ระบบบันทึกการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก จัดทำโดย นางสาวพรธิดา คำวาลิ นางสาวสุทธิมล กิ่งแสง โครงงานเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาโครงงาน ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ปีการศึกษา 2566
ระบบบันทึกการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก จัดทำโดย นางสาวพรธิดา คำวาลิ รหัสประจำตัวนักศึกษา 66302040003 นางสาวสุทธิมล กิ่งแสง รหัสประจำตัวนักศึกษา 66302040006 นักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 ครูที่ปรึกษาโครงงาน นายณรงค์ฤทธิ์ วงษ์โพธิ์ นางสาวอภิชา อินทรศร ครูประจำรายวิชา นางศิริณภา กุลสุวรรณ โครงงานเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาโครงงาน ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ปีการศึกษา 2566
ก หัวข้อโครงงาน โครงงานระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ผู้เขียน 1. นางสาวพรธิดา คำวาลิ รหัสประจำตัวนักศึกษา 66302040003 2. นางสาวสุทธิมล กิ่งแสง รหัสประจำตัวนักศึกษา 66302040006 ครูที่ปรึกษา นายณรงค์ฤทธิ์ วงษ์โพธิ์ นางสาวอภิชา อินทรศร หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภท บริหารธุรกิจ สาขาวิชา เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล สาขางาน ธุรกิจดิจิทัล ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ โครงงานระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาลวิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อจัดเก็บข้อมูลในการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 2) เพื่ออำนวย ความสะดวกต่อนักเรียน นักศึกษา อาจารย์และบุคลากร ครูสาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจ จำนวน 139 คน ซึ่งขนาดกลุ่มตัวอย่างได้มาจากตารางขนาดของกลุ่มตัวอย่างของเครซี่และมอร์แกน (ที่มา : Robert V. Krejcie and Earyle W. Morgan. 1970 อ้างใน ธีรวุฒิ เอกะกุล, 2543) การวิเคราะห์ข้อมูลโดย โปรแกรม SPSS สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลมีดังนี้ ประสิทธิภาพระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก และความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยา บาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก จากการจัดทำระบบบันทึกการเข้า ใช้ห้องพยา บา ล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก พิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยนสูงสุดคือ ข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน อยู่ในระดับมา กที่สุด รองลงมาคือ ความรวดเร็วในการตอบสนองในระบบ อยู่ใน ระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ความรวดเร็วในการตอบสนองในระบบอยู่ในระดับมากรองลงมาคือ มีความเต็มใจและความพร้อมในการให้บริการของเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับมากและการทำงานของ
ข บทคัดย่อ(ต่อ) ระบบสะดวกต่อผู้ใช้อยู่ในระดับมากตามลำดับ ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ระบบมีควา ม น่าเข้าชมและน่าเข้าใช้อยู่ในระดับมาก แนวทางในการพัฒนาระบบข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็กมี ดังนี้ 1) อยากให้ปรับปรุงสีสันของระบบ 2) อยากให้ระบบคงที่กว่านี้ 3) ระบบยังเข้าใช้งา นยากอยา กให้ ปรับปรุง 4) ระบบติดขัดบ่อยเวลาใช้งาน 5) อยากให้เพิ่มข้อมูลต่างๆ ในระบบ
ค กิตติกรรมประกาศ โครงงานระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคเพื่อจัดเก็บข้อมูลในการเข้า ใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก คณะผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณ นายประเสริฐ เพ็ชร์สิงห์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ที่อนุมัติใบเสนอโครงงาน นายจำรูญ ก้านลำใย หัวหน้างาน พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน , นายศักดา ขำเขียว หัวหน้าสาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล , นาย ณรงค์ฤทธิ์ วงษ์โพธิ์ ครูประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล , นางศิริณภา กุลสุวรรณ ครูที่ปรึกษา โครงงาน/ครูประจำรายวิชา และนางสาวอภิชญา อินทรศร เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลที่คอยช่วยแนะนำให้ คำปรึกษาและสนับสนุนมาตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้นการจัดทำโครงงานในครั้งนี้ นอกจากนี้ การจัดทำโครงงานจะสำเร็จไม่ได้เลยหากขาดผู้ให้ความร่วมมือในการดำเนินการ และที่ตอบแบบสอบถามคือ นักเรียน นักศึกษา ครูและบุคคลากร คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเพื่อจัดเก็บข้อมูลในการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ในครั้งนี้จะเกิดคุณค่าแก่การพัฒนาในโอกาสอื่นๆ ต่อไป คณะผู้จัดทำ
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก บทคัดย่อ (ต่อ) ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญ (ต่อ) จ สารบัญ (ต่อ) ฉ สารบัญ (ต่อ) ช สารบัญตาราง ซ สารบัญรูปภาพ ฌ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์ 1 1.3 สมมุติฐานในการศึกษา 1 1.4 ขอบเขตการศึกษา 1 1.5 ประโยชน์ที่ได้รับ 2 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 2 บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แอปพลิเคชัน 4 2.2 ระบบบันทึก 5 2.3 ห้องพายาบาล 6 2.4 ยารักษาโรค 6 2.5 ผู้ป่วย 27 2.6 นักเรียน นักศึกษา 27 2.7 หัวหน้าสวัสดิการ นักเรียน นักศึกษา 27 2.8 เจ้าหน้าที่งานสวัสดิการ นักเรียน นักศึกษา 28 2.9 วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 28 2.10 Microsoft office Word 2019 29 2.11 SPSS 22 2.12 Canva 30 30
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 2.13 Google App Script 31 2.14 Google Form 31 2.15 Google Sheet 32 2.16 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 33 บทที่ 3 การพัฒนาระบบ 3.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน 40 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 42 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน 42 3.4 การสร้างเครื่องมือ 44 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 44 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 45 บทที่ 4 ผลการพัฒนาระบบ 4.1 ผลการจัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 46 4.2 ผลการหาประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 50 4.3 ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 53 บทที่ 5 สรุปผลการพัฒนาระบบ 5.1 สรุปผลการจัดทำระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 54 5.2 สรุปผลการหาประสิทธิภาพ และความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบบันทึกข้อมูล การเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 54 5.3 อภิปรายผล 55 5.4 สรุปข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 56 บรรณานุกรม 57
ฉ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ภาคผนวก ก ใบเสนอโครงงาน 59 ข ตัวอย่างแบบสอบถาม 70 ค ผลการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ 81 จ คู่มือการใช้งานระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 85 ฉ ภาพประกอบการดำเนินการ 92 ช ใบรับรองการใช้งานโครงาน 97 ซ ประวัติผู้วิจัย 101 คณะกรรมการผู้พิจารณาโครงงานผู้ทรงคุณวุฒิ 104
ช สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ 3.1 แสดงตัวอย่างแบบสอบถามความพึงพอใจจัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ตารางที่ 4.1 แสดงจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามเพศ 43 50 ตารางที่ 4.2 แสดงจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามอายุ 50 ตารางที่ 4.3 แสดงจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามสถานภาพ ตารางที่ 4.4 แสดงจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามระดับการศึกษา ตารางที่ 4.5 แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานประสิทธิภาพและความพึงพอใจ 51 51 52
ซ สารบัญรูปภาพ รูปภาพ หน้า รูปภาพที่ 2.1 ยาแก้แพ้ 7 รูปภาพที่ 2.2 ยาแก้ผื่นคัน 8 รูปภาพที่ 2.3 ยาแก้ปวด 9 รูปภาพที่ 2.4 ยาแก้อักเสบ 13 รูปภาพที่ 2.5 ยาฆ่าเชื้อ 14 รูปภาพที่ 2.6 ยาแก้ไอ 15 รูปภาพที่ 2.7 ยาแก้ท้องเสีย 19 รูปภาพที่ 2.8 ยาดมหรือยาแก้วิงเวียน รูปภาพที่ 2.9 ยาคลายกล้ามเนื้อ 21 23 รูปภาพที่ 2.10 แอลกอฮอล์ล้างแผล รูปภาพที่ 2.11 เบตาดีน 24 25 รูปภาพที่ 2.12 ยาแดง รูปภาพที่ 2.13 ชุดปฐมพยาบาล 25 26 รูปภาพที่ 3.1 การออกแบบหน้าแรก รูปภาพที่ 3.2 การออกกแบบหน้า Login 40 42 รูปภาพที่ 3.3 การออกแบบหน้าข้อมูลการเข้าใช้ รูปภาพที่ 4.1 แสดงหน้าแรกระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 42 46 รูปภาพที่ 4.2 แสดงหน้าการ login การเข้าใช้ระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ 4.3 แสดงหน้าการ login การเข้าใช้ระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 47 47 รูปภาพที่ 4.4 แสดงการกรอกข้อมูลประจำตัวนักเรียน นักศึกษา รูปภาพที่ 4.5 แสดงหน้าการกรอกข้อมูลอาการและยาที่ได้รับ 48 48 รูปภาพที่ 4.6 แสดงหน้าการกรอกข้อมูลเจ้าหน้าที่ที่จ่ายยาและดูแล รูปภาพที่ 4.7 แสดงหน้าการดูข้อมูลผู้เข้าใช้ห้องพยาบาลในระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 49 49 รูปภาพที่ จ.1 หน้าการค้นหา Google Sheet เลือกตามลูกศรสีแดง รูปภาพที่ จ.2 หน้าล็อกอินเข้าสู่ใช้งาน Google Sheet 87 87
ฌ สารบัญรูปภาพ (ต่อ) รูปภาพ หน้า รูปภาพที่ จ.3 เปิดไฟล์ที่หน้าแรกของ Google Sheet รูปภาพที่ จ.4 ไฟล์ข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 88 88 รูปภาพที่ จ.5 แสดงข้อมูลของผู้ที่เข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ จ.8 QR-Code ของระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ จ.9 หน้าล็อกอินเข้าสู่ระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 89 90 90 รูปภาพที่ จ.10 หน้า Google form กรอกข้อมูลการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ จ.11 หน้าส่งข้อมูลของ Google form 91 91 รูปภาพที่ ฉ.1 การทำรูปเล่มโครงงาน รูปภาพที่ ฉ.2 การทำจัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็กด้วย google form 93 93 รูปภาพที่ ฉ.3 การทำระบบการเข้าใช้โดย App Script รูปภาพที่ ฉ.4 การทำการเก็บข้อมูลโดย Google Sheet 94 94 รูปภาพที่ ฉ.5 ภาพประกอบผู้ใช้จัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ ฉ.6 ภาพประกอบผู้ใช้จัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 95 95 รูปภาพที่ ฉ.7 ภาพประกอบผู้ใช้จัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ ฉ.8 ภาพประกอบผู้ใช้จัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 96 96 รูปภาพที่ ช.1 ภาพประกอบผู้ใช้จัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก รูปภาพที่ ช.2 ภาพประกอบผู้ใช้จัดระบบบันทึกข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 100 100
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ ปัจจุบันเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ทั้งการติดต่อสื่อสาร การทำธุรกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงการค้นหาบันทึกหรือรวบรวมข้อมูล ด้วยปัจจุบันผู้ใช้งานเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตมีเพิ่มขึ้นอย่างหลา กหลายด้วยเหตุผล หลักๆ คือความสะดวกสบายและความรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล การบันทึกข้อมูลการส่งข้อมูล และการเรียกใช้ข้อมูล ทั้งในสถานที่ประกอบการ องค์กรต่างๆ และสถานศึกษาก็ต่างใช้เทคโนโลยี และอินเตอร์เน็ต ดังนั้นผู้จัดทำจึงดำเนินการจัดทำโครงงาน ระบบบันทึกการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก เพื่ออำนวยความสะดวกต่อนักเรียน นักศึกษา อาจารย์และบุคลากร ของวิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก สะดวกและง่ายต่อการตรวจสอบ 1.2 วัตถุประสงค์ 1.2.1 เพื่อจัดเก็บข้อมูลในการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 1.2.2 เพื่ออำนวยความสะดวกต่อนักเรียน นักศึกษา อาจารย์และบุคลากร 1.2.3 เพื่อพัฒนาระบบการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ถูกต้อง 1.3 สมมุติฐานในการศึกษา การสร้างระบบการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็กเพื่อใช้อำนวยความสะดวก ต่อการเข้าใช้งานและเก็บรวบรวมข้อมูลการเข้าใช้ได้อย่างครบถ้วน สะดวกและง่ายต่อการตรวจสอบ 1.4 ขอบเขตการศึกษา 1.4.1 ด้านประชากรกลุ่มตัวอย่าง ประชากร : ครูสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จำนวน 3 คน นักเรียน นักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จำนวน 136 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 139 คน กลุ่มตัวอย่าง : ครู นักเรียน นักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จำนวน 102 คน ซึ่งขนาดกลุ่มตัวอย่างได้มาจากตารางขนาดของกลุ่มตัวอย่างของเครซี่และมอร์แกน (ที่มา : Robert V. Krejcie and Earyle W. Morgan. 1970 อ้างใน ธีรวุฒิ เอกะกุล, 2543)
2 1.4.2 ด้านสถานที่ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี18180 1.4.3 ด้านระยะเวลา วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ถึง วันที่ 2 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2567 1.4.4 ขอบเขตการดำเนินงาน 1. ผู้ดูแลระบบ ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการระบบการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ดูแลระบบสามารถจัดระบบ ดังนี้ - สามารถเพิ่ม-ลบและแก้ไขข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาลวิทยาลัย เทคนิคมวกเหล็ก - สามารถเรียกดูข้อมูลผู้เข้าใช้ 2. ผู้ใช้บริการทั่วไปสามารถเข้าชมข้อมูลภายในระบบได้ดังนี้ - ระบบบันทึกการขอเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 นักเรียน นักศึกษามีระบบการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 1.5.2 สามารถอำนวยความสะดวกในการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 1.5.3 สามารถอำนวยความสะดวกต่อการบันทึกจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลการเข้าใช้ห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.6.1 ระบบ หมายถึง เป็นกลุ่มขององค์ประกอบต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์ ในสิ่งเดียวกัน ระบบอาจประกอบด้วยบุคลากร เครื่องมือ วัสดุ วิธีการ จัดการซึ่งทั้งหมดนี้ จะต้องมีระบบในการจัดการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เดียวกัน คำว่า “ระบบ” เป็นคำที่เกี่ยวข้อง กับการทำงานและหน่วยงานและนิยมใช้กันมาก เช่น ระบบธุรกิจ (BusinessSystem) ระบบสารสนเทศ (Management Information System) ระบบการเรียนการสอน (Instructional System) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network System) 1.6.2 ห้องพยาบาล หมายถึง สถานที่สำหรับปฐมพยาบาลเบื้องต้นหรือรักษาอาการเจ็บป่วย และการบาดเจ็บมีทังการทำแผลรวมไปถึงการจ่ายยาบรรเทาอาการเจ็บป่วย 1.6.3 วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก หมายถึง สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ อาชีวศึกษา เดิมใช้ชื่อวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี แห่งที่ 2 จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 18 มิถุนายน 2540 ดำเนินการก่อสร้างเมื่อ วันที่ 9 กันยายน 2540 บนพื้นที่ 64 ไร่กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 8 พฤษภาคม 2541และเริ่มเปิดทำการเรียนการสอน เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2541 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการ
3 การศึกษาแก่ชุมชน ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองได้มีโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น ปี พ.ศ.2542 ได้รับงบประมาณจัดสร้างอาคารอำนวยการ 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง อาคารปฏิบัติการ 4 ชั้น จำนวน 1 หลังและอาคารฝึกงานจำนวน 1 หลังแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2542 วิทยาลัย จัดกา รเรียนกา รสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ปี พ.ศ. 2543 สำ นักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้มีคำสั่งเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี แห่งที่ 2 เป็น วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 66 หมู่ 9 ถนนมิตรภาพ – น้ำตกเจ็ดสาวน้อย ตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี 18180 1.6.4 นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนในโรงเรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษาในระดับประกา ศนียบัตรวิชาชีพ (บางครั้งอาจใช้ในความหมายกว้าง หมายถึง ผู้ศึกษาในสถานศึกษาทั้งหมดก็ได้) 1.6.5 นักศึกษา หมายถึง ผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาหรืออา ชีวศึกษา ในร ะดั บ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (นิสิตเป็นคำที่ใช้เฉพาะในสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งเท่านั้น)
4 บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การจัดทำระบบบันทึกการเข้าใช้งานห้องพยาบาล วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็กครั้งนี้ผู้จัดทำ ได้ ทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูลการสร้างระบบขึ้นมา คณะผู้จัดทำได้จัดทำระบบบันทึกการเข้าใช้งานห้อง พยาบาล วิทยลัยเทคนิคมวกเหล็กและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ ตามหัวข้อ ซึ่งจำแนกดังต่อไปนี้ 2.1 แอพพลิเคชัน 2.2 ระบบบันทึก 2.3 ห้องพยาบาล 2.4 ยารักษาโรค 2.5 ผู้ป่วย 2.6 นักเรียน นักศึกษา 2.7 หัวหน้าสวัสดิการ นักเรียน นักศึกษา 2.8 เจ้าหน้าที่งานสวัสดิการ นักเรียน นักศึกษา 2.9 วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก 2.10 Microsoft office Word 2019 2.11 SPSS 22 2.12 Canva 2.13 Google App Script 2.14 Google Form 2.15 Google Sheet 2.16 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แอพพลิเคชัน โปรแกรมที่อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ที่ออกแบบมาสำหรับ Mobile (โมบาย) Teblet (แท็บเล็ต) หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ ที่รู้จักกันซึ่งในแต่ละระบบปฏิบัติการจะมีผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นขึ้นมา มากมายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งจะมีให้ดาวน์โหลดทั้งฟรีและจ่ายเงินทั้งใน ด้าน การศึกษา ด้านการสื่อสารหรือแม้แต่ด้านความบันเทิงต่างๆ คุณลักษณะของแอปพลิเคชัน แอปพลิเคชันที่ ทำงานบนโทรศัพท์มือถือ “ โมบายแอปพลิเคชัน ” หรือ “ Mobile Application ” ซึ่งถูกออกแบบให้ใช้ งานได้บนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีความรวดเร็ว สะดวก และง่ายต่อการใช้งาน แบ่งคุณลักษณะของโม บายแอปพลิเคชันเป็น 2 ประเภท ดังนี้
5 1. แอปพลิเคชันระบบ เป็นส่วนซอฟต์แวร์ระบบที่รองรับการใช้งานของแอปพลิเคชันหรือ โปรแกรมต่างๆ ได้ ปัจจุบันระบบปฏิบัติการที่นิยมจากค่ายอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ มีดังนี้ 1.1 Symbian OS จุดเด่นอยู่ที่รูปแบบของส่วนติดต่อผู้ใช้งาน (UI) ที่ดูเรียบง่าย มีฟังก์ชันการ ใช้งานพื้นฐานอย่างครบ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความง่ายในการติดตั้งโปรแกรมและลง เพลงต่างๆ และ รองรับการใช้งานที่หลากหลาย 1.2 Windows Mobile พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ ที่ผลิตระบบปฏิบัติการที่รองรับ การ ทำงานของคอมพิวเตอร์มากมาย ได้แก่ Window XP (7) , Windows Vista (8) หรือ Window 10 เป็น ต้น ตัวอย่างสมาร์ทโฟนที่ใช้ Windows Mobile ได้แก่ HTC , Acer เป็นต้น 1.3 BlackBerry OS พัฒนาโดยบริษัท RIM เพื่อรองรับการทำงานของแอปพลิเคชัน ต่างๆของ BlackBerry โดยตรง จะเน้นการใช้งานทางด้านอีเมล์เป็นหลัก ระบบการสนทนาผ่าน BlackBerry Messenger เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องติดต่องานต่างๆ ผ่านอีเมล์และกลุ่มวัยรุ่นที่รักการ สนทนาผ่าน คอมพิวเตอร์ 1.4 iPhone OS พัฒนาโดยบริษัท Apple เพื่อรองรับการทำงานของแอปพลิเคชันต่างๆ ของ iPhone โดยตรง โดยกลุ่มที่นิยมใช้ iPhone มักจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบด้านมัลติมีเดีย 1.5 Android พัฒนาโดยบริษัท Google เป็นระบบปฏิบัติการล่าสุดที่กำลังเป็นที่นิยม ทั้ง Search Engine , Gmail , Google Docs , Google Maps เป็นต้น มีจุดเด่น คือ เป็น ระบบปฏิบัติการแบบ Open Source ซึ่งทำให้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้อง ใช้งานบริการต่างๆ จากทาง Google รวมทั้งต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา 2.2 ระบบบันทึก ระบบ หมายถึง เป็นกลุ่มขององค์ประกอบต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์ในสิ่งเดียวกัน ระบบอาจประกอบด้วยบุคลากร เครื่องมือ วัสดุ วิธีการ การจัดการซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบในการจัดการ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เดียวกัน คำว่า “ ระบบ ” เป็นคำที่มีการเกี่ยวข้องกับการทำงานและหน่วยงานและ นิยมใช้กันมาก เช่น ระบบธุรกิจ (Business System) ระบบสารสนเทศ (Management Information System) ระบบการเรียนการสอน (Instructional System) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network System) บันทึก (Record) คือ ข้อมูลทั้งหมดที่สร้าง ส่ง และรับทั้งจากภายในและภา ยนอก องค์กร บันทึกเป็นหลักฐานการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ บันทึก สามารถอยู่ในรูปแบบที่มีลักษณะทาง กายภาพ เช่น กระดาษ หรือในรูปแบบดิจิทัล หรือรูปแบบอื่นๆ ตัวอย่างเช่น อีเมล รายงาน ฐานข้อมูล สัญญาทาง ธุรกิจ จดหมาย รายงานการประชุม ข้อมูลทางการเงิน ภาพถ่าย วีดีโอ ข้อความ และโทรสาร เป็นต้น โดยสรุป เอกสารคือเอกสารที่กำลังอยู่ขั้นตอนกระบวนการที่สามารถแก้ไข หรือลบได้ แต่ บันทึก ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้ เว้นแต่จะมีข้อกำหนดหรือ กฎหมายที่อนุญาตให้ทำได้เท่านั้น
6 2.3 ห้องพยาบาล ห้องพยาบาล หมายถึง สถานที่สำหรับปฐมพยาบาลเบื้องต้นหรือรักษาอาการเจ็บป่วยและการ บาดเจ็บมีทั้งการทำแผลรวมไปถึงการจ่ายยาบรรเทาอาการเจ็บป่วยทั่วไป 2.3.1 ประสงค์ขอเข้านอนพัก 1. ขออนุญาตจากครูประจำชั้นหรือประจำวิชาและเขียนใบลาให้ครูเซ็นอนุญาตก่อนมา นอนพัก 2. แจ้งอาการเจ็บป่วย ให้ครูห้องพยาบาลทราบ และขออนุญาตนอน 3. ลงบันทึกในสมุดนอนพัก ทุกครั้งที่ใช้บริการ 2.3.2 ประสงค์จะทำแผล 1. แผลเก่า ให้ทำในเวลาคาบพัก เท่านั้น 2. แผลใหม่ ทำแผลได้ตลอดเวลาที่เปิดบริการ 3. ห้ามทำแผลเองก่อนได้รับอนุญาต 4. ห้ามหยิบ จับ สำลี ผ้าก๊อต อุปกรณ์ทำแผล เนื่องจากอบฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว 5. ลงบันทึกในสถิติพยาบาล ทุกครั้งที่ใช้บริการ 2.3.3 จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล 1. สำหรับนักเรียนที่ป่วยมาก หรือได้รับอุบัติเหตุรุนแรง 2. ในรายที่ได้รับอุบัติเหตุเบิกค่าประกันได้ไม่เกิน 10,000 บาท เนื่องจากมีประกันค่า รักษาพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่นักเรียนทำไว้กับทางโรงเรียนโดยขอใบรับรองแพทย์และใบเสร็จมาทำเรื่องเบิกที่ ห้องบริหารจัดการ 2.4 ยารักษาโรค ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug, Drug, Medicines, Medication, หรือ Medicament) หมายถึง วัตถุ และ/หรือ สารเคมีที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้ เจ็บของมนุษย์ และสัตว์ โดยต้องใช้ความรู้ทั้ง ทางวิทยาศาสตร์และศิลปะมา ผนวกในการ ผสม ปรุงแต่ง และแปรสภาพสาระสำคัญและส่วนประกอบอื่น ตามสูตรตำรับ ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย และได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ยา ที่นอกจากใช้รักษาโรคแล้วยังใช้ในการป้องกันบำรุง และช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงและสามารถต้านทาน โรคที่จะเข้ามาคุกคามร่างกายได้อีกด้วยยารักษาโรค (Pharmaceutical drug, drug, Medicines, Medication, หรือ Medicament) หมายถึง วัตถุ และสารเคมีที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ และสัตว์ โดยต้องใช้ความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ และศิลปะมาผนวกในการ ผสม ปรุงแต่ง และแปรสภาพ สาระสำคัญ และส่วนประกอบอื่นตามสูตรตำรับปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย
7 และได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาที่นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้ในการป้องกันบำรุง และช่วยฟื้นฟูร่างกาย ให้แข็งแรง และสามารถต้านทานโรคที่จะเข้ามาคุกคามร่างกายได้อีกด้วย เช่น วัคซีน เป็นต้น รูปภาพที่ 2.1 ยาแก้แพ้ บรรเทาอาการจาม น้ำมูกไหล และการคันระคายเคืองจากภูมิแพ้ ยาแก้แพ้ยี่ห้อนี้มีตัวยาสำคัญคือ Fexofenadine ซึ่งมีประสิทธิภาพในเรื่องของการบรรเทาอาการจาม น้ำมูกไหล หรือระคายเคืองคอที่เกิด จากภูมิแพ้ รวมไปถึงยังช่วยยับยั้งอาการคันและผื่นลมพิษตามผิวหนังได้อีกด้วย โดยเป็นตัวยาที่จัดอยู่ใน Generation 3 ซึ่งเป็นตัวยาที่จะไม่ซึมเข้าสู่ในสมอง ดังนั้นจึงไม่ค่อยพบผลข้างเคียงในเรื่องของอาการง่วง นอน โดยยาแก้แพ้ตัวนี้จะมีให้เลือกใช้กัน 2 ขนาด คือ 60 มิลลิกรัมและ 180 มิลลิกรัม ยาแก้แพ้ที่ถูกพูดถึง ส่วนใหญ่จะหมายถึงยาที่มีชื่อกลุ่มว่าเป็น Anti-histamine ซึ่งได้ถูกพัฒนามามากมาย ในปัจจุบันยาแก้แพ้ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 Generation แต่เราขอแบ่งให้เข้าใจง่ายกว่านั้น คือ แบบง่วงและแบบไม่ทำให้ง่วง 1. แบบง่วง ได้แก่ Chlorpheniramine, Dimenhydrinate, Diphenhydramine, Cyprohep tadine และ Hydroxyzine ยากลุ่มนี้มีความเฉพาะเจาะจงกับตัวรับ Histamine ที่ต่ำ จึงทำให้ไปจับกับตัวรับตัวอื่น เกิดเป็นผลข้างเคียงของยาได้ เช่น ง่วงนอน ปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะไม่ออก แต่ก็มีประโยชน์สำหรับตัวที่ไปจับ ตัวรับ Muscarinic อย่าง Dimenhydrinate และ Diphenhydramine จึงทำให้ช่วยด้านอื่นได้ เช่น ใช้ป้องกัน อาการเมารถ (motion sickness) หรือใช้ป้องกันและรักษาภาวะ Extrapyramidal Symptoms (EPS)
8 2. แบบทำให้ไม่ง่วงได้แก่ Loratadine, Cetirizine, Fexofenadine, Desloratadine, Levocetirizine และ Bilastine ยากลุ่มนี้จะเพิ่มความเฉพาะเจาะจงต่อตัวรับ Histamine ทำให้เกาะได้ดีขึ้น จึงใช้ยาเพียงวันละ ครั้งเท่านั้น และยังมีฤทธิ์ในการช่วยลดการอักเสบเพิ่มเข้ามาด้วย ทั้งนี้ยาบางตัวในกลุ่ม รูปภาพที่ 2.2 ยาแก้ผื่นคัน ยาทาแก้คันเป็นยาชนิดใช้ภายนอก หากแบ่งตามลักษณะยา ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดครีม นอกจากนี้ ก็ยังมีชนิดขี้ผึ้งและโลชัน โดยสองอย่างหลังนั้นใช้กันเป็นส่วนน้อยแต่หากแบ่งตามสรรพคุณยา จะแบ่งยาทา แก้คันได้หลายชนิด เช่นดังต่อไปนี้ 1. ยาทาแก้คันชนิดที่ช่วยให้ผิวหนังนุ่มและชุ่มชื้น ช่วยลดอาการคันในผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งมักพบใ น ผู้สูงอายุโดยเฉพาะหน้าหนาวซึ่งอากาศแห้ง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูง 2. ยาทาแก้คันที่มีส่วนผสมของสารทำให้ผิวเย็น เป็นชนิดที่ใช้ทาหรืออาจเป็นชนิดที่ใช้ทาถู เมื่อทา ผิวหนังจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นและทำให้อาการคันลดลง ใช้ลดอาการคันจากแมลงกัดหรือต่อย เป็นผลิตภัณฑ์ ที่มีความปลอดภัยสูง 3. ยาทาแก้คันแบบที่เป็นยาต้านฮีสตามีนชนิดใช้ภายนอก ใช้ลดอาการคันจากแมลงกัดหรือต่อย และคันจากการสัมผัสสิ่งระคายผิว 4. ยาทาแก้คันชนิดคอร์ติโคสเตียรอยด์ ใช้ภายนอก หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่ายาสเตียรอยด์ชนิดใช้ ภายนอก เป็นยาหลักสำหรับบรรเทาอาการคันในโรคผิวหนังที่มีการอักเสบ กรณีที่ไม่มีการติดเชื้อ เช่น โรค สะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบออกผื่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เมื่อการอักเสบลดลงจะทำให้อาการคันลดลง
9 ด้วย ไม่ควรใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดใช้ภายนอกกับการคันทั่วร่างกาย และไม่ควรใช้เป็นเวลานาน เพราะยา อาจถูกดูดซึมเข้าในร่างกายจนส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ 5. ยาทาแก้คันชนิดที่ช่วยยับยั้งแคลซินิวริน เป็นยากดภูมิคุ้มกันซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ใช้ลด อาการคันจากโรคผื่นภูมิแพ้ โรคตุ่มคันเรื้อรัง อาการคันที่มีเหตุจากการบาดเจ็บของประสาทคันจากโรคไต เรื้อรัง คันจากน้ำดีคั่ง เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการใช้ยาทาแก้คันแต่ละแบบนั้นก็มีวิธีการ และเพื่อวัตถุประสงค์ ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ ในแต่ละบุคคลอาจมีขนาดการใช้ยาที่แตกต่างกันด้วย จึงควรปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนข้อควรระวังเกี่ยวกับอาการคัน และการใช้ยาทาแก้คันไม่ควรเน้นรักษาอาการคันด้วยการใช้ยา ทาแก้คัน แต่ให้เริ่มป้องกันที่ต้นเหตุ เช่น การหลีกเลี่ยงจากการสัมผัสหรือการได้รับสิ่งที่เป็นต้นเหตุขอ การคัน การรักษาความสะอาดของผิวหนัง การสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและระบายอากาศได้ดี เป็นต้น แต่หากเกิดอาการคันขึ้นมาแล้ว และต้องใช้ยาทาแก้คัน ข้อควรระวัง ดังนี้ 1. อาจแพ้ยาทาแก้คันได้ ภายหลังการใช้ยาทาแก้คัน ควรสังเกตว่ามีอาการแย่ลงกว่าเดิมหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา หรือการที่เกิดอาการแพ้ยา ยาที่ทำให้เกิดผื่น อาจเกิดจากปฏิกิริยา ภูมิแพ้ ให้หลีกเลี่ยงไม่ใช้ยาชนิดนั้นอีก 2. คันเรื้อรังเกิน 6 สัปดาห์ อาจเสี่ยงโรคร้าย อาการคันที่เรื้อรังนานเกิน 6 สัปดาห์ ซึ่งใช้ยาทาแก้ คันแล้วไม่หาย ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายได้หลาย ชนิด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง โรคมะเร็ง หรือ โรคทางระบบประสาท เป็นต้น รูปภาพที่2.3 ยาแก้ปวด
10 อาการปวดเป็นอาการที่สร้างทั้งความทุกข์กายและทุกข์ใจผู้ที่มีอาการเหล่านี้อาจต้องเจอกับ อาการปวดบริเวณเดิมซ้ำๆ สาเหตุของการเกิดอาการปวดนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เมื่อเกิด อาการปวดขึ้นแล้วร่างกายเราจะมีกลไกต่างๆ เพื่อที่จะให้อาการปวดนั้นลดลง อย่างไรก็ตา มหากมี อาการปวดมากก็จำเป็นที่จะต้องได้รับยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการให้ทุเลาลงยาแก้ปวดชนิดต่า งๆ ที่ รับประทานกันอยู่นั้นมีการจัดแบ่งประเภทของยาแก้ปวดนั้นแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ยาแก้ปวด สามารถที่จะแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่มคือ 1. ยาแก้ปวดชนิดที่ไม่เสพติด ยาชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยาแก้ปวดกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการ สร้าง พรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ที่เนื้อเยื่อส่วนปลาย ทำให้อาการปวดลดน้อยลง ยากลุ่มนี้ไม่มีผลทำ ให้เกิดอาการง่วงซึมและกดการหายใจ ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ 1.1 ยาพาราเซตามอลอาจจะเรียกว่ายา อะเซตามิโนเฟน(acetaminophen) เป็นยาที่รู้จัก กันดี และถูกใช้กันบ่อยมากทั่วโลกจัดเป็นยาสามัญประจำบ้านออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้า งเอนไซม์ ไซโคลออกซีจีเนส (Cyclooxygenase) ในกระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน E2 (Prostagrandin E2) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดพาราเซตามอลยังยับยั้งการสร้าง ซับสแตนซ์พี (Substance P) ช่วย กระตุ้นให้เกิดอาการปวดและช่วยเพิ่มสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) ในร่างกายทำให้ระดับซีโรโต นิน (Serotonin) เพิ่มขึ้นส่งผลให้อาการไข้และอาการเจ็บปวดลดลงได้ 1.2 ยาในกลุ่ม Nsaids หรือยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้ก็เป็นที่นิยมใช้ เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้บรรเทาอาการปวดลดการอักเสบของกระดูกและข้อบางตัวใช้ลดไข้ได้ด้วย ยา กลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง เอนไซม์ Cyclooxygenase ในกระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่เป็นสาเหตุของอาการปวด ไข้ และการอักเสบยาในกลุ่มนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น Nsaids ชนิดเก่าที่ยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase 1.2.1 ซึ่งมีข้อเสียคือจะกัดกระเพาะทำให้เกิดแผลในกระเพาะและเลือดออกในทางเดินอาหาร ปัจจุบันมีการพัฒนายาในกลุ่ม Nsaids ชนิดใหม่ๆ โดยยาชนิดใหม่นี้จะออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase 1.2.2 ซึ่งทำให้ผลข้างเคียงในเรื่องของการกัดกระเพาะลดลงแต่ก็ต้องระวังในเรื่องระบบ หัวใจและหลอดเลือด 1.3 ยาในกลุ่มกาบาเพนตินอยด์ ยากลุ่มนี้ เป็นยาที่ช่วยลดอาการปวดที่เกิดกับเส้นประสาท เช่น อาการปวดประสาทใบหน้า ประสาทคอ ปวดจากการบาดเจ็บไขสันหลัง ปวดเส้นประสาทจาก เบาหวาน ปวดเส้นประสาทหลังจากเป็นโรคงูสวัด ตัวอย่างของยาในกลุ่มนี้ได้แก่ กาบาเพนติน (Nuerontin) และ พรีกาบาลิน (Lyrica) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการรบกวนความตื่นตัวของเซลล์ประสาท
11 ในสมอง และส่วนที่ได้รับบาดเจ็บทำให้อาการปวดบรรเทาลงได้ และยากลุ่มนี้ยังสามารถใช้รักษาอา การ โรคลมชักได้ด้วย 1.4 ยากลุ่มเออร์กอตอัลคาลอยด์ ยาที่ใช้รักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน และโรคครัสเตอร์ เออร์ กอตอัลคาลอยด์ จะออกฤทธิ์โดยการทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือดหดตัว ช่วยกระตุ้นการหลั่งซีโรโตนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่ ต่างๆ เช่นควบคุม อารมณ์ ความโกรธก้าวร้าว ควบคุมเมตา บอลิซึม การเจริญเติบโต ความอยากอาหาร การนอนหลับ ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ เออร์โกทามีน (Ergotamine) และไดไฮโดรเออร์โกทามีน (Dihydroergotamine) 1.5 ยากลุ่มทริปแทน ยาในกลุ่มนี้ใช้ในการรักษาอาการปวดไมเกรนและปวดจากโรคครัสเตอร์ ยาจะกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่เรียกว่าซีโรโตนิน (Serotonin) กระตุ้นตัวรับซีโรโตนิน(5-HT) เกิด การหดตัวของหลอดเลือดทำให้การหลั่งของสารสื่อประสาทรับความเจ็บปวดและอักเสบลดลง ยับยั้งการ ขยายตัวของหลอดเลือดที่เยื่อบุสมอง ทำให้อาการปวดบรรเทาลง 1.6 ยาโคลชิซิน ยาที่ใช้รักษาอาการปวดจากโรคเก๊าสามารถลดการอักเสบได้ด้วยยาแก้ปวดชนิด ที่เสพติดได้ยาในกลุ่มนี้เป็นยาแก้ปวดที่สังเคราะห์ได้จากฝิ่น ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางจึงสามารถ กดการหายใจ และทำให้ง่วงซึมได้ ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ 1.7 ยามอร์ฟีน เป็นยาแก้ปวดที่สามารถลดปวดชนิดรุนแรงได้ดี ใช้สำหรับการผ่าตัดใหญ่ สามารถเสพติดได้ง่ายจะใช้ เฉพาะกรณีจำเป็นเท่านั้น 1.8 ยาเฟนทานิล (Fentanyl) ยากลุ่มโอปิออยด์ที่สังเคราะห์ขึ้นมีความแรงในกา รออกฤทธิ์ มากกว่ามอร์ฟีนใช้ในการผ่าตัด บรรเทาปวดในผู้ป่วยมะเร็งระบบประสาท อ๊อกซีโคโดน (Oxycodone) โคเด อีน (Codeine) 1.9 ยาทรามาดอล ( Tramadol ) เป็นยาลดอาการปวดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมา กเช่นกันมี สูตรโครงสร้างคล้ายกับยาโคเดอีนที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น ยาแก้ปวดนั้นมีหลายชนิด บางชนิดสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ยาพาราเซตามอล และยาแอสไพรินรวมทั้ง Nsaids ทั้งหลายก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาแผนปัจจุบันชั้น 1 ทั่วไป แต่ สำหรับยาแก้ปวดกลุ่มที่เป็นยาเสพติดนั้นไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น การจะเลือกใช้ยาแก้ปวดควรคำนึงถึงผลเสียต่อร่างกายด้วยจะให้ดีควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะ ดีกว่า ยาแก้ปวดชนิดที่ไม่เสพติดยาชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยาแก้ปวดกลุ่มนี้จะ ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้าง พรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ที่เนื้อเยื่อส่วนปลา ย ทำให้ อาการปวดลดน้อยลง ยากลุ่มนี้ไม่มีผลทำให้เกิดอาการง่วงซึมและกดการหา ยใจ ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาพาราเซตามอล อาจจะเรียกว่ายา อะเซตามิโนเฟน(acetaminophen) เป็นยาที่รู้จักกันดี และถูก ใช้กันบ่อยมากทั่วโลกจัดเป็นยาสามัญประจำบ้านออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างเอนไซม์ ไซโคลออกซีจีเนส
12 (Cyclooxygenase) ในกระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน E2 (Prostagrandin E2) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิด อาการปวดพาราเซตามอลยังยับยั้งการสร้าง ซับสแตนซ์พี (Substance P) ช่วยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดช่วย เพิ่มสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) ในร่างกายทำให้ระดับซีโรโตนิน (Serotonin) เพิ่มขึ้นส่งผลให้ อาการไข้และอาการเจ็บปวดลดลงได้ ยาในกลุ่ม Nsaids หรือยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์กลุ่มนี้ก็เป็นที่นิยมใช้เช่นกันโดยเฉพาะ อย่างยิ่งใช้บรรเทาอาการปวดลดการอักเสบของกระดูกและข้อบางตัวใช้ลดไข้ได้ด้วย ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดย การยับยั้ง เอนไซม์ Cyclooxygenase กระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่เป็นสาเหตุของ อาการปวด ไข้ และการอักเสบยาในกลุ่มนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น Nsaids ชนิดเก่าที่ยับยั้งเอนไซม์ ซึ่งมีข้อเสีย คือจะกัดกระเพาะทำให้เกิดแผลในกระเพาะและเลือดออกในทางเดินอาหารได้ ปัจจุบันมีการพัฒนายาในกลุ่ม Nsaids ชนิดใหม่ๆ โดยยาชนิดใหม่นี้จะออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase 2 ซึ่งทำให้ผลข้างเคียงใน เรื่องของการกัดกระเพาะลดลงแต่ก็ต้องระวังในเรื่องระบบหัวใจและเลือดยาใน กลุ่มกาบาเพนตินอยด์ยากลุ่มนี้ เป็นยาที่ช่วยลดอาการปวดที่เกิดกับเส้นประสาท เช่น อาการปวด ประสาทใบหน้า ประสาทคอ ปวดจากการบาดเจ็บไขสันหลัง ปวดเส้นประสาทจากเบาหวาน ปวดเส้นประสาท หลังจากเป็นโรคงูสวัด ตัวอย่างของยาในกลุ่มนี้ได้แก่ กาบาเพนติน (Nuerontin) และ พรีกาบาลิน (Lyrica) ยาก ลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการรบกวนความตื่นตัวของเซลล์ประสาทในสมอง และส่วนที่ได้รับบาดเจ็บทำให้อาการ ปวดบรรเทาลงได้ และยากลุ่มนี้ยังสามารถใช้รักษาอาการโรคลมชักได้ด้วย ยากลุ่มเออร์กอตอัลคาลอยด์ ยาที่ใช้รักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน และโรคครัสเตอร์ เออร์กอตอัลคาลอยด์ จะออกฤทธิ์โดย การทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่หลอดเลือดหดตัว ช่วยกระตุ้นการหลั่งซีโรโตนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อ ประสาทที่ทำหน้าที่ ต่างๆ เช่นควบคุม อารมณ์ ความโกรธก้าวร้าว ควบคุมเมตาบอลิซึม การเจริญเติบโต ความอยากอาหาร การนอนหลับ ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ เออร์โกทามีน (Ergotamine) และไดไฮโดรเออร์โกทามีน (Dihydroergotamine) ยากลุ่มทริปแทน ยาในกลุ่มนี้ใช้ในการรักษาอาการปวดไมเกรนและปวดจากโรคครัสเตอร์ ยาจะกระตุ้น การหลั่งสารสื่อประสาทที่เรียกว่าซีโรโตนิน (Serotonin) กระตุ้นตัวรับซีโรโตนิน (5-HT) เกิดการหดตัวของ หลอดเลือดทำให้การหลั่งของสารสื่อประสาทรับความเจ็บปวดและอักเสบลดลง ยับยั้งการขยายตัวของหลอด เลือดที่เยื่อบุสมอง ทำให้อาการปวดบรรเทาลง
13 รูปภาพที่ 2.4 ยาแก้อักเสบ ยาแก้อักเสบเป็นยาบรรเทาอาการอักเสบและบวม สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ทั่วไป มักเรียกชื่อผิด และเข้าใจว่าเป็นยาต้านจุลชีพ ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ โดยหลายคนก็ซื้อยามา รับประทานเองทั้งที่ไม่ทราบวิธีใช้อย่างถูกต้อง ทำให้เสี่ยงรับประทานยาเกินขนาดหรือใช้ยาอย่างผิด วัตถุประสงค์ จึงเป็นเรื่องสำคัญในการทำความเข้าใจ เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้ยาแก้อักเสบ ยาแก้อักเสบเป็นยาในกลุ่มช่วยลดการอักเสบ ซึ่งมักช่วยบรรเทาอาการปวดและบวมจากการอักเสบได้ด้วย โดยยาแก้อักเสบที่ใช้กันบ่อยเป็นยาแก้อักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal AntiInflammatory Drugs: NSAIDs) หรือที่เรียกกันว่าเอ็นเสด มีทั้งชนิดที่หาซื้อได้เองหรือต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์ โดยกลไกการ ออกฤทธิ์ของยาค่อนข้างเร็วและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแก้อักเสบชนิดมีสเตียรอยด์ จึงถูกนำมาใช้ รักษาการอักเสบอย่างแพร่หลาย แม้ยาแก้อักเสบช่วยลดอาการปวด ลดไข้ หรือบรรเทา ภา วะอักเสบ ได้ แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยมักจะเป็นกา ร ระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่สบาย ปวดท้อง มีเลือดออก หรือเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เกิดแผลตรงส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบทางเดินอาหาร ค่าเอนไซม์ตับ สูงขึ้น ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว หรืออาการบวมน้ำ ทั้งนี้ ควรหยุดใช้ยาและรีบไปพบแพทย์ ทันทีหากพบว่ามีอาการ เช่น หายใจลำบาก มีอุจจาระสีดำ อาเจียนออกมาเป็นเลือดสีคล้ายกาแฟ แน่นหน้าอก กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ชัด ใบหน้าและลำคอ ดวงตาและผิวหนังดูเหลืองผิดปกติ เกิด ผื่นหรือแผลตามผิวหนัง
14 รูปภาพที่ 2.5 ยาฆ่าเชื้อ ยาฆ่าเชื้อ เป็นยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส ยาที่มีฤทธิ์ฆ่า เชื้อแบคทีเรีย เช่น เพนนิซิลิน และอะม็อกซีซิลิน ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด หรือลดการอักเสบ ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส ใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบเป็นหนอง มีปัสสาวะแสบขัด จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น ตัวอย่างยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ - แอมพิซิลลิน (Ampicillin) - อะมอกซิซิลลิน (Amoxicillin) - ออกเมนติน (Augmentin) ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากการใช้ยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับ การวินิจฉัยที่แน่ชัดว่าสาเหตุของอาการป่วยที่เป็นอยู่นั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย วิธีการทานยาฆ่าเชื้อ ควรรับประทานหลังอาหารเพื่อป้องกันการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และควรทานต่อเนื่องจน หมดเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา ข้อควรระวังในการใช้ยา ควรใช้ยาฆ่าเชื้อภายใต้คำสั่ง และคำแนะนำของ แพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดทานยาเองเนื่องจากอาจทำให้กลับมาป่วยอีก หรืออาจ ส่งผลเสียต่อการรักษา ในอนาคตได้ และไม่ควรทานยาปฏิชีวนะพร่ำเพื่อเพรา ะอาจกระตุ้ นให้ เชื้อแบคทีเรียกลายพันธุ์ และเกิดการดื้อยาตามมาได้ด้วยเช่นกัน
15 รูปภาพที่ 2.6 ยาแก้ไอ ยาแก้ไอ เป็นกลุ่มยาที่ใช้รักษาและระงับอาการไอ ซึ่งเป็นอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งที่ ก่อให้เกิดความระคายเคืองภายในระบบทางเดินหายใจ ยาแก้ไอแบ่งตามการรักษา ได้แก่ กลุ่มรักษาอาการ ไอแบบแห้งๆ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป เช่น ฝุ่น ควัน สารก่อภูมิแพ้ ต่างๆ และกลุ่มยารักษาอาการไอแบบมีเสมหะ ซึ่งเกิดจากภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ จนก่อให้เกิด เสมหะเหนียวข้นขึ้นภายในโดยทั่วไป ยาแก้ไอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 2.1 กลุ่มยาระงับอาการไอ หรือ ยากดอาการไอ (Antitussives หรือ Cough Suppressants) คาด ว่ายาชนิดนี้อาจทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของสมองส่วนที่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจนทำให้เกิดการไอ แต่กลไกที่แท้จริงในการออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยยาจะมีผลรักษาอาการไอแห้งๆ ไม่ควร ใช้ในอาการไอแบบมีเสมหะ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ตัวอย่างยาที่ใช้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ เด็กซ์โทรเมทอร์แฟน และโคเดอีน 2.2 กลุ่มยาขับเสมหะ หรือ ยาละลายเสมหะ (Expectorants) ตัวยาจะเพิ่มสารคัดหลั่งที่ช่วยหล่อ ลื่นเสมหะข้นเหนียวให้เบาบางลง จนผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกไปจากร่างกายได้ด้วยการไอ มักใช้รักษา ผู้ป่วยไข้หวัด หลอดลมอักเสบ หรืออาการป่วยในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตัวอย่าง ยาที่ใช้ในกลุ่ม นี้ เช่น ไกวอะเฟนิซิน และบรอมเฮกซีน เป็นต้น ส่วนกลุ่มยาอื่นๆ ที่อาจถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอาการไอ 2.3 กลุ่มยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) เมื่อมีสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย จะเกิดการหลั่ง ฮิสตามีนที่ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ ยากลุ่มนี้จะยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน ซึ่งช่วยระงับ และบรรเทาการเกิดอาการแพ้ต่างๆ รวมถึงอาการไอเนื่องจากการระคายเคืองในลำคอ
16 2.4 กลุ่มยาแก้คัดจมูก (Decongestants) ช่วยลดอาการอักเสบบวมภายในระบบทางเดิน หายใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไอได้ มักใช้ในผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด เยื่อจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือมี อาการภูมิแพ้ต่างๆ ตัวอย่างยาที่ใช้ในกลุ่มนี้ เช่น เอฟีดรีน ซูโดอีเฟดรีน ไซโลเมตาโซลีน เป็นต้น นอกจากนี้ อาจมีการใช้ยาแก้ไอบางชนิดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรืออาจใช้สารชนิดอื่นๆ ช่วยหล่อ ลื่นภายในลำคอ และอาจช่วยลดการไอได้ ซึ่งผู้ป่วยหาซื้อเพื่อใช้รักษาบรรเทาอาการเองได้ที่บ้านภายใต้ คำแนะนำของเภสัชกร เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของน้ำผึ้ง มะนาว และสารกลีเซอริน คำเตือนข้อควรระวัง ในการใช้ยา ยาแต่ละชนิดในกลุ่มยาแต่ละประเภท ล้วนมีข้อบ่งชี้ ข้อควรระวังในการใช้ยา และ ส่วนประกอบในยาที่แตกต่างกันไป ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงอาการป่วย ประวัติการ ใช้ยา และประวัติทางการแพทย์ รวมทั้งศึกษาวิธีการใช้ยาทุกชนิดจากแพทย์และเภสัชกรให้ดีก่อนการ ใช้ยาเสมอ ตัวอย่างข้อควรระวังในการใช้ยาแต่ละกลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มยาระงับอาการไอ หรือ ยากดอาการไอ ก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอหากเคยแพ้ยาระงับอาการไอตัวใดมาก่อน หรือมีอาการแพ้ยาและสารชนิดใดก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการป่วย ประวัติการใช้ยา ประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ เช่น หอบหืด ไอจากการ สูบบุหรี่ มีเสมหะจำนวนมาก หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับ เป็นต้นอาจเกิด ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเป็นอาการเวียนหัวหรือง่วงซึม จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การใช้ เครื่องจักร หรือการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินในขณะที่ใช้ยาหลีกเลี่ยงหรือจำ กัด ปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยาก่อนเข้ารับการรักษา การผ่าตัด หรือการทำ หัตถการใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอว่ากำลังใช้ยา หรืออาหารเสริมชนิดใดอยู่หากผู้ป่วยกำ ลัง ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์ ผลดี ความเสี่ยง และผลข้างเคียง จากการใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่ายาชนิดนั้น จะส่งผลดีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ 2. กลุ่มยาขับเสมหะ หรือ ยาละลายเสมหะ ก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอหากเคยแพ้ยาขับเสมหะตัวใดมาก่อน หรือมี อาการแพ้ยาและสารชนิดใดก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการป่วย ประวัติการใช้ยา ประวัติ ทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ เช่น หอบหืด ไอจากการสูบบุหรี่ มีเสมหะจำนวนมาก ไอเป็นเลือด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง เป็นต้น หากเป็นยาในรูปแบบยาน้ำ บางชนิด ตัวยาอาจมีส่วนผสมของน้ำตาล และแอลกอฮอล์ด้วย ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยโรคเบาหวาน โรคตับ หรือภาวะอาการป่วยอื่นๆ ที่ต้องจำกัด ปริมาณน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์ในร่างกาย ยาน้ำหรือยาผงบางชนิดอาจมีสารให้ความหวานแอสพาร์เทม (Aspartame) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาหากผู้ป่วยมีภาวะพร่องเอนไซม์ย่อยสลายกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน หรือโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria: PKU) และภาวะอาการป่วยอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต้อง
17 จำกัดปริมาณการรับสาร แอสพาร์เทมเข้าสู่ร่างกายก่อนเข้ารับการรักษา การผ่าตัด หรือการทำหัตถการ ใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอว่ากำลังใช้ยา หรืออาหารเสริมชนิดใดอยู่ หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์ ผลดี ความเสี่ยง และผลข้างเคียงจากการใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่ายา ชนิดนั้น จะส่งผลดีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ส่วนผู้ป่วยที่กำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึง ประโยชน์ ผลดี ความเสี่ยง และผลข้างเคียงจากการใช้ยา และปรึกษาว่าควรให้นมบุตรในระหว่างที่ใช้ยา รักษาอยู่ได้หรือไม่ห้ามใช้ยาในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยไม่มีคำสั่งหรือความเห็นจากแพทย์ 3. กลุ่มยาต้านฮิสตามีน ก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอหากเคยแพ้ยาต้านฮิสตามีนตัวใดมาก่อน หรือ มีอาการแพ้ยาและสารชนิดใดก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการป่วย ประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพร สารเสพติดใดๆ และประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการป่วยที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตสูง มีปัญหาในการถ่ายปัสสาวะ ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ ต้อหิน โรคเบาหวาน โรคลมชัก ต่อมลูกหมากโต โรคหัวใจ เป็นต้น ศึกษาขั้นตอนและวิธีการใช้ยาบนฉลาก รวมทั้งปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรให้ดีก่อนใช้ยาเสมอ โดยต้องไม่ใช้ยาเกินปริมาณที่แพทย์กำหนด หรือที่ระบุไว้บนฉลากยาอาจ เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การใช้เครื่องจักร การทำกิจกรรมที่เป็น อันตราย หรือเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินในขณะที่ใช้ยาหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในขณะใช้ยา เพราะ อาจทำให้ผลข้างเคียงจากการใช้ยารุนแรงขึ้นได้ หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ หรืออาจตั้งครรภ์ในขณะใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อปรึกษาถึงประโยชน์จากการใช้ยารักษานี้ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหา ก ผู้ป่วยใช้ยาในระหว่างการตั้งครรภ์ สำหรับผู้ป่วยที่กำลังให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อปรึกษาถึง ประโยชน์จากการใช้ยารักษานี้ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน 4. กลุ่มยาแก้คัดจมูก ศึกษาขั้นตอนและวิธีการใช้ยาบนฉลาก รวมทั้งปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรให้ดีก่อนใช้ยาเสมอ โดยต้องไม่ใช้ยาเกินปริมาณที่แพทย์กำหนด หรือที่ระบุไว้บนฉลากยาก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ ทราบก่อนเสมอหากเคยแพ้ยาแก้คัดจมูกตัวใดมาก่อน หรือมีอาการแพ้ยาและสารชนิดใดก่อนใช้ยา ผู้ป่วย ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการป่วย ประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพร สารเสพติดใดๆ และประวัติ ทางการแพทย์ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยกำลังมีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง ต้อหิน ไทรอยด์เป็นพิษโรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น การใช้ยาแก้คัดจมูกอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยที่เป็นเด็ก เล็ก จึงควรศึกษาวิธีและปริมาณในการใช้ยาอย่างรอบคอบก่อนให้ยาเด็กเสมอ โดยสามารถปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรได้หากมีข้อสงสัย ยาแก้คัดจมูกอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อร่างกายเมื่อใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น เช่น กลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า (Antidepressants) และกลุ่มยารักษาภาวะความดันโลหิตสูง จึงควรปรึกษา แพทย์ถึงวิธีการใช้ยา หรือการปรับปริมาณยาเพื่อความเหมาะสมตามดุลยพินิจของแพทย์ ห้ามใช้ยาเกิน ปริมาณที่แพทย์สั่งหรือที่ระบุไว้บนฉลากเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเยื่อเมือกบวม จนกลับมามี
18 อาการคัดแน่นอุดตันภายในระบบทางเดินหายใจซ้ำอีก หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งอาจเป็นผล จากการดื้อยา ดื่มน้ำเปล่ามากๆ หากกำลังใช้ยาร่วมกับการรักษาไข้หวัดและอาการแพ้ต่างๆ หากผู้ป่วย กำลังตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อปรึกษาถึงประโยชน์ ความเสี่ยง และวิธีการใช้ยา ผลข้างเคียง จากการใช้ยา เนื่องจากยาแต่ละชนิดล้วนมีส่วนประกอบที่แตกต่างกัน จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการ ใช้ยาที่แตกต่างกันไปด้วย ผู้ป่วยควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้นหลังการใช้ยา ปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย ไป พบแพทย์หากอาการป่วยไม่ทุเลาลง ยังคงเป็นอย่างต่อเนื่อง หรือมีอาการป่วยที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดย ตัวอย่างผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการใช้ยาแต่ละกลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มยาระงับอาการไอ หรือ ยากดอาการไอ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว กระสับกระส่าย เวียนหัว ง่วงซึม ท้องผูก ท้องไส้ปั่นป่วน อาการแพ้ ยา เช่น มีผื่นขึ้น คันหรือบวมตามใบหน้า ลิ้น และลำคอ วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีปัญหาในการหายใจ 2. กลุ่มยาขับเสมหะ หรือ ยาละลายเสมหะ เวียนหัว ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน อาการแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้น คันหรือบวมตามใบหน้า ลิ้น ลำคอ วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีปัญหาในการหายใจ 3. กลุ่มยาต้านฮิสตามีน ง่วงซึม หรือ ง่วงนอน เวียนหัว ปวดหัว ปากแห้ง จมูกแห้ง คอแห้ง มีเสมหะเหนียวข้นขึ้น อยากอาหารเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ท้องไส้ปั่นป่วน รู้สึกวิตกกังวล ตื่นเต้น หงุดหงิดง่าย มีทัศนวิสัยใน การมองเห็นที่เปลี่ยนไป มองเห็นเป็นภาพเบลอ 4. กลุ่มยาแก้คัดจมูก หรือ ยาหดหลอดเลือด มีทัศนวิสัยในการมองเห็นที่เปลี่ยนไป มองเห็นเป็นภาพเบลอ เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หายใจ ลำบาก ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด เป็นลม หัวใจเต้นเร็ว ช้า หรือเต้นผิดปกติ กระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข ปวดบริเวณไหล่ แขน กราม หรือลำคอ มีเหงื่อออกมาก เหนื่อยล้าผิดปกติ
19 รูปที่2.7 ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ท้องเสีย ตัวช่วยบรรเทาอาการถ่ายเหลว หรือ ท้องร่วง ซึ่งสาเหตุของอาการสามารถ เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งในเรื่องการรับประทานอาหาร การติดเชื้อ แม้ว่า ท้องเสีย อาจเป็นเรื่อง ปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากไม่ดูแลให้ดีขึ้น อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง เสี่ยง ต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ไตวาย และอวัยวะถูกทำลายได้การใช้ยาแก้ท้องเสีย จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะ ทำให้อาการทุเลาลงได้ท้องเสีย หรือ อุจจาระร่วง (Diarrhea) เป็นอาการแสดงเกี่ยวข้องกับอุจจาระ เหลวเป็นน้ำ อาจมีอาการเพียงอย่างเดียว หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ซึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ และมักจะหายไปเองภายใน 1 – 3 วัน ถ้าไม่มีโรคอื่นแทรกแซง ทั้งนี้ หากมีอาการท้องเสียกินเวลานานเกิน 2 – 3 วันในสัปดาห์ มักบ่งชี้ว่ามีปัญหา อื่นๆ เช่น โรคลำไส้ แปรปรวน (IBS) หรือความผิดปกติที่ร้ายแรง เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบ (IBD) เป็นต้น สาเหตุทั่วไปของอาการท้องเสีย 1. อาหารเป็นพิษ จากการรับประทานอาหาร หรือ น้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ทำให้อาเจียน รุนแรง หรือถ่ายมากผิดปกติ (มากกว่า 8 - 10 ครั้งต่อวัน) 2. ผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาปฏิชีวนะจะเข้าไปรบกวน หรือ เปลี่ยนแปลงสมดุล ของแบคทีเรียธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในลำไส้ โดยมักดีขึ้นและหายได้เองหลังหยุดใช้ยาปฏิชีวนะ 3. แพ้อาหาร การทานผลิตภัณฑ์จากนม ที่ก่อให้เกิดการแพ้แล็กโทส (Lactose) ซึ่งเป็นน้ำตาลใน น้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว แพะ ฯลฯ จะส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหารทำให้เกิด การท้องเสีย
20 การติดเชื้อสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การติดเชื้อไวรัส เช่น โนโรไวรัส โรตาไวรัส หรือไวรัสกระเพาะและลำไส้อักเสบ 2. การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อ Salmonella หรือ Campylobacter 3. การติดเชื้อปรสิต เช่น Giardiasis หรือ Cryptosporidiosis ยาแก้ท้องเสีย ทำงานอย่างไร ยาแก้ท้องเสีย (Antidiarrhoeal) มีฤทธิ์ช่วยดูดซับสารพิษใน ทางเดินอาหาร เพื่อขับออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นการรักษาด้วยการควบคุมการเคลื่อนไหวของระบบทางเดิน อาหาร และเพิ่มการดูดซึมของเหลวในลำไส้ โดยมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับสาเหตุ สามารถหาซื้อได้ตามร้านยา Over-the-counter (OTC) และยาบางชนิดจะจำหน่ายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้นยาแก้ท้องเสียเป็นยาที่ใช้ เพื่อชะลอ หรือ หยุดอาการท้องเสีย (อุจจาระเหลว) ที่หาซื้อได้ตามร้านยา (OTC) และยาบางชนิดจะ จำหน่ายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น ยาแก้ท้องเสียแต่ละชนิดจะช่วยบรรเทาอาการอุจจาระเหลวให้ดีขึ้น ทั้งนี้ อาการท้องเสีย หากปล่อยไว้โดยไม่ทำการรักษาอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น การขาดน้ำอย่างรุนแรง อาการอื่นๆ แทรก ยาแก้ท้องเสียมีอะไรบ้างยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยาที่นำมาใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ นั้นมีหลายชนิดด้วยกัน โดยผู้ป่วยควรปรึกษาเภสัชกร อ่านฉลากก่อนรับประทาน และใช้ยาตามคำแนะนำ อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงให้ได้มากที่สุด โดยตัวอย่างยาที่ช่วยบรรเทาอาการ ท้องเสียมีดังนี้ ผงเกลือแร่ (Oral Rehydration Salts: ORS) อาการท้องเสียมักส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำและ เกลือแร่ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ การจิบผงเกลือแร่ (Oral Rehydration Salts: ORS) บ่อย ๆ จะช่วยทดแทนน้ำและเกลือแร่อย่างโซเดียมและโพแทสเซียมที่เสียไป จึงช่วย ป้องกันภาวะขาดน้ำได้เป็นอย่างดีผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียควรระมัดระวังในการเลือกดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ให้ ถูกประเภท โดยไม่ควรดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย (Sport Drink) แทน ผงเกลือแร่ ORS เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวมักมีน้ำตาลสูงและมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายน้อยกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้อาการท้องเสียแย่ลง ยาพาราเซตามอล คนที่มีอาการปวดหรือรู้สึกไม่สบายตัวร่วมด้วยอาจรับประทานยา แก้ปวด อย่างยาพาราเซตามอลได้ แต่ปริมาณยาที่ควรใช้จะต่างกันไปขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้ป่วยแต่ละคน จึงควร อ่านฉลากก่อนใช้ยาเสมอ นอกจากนี้ ไม่ควรใช้ยาเกินวันละ 4,000 มิลลิกรัม และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 5 วัน เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะตับ
21 รูปภาพที่2.8 ยาดมหรือยาแก้วิงเวียน ยาดม เป็นยาที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าตั้งแต่ พ.ศ.ไหน แต่หากเราได้นับย้อนยี่ห้อยาดมที่วางขายเป็นเจ้าแรกๆ ของท้องตลาด ก็คงหนีไม่พ้นยี่ห้อโป๊ยเซียน ได้ วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2479 และได้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน โดยในปัจจุบันยาดมก็ได้มี การผลิตขึ้นมามากมายหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็จะมีส่วนประกอบสำคัญที่แตกต่างกันไป แต่โดยหลักๆ ก็จะ มีพิมเสน, การบูร, น้ำมันยูคาลิปตัส และเกล็ดสะระแหน่ ส่วนพืชสมุนไพรอื่นๆ ก็จะต่างกันไปตามยี่ห้อ อีกทั้ง ได้ผลิตกลิ่นต่างๆ ออกมามากมาย เช่น กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว กลิ่นเปเปอร์มินท์ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ หลากหลายมากขึ้น อาการวิงเวียนศีรษะ เป็นอาการที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เกิดจากความผิดปกติของ อวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งจะมีอาการหน้ามืด, บ้านหมุน, รู้สึกโคลงเคลง รวมไปถึงอาการปวดหัวจี๊ดๆ ทั้ง ที่ตัวเองกำลังยืนตรงปกติ อาการเหล่านี้อาจเกิดจากการยืนตากแดดเป็นเวลานานหรือการที่คุณ เคลื่อนไหว/หันร่างกายไปมาเร็วเกินไป แต่เชื่อเถอะค่ะว่าไม่มีใครชอบอาการเหล่านี้แน่นอน ในปัจจุบันจึงมี หลายๆ บริษัทได้คิดค้นและผลิตตัวยาที่ช่วยในเรื่องของการเวียนหัวกันมากขึ้น ทั้งยาแผนปัจจุบันและยาแผน โบราณ หากใครที่มีอาการเวียนหัวหรือหน้ามืด เชื่อว่าสิ่งแรกที่มองหาไม่ใช่ยาแก้ปวด แต่เป็น “ ยาดม ” หรือ “ยาหม่อง” เพราะในยาดมเหล่านี้จะมีสารที่ออกฤทธิ์เร็ว ที่จะช่วยบรรเทาอาการได้ตรงจุด จุดเด่นของยาดม จึงเป็นการรักษาอาการโดยใช้กลิ่นบำบัด คล้ายๆ กับพวกเทียนหอมอโรม่าหรือน้ำมันหอมระเหย ที่มี ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาพวกปฏิชีวนะ ดังนั้นในตู้เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นของแต่ละบ้านนอกจาก จะมียาสามัญประจำบ้านแล้ว “ ยาดม ” ก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีติดบ้านไว้ จะเห็นได้ว่าในทุกวันนี้ ไม่ว่า เราจะเดินไปทางไหน ทั้งนักศึกษาหรือคนวัยทำงาน ก็มักจะพกยาดมติดตัวตลอดเวลา นั่นก็เพราะนอกจาก
22 จะแก้อาการวิงเวียนศีรษะแล้ว ยังช่วยให้ผู้ที่ดมรู้สึกโล่ง ผ่อนคลาย คลายเครียด จึงไม่แปลกที่ยาดมจะเป็น ยายอดฮิตมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนประกอบของยาดม พิมเสน เป็นวัตถุที่ได้จากต้นพิมเสน มักจะนำมาสกัดเพื่อใช้รักษาแผลสด แต่กลิ่นของมันมีกลิ่น หอม ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ ตัวลำต้นช่วยบำรุงหัวใจ ขับลม แก้จุกเสียดแน่นท้อง และยังช่วย สมานแผลสด แผลเรื้อรัง รวมไปถึงแผลเนื้อร้ายได้อีกด้วย เมนทอล / สะระแหน่ เป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่สกัดจากน้ำมันใบมิ้นท์ (ใบสะระแหน่) ลักษณะเป็นผลึกสีขาว มีกลิ่นหอมเย็น นิยมมาใช้แต่งกลิ่นยา, ลูกอม, หมากฝรั่ง, ยาสีฟัน และยาหม่องต่าง ๆ เป็นยาใช้ภายนอก ลดอาการปวดเมื่อย ฆ่าเชื้อ และช่วยขับลมได้ ผงการบูร มีลักษณะเป็นเกล็ดกลมๆ สีขาว หากตั้งทิ้งไว้ในอากาศก็จะระเหิดจนหมด มีรสร้อน ช่วยขับเสมหะและลม แก้คัน ขับเหงื่อ แก้ปวดตามเส้น แก้เคล็ดขัดยอก อีกทั้งยังช่วยลดอาการบวมจาก แมลงกัดต่อย เนื่องจากยาดมเป็นยาที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติหลากหลายชนิด และสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นก็มี คุณประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. แก้วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม 2. บรรเทาอาการคัดจมูก เนื่องจากหวัด 3. รักษาอาการคัน บวมแดง จากแมลงกัดต่อย 4. บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน 5. บรรเทาอาการ เมารถ เมาเรือ 6. ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
23 รูปภาพที่ 2.9 ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อ คือ ยาที่ช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อลาย ทำให้กล้ามเนื้อที่หดคลาย ตัวลง ใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดเฉียบพลัน โดยยาคลายกล้ามเนื้อแต่ละชนิดก็จะมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ยาคลายกล้ามเนื้อแต่ละชนิด 1. Orphenadrine : ออกฤทธิ์ต่อการทำงานของสารสื่อประสาทบางชนิดในสมอง ทำให้กล้ามเนื้อ คลายตัว จึงสามารถบรรเทาปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ ใช้รักษาอาการตึงของกล้ามเนื้อบริเวณ รอบศีรษะ กล้ามเนื้อต้นคอ หรือกล้ามเนื้อบริเวณหลัง 2. Tizanidine : ออกฤทธิ์ยับยั้งกระแสประสาทส่วนกลางที่ทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูก ส่งไปยังสมอง มีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ใช้รักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง รักษาอาการปวดจาก กล้ามเนื้อกระตุกที่เกี่ยวข้องกับภาวะทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก 3. Tolperisone : ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ลดการรับรู้และยังลดการทำงานของก้าน สมองต่อไขสันหลัง ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง จึงใช้บรรเทาอาการปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ 4. Baclofen : ออกฤทธิ์ยับยั้งการตอบสนองในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสา ทของ สมอง หรือไขสันหลังที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายอาการเกร็งตัวลง ใช้ รักษาอาการกล้ามเนื้อเกร็งกระตุกจากโรคปลอกประสาทเสื่อม (Multiple Sclerosis) และโรคฮันนิง ตัน (Huntington's Disease) และรวมถึงการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลังและโรคเกี่ยวกับไขสันหลัง
24 การรับประทานยาจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือต้องปรับพฤติกรรมร่วมด้วย เช่น การปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้ถูกต้อง ยืดกล้ามเนื้อให้ถูกวิธี และลหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้กล้า มเนื้อ บาดเจ็บ จึงจะช่วยคลายปวดเมื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ นอกจากนี้ การกินยาคลายกล้ามเนื้อควร อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และเภสัชกร สุดท้ายนี้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ไม่ควรซื้อยามากินเอง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาทุกครั้ง รูปภาพที่ 2.10 แอลกอฮอล์ล้างแผล แอลกอฮอล์ล้างมือ (Antiseptic) และแอลกอฮอล์ทำความสะอาดพื้นผิว (Disinfectant) ที่มี ความเข้มข้นร้อยละ 70 - 90 โดยปริมาตร สามารถช่วยป้องกันและทำลายเชื้อโรคโควิด -19 เชื้อ แบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อรา และไวรัสบางชนิดได้ แอลกอฮอล์ความเข้มข้นร้อยละ 70 - 90 กำลังดี แอลกอฮอล์ความเข้มข้นร้อยละ 70 - 90 โดยปริมาตร เมื่อละลายกับน้ำจะสามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้ม เซลล์ชื้อโรคได้ดี ทำให้โปรตีนเสียสภาพ เยื่อหุ้มเซลล์แตก และเข้าไปรบกวนระบบของเชื้อโรค ส่งผล ให้เชื้อโรคตาย ทำไมแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงเกินไป ถึงฆ่าเชื้อโรคได้ไม่ดี แอลกอฮอล์ควา มเข้มข้น ร้อยละ 91 ขึ้นไป นับว่ามีความเข้มข้นมากเกินไปส่งผลให้โปรตีนด้านนอกของเยื่อหุ้มเซลล์เสียสภาพ ได้เพียงอย่างเดียวเนื่องจากระเหยเร็ว จึงไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ดังนั้นแอลกอฮอล์ควา มเข้มข้นร้อย ละ 70 โดยปริมาตร ถือเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ
25 รูปภาพที่ 2.11 เบตาดีน ใช้ทาป้องกันและรักษาบาดแผลบริเวณผิวหนังที่มีใช้อย่างแพร่หลาย ด้วยเป็นยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ แบคทีเรียได้หลายชนิด รวมไปถึงยังมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์ ไวรัส เชื้อรา และโปรโต วิธีใช้ : ใช้ทา บาดแผลทั่วไปโดยไต้องเจือจาง รูปภาพที่ 2.12 ยาแดง
26 ยาแดง (mercurochrome) เหมาะกับแผลถลอกเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นบาดแผลที่ค่อนข้างลึก ยาจะทำ ให้แผลด้านบนแห้งแต่ด้านล่างยังคงแฉะอยู่ แผลจะหายช้า และเนื่องจากยามีส่วนผสมของสารปรอทหากใช้ บ่อยๆ อาจทำให้เกิดพิษจากสารปรอทได้ใช้แต้ม ทาแผลสด แผลพุพอง แต้มที่แผล แล้วใช้ผ้าสะอาดพันไว้ ยาแดง (mercurochrome 2 %) นิยมใช้กับแผลสด ยาเหลือง เป็นยารักษาแผลเปื่อย แผลเรื้อรัง ฆ่าเชื้อได้น้อยและออกฤทธิ์ช้า ไม่นิยมใช้กับแผลสด ยาแดง (mercurochrome 2 %) นิยมใช้กับ แผลสด ยาเหลือง เป็นยารักษาแผลเปื่อย แผลเรื้อรัง 1. ล้างแผลด้วยน้ำเกลือที่มาเป็นขวดๆ ในร้านยา เพราะค่า isotonic เข้ากับเนื้อเยื่อเรา ทำให้ ไม่แสบ ไม่ระคายเคืองเนื้อเยื่อมากเกินไป ทำความสะอาดแผลได้ดี ขั้นตอนนี้สกปรก ฝุ่น ผงต่างๆ ออกไปจากแผล 2. ใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบๆ แผล เพื่อลดจำนวนเชื้อโรครอบแผล ทาเป็นวงกว้างๆ รอบแผล แต่อย่าโดนแผลโดยตรง ใช้โพวิโดน ไอโอดีน 10 % (พวก เบตาดีนนั่นแหละ) ทาบนแผลเพื่อฆ่าเชื้อ แผลถลอกถากๆ บางๆ อาจจะปิด หรือไม่ปิดผ้าก๊อซก็ได้ แต่หากเป็นแผลที่ลึก หรือมีขนาดใหญ่ พอสมควร ควรแปะผ้าก็อซเอาไว้หลวมๆ พอให้อากาศถ่ายเทได้ 3. ผ้าก็อชปิดไว้เพียงเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก และฝุ่นละอองระหว่างที่ทำกิจวัตรประจำวัน 4. อย่า ให้แผลโดนน้ำ ก่อนอาบน้ำอาจเปลี่ยนเป็นพลาสเตอร์กันน้ำ คอยดูแลทำความ สะอาดแผลเรื่อยๆ เมื่อแผลเริ่มแห้ง เนื้อเริ่มประสาน แผลร่มตกสะเก็ด ไม่มีอาการปวดบวม หรือมี หนอง ก็เอาผ้าก็อซออก รอให้หายสนิทตามเวลา รูปภาพที่ 2.13 ชุดปฐมพยาบาล
27 อุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับช่วยเหลือคนที่ได้รับบาดเจ็บ เซ็ตอุปกรณ์ที่ควรมีติดไว้ สำหรับพยาบาล ผู้ป่วยยามฉุกเฉินมีให้เลือกหลายอย่าง ที่นิยมใช้บ่อยๆ ควรประกอบด้วย ยาล้างแผล ผ้าทำแผล พลาสเตอร์ ปิดแผล สำลี- ไม้พันสำลีถุงมือยางกรรไกร เทปติดแผล ผ้าปิดตา เข็มกลัดผ้ายืด ผ้าพันแผล ผ้าสามเหลี่ยม คล้องแขน ถุงพลาสติกเก็บขยะ กรณีนำเซ็ตปฐมพยาบาลติดตัวเวลาเดินทาง ควรเขียนประวัติส่วนตัวของ คนในครอบครัวเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่แพ้ กรุ๊ปเลือด รวมถึงเบอร์ติดต่อฉุกเฉินของหน่วยแพทย์ไว้ที่ กล่องพยาบาล 2.5 ผู้ป่วย ผู้ป่วย, ผู้รับการรักษา, คนไข้ หมายถึงผู้ที่เข้ารับบริการสุขภาพรูปแบบใดๆ จากแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาลเวชปฏิบัติ สัตวแพทย์ หรือบุคลากร สาธารณสุขอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จ ะ มี อาการป่วยจากโรคหรือการบาดเจ็บ และจำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่บางครั้งอาจไม่ต้องก็ได้ 2.6 นักเรียน นักศึกษา นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนในโรงเรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาอาชีวศึกษา ใน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (บางครั้งอาจใช้ใน ความหมายกว้าง หมายถึงผู้ศึกษาในสถานศึกษาทั้งหมดก็ ได้) นักศึกษา หมายถึง ผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาหรืออาชีวศึกษาในระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (นิสิตเป็นคำที่ใช้เฉพาะในสถาบันอุดมศึกษา บางแห่งเท่านั้น) “นักเรียน” หมายถึง ผู้เรียนในระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) “นักศึกษา” หมายถึง ผู้เรียนในระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ระดับอุดมศึกษา และผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น ในสถานศึกษา ที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ 2.7 หัวหน้างานสวัสดิการ จัดและควบคุมดูแลสวัสดิการและการให้บริการด้านต่า งๆ ภา ยในถานศึกษา เช่น ร้านอาหาร น้ำดื่ม การทำบัตรประกันสุขภาพ การทำประกันอุบัติเหตุ การทำใบอนุญาตขับขี่ การขอใช้ สิทธิลดค่าโดยสารและยานพาหนะต่างๆ การตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจหาสารเสพติด ของ นักเรียนนักศึกษา และผู้เข้ารับการฝึกอบรมจัดหาเครื่องมือและเวชภัณฑ์ เพื่อปฐมพยา บา ลและการ ให้บริการสุขภาพแก่นักเรียนนักศึกษา และผู้เข้ารับการฝึกอบรมดำเนินการเกี่ยวกับการปฐมพยา บา ล การบริการทางสุขภาพแก่นักเรียนนักศึกษา ผู้เข้ารับการฝึกอบรม และบุคลากรของสถา นศึกษา ให้ คำปรึกษาและทำหน้าที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ สิ่งเสพติดและโรคภัย ร้ายแรงต่างๆ ทั้งการป้องกันและรักษาจัดการตรวจติดตามและควบคุมดูแลการเข้าพักทั้งภา ยในและ ภายนอกสถานศึกษาให้เป็นไป ตามระเบียบจัดโรงอาหาร วางแผน จัดระบบและควบคุมดูแลการ
28 ประกอบอาหารและการให้การบริการแก่นักเรียนนักศึกษา และผู้เข้ารับการฝึกอบรมให้ถูกต้องตาม หลักโภชนาการที่ดีประสานงานและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภา ยในและ ภายนอกสถานศึกษาจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงาน เสนอโครงการและรายงานการปฏิบัติงา นตา มลำดับ ขั้นดูแล บำรุงรักษา และรับผิดชอบทรัพย์สินของสถานศึกษาที่ได้รับมอบหมาย 2.8 เจ้าหน้าที่งานสวัสดิการ จัดและควบคุมดูแลสวัสดิการและการให้บริหารด้า นต่า งๆ ภายในสถานศึกษา เช่น ร้านอาหารน้ำดื่ม การทำบัตรประกันสุขภาพ การทำประกันอุบัติเหตุ การทำใบอนุญาตใบขับขี่ การ ขอใช้สิทธิลดค่าโดยสารและยานพาหนะต่างๆ การตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจหาสารเสพติด ของ นักเรียนนักศึกษาและผู้เข้ารับการฝึกอบรมจัดหาเครื่องมือและเวชภัณฑ์ เพื่อปฐมพยาบา ลและให้การ บริการสุขภาพแก่นักเรียนนักศึกษา และผู้เข้ารับการฝึกอบรมดำเนินการเกี่ยวกับกา รปฐมพยา บา ล การบริการสุขภาพแก่นักเรียนนักศึกษาและผู้เข้ารับการฝึกอบรมและบุคลา กรของสถา นศึกษา ให้ คำปรึกษาและทำหน้าที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ สิ่งเสพติดและโรคภัย ร้ายแรงต่างๆ ทั้งการป้องกันและรักษาจัดการตรวจติดตามและควบคุมดูแลการเข้าพักทั้งภา ยในและ ภายนอกสถานศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบจัดโรงอาหาร วางแผน จัดระบบและ ควบคุมดูแลการ ประกอบอาหารและการให้บริการแก่นักเรียนนักศึกษา และผู้เข้ารับการฝึกอบรมให้ถูกต้องตา มหลัก โภชนาการที่ดีประสานงานให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภา ยในและภา ยนอก สถานศึกษาจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงาน เสนอโครงการและรายงานการปฏิบัติงานตา มลำดับขั้นตอน ดูแล บำรุงรักษาและรับผิดชอบทรัพย์สินของสถานศึกษาที่ได้รับมอบหมายปฏิบัติงา นอื่นตา มที่ได้รับ มอบหมาย 2.9 วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เดิมใช้ชื่อ วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี แห่ง ที่ 2 จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่18 มิถุนายน 2540 เริ่ม ดำเนินการก่อสร้างเมื่อ วันที่ 9 กันยายน 2540 บนพื้นที่ 64 ไร่ กำหนดแล้ว เสร็จวันที่ 8 พฤษภาคม 2541 และเริ่มเปิดทำการเรียนการสอน เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2541 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการการศึกษาแก่ชุมชน ที่อยู่ ห่างไกลจากตัวเมืองได้มีโอกา สทา ง การศึกษาเพิ่มขึ้น ปี พ.ศ.2542 ได้ รับงบประมาณจัดสร้างอาคารอำนวยการ 3 ชั้นจำนวน 1 หลัง อาคาร ปฏิบัติการ 4 ชั้น จำนวน 1 หลังและอาคารฝึกงานจำนวน 1 หลังแล้วเสร็จเมื่อ วันที่ 18 ธันวาคม 2542 วิทยาลัยจัดการเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ(ปวช.) ปี พ.ศ. 2543 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้มีคำ สั่งเปลี่ยนชื่อวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี แห่งที่ 2 เป็น
29 วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 66 หมู่ 9 ถนนมิตรภาพ – น้ำตกเจ็ดสา วน้อย ตำบล มิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี 18180 2.10 Microsoft office Word 2019 ในปัจจุบันการใช้งานโปรแกรมชุด Microsoft Office (ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ) เป็นที่นิยม แพร่หลายอย่างมากในสำนักงานเพราะว่าโปรแกรม Microsoft Office (ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ) สามารถใช้ งานง่าย และมีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและส่วนมากที่จะใช้ใน การพิมพ์ เอกสารต่างๆ ก็จะเป็น Microsoft Word (ไมโครซอฟท์ เวิร์ด)ในวันนี้ มาทำความรู้จักกับ Microsoft Word (ไมโครซอฟท์ เวิร์ด) ว่าโปรแกรมนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง Microsoft Word (ไมโครซอฟท์ เวิร์ด) เป็นโปรแกรม ประมวลผลคำแบบพิเศษช่วยให้สร้างเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพและ ประหยัดเวลาเหมาะ กับงานด้านการพิมพ์เอกสารทุกชนิด สามารถพิมพ์ เอกสารออกมาเป็นชุดๆ ซึ่งเอกสารอาจเป็นจดหมาย บันทึกข้อความ รายงาน บทความ ประวัติย่อ และยังสามารถตรวจสอบทบทวน แก้ไข ปรับปรุง ความ ถูกต้องในการพิมพ์เอกสารได้อย่างง่ายดาย สามารถตรวจ สอบ สะกดคำและหลักไวยากรณ์ เพิ่มตาราง เพิ่มกราฟิก ในเอกสารได้อย่าง ง่ายดายหรือเพิ่มเติมข้อมูลได้ตลอดเวลา ประโยชน์ของโปรแกรม Microsoft Word 1. มีระบบอัตโนมัติต่างๆ ที่ช่วยในการทำงานสะดวกขึ้น เช่น การ ตรวจคำสะกดการตรวจสอบ ไวยากรณ์การใส่ข้อความอัตโนมัติ เป็นต้น 2. สามารถใช้ Word สร้างตารางที่สลับซับซ้อนย่างไรก็ได้ 3. สามารถใช้สร้างจดหมายได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถ กำหนดให้ผู้วิเศษ (Wizard) ใน Word สร้างแบบฟอร์มของจดหมายได้หลายรูปแบบตามต้องการ 4. ตกแต่งเอกสารได้ง่าย และรวดเร็วสามารถตกแต่งเอกสารหรือเพื่อ ความสะดวกจะให้ Word ตกแต่งให้ก็ได้ โดยที่สามารถเป็นผู้กำหนดรูปแบบของเอกสารเอง 5. สามารถแทรกรูปภาพ กราฟ หรือผังองค์กรลงในเอกสารได้ 6. เป็นโปรแกรมที่ทำงานบนวินโดว์ ดังคุณสมบัติต่างๆ ของวินโดว์จะ มีอยู่ใน Word ด้วย เช่น สามารถย่อขยายขนาดหน้าต่างได้สามารถเรียกใช้รูปแบบอักษรที่มีอยู่ มากมายในวินโดว์ได้ 7. ความสามารถในการเชื่อมต่อกับโปรแกรมอื่นๆ ในชุดโปรแกรม Microsoft Office สามารถ โอนย้ายข้อมูลต่างๆ ระหว่างโปรแกรมได้ เช่น สามารถดึงข้อมูลใน Excel มาใส่ใน Word 8. อยากทราบอะไรเกี่ยวกับ Word ถามผู้ช่วยเหลือที่มีชื่อว่า “ Office Assistance ” ตลอดเวลา ขณะที่ใช้งาน Word สร้างเอกสารให้ใช้งานในอินเตอร์เน็ตได้ อย่างง่ายๆ 9. จากที่กล่าวมานี้เป็นเพียงความสามารถบางส่วนของ Microsoft Word เท่านั้น รายละเอียด อื่นๆ จะขอกล่าวถึงในภายหลัง
30 2.11 SPSS 22 โปรแกรมวิเคราะห์ทางสถิติ ใช้สำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติแบบ batched และ non-batched ผลิตโดย SPSS Inc. ซึ่ง IBM ได้ซื้อมาในปี พ. ศ. 2552 ใน ปัจจุบันมีชื่อว่า IBM SPSS Statistics ถูกใช้ สำหรับการสร้างแบบสำรวจและ การใช้งาน (IBM SPSS Data Collection) SPSS เป็นโปรแกรมที่ใช้กัน อย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์ทางสถิติทาง สังคมศาสตร์ นิยมใช้โดยนักวิจัยตลาดนักวิจัยด้า น สุขภาพ บริษัทสำรวจ รัฐบาล นักวิจัยด้านการศึกษา องค์กรด้านการตลาด และอื่นๆ การวิเคราะห์ ข้อมูลของโปรแกรม SPSS ขั้นพื้นฐาน การใช้งานโปรแกรม SPSS สามารถใช้งานได้ตั้งแต่เรื่องที่เกี่ยวข้อง กับการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การทำบัญชีค่าใช้จ่ายของครอบครัว การวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อสิ่ง ต่างๆ และการวิเคราะห์ทัศนคติ เป็นต้น โดยการใช้โปรแกรม SPSS ควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานด้าน สถิติ อย่างเช่น ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เป็นต้น โดยการใช้งานโปรแกรม SPSS สามารถจัดการและ นำเสนอข้อมูล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ หรือการจัดเก็บข้อมูลใน ลักษณะต่างๆ อย่างการสร้างแฟ้มข้อมูล การปรับปรุงแก้ไขข้อมูล ทำให้ผู้ใช้งานสะดวกมากขึ้นได้ด้วย การ ใช้ SPSS ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติรูปแบบการใช้งานโปรแกรม SPSS ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ จะดูซับซ้อน เพราะเป็นการนำเอาเทคนิคทางสถิติเข้ามาร่วมใช้ด้วย โดยมีทั้งการวิเคราะห์แบบเบื้องต้น เช่น ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าฐานนิยม ค่าแสดงตำแหน่งของข้อมูลอย่างควอไทล์ หรือการนำเสนอในรูปแบบ กราฟ การแจกแจงความถี่ในรูปแบบของตาราง ฯลฯ ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคทางสถิติ เช่น การใช้ Factor Analysis, Discriminant Analysis เป็นต้น การจัดการข้อมูล และผลลัพธ์โปรแกรม SPSS ยังมีความสามารถในการจัดเก็บหรือดำเนินการกับข้อมูลในรูปแบบต่างๆ นอกจากการ copy paste หรือ delete แล้วยังสามารถเปลี่ยนรูปข้อมูล เลือกข้อมูล และส่งผลลัพธ์ที่ได้รับการดำเนินการแล้วไปอยู่ใน รูปแบบ Text, รูปแบบ Graphic หรือรูปแบบ HTML ได้ด้วย 2.12 canva คือ แพลตฟอร์มออกแบบกราฟิกไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานเพื่อใช้ลง Social Media Presentation งานสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงภาพเคลื่อนไหว Canva เป็นแอพพลิเคชันสำหรับสร้างสื่อการนำเสนอหลากหลาย รูปแบบ เช่น Presentation, Poster, Card, Resume, Certificate, Infographic เป็นต้น ซึ่ง Canva นั้น จะมี ขนาดมาตรฐานให้เลือกหรือผู้ใช้สามารถกำหนดขนาดเองได้ Canva ใช้งานง่าย สวยงาม สามารถ แบ่งปันให้แก่ผู้อื่นได้
31 2.13 Google App script Apps Script ช่วยเปลี่ยนงานที่แสนน่าเบื่อให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ โดยการเชื่อมต่อกับ แอปพลิเคชันที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน คุณสามารถเพิ่มฟังก์ชันการทำงานหรือปรับแต่งการทำงาน ได้ทุกที่ทุกเวลาที่จำเป็น ทำให้ผู้ใช้มีเวลาให้ความสำคัญกับงานส่วนอื่นและสามารถใช้เวลาเหล่านั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย Apps Script สามารถทำให้คุณสร้างงานด้วยภาษายอดนิยมบนเว็บ อาทิ HTML, CSS และ JavaScript ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เฟรมเวิร์กใหม่ Apps Script ช่วยให้คุณสา มา รถ เชื่อมต่อการทำงานล่วงหน้ากับ Google Workspace API และบริการอื่นๆ ของ Google กว่า 100 รายการ เช่น YouTube, Google Analytics และ BigQuery ช่วยให้คุณรับประโยชน์จาก บริการทั้งหมดของ Google ได้อย่างเต็มที่ 2.14 Google Form Google Form เป็นเครื่องมือสร้า งแบบสอบถา มและฟอร์มออนไลน์ที่ง่ายต่อ กา ร ใช้ งานและฟรี ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถรวบรวมข้อมูลและควา มคิด เห็นจากลูกค้า พนักงา น และคู่ค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภา พ Google Form มีประโยชน์หลากหลายในเ ชิ ง ธุรกิจ เช่น ช่วยประหยัดเวลา และค่า ใช้ จ่าย เข้าถึงผู้ตอบได้กว้างขวา ง รวบรวมข้อ มู ล ได้ หลา กหลา ย และวิเครา ะห์ ข้อมูลได้ทันที หรือ Ex por t เป็น Ex cel เพื่อนำ ไ ป ท ำ PivotTable หรือ วิเคราะห์ ต่อด้วย Power BI ก็สามารถได้ Google Forms มีรูปแบบของ ฟอร์มให้เลือกมากมา ย ทั้งการ ลงทะเบียนการรับสมัครงาน ข้อสอบ เป็นต้น ประโยชน์ของ Google Form ในเชิงธุรกิจมีมากมาย ดังนี้ 1. ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย การสร้างแบบฟอร์มออนไลน์ด้วย Google Form นั้นง่ายและ รวดเร็วไม่จำเป็นต้องพิมพ์แบบฟอร์ม กระดาษหรือจ้างพนักงานมาช่วยตอบคำถาม 2. เข้าถึงผู้ตอบได้กว้างขวาง แบบฟอร์มออนไลน์สามารถส่งถึงผู้ตอบได้ ทั่วโลก ผ่านอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือลิงก์แบบแชร์ง่าย 3. รวบรวมข้อมูลได้หลากหลาย Google Form มีให้เลือกหลากหลายรูป แบบ รวมถึงคำถามแบบ ปรนัย คำถามแบบอัตนัย คำถามแบบเลือก หลายข้อ คำถามแบบเรียงลำดับความสำคัญ และคำถามแบบ อื่นๆ อีก มากมาย 4. วิเคราะห์ข้อมูลได้ทันที Google Form ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถ วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแบบ เรียลไทม์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการ ปรับปรุงการดำเนินงานหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ การส่ง แบบฟอร์ม เราสามารถทำการส่งแบบฟอร์มได้ทั้งทาง Email Address, Link และ Website ในรูปแบบ iframe ตัวอย่างการใช้งาน Google Form ในเชิงธุรกิจ มีดังนี้
32 1. สำรวจพึงพอใจลูกค้า - สร้างแบบประเมินความพึงพอใจลูกค้า 2. สำรวจความต้องการลูกค้า - สร้างแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลความ ต้องการและความคิดเห็น จากลูกค้า 3. จัดงานและกิจกรรม - ใช้ Google Form สำหรับรับสมัครงานหรืองาน สัมมนา 4. ออร์เดอร์สินค้า - สร้างฟอร์มสำหรับรับคำสั่งซื้อหรือแจ้งข้อมูลสินค้า 5. ควบคุมคุณภาพ – สร้างแบบสอบถามประเมินพนักงานหรือบริการ 6. รวบรวมข้อมูล - สำหรับทำงานวิจัยหรือเก็บข้อมูลสถิติในองค์กร Google Form เป็น เครื่องมือที่มีประโยชน์หลากหลายสำหรับธุรกิจ ต่างๆ ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถรวบรวมข้อมูลและความ คิดเห็นจาก ลูกค้า พนักงาน และคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการใช้งานพื้นฐาน 1. เข้าสู่ระบบบัญชี Google หรือ Gmail และไปที่ Google Form 2. เลือกเทมเพลทหรือสร้างใหม่ 3. เพิ่มคำถาม, ตัวเลือก, หรือส่วนข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ 4. แชร์ลิงก์แบบสอบถามหรือฝังลงในเว็บไซต์ 5. ดูผลลัพธ์ผ่าน Google Sheet หรือในหน้ารวบรวมข้อมูลของ Google Form 6. การใช้ Google Form สามารถช่วยประหยัดเวลาและลดความซับซ้อน ของการจัดกา ร ข้อมูลในองค์กรได้มาก การแสดงผลแบบ Realtime Google Form สามารถแสดงผลได้แบบ Realtime โดยคลิกที่ เมนู การตอบกลับ 2.15 Google Sheet Google Sheet (กูเกิล ชีท) เป็นแอปพลิเคชันในกลุ่มของ Google Drive (กู เกิล ไดรฟ์) ซึ่งเป็น นวัตกรรมของ Google (กูเกิล) มีลักษณะการทำงานคล้าย กันกับ Microsoft Excel (ไมโครซอฟท์ เอ็ก เซล) คือสามารถสร้าง Column, Row สามารถใส่ข้อมูลต่างๆ ลงไปใน Cell (เซลล์) ได้ และ คำนวณสูตร ต่างๆ ได้ข้อดีของการใช้ Google Sheet 1. เป็นบริการให้ใช้ฟรีจาก Google (กูเกิล) 2. สามารถทำงานเป็นทีมได้ : สามารถทำงานร่วมกันในสเปรดชีท (Spreadsheet) ได้ในเวลา เดียวกันอกจากนี้ยังสามารถแชร์งาน แก้ไขแบบ เรียลไทม์ หรือแม้กระทั่งแชทและแสดงควา มคิดเห็นกับ บุคคล 3. ไม่ต้องกด “บันทึก ”อีกเลย : เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้นในสเปรดชีท ทุกการ พิมพ์จะถูกบันทึกไว้ ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ และยังสามารถใช้ประวัติการแก้ไข เพื่อดูเวอร์ชั่นเก่าๆ ของสเปรดชีทเดียวกัน โดย จัดเรียงตามวันที่และคนที่แก้ไข
33 4. สามารถทำงานได้กับ Microsoft Excel (ไมโครซอฟท์ เอ็กเซล): สามารถ เปิด แก้ไข และบันทึก เป็นไฟล์ไมโครซอฟต์เอ็กเซล ความสามารถของ Google Sheet สร้างตาราง สร้างเอกสารคำนวณสร้าง การคำนวณมีสูตรคำนวณมากมาย (หลายสูตรเหมือน Excel และมีบางสูตรไม่เหมือน Excel) สามารถ จัดรูปแบบอัตโนมัติได้คล้ายๆ Conditional Formatting ใน Excel ทำการสรุปข้อมูลได้ด้วย Pivot Table มีกราฟให้เลือกมากมาย เช่น Column, Bar, Pie, Treemap, Map เป็นต้นทำงานได้โดยใช้ Browser เท่านั้น ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆ มีการบันทึกข้อมูลให้อัตโนมัติ (Autosave)แชร์ (Share) และแจ้งเตือน (Notification) ได้สามารถนำเอา Excel แปลงเป็น Sheets ได้สามารถ Download เอกสาร Sheets เป็น ไฟล์ Excel, CSV, PDF ได้สามารถใช้เป็น Data Source ให้กับ Power BI หรือ Google Data Studio ได้ สามารถติดตั้ง Add-Ons เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความสามารถให้ Sheets ได้ เช่น การทำ Mail Merge การ นำเข้าข้อมูลจาก Google Classroom, Google Analytics เข้ามาใน Sheets ได้คำถามที่หลายคนจะ สอบถามว่าเปรียบเทียบกับ Excel เป็นอย่างไร ข้อดี ข้อเสีย เทียบกับ Google Sheets ลองดูได้ที่ เปรียบเทียบ Microsoft Excel กับ Google Sheet 2.16 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.17.1 พรทิพย์ วงศ์สินอุดม (2558 : บทคัดย่อ) การพัฒนาแอปพลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์ พกพาร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 จังหวัดเพชรบุรีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพา ร่วมกับการเรียนแบบเพื่อน ช่วยเพื่อน ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จังหวัดเพชรบุรี ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อน เรียนและหลังเรียนด้วยแอปพลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพา ร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน 3. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เมื่อเรียนด้วยแอปพลิเค ชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพาร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดโพพระใน (รุ่งรังสฤษฏ์) อ.เมือง จ.เพชรบุรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียน ที่2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 20 คนโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือ ที่ใช้ คือ 4.1 แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเพื่อใช้สอบถามผู้เชี่ยวชาญในการสร้า งแอป พลิเคชัน บทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพา 4.2 แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพาร่วมกับการ เรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
34 4.3 แอปพลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพา 4.4 แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ร่วมกันแบบเพื่อนช่วยเพื่อนด้ วยแ อป พลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพาร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน 4.5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา 4.6 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อแอปพลิเค ชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพาร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนาแอปพลิเคชันบทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพาร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จังหวัดเพชรบุรี มีค่า ประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.33/82.50 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 75/75 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลัง 13 เรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวม มีพฤติกรรมการเรียนรู้ร่วมกันอยู่ในระดับดี 4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยแอปพลิเคชัน บทเรียนบนคอมพิวเตอร์พกพา ร่วมกับการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ อยู่ใน ระดับมาก 2.17.2 สวียา สุรมณี และ รุ้งนภาพร ภูชาดา (2558 : บทคัดย่อ) การพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อการ เรียนรู้บนแท็บเล็ต เรื่ององค์ประกอบของระบบสารสนเทศ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้ มี วัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ต เรื่ององค์ประกอบของระบบสารสนเทศ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2. ศึกษาคุณภาพของแอพพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ต เรื่ององค์ประกอบของ ระบบสารสนเทศ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3. ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อแอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ตเรื่อง องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มทดลองที่ใช้เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4/2 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 34 คน เครื่องมือ ที่ใช้ คือ แอพพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ต เรื่ององค์ประกอบของระบบสารสนเทศ สำหรับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 แบบประเมินคุณภาพแอพพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ตและแบบสอบถามความพึง พอใจของผู้เรียนสถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย 3.1 แอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ต เรื่ององค์ประกอบของระบบสารสนเทศ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก
35 3.2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้บนแท็บเล็ตที่พัฒนาขึ้น โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2.17.3 บรรฑูรณ์ สิงห์ดี (2558 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยและพัฒนาสื่อแอปพลิเคชันบนแท็บ เล็ต ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิจัยและพัฒนาสื่อแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอย์รายวิชาการงาน อาชีพและเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะดังนี้ 1. เพื่อ พัฒนาสื่อแอพพลิเคชั่นบนแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอย์รายวิชาการงาน อาชีพ และเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อหาประสิทธิภาพสื่อแอพพลิเคชั่นบนแท็บเล็ต ระบบปฏิบัติกา รแอนดรอยด์ รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็น นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 30 โรงเรียนเทพศิรินทร์ลาด หญ้า กาญจนบุรีอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรีจำนวน 42 คน ซึ่งได้จาก การสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษาค้นคว้า ได้แก่ 2.1 สื่อแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅ ) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสถิติt - test แบบ Dependent 14 ผลการวิจัยพบว่า 2.2.1 ประสิทธิภาพของสื่อแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตระ บบปฏิบัติกา รแอน ดรอยด์ รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภา พ 86.00/84 .92 เป็นไปตาม เกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2.2.2ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 12.90 คะแนน และ 36.88 คะแนนตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนของ นักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.2.3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภายหลังการเรียนโดยใช้สื่อ แอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์กับเกณฑ์ร้อยละ 80 มีค่าเท่ากับ 87.80 ซึ่งสูง กว่า เกณฑ์ร้อยละ 80 2.17.4 ดาราวรรณ นนทวาสี (2557 : บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อ การเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์: กรณีศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน ท่าขุมเงินวิทยาคาร จังหวัดลำพูน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาองค์ประกอบของแอปพลิเคชัน เพื่อการเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ : กรณี ศึกษาสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนทาขุมเงินวิทยาคาร จังหวัดลำพูน
36 2. พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้ใช้ที่มีต่อแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์โดยกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนทาขุมเงินวิทยาคาร จังหวัด ลำพูน จำนวน 32 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 3.1 องค์ประกอบสำคัญในการสร้างแอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการ แอน ดรอยด์คือ องค์ประกอบที่ 1 การใช้งานแอปพลิเคชัน องค์ประกอบที่ 2 การออกแบบการแสดงผลแอปพลิเคชัน และองค์ประกอบที่ 3 การส่งเสริมการเรียนรู้ 3.2 ผลการประเมินความเหมาะสมของแอปพลิเคชัน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ และ คอมพิวเตอร์อยู่ในระดับมาก ( ̅ = 4.42 ) และผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.58 ) แอป พลิเคชัน เพื่อการเรียนรู้บน ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.47 /85.52 เป็นไป ตามเกณฑ์ที่กำหนด 3.3 ความคิดเห็นของผู้ใช้ที่มีต่อแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการแอน ดรอยด์อยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.51 ) 2.17.5 จุฬาวลี มณีเลิศดี (2564 : บทคัดย่อ) การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียงด้วยเ ทคโนโลยี ความเป็นจริง 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้แอปพลิเคชันส่งเสริมการดูแลผู้สูงอา ยุกลุ่มติดเตียง ด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม 3. ศึกษาการยอมรับที่มีต่อระบบกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญประเมิน ประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน จำนวน 5 คน ได้มาโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง ผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน จำนวน 30 คน และผู้ใช้ประเมินการยอมรับระบบของแอปพลิเคชัน จำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มอย่าง ง่าย โดย พัฒนาระบบเป็นแอปพลิเคชันบนแอนดรอยด์ด้วยโปรแกรม Android Studio และโปรแกรม Unity โปรแกรม Vuforia และใช้โปรแกรม Adobe Flash เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แอปพลิเคชันส่งเสริมการ ดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียง แบบประเมินประสิทธิภาพ แบบประเมินควา มพึง พอใจ แบบวัดการยอมรับระบบตาม แบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยีTAM สำหรับสถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้แอปพลิเคชันส่งเสริมการดูแล ผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียงด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริง เสริม ประกอบด้วยข้อมูลการทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยติด เตียงสำหรับผู้สูงอายุจำนวน 12 ท่า นำเสนอในรูปแบบ การ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติ วิดีโอ และภาพนิ่ง แอป พลิเคชันที่พัฒนาได้ผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากก่อน นำไปใช้งาน 2) ความพึงพอใจโดยผู้ใช้งานอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54 ส่วนเบี่ยงเบน
37 มาตรฐานเท่ากับ 0.64 และ 3) ผู้ใช้ระบบยอมรับระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.38 แอปพลิเคชันสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่งเสริมการดูแล ผู้สูงอายุได้ 2.17.6 เอมย์วิกา พุทธรักษา และคณะ (2560) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรื่อง คำราชาศัพท์บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันสื่อการ เรียนรู้ เรื่องคำราชาศัพท์บนระบบปฏิบัติการ Android 2. ทดสอบประสิทธิ์ภาพแอปพลิเคชันที่ได้พัฒนาขึ้น การประเมินแอปพลิเคชันแบ่ง ออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านคุณภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน และด้านความพึงพอใจของ ผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ครูผู้สอนรายวิชา ภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จังหวัด สุพรรณบุรีจำนวน 30 คน ซึ่งเป็นครูผู้สอนที่มีประสบการณ์การสอนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีเครื่องมือที่ใช้ ในการประเมินผลเป็นแบบสอบถามความ พึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือค่า เฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษา พบว่าแอปพลิเคชันสื่อการเรียนรู้เรื่องคำราชาศัพท์บน ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ มีความสมบูรณ์ มีเนื้อหาครบตามขอบเขตการพัฒนา ประสิทธิภาพการ ทำงานของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน อยู่ในระดับดีมาก สำหรับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง โดยรวมอยู่ในระดับดี กล่าวโดยสรุป แอปพลิเคชันสื่อการเรียนรู้เรื่องคำราชาศัพท์บนระบบปฏิบัติการแอน ดรอยด์ มีความเหมาะสมสำหรับ นำไปใช้เพื่อประกอบการเรียนการสอน 2.17.7 ญาดา อรรถอนันต์ และคณะ (2560) ได้ทำการศึกษาเรื่อง แอปพลิเคชันส่งเสริมการเรียนรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กบกพร่องทางการได้ยิน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน ส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภา ษาอังกฤษ สำหรับเด็ก บกพร่องทางการได้ยิน 2. เพื่อประเมินคุณภาพ ของแอปพลิเคชันส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับเด็ก บกพร่องทางการได้ยิน 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของแอป พลิเคชันส่งเสริมการ เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กบกพร่องทางการได้ยิน 4. เพื่อประเมินความพึงพอใจของแอปพลิเคชันส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับ เด็กบกพร่องทางการได้ยิน จากการวิจัยพบว่าแอปพลิเคชันส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับ เด็กบกพร่องทางการได้ยิน มีความน่าสนใจสำหรับเด็กบกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งความน่าสนใจของสื่อ เกิดจากความทันสมัยของสื่อ เพราะพัฒนาโดยใช้โมบายแอปพลิเคชันโดยผู้เรียนที่ได้ใช้งานแอปพลิเค ชัน นั้นมีความรู้และความเข้าใจโดยวัดได้จากการทำแบบทดสอบ เพื่อดูระดับค วา มรู้ของผู้เรียน