The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติของพระพุทธเจ้า

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phattanachai Arsaphithatpai, 2024-02-13 02:30:00

พุทธประวัติ

ประวัติของพระพุทธเจ้า

วิวิช วิ ช วิ าพุพุ พุพุ ทธประโดย อ.พัพัฒ พั ฒ พั นชัชัย ชั ย ชั อาสาก กไพร นันัก นั ก นั ธรรมน น ต


พุทธประวัติคือ ประวัติของพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามีคติการศึกษา ๓ ทาง พุทธประวัติคือ ประวัติของพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามีคติการศึกษา ๓ ทาง


๑. ทางตำ นาน ทำ ให้ทห้ราบเรื่อรื่งของพระพุทธเจ้าจ้ว่าว่เป็น ป็ มาอย่าย่งไร พร้อร้ม ทั้งทั้ผู้ที่ผู้ ที่ เกี่ยวข้อข้งกับพระองค์ที่เราควรรู้ ๒. ทางอภินิหนิาร ทำ ให้ทห้ราบวิธีวิกธีารเผยแผ่พผ่ระพุทธศาสนา ที่พระองค์ ทรงกระทำ สำ เร็จ ร็ อย่าย่งน่าน่อัศจรรย์ ผู้ที่ผู้ ที่ หนักนั ไปในทาง อภินิหนิารก็จะได้ศด้รัทรัธา ในพุทธานุภนุาพยิ่งยิ่ขึ้นขึ้ ไป ๓. ทางธรรมปฏิบัติบั ติทำ ให้ทห้ราบข้อข้ ปฏิบัติบั ติและเหตุผตุลที่เป็น ป็ จริงริอย่าย่ง ละเอียดแล้วปฏิบัติบั ติได้อด้ย่าย่งถูกถูต้อง


ปริเฉทที่ ๑ ชมพูทวีปและประชาชน ชมพูทวีป ดินแดนเป็นที่เกิดขึ้นของพระพุทธศาสนาหรือดินแดนที่เรียกว่า ประเทศอินเดียในสมัยก่อน เรียกว่า ชมพูทวีป ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศ อินเดียเนปาล ปากีสถาน บังคลาเทศและภูฏาน ตั้งอยู่ทางทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ของประเทศไทย


ปริเฉทที่ ๑ ชมพูทวีปและประชาชน ชนชาติที่อาศัยอยู่ในชมพูทวีปมี ๒ พวก ๑. พวกมิลักขะ เจ้าถิ่นเดิมที่อาศัยอยู่ก่อน ๒. พวกอริยกะ พวกที่อพยพมาใหม่โดยอพยพมาทางด้าน ภูเขาหิมาลัย รุกไล่เจ้าถิ่นเดิมถอยร่นไปอยู่รอบนอก


ชมพูทวีป แบ่งเป็น ๒ เขต การปกครองในสมัยก่อนแบ่งออกเป็น ๒ เขต บางครั้งเรียกเป็นจังหวัด คือ ๑. มัชฌิมชนบทหรือรืมัธยมประเทศ คือ ประเทศภาคกลาง เป็นที่อาศัยอยู่ของพวกอริยริกะ ๒. ปัจจันตชนบทหรือรืปัจจันตประเทศ คือ ประเทศปลายแดนเป็นที่อาศัยอยู่ของพวกมิ ลักขะ


ความเห็นที่แตกต่าง ประชาชนในสมัยก่อนสนใจศึกษาธรรมะกันมาก มีความเห็น เกี่ยวกับการเกิด การ ตาย ความสุข และความทุกข์ของมนุษย์แตกต่างกันไป จึงมีเจ้าลัทธิและนักคิดต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำ นวนมาก เพื่อสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เมื่อสรุปมี ๒ อย่าง คือ ๑. เห็นว่าตายแล้วเกิด ๒. เห็นว่าตายแล้วสูญ ใครมีความคิดเห็นและมีความเชื่ออย่างไร ก็ปฏิบัติไปตาม ความคิดเห็นและความเชื่ออย่างนั้น


ศาสนาพื้นเมือง ลัลั ลั ท ลั ทธิธิธิหธิรืรื รื อรื อศาสนาพื้พื้ พื้ นพื้ นเมืมื มื อมื อง คืคื คื อคื อ ศาสนาพราหมณ์ณ์ ณ์ณ์ มีมี มี คัมี คั คั ม คั มภีภี ภี ร์ภี ร์ ร์ไร์ตรเพทอัอั อั น อั น ประกอบด้ด้ ด้ ว ด้ วย ฤคเวท ยชุชุชุ ร ชุ รเวท และสามเวท เป็ป็ป็ น ป็ นคำคำคำคำสอน หลัลั ลั ก ลั ก ถืถื ถื อถื อว่ว่ว่าว่ โลก ธาตุตุตุ ทั้ ตุ ทั้ ทั้ ง ทั้ งปวงเป็ป็ป็ น ป็ นของเทวดา มีมี มี เมี เทวดาประจำจำจำจำอยู่ยู่ยู่ใยู่ นธาตุตุตุ ต่ ตุ ต่ต่าต่ งๆ เช่ช่ช่นช่ดิดิดินดิ น้ำน้ำน้ำน้ำลม ไฟ ใครปรารถนาผลอัอั อั น อั นใดก็ก็ ก็ เ ก็ เซ่ซ่ซ่นซ่ สรวงอ้อ้ อ้ อ อ้ อนวอน หรืรื รื อรื อด้ด้ ด้ ว ด้ วยการประพฤติติติติบะ ทรมานร่ร่ร่าร่ งกายด้ด้ ด้ ว ด้ วยวิวิวิธีวิธี ธี ต่ธี ต่ต่าต่ งๆ


สิ่งที่สำ คัญที่สุดในโลก ล้วนเกิดขึ้นได้จากผู้ที่พยายามลองทำ แม้จะดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เลย เ ด ล ค า ร์ เ น กี


ตั้ง ตั้ อยู่ตยู่ รงข้า ข้ มภูเ ภู ขาหิมพานต์ ตอนเหนือ นื ของชมพูท พู วีปวี เหตุที่ ตุ ชื่ ที่ อ ชื่ ว่า ว่ สัก สั กชนบท เพราะ ถือ ถื ตามภูมิ ภู ปมิระเทศเดิมดิเป็น ป็ ดงไม้สั ม้ ก สั กะ ปริเริฉทที่ ๒ สัก สั กชนบทและศากยวงศ์ สัก สั กชนบท


มีเ มี รื่อ รื่ งเล่า ล่ โดยย่อ ย่ ว่า ว่ พระเจ้า จ้โอกกากราชมีพ มี ระราชโอรส ๔ และ พระราชธิดธิา ๕ พระองค์ เมื่อ มื่ พระมเหสีทิ สี วทิงคต พระองค์มี ค์ พ มี ระมเหสีใสี หม่ ได้ปด้ ระสูติ สู พติระราชโอรส ๑ พระองค์ ทรงเป็น ป็ ที่โที่ ปรด ปรานอย่า ย่ งยิ่งยิ่จึง จึ พลั้งลั้พระโอษฐ์ใฐ์ ห้พร พระนางได้ต ด้ รัสรัขอราชสมบัติบั ติให้แก่พ ก่ ระโอรสของ ตน ทรงตรัสรัห้ามหลายครั้งรั้ก็ยั ก็ งยัทูล ทู ขออยู่อยู่ ย่า ย่ งนั้นนั้จึง จึ ยอมพระราชทาน ราชสมบัติบั ใติห้ตามคำ ขอของพระนาง ครั้นรั้จะไม่พ ม่ ระราชทานให้ก็ก ก็ ลัวลัจะ เสีย สี สัตสัย์ ตรัสรัเรีย รี กพระราชโอรสและพระราชธิดธิาทั้งทั้๙ พระองค์ม ค์ าเข้า ข้ เฝ้า ฝ้ ตรัสรัเล่า ล่ ความจริงริ ให้ทราบและให้ไปสร้า ร้ งเมือ มื งใหม่ เมื่อ มื่ พระองค์ ทิวทิงคตแล้ว ล้ ให้กลับลัมายึด ยึ ราชสมบัติบัคืติน คื ดังดันั้นนั้ทั้งทั้๙ พระองค์ไค์ปสร้า ร้ ง เมือ มื งใหม่อ ม่ ยู่ที่ยู่ ด ที่ งไม้สั ม้ กสักะ พบกับกักบิลบิดาบสตรัสรัเล่า ล่ ความประสงค์ข ค์ อง ตนให้ทราบ พระดาบส ได้แ ด้ นะนำ ให้สร้า ร้ งเมือ มื งตรงที่อ ที่ ยู่ขยู่ องตน และบอก ว่า ว่ สถานที่นี้ ที่ เ นี้ป็น ป็ ที่ม ที่ งคล เมือ มื งนี้จ นี้ ะมีชื่ มี อ ชื่ เสีย สี งต่อ ต่ ไปในภายภาคหน้า น้ เมือ มื ง ใหม่ไม่ ด้ชื่ ด้ อ ชื่ ว่า ว่ กบิลบิพัสพัดุ์ เพราะว่า ว่ เป็น ป็ ที่อ ที่ ยู่ขยู่ องกบิลบิดาบส เมือ มื งกบิลบิพัส พั ดุ์


พระราชโอรสและพระราชธิดธิาเมื่อ มื่ สร้า ร้ งเมือ มื งใหม่เ ม่ สร็จ ร็ แล้ว ล้ พี่น้ พี่ อ น้ งจึง จึ อภิเภิษก สมรสกันกัเอง เพราะกลัวลัว่า ว่ ชาติตติระกูลกูของตัวตัเองจะไม่บ ม่ ริสุริทสุธิ์ เว้น ว้ ไว้แ ว้ ต่พ ต่ ระ เชษฐภคินีคิ (นี พี่ส พี่ าวคนโต) ยกไว้ใว้ นฐานะพระราชมารดา กษัตริย์ริว ย์ งศ์นี้ ศ์ จึ นี้ ง จึ ได้ชื่ ด้ อ ชื่ ว่า ว่ ศากยวงศ์ ศากยวงศ์ ได้พ ด้ ระนามนี้ เพราะสาเหตุ ๓ ประการ คือ คื ๑. เพราะตั้งตั้ตามอาณาจักจัรหรือ รื ชนบท คือ คื สักสักชนบท ๒. เพราะตั้งตั้ตามความสามารถของพระโอรสโดยลำ พังพั ปกครองประเทศได้ รุ่ง รุ่ เรือ รื งจนพระบิดบิาตรัสรัชมว่า ว่ เป็น ป็ ผู้อผู้ งอาจ ๓. เพราะกษัตริย์ริว ย์ งศ์นี้ ศ์ ท นี้ รงอภิเภิษกสมรสกันกัเองระหว่า ว่ งพี่น้ พี่ อ น้ งที่เ ที่ รีย รี กกันกัว่า ว่ สก สกสังสัวาส ส่ว ส่ นพระเชษฐภคินีคิภ นี ายหลังลัมีจิ มี ตจิ ปฏิพัฏิทพัธ์กั ธ์ บกัพระเจ้า จ้ กรุงรุเทว- ทหะจึง จึ ได้อ ด้ ภิเภิษก สมรสด้ว ด้ ยกันกัตั้งตั้ราชวงศ์ขึ้ ศ์ น ขึ้ ใหม่ก ม่ ษัตริย์ริว ย์ งศ์นี้ ศ์ ชื่ นี้ อ ชื่ ว่า ว่ โกลิยลิวงศ์ ศากยวงศ์แ ศ์ ละโกลิยลิวงศ์


กษัตริย์ริศ ย์ ากยะได้สื ด้ บ สื ราชสมบัติ บั มติาถึง ถึ พระเจ้า จ้ ชัย ชั เสนะ ทรงมี พระราชโอรสและพระราชธิดธิา ๒ พระองค์ คือ คื พระเจ้า จ้ สีห สี หนุแ นุ ละ พระนางยโสธรา ต่อ ต่ มาพระเจ้า จ้ สีห สี หนุไ นุ ด้ค ด้ รองราชสมบัติ บั ติทรง อภิเภิษกสมรสกับ กั พระนางกัญ กั จนาน้อ น้ งสาวของพระเจ้า จ้ อัญ อั ชนะ กรุง รุ-เทวทหะ มีพ มี ระราชโอรสและพระราชธิดธิา ๗ พระองค์ พระ ราชโอรส ๕ พระองค์ คือ คื สุท สุ โธทนะ สุก สุ โกทนะ อมิโมิตทนะ โธโต ทนะ ฆนิโนิตทนะ พระราชธิดธิา ๒ พระองค์ คือ คื ปมิตมิาและอมิตมิา ศากยวงศ์แ ศ์ ละโกลิยลิวงศ์


เมื่อ มื่ พระเจ้า จ้ สุท สุ โธทนะเจริญริวัยวัทรงอภิเภิษกสมรสกับกัพระนางสิริสิมริหามายาซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ พระราชธิดธิาของพระเจ้า จ้ อัญอัชนะ เมือ มื งเทวทหะ มีพ มี ระราชโอรส ๑ พระองค์ คือ คื เจ้า จ้ ชายสิทสิธัตธัถะ และเจ้า จ้ ชายสิทสิธัตธัถะได้อ ด้ ภิเภิษกสมรสกับกัพระนางพิมพิพา ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ พระราช- ธิดธิาของพระเจ้า จ้ สุป สุ ปพุท พุ ธะกับกัพระนางอมิตมิา เมือ มื งเทวทหะ มีพ มี ระ ราชโอรส ๑ พระองค์ ชื่อ ชื่ ว่า ว่ พระราหุล สักสักชนบท แบ่ง บ่ ออกเป็น ป็ ๓ นคร ๑. พระนครเดิมดิของพระเจ้า จ้โอกกากราช ๒. พระนครกบิลบิพัสพัดุ์ ๓. พระนครเทวทหะ ศากยวงศ์แ ศ์ ละโกลิยลิวงศ์ ส่ว ส่ นพระนางยโสธราน้อ น้ งสาวของพระเจ้า จ้ สีห สี หนุไ นุ ด้อ ด้ ภิเภิษก สมรสกับกั พระเจ้า จ้ อัญอัชนะกรุง รุ เทวทหะ มีพ มี ระราชโอรสและพระราช- ธิดธิา ๔ พระองค์ พระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ คื สุป สุ ปพุท พุ ธะและทัณทัฑปาณิ พระราชธิดธิา ๒ พระองค์ คือ คื มายาและปชาบดีโดี คตมี


การปกครอง ศากยวงศ์แ ศ์ ละโกลิยลิวงศ์ การปกครองนครเหล่า ล่ นี้ไนี้ ม่ไม่ ด้ก ด้ ล่า ล่ วไว้ชั ว้ ด ชั เจน แต่สั ต่ น สั นิษนิฐาน ตามประเพณี ปกครองแบบสามัค มั คีธ คี รรม โดยไม่มี ม่ ผู้ มี ใผู้ดผู้หผู้ นึ่ง นึ่ ได้มี ด้ มี อำ นาจสิทสิธิ์ขธิ์าด พระโคตรของศากยวงศ์ เรีย รี กว่า ว่ “โคตรมะ” แต่บ ต่ างครั้ง รั้ ก็เ ก็ รีย รี กว่า ว่ “อาทิตทิยโคตร” (ครั้ง รั้ ที่พ ที่ ระพุท พุ ธเจ้า จ้ ตรัส รั ตอบพระเจ้า จ้ พิมพิพิสพิารขณะเสด็จ ด็ ไปเมือ มื ง ราชคฤห์ เมื่อ มื่ ออกบวชใหม่ๆ ม่ )


ปริริ ริริเฉทที่ที่ ที่ที่ ๓ พระศาสดาประสูสูสูสู ติติ ติติ


ตำ ราลักษณะมหาบุรุษ มีก่อนพุทธศักราชประมาณ ๑,๐๐๐ ปี พราหมณ์และ คณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ ได้บันทึกไว้โดยมีความเห็นตรงกันว่า บุคคลที่เกิดมามีลักษณะครบ ๓๒ ประการ มีคติเป็น ๒ ประการคือ ๑. ถ้าอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒. ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก


วันปฏิสนธิ


วัวั วั น วั นประสูสู สู ติ สู ติ ติติ พระนางสิริมริหามายาทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน ได้ทูลลา พระ เจ้าสุทโธทนะเสด็จไปเยี่ยมสกุลของพระองค์ที่เมืองเทวทหะและตาม ประเพณีที่จะต้องกลับไปคลอดที่บ้านของตนเอง เมื่อพระนางเสด็จถึง สวนลุมพินีวัน วั ซึ่งอยู่ระหว่าว่งเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะได้เสด็จประพาส พระอุทยาน เกิดประชวรพระครรภ์ จะประสูติ อำ มาตย์จัดที่ถวายใต้ต้น สาละ พระนางประทับยืน พระหัตถ์จับกิ่งสาละ ประสูติพระราชโอรสเมื่อ เวลาสายใกล้เที่ยง ตรงกับ วัน วั ศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วัน วั วิสวิาขบูชา ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี) พระราชโอรสเสด็จดำ เนินได้ ๗ ก้าว แต่ละ ก้าวมีดอกบัวทิพย์ผุดขึ้นรองรับและทรงเปล่งอาสภิวาจาว่าว่เราคือผู้เลิศ ของโลก เราคือผู้เจริญริที่สุดของโลก เราคือผู้ประเสริฐริที่สุดของโลก ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว


วันที่เจ้าชายสิท สิ ธัต ธั ถะประสูติ สู ติ มีบุคคลและสิ่ง สิ่ ที่เกิดขึ้น พร้อ ร้ ม กับพระองค์ ๗ ประการ คือ สหชาติติ ติ ทั้ติ ทั้ ทั้ งทั้ ง ๗ ๑. พระนางพิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. ฉัน ฉั นะอำ มาตย์ ๔. กาฬุทายีอำ ยี อำ มาตย์ ๕. ม้ากัณฐกะ ๖. ต้นพระศรีม รี หาโพธิ์ ๗. ขุมทรัพ รั ย์ทั้ ย์ ทั้ ง ๔ สัง สั ขนิธิ, ธิ เอลนิธิ, ธิ อุบลนิธิ, ธิ บุญฑริก ริ นิธิ


อภิภิ ภิ นิ ภิ นิ นิ ห นิ หาร ๗ ประการ


พระชนมายุยุยุ ยุ ไ ยุ ไ ยุ ได้ด้ด้ ด้ด้ด้ ๓ วัวัวัน วั น วั น วั อสิสิสิ สิ ต สิ ต สิ ตดาบสหรืรืรื รื อ รื อ รื อกาฬเทวิวิวิล วิ ล วิ ล วิ ดาบสผู้ผู้ผู้ผู้คุ้ผู้คุ้ผู้คุ้ คุ้ น คุ้ คุ้ น คุ้ คุ้ น คุ้ เคยและเป็ป็ป็น ป็ น ป็ น ป็ ที่ที่ที่ ที่ นั ที่ นั ที่ นั นันั บ นั บถืถืถื ถื อ ถื อ ถื อ ของราชสำสำสำ สำสำสำ นันันั นันั ก นั กเข้ข้ข้า ข้ า ข้ า ข้ เยี่ยี่ยี่ ยี่ ย ยี่ ย ยี่ ยม พระเจ้จ้จ้า จ้ า จ้ า จ้ สุสุสุท สุ ท สุ ท สุ โธทนะทรงอุ้อุ้อุ้มอุ้อุ้อุ้ พระโอรสมา เพื่พื่พื่ พื่ อ พื่ อ พื่ อนมัมัมัส มั ส มั ส มั การพระดาบส ปรากฏว่ว่ว่า ว่ า ว่ า ว่ อสิสิสิ สิ ต สิ ต สิ ตดาบสเป็ป็ป็น ป็ น ป็ น ป็ ฝ่ฝ่ฝ่ฝ่ า ฝ่ า ฝ่ ายกราบไหว้ว้ว้ ว้ว้ว้ พระบาทพระโอรส และทำทำทำ ทำทำทำ นายลัลัลั ลั ก ลั ก ลั กษณะของพระโอรสว่ว่ว่า ว่ า ว่ า ว่ มีมีมีค มี ค มี ค มี ติติติ ติติติ เป็ป็ป็น ป็ น ป็ น ป็ ๒ ตามตำตำตำ ตำตำตำ รามหาปุปุปุ ปุ ริ ปุ ริ ปุ ริ ริ ส ริ ส ริ สลัลัลั ลั ก ลั ก ลั กษณะ แต่ต่ต่ ต่ ตั ต่ ตั ต่ ตั ตั ว ตั ว ตั วท่ท่ท่ ท่ า ท่ า ท่ านเชื่ชื่ชื่อ ชื่ อ ชื่ อ ชื่ มั่มั่มั่ มั่ น มั่ มั่ น มั่ มั่ น มั่ ว่ว่ว่า ว่ า ว่ า ว่ พระ โอรสจะเสด็ด็ด็ ด็ จ ด็ จ ด็ จออกผนวช ได้ด้ด้ ด้ พิ ด้ พิ ด้ พิ พิ จ พิ จ พิ จารณาอายุยุยุ ยุ ข ยุ ข ยุ ของตัตัตั ตั ว ตั ว ตั วเองเห็ห็ห็ ห็ น ห็ น ห็ นว่ว่ว่า ว่ า ว่ า ว่ มีมีมี มีมีมี ชีชีชีวิ ชี วิ ชี วิ ชี ต วิ ต วิ ต วิ อยู่ยู่ยู่ยู่ไยู่ยู่ ม่ม่ม่ถึ ม่ ถึ ม่ ถึ ม่ ถึ ง ถึ ง ถึ งเวลาที่ที่ที่ ที่ พ ที่ พ ที่ พระโอรสตรัรัรั รั ส รั ส รั สรู้รู้รู้รู้รู้รู้จึจึจึง จึ ง จึ ง จึให้ห้ห้ ห้ น ห้ น ห้ นาลกะผู้ผู้ผู้ผู้เผู้ผู้ป็ป็ป็น ป็ น ป็ น ป็ หลาน ออกบวชรอ และอีอีอีก อี ก อี ก อี เหตุตุตุก ตุ ก ตุ ก ตุ ารณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ ที่ ณ์ ที่ที่ ที่ สำ ที่ สำ ที่ สำ สำสำสำ คัคัคั คั ญ คั ญ คั ญ คืคืคื คื อ คื อ คื อ พระเจ้จ้จ้า จ้ า จ้ า จ้ สุสุสุท สุ ท สุ ท สุ โธทนะ ทรงถวายบับับัง บั ง บั ง บั คมพระโอรส ตามอสิสิสิ สิ ต สิ ต สิ ตดาบส ครั้รั้รั้ รั้ ง รั้ ง รั้ งที่ที่ที่ ที่ที่ที่ ๑


พระชนมายุได้ ๕ วัน เชิชิชิชิชิญชิพราหมณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ณ์ ๑๐๘ คน มาฉัฉัฉั ฉัฉั น ฉั นภัภัภั ภัภั ต ภั ตตาหารและเลืลืลื ลืลื อ ลื อกเอา พราหมณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ณ์ ๘ คน เป็ป็ป็ป็ป็ น ป็ นผู้ผู้ผู้ผู้ผู้ทำผู้ทำทำทำทำทำนายพระลัลัลั ลัลั ก ลั กษณะ พราหมณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ณ์ ๗ คน ทำทำทำทำทำทำนาย ลัลัลั ลัลั ก ลั กษณะของพระโอรสมีมีมี มีมี ค มี คติติติติติเติป็ป็ป็ป็ป็ น ป็ น ๒ อย่ย่ย่ ย่ย่ า ย่ าง แต่ต่ต่ ต่ต่โต่ กณฑัฑัฑั ฑัฑั ญ ฑั ญญพราหมณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ ทำ ณ์ ทำทำทำทำทำนายเป็ป็ป็ป็ป็ น ป็ นคติติติติติเติดีดีดี ดีดี ย ดี ยว คืคืคื คืคื อ คื อ เสด็ด็ด็ ด็ด็ จ ด็ จออก บรรพชาเป็ป็ป็ป็ป็ น ป็ นศาสดาเอกของโลก และได้ด้ด้ ด้ด้ ข ด้ ขนานพระนามเป็ป็ป็ป็ป็ น ป็ น ๒ คืคืคื คืคื อ คื อ สิสิสิสิสิทสิธัธัธั ธัธั ต ธั ตถะ แปลว่ว่ว่ ว่ว่ า ว่ า ผู้ผู้ผู้ผู้ผู้มีผู้มีมี มีมี ค มี ความต้ต้ต้ ต้ต้ อ ต้ องการสำสำสำสำสำสำเร็ร็ร็ ร็ร็ร็ จ และอัอัอั อัอั ง อั งคีคีคี คีคี ร คี รสะ แปลว่ว่ว่ ว่ว่ า ว่ า ผู้ผู้ผู้ผู้ผู้มีผู้มีมี มีมีมี รัรัรั รัรัรั ศมีมีมี มีมี ส มี สวยงาม แต่ต่ต่ ต่ต่ นิ ต่ นินินินิยนิมเรีรีรีย รีรีรี กว่ว่ว่ ว่ว่ า ว่ า โคตมะ เพราะเป็ป็ป็ป็ป็ น ป็ นโคตรของ พระองค์ค์ค์ ค์ค์ค์


พระชนมายุได้ ๗ วัน พระมารดาสิ้นพระชนม์หลังประสูติพระ ราชโอรสได้ ๗ วัน พระราชบิดาจึงมอบให้พระนางมหาป ชาบดีโคตมี(พระน้านาง) เป็นผู้เลี้ยงดู ต่อมาพระนางม หาปชาบดีโคตมีประสูติพระโอรสและพระธิดา ๒ พระองค์ คือ พระนันทะและพระนางรูปนันทา


วัวัวั วั น วั น วั นหนึ่นึ่นึ่ง นึ่ ง นึ่ ง นึ่ เจ้จ้จ้า จ้ า จ้ า จ้ ชายสิสิสิท สิ ท สิ ท สิ ธัธัธั ธั ต ธั ต ธั ตถะเสด็ด็ด็ ด็ จ ด็ จ ด็ จประพาสพระ ราชอุอุอุท อุ ท อุ ท อุ ยาน ขณะนั้นั้นั้น นั้ น นั้ น นั้ พระเจ้จ้จ้า จ้ า จ้ า จ้ สุสุสุท สุ ท สุ ท สุ โธทนะส่ส่ส่ง ส่ ง ส่ ง ส่ อำอำอำ อำอำอำ มาตย์ย์ย์ไย์ย์ย์ปกราบทูทูทูล ทู ล ทู ล ทู ให้ห้ห้ท ห้ ท ห้ ท ห้ ราบว่ว่ว่ ว่ า ว่ า ว่ า พระนางพิพิพิม พิ ม พิ ม พิ พา ประสูสูสูติ สู ติ สู ติ สู ติ พ ติ พ ติ พระโอรส และทัทัทัน ทั น ทั น ทั ทีทีทีที่ ที ที่ ที ที่ ที ท ที่ ท ที่ ท ที่ รงทราบข่ข่ข่า ข่ า ข่ า ข่ ว ทรง เปล่ล่ล่ ล่ ง ล่ ง ล่ งอุอุอุท อุ ท อุ ท อุ าน ว่ว่ว่ ว่ า ว่ า ว่ า ราหุหุหุ หุ ลํ หุ ลํ หุ ลํ ลํลํลํ ชาตํตํตํ ตํตํตํ พนฺนฺนฺธนฺนฺนฺนํนํนํ นํนํนํ ชาตํตํตํ ตํตํตํ แปลว่ว่ว่ ว่ า ว่ า ว่ า บ่บ่บ่ว บ่ ว บ่ ว บ่ งเกิกิกิ กิ ด กิ ด กิ ดขึ้ขึ้ขึ้น ขึ้ น ขึ้ น ขึ้ แล้ล้ล้ ล้ ว ล้ ว ล้ ว เครื่รื่รื่อ รื่ อ รื่ อ รื่ งพัพัพัน พั น พั น พั ธนาการเกิกิกิ กิ ด กิ ด กิ ดขึ้ขึ้ขึ้น ขึ้ น ขึ้ น ขึ้ แล้ล้ล้ ล้ ว ล้ ว ล้ ว พระราชโอรสจึจึจึง จึ ง จึ ง จึได้ด้ด้ ด้ ชื่ ด้ ชื่ ด้ ชื่อ ชื่ อ ชื่ อ ชื่ ว่ว่ว่ ว่ า ว่ า ว่ า ราหุหุหุ หุ ล หุ ล หุ ล


ปริเริฉทที่ ๔ เสด็จ ด็ ออกบรรพชาเสด็จ ด็ เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาเมื่อ พระชนมายุได้ ๒๙ ปี สาเหตุที่เสด็จออก บรรพชามี ๒ อย่าง คือ ๑. ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตายที่ครอบงำ มนุษย์ทุกคน แม้เราเองก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ควรที่จะ แสวง หาทางหลุดพ้น ทรงบรรเทาความเมา ๓ ประการ ได้ คือ เมาในวัย เมาในความไม่มีโรค และเมาในชีวิต ทรงมี พระหฤทัยน้อมไปในบรรพชา


ปริเริฉทที่ ๔ เสด็จ ด็ ออกบรรพชาเสด็จ ด็(ต่อ ต่ ) เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาเมื่อ พระชนมายุได้ ๒๙ ปี สาเหตุที่เสด็จออก บรรพชามี ๒ อย่าง คือ ๒. เสด็จประพาสราชอุทยาน ๔ วาระ ทรงทอดพระเนตรเห็น เทวทูต ๔ มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ที่เทวดาเนรมิตไว้ในระหว่างทาง ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๓ ข้างต้น ที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน เกิด ความเบื่อหน่ายสลดสังเวชพระหฤทัยยิ่งนัก ได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะ ซึ่งมีอาการสงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใส ทรงพอพระหฤทัยในการบรรพชาออก บรรพชา (มหาภิเนษกรมณ์)


ปริเริฉทที่ ๔ เสด็จออกบรรพชาเสด็จ(ต่อ ต่ ) เมื่อเสด็จกลับจากการประพาสอุทยาน ทรงเข้าที่บรรทมไม่ยินดีด้วย การประโคมดนตรีต่างๆ ที่นางสนมขับกล่อม ทรงตื่นจาก บรรทมกลางดึก ได้ทอดพระเนตรเห็นนางสนมนอนหลับมีอาการต่างๆ เช่น บางคนนอน น้ำ ลายไหล กัดฟัน ละเมอ เป็นต้น ปรากฏแก่พระองค์เหมือนซากศพใน ป่าช้า มีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ยิ่งนัก ตรัสเรียกนายฉันนะให้นำ ม้า กัณฐกะมา จากนั้นได้เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพาและพระราชโอรส มีพระประสงค์จะอุ้มพระราชโอรสก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะตื่นจาก บรรทม จึงตัดพระทัยเสด็จออกจากห้องบรรทม


ปริเริฉทที่ ๔ เสด็จออกบรรพชาเสด็จ(ต่อ ต่ ) จากนั้นทรงม้ากัณฐกะมีนายฉันนะตามเสด็จไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ อโนมา แคว้นมัลละระยะทาง ๓๐ โยชน์ ทรงอธิษฐานเพศบรรพชิตในที่นั้น ทรงใช้ พระขรรค์ปลงพระเกศาด้วยพระองค์เอง เอาพระภูษาห่อพระเกศา อธิษฐานแล้วโยนขึ้นในอากาศ พระเกศาลอยอยู่ในอากาศ ๑ โยชน์ ท้าว สักกะเอาผอบแก้วมารองรับพระเกศา นำ ไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณี เจดีย์สวรรค์ชั้นดาวดึงส์


ปริเริฉทที่ ๔ เสด็จออกบรรพชาเสด็จ(ต่อ ต่ )ฆฏิการพรหมซึ่งเป็นเพื่อนกันมากับพระโพธิสัตว์ตั้งแต่ศาสนาของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้น้อมถวาย ผ้ากาสาวพัสตร์ และบริขารของนักบวช มี ๘ อย่าง คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ประคตเอว บาตร มีดโกน เข็ม ธมกรก (ที่กรองน้ำ ) บริขริาร ๘


ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้


พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้า ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ พระมหาบุรุษทรงบรรพชาแล้ว ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ เป็นเวลา ๗ วัน เสวยความสุขที่เกิดจากบรรพชา ต่อจาก นั้นเสด็จไปบิณฑบาตที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสาร เสด็จมาเข้าเฝ้า ทูลถามถึงพระชาติตระกูล จะถวายราช-สมบัติให้กึ่ง หนึ่ง พระองค์ทรงปฏิเสธ และทรงแสดงวัตถุประสงค์ของการเสด็จ ออกบรรพชา เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสาร ทูลขอปฏิญญาว่า หากได้ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาแสดงธรรมโปรด ด้วย ทรงรับปฏิญญาของพระเจ้าพิมพิสาร


ศึกษาสมาธิกับพระดาบส ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ หลังจากที่พระเจ้าพิมพิสารทูลลากลับไปแล้ว พระมหาบุรุษ เสด็จไปฝึกสมาธิกับพระดาบส ๒ ท่าน คือ ๑. อาฬารดาบส กาลามโคตร ได้สมาบัติ ๗ ๒. อุทกดาบส รามบุตร ได้สมาบัติ ๘ เมื่อศึกษาจนหมดความรู้ของอาจารย์ หลังจากนั้นทรงลา อาจารย์ทั้ง ๒ มาถึงตำ บลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ก็พักอาศัย บำ เพ็ญทุกรกิริยาอยู่ที่นี้ ๖ ปี


ปัญจวัคคีย์ออกบวช ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ ฝ่ายโกณฑัญญะพราหมณ์ เมื่อทราบข่าวว่าพระมหาบุรุษ เสด็จออกบวชจึงชวนบุตรของพราหมณ์ออกบวชด้วยกันรวมเป็น ๕ คน คือ ๑. โกณฑัญญะ ๒. วัปปะ ๓. ภัททิยะ ๔. มหานามะ ๕. อัสสชิ มาพบพระมหาบุรุษขณะบำ เพ็ญทุกรกิริยา อยู่ที่ตำ บลอุรุเวลา เสนานิคม


บำ เพ็ญทุกรกิริยา ๓ วาระ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ พระมหาบุรุษได้ทดลองบำ เพ็ญทุกรกิริยา คือ การกระทำ ที่ ทำ ได้ยากอย่างยิ่ง ที่นักบวชในสมัยนั้นยกย่องกันว่าเป็นการกระทำ อย่างเยี่ยม ๓ วาระ คือ ๑. ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา ๒. ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะและปัสสาสะ คือ ลมหายใจเข้าและหายใจออก (อปาณกฌาน) ๓. ทรงอดพระกระยาหาร ผ่อนเสวยแต่วันละน้อย จนพระวรกายเหี่ยวแห่ง พระฉวีเศร้า หมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกาย ขณะที่บำ เพ็ญทุกรกิริยาอยู่นั้น ปัญจวัคคีย์คอยเฝ้าดูแล อุปัฏฐากทุกเช้าค่ำ ด้วยหวังว่าพระองค์ได้บรรลุธรรมแล้ว จักทรงสั่ง สอนพวกตนบ้าง


อุปมา ๓ ข้อ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ พระมหาบุรุษบำ เพ็ญทุกรกิริยาได้รับทุกขเวทนาอย่างยิ่ง แต่ไม่ทรง ท้อพระทัย ขณะนั้นอุปมา ๓ ข้อ ได้เกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์ คือ ๑. สมณพราหมณ์ที่มีกายไม่หลีกออกจากกาม มีความพอใจในกาม แม้จะบำ เพ็ญเพียรจน ได้รับทุกขเวทนากล้า ก็ไม่ควรได้ตรัสรู้ เปรียบเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง แช่ในน้ำ ไม่สามารถจะ สีให้ติดไฟได้ ๒. สมณพราหมณ์ที่มีกายหลีกออกจากกาม แต่ยังมีความ พอ ใจในกาม แม้บำ เพ็ญเพียรจน ได้รับทุกขเวทนากล้า ก็ไม่ควรได้ตรัสรู้ เปรียบเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง วางอยู่บนบกไม่ สามารถจะสีให้ติดไฟได้ ๓. สมณพราหมณ์ผู้มีกายออกจากกาม ละความพอใจในกาม เสียได้ แม้จะไม่บำ เพ็ญเพียรจน ได้รับทุกขเวทนากล้า ก็ควรตรัสรู้ได้ เปรียบเหมือนไม้แห้งวางอยู่บนบก สามารถจะสีให้ติดไฟ ได้


ปัญจวัคคีย์หนีจากพระมหาบุรุษ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ พระมหาบุรุษเห็นว่า การบำ เพ็ญทุกรกิริยาไม่สามารถที่จะบรรลุ ธรรมได้ จึงละการบำ เพ็ญนั้นหันมาเสวยพระกระยาหารใหม่ เพื่อที่จะ บำ เพ็ญเพียรทางใจต่อไป ปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์คลายจากความเพียร พา กันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ประโยชน์ของการที่ปัญจวัคคีย์อยู่และหนีจากพระองค์ไป ๑. เป็นพยานว่าพระองค์ทรงประพฤติทุกรกิริยาอย่างยิ่งยวด ๒. มีความสงบเงียบในการบำ เพ็ญเพียรทางจิต


เหตุการณ์ก่อนตรัสรู้ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ ๑. นางสุชาดาบุตรีของเศรษฐี ตำ บลอุรุเวลาเสนานิคม ถวายข้าวมธุ ปายาส คือ ข้าวสุกหุงด้วยน้ำ นมโค พร้อมด้วยถาดทองคำ ทรงปั้นเป็น ๔๙ ก้อน เสวยจนหมด จากนั้นเสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ทรงจับถาด ทองคำ อธิษฐานจิตแล้วลอยน้ำ เห็น เป็นนิมิตว่า จักได้บรรลุพระสัมมา สัมโพธิญาณ ๒. ตอนเย็นพระองค์เสด็จไปที่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ระหว่างทาง โสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้าคาสำ หรับปูนั่ง ๘ กำ ทรงปูลาดใต้ต้น อัสสัตถพฤกษ์บังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์สูง ๑๔ ศอก ประทับนั่งสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงตั้งจาตุรงคมหาปธาน คือ ความเพียรใหญ่ที่ประกอบด้วยองค์ ๔


จาตุรงคมหาปธาน ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ คือ การที่พระองค์ทรงอธิษฐานพระทัยก่อนที่จะตรัสรู้ว่า แม้เนื้อและ เลือดในสรีระจักแห้งเหือดหายไป จนเหลือแต่หนังเอ็นและกระดูกก็ตามเถิด หากเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะไม่ลุกจากบัลลังก์นี้


ชนะมารด้วยบารมี ๑๐ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ ท้าววัสสวตีมารและเสนามาร กลัวว่าพระมหาบุรุษจะพ้น ไปจาก อำ นาจของตน จึงมาแสดงฤทธิ์ต่างๆเพื่อให้กลัวแล้วหนีไปทรงชนะด้วย บารมี ๑๐ คือ ๑. ทานบารมี ๒. สีลบารมี ๓. เนกขัมมบารมี ๔. ปัญญาบารมี ๕. วิริยบารมี ๖. ขันติบารมี ๗. สัจจบารมี ๘. อธิษฐานบารมี ๙. เมตตาบารมี ๑๐. อุเบกขาบารมี


บรรลุญาณ ๓ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ พระมหาบุรุษทรงชนะพญามารและเสนามารแล้ว ทำ ใจหยุดนิ่งเป็น หนึ่งเดียวดำ เนินใจไปในทางสายกลาง ได้บรรลุธรรมตามลำ ดับดังต่อไปนี้ ๑. ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพ นิวาสานุสสติ ญาณ ความรู้ ระลึกชาติหน หลังของตนได้ ๒. มัชฌิมยาม ทรง บรรลุจุตูปปาตญาณ ความรู้การจุติ (ตาย) และการอุบัติ(เกิด)ของ สัตว์ทั้งหลาย ๓. ปัจฉิมยาม ทรง บรรลุอาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอา สวะ คือ อริยสัจ ๔ ตรัสรู้ในยามสุดท้ายของวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อน พุทธศักราช ๔๕ ปี เป็นการเกิดครั้งที่ ๒ คือ เกิดด้วยธรรมกาย ที่ต้นพระ ศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ขณะนั้นพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา บำ เพ็ญความเพียรอยู่ ๖ ปี วันตรัสรู้ธรรมเรียกว่า วันวิสาขบูชา


อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ ๑. ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ๒. สมุทัย คือ เหตุเกิดทุกข์ ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์


พระนามพิเศษ (เนมิตกนาม) ปริริ ริ เ ริ เฉทที่ที่ ที่ที่๕ ตรัรั รั สรั สรู้รู้รู้รู้ ๑. ได้พระนามว่า อะระหัง เพราะพระองค์เป็น ผู้บริสุทธิ์ห่างไกลจากกิเลส ๒. ได้พระนามว่า สัมมาสัมพุทโธ เพราะพระองค์เป็นผู้ ตรัสรู้ชอบได้โดยลำ พังพระองค์เอง


ปริเริฉทที่ ๖ เสวยวิมุวิมุ ตติสุข สุ


พระมหาบุรุษ รุ หลังจากตรัสรัรู้ธ รู้ รรมแล้ว ประทับเสวยวิมุวิมุ ตติสุข สุ คือสุข สุ ที่เกิดจากการหลุด ลุ พ้น พ้ จากกิเลสอาสวะ ๗ สัปสัดาห์ ในสถานที่ ๗ แห่ง ห่ คือ ปริเริฉทที่ ๖ เสวยวิมุวิมุตติสุขสุ สัปสัดาห์ที่ห์ ที่ ๑ ทรงประทับอยู่ที่ ยู่ ที่ใต้ต้นพระศรีมรีหาโพธิ์ ทรงพิจพิารณา ปฏิจจสมุปบาทธรรมโดยอนุโลมและปฏิโลมตามลำ ดับทรงเปล่งอุทาน ตลอด ๓ ยามแห่ง ห่ ราตรี ดังต่อไปนี้ ปฐมยาม ทรงเปล่งอุทานว่าว่ ”เมื่อมื่ ใดธรรมทั้งทั้หลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้ณ์มีผู้ คมีวามเพียพีร เพ่งพ่อยู่ เมื่อมื่นั้นนั้ความสงสัยสัทั้งทั้ปวงของพราหมณ์นั้ณ์นนั้ย่อย่มสิ้นสิ้ ไป เพราะมารู้ธรู้รรมพร้อร้มทั้งทั้เหตุ”ตุ มัชมัฌิมฌิยาม ทรงเปล่งอุทานว่าว่ “เมื่อมื่ ใดธรรมทั้งทั้หลายปรากฏ แก่พราหมณ์ผู้ณ์มีผู้ คมีวามเพียพีร เพ่งพ่อยู่ เมื่อมื่นั้นนั้ความสงสัยสัทั้งทั้ปวงของพราหมณ์นั้ณ์นนั้ย่อย่มสิ้นสิ้ ไป เพราะได้รู้ด้ครู้วามสิ้นสิ้ ไปแห่งห่ ปัจจัยจั ทั้งทั้หลาย” ปัจฉิมยาม ทรงเปล่งอุทานว่าว่ “เมื่อมื่ ใดธรรมทั้งทั้หลายปรากฏ แก่พราหมณ์ผู้ณ์มีผู้ คมีวามเพียพีร เพ่งพ่อยู่ เมื่อมื่นั้นนั้พราหมณ์นั้ณ์นนั้ย่อย่มกำ จัดจัมารและเสนามารเสียสี ได้ ดุจดุพระอาทิตย์อุย์อุทัยขึ้นขึ้ทำ อากาศ ให้สห้ว่าว่งฉะนั้นนั้ ”


Click to View FlipBook Version