The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมุนไพรไทยรักษาโรค(3)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sanhaphitcha Sermsiri, 2024-02-12 08:11:06

สมุนไพรไทยรักษาโรค(3)

สมุนไพรไทยรักษาโรค(3)

สมุนไพร และ ยารักษาโรค นางสาวธาราทิพย์ แสนจันศรี


คำนำ การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรไทยเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาของคนไทยที่ได้รับการถ่ายทอดและสืบทอดมา จนถึง ปัจจุบันเพราะเป็นพืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆของมนุษย์ในสมัยก่อนยา จะทำจาก พืช สัตว์ และแร่ธาตุต่าง ๆ ตามสภาพธรรมชาติแต่ต่อมาได้มีวิวัฒนาการปรับปรุง หรือแปรสภาพโดยใช้เทคโนโลยี ใหม่ ๆ การใช้ยาสมุนไพรจะสามารถรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยได้หลาย อย่าง การพึ่งพาแพทย์แผนไทยนั้น ยังมี ความสำคัญต่อคนไทยเป็นจำนวนมาก การรักษาตนเองจะมีข้อดีที่เป็น การรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นก่อนที่ อาการจะกำเริบมากขึ้น ทั้งนี้การใช้สมุนไพรควรใช้ในปริมาณที่ เหมาะสมและถูกวิธี


สารบัญ หน้า ความหมายของสมุนไพร 1 ประเภทของสมุนไพร 2 • พืชสมุนไพร 2 • สัตว์สมุนไพร 34 ประโยชน์ของสมุนไพร 72 ความสำคัญของสมุนไพรด้านการสาธารณสุข 73 รูปแบบของสมุนไพร 74 หลักการในการใช้สมุนไพร 75 การเก็บรักษาสมุนไพร 76 คำแนะนำการใช้สมุนไพร 77 บทสรุป 77 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ 78


1 สมุนไพรไทยรักษาโรค สมุนไพรไทย พืชพื้นบ้านใกล้ตัว ภูมิปัญญาการรักษาโรคจากธรรมชาติ สรรพคุณและโทษ พืชเพื่อการ รักษาโรคต่างๆมีประโยชน์อย่างไร ลักษณะทั่วไป คุณค่าทางโภชนาการ เป็นต้น ความหมายของสมุนไพร สมุนไพร หมายถึง สิ่งที่นำมาใช้ประโยชน์เป็นยาเพื่อการรักษาโรคและบำรุงร่างกาย ซึ่งได้จากพืช สัตว์ หรือ แร่ธาตุ โดยมีการผสม ปรุง หรือ แปรสภาพ ในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วไปหากกล่าวถึง สมุนไพร คนทั่วไปมักนึกถึง พืชที่สามารถนำมาทำเป็นยาเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว สมุนไพร หมายรวมถึง สัตว์ หรือ แร่ธาตุจากธรรมชาติด้วย อ้างอิงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ประเภทของสมุนไพร การนำเอาทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ด้านการรักษาโรคนั้นมีหลากหลาย ซึ่งการแบ่งประเภท ของสมุนไพรไทย สามารถแบ่งได้หลายแบบ เริ่มตั้งแต่ แบ่งตามสรรพคุณในการรักษาโรค แบ่งตางลักษณะของพืช หรือ แบ่งตามที่มา ซึ่งเราสามารถแบ่ง ได้ 3 ลักษณะ คือ พืช สัตว์ และ แร่ธาตุ ที่นำมาใช้รักษาโรคได้ โดย รายละเอียด มีดังนี้ ประเภทของสมุนไพรแบ่งตามลักษณะของวัตถุดิบ


พืชสมุนไพร คือ พืชที่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ซึ่งพืชเป็นวัตถุดิบในการ นำมาทำพืชเพื่อการรักษาโรคมากที่สุด และยังสามารถแบ่งได้อีกมากมาย มีดังนี้ ถั่วลิสง อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันดี กากใยอาหาร สรรพคุณบำรุงหัวใจ ป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยลด น้ำหนัก ต้นถั่วลิสงเป็นอย่างไร คุณค่าทางโภชนาการและโทษมีอะไรบ้าง 2 ถั่วลิสง ภาษาอังกฤษ เรียก Peanut ชื่อวิทยาศาสตร์ของถั่วลิสง คือ Arachis hypogaea L. สำหรับชื่อเรียกอื่น ๆ ของถั่วลิสง เช่น ถั่วคุด ถั่วดิน ถั่วลิสง ถั่วยี่สง ถั่วลิง ถั่วใต้ดิน เหลาะฮวยแซ ถั่วยาสง เป็นต้น ถั่วลิสงอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันดี และ กากใยอาหาร มีสรรพคุณ เช่น บำรุงหัวใจ ป้องกัน โรคเบาหวาน ต้านมะเร็ง ราคาถูกเป็นอาหารที่หากินง่ายและได้ประโยชน์ไปในตัว ถั่วลิสง มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ สำหรับการปลูกถั่วลิสงในประเทศไทย มีการปลูก ทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่มีมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผลผลิตถั่วลิสงในปัจจุบัน ไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ จึงได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยแหล่งส่งออกถั่วลิสงที่ สำคัญ เช่น ประเทศจีน แอฟริกา อินเดีย อเมริกา งานวิจัยเกี่ยวกับถั่วลิสง โดยทีมวิจัยของ ศาตราจารย์วอร์เตอร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ประเทศ สหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่รับประทานถั่วลิสงทุกวันกับผู้ที่ไม่ได้รับประทาน พบว่าผู้ที่รับประทาน ถั่วลิสงทุกวันจะมีอายุที่ยืนยาวมากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานอย่างมีนัยสำคัญ และ คนที่กินถั่วลิสงมีความเสี่ยงต่อ การป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและโรคหัวใจ น้อยกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถั่วลิสงมากถึงสอง เท่า


ลักษณะของต้นถั่วลิสง ต้นถั่วลิสง เป็นพืชล้มลุก สามารถขยายพันธ์โดยการเพาะเมล็ดพันธ์ ลักษณะของต้นถั่วลิสง มีดังนี้ • ลำต้นถั่วลิสง ลำต้นมีความสูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นมีขน ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขามาก ลำต้น เลื้อย และ เจริญเติบโตตามแนวนอนทอดไปตามพื้นผิวดิน ลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย 3 • ใบถั่วลิสง ลักษณะใบเป็นใบประกอบแบบขนนก สลับกันอยู่บนข้อลำต้น ใบเป็นรูปไข่ ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว ปลายแหลม • ดอกถั่วลิสง ลักษณะดดอกออกเป็นช่อ ดอกจะเกิดตามมุมใบของลำต้นหรือกิ่ง ดอกมีสีเหลืองส้ม กลีบ รองดอกสีเขียว ก้านดอกสั้นมาก • ฝักถั่วลิสง ฝักของถั่วลิสงจะอยู่ใต้ดิน แพร่กระจายเป็นกระจุก เปลือกของฝักมีลักษณะแข็งเปราะ มี ลายเส้นชัด ฝักมีสีน้ำตาลอ่อนๆ ภายในฝักมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-6 เมล็ด • เมล็ดถั่วลิสง อยู่ภายในฝักภั่วลิสง เมล็ดถั่วลิสงจะมีเยื่อหุ้มสีขาว คุณค่าทางโภชนาการของถั่วลิสง สำหรับการบริโภคถั่วลิสงเป็นอาหารนั้น นิยมรับประทานเมล็ดถั่วลิสง ซึ่งนักโภชนาการได้ศึกษา คุณค่าทางโภชนาการของถั่วลิสง ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงานมากถึง 570 กิโลแคลอรี มีสารอาหาร สำคัญประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 21 กรัม น้ำ 4.26 กรัม น้ำตาล 0 กรัม กากใยอาหาร 9 กรัม ไขมัน 48 กรัม ไขมันอิ่มตัว 7 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 24 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 16 กรัม โปรตีน 25 กรัม วิตามินบี1 0.6 มิลลิกรัม วิตามินบี3 12.9 มิลลิกรัม วิตามินบี6 1.8 มิลลิกรัม วิตามินบี9 246 ไมโครกรัม ธาตุแคลเซียม 62 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 2 มิลลิกรัม ธาตุแมกนีเซียม 184 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 336 มิลลิกรัม ธาตุโพแทสเซียม 332 มิลลิกรัมและธาตุสังกะสี 3.3 มิลลิกรัม เมล็ดถั่วลิสงมีน้ำมันเป็นองศ์ประกอบ ประมาณ 50 เปอร์เซนต์ ซึ่งน้ำมันถั่วลิสงมีประโยชน์มาก เนื่องจากมีโอเลอีน และกรดอะมิโนมีประโยชน์ในการสร้างเม็ดเลือดขาว ช่วยสร้างภูมคุ้มกันให้กับร่างกายได้ เป็นอย่างดีน้ำมันถั่วลิสงค์ เมล็ดถั่วลิสงสะสมของธาตุอาหารที่มีประโยชน์มากมายน้ำมันถั่วลิสงยังเป็นไบโอ ดีเซลได้ สามารถเติมเครื่องยนต์ดีเซลได้ ทนแทนการใช้น้ำมันได้


สรรพคุณของถั่วลิสง สำหรับการใช้ประโยชน์จากถั่วลิสง ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรคนั้น สามารถใช้ประโยชน์ จาก เมล็ด น้ำมันถั่วลิสง ใบ สรรพคุณของถั่วลิสง มีดังนี้ • น้ำมันถั่วลิสง สรรพคุณทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยระบายท้อง ช่วยหล่อลื่นลำไส้ แก้อาการปวดตามข้อ และอาการตามกล้ามเนื้อ ฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด 4 • ใบถั่วลิสง สรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต รักษาแผลฟกช้ำ แผลหกล้มกระแทก และแผลมีหนอง เรื้อรัง • เมล็ดถั่วลิสง สรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยบำรุงสมองและประสาทตา ช่วยเสริมสร้าง ความจำ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยบำรุงไขมันในร่างกาย ลดความเสี่ยงของ โรคเบาหวาน ช่วยบำรุงปอด รักษาอาการไอแห้งเรื้อรัง ช่วยรักษาอาการไอกรน ช่วยบำรุงกระเพาะ อาหาร ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาโรคบิด ช่วยรักษาพยาธิไส้เดือนที่อุดตันใน ลำไส้ช่วยบำรุงม้าม ช่วยห้ามเลือด ช่วยแก้อาการปลายเท้าเป็นเหน็บชา ช่วยบำรุงไขข้อ บำรุงเส้น เอ็น ช่วยบำรุงน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศ โทษของถั่วลิสง สำหรับการใช้ประโยชน์จากถั่วลิสง ต้องใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและในปริมาณที่เหมาะสม โดยโทษ ของถั่วลิสง มีดังนี้ • ถั่วลิสงมีสารพิวรีน ( Purine ) ปานกลาง ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรรับประทานในปริมาณที่จำกัด เพราะ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ข้ออักเสบมากขึ้น • ถั่วลิสงอาจมีสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา คือ สารอะฟลาทอกซิน ( Aflatoxin ) ซึ่งเป็นสารพิษที่เป็น สาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ตับ หัวใจ และสมองบวม อาจทำให้เกิดอาการชัก หายใจลำบาก และตับ ถูกทำลายได้ บอระเพ็ด รสขม ใช้ทำยารักษาโรคได้มากมาย นิยมใช้เถามาปรุงยา สรรพคุณของบอระเพ็ด บำรุงผิวพรรณ ช่วยเจริญอาหาร บำรุงเลือด สามารถประใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน


5 บอระเพ็ด ภาษาอังกฤษ เรียก Heart leaved moonseed ชื่อวิทยาศาตร์ของบอระเพ็ด คือ Tinospora crispa (L.) Hook. f. & Thomson สำหรับชื่ออื่น ๆของบอระเพ็ด เช่น จุ่งจิง เครือเขาฮอ ตัวเจตมูลยาน เถาหัวดำ เจตมูลหนาม หางหนู เป็นต้น ลักษณะของต้นบอระเพ็ด ต้นบอระเพ็ด เป็นพืชท้องถิ่น สามารถพบได้ทุกภาคของประเทศไทย และ สามารถพบมากตามป่า ดงดิบและป่าเบญจพรรณ บอระเพ็ดจะเป็นเภาเกาะตามพุ่มไม้ใหญ่ เถาบอระเพ็ดจะเลื้อยตาม ต้นไม้ต่าง ๆ สามารถขยายพันธ์โดยการเพาะเมล็ดพันธุ์ และ การปักชำ ลักษณะของต้นบอระเพ็ด มีดังนี้ • ลำต้นบอระเพ็ด เป็นลักษณะเถาไม้เนื้ออ่อน ยาวมากกว่า 10 เมตร ผิวของลำต้นเป็นตะปุ่มตะป่ำ เถา มีสีเขียวเข้ม และหากเถามีอายุมากจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เถาบอระเพ็ดน้ำยางสีเหลือง เถาบอระเพ็ด รสขมจัด • ใบบอระเพ็ด เป็นลักษณะใบเดี่ยว เรียงสลับกันจามเถา ลักษณะของใบคล้ายรูปหัวใจ เหมือนใบพลู ขอบใบเรียบ ปลายใบมีหยัก ใบบอระเพ็ดมีสีเขียวเข้ม มีขนอ่อนๆ • ดอกบอระเพ็ด ลักษณะเป็นช่อ ดอกออกตามซอกใบ เกสรมีสีขาว • ผลบอระเพ็ด ลักษณะกลมรี มีเปลือกบาง ๆ ห่อหุ้ม ผลบอระเพ็ดมีสีเขียว และ ผลสุกมีสีเหลือง สรรพคุณของบอระเพ็ด


6 บอระเพ็ดมีรสขม นิยมนำมาทำยารักษาโรค สำหรับการใช้ประโยชน์จากบอระเพ็ดด้านการบำรุง ร่างกายและการรักษาโรค สามารถใช้ประโยชน์จาก ใบ เถา ผล ดอก และ ราก ซึ่งสรรพคุณของ บอระเพ็ด มีดังนี้ • ใบบอระเพ็ด สรรพคุณบำรุงผิวพรรณ ช่วยชะลอวัย บำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมดกดำ แก้ผมร่วง แก้ อาการคันหนังศีรษะ รักษารังแค รักษาชันนะตุ บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ลดความอ้วน ลด ความดัน บำรุงเลือด ช่วยลดไข้ สร้างความชุ่มชื่นในลำคอ บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยขับพยาธิแก้ปวด เมื่อยตามร่างกาย ช่วยรักษาโรคผิวหนัง • ดอกบอระเพ็ด สรรพคุณช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ช่วยฆ่าพยาธิในฟัน และ ช่วยฆ่าพยาธิในหูแก้ปวด เมื่อยตามร่างกาย • รากบอระเพ็ด สรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันมะเร็ง ลดความดัน ช่วย เจริญอาหาร ช่วยดับพิษร้อน ช่วยลดไข้บำรุงเหงือกและฟัน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลม แก้ปวด เมื่อยตามร่างกาย • เถาบอระเพ็ด สรรพคุณบำรุงร่างกาย แก้กระหายน้ำ เป็นยาอายุวัฒนะ ลดน้ำตาลในเลือด รักษา เบาหวาน ลดความดันโลหิต ช่วยเจริญอาหาร แก้ร้อนใน ช่วยขับเหงื่อ ช่วยลดไข้ รักษาไข้มาลาเรีย บำรุงเลือด บำรุงเหงือกและฟัน แก้ปวด ช่วยขับพยาธิไส้เดือน ช่วยบำรุงน้ำดีแก้ปวดเมื่อยตาม ร่างกาย ช่วยรักษาโรคผิวหนัง • ผลบอระเพ็ด สรรพคุณใช้ลดไข้บำรุงเหงือกและฟัน แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย โทษของบอระเพ็ด สำหรับการใช้ประโยชน์จากบอระเพ็ด มีข้อควรระวัง ดังนี้ • บอระเพ็ดการใช้เป็นเวลานานและในประมาณมาก ๆ ติดต่อกัน อาจทำให้มือเท้าเย็น แขนขาหมดแรง ได้ • มีการศึกษาสารสกัดจากบอระเพ็ด ทดลองในหนูขาว พบว่าการบริโภคบอระเพ็ดในปริมาณมากติดต่อ เป็นเวลานานเป็นพิษต่อไต ทำให้เป็นพิษต่อไตได้ สำหรับผู้ป่วยโรคตับและโรคไตไม่ควรรับประทาน บอระเพ็ดในปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันนาน ๆ


7 ถั่งเช่า สรรพคุณของถังเช่า บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ พืชที่มีราคาสูง มีสารสำคัญ เช่น สารคอร์ไดเซปิน กรดคอร์ไดเซปิก สารสเตรอล สารโพลีแซคคาไรด์สารไนตริกออกไซด์ ถั่งเช่า ภาษาอังกฤษ เรียก chong cao ชื่อวิทยาศาสตร์ของถั่งเข่า คือ Ophiocordyceps sinensis มี ความหมายว่า “ หญ้าหนอน ” หรือ “ ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า ” เรียกชื่ออื่น ๆ เช่น ตังถั่ง เช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า ( dong chong xia cao ) ถั่งเช่ามีสารสำคัญที่มีประโชน์ต่อร่างกาย ถึง 5 ชนิด คือ ประกอบด้วย สารคอร์ไดเซปิน ( Cardycepin ) กรดคอร์ไดเซปิก ( Cordycepic acid ) สารสเต รอล ( sterol ) สารโพลีแซคคาไรด์ ( Polysacharide ) และ สารไนตริกออกไซด์ ( Nitric Oxide ) 1. สารคอร์ไดเซปิน ( Cardycepin ) เป็นสารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของระบบ โลหิต ต้านเชื้อแบคทีเรีย บำรุงระบบการทำงานของไตและปอด ช่วยบรรเทาอาการไตอักเสบ รักษา โรคนิ่วในไต 2. กรดคอร์ไดเซปิก ( Cordycepic acid ) ช่วยกระตุ้นกระบวนการเมตาบอริซิม ( Metabolism ) ช่วยเพิ่มพลัง ชะลออาการเลือดออกในสมอง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหอบหืด 3. สารสเตรอล ( sterol ) ป้องกันไตอักเสบเรื้อรัง ป้องกันโรคหอบหืด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ของหัวใจ 4. สารโพลีแซคคาไรด์ ( Polysacharide ) ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยบรรเทา อาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยรักษาสมดุลของระบบประสาท รักษาสมดุลของระบบฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันของร่างกาย


8 5. สารไนตริกออกไซด์ ( Nitric Oxide ) ช่วยสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มจำนวนเชื้ออสุจิ และทำให้อสุจิ แข็งแรง เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต นอกจากสารทั้ง 5 ชนิดแล้ว ยังมีโปรตีน กรดอะมิโน วิตามินอี วิตามินเค วิตามินบี1 วิตามินบี2 และ วิตามินบี12 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ประโยชน์ของถั่งเช่า เหมาะกับผู้ที่อาการภูมิแพ้ หอบหืด โรคปอด มะเร็งปอด วัณโรค หลอดลมตีบ โรคหัวใจ โรคตับ โรคสมอง ถั่งเช่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานของปอด ลดอาการอักเสบในเยื่อ บุโพรงจมูก ผนังหลอดลม เพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ช่วยลดอาการโรคอัลไซเมอร์ ช่วยลดอาการโรค พาร์กินสัน ชะลอความแก่ ถั่งเช่า สมุนไพรจีนในตำรับยาจีนมีสรรพคุณมากมาย ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย เพิ่มสรรถภาพทางเพศ รักษาโรคนกเขาไม่ขัน ถังเช่ามีหลายสายพันธุ์ ถังเช่ามีถิ่นกำเนิดแถวเทือกเขาหิมาลัยที่มีระดับความสูง มากกว่า 4000 เมตรจากระดับน้ำทะเล เกิดจากการย่อยสลายด้วงแมลงในฤดูหนาวที่มุดเข้าไปหลบใต้ดิน เมื่อโดนเชื้อเห็ดถังเช่า ตัวด้วงจะถูกย่อยสลาย กลายเป็นเห็ดถังเช่าเป็นเห็ดที่หายากมากในธรรมชาติ แต่ ในปัจจุบัน มีการเพาะเลี้ยงถั่งเช่าสายพันธุ์ถั่งเช่าสีทอง มีราคาค่อนข้างแพง ใช้เป็นส่วนประกอบในยา สมุนไพรมากมาย ถั่งเช่าในประเทศไทย สำหรับถั่งเช่าในประเทศไทยมีการศึกษาและวิจัยมาสักระยะหนึ่งแล้ว มีการอบรม การเพาะถั่งเช่า เป็นถั่งเช่าสีทอง ถั่งเช่าสายพันธ์ไทย พันธุ์ Cordyceps sinensis เป็นพืชเศรษฐกิจที่มี ความต้องการของตลาดสูง ถั่งเช่าไทย สามารถเพาะได้ในระบบปิด ควบคุมอุณหภูมิ สรรพคุณเห็ดถังเช่า สำหรับการใช้ประโยชน์จากถั่งเช่า ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถใช้ประโยชน์จากทั้ง ต้น ทั้งต้นสดและต้นตากแห้ง สรรพคุณของถั่งเช่า มีดังนี้ • ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง สารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) ในถั่งเช่า มีการนำมาทดสอบกับเซลล์มะเร็ง ยืนยันว่า สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ดี


9 • บำรุงระบบโลหิต ถั่งเช่าช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดไขมันตัวร้ายในเลือด ( LDL ) และ ไตรกลีเซอ ไรด์ ( TG ) ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โรคเส้น เลือดในสมองแตก โรคอัมพฤกษ์ โรคความดันโลหิตสูง • ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค เร่งการทำงานระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่าช่วยเผาพลาญพลังงานได้ดีขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเป็น โรคเบาหวาน และ โรคอ้วน ได้ดี • บำรุงไต ช่วยไตให้กรองของเสียออกจากร่างกายได้ดี ลดการตกค้างของสารพิษในร่างกาย ช่วยขับ สารพิษออกทางปัสสาวะได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง โทษของถั่งเช่า สำหรับการใช้ประโยชน์จากถั่งเช่าในการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค มีข้อควรระวังต่าง ๆ ดังนี้ • ถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด สำหรับผู้ป่วยที่ทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ ไม่ควร รับประทานถั่งเช่า • สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำตาล ไม่ควรซื้อถั่งเช่ามารับประทานเอง เพราะจากทำให้ร่างกายเกิด ภาวะขาดน้ำตาลได้ • ถั่งเช่าอาจมีสารตกค้างจากกระบวนการผลิต ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ การซื้อหามา รับประทานควรเลือกแหล่งที่มีที่เชื่อถือได้ และควรได้รับการสั่งยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หญ้าขัดมอน พืชท้องถิ่น สามารถพบได้ตามป่าเบญจพรรณ มีสรรพคุณทางยา สรรพคุณ หลากหลาย ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยเจริญอาหาร แก้อักเสบ ทำความรู้จักกับหญ้า ขัดมอน


10 หญ้าขัดมอน ภาษาอังกฤษ Paddy’s lucerne ชื่อวิทยาศาสตร์ของขัดมอน คือ Sida rhombifolia L. สำหรับชื่อเรียกอื่น ๆ ของหญ้าขัดมอน ได้แก่ ขัดมอน คัดมอน หญ้าขัด หญ้าขัดใบ มน ยุงปัดแม่ม่าย เป็นต้น หญ้าขัดมอนในตำรับยาสมุนไพรไทยโบราณ มีสรรพคุณแก้การปวดมดลูก แก้ปวดประจำเดือน สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยตามป่าเบญจพรรณ นอกจากจะเป็นยา แล้ว สามารถนำมาใช้ประโยชน์อื่น ๆได้ เช่น ลำต้นของหญ้าขัดมอนใช้ทำเป็นไม้กวาด ทั้งต้นนำมา เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ เป็นต้น ลักษณะของต้นหญ้าขัดมอน ต้นหญ้าขัดมอน สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ตามป่าเบญจพรรณ การขยายพันธ์ สามารถขยายพันธ์โดยการเพาะเมล็ดพันธ์ ลักษณะของหญ้าขัดมอน มีดังนี้ • ลำต้นหญ้าขัด ลักษณะลำต้นสูง ลำต้นกลมเป็นแฉกยาวรูปดาว สีเขียวออมเทา ลำต้นมีขน • ใบหญ้าขัด ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมข้าวหลามตัด โคนใบกลม ขอบใบเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบด้านบนเรียบ ใบด้านล่างมีขน ปลายใบแหลม • ดอกหญ้าขัด ลักษณะดอกเป็นช่อ ดอกออกตามง่ามใบ ดอกมีสีเหลืองอ่อน ดอกคล้ายรูประฆัง ยอด เกสรหญ้าขัดเป็นตุ่มสีเหลืองหรือสีชมพูอ่อน • ผลหญ้าขัด เจริญเติบโตจากดอก ลักษณะผลเป็นผลแห้ง เป็นรูปครึ่งทรงกลม ด้านนอกและด้านข้าง ของผลเป็นรอยย่น ส่วนปลายแข็ง ผลหญ้าขัดมีเมล็ดสีดำ ผลหญ้าขัดมีขนสั้นๆที่ขั้วเมล็ด สรรพคุณของขัดมอน สำหรับการใช้ประโยชน์จากหญ้าขัดมอญในการรักษาโรคและการบำรุงร่างกายนั้น นิยมใช้ราก ลำต้น และใบของขัดมอน ซึ่งสรรพคุณหญ้าขัดมอน มีดังนี้


11 • รากของหญ้าขัด สรรพคุณช่วยเจริญอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน เป็นยาบ้วนปาก ลดไข้ ขับเสมหะ แก้ สะอึก รักษาโรคปอด แก้ท้องเสีย รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยขับเลือด ช่วยขับรก แก้ปวด มดลูก แก้ดีพิการ แก้พิษงู รักษาไขข้อ ช่วยเพิ่มกำหนัด • ลำต้นของหญ้าขัดมอน สรรพคุณบำรุงเหงือกและฟัน เป็นยาบ้วนปาก แก้ท้องเสีย ช่วยเพิ่มกำหนัด • ใบหญ้าขัด สรรพคุณเป็นยาลดไข้ แก้ท้องเสีย ช่วยขับปัสสาวะ แก้อักเสบบวม ช่วยเพิ่มกำหนัด โทษของหญ้าขัด สำหรับการใช้ประโยชน์จากหญ้าขัดมอนในการรักษาโรคและการบำรุงร่างกายนั้น มีข้อควรระวัง ดังนี้ • หญ้าขัดมอนมีสรรพคุณสำคัญในการกระตุ้นมดลูก ช่วยขับเลือดสำหรับสตรี ซึงการกระตุ้นการบีบตัว ของมดลูกนี้เป็นอันตรายต่อสตรีตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้แท้งลูกได้ ขิง Ginger หัวขิงใช้ดับกลิ่นคาวอาหาร ให้กลิ่นหอม สรรพคุณมากมาย เช่น บำรุงร่างกาย รักษาโรค ต่าง ๆ ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี ขิง ภาษาอังกฤษ เรียก Ginger ชื่อวิทยาศาสตร์ของขิง คือ Zingiber officinale Roscoe ขิง สามารถพบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมนำหัวขิงมาใช้ประกอบอาหาร ขิงมีสารอาหาร ต่างๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ เบต้าแคโรทีน ซึ่งสรรพคุณช่วยบำรุงระบบโลหิตเป็นอย่างดี สามารถประโยชน์ใช้ได้ทั้งต้นไม่ว่าจะเป็น ใบ ดอก แก่น ผล ราก ลักษณะของต้นขิง


12 ต้นขิง พืชล้มลุก สามารถเจริญเติบโตได้ในประเทศเขตร้อน อย่างประเทศไทย สามารถขยายพันธ์โดย ทางการแตกหน่อ ขิงเป็นพืชชนิดเดียวกันกับ ข่า ขมิ้น มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ผลยิ่งแก่จะมีรสเผ็ด ร้อนมากขึ้น ลักษณะของต้นขิง มีดังนี้ • หัวขิง หรือ เหง้าขิง ลักษณะคล้ายมือ อยู่ใต้ดิน เปลือกของเหง้าขิงมีสีเหลืองอ่อน • ลำต้นของขิง ออกเป็นกอ ความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร ลักษณะกลม ตั้งตรง อวบน้ำ มีสีเขียว • ใบของขิง ใบเป็นกาบ หุ้มซ้อนกันเป็นใบเดี่ยว ออกสลับเรียงกัน เหมือนใบไผ่ ลักษณะปลายใบจะ เรียวแหลม • ดอกของขิง ดอกขิงออกเป็นพุ่ม ดอกแหลมมีสีขาว คุณค่าทางโภชนาการของขิง ขิงมีประโยชน์ด้านสมุนไพร และ ใช้ในการบริโภคในอาหารไทย มาช้านาน นักโภชนาการได้ศึกษา คุณค่าทางโภชนาการของขิง ขนาด 100 กรัม พบว่า ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารต่างๆ ประกอบด้วย กากใยอาหาร 0.8 กรัม คาร์โบไฮเดรท 4.4 กรัม โปรตีน 0.4 กรัม ไขมัน 0.6 กรัม ธาตุ เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม แคลเซียม 18 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม เบต้าคาโรทีน 10 ไมโครกรัม ไธอะมีน 0.02 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม ไนอะซีน 1 มิลลิกรัม และ ไลโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม สรรพคุณของขิง สำหรับขิง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ทั้งต้น ซึ่งสรรพคุณของ ขิง มีดังนี้ • ทั้งต้นของขิง สรรพคุณช่วยขับลม แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง • หัวขิงง สรรพคุณ ช่วยขับเหงื่อ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้บิด แก้อาเจียน รักษาไข้หวัด ช่วยลดไข้ ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ ปวดประจำเดือน รักษาแผล แก้ปวดฟัน ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงเลือด ลดกรดในกระเพาะอาหาร ป้องกันฟันผุ


13 • ใบของขิง สรรพคุณแก้ฟกช้ำ รักษานิ่ว ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยฆ่าพยาธิ • ดอกของขิง สรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคปัสสาวะขัด • รากของขิง สรรพคุณช่วยเจริญอาหาร ขับเสมหะ • ผลของขิง สรรพคุณสำหรับสตรีหลังคลอด บำรุงน้ำนม ช่วยลดไข้ แก้เจ็บคอ ลดอาการอักเสบ แก้ตา ฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ วิธีทำน้ำขิง น้ำขิงสามารถดื่มได้ทุกวัน เก็บรักษาในตู้เย็นได้เป็นเดือน สามารถเตรียมเพื่อดื่มดับ กระหาย บำรุงร่างกาย รักษาโรคต่าง ๆ ได้ โดย ตั้งไฟต้มน้ำให้เดือด จึงเบาไฟลง เคี่ยวประมาณต่ออีก ประมาณครึ่งชั่วโมง จนน้ำขิงเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ดับไฟยกลงจากเตาได้ เมื่อต้องการดื่ม เติมน้ำตาล ทรายแดง 1-2 ช้อนชา (ไม่เติมน้ำตาลจะดีที่สุดแต่จะมีรสเผ็ดร้อน) คนจนเข้ากัน ดื่มได้ทั้งแบบร้อน และแบบเย็นตามต้องการ โทษของขิง สำหรับการใช้ประโยชน์จากขิง มีข้อควรระวัง ดังนี้ • อาจทำให้เกิดแผลร้อนใน ทำให้เยื่อบุภายในช่องปากอักเสบได้ สำหรับคนที่มีแผลในช่องปากอยู่แล้ว ให้ระวังการรับประทานขิงในปริมาณมาก ๆ • ขิงช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือด สำหรับคนที่มีปัญหาโรคเลือดออกผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการ รับประทานขิง • น้ำขิงที่คั้นจนเข้มค้นมาก ไม่ควรทำให้น้ำขิงเข้มข้นจนเกินไป เพราะ เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ทำให้ ลำไส้หยุดการบีบตัว ข้าว อาหารหลักของมนุษย์ แหล่งอาหารพลังงานหลักของมนุษย์ แต่การรับประทานข้าวควร รับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ทำความรู้จักกับข้าว สรรพคุณ ประโยชน์ของข้าวเป็นอย่างไร


14 ข้าว ภาษาอังกฤษ เรียก rice ชื่อวิทยาศาสตร์ของข้าว คือ Oryza sativa L. จัดเป็นพืชในตระกูล หญ้า ข้าวมีหลายสายพันธ์และลักษณะของเมล็ดข้าวในแต่ละสายพันธ์ก็จะแตกต่างกันไป ข้าวที่ปลูก มากในโลกจะเป็น 2 สายพันธุ์ คือ Javanica ข้าวญี่ปุ่น จะมีเม็ดสั้น มีความเหนียว สามารถใช้ ตะเกียบกินได้ และ indica ข้าวอินเดีย เม็ดยาว ไม่มีความเหนียว เมื่อหุงแล้วจะร่วน ต้องใช้ช้อนตัก ข้าวที่ปลูกในประเทศไทยจะเป็น indica ทั้งหมด ประโยชน์ของข้าว นอกจากข้าว จะเป็นแหล่งพลังงาน และ ยาสมุนไพร หรือ ธัญโอสถ แล้วยังมีการ นำมาใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ ใช้เป็นเครื่องประดับ นำมาทำเป็นงานศิลปะต่าง ๆ โดยใช้เมล็ดข้าว นำรำมาทำน้ำมันรำข้าว ทำผลิตภัณฑ์ครีมต่าง ๆ ครีมบำรุงผิว ทำเครื่องสำอาง เช่น ลิปสติก ยาทาต่าง ๆ เช่น ยาหม่อง ฟางข้าว นอกจากจะผสมใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ ยังใช้เป็นวัสดุ การเกษตรต่าง ๆ เช่น การเพาะเห็ด ใช้ทำปุ๋ย แกลบข้าวมีการทำมาทำเป็นเชื้อเพลิง ทำเป็นถ่าน และ ข้าวใช้ทำแป้งข้าว เพื่อเป็นส่วนประกอบของขนมไทยต่าง ๆ ข้าวในประเทศไทย ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึงคนไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรม และ ปลูกข้าว เพื่อ รับประทานเป็นอาหารและขายในเชิงพาณิชย์ การปลูกข้าวปลูกทั่วประเทศ คนไทยและคนทั่วโลก ต่างก็รับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก ข้าวเป็นแหล่งอาหารให้พลังงานของมนุษย์ เป็นแหล่งคาร์โปไฮ เดรตที่สำคัญของมนุษย์ ประเทศไทยกับข้าวจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ ประเภทของข้าว


15 สำหรับการแบ่งประเภทของข้าว ซึ่งเราแบ่งตามลักษณะเมล็ด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้าวเจ้า และ ข้าวเหนียว ซึ่งหน้าตาและลักษณะของเมล็ดข้าวเปลือกเหมือนกันเกือบทุกอย่าง แต่ต่างกันตรงที่ เนื้อของเมล็ดข้าว ลักษณะของข้าว มีดังนี้ • ข้าวเจ้า ลักษณะเมล็ดข้าวเจ้าจะประกอบด้วย แป้งอะไมโลส ( Amylose ) ประมาณร้อยละ 15 – 30 • ข้าวเหนียว ลักษณะของเมล็ดข้าวเหนียว ประกอบด้วย แป้งอะไมโลเพคติน ( Amylopectin ) เป็น ส่วนใหญ่และมีแป้งอะไมโลส ( Amylose ) ประมาณร้อยละ 5 – 7 คุณค่าทางโภชนาการของข้าว สำหรับการรับประทานข้าวเป็นอาหาร เรารับประทานเนื้อเมล็ดขาว ซึ่งนัดโภชนาการได้ศึกษาคุณค่า ทางโภชนาการของข้าวขาว ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงานมากถึง 365 กิโลแคลอรี มีสารอาหาร ต่าง ๆ ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 80 กรัม น้ำตาล 0.12 กรัม กากใยอาหาร 1.3 กรัม ไขมัน 0.66 กรัม โปรตีน 7.13 กรัม น้ำ 11.61 กรัม วิตามินบี1 0.0701 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.0149 มิลลิกรัม วิตามินบี3 1.62 มิลลิกรัม วิตามินบี5 1.014 มิลลิกรัม วิตามินบี6 0.164 มิลลิกรัม ธาตุแคลเซียม 28 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.80 มิลลิกรัม ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม ธาตุแมงกานีส 1.088 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 115 มิลลิกรัม ธาตุโพแทสเซียม 115 มิลลิกรัม และ ธาตุสังกะสี 1.09 มิลลิกรัม สรรพคุณของข้าว สำหรับการใช้ประโยชน์จากข้าวด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ใช้ประโยชน์จากเมล็ดข้าว ซึ่งสรรพคุณของข้าว มีดังนี้ • บำรุงร่างกาย เป็นแหล่งให้พลังงานแก่ร่างกาย ฟื้นฟูกำลังวังชา ป้องกันอาการอ่อนเพลีย สร้างการ เจริญโตให้แก่ร่างกาย สร้างสมดุลพลังงานในร่างกาย และระบบต่างๆของร่างกาย • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และ วิตามินบี 3 ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดู สดใส • บำรุงประสาท เสริมการทำงานของระบบประสาท ให้สารสื่อประสาทระหว่างเซลล์ประสาท ทำงาน ราบรื่นมากขึ้น และสามารถป้องกัน โรคประสาทเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ ได้ในผู้สูงอายุ


16 • ช่วยบำรุงสายตา ช่วยเรื่องการมองเห็นและป้องกันโรคตาต่าง ๆ เช่น ต้อกระจก ช่วยลดการเสื่อมของ ตา • ช่วยทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น โทษของข้าว ข้าวถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารหลักที่ให้พลังงานกับร่างกายแต่การรับประทานข้าวเป็นอาหารต้อง รับประทานข้าวในปริมาณที่เหมาะสม โดย โทาของข้าวมีดังนี้ • ข้าวมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นแป้ง เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายจะย่อยเป็นน้ำตาลหาก รับประทานเกินความต้องการของร่างกาย จะเกิดเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด ดังนั้น การรับประทานข้าวที่ดี ควรไม่มากเกินไป ว่านหางจระเข้Aloe สมุนไพร สรรพคุณบำรุงผิวพรรณ ช่วยให้แผลหายเร็ว บรรเทาแผลไฟไหม้ น้ำ ร้อนลวก พุพอง แผลเป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ รักษาเบาหวานได้ ว่านหางจระเข้ภาษาอังกฤษ เรียก Aloe ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของว่านหางจระเข้คือ Aloe vera (L.) Burm.f. สำหรับชื่อเรียกอื่นของว่านหางจระเข้ เช่น ว่านไฟไหม้ หางตะเข้ เป็นต้น เนื้อ ของว่านหางจระเข้ นำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ มีประโยชน์ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงร่างกาย ต้าน มะเร็ง ว่านหางจระเข้นิยมใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลสด มีสาร Glycoprotein พวก Aloctin A จัดเป็น Anti-inflammatory อย่างดี สามารถพบได้ทั้งต้นของว่านหางจระเข้


17 ประโยชน์ของว่านหางจระเข้นอกจากจะเป็นสมุนไพรบำรุงระบบของร่างกายแล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น เป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง โลชั่นบำรุงผิว สบู่อาบน้ำ แชมพูสระผม ครีมทาแผลสด แผลพุพอง แผลหนอง อักเสบ นอกจากนี้ว่า หางจระเข้นิยมใช้เป็นอาหาร ประเภทของหวาน เช่น น้ำวุ้นลอยแก้ว วุ้นแช่อิ่ม น้ำว่านหางจระเข้ ลักษณะของต้นว่านหางจระเข้ ต้นว่านหางจระเข้เป็นพืชล้มลุก อายุหลายปี เป็นพืชในเขตร้อน สามารถขยายพันธ์โดยการแยกหน่อ ลักษณะของต้นว่านหางจระเข้ มีดังนี้ • ลำต้นว่านหางจระเข้ ลักษณะของลำต้น ความสูงประมาณ 20 เซนติเมตร • ใบว่านหางจระเข้ ลักษณะใบหนา อวบน้ำ ใบมีสีเขียวอ่อน เต็มไปด้วยจุดยาวมีสีขาวอ่อน ใบออก เรียงเวียนรอบต้น โดยโคนใบใหญ่ ปลายต้นใบเล็ก ปลายใบมีความแหลม ขอบใบมีรอยหยัก มีหนาม แหลมขึ้นเล็ก ๆ สีขาว ภายในใบมีวุ้นสีเขียวอ่อน • ดอกว่านหางจระเข้ ออกดอกเป็นช่อ กระจายที่ปลายยอด ดอกมีสีแดงและอมสีเหลือง • ผลว่านหางจระเข้ ลักษณะเป็นผลแห้งรูปกระสวย สรรพคุณของว่านหางจระเข้ สำหรับการใช้ประโยชน์ของว่านหางจระเข้ จะใช้ประโยชน์จากวุ้นของใบว่านหางจระเข้สรรพคุณ ของว่านหางจระเข้มีดังนี้ • รักษาโรคเบาหวาน เนื่องมีน้ำตาลน้อย ช่วยให้อิ่มท้อง ลดการบริโภคน้ำตาล • รักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลปากเปื่อย แผลฝีมีหนอง แผลไฟไหม้ ลดฝ้า • รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ • เป็นยาระบาย น้ำยางของว่านหางจระเข้มี สารแอนทราควิโนน ( Anthraquinone ) ออกฤทธิ์เป็น ยาระบายชั้นดี • รักษาอาการท้องผูก ท้องเฝ้อ


18 • รักษาริดสีดวงทวาร • รากและเหง้าของว่านหางจระเข้า ใช้รักษาโรคหนองใน รักษาตกขาวผิดปรกติ โทษของว่านหางจระเข้ สำหรับการใช้ประโยชน์จากว่านหากจระเข้ มีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย แต่การใช้ว่านหาง จระเข้มีข้อควรระวัง โทษของว่านหางจระเข้ มีดังนี้ • วุ้นว่านหางจระเข้ หากนำมาใช้ทำยาทาผิวจะต้องทำให้สะอาด เพราะหากไม่สะอาดจำทำให้ติดเชื้อ มากขึ้น • น้ำยางของว่านหางจระเข้เป็นยาถ่าย ควรหลีกเลี่ยงในหญิงตั้งครรภ์หรือสตรีมีประจำเดือน ผักชีCoriander สมุนไพร ผักสวนครัว มีกลิ่นแรง นิยมทำมาประกอบอาหาร สามารถใช้เป็นยาได้ สรรพคุณของผักชี ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ลดอาการปวดบวม บำรุงสายตา ผักชีภาษาอังกฤษ เรียก Coriander ชื่อวิทยาศาสตร์ของผักชีคือ Coriandrum sativum L. ชื่อ เรียกอื่นๆของผักชี เช่น ผักชีไทย ผักหอม ผักหอมน้อย ยำแย้ ผักหอมป้อม ผักหอมผอม เป็นต้น ผักชี ถิ่นกำเนิดแถบเมดิเตอร์เรเนียน สามารถปลูกได้ใน ประเทศเขตร้อนชื้น ทั่วไป ให้ผลผลิตดี ในช่วง ฤดู หนาว แต่ ไม่หนาวมาก พบว่า มีการปลูกมากในภาคกลาง จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครปฐม กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี ประโยชน์ของผักชีผักชีนำมาทำอาหาร เพิ่มสีสัน รสชาติ กลิ่น ให้กับอาหารเป็นส่วนประกอบในการ ถนอมอาหาร เช่น การทำแหนม การหมักเนื้อต่าง ๆ ดับกลิ่นคาวของอาการประเภทเนื้อ เช่น ปลา น้ำจืดต่าง ๆ นิยมใช้ราก ในการเพิ่มรสชาติ ในน้ำซุป และ การหมักเนื้อ ร่วมกับ พริกไทยดำ


19 ผักชีในประเทศไทย สำหรับผักชีในประเทศไทย เป็นพืชเศรษฐกิจ เพราะ เป็นผักที่นิยมกินในอาหารไทย การปลูกและขาย ผักชีจึงมีการทำเป็นอาชีพ ผักชีสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยแหล่งผักชีของประเทศไทย ได้แก่ ราชบุรี นครปฐม และ กรุงเทพมหานคร สายพันธ์ุผักชี สายพันธุ์ของผักชีที่นิยมปลูกมี 2 สายพันธ์ คือ ผักชีพื้นเมือง และ ผักชีแอฟฟริกา โดยรายละเอียด ดังนี้ • ผักชีพันธุ์อาฟริกา ลักษณะเด่น คือ ต้นมีขนาดใหญ่ ใบหนาและใหญ่ มีกลิ่นหอมเล็กน้อย และอายุ ยาวกว่าผักชีพันธุ์พื้นเมือง • ผักชีพันธุ์พื้นเมือง ลักษณะเด่น คือ ต้นขนาดเล็ก ใบบาง เมล็ดเล็ก ออกดอกเร็ว อายุสั้น มีกลิ่นฉุน มาก ลักษณะของต้นผักชี ต้นผักชีเป็นพืชล้มลุก อายุสั้น มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว สามารถขยายพันธ์โดยการเพาะเมล็ด ถิ่นกำเนิด ของผักชีอยู่ในประเทศแถบเมดิเตอร์เรอเนียน ปัจจุบันนิยมปลูกในประเทศไทย ลักษณะของต้นผักชี มี ดังนี้ • รากของผักชี มีรากฝอยจำนวนมาก แต่รากเป็นรากแก้ว ที่ไม่ยาวมาก • ลำต้นของผักชี ลำต้นสูงประมาณ 12 นิ้ว มีสีเขียว ลำต้นอวบน้ำ ลักษณะตั้งตรง ภายในกลวง มีกิ่ง ก้านเล็ก ๆ ลำต้นผิวเรียบ • ใบของผักชี ใบเป็นแฉกๆ เป็นใบเดียวมีสีเขียว มีกลิ่นฉุนหอม • ดอกของผักชี ดอกของผักชีนั้นจะออกจากโคนลำต้น และ ตั้งตรงเหนือยอดของต้น ดอกมีขนาดเล็ก • เมล็ดของผักชี ลักษณะทรงกลม อยู่ตรงกลางดอกผักชี เป็นส่วนที่สามารถนำไปขยายพันธ์ต่อได้ สรรพคุณของผักชี


20 สำหรับการใช้ประโยชน์จากผักชีด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถใช้ประโยชน์จากทั้ง ต้นของผักชี ซึ่งสรรพคุณของผักชีมีดังนี้ • สรรพคุณขับสารพิษต่าง ๆ จากระบบทางเดินอาหาร • สรรพคุณลดอาการไอ ละลายเสมหะ แก้หวัด ลดน้ำมูก • สรรพคุณขับเหงื่อ ช่วยให้สารพิษออกทางเหงื่อ • สรรพคุณแก้อาการสะอึก แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้วิงเวียนศีรษะ • สรรพคุณแก้กระหายน้ำ • ช่วยลดโอกาศการเกิดโรคมะเร็ง • ช่วยเจริญอาหาร ลดอาการซูบผอม ช่วยบำรุงร่างกาย • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน • บำรุงสายตา ให้มองเห็นชัดเจนขึ้น • ลดอาการปวดฟัน • บำรุงกระเพาะอาหาร • รักษาอาการปวดท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ • สามารถต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ได้ดี • รักษาผื่นแดงในเด็ก และ ผื่นหัด • ลดอาการปวด อาการบวมตามข้อ โทษของผักชี สำหรับการกินผักชีเป็นอาหารและใช้ประโยชน์ในการเป็นยารักษาโรค ควรมีข้อควรระวังการใช้ผักชี ดังนี้


21 • สำหรับคนที่มีิอาการแพ้คื่นช่าย ยี่หร่า เทียนข้าวเปลือก เทียนสัตตบุษย์ กระเทียม หรือ หอมใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักชี เนื่องจากเป็นพืชตระกูลเดียวกัน • ผักชีมีโพแทสเซียมสูง ทำให้ไตทำงานหนัก ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรกินผักชีมากเกินไป • กินผักชีมากเกินไป อาจทำให้มึนหัว เพราะ กลิ่นของผักชีแรง คำฝอย นิยมนำดอกคำฝอยมารับประทานและใช้ทำสีผสมอาหาร สรรพคุณบำรุงโลหิต น้ำมันจากเมล็ด คำฝอยนำมาทำยาได้ ลดการปวดประจำเดือน ขับน้ำคาวปลา ทำความรู้จักกับต้นคำฝอย ต้นคำฝอย ภาษาอังกฤษ เรียก Safflower ชื่อวิทยาศาสตร์ของดอกคำฝอย คือ Carthamus tinctorius L. จัดเป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับทานตะวัน สำหรับชื่อเรียกอื่น ๆของคำฝอย ได้แก่ คำยอง คำหยอง คำหยุม คำยุ่ง ดอกคำ หงฮัว คำทอง เป็นต้น คำฝอยมีถิ่นกำเนิดใน ตะวันออกกลาง ใน ประเทศไทยปลูกมากทางภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดเชียงราย ดอกคำฝอยในประเทศไทย สำหรับดอกคำฝอยในประเทศไทย มีการใช้ประโยชน์จากดอกคำฝอย หลากหลาย โดยนำมาแปรรูป เช่น ทำชา ทำสีผสมอาหาร ทำแคปซูน หรือ สะกัดเอาน้ำมันดอก คำฝอย แหล่งผลิตดอกคำฝอยที่สำคัญของประเทศไย อยู่ทางภาคเหนือ อำเภอพร้าว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ลักษณะของต้นคำฝอย ต้นคำฝอย เจริญได้ดีในที่สูง แต่ไม่เกิน 1,000 เมตร ชอบดินร่วนปนทราย หรือ ดินที่มีการระบายน้ำ ได้ค่อนข้างดีไม่ชอบอาการร้อน ประมาณ 15-24 องศาเซลเซียส อายุสั้น ใช้เวลา 4 เดือน ก็สามารถ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ลักษณะของต้นคำฝอย มีดังนี้


22 • ลำต้นคำฝอย ความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นเป็นสัน แตกกิ่งก้านสาขามากมาย • ใบคำฝอย เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับตามกิ่งก้าน ลักษณะของใบคล้ายรูปหอก ขอบใบหยัก ปลายใบเป็น หนามแหลม ใบสีเขียว • ดอกคำฝอย ลักษณะดอกเป็นช่อ ดอกออกที่ปลายยอดของลำต้น ลักษณะดอกกลม กลีบดอกเป็นสี เหลือง กลีบดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม • ผลคำฝอย เจริญเติบโตจากดอก ลักษณะผลคล้ายรูปไข่ ผลเบี้ยวๆ สีขาว เป็นผลแห้งไม่แตก • เมล็ดคำฝอยอยู่ในผลคำฝอย เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม ลักษณะยาวรี เปลือกแข็ง สีขาว คุณค่าทางโภชนาการของคำฝอย สำหรับการใช้ประโยชน์ในการรับประทานคำฝอย นิยมรับประทานดอกคำฝอย นักโภชนาการได้ศึกษา คุณค่าทางโภชนาการของดอกคำฝอยมีดังนี้ คุณค่าทางโภชนาการของดอกคำฝอย ขนาด 100 กรัม มีสารอาหารสำคัญ ประกอบด้วย โปรตีน กาก ใยอาหาร ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สารคาร์ทามีดีน ( carthamidine ) และ สาร คาร์ทามีน ( carthamine ) น้ำมันจากดอกคำฝอย มีสารเคมีสำคัญ ประกอบด้วย กรดไขมันไลโนเลอิก (Linoleic Acid) และกรด โอเลอิก (Oleic Acid) กรดปาลมิติก (Palmitic Acid) กรดสเตียริก (Stearic Acid) เมล็ดของดอกคำฝอย มีสารในกลุ่มลิกแนน ไกลโคไซด์ (Lignan Glycoside) และ สารเซโรโทนิน (Serotonin) สรรพคุณของดอกคำฝอย มีการนำดอกคำฝอยมาใช้ประโยชน์ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ซึ่งสรรพคุณของดอก คำฝอยมีทั้งการบำรุงสตรี บำรุงเลือด ช่วยการไหลเวียนของโลหิต และรักษาอาการผิดปกติของ ร่างกายต่าง ๆได้ สรรพคุณของดอกคำฝอย มีดังนี้


23 • ช่วยให้ผ่อนคลาย และ นอนหลับสบาย สามารถช่วยรักษาโรคทางจิตรเวช เช่น โรควิตกกังวล โรคนิม โพเมาเนียร์ เป็นต้น • ช่วยลดไข้ บรรเทาอาการป่วย • ช่วยขับระดูของสตรี แก้ปัญหาอาการประจำเดือนคั่งค้าง หรือ ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ • บรรเทาอาการปวด อาการประจำเดือน อาการปวดมดลูก และ ลดอาการอักเสบของมดลูก รักษา อาการตกเลือด ลดอาการปวดหลังคลอด ช่วยขับน้ำคาวปลา • ลดไขมันในเลือด ป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ช่วยการไหลเวียนของเลือด ให้ดียิ่งขึ้น • บำรุงหัวใจ ช่วยกระตุ้นให้มีเลือดไปล่อเลี้ยงหัวใจมากขึ้น • ช่วยขับเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกมากขึ้น ขับของเสียออกทางรูขุมขน • รักษาอาการฟกช้ำดำเขียว รักษาอาการแผลกดทับ • ช่วยต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งการเกิดฟันผุ วิธีทำน้ำดอกคำฝอย มีวิธีการเตรียม ดังนี้ ใช้ดอกคำฝอยแห้งหาซื้อได้ทั่วไป กะปริมาณให้ได้ ประมาณ 2 หยิบมือ ( คิดเป็นน้ำหนัก 2.5 กรัม ) เติมดอกเก๊กฮวย ลงหม้อ ประมาณ 10 ดอก ผสม ด้วยน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ครึ่งลิตร เคี่ยวจนงวด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที นำมาดื่มเป็นน้ำชา ดื่มได้ทั้ง แบบร้อน และ แบบเย็น ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง กรณีดื่มยาก สามารถเติมน้ำตาลทรายขาว หรือ น้ำผึ้ง ได้ 2-3 ช้อนชา ต่อน้ำดอกคำฝอย 1 แก้ว โทษของคำฝอย การใช้ประโยชน์จากคำฝอย มีข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรจากคำฝอย ดังนี้ • การรับประทานดอกคำฝอย อย่างต่อเนื่องในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และ มีอาการวิงเวียนศีรษะ • การรับประทานดอกคำฝอย ในระหว่างมีประจำเดือน อาจทำให้มีประจำเดือนมากกว่าปกติ


24 • สำหรับสตรีระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่รับประทานดอกคำฝอย เพราะ ดอกคำฝอยมีสรรพคุณช่วยขับ ประจำเดือน อาจทำให้แท้งลูกได้ ว่านชักมดลูก สมุนไพรมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน ทำให้ประจำเดือนมา ปกติ กระชับมดลูก บำรุงผิวพรรณ ดูสดใส อ่อนกว่าวัย ว่านชักมดลูกชื่อวิทยาศาสตร์คือ Curcuma zanthorrhiza Roxb. ว่านชักมดลูกมีถิ่นกำเนิดใน ประเทศอินโดนีเซีย สำหรับการปลูกว่านชักมดลูกในประเทศไทยมีการปลูกมากในจังหวัดเลย และ เพชรบูรณ์ เพื่อนำมาผลิตเป็นยาสมุนไพรบำรุงสตรีตำรับยาสมุนไพรไทย พบว่าใช้ว่านชักมดลูกมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ ว่านชักมดลูกตัวเมีย และ ว่านชักมดลูกตัวผู้ ลักษณะของต้นว่านชักมดลูก ต้นว่านชักมดลูก พืชล้มลุก ตระกลูขิง สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีเหง้าใต้ดิน สามารถเจริญเติบโตได้ดี ในดินร่วนที่มีความชื้น ว่านชักมดลูกเป็นพืชที่ทนต่อสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ลักษณะของต้นว่านชัก มดลูก มีดังนี้ • ลำต้นว่านชักมดลูก ลักษณะเป็นเหง้า แตกหน่ออยู่ใต้ดิน เหง้ามีสีเหลือง เหง้าแก่เป็นสีเทา มีกลิ่นฉุน รสขม ลำต้นตั้งตรง เป็นกาบใบลักษณะกลม ความสูงประมาณ 1 เมตร กาบของลำต้นมีสีเขียว ด้าน ในเยื่อสีขาว คล้ายกับต้นขมิ้น • ใบว่านชักมดลูก เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเรียวยาว เหมือนใบต้นขิง ใบเรียบ สีเขียว ปลายใบแหลม • ดอกว่านชักมดลูก ออกดอกเป็นช่อ เป็นกระจุก ลักษณะรูปทรงกระบอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 20 เซ็นติเมตร ดอกสีแดง ดอกที่เจริญเติบเต็มที่จะเป็นสีเหลือง


25 สรรพคุณว่านชักมดลูก สำหรับการใช้ประโยชน์จากว่านชักมดลูกด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค ใช้ประโยชน์จาก เหง้าของว่านชักมดลูก ซึ่งสรรพคุณของว่านชักมดลูกมีดังนี้ • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผิวสดใส ผิวขาวนวล ผิวดูมีเลือดฝาด ช่วยลดเลือนรอย เหี่ยวย่น ลดการเกิดฝ้า และ ลดรอยดำของใบหน้า ช่วยกระชับผิวหน้าท้องของสตรีหลังคลอด • ป้องกันมะเร็ง ช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากช่องคลอด และ มะเร็งในมดลูก ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ เป็นสาเหตุของความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยทำให้ซีสต์หรือเนื้องอกภายในช่องคลอดฝ่อตัวลง • ช่วยให้ทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น • ช่วยบำรุงความงาม ช่วยทำให้หน้าอกขยาย ทำให้นมใหญ่ขึ้น • ช่วยทำให้ผ่อนคลาย ลดอาการอารมณ์แปรปรวนต่าง ๆ ลดอารมณ์ฉุนเฉียว • ช่วยป้องการการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีรีย ช่วยดับกลิ่นปาก ลดกลิ่นตามตัว • ช่วยบำรุงสายตาและดวงตา ช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม • ช่วยบำรุงเลือดและหัวใจ ช่วยซ่อมแซมระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้น ป้องกันอาการเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขาดความยืดหยุ่น ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว • บำรุงกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยป้องกันการสูญเสียแคลเซียม ช่วยเพิ่มความหนาแน่น ของมวลกระดูก • สรรพคุณสำหรับสตรี ช่วยรักษาอาการมดลูกทรุดตัว รักษาอาการมดลูกต่ำ ช่วยกระชับช่องคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ช่วยดับกลิ่นภายในช่องคลอด ช่วยเพิ่มน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด รักษาอาการ หน่วงของมดลูก รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติรักษาอาการปวดท้องประจำเดือน รักษาอาการ ตกขาว ช่วยขับน้ำคาวปลา • กระตุ้นความรู้สึกทางเพศของสตรี • รักษาโรคริดสีดวงทวาร


26 โทษของว่านชักมดลูก ถึงแม้ว่าว่านชักมดลูกจะมีประโยชน์มากมายแต่ต้องระมัดระวังถึงผลข้างเคียง ซึ่งโทษของว่านชัก มดลูกมีดังนี้ • ในระยะแรกของการกินว่านชักมดลูก จะมีตกขาวมากกว่าปกติ ไม่ต้องตกใจสามารถกินต่อได้เลย อาการจะดีขึ้นในที่สุด • สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยกินมาก่อน เมื่อกินครั้งแรกอาจจะมีอาการไข้ อาการปวดศีรษะ อาการไอ ให้ลด ปริมาณการกินลงครึ่งหนึ่ง จนอาการหายดี แล้วค่อยเพิ่มปริมาณเท่าเดิม • ในบางรายพบอาการแพ้ โดยจะมีมีผื่นขึ้น บริเวณผิวหนัง และ ตามลำตัว ให้ลองลดปริมาณการกิน จนอาการดีขึ้น จึงกินในปริมาณปกติ หรือ หากไม่หายดีให้เลิกกิน • บางรายพบว่ามี อาการปวดหน้าบริเวณอก ตึงแน่นหน้าอก หรือ ปวดบริเวณท้องน้อย มดลูก ภายใน ช่องคลอด หากพบว่ามีอาการดัง ควรลดปริมาณยาลงครึ่งหนึ่ง หากอาการดีขึ้น ค่อยรับประทานใน ปริมาณมากขึ้น จนถึงที่กำหนดปกติ • พบในบางรายว่าสตรีวัยทอง หรือ สตรีวัยหมดประจำเดือน หลังจากรับประทานว่านชักมดลูก อาจจะ มีประจำเดือนใหม่เกิดขึ้น ซึ่งคุณสามารถรับประทานต่อไปได้ ไม่ต้องกังวล ประจำเดือนที่เกิดขึ้นก็จะ ค่อย ๆ หมดไปเอง ตามธรรมชาติ หมามุ่ย ขนหมามุ่ยมีสารเซโรโทนิน Serotonin ทำให้คัน เมล็ดของหมามุ่ยมีความเป็นพิษ แต่ สามารถนำมาทำยาสมุนไพรได้ สามารถใช้ ราก ใบ ฝัก เมล็ด รักษาโรคได้


27 ต้นหมามุ่ย ภาษาอังกฤษ เรียก Mucuna ชื่อวิทยาศาสตร์ของหมามุ่ย คือ Mucuna pruriens (L.) DC. เป็นพืชตระกูลถั่ว หมามุ่ย เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อน ทวีปแอฟริกาและเอเชีย สามารถพบหมามุ่ยได้ในหลายประเทศ เช่น ไทย อินเดีย จีน พม่า ลาว กัมพูชา เป็นต้น ขนของหมามุ่ยมี สารเซโรโทนิน หากถูกผิวหนังแล้วจะทำให้มีอาการคัน บวมแดง แต่สามารถแก้พิษ คันของหมามุ่ยได้ โดยใช้เทียนไขลนไฟให้ ตัวขนอ่อนตัวลง หรือ ใช้ข้าวเหนียวนำมาแปะ และ คลึง จนเนื้อข้าวเหนียวกลืนกัน จนดึงขนออกมากจากผิวหนัง แต่หากกรณีที่อาการไม่ดีขึ้น หรือใช้คาลา ไมน์มาทา ลักษณะของต้นหมามุ่ย หมามุ่ย เป็นพืชล้มลุกตระกูลถั่ว สามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดพันธ์ พบได้ทั่วไปตาม ธรรมชาติ ป่าเบญจพรรณ มักแพร่กระจายเป็นหย่อมๆ เติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน ทนต่อความแห้ง แล้งได้ดี ลักษณะของต้นหมามุ่ย มีดังนี้ • ลำต้น เป็นเถาเครือ ยาวประมาณ 10 เมตร เปลือกมีสีน้ำตาล • ใบ ลักษณะของใบหมามุ่นทรงรี คล้ายไข่ ใบบาง โคนใบกลม มีขนปกคลุมใบทั้งสองด้าน • ดอก ลักษณะของดอกหมามุ่ยเป็นช่อ มีขนปกคลุม สีม่วงอมดำ ดอกหมามุ่ยมีกลิ่นฉุน ดอกหมามุ่ย ตามตามง่ามของใบ • ผล ลักษณะของผลหมามุ่ย เป็นฝัก ความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ฝักของหมามุ่ยมีขนอ่อนๆปก คลุม ฝักแก่ของหมามุ่ยมีฤิทธิ์เป็นพิษ ทำให้ผิวหนัง คับ บวมแดง ปวดแสบปวดร้อน ขนของ หมามุ่ย มี สาร เซโรโทนิน ( Serotonin ) หากสัมผัสผิวกายของมนุษย์จะทำให้รู้สึกคัน • เมล็ด ภายในฝักของหมามุ่ย มีเมล็ด สีน้ำตาลเข้ม หรือ สีดำ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เมล็ด หมามุ่ย มี สารแอลโดปา ( L-Dopa ) มีประโยชน์ต่อระบบสืบพันธุ์ และ ระบบประสาท ช่วยรักษา โรคพาร์กินสัน ได้ สรรพคุณของหมามุ่ย


28 สำหรับการใช้ประโยชน์จากหมาหมุ่ยในการรักษาโรคและบำรุงร่างกาย สามารถใช้ส่วนใบ ราก ฝัก และ เมล็ด ได้ ซึ่ง สรรพคุณของหมามุ่ย มีดังนี้ • รากหมามุ้ย สรรพคณช่วยถอนพิษ แก้ไอ • ใบหมามุ้ย สรรพคุณรักษาแผล • เมล็ดหมามุ่ย สรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้สดชื่น ช่วยผ่อนคลาย แก้นอนไม่หลับ เพิ่ม สมรรถภาพ ช่วยเพิ่มน้ำอสุจิช่วยกระตุ้นให้มีลูก ช่วยกระตุ้นความรู้สึก ทำให้อวัยวะแข็งตัว ช่วย ชะลอการหลั่งอสุจิ เพิ่มฮอร์โมนสตรี ทำให้หน้าอกเต่งตึง ทำให้นมโต บำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวเปล่ง ปลั่ง กระชับช่องคลอด รักษาโรคพาร์กินสัน แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย โทษของหมามุ่ย สำหรับการใช้ประโยชน์หมามุ่ย ในการรักษาโรคและการบำรุงร่างหาย หมามุ่ยต้องใช้ในปริมาณที่ เหมาะสม ข้อควรระวังและโทษหมามุ่ย มีดังนี้ • เมล็ดหมามุ่ยสดๆ มีความเป็นพิษ มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้ประสาทหลอน หากไม่นำมาใช้ ประโยชน์ให้นำไปคั่วให้สุกก่อนจึงจะไม่เป็นพิษ • ขนฝักของหมามุ่ยมีพิษ ทำให้คัน ระคายเคืองผิวพรรณ แก้วมังกร ผลไม้แสนอร่อย สรรพคุณมากมาย ช่วยขับถ่าย เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค บำรุงเลือด บำรุง ผิวพรรณ ลักษณะของต้นแก้วมังกรเป็นอย่างไร มีโทษหรือไม่อย่างไร


29 แก้วมังกร ภาษาอังกฤษ เรียก Dragon fruit ชื่อวิทยาศาสตร์ของแก้วมังกร คือ Hylocereus undatus (Haw) Britt. Rose. ต้นแก้วมังกรเป็นพืชตระกูลเดียวกับกระบองเพชร มีถิ่นกำเนิดในแถบ อเมริกากลาง ซึ่งในแถบเอเชียเริ่มนำเข้ามาปลูกในประเทศเวียดนาม เมื่อร้อยปีก่อน จนได้รับความ นิยมแพร่กระจายไปหลายประเทศ แหล่งปลูกแก้วมังกรที่สำคัญในประเทศไทย คือ ภาคตะวันออก แถบจังหวัดจันทบุรี ชลบุรี นอกจากนี้ยังมีแหล่งปลูกในจังหวัดกาญจนบุรี สระบุรี และสมุทรสงคราม ประโยชน์ของแก้วมังกร รับประทานเป็นผลไม้สด นิยมรับประทานตอนเช้า ช่วยเรื่องการขับถ่ายได้ดี นำมาทำเป็นผลไม้ฟรุตสลัด เป็นของหวานอาหารว่าง แปรรูปเป็นผลไม้อบแห้ง และใช้ทำเครื่องดื่ม ดับกระหาย เช่น สมูตตี้แก้วมังกร ลักษณะของต้นแก้วมังกร ต้นแก้วมังกร เป็นพืชอวบน้ำ พวกเดียวกับกระบองเพชร ต้องการน้ำน้อย ไม่ต้องการดูแลมาก มีอายุ หลายปี ให้ผลผลิตตลอดเกือบทั้งปี ตั้งแต่มีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน มีศัตรูที่ทำลายผลผลิตสำคัญ คือ หนู มีโรคและแมลงรบกวนน้อย ลักษณะของต้นแก้วมังกร มีดังนี้ • ลำต้นแก้วมังกร คล้ายลำต้นของกระบองเพชร ลำต้นเป็นปล้องๆ เป็นสามเหลี่ยม สีเขียว มีหนาม อวบน้ำ มีขอบรอยหยักเป็นระยะๆ • ดอกแก้วมังกร ลักษณะเป็นดอกเดี่ยว ดอกออกที่ปลายของลำต้น ดอกแก้วมังกรเป็นตุ่มสีเขียว กลีบ เลี้ยงสีเขียวอ่อน รูปร่างทรงกรวย ดอกแก้วมังกรจะบานเวลากลางคืน และ หุบในตอนเช้า • ผลแก้วมังกร ผลแก้วมังกรเจริญเติบโตจากดอก ผลแก้วมังกรเป็นทรงกลมรี เปลือกของผลหนา ผิว ของเปลือกจะคลุมด้วยกลีบเลี้ยง สีเขียว ภายในแก้วมังกรมีเนื้อ อวบน้ำ และ มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวน มาก สายพันธ์ของแก้วมังกร สำหรับสายพันธ์แก้วมังกรที่นิยมปลูก มี 3 สายพันธ์ คือ สายพันธ์เนื้อขาวเปลือกแดง สายพันธ์เนื้อ ขาวเปลือกเหลือง และ สายพันธ์เนื้อแดงเปลือกแดง รายละเอียด ดังนี้ • แก้วมังกรสายพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocercus undatus (Haw) Brit. & Rose. ลักษณะสำคัญ คือ เปลือกของผลสีแดงอมชมพู มีกลีบผลสีเขียว เนื้อเป็นสีขาว มีรสหวาน


30 • แก้วมังกรสายพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocercus megalanthus ลักษณะ สำคัญ คือ เปลือกผลสีเหลือง ขนาดผลเล็ก เนื้อสีขาว มีเมล็ดขนาดใหญ่ รสหวาน • แก้วมังกรสายพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocercus costaricensis เรียกอีกชื่อ ว่า แก้วมังกรสายพันธุ์คอสตาริกา ลักษณะสำคัญ คือ เปลือกของผลสีแดง ผลมีขนาดเล็ก เนื้อสีแดง รสหวาน คุณค่าทางอาหารของแก้วมังกร การรับประทานแก้วมังกร 100 กรัม จะได้ พลังงาน 66 กิโลแคลอรี คุณค่าทางอาหารอื่นๆ ได้แก่ วิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามินB1-3 วิตามินC แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น Ca K Mg P และ Fe เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีกากใยหรือไฟเบอร์ ช่วยทำให้อิ่มท้อง และการขับถ่ายได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับเป็น อาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อการควบคุมน้ำหนัก เพราะ มีน้ำตาลน้อย ทำให้อิ่มท้องนาน และช่วยบำรุง ผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส ดูมีน้ำมีนวลอีกด้วย จัดเป็นสมุนไพรสำหรับสตรี สรรพคุณของแก้วมังกร สำรับการใช้ประโยชน์จากแก้วมังกรด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค นิยมใช้ผลและเปลือกผล มาใช้ประโยชน์สรรพคุณของแก้วมังกร มีดังนี้ • บำรุงผิวพรรณ เนื่องจากแก้วมังกรมีวิตามินอยู่จำนวนมาก ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย • ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย • บำรุงหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดไขมันในเส้นเลือด ควบคุมน้ำตาลในเลือด รักษาโรคความดัน โลหิตสูง • บำรุงเลือด บรรเทาอาการของโรคโลหิตจาง บำรุงการสร้างเม็ดเลือด • เหมาะสำหรับสตรีที่กำลังให้นมบุตร ช่วยทำให้น้ำนมมีคุณภาพดี • ช่วยดูดซับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยขับถ่าย แก้อาการท้องผูก ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ • ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง


31 โทษของแก้วมังกร สำหรับการใช้ประโยชน์จากแก้วมังกร หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมจะไม่ทำให้เกิดโทษ ซึ่งข้อควร ระวังในการบริโภคแก้วมังกร มีดังนี้ • สรรพคุณของแก้วมังกร ทำให้ร่างกายเย็น ลดความร้อนในร่างกาย หากกินมากเกินไป อาจทำให้มือ เท้าเย็นและท้องเสียง่าย • สตรีที่อยู่ในขณะมีประจำเดือน ควรงดการกินแก้วมังกร ความเย็นของแก้วมังกร อาจทำให้เลือดเสีย จับตัวเป็นก้อน และ ทำให้ประจำเดือนขัดได้ มะระ ผลมะระมีรสขมมาก แต่สรรพคุณทางยามากมาย รักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด มีสาร ต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีนสูง ลดไข้ รสขมมาจากสาร Momordicine มะระ ภาษาอังกฤษ เรียก Bitter melon ชื่อวิทยาศาสตร์ของมะระ คือ Momordica charantia L. รวมอยู่ในวงศ์เดียวกับแตง ต้นมะระ เป็นพืชประเภทไม้เลื้อย สามารถเจริญได้ทั่วไปในเขตร้อน นิยม ปลูกเพื่อให้เป็น ยา และ รับประทาน เป็น ผัก แก้โรคต่าง ๆ และ เพิ่มรสชาติอาหาร มี วิตามินA วิตามินB1-6 โฟเลต Ca Mg P Zn Cu Fe ต้นมะระ มี 2 สายพันธุ์ คือ มะระขี้นก และ มะระจีน ประโยชน์ของมะระ นิยมนำมาเป็นอาหาร บำรุงร่างกาย เป็นอาหารยา ผลมาใช้เป็นอาหาร รับประทานมีประโยชน์ต่อร่างกาย เถา รากและใบของมะระสามารถใช้เป็นยารักษาอาการและโรค ต่าง ๆ ได้ดี ลักษณะของต้นมะระ


32 ต้นมะระเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับแตงกวา รสขมของผลมะระเป็นเอกลักษณ์ของมะระ สามารถปลูก ได้ในประเทศเขตร้อน ซึ่งการขยายพันธ์มะระ ใช้การเพาะเมล็ดพันธ์ ลักษณะของต้นมะระ มีดังนี้ • ลำต้นมะระ ลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย เถายาวเกาะตามเสา หรือ พื้นที่ที่ต่าง ๆ ลำต้นอุ้มน้ำมาก มีขน อ่อนๆ • ใบมะระ ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบคล้ายรูปฝ่ามือ ขอบใบหยักเป็นซี่ห่างๆ ใบเว้าเป็นแฉกๆ ใบมีขนอ่อนๆ • ดอกมะระ ลักษณะดอกออกเป็นช่อ มีสีเหลือง ออกดอกตามซอกใบ • ผลมะระ ลักษณะยาวเรียว สีเขียว ผิวขรุขระ มะระสุกมีสีเหลือง ภายในมีเมล็ด ผลมะระมีรสขมมาก สรรพคุณของมะระ ประโยชน์ของมะระ ในด้านการบำรุงร่างกาย และ การรักษาโรค นั้น สามารถใช้ประโยชน์จาก ราก ใบ ผล เมล็ด และ ลำต้น โดยรายละเอียดสรรพคุณของมะระ ดังนี้ • ป้องกันเซลล์ไม่ให้เกิดมะเร็ง ช่วยขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ • ช่วยทำให้เจริญอาหาร เพราะ มีสาร Momordicine ทำหน้าที่ เรียกน้ำย่อย ออกมาจาก ระบบ ทางเดินอาหาร • ช่วยการย่อยอาหาร • บำรุงสายตา ระบบการมองเห็น ทำให้ดวงตาสดใส • บำรุงระบบกระดูก และ ฟัน ได้แข็งแรงดี • แก้กระหายน้ำ บรรเทาอาการคอแห้ง ทำให้ชุ่มคอ • รักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด • ดับพิษร้อนภายในร่างกาย • ปรับความสมดุลร่างกาย


33 • รักษาอาการไข้ รักษาหวัด ขับเสมหะ • รักษาแผลปากเปื่อย • แก้อาการบิด อาการปวดท้องจากท้องเสีย • เป็นยาระบายอ่อน • รักษาแผลในกระเพาะอาหาร • รักษาโรคริดสีดวงทวารหนักได้ • ช่วยขับพยาธิตัวกลม • บำรุงตับ แก้ม้ามพิการ บำรุงน้ำดีแก้ท่อน้ำดีอักเสบ • เป็นยาทาภายนอกช่วยลดระคายเคืองผิวหนัง • ลดอาการฟกช้ำ บวม ตามผิวหนัง และ แก้อาการผดผื่นคัน • ลดอาการปวดบวม รักษาสิวอักเสบ โทษของมะระ ข้อควรระวังในการรับประทานมะระ มีรายละเอียด ดังนี้ • สารซาโปนิน ( Saponin ) ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย การรับประทานผลสุกของมะระ อาจจะทำให้เกิด อาการคลื่นไส้อาเจียน • ไม่ควรรับประทานมะระมากเกิน เนื่องจากมะระมีสรรพคุณในการลดน้ำตาลในเลือด สำหรับคนที่มี ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ มีแผนในการเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานมะระ • เยื่อหุ้มเมล็ดของมะระที่มีสีแดง เพราะ เป็นพิษต่อร่างกาย


34 สัตว์สมุนไพร คือ ส่วนประกอบของสัตว์ที่ใช้ประโยชน์ในการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค มีความเชื่อต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ที่คนนำมาใช้ประโยชน์ทั้ง สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก และ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สมุนไพรที่ได้จากสัตว์ มีดังนี้ กระเพาะปลา คือ ถุงลมของปลาทะเล อาหารบำรุงร่างกาย สรรพคุณบำรุงเลือด เสริมธาตุหยิน ชูกำลัง สร้างภูมิต้านทางโรค แก้อาการตกเลือด มีฉายาว่า โสมแห่งท้องทะเล กระเพาะปลา ภาษาจีน เรียก หื่อเผีย เป็นอาหารบำรุงร่างกายชั้นยอด ฉายา โสมแห่งท้องทะเล สรรพคุณของ กระเพาะปลา บำรุงเลือด เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง สมุนไพรจากสัตว์ มีคุณค่าทางโภชนาการ กระเพาะปลาที่ใช้ เป็นยาบำรุงเลือด แก้ไขอาการเลือดพร่อง กระเพาะปลา จะมีความคาว กลิ่นฉุน การเก็บรักษากระเพาะปลา ให้นานขึ้นจะช่วยลดความฉุนของกระเพาะปลาเวลานำมาทำอาหารได้ ที่มาของกระเพาะปลา กระเพาะปลา คือ ส่วนของถุงลมของปลาทะเล ซึ่งถุงลมของปลาใช้ในการพยุงตัวปลาในน้ำ ได้มาจากปลา ทะเลหลายชนิด เช่น ปลากะพง ปลากุเลา ปลาอินทรี ปลาไหลทะเล ปลาจวด ปลาริวกิว และ ปลามังกร เป็น ต้น กระเพาปลา เป็นอาหารที่มีสรรพคุณทางยา ราคาสูง ซึงกระเพาะปลาของปลาแต่ละชนิด ราคาไม่ เท่ากัน น้ำหนักก็ยิ่งมาก กระเพาะปลาราคาจะสูงขึ้น และ กระเพาะปลาที่แพงที่สุด เป็น กระเพาะปลาของ ปลามังกร ชาวจีนเรียก เหมี่ยนฮือ แต่เดิมชาวจีน เป็นชาติแรก ที่นำเอากระเพาะปลา หรือ ถุงลมปลา มาทำอาหาร ประมาณ 1600 ปีที่แล้ว เชื่อ ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ใช้เป็นเครื่องบรรณาการถวายแก่เจ้าแผ่นดิน ถุงลมของปลาทะเลน้ำลึก จะมีราคาสูง


35 สรรพคุณทางยาของกระเพาะปลา ในตำรายาจีน เป็น อาหารเสริมธาตุหยิน ช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกาย แข็งแรง บำรุงกล้ามเนื้อ เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค แก้อาการตกเลือด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เลือดลมไหลเวียนดี คุณค่าทางโภชนาการของกระเพาะปลา สำหรับการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของกระเพาะปลาแห้ง ขนาด 100 กรัม พบว่ามีสารอาหารสำคัญ ประกอบด้วย โปรตีน 84.4 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม แคลเซียม 50 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม และ เหล็ก 2.6 กรัม สรรพคุณของกระเพาะปลา กระเพาะปลา อุดมไปด้วยคอลลาเจน และ สารอาหารสำคัญต่างมากมาย เป็นประโยชน์ต่อกระดูก และ กระดูกอ่อน บำรุงผิวพรรณ บำรุงกำลัง บำรุงกล้ามเนื้อให้แข็งแรง แก้อาการตกเลือด ให้พลังงาน สร้างความ อบอุ่นให้ร่างกาย อาหารเสริมธาตุหยิน ช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงกล้ามเนื้อ เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค แก้อาการตกเลือด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เลือดลมไหลเวียนดี โทษของกระเพาะปลา สำหรับการกินกระเพาะปลามีประโยชน์ แต่การนำเอามาปรุงอาหารต้องใส่ใจในความสะอาด เพื่อไม่ให้สิ่ง สกปรกเจือปน โดยข้อควรระวังในการกินกระเพาะปลา มีดังนี้ • กระเพาะปลา มีความหนืด จึงทำให้ย่อยยาก สำหรับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินอาหาร ต้องทำให้ กระเพาะปลาอ่อน สามารถรับประทานได้ง่าย • กระเพาะปลาที่เหนียวหนืด อาจทำให้ท้องอืดได้ การนำเอากระเพาะปลามาทำอาหารต้องตุ๋นจนนุ่ม • กระเพาะปลามีความคาว การนำเอามาทำอาหาร ต้องลดความคาวของกระเพาะปลาลง หากทำไม่ดี ทำให้อาหารคาว กินไม่ได้ และ หากกินเข้าไปอาจทให้อาเจียนได้ กระเพาะปลา คือ ถุงลมของปลาทะเล อาหารบำรุงร่างกาย สมุนไพรจากสัตว์ สรรพคุณของกระเพาะปลา ช่วยบำรุงเลือด ของปลา นิยมนำมาทำอาหารบำรุงโลหิต เสริมธาตุหยิน ช่วยชูกำลัง บำรุงเซลล์และเนื้อเยื่อ สร้างภูมิต้านทางโรค แก้อาการตกเลือด ให้ร่างกายอบอุ่น ฉายาของกระเพาะปลา เรียก โสมแห่งท้องทะเล


36 ไขมันทรานส์( trans fat ) คือ ไขมันที่ได้จากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน นิยมใช้ทำอาหารใน อุตสาหกรรมอาหาร ราคาถูก ทนความร้อน ไม่เหม็นหืน ใกล้เคียงกับไขมันสัตว์ ไขมันทรานส์คือ ไขมันประเภทหนึ่ง ได้จากการสังเคราะห์จากกระบวนการผลิตโดยการเติมไฮโดรเจนเข้าไป ในน้ำมันพืช ซึ่งทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวมากขึ้น สมารถยืดอายุของอาหาร ทำให้รสชาติของอาหารอยู่นานขึ้น ต้นทุนน้ำมันราคาถูก ลดกลิ่นหืนของอาหาร ไขัมนชนิดนี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร คุณสมบัติของไขมันทราน์ สำหรับไขมันทรานส์มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการทำอาหาร คุณสมบัติของไขมันทรานส์ ประกอบด้วย ทำให้สามารถเก็บอาหารไว้ได้นานขึ้น ลดกลิ่นหืนของอาหาร ทนทานต่อความร้อน มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ ไขมันจากสัตว์ ไขมันทรานส์จึงเป็นส่วนประกอบของอาหารฟาสต์ฟู๊ดต่าง ๆ เช่น โดนัท ไก่ทอด ขนมเค้ก เป็น ต้น ไขมันทรานส์ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณะสุข ประเทศไทย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ห้ามผลิต นำเข้า และ จำหน่าย นำมันที่ ผ่านกระบวนการผลิตไฮโดรเจนบางส่วน อาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการผลิตไฮโดรเจนเป็นบางส่วน ( ไข มันทรานส์ ) ส่วนองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดว่า อาหารทุกประเภทที่จัดจำหน่าย ภายในประเทศ ต้องระบุปริมาณของกรดไขมันทรานส์ บนฉลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องมีปริมาณกรดไขมันทรานส์ ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ประโยชน์ของไขมันทรานส์


37 ไขมันทรานส์ นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารและเป็นส่วนประกอบของอาหารกลุ่มอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น ทอดไก่ มันฝรั่งทอด โดนัท เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม และ วิปปิ้งครีม เป็นต้น ประโยชน์ของไขมันทรานส์ ที่มี ต่อร่างกายและอาหาร มีดังต่อไปนี้ • ราคาถูก • คุณสมบัติใกล้เคียงไขมันจากสัตว์ • ทำให้สามารถเก็บอาหารได้นานขึ้น • ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ลดความเหม็นหืนของอาหารได้ • ช่วยเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกาย • ทำให้ร่างกายอบอุ่น • ทำให้อยู่ท้อง ทำให้อิ่มท้องได้นานขึ้น โทษของไขมันทรานส์ การบริโภคอาหารที่ใช้ไขมันทารส์ เป็นส่วนประกอบของอาหาร และ นำมาใช้ทำอาหาร หากบริโภคไขมันท รานส์ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้ • ทำให้คอเลสเตอรอลเพิ่ม การบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์มากเกินไปทำให้กระตุ้นการทำงานของ เอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase มากขึ้น • ไขมันทรานส์ย่อยสลายยาก ทำให้ตับทำงานหนักขึ้น อาจส่งผลต่อโรคที่เกี่ยวกับตับ เช่น นิ่วในถุงน้ำดี • สำหรับผู้ป่วยโรคตับ อาจทำให้ตับวายได้ • ทำให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น มีความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น ไขมันทรานส์มักใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารและใช้ในการผลิตอาหาร ประเภทโดนัท ขนมขบเคี้ยว ต่างๆ เฟรนซ์ฟรายส์คุกกี้เนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม เค้ก แคร็กเกอร์วิปครีม นักเก็ต ไก่ทอด หมู ทอด อาหารประเภททอดๆ ที่ต้องใช้น้ำมันหรือไขมันทั้งหลาย


38 รังนก รังของนกนางแอ่น ถูกสร้างจากน้ำลายของนกนางแอ่น นกนางแอ่นจะสร้างรัง 3 ครั้งในหนึ่งปี นิยม นำมาทำอาหาร สรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงผิวพรรณ เป็นยาอายุวัฒนะ รังนกนางแอ่น เกิดจากการสำรอกน้ำลายและของเหลว ที่มีลักษณะเหนียวข้น เพื่อสร้างรัง เมื่อน้ำลายของนก นางแอ่นโดนลมก็จะแข็งตัว เป็นรังนกขึ้นมา นกนางแอ่นจะสร้างรัง 3 ครั้งในหนึ่งปี ซึ่งสรรพคุณของรังกนใน การสร้างแต่ละครั้งให้คุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้ • รังนกที่ได้จากการสร้างครั้งที่ 1 เป็นรังนกที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด เพราะ มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด นก จะสะสมอาหารไว้สำหรับบำรุงร่างกาย สำรอกน้ำลายออกมา จะมีลักษณะ สีขาว เหนียวข้น ไม่มีขน เจือปน • รังนกที่ได้จากการสร้างครั้งที่ 2 สำหรับการสร้างรังครั้งที่สอง เมื่อถูกคนมาเก็บรังนกไป นกจะรีบสร้าง รังขึ้นมาใหม่ ซึ่งในครั้งนี้นกมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์เท่าครั้งแรก ความข้นของน้ำลายน้อยกว่าเดิม อาจมีขนอ่อนเจือปน รังนกจะมีลักษณะหยาบ และมีสีดำ ปน • รังนกที่ได้จากการสร้างรังครั้งที่ 3 เมื่อรังนกถูกคนเก็บ นกจะรีบสร้างรังขึ้นมาใหม่ รังนกครั้งที่สามจะ มีสีแดง ซึ่งเกิดจากสภาพของร่างกายและอาหาร ชนิดของรังนกนางแอ่น สำหรับรังนกนางแอ่น สามารถแบ่งได้ 5 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณภาพและราคาที่แตกต่างกัน โดยรายละเอียด ดังนี้ • รังแรก คือ รังนกนางแอ่นครั้งแรกของปี สามารถเก็บรังนกนางแอ่นได้ ช่วงเดือนมีนาคม ถือเป็นรักนก ที่สมบูรณ์และคุณภาพดีที่สุด • รังนกที่กลายเป็นหิน คือ รังนกในถ้ำที่ถูกทิ้งไว้ไม่มีใครเก็บ จนกลายเป็นหิน


39 • รังนกแดง คือ รังนกที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมีบางประการ ทำให้รังนกเป็นสีแดง ซึงหลายคน เชื่อว่านกนางแอ่น แร่งสำรอกน้ำลายจนมีเลือดปนออกมา • รังนกสีทอง คือ รังนกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทำให้รังนกมีลักษณะสีทอง เป็นรังนกที่ราคาแพง และ หายากมาก • รังนกบ้าน คือ รังนกที่ถูกสร้างขึ้นมา ในบ้าน เป็นรังนกเลี้ยง คุณภาพรังนกบ้านด้อยกว่ารังนกที่ได้จาก ธรรมชาติ สำหรับรังนกนั้นมีหลายชนิด แต่ในปัจจุบันมีรังนกปลอมขาย ควรระมัดระวังในการเลือกซื้อ เพราะ การบริโภค รังนกปลอมไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย รังนกที่ดี มีคุณภาพที่สุด จะอยู่แถบทะเลด้านตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และ ทะเลแถบมณฑลไห่นาน ประเทศจีน เป็นต้น คุณค่าทางโภชนากการของรังนกนางแอ่น สำหรับคุณค่าทางโภชนาการของรังนกนางแอ่น ซึ่งนักโภชนาการศึกษาคุณค่าทางอาหารของรังนกสีขาวและ รังนกสีแดง ดังนี้ • คุณค่าทางโภชนาการของรังนกนางแอ่นสีขาว ขนาด 100 กรัม มีความชื้น 17.8% มีสารอาหาร สำคัญ ประกอบด้วย คาร์โบโฮเดรต 22.3% โปรตีน 52.8% กากใยอาหาร 0.08% โซเดียม 1572.1 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 11.5 มิลลิกรัม แคลเซียม 814 มิลลิกรัมต ธาตุเหล็ก 11.7 มิลลิกรัมต่อ กิโลกรัม ทองแดง 3.81 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สังกะสี 1.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ แมงกานีส 1.47 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม • คุณค่าทางโภชนาการของรังนกนางแอ่นสีแดง ขนาด 100 กรัม มีความชื้น 17.8% มีสารอาหาร สำคัญ ประกอบด้วย คาร์โบโฮเดรต 22.3% โปรตีน 52.8% กากใยอาหาร 0.08 % โซเดียม 1282.5 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 28.7 มิลลิกรัม แคลเซียม 1569.4 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 36.8 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม ทองแดง 3.81 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สังกะสี 2.58 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ แมงกานีส 11.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สรรพคุณของรังนกนางแอ่น


40 รังนกนางแอ่น มีสรรพคุณด้านการรักษาโรคและการบำรุงร่างกาย โดย รังนกนางแอ่นทำให้ร่างกายให้สดชื่น แข็งแรง แก้ไอ ขับเสมหะ กินรังนกนางแอ่นเป็นประจำทุกเช้า ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ประโยชน์ของรัง นกนางแอ่น มีรายละเอียด ดังนี้ • รังนกนางแอ่น มี EGF ( EPIDERMAL GROWTH FACTOR ) สรรพคุณช่วยในการซ่อมผิวหนัง และ กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ดูอ่อนวัย เป็นยาอายุวัฒนะ • รังนกนางแอ่นมี GLYCOPROTEIN สรรพคุณช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ช่วย ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส • รังนกนางแอ่น มี NANA ( N – Acetylneuraminic acid ) สรรพคุณช่วยบำรุงปอด บำรุงหลอดลม บำรุงระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการหวัดและภูมิแพ้ • รังนกนางแอ่น มีสรรพคุณ ช่วยเพิ่มพลัง กระตุ้นความอยากกินอาหาร ช่วยเจริญอาหาร บำรุงไข กระดูก รักษาอาการท้องเสียเรื้อรัง • รังนกนางแอ่น ช่วยขับระบายความร้อน รังนก คือ รังของนกนางแอ่น ถูกสร้างจากน้ำลายของนกนางแอ่น นกนางแอ่นจะสร้างรัง 3 ครั้งในหนึ่งปี รัง นกนางแอ่น นิยมนำมาทำอาหาร สรรพคุณของรังนกนางแอ่น ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงผิวพรรณ เป็นยา อายุวัฒนะ สมุนไพรไพรจากสัตว์ สมุนไพรจากนก น้ำผึ้ง น้ำหวานของดอกไม้ที่ผึ้งนำมาเก็บสะสมเป็นแหล่งอาหารของผึ้ง สรรพคุณของน้ำผึ้ง ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงผิวพรรณ บำรุงสมอง บำรุงเส้นผม รักษาสิว โทษของน้ำผึ้ง


41 น้ำผึ้ง ( Honey ) คือ น้ำหวานชนิดหนึ่ง เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติ ได้จากแหล่งน้ำหวานตามธรรมชาติ ซึ่ง ผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้ที่รังผึ้ง น้ำผึ้งจะมีกลิ่น รสชาติ และ สี ที่ต่างกันออกไปตามแหล่งของน้ำหวานที่ผึ้งนำมา สะสมไว้ น้ำผึ้งนิยมนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานนำมาปรุงรสชาติอาหารต่างๆ ลักษณะของน้ำผึ้ง คือ เป็นของเหลว เหนียวข้น มีรสหวาน สีเหลือง สามารถติดไฟได้ การเลือกซื้อน้ำผึ้ง น้ำผึ้งในปัจจุบัน มีการทำน้ำผึ้งปลอม และ มีการเจือปน จนไม่ใช่น้ำผึ้งบริสุทธ์ วิธีการเลือกซื้อน้ำผึ้ง มี รายละเอียด ดังนี้ • ให้เขย่าขวด แล้วสังเกตุดูฟองอากาศ น้ำผึ้งแท้จะมีฟองอากาศใหญ่ ลอยตัวเร็ว ไม่เห็นการแยกชั้น ของน้ำผึ้ง ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีฟองอากาศมาก ลอยตัวช้าและมองเห็นการแยกตัวเป็นชั้นอย่าง ชัดเจน • หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู น้ำผึ้งแท้จะซึมช้ามาก ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็ว • เอาหัวไม้ขีดไฟมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดไฟ น้ำผึ้งแท้ จะสามารถจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟ ไม่ติด • การเอาน้ำผึ้งหยดลงในแก้วใส่น้ำเย็น น้ำผึ้งแท้จะรวมเป็นก้อนจมลงก้นแก้วและค่อยละลาย ส่วน น้ำผึ้งปลอม เมื่อหยดลงน้ำแล้วจะกระจายตัวทันที • น้ำผึ้งแท้จะไม่ตกผลึกแต่น้ำผึ้งปลอมจะตกผลึก คุณค่าทางโภชนากการของน้ำผึ้ง


42 นักโภชนาการได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง ขนาด 100 กรัม ให้พลังงานถึง 304 กิโลแคลอรี มี สารอาหารสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 82.4 กรัม น้ำตาล 82.12 กรัม กากใยอาหาร 0.2 กรัม โปรตีน 0.3 กรัม น้ำ 17.10 กรัม วิตามินบี1 0.038 มิลลิกรัม วิตามินบี3 0.121 มิลลิกรัม วิตามินบี5 0.068 มิลลิกรัม วิตามินบี6 0.024 มิลลิกรัม วิตามินบี9 2 ไมโครกรัม วิตามินซี 0.5 มิลลิกรัม ธาตุแคลเซียม 6 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.42 มิลลิกรัม ธาตุแมกนีเซียม 2 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 52 มิลลิกรัม ธาตุโซเดียม 4 มิลลิกรัม และ ธาตุสังกะสี 0.22 มิลลิกรัม น้ำผึ้งมีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบต่างตามที่กล่าวมาข้างต้น สารอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ทำหน้าที่ช่วย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย และ ลดการเกิดโรคมะเร็ง สรรพคุณของน้ำผึ้ง สำหรับน้ำผึ้งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านการบริโภคให้ความหวานเป็นหลัก และ เป็นส่วนประกอบของ ผลิตภัณฑ์ความงามต่าง ๆ เช่น มากส์หน้า สบู่ เจลล้างหน้า สะครับ เป็นต้น แต่ประโยชน์ของน้ำผึ้งด้านการ บำรุงร่างกายและการรักษาโรคมากมาย รายละเอียด ดังนี้ • ช่วยให้ร่างกายสดชื่น บำรุงกำลัง ให้กระปรี้กระเปร่า เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ฟื้นฟูสภาพร่างกาย • ช่วยชะลอวัย มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นยาอายุวัฒนะ ป้องกันการเกิดมะเร็ง • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้ความชุ่มชื่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติบำรุงรักษาผิวหน้า • ช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดี • ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง • ช่วยบำรุงเส้นผม ทำให้ผมนุ่มสวยเงางาม • ช่วยแก้คออักเสบ บำรุงเส้นเสียง แก้เสียงแหบ ลดอาการเจ็บคอ บรรเทาอาการไอ • ช่วยลดสิวอักเสบ รักษาสิวอุดตัน • ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อาหารบูดช้าลง ช่วยให้เก็บอาหารได้นานขึ้น • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค และ รักษาไข้หวัด


43 • ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก • ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้า แก้อ่อนเพลีย ช่วยฟื้นฟูอาการป่วย • ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน • ช่วยบำรุงเลือด รักษาโรคโลหิตจาง • ช่วยรักษาอาการเมาค้าง • ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ปรับความสมดุลย์ของเลือด ปรับระดับความคัดเลือดให้คงที่ • ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับสบาย แก้ปัญหานอนไม่หลับ • ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ • ช่วยบำรุงตับ รักษาโรคเกี่ยวกับตับ • ช่วยรักษาตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น • ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ • รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ • บรรเทาอาการท้องเสียอย่างรุนแรง • แก้ท้องเดิน ช่วยบำรุงลำไส้อักเสบ • ช่วยรักษาช่องคลอดอักเสบ • ช่วยบรรเทาอาการโรคริดสีดวงทวาร • ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบ • ช่วยป้องกันการเป็นตะคริว • ช่วยแก้อาการท้องผูก


44 • ช่วยรักษาแผล ลดการอักเสบของบาดแผล ช่วยให้แผลหายเร็ว รักษากลากเกลื้อน ช่วยยับยั้งการ เจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์ โทษของน้ำผึ้ง สำหรับการใช้ประโยชน์ของน้ำผึ้ง มีโทษสำหรับในกรณีที่มีอาการแพ้ หรือ กินมากเกินไปกว่าปริมาณที่ เหมาะสม โทษของน้ำผึ้ง มีดังนี้ • น้ำผึ้งมาความหวานมาก ไม่ควรรับประทานแบบสดๆ โดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้น้ำตาลในเส้น เลือดสูงเกินไป • สำหรับคนที่แพ้เกสรน้ำผึ้ง ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง • เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง อาจทำให้อาหารไม่ย่อยได้ • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรจำกัดการกินน้ำผึ้ง ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม วิธีการเก็บรักษาน้ำผึ้ง สำหรับการเก็บรักษาน้ำผึ้งให้ได้นานขึ้น ไม่จำเป็นต้องใส่ในตู้เย็น สามารถเก็บที่ปรกติอุณหภูมิห้อง แต่การเก็บ น้ำผึ้งห้ามโดนแสงแดด เพราะ จะเกิดปฏิกิริยาทำให้น้ำผึ้งเสียคุณค่าทางอาหารไป น้ำผึ้งไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 2 ปี ตุ๊กแก Gecko สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง กินแมลงเป็นอาหาร คนจีนนิยมนำตุ๊กแกมาเป็นยาบำรุง สรรพคุณ ของตุ๊กแก ช่วยบำรุงเลือด เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ รักษาเบาหวาน แก้หอบหืด


45 ตุ๊กแก นั้นนิยมบริโภคเฉพาะในคนจีน แต่ปัจจุบันตุ๊กแกจีนมีน้อย แต่ความต้องการ จึงมีการซื้อตุ๊กแกจาก ประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เป็นจำนวนมากปีละหลายสิบล้านตัว ในรูปแบบตุ๊กแกตากแห้ง ลักษณะของตุ๊กแก ตุ๊กแก เป็นสัตว์เลื้อยคลาน มีสีสันหลายหลาย มีลายจุดสีส้มทั่วตัว สามารถปรับสีได้ตามสภาพแวดล้อม ดวงตามีสีเขียว ความยาวของลำตัวประมาณไม่เกิน 30 เซนติเมตร ออกหากินในเวลากลางคืน กินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร ตุ๊กแกพบได้ในประเทศเขตร้อน ทั่วไป ตุ๊กแกจะอาศัยตามป่าและบริเวณบ้านคน ชอบหลบอยู่ ตามที่มืด ออกลูกเป็นไข่ ตุ๊กแก เป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย ชอบกัดกันเอง มีพฤติกรรมกินพวกเดียวกันด้วย ตุ๊กแก เป็นสัตว์ที่หน้าตาน่ารังเกียจ น่ากลัว ประโยชน์ของตุ๊กแก ตุ๊กแก เป็นสัตว์ที่กินแมลงเป็นอาหาร เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อาหาร ช่วยรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติ ช่วยกำจัด ศัตรูพืช เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง สรรพคุณของตุ๊กแก สำหรับการนำตุ๊กแกมาใช้ประโยชน์ด้านการรักษาโรค และ การบำรุงร่างกาย จะนำตุ๊กแกมาตากแห้ง และ นำมาเป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคตามแผนโบราณ ทั้งในรูปแบบ ยาดอง นำมาผสมอาหาร เป็นต้น สรรพคุณของตุ๊กแก มีรายละเอียด ดังนี้ • เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ช่วยเจริญอาหาร แก้เบื่ออาหาร • ตำรับยาจีน นำตุ๊กมาทำยาเป็นส่วนผสมในยาจีนแผนโบราณ ช่วยบำรุงไต บำรุงปอด รักษาอาการเสื่อม สมรรถภาพทางเพศ รักษาโรคเบาหวาน แก้หอบหืด รักษาโรคผิวหนัง ป้องกันมะเร็ง • ประเทศเวียดนาม นำเนื้อตุ๊กแกมาทำอาหาร เช่น การต้ม การย่าง • ตำราแพทย์แผนไทย นำเอาตุ๊แกมาผ่าท้อง เอาเครื่องในออก แล้วนำตุ๊กแกไปปิ้งย่าง หรือ ตากแห้ง นำมาดองเหล้า ใช้บำรุงร่างกาย แก้โรคปวดข้อ รักษาโรคตานขโมย และ ช่วยให้ระบบการไหลเวียน โลหิตดี


46 ตุ๊กแก ( Gecko ) คือ สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง กินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร รูปร่างน่ากลัว เป็นสัตว์ที่มีความ ต้องการสูง นำไปบริโภค นำยาบำรุงร่างกาย คนจีนนิยมนำตุ๊กแกมาเป็นยาบำรุง สรรพคุณของตุ๊กแก ช่วย บำรุงเลือด เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ รักษาเบาหวาน แก้หอบหืด ดีงูกินดีงูมีประโยชน์อย่างไร สมุนไพรจากสัตว์ สมุนไพรจากงู ดีงู คือ ถุงน้ำดีของงูเห่า ตามตำราแพทย์แผนจีน เชื่อว่าความดุร้ายของงูเห่า ยิ่งแสดงว่ายิ่งกล้าหาญ ตับกับถุง น้ำดีของงูเห่า เป็นธาตุไม้ มีความสัมพันธ์ตาและเส้นเอ็น นิยมนำดีงูผสมเหล้า กินทำให้สายตาดี เส้นเอ็นมี กำลังวังชา เลือดลมสูบฉีดดี จิตใจหึกเหิม กล้าหาญ เปลือกไข่ไก่ เปลือกไข่ไก่มีประโยชน์มากมาย เปลือกไข่นำมาบดเป็นผง นำไปหุงปนกับข้าวสาร เพิ่มคุณค่าทางอาหาร สามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยได้


47 สารอาหารสำคัญในเปลือกไข่ไก่ คือ แคลเซียม ในการสร้างเปลือกไข่ไก่จะใช้แคลเซียม ที่ผิวของเปลือกไข่ไก่มี รูเล็กจำนวนมาก วัตถุประสงค์ช่วยระบายความชื้นและรับอากาศเข้าไป ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเป็นตัว ของลูกไก่ สำหรับเปลือกไข่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้หลากหลาย ประโยชน์เปลือกไข่ไก่ • เปลือกไข่ไก่ไล่มดได้ นำเปลือกไข่ไปไปเผาไฟ และ บดให้ละเอียดผสมกับน้ำ สามารถใช้ไล่มดได้ โดย นำไปฉีดพ่น หรือ ราดบริเวณรังมด • เปลือกไข่ไก่ ใช้ซักผ้าทำให้ผ้าขาวสะอาด เปลือกไข่ไก่ห่อผ้าเอาไว้ และนำไปต้มกับผ้าขาว จากนั้น นำไปขยี้ตามปกติ ผ้าจะดูขาวขึ้น เปลือกไข่ไก่บดละเอียดผสมกับโซดา นำมาซักผ้าใช้แทนผงซักผ้าได้ • เปลือกไข่ไก่ สามารถนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงได้ ทุบเปลือกไข่จนแตกละเอียด นำมาใต้ฟืนจะทำให้ไฟ แรงขึ้น • กินเปลือกไข่ ช่วยเพิ่มแคลเซียม ในเปลือกไข่มี ธาตุเหล็ก และ แคลเซียม นำเปลือกไข่ไก่ล้างให้ สะอาด นำมาบดเป็นผง นำไปหุงปนกับข้าวสาร เพิ่มคุณค่าทางอาหาร • เปลือกไข่ไก่ นำมาทำเครื่องมือทำความสะอาด เหลือกไข่ไก่ใช้ขัดอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ และ เครื่องใช้เซรามิค • เปลือกไข่ไก่ ใช้เป็นปุ๋ย เพิ่มแคลเซียมในดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ช่วยให้พืช เจริญเติบโตงดงาม • เปลือกไข่ไก่ ใช้แทนยาฆ่าแมลง นำเปลือกไข่ไก่ทุบหยาบๆ และโรยไว้ตามใบของต้นไม้ ช่วยป้องกัน ศัตรูพืชบางประเภทได้ เช่น ตัวหนอน เปลือกไข่ไก่ มีประโยชน์มากมาย นำมาใช้ประโยชน์ได้ ไข่ คือ อาหารยอดนิยมของมุนษย์ชาติ ไม่ใช้แค่คนไทย ที่ชอบกินไข่ไก่ การกินไข่จะกินส่วนด้านในของไข่ และ เปลือกไข่ไก่ส่วนใหญ่ก็ทิ้ง ไม่นำไปใช้ประโยชน์ ประโยชน์ รกของคน คือ เนื้อเยื้อจากสตรีตั้งครรภ์ มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอวัย ฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เสื่อม ประโยชน์ของรก สรรพคุณของรก วิธีให้รกในการบำรุงร่างกาย


Click to View FlipBook Version