หลายได้

อาสวกั ขยญาณ ญาณเป็นเหตใุ ห้รู้แจ้งธรรมท่ีสิน้ ไปแห่งอาสวกิเลส

ทงั้ ปวง

วิชชา๘ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ คือ ญาณอนั นบั เข้าในวิปัสสนา เป็น

ความร้ ู ที่พิจารณาเห็นสรรพส่ิ งตามความป็ นจริ งว่าไม่ท่ียงอนิจจัง

ผนั แปรแตกสลาย (ทุกขัง) ไม่ใช่ตวั ตนท่ีเท่ียงแท้ (อนัตตา) มโนมยิ

ทธิ คือ ฤทธ์ิทางใจ ป็นความรู้ความสามารถ เนรมิตกายทิพย์ขึน้ มา

จากกายเนือ้ ได้ อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ ทิพโสต หูทิพย์ เจโต

ปริยญาณ รู้จกั กาหนดใจผ้อู ื่น บุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ คอื ญาณ

44

เป็นเหตุให้ระลึกชาติของตนเองได้ ทิพจักขุ มีตาทิพย์ และ อาส
วักขยญาณ ญาณเป็นเหตใุ ห้รู้แจ้งธรรมที่สิน้ ไปแห่งอาสวกิเลสทงั้
ปวง
(ญาณ ความหมายต่าง จาก ฌาน เพ ราะญาณหมา ยถึ ง
ความสามารถหยงั่ รู้เป็นพิเศษ ส่วน ฌาน คือ ภาวะที่ใจสงบน่ิงแนว่
แนเ่ น่ืองจากการเพง่ อารมณ์)
ในคืนวนั ตรัสรู้นนั้ พระพทุ รองคไ์ ด้อาศยั ควงต้นโพธิ์แหง่ นี ้ตรัสรู้ ธรรม
สาคญั ๓ ประการ นน่ั คือ วชิ ชา ๓ ตามลาดบั ตงั้ แต่ ปฐมยาม มชั ฌิม
ยาม และปัจฉิมยาม หลงั จากนนั้ แล้ว วชิ ชา ๓ และวิชชา ๘ ตา่ งพร่ัง
พรู เข้ามาในข่ายพระญาณ สามารถหยัง่ รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง (โลก
วิทรู ) เม่ือพระพทุ ธองค์ทรงตรัสรู้อริยสจั ธรรมแล้ว พระองค์ทรงราพงึ
ถึงพระธรรมนนั้ แล้วโน้มพระทัยไปในทางที่จะไม่ทรงส่ังสอนพระ
ธรรมท่ีรู้ตามได้โดยยาก คือ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และ
นิพพาน จนกระทง่ั พระพรหมนาม สหัมบดีพรหม ได้มาอาราธนา
นิมนต์ว่า ยังมีสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อย หวงั ว่าสตั ว์เหล่านนั้ คงพอ
เข้าใจในพระสทั ธรรมได้บ้าง พระพทุ ธองค์จึงทรงตดั สินใจเสด็จออก
สง่ั สอน
หลงั จากพระพทุ ธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้เสวยวิมตุ ตสิ ขุ คือ
สขุ จากการหลดุ พ้นจากอาสวกิเลส มีดงั นี ้(สถานท่ี .-๔ เป็นสถานท่ี
จริง)

45

๑. รัตนบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิฯ สปั ดาห์ที่ ๑ ทรงพิจารณา
นวานปุ พุ พพวิหาร คือสมาบตั ิ และทรงพิจารณาปฏิจจสมปุ บาทโดย
อนโุ ลมและปฏิโลม
๒. อนิมิสเจดีย์ สปั ดาห์ที่ ๒ ตงั้ อย่ทู างทิศตอ.เฉียงหนือ ทรงเพ่งต้น
พระศรีมหาโพธิ์ที่ทรงตรัสรู้โดยตลอด ๗ วนั ไม่กระพริบพระเนตรเลย
เป็นการระลกึ ถึงคณุ ของพระศรีมหาโพธ์ิ
๓. รัตนจงกรมเจดยี ์ สปั ดาห์ที่ ๓ เสดจ็ จงกรมระหวา่ ง ๑-๒
๔. รัตนฆรเจดีย์ สปั ดาห์ที่ ๔ หรือเรือนแก้วท่ีเทวดาเนรมิตถวาย
ทรงพจิ ารณาพระธรรมที่ตรัสรู้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ เมื่อพิจารณา
มาถึงพระอภิธรรมมหาปัฏฐาน "พระฉัพพรรณรังสี" ก็เปล่งประกาย
ขนึ ้
๕. อชปาลนิโครธ สปั ดาห์ที่ ๕ คือต้นไทรของคนลีย้ งแพะ เป็นท่ีทรง
ขบั ไลธ่ ิดามารทงั้ ๓
๖. มุจจลนิ ท์บัลลังก์ สปั ดาห์ท่ี ๖ มจุ จลนิ ท์=ไม้จิก
๗. ราชายตนะ สปั ดาห์ท่ี ๗

- ท้าวสกั กะได้นาผลสมอมาถวาย
- พระองค์ได้พบกบั พานิช 2 พ่ีน้อง คือตปสุ สะและภลั ลกึ ะ ที่
ได้น้อมถวายข้าวสตั ตกุ ้อน สตั ตผุ ง แล้วแสดงตนเป็นอบุ าสกคแู่ รก
ของพระพทุ ธศาสนา
แตเ่ รายงั เรียกเพียงวา่ "ทเววาจกิ ะอุบาสก" เน่ืองจากยงั มีสรณะ
เพียง ๒ ในขณะนนั้ พระพทุ ธองคย์ งั ทรงประทานพระเกศา ๘ เส้นแก่

46

พอ่ ค้าชาวพมา่ ด้วย กล่าวกนั วา่ เขาได้นาไปประดษิ ฐานท่ีเจดยี ์ชเวดา
กอง

-เป็นสถานที่ท้าวจตโุ ลกบาลน้อมถวายบาตร

มูลนิธิดวงแก้วในพระสังฆราชูปถัมภ์
www.duangkaew.org

47

48


Click to View FlipBook Version