1 การศึกษาและเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ กวินธิดา มาตราช รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไปและฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2 การศึกษาและเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ กวินธิดา มาตราช รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไปและฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ก ชื่อเรื่อง การศึกษาและเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ ผู้วิจัย นางสาวกวินธิดา มาตราช รหัสนักศึกษา 63040113102 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไปและฟิสิกส์ ครูพี่เลี้ยง นางนงนุช จันทยุทธ อาจารย์นิเทศก์ ดร. อัจฉรา ศิริพนาดร ปริญญญา ครุศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่าง ของดวงจันทร์ปัญหาและการจัดการ ดำเนินการวิจัยโดย ใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา อำเภอเมือง อุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 25 คน ซึ่ง ได้รับการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน แบบวัดทักษะในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบน-มาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบ แบบที ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 8.88 คิดเป็นร้อยละ 44.4 และคะแนนเฉลี่ย หลังเรียนเท่ากับ 15.92 คิดเป็นร้อยละ 79.6 เป็นไปตามสมมติฐานกำหนดไว้ และเมื่อเปรียบเทียบคะแนน ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจากท่านอาจารย์ที่ปรึกษา ดร. อัจฉรา ศิริพนาดร ที่ให้ คำปรึกษาแนะนำ อ่าน และแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ตลอดจนให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ และให้กำลังใจแก่ผู้วิจัย ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณ นางนงนุช จันทยุทธ ที่ให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแก้ไขการวิจัยฉบับ นี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู ที่อำนวยความสะดวก ให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือ ขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทดลอง และเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลใน การวิจัย ผู้วิจัยขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือชี้แนะ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา พี่ เพื่อน น้องๆ ที่คอยช่วยเหลือ ห่วงใย สนับสนุนประโยชน์และคุณค่าทั้งมวลที่เกิดจากการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยขอมอบ เป็นเครื่องบูชาคุณบิดามารดาและครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่ผู้วิจัย กวินธิดา มาตราช
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมติฐานการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรที่ศึกษา เนื้อหาในการวิจัย ระยะเวลาในการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ง บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรที่ศึกษา เนื้อหาในการวิจัย ระยะเวลาในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล ทักษะในการคิดการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ข้อเสนอแนะ เอกสารอ้างอิง
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ผลการศึกษาการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2 ผลการเปรียบเทียบทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน
1 บทที่ 1 บทน า ที่มาและความส าคัญของปัญหา การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์นั้นมีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลก ปัจจุบัน และอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับทุกคนในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกอย่าง รอบตัวนั้นล้วนเป็นผล ของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนา วิธีคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์คิดวิเคราะห์วิจารณ์มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้มี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) โดยนักเรียนทุกคน ต้องมีความสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้และถือนักเรียน เป็นสำคัญที่สุด ซึ่งกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาโดยตามธรรมชาติและเต็ม ตามศักยภาพ ตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 (สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2545) โดยที่คุณภาพของนักเรียนต้องมี การ ปรับปรุงให้มีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อหลักสูตร ทักษะ แสวงหาความรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศึกษา, 2550) การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากความรู้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องราว เกี่ยวกับ โลกธรรมชาติ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกคนจึงต้องเรียนรู้เพื่อนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตและ การ ประกอบอาชีพ เมื่อผู้เรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์โดยได้รับการกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นและท้าทายกับการ เผชิญ สถานการณ์หรือปัญหา มีการคิดลงมือปฏิบัติก็เข้าใจและเห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับวิชาอื่น ทำให้สามารถอธิบาย ทำนาย คาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผล การประสบความสำเร็จในการเรียน วิทยาศาสตร์จะเป็น แรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจมุ่งมั่นที่จะสังเกต สำรวจตรวจสอบ สืบค้นความรู้ที่มี คุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนจึงต้องสอดคล้องกับสภาพจริงในชีวิตและ คำนึงถึงผู้เรียนที่มีวิธีการเรียนรู้ ความสนใจ และความถนัดที่แตกต่างกัน โดยการออกแบบและดำเนินกิจกรรม ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีคุณค่า ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ความรู้ด้าน เทคโนโลยีและทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต (สุพรรณีชาญประเสริฐ, 2557) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มีความสำคัญดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในปัจจุบันการจัดการศึกษา สาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของประเทศไทยยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ได้กำหนดไว้นักเรียนมีความสนใจต่อ การ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ค่อนข้างน้อย แรงจูงใจที่สำคัญในการเรียนรู้ คือแรงจูงใจที่เกิดจากตัวนักเรียนเอง ซึ่ง เกี่ยวข้องกับความสามารถและทักษะในด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวนักเรียนเอง การที่ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ เรียนรู้องค์ความรู้ต่าง ๆ จากการปฏิบัติ ทดลองและและการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้เนื้อหา วิทยาศาสตร์ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนมานำมาปรับใช้กับชีวิตจริง พัฒนา ปรับปรุงและ
2 สร้างรายได้ให้กับครอบครัว หรือชุมชน จะทำให้นักเรียนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของการเรียน วิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม มากขึ้น (สุทธิพงษ์ พงษ์วร, 2552) เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมี ความหมาย ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นกระบวนการไปสู่การสร้างองค์ความรู้ จึงควรมุ่งเน้น ที่บทบาทของผู้เรียน ซึ่งในการจัดกิจกรรมจะต้องเน้น กระบวนการคิดการวางแผนการลงมือปฏิบัติ การศึกษา ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยที่ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวก ในการเรียนรู้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พบว่า ครูผู้สอนมักสอน โดยการบรรยายและให้นักเรียนท่องจำ ยึด เนื้อหามากกว่าผู้เรียนขาดสื่อการสอนและวิธีสอนที่น่าสนใจ ส่งผลให้การสอนวิทยาศาสตร์ไม่มีความเป็น วิทยาศาสตร์และไม่บรรลุผลเท่าที่ควร การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ คอนสรัคติวิซึม โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นบริบท (Context) ของการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหา รวมทั้งดึงความรู้ตาม ศาสตร์ในสาขาที่ศึกษา ดังนั้นการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัย ความเข้าใจการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานว่าเป็นการเรียนการสอนที่เริ่มต้นด้วยปัญหา เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดความอยากรู้และไปแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อนำมาแก้ปัญหา ซึ่งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของ ผู้เรียน เป็นกระบวนการที่คล้ายกับการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และให้ผู้เรียนมีการทำงานเป็นทีม ดังนั้นการเรียน แบบใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นการจัดสภาพการของการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาเป็นเครื่องมือ ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ตามเป้าหมาย โดยผู้สอนจัดให้ผู้เรียนไปเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาจริง หรือจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนเผชิญ ปัญหาแล้ว ฝึกกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย สามารถนำ ไปใช้ได้ จึงเป็นสิ่งกระตุ้นทำให้ผู้เรียน เกิดการใฝ่รู้ เกิดทักษะ กระบวนการคิดและกระบวนการแก้ปัญหา และยังช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต (ทิศ นา แขมมณี, 2556) รวมทั้ง พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา ทางวิทยาศาสตร์ จากสภาพปัญหาที่พบเจอในชั้นเรียนและจากการสัมภาษณ์คุณครูประจำรายวิชาวิทยาศาสตร์ พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถคิดและแก้ปัญหาได้ด้วย ตอนเอง เนื่องจากการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผ่านมาเป็นการจัดการเรียนรู้แบบสอนและชี้นำความรู้ให้แก่ นักเรียน ทำให้นักเรียนไม่สามารถคิดและแก้ปัญหาได้จากหลักการและเหตุผลดังที่กล่าวมา ผู้วิจัยจึงมีความ สนใจศึกษาการเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่องการขึ้น-ตก และรูปร่างของดวงจันทร์และเมื่อมีทักษะการคิด แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งมีความเข้าใจถูกต้อง นักเรียนจะทักษะการคิดแก้ปัญหาทางการเรียนเพิ่ม สูงขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและ หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
3 สมมติฐานการวิจัย นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทาง วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ .05 ขอบเขตการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 52 คน จาก 2 ห้องเรียน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองสำโรง วิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการเจาะจง 2. ตัวแปรในการวิจัย 2.1 ตัวแปนต้น การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 2.2 ตัวแปรตาม ทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 3. เนื้อหาวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้เนื้อหาจากหลักสูตรแกนหลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 ว.3.1 ป.4/1 – 4/3 เรื่อง ดวงจันทร์ของเรา ประกอบด้วยเนื้อหาย่อย ดังนี้ 1. การขึ้นและตกของดวงจันทร์ 2. รูปร่างของดวงจันทร์ 3 ระบบสุริยะ 4. ระยะเวลาวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการทดลอง 10 ชั่วโมง. สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 5 สัปดาห์ นิยามค าศัพท์ ระบบสุริยะ หมายถึง ระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและมีบริวารประกอบด้วย ดาวเคราะห์แปดดวงและบริวาร ซึ่งดาวเคราะห์แต่ละดวงมีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่นๆโคจรอยู่รอบดวง อาทิตย์วัตถุขนาดเล็กอื่นๆ เมื่อเข้ามาในชั้นบรรยากาศเนื่องจากแรงโน้มถ่งของโลกทำให้เป็นดาวตกหรือผีพุ่งใต้ และอุกกาบาต
4 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หมายถึง ลักษณะของการสอนโดยใช้ปัญหาใน ชีวิตประจำวันของนักเรียนที่นักเรียนอาจพบ มาเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเรียนรู้และ เป็นตัวกระตุ้นใน การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยเหตุผล โดยเน้นนักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจในสิ่งที่ ต้องการแสวงหาความรู้ด้วย ตนเอง และรู้จักการทำงานรวมกันเป็นกลุ่ม ภายในกลุ่มนักเรียนเดียวกัน โดยครูมีส่วนร่วมน้อยที่สุด ซึ่งการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มี 6 ขั้นตอน (สำนักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา. 2550) ดังนี้ 1. ขั้นกำหนดปัญหา 1.2 ขั้นทำความเข้าใจกับปัญหา 1.3 ขั้นดำเนินการศึกษาค้นคว้า 1.4 ขั้นสังเคราะห์ความรู้ 1.5 ขั้นสรุปและประเมินค่าของคำตอบ 1.6 ขั้นนำเสนอและประเมินผลงาน การคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์หมายถึง พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกมาในขณะนั้นจาก สถานการณ์ปัญหาที่ผู้วิจัยกำหนดให้และจากแบบวัดทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ ประสบการณ์เดิมของผู้เรียนหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้ โดยอาศัยหลักการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของเวียร์ 4 ขั้นตอน ซึ่งทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้เรียนแสดงออกมาไม่จำเป็นต้องสอดคล้อง ตามลำดับการคิดแต่เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกมาให้เห็นได้ทันทีในขณะนั้น ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกมา ให้เห็นได้ว่ามีทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการ มี 4 คุณลักษณะตาม แนวคิดของเวียร์(Weir, 1974) ดังนี้ 1.1 การระบุปัญหา คือ ผู้เรียนจะต้องระบุปัญหา หรือ ตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่วิธีการทาง วิทยาศาสตร์จากสถานการณ์ที่ครูได้กำหนดว่าปัญหานั้นคืออะไร 1.2 การวิเคราะห์ปัญหา คือ ผู้เรียนจะต้องหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นว่าปัญหานั้นเกิดจาก อะไร หรือ จากสถานการณ์ปัญหาที่ครูกำหนดให้มีข้อมูลใดบ้าง 1.3 วิธีการแก้ปัญหา คือ ผู้เรียนจะต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนคำตอบนั้น เช่น ทำการสังเกต ทดลองหาคำตอบจนได้วิธีการแก้ปัญหานั้น 1.4 ตรวจสอบผลลัพธ์ คือ ผู้เรียนจะต้องตรวจสอบวิธีการแก้ปัญหาที่ตนเองได้ศึกษามาแล้ว เพื่ออธิบายผลที่เกิดขึ้นจากการใช้วิธีการแก้ปัญหานั้นจากแบบวัดทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นว่ามีความสอดคล้องในทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์อย่างไร ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น-ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ ในการพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้สูงขึ้น
5 2. ใช้เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนเพื่อนํามาพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น-ตก และรูปร่างของดวงจันทร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้า ดังต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) 1.1 วิสัยทัศน์ 1.2 หลักการ 1.3 จุดมุ่งหมาย 1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1.6 การจัดการเรียนรู้ 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.1 ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ 2.2 เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 2.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2.4 คุณภาพของผู้เรียนวิทยาศาสตร์ เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.5 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. การคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 4.การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) 1.1 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึด มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น สำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
7 1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็น ไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาค และมีคุณภาพ 3.เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการจัดการ เรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุม ทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 1.3 จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพจึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะ ชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมมี จิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข 1.4 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
8 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการ เลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ แก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้าน ต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม 1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ
9 1.6 การจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นฟื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เป็นเป้าหมาย สำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ผู้สอนพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนา ทักษะต่าง ๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน 1. หลักการจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐาน การเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึด ประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ เต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้ และคุณธรรม 2. กระบวนการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการ เรียนรู้ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็น สำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการ ทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการกระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของ ตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัยกระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับ การฝึกฝน พัฒนา เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เขียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีบรรลุป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้น ผู้สอน จึงจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐาน การเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับ ผู้เรียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด 4. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามป้าหมายของ หลักสูตร ทั้งผู้สอนและผู้เรียนควรมีบทบาท 4.1 บทบาทของผู้สอน 1) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน
10 2) กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะกระบวนการที่ เป็นความคิดรวบยอด หลักการและความสัมพันธ์ รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและ พัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย 4) จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ 5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีที่ เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของ วิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน 7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุงการ จัดการเรียนการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผู้เรียน 1) กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง 2) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำถาม ติดหาคำตอบ หรือหาแนวทาง แก้ปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ 3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกตีใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ 4) มีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู 5) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.1 ความส าคัญของวิทยาศาสตร์ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และระบบธรรมชาติเป็นสาระที่เน้นการสืบเสาะ (inquiry) เพื่อเข้าใจ ระบบธรรมชาติการจัดประสบการณ์เรียนรู้ในช่วงชั้นนี้เริ่มจากการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สนใจ และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น เน้นให้ผู้เรียนสืบเสาะและแก้ปัญหา โดยใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน ใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงแหล่งข้อมูลอย่างปลอดภัย สร้างเจตคติที่ดี ต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรับตัวและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงการใช้ ทรัพยากร 2.2 เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้ทั้ง กระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็น หลักการ แนวคิด และองค์ความรู้
11 การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายที่สำคัญ ดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีและกฎที่เป็นพื้นฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกัดในการศึกษา วิชา วิทยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทักษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี 4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์และสภาพแวดล้อม ในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 5. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดำรงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และ การจัดการ ทักษะ ในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ 7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏิกิริยาเคมี
12 มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุรวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้ง นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศ โลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้ อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม 2.4 คุณภาพของผู้เรียนวิทยาศาสตร์ เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะการปรับตัวของส่ิงมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตใน แหล่งที่อยู่ การทําหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของพืช และการทํางานของระบบย่อยอาหาร ของมนุษย์ ❖ เข้าใจสมบัติและการจําแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้และการแยกสาร อย่าง ง่าย ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและ ผลของ แรงต่าง ๆ ผลที่เกิดจากแรงกระทําต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์ เบื้องต้นของเสียง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏ ของดวงจันทร์
13 องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การ ขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ ❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิด ซากดกึ ดําบรรพ์ การเกดิ ลม บก ลมทะเล มรสมุ ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัยการเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณ์เรือนกระจก ❖ ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้ เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทํางานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและ หน้าที่ของตน เคารพสิทธิของผู้อื่น ❖ ตั้งคําถามหรือกําหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กําหนดให้หรือตาม ความสนใจ คาดคะเนคําตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคําถามหรือปัญหา ทจี่ ะสํารวจตรวจสอบ วางแผนและสํารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เหมาะสม ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการ สํารวจ ตรวจสอบในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อสื่อสารความรู้จากผลการสํารวจตรวจสอบได้อย่างมี เหตุผลและหลักฐาน อ้างอิง ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ เรื่องที่จะ ศึกษาตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มี หลักฐานอ้างอิง และรับฟัง ความคิดเห็นผู้อื่น ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทํางานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลุล่วงเป็นผลสําเร็จ และทํางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และ กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ในการดํารงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงาน ของผู้คิดค้นและศึกษา หาความรู้เพิ่มเติม ทําโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กําหนดให้หรือตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า 2.5 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
14 มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก ของ ดวงจันทร์ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ • ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์ หมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะที่โลกก็ หมุนรอบตัวเองด้วยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเอง ของ โลกจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกใน ทิศทางทวน เข็มนาฬิกาเมื่อมองจากขั้วโลกเหนือ ทําให้มองเห็น ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นทางด้าน ทิศตะวันออกและตก ทางด้านทิศตะวันตก หมุนเวียนเป็นแบบรูปซ้ำๆ 2. สร้างแบบจําลองที่อธิบายแบบรูป การ เปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ และ พยากรณ์รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ • ดวงจันทร์เป็นวัตถุที่เป็นทรงกลม แต่รูปร่างของ ดวงจันทร์ที่มองเห็นหรือรูปร่างปรากฏของ ดวง จันทร์บนท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละวัน โดยในแต่ ละวันดวงจันทร์จะมีรูปร่างปรากฏเป็น เสี้ยวที่มี ขนาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเต็มดวง จากนั้นรูปร่าง ปรากฏของดวงจันทร์จะแหว่ง และมีขนาดลดลง อย่างต่อเนื่องจนมองไม่เห็น ดวงจันทร์ จากนั้น รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ จะเป็นเสี้ยวใหญ่ขึ้นจน เต็มดวงอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นแบบรูปซ้ำ กันทุกเดือน 3. สร้างแบบจําลองแสดงองค์ประกอบของ ระบบ สุริยะ และอธิบายเปรียบเทียบคาบการ โคจร ของดาวเคราะห์ต่าง ๆ จากแบบจําลอง • ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารประกอบด้วย ดาวเคราะห์แปดดวง และ บริวาร ซึ่งดาวเคราะห์แต่ละดวงมีขนาด และ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน และ ยัง ประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์ น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ โคจรอยู่รอบดวง อาทิตย์ วัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ เมื่อเข้ามาในชั้น บรรยากาศเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก ทําให้เกิด เป็นดาวตกหรือผีพุ่งไต้และอุกกาบาต
15 3.การคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ วิชชุตา อ้วนศรีเมือง (2554) การคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ (Science Cognitive Preference) คือความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์ วุฒิภาวะทางสมอง สภาพการณ์ที่แตกต่างกันความพร้อม และการฝึกฝนกระบวนการคิดแก้ปัญหา ประพันธ์ศิริ สุเลารัจ (2551) การคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ มี 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นตระหนักรู้เป็นขั้นตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ทำให้เป็นปัญหา และกำหนดประเด็นปัญหา 2. ขั้นรวบรวมข้อมูลหรือขั้นค้นหาความจริงเป็นขั้นพิจารณาถึงสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นเก็บ รวบรวม ข้อมูลสอบถาม และจัดเรียงให้เป็นหมวดหมู่ 3. ค้นพบปัญหาที่แท้จริงเป็นขั้นตอนที่เน้นการพิจารณาว่าอะไรคือปมปัญหาที่แท้จริง ต้องใช้ ทักษะการคิดวิเคราะห์และการสังเคราะห์กล่าวได้ว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ทักษะความคิดชั้นสูงมา ประกอบ 4. ขั้นคิดหาแนวทางในการแก้ปัญหาคัดค้าน และหาวิธีการในการแก้ปัญหาหลายๆวิธีโดย พยายามคิดค้นหาวิธีทั้งที่เป็นปกติหรือวิธีการที่แปลกใหม่ 5. ขั้นค้นหาข้อสรุปเป็นการค้นหาข้อสรุปจากแนวทางหลายๆแนวทางในการแก้ปัญหา นั้นว่า วิธีใดเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดเป็นที่ยอมรับมากที่สุด 6. ขั้นยอมรับข้อสรุป และดำเนินการแก้ปัญหาตามแนวทางที่เลือกเป็นขั้นตอนในการกำหนด ขั้นตอน และปฏิบัติตามขั้นตอนการแก้ปัญหาที่ได้เลือกไว้ กันติกาน สืบกิน (2551) สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีได้กล่าวถึงกระบวนการ แก้ปัญหา (Problem solving process) ว่าการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายประการหนึ่งคือ เน้น ให้นักเรียน ได้ฝึก แก้ปัญหาต่างๆ โดยผ่านกระบวนการคิด และปฏิบัติอย่างมีระบบ ผลที่ได้จากการฝึกจะช่วย ให้นักเรียน สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้กระบวนการหรือวิธีการ ความรู้ทักษะต่างๆ และความเข้าใจในปัญหานั้น มาประกอบกน เพื่อเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหา อาจทำได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหา ความรู้ และประสบการณ์ของผู้แก้ปัญหานั้น กระบวนการ แก้ปัญหามีขั้นตอน ดังนี้ 1. ทำความเข้าใจปัญหา ผู้แก้ปัญหาจะต้องทำความเข้าใจกับปัญหาที่พบให้ถ่องแท้ใน ประเด็นต่างๆ คือ 1) ปัญหาถามว่าอย่างไร 2) มีข้อมูลใดแล้วบ้าง 3) มีเงื่อนไขหรือต้องการข้อมูลใด เพิ่มเติมอีกหรือไม่การวิเคราะห์ปัญหาอย่างดีจะ ช่วยให้ขั้นตอนต่อไป ดำเนินไปอย่างราบรื่น การจะ ประเมินว่านักเรียนเข้าใจปัญหามากน้อยเพียงใด ทำได้โดย การกำหนดให้นักเรียนเขียนแสดงถึงประเด็น ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 2. วางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนนี้จะเป็นการคิดหาวิธีวางแผนเพื่อแก้ปัญหา โดยใช้ข้อมูลจาก ปัญหาที่ได้วิเคราะห์ไว้แล้วในขั้นที่ 1 ประกอบกบข้อมูล ั และความรู้ที่เกี่ยวข้องกบปัญหานั้น และนํามาใช้ ประกอบการวางแผนแก้ปัญหา ในกรณีที่ปัญหาต้องตรวจสอบโดยการทดลองนั้น ตอนนี้ก็จะเป็นการวาง
16 แผนการทดลอง ซึ่งประกอบด้วยการตั้งสมมติฐาน กำหนดวิธีทดลอง หรือตรวจสอบ และอาจรวมทั้ง แนวทาง ในการประเมินผลการแก้ปัญหา 3. ดำเนินการแก้ปัญหา และประเมินผล ขั้นตอนนี้จะเป็นการลงมือแก้ปัญหา และประเมิน ว่าวิธีการแก้ปัญหา และผลที่ได้ถูกต้องหรือได้ผลเป็นอย่างไร ถ้าการแก้ปัญหาทำได้ถูกต้อง ก็จะมีการ ประเมิน ต่อไปว่า วิธีการนั้นน่าจะยอมรับไปใช้ในการแก้ปัญหาอื่น ๆ หรือไม่ แต่ถ้าพบว่า การแก้ปัญหา นั้นไม่ประสบ ความสำเร็จ ก็จะต้องย้อนกลับไปเลือกวิธีการแก้ปัญหาอื่นๆ ที่ได้กำหนดไว้แล้วในขั้นที่ 2 และถ้ายังไม่ประสบ ความสำเร็จ นักเรียนจะต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจปัญหาใหม่ว่ามีข้อบกพร่อง ประการใด เช่น ข้อมูล กำหนดให้ไม่เพียงพอ เพื่อจะได้เริ่มต้นการแก้ปัญหาใหม่ 4. ตรวจสอบการแก้ปัญหา เป็นการประเมินภาพรวมของการแก้ปัญหา ทั้งในด้านวิธีการ แก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ รวมทั้งการนําไปประยุกต์ใช้ ทั้งนี้ในการแก้ปัญหาใด ๆ ต้อง ตรวจสอบถึงผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย จากแนวคิดดังกล่าวสรุปได้ว่าการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์คือความสามารถของผู้เรียนที่ สามารถคิดแก้ปัญหา และระบุวิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งลงมือตรวจสอบตามวิธีการที่ระบุ ไว้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของปัญหา และค้นพบองค์ความรู้ใหม่ๆจากการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 4.การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning: PBL) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น จากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) ให้ผู้เรียนรู้ที่ เกิดขึ้นในโลกแห่งความ เป็นจริงเป็นบริบทของการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์ และ คิดแก้ปัญหา รวมทั้งได้ความรู้ ตามศาสตร์ในสาขาวิชาที่ตนศึกษาด้วยการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จึงเป็นผลมาจากกระบวนการทำงานที่ ต้องอาศัยความเข้าใจ และการแก้ไขปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนมีบทบาทสำคัญ ในการกำหนดปัญหาที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเองจาก แหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อ นำไปสู่การแก้ปัญหาโดยจะแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย เพื่อช่วยกันศึกษา อภิปรายปัญหา แล้วนำเสนอ แลกเปลี่ยนความรู้ โดยนำเอาข้อมูล และประสบการณ์ที่ผู้เรียนมีอยู่มา วิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อที่จะให้ ผู้เรียนได้จดจำความรู้ใหม่ไว้ได้นาน และรู้จักนำไปประยุกต์ ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ จนสามารถแก้ไขปัญหาที่ พบได้ในที่สุด และมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้นักเรียน พัฒนาการคิด การแก้ปัญหาและทักษะทางปัญญา เรียนรู้ บทบาทของผู้ใหญ่ โดยผ่านทาง ประสบการณ์จริง และพัฒนาโดยอิสระ เรียนรู้ตามธรรมชาติ การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning) ไม่ใช่การสอนแบบแก้ปัญหา (Problem solving method) เพราะการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานนั้น ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์โดยตรงของผู้เรียน ต้องมาก่อน โดยปัญหาจะเป็นตัวกระตุ้นหรือนำทางให้ผู้เรียนต้องไปแสวงหา ความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง เพื่อจะได้ค้นพบคำตอบของปัญหานั้น กระบวนการหาความรู้ด้วย ตนเองนี้จะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการ แก้ปัญหา
17 4.1 ความหมายการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สุปรียา วงษ์ตระหง่าน (2546) ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานว่า คือ กระบวนการที่แสวงหาความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติจากสถานการณ์ปัญหาที่ไม่คุ้นเคยมา ก่อน เป็นการรวบรวมข้อมูล การเรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์นั้นๆ เป็นกระบวนการทาง การศึกษาที่ออก แบบอย่างเหมาะสมละกระตุ้นเร้าให้เกิดการเรียนร ู้ ทิศนา แขมมณี (2557) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานว่าเป็นการจัด สภาพการณ์ของการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาเป็นเครื่องมือในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม เป้าหมาย โดยผู้สอนอาจนำผู้เรียนไปเผชิญสถานการณ์ปัญหาจริง หรือผู้สอนอาจจัดสภาพ การณ์ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหา และฝึกกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจปัญหา นั้นอย่างชัดเจน ได้เห็นทางเลือก และวิธีการที่หลากหลายในปัญหานั้น รวมทั้งให้ผู้เรียนเกิดความใฝ่รู้เกิด ทักษะกระบวนการคิด และกระบวนการแก้ปัญหา วัชรา เล่าเรียนดี (2548) กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็น ยุทธวิธีการจัดการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแบบหนึ่งที่ช่วยส่งเสริม และพัฒนาทักษะการแก้ ปัญหา การ เรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อกระตุ้น จูงใจ เร้าความสนใจเพื่อเรียนรู้และสร้างความรู้ด้วย ตนเอง วัฒนา รัตนพรหม (2548) ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานว่าเป็น การ เรียนรู้ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการทำความเข้าใจและการแก้ปัญหา ซึ่งใช้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ เป็นอยู่ตามสภาพจริงมาเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เลือกเนื้อ หาที่ต้องการจะ เรียนรู้ และแสวงหาความรู้นั้นเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา ผู้เรียนจะได้ฝึกการคิด แก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ ตลอดจน การทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อพัฒนาความสามารถในการทำงานร่วม กันเป็นทีม โดยผู้สอน เป็นเพียงผู้สนับสนุนให้ เกิดการเรียนร ู้ Gallagher S.A. (1997) กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานคือ การเรียนที่ นักเรียนต้องเรียนรู้จากการเรียน นักเรียนจะได้ทำงานเป็นกลุ่มเพื่อค้นคว้าวิธีแก้ปัญหาโดยการบูร ณา การความรู้ที่ต้องการให้นักเรียนได้รู้และการแก้ปัญหาเข้าด้วยกัน Cunningham William G.and Paula A. (2003) กล่าวว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) เป็นการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหามาเป็นแบบฝึกหัดที่มี กระบวนการแสวงหา คำตอบที่ลึกซึ้ง ตามแนวปรัชญาคอนสรัคติวิสต์ โดยเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาที่นักเรียน มักจะพบใน ชีวิตจริงปัญหาจะถูกเลือกมา มาใช้อธิบายความคิดรวบยอดหลัก นักเรียนจะเรียนรู้จากบริบท โดยรอบ ของปัญหานั้นๆ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ นักเรียนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดปัญหาที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วย ตนเอง จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยจะแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยเพื่อช่วยกัน ศึกษา อภิปราย ปัญหา แล้วนำเสนอแลกเปลี่ยนความรู้ โดยนำเอาข้อมูลและประสบการณ์ที่ผู้เรียนมีอยู่มาวิเคราะห์อย่าง
18 สร้างสรรค์ เพื่อที่จะให้ผู้เรียนได้จดจำความรู้ใหม่ไว้ได้นาน และรู้จักนำไป ประยุกต์ ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ จน สามารถแก้ไขปัญหาที่พบได้ในที่สุด 4.2 จุดมุ่งหมายของการจัดเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) มีจุดมุ่งหมาย เพื่อช่วยให้นักเรียนพัฒนาการคิด การแก้ปัญหาและทักษะทางปัญญา เรียนรู้บทบาทของ ผู้ใหญ่ โดยผ่านทาง ประสบการณ์จริง และพัฒนาโดยอิสระ เรียนรู้ตามธรรมชาติ Barrow, Haward S (1985) จุดมุ่งหมายขอการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) มีดังนี้ 1. ช่วยให้นักเรียนพัฒนาการเสาะแสวงหาความรู้ 2. เตรียมประสบการณ์ด้วยบทบาทของผู้ใหญ่ 3. ทำให้นักเรียนเกิดความมั่นใจในความสามารถและการควบคุมตนเองและมีจุดประสงค์ ดังนี้ 3.1 เผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิตด้วยความริเริ่มและกระตือรือร้น 3.2 การแก้ปัญหา อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องบูรณาการ ยืดหยุ่นและใช้พื้น ฐานความรู้ 3.3 ใช้ทักษะการกำกับตนเองอย่างมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตจริง 3.4 มีการประเมินและตรวจสอบการทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่อง 3.5 การทำงานร่วมกับผู้อื่นในสมาชิกของกลุ่ม วัชรา เล่าเรียนดีระบุว่าจุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning : PBL) มีดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา 2. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง 3. พัฒนาทักษะในการแสวงหาความรู้ที่เหมาะสม 4. พัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 5. เพื่อใช้ความรู้พื้นฐานที่สามารถวัดได้ 6. สร้างความพึงพอใจในตนเองและแรงจูงใจในตนเอง 7. มีทักษะในการแสวงหาความรู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็น 8. พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ 9. พัฒนาความสามารถในการพัฒนาเป็นทีม 10. พัฒนาทักษะการสื่อความหมาย 11. พัฒนาการใช้ความคิดเชิงรุก 12. พัฒนาทักษะในการทำงานในสถานที่ทำงานร่วมกันกับผู้อื่น
19 สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีดังนี้ 1) พัฒนาทักษะ การ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ 2) สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้มีบทบาท สำคัญในการคิดและตัดสินใจในกิจกรรมการเรียนรู้ 3) พัฒนาทักษะความสามารถในการทำงานเป็นทีม การ ยอมรับผู้อื่น การมีบทบาทในการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีและ 4) พัฒนา กระบวนการคิด การใช้เหตุผล 4.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จากการศึกษาค้นคว้าขั้นตอนการสร้างปัญหาที่ใช้ในการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ได้มีผู้กล่าวไว้ดังนี้ รังสรรค์ ทองสุกนอก (2547) ได้กล่าวว่า การเตรียมปัญหาในการเรียนการสอนแบบใช้ปัญหา เป็น ฐานนั้นจะต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์พื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะพื้นฐานสำคัญ ดังนี้ 1. สิ่งที่ป้อนให้ผู้เรียน (Input) คือปัญหา ซึ่งเปรียบเสมือนการท้าทายให้ผู้เรียนก้าว ไปสู่ สภาวการณ์ที่ผู้เรียนอาจจะมีความคุ้นเคยหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องตระหนักในความจำเป็นที่ต้อง เข้าใจปัญหานั้น 2. กระบวนการ (Process) จากปัญหาที่ผู้เรียนได้มาจะนำผู้เรียนเข้าสู่กระบวนการ ที่ต้อง ตั้งสมมติฐาน วิเคราะห์ อภิปราย ฯลฯ เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหา ทั้งนี้โดยเริ่มจากการอาศัย ความรู้เดิมที่มี อยู่ค่อนข้างจำกัดเป็นฐานก่อน 3. สิ่งที่คาดหวัง (Outcome) เป็นสิ่งที่จะเกิดกับผู้เรียนเมื่อผ่านกระบวนการ ดังกล่าวมี ดังต่อไปนี้ - กำหนดการเรียนรู้ขั้นต่อไปที่จำเป็นต่อความเข้าใจ - เสนอแนะแนวทางในการรวบรวมข้อมูลมาเพิ่มเติมในการแก้ปัญหา - พิจารณาหาแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล – การประสานสัมพันธ์ความรู้ที่ได้รับจากการค้นคว้า จากหลักเกณฑ์พื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ ในการสร้างปัญหาจึงต้องนำมาพิจารณา ร่วม ด้วย ซึ่งกระบวนการในการสร้างปัญหามีขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 กำหนดกรอบการเรียนรู้ (Planning the block) ขั้นแรกของการกำหนดกรอบ การ เรียนรู้คือ การกำหนดประสบการเรียนรู้ในหลักสูตรหรือสาขาวิชาใดๆ ก็ตามสิ่งที่สำคัญที่ต้อง กำหนด 1. วัตถุประสงค์ (Objectives) คือการกำหนดขอบเขตว่าต้องการให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ ด้านใดบ้าง ซึ่งโดยปกติวัตถุประสงค์ทางการศึกษา ที่ต้องคำนึงถึงมี 3 ด้าน คือ ด้านความรู้(Knowledge หรือ Cognitive) ด้านเจตคติ (Attitude หรือ Affective) และด้านทักษะ(Practice หรือ Psychomotor ) 2. กำหนดแนวความคิด (Concept) หรือหลักเกณฑ์พื้นฐาน (Basic principles)ที่ ผู้เรียน ควรต้องเรียนรู้เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ขั้นที่ 2 กำหนดปัญหา (Planning the problem) การกำหนดปัญหาจะต้อง กำหนดให้ สอดคล้องกับแนวความคิดที่คาดหวังไว้ว่าผู้เรียนควรจะเรียนรู้ ขั้นที่ 3 กำหนดแผนการอภิปราย (Planning the discussion) คือการสร้างคำถาม เพื่อให้ ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดไปยังแนวความคิดที่ต้องการ
20 ขั้นที่ 4 จัดเตรียมแหล่งข้อมูล (Preparation of resource) ในการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐานจะไม่มีการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนโดยตรง แต่ผู้เรียนจะเป็นผู้แสวงหาความรู้เอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง มีการเตรียมแหล่งข้อมูลไว้ให้ผู้เรียน ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 อย่าง คือ แหล่งข้อมูลที่ เป็นบุคคลที่ให้ความรู้ และ แหล่งข้อมูลที่เป็นวัสดุทางการเรียนที่ผู้เรียนสามารถค้นคว้าได้ เช่น ต ารา เอกสารต่างๆ อินเทอร์เน็ต เทป วิทยุ เป็นต้น ขั้นที่ 5 กำหนดแผนการประเมินผล (Planning the assessment) การประเมินผล ผู้เรียน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1. การประเมินผลเพื่อบอกความก้าวหน้าของผู้เรียน (Formative assessment) พิจารณา 2 อย่างคือ 1.1 ดูความสอดคล้องระหว่างข้อมูลที่หามาได้กับปัญหาที่เรียน 1.2 ดูการประยุกต์ความรู้ที่ได้ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง 2. การประเมินผลรวมในการนำไปใช้ในสถานการณ์จริงต่อไป (Summative assessment) Delisle ได้กล่าวถึงขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสรุปได้ดังนี้ ขั้นที่ 1 เชื่อมโยงไปสู่ปัญหา (Connecting with the problem) ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนควรจะ รู้ ศึกว่าปัญหามีความสำคัญ น่าสนใจและคุ้มค่าต่อเวลาของพวกเขา ครูผู้สอนเลือก ปัญหาที่มีความเชื่อมโยง กับสิงที่ผู้เรียนอาจพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น ประสบการณ์ส่วนตัว ประสบการณ์จากครอบครัวหรือจาก เพื่อน จากโทรทัศน์ หรือดนตรีที่นักเรียนสนใจ การเชื่อมโยงนี้อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการการอ่าน หรือจาก การอภิปรายนำเสนอหัวข้อ ขั้นที่ 2 จัดโครงสร้าง (Setting up the structure) ในขั้นนี้ครูผู้สอนต้องแน่ใจว่า นักเรียน สามารถเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาได้แล้ว ในขั้นจัดโครงสร้างนี้เป็นการสร้างโครงสร้างสำหรับการ ทำงานผ่านปัญหา ซึ่งจะมีการจัดขอบเขตของงานเพื่อที่จะนำไปสู่คำตอบ และถือเป็นหัวใจของ กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐานซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงวิธีการคิดโดยใช้สถานการณ์และแนว ทางการนำไปสู่คำตอบโดยครูผู้สอนและ ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อจัดโครงสร้างของการทำงานโดย ครูผู้สอน มีหน้าที่เป็นผู้แนะนำเพื่อกำหนด โครงสร้างของการศึกษาอันประกอบด้วย 1. แนวคิด/แนวทางในการแก้ปัญหา (Ideas) 2. ข้อเท็จจริง (Facts). 3. ประเด็นที่ต้องศึกษาค้นคว้า (Learning issues) 4. แผนการดำเนินงาน (Action plan) ขั้นที่ 3 เข้าไปสู่ปัญหา (Visiting the problem) ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะใช้กระบวนการกลุ่ม ในการร่วมกันสำรวจปัญหาและร่วมกันอภิปรายเพื่อเติมลงไปในตารางโครงสร้างของ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐานในขั้นที่ 2 หลังจากที่ผู้เรียนได้ใส่ข้อมูลจนครบจะเห็นว่าสิ่งที่ผู้เรียน รวบรวมมาเป็นข้อมูลที่ได้จากการ คำถามต่างๆของพวกเขา และข้อมูลที่เติมในสองช่องสุดท้ายจะเป็น แนวทางหรือแผนการที่จะนำไปสู่รูปแบบ
21 การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของผู้เรียน จากนั้น้เรียนจะแบ่งหน้าที่ในการศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระ แล้วนำความรู้ที่ได้มาเสนอต่อกลุ่มจนกระทั่งได้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการแก้ปัญหา ครูผู้สอนจะเป็นผู้ที่คอย แนะนำแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจ ช่วยเหลือนักเรียนได้แต่ครูต้องไม่ให้คำตอบกับนักเรียน และหลังจากที่ ผู้เรียนทำการศึกษาค้นคว้า เสร็จเรียบร้อยแล้วครูผู้สอนและผู้เรียนก็จะร่วมกันอภิปรายในชั้นเรียนอีกครั้ง ขั้นที่ 4 กลับเข้าสู่ปัญหาอีกครั้ง (Revisiting the problem) หลังจากที่ผู้เรียน ทำการศึกษา ค้นคว้าเสร็จแล้ว จะมีการอภิปรายในชั้นเรียนและมีการกลับเข้าสู่ปัญหาอีกครั้งโดยสิ่ง แรกที่ครูผู้สอนต้องทำ คือให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มรายงานการศึกษาค้นคว้าของพวกเขา และขณะที่แต่ละ กลุ่มรายงานครูผู้สอนก็จะทำ การประเมินแหล่งข้อมูลที่ผู้เรียนใช้ เวลาที่ใช้ และผลลัพธ์ทั้ง หมดจาก แผนการดำเนินงานของผู้เรียน ใน ขั้นตอนนี้แต่ละกลุ่มจะร่วมกันสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มานั้น เพียงพอที่จะแก้ปัญหาหรือไม่ ถ้าความรู้ที่ ได้มานั้นไม่เพียงพอก็จะมีการกำหนดประเด็นที่ต้องศึกษา ค้นคว้า และแผนการดำเนินงานอีกครั้ง ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้น้ำหนักของหลักฐานและเปรียบเทียบเทียบแนวทาง ในการ แก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ เพราะว่า ผู้เรียนจะต้อง อธิบายและหาข้อมูลสนับสนุนแนวทางในการแก้ปัญหาของเขาเองด้วยข้อเท็จจริงที่จะ ทำให้ผู้เรียนคนอื่นๆมี ความเชื่อถือ อีกทั้งผู้เรียนยังได้พัฒนาทักษะการสื่อสาร และความสามารถใน การพูดชี้นำให้เกิดความเชื่อถือ ขั้นที่ 5 การผลิตผลงาน หรือการแสดงความสามารถ (Producing a product or performance) ในขั้นนี้จะนำความรู้ที่ได้มาจากการดำเนินงานตามแผนเพื่อผลิตผลงานหรือสรุป คำตอบของ ปัญหา และมีการนำเสนอในชั้นเรียน ขั้นที่ 6 การประเมินกระบวนการและปัญหา (Evaluating performance and the problem) ในขั้นตอนของการประเมินนี้ทั้งครูผู้สอนและผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในการประเมิน ทั้งการ ประเมิน ทักษะการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การทำงานร่วมกันภายในกลุ่มและ การประเมิน ปัญหาที่นำมาใช้ด้วย ศูนย์การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Center for Problem-Based Learning) ของ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (Illinois University) สหรัฐอเมริกา (Torp; & Sage.) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการ เรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อมของผู้เรียน ในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมให้ผู้เรียนมี ความพร้อมในการเป็นผู้เผชิญกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ซึ่งการเตรียมความพร้อมนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ ความสนใจ ภูมิหลังของผู้เรียน ในการเตรียมความพร้อมนี้จะให้ผู้เรียนได้อภิปรายเกี่ยวเนื่องถึง เรื่องที่จะสอน อย่างกว้างๆ ซึ่งจะต้องตระหนักว่าการเตรียมความพร้อมนี้ไม่ใช่การสอนเนื้อหาก่อน เพราะการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานต่างจากการเรียนรู้แบบอื่นตรงที่ความรู้หรือทักษะที่ผู้เรียน ได้รับจะเป็นผลมาจากการแก้ปัญหา ขั้นที่ 2 ขั้นพบปัญหา ในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายสนับสนุนให้ผู้เรียนกำหนดบทบาทของ ตนในการแก้ปัญหาและกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการที่จะแก้ปัญหา ซึ่งครูอาจจะใช้คำถามในการกระตุ้น ให้ นักเรียนได้อภิปรายและเสนอความคิดเห็นต่อปัญหา เมื่อมองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา
22 ขั้นที่ 3 ขั้นนิยามว่า เรารู้อะไร (What We Know) เราจำเป็นต้องรู้อะไร (What We Need to Know) และแนวคิดของเรา (Our Ideas) ในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาสิ่งที่ ตนรู้ อะไรที่จำเป็นต้องรู้และแนวคิดอะไรที่ได้จากสถานการณ์ปัญหา ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พิจารณาถึงความรู้ที่ ตนเองมีที่เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและเตรียมให้ผู้เรียนพร้อมที่จะรวบรวม ข้อมูล เพื่อนำไปแก้ปัญหา ในขั้น นี้ผู้เรียนจะทำความเข้าใจปัญหาและพร้อมที่สำรวจ ค้นคว้าหา ความรู้เพื่อการแก้ปัญหา ครูจะให้นักเรียนได้ กำหนดสิ่งที่ตนรู้จากสถานการณ์ปัญหาสิ่งที่จำเป็นที่ต้อง เรียนรู้เพิ่มเติมที่จะมาส่งเสริมให้สามารถแก้ปัญหาได้ ซึ่งจะระบุแหล่งข้อมูลสำหรับค้นคว้าและแนวคิด ในการแก้ปัญหา ขั้นที่ 4 ขั้นกำหนดปัญหา จุดมุ่งหมายในขั้นนี้เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนกำหนดปัญหา ที่แท้จริงจากสถานการณ์ที่ได้เผชิญ และกำหนดเงื่อนไขที่ขัดแย้งกับเงื่อนไขที่ปรากฏในสถานการณ์ ปัญหาที่ กำหนดให้ ซึ่งจะช่วยให้ได้คำตอบของปัญหาที่ดี ขั้นที่ 5 ขั้นการค้นคว้า รวบรวมข้อมูล และเสนอข้อมูล ผู้เรียนจะช่วยกันค้นคว้า ข้อมูลที่จำเป็นต้องรู้จากแหล่งข้อมูลที่กำหนดไว้แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาเสนอต่อกลุ่มให้เข้าใจตรงกัน จุดมุ่งหมายในขั้นนี้ ประการแรกเพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนวางแผนและดำเนินการรวบรวมข้อมูลอย่างมี ประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอข้อมูลนั้นต่อกลุ่ม ประการที่สอง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจว่าข้อมูลใหม่ ที่ ค้นคว้ามาทำให้เข้าใจปัญหาอย่างไร และจะประเมินข้อมูลใหม่เหล่านั้นว่าสามารถช่วยเหลือให้เข้าใจ ปัญหาได้ อย่างไรด้วย ประการที่สาม เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถทางการสื่อสารและการ เรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ ขั้นที่ 6 ขั้นการหาคำตอบที่เป็นไปได้ จุดมุ่งหมายในขั้นนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยง ระหว่างข้อมูลที่ค้นคว้ากับปัญหาที่กำหนดไว้แล้วแก้ปัญหาบนฐานข้อมูลที่ค้นคว้ามา เนื่องจากปัญหา ที่ใช้ใน การเรียนรู้สามารถมีคำตอบได้หลายคำตอบ ดังนั้นในขั้นนี้ผู้เรียนจะต้องค้นหาคำตอบที่ สามารถเป็นไปได้ให้ มากที่สุด ขั้นที่ 7 ขั้นการประเมินค่าของคำตอบ จุดมุ่งหมายในขั้นนี้เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนทำ การประเมินค่าสิ่งที่มาช่วยในการแก้ปัญหา (ข้อมูลที่ค้นคว้ามา) และผลของคำตอบที่ได้ในแต่ละ ปัญหาว่าทำ ให้เรียนรู้อะไร ซึ่งนักเรียนจะแสดงเหตุผลและร่วมกันอภิปรายในกลุ่มโดยใช้ข้อมูลที่ ค้นคว้ามาเป็นพื้นฐาน ขั้นที่ 8 ขั้นการแสดงคำตอบและการประเมินผลงาน ในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ สนับสนุนให้ผู้เรียนเชื่อมโยงและแสดงถึงสิ่ง ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้ความรู้มาอย่างไร และทำไมความรู้นั้นถึง สำคัญ ในขั้นนี้นักเรียนจะเสนอผลงานออกมาที่แสดงถึงกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนได้คำตอบของปัญหา ซึ่งเป็นการประเมินผลงานของตนเองและกลุ่มไปด้วย ขั้นที่ 9 ขั้นตรวจสอบปัญหาเพื่อขยายการเรียนรู้ ในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียน ร่วมกันกำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ต่อไป นักเรียนจะพิจารณาจากปัญหาที่ได้ดำเนินการไปแล้วว่ามีประเด็น อะไรที่ตนสนใจอยากเรียนรู้อีก เพราะในขณะดำเนินการเรียนรู้นักเรียนอาจจะมีสิ่งที่อยากรู้ นอกจากที่ครู จัดเตรียมไว้ให้
23 จากขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 9 การดำเนินการเรียนรู้จะดำเนินเป็นวงจร หากขั้นใดมีข้อสงสัยก็ ย้อนกลับไปยังขั้นก่อนหน้านั้น และเมื่อจบการเรียนรู้จากปัญหาหนึ่งๆ แล้วจะกำหนดปัญหาใหม่ และ ในแต่ ละขั้นจะประกอบไปด้วยการประเมินการเรียนรู้ด้วย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน ดังนี้ ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดสถานการณ์ต่างๆกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจ และมองเห็นปัญหา สามารถกำหนดสิ่งที่เป็นปัญหาหาที่ผู้เรียนอยากรู้อยากเรียนได้ และ เกิดความสนใจที่จะ ค้นหาคำตอบ ขั้นที่ 2 ทำความเข้าใจกับปัญหา ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจปัญหาที่ต้องการ เรียนรู้ ซึ่ง ผู้เรียนจะต้องอธิบายถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาได้ ขั้นที่ 3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนกำหนดสิ่งที่ต้องเรียน ดำเนินการศึกษา ค้นคว้าด้วย วิธีที่หลากหลาย ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ เป็นขั้น ที่ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาแลกเปลี่ยนเรียน ร่วมมือ กัน อภิปรายผลและสังเคราะห์ความรู้ที่ได้มาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด เพียงพอกับ การตรวจสอบ สมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปตรวจสอบสมมติฐานและแก้ปัญหา ถ้าไม่ เพียงพอกลุ่มจะต้อง กำหนดสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม แผนการเรียนรู้ และแหล่งข้อมูลแล้วดำเนินการ ศึกษาอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้ ข้อมูลที่สมบูรณ์ก่อน ขั้นที่ 5 สรุปและประเมินค่าของคำตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มสรุปผลงานของกลุ่ม ตัวเองและ ประเมินผลงานว่าข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยพยายาม ตรวจสอบแนวคิดภายใน กลุ่มของตนเองอย่างอิสระ ทุกกลุ่มช่วยกันสรุปองค์ความรู้ในภาพรวมของ ปัญหาอีกครั้ง ขั้นที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้มาจัดระบบองค์ความรู้และนำเสนอ เป็นผลงานในรูปแบบที่หลากหลาย ผู้เรียนทุกกลุ่มรวมทั้ง ผู้เรียนที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ร่วมกันประเมินผลงาน วิชนีย์ ทศศะ (2547) เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1. ขั้นเสนอสถานการณ์ปัญหา 2. ขั้นระบุและวิเคราะห์ปัญหา 3. ขั้นตั้งสมมติฐานและกำหนดวิธีการเรียนรู้ 4. ขั้นดำเนินการตามแผน 5. ขั้นนำเสนอผลงาน 6. ขั้นอภิปรายและร่วมกันสรุป 7. ขั้นประเมินผลการเรียนรู้ 4.4 บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
24 ในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นครูผู้สอนจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนใน บทบาทของครู การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการปรับวิธีการเรียน และเปลี่ยนวิธีการ สอนที่เป็น แบบบรรยายมาเป็นแบบเน้นที่ตัวของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น บทบาทของผู้เรียนและ ผู้สอนจะมี ดังนี้ 4.4.1 บทบาทของผู้สอนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ผู้สอนเป็นผู้ที่คอยให้คำปรึกษากับผู้เรียนประจำกลุ่มย่อยต่างๆ เป็นผู้ที่มีบาบาท สำคัญใน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากวิธีการเรียนการสอนแบบเดิม มา เป็นวิธีการสอนแบบใหม่ดังนี้ สุมนา อัศวปยุกต์กุล (2539) กล่าวว่าบทบาทครูในการจัดการเรียนรู้มีดังนี้ 1. ควบคุมการเรียนการสอนในกลุ่มย่อย 2. กำกับการเรียนของกลุ่มย่อยจากบทเรียน 3. กระตุ้นด้วยคำถาม ชี้นำแนวทางในการเรียน 4. ทบทวนสรุปงานกลุ่ม 5. ให้ข้อมูลย้อนกลับ และประเมินผล 6. แนะนำแหล่งค้นคว้า 7. สร้างสถานการณ์เพื่อสะท้อนแนวคิด 8. เลือกข้อมูลที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง 9. ใช้ภาษาที่ดีในการเขียนคำถามเพื่อกระตุ้นความคิดของผู้เรียนเลือก สร้างและ ดำเนินการประเมินผลการเรียน สุปรียา วงษ์ตระหง่าน (2546) กล่าวว่าครูอาจเป็นเพียงแหล่งความรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียน สอบถามทำความเข้าใจ จากสิ่งที่ได้ศึกษามาแล้ว หรือครูอาจควบคุมกลุ่มย่อย (Tutor) ที่คอยกระตุ้น เล้า ผู้เรียนให้คิดหาคำ ตอบ และคุมการอภิปรายให้อยู่ในประเด็น ครูต้องมีความสามารถในการ สื่อสาร ความ ล้มเหลวในการเรียนรู้แบบนี้คือครูมักจะไม่อดทนในการรอคอยคำตอบจากผู้เรียน และ มักจะให้คำตอบออกไป เลย วัชรา เล่าเรียนดี (2548) ให้ข้อแนะนำในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน(Problem Based Learning; PBL) ดังต่อไปนี้ 1. ให้เด็กได้รู้จักคุ้นเคยและมีประสบการณ์เกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ 5 ขั้นได้แก่ ปัญหาและนิยามปัญหา การตั้งสมมติฐาน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปเสนอผล 2. เลือกสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ปัญหาที่น่าสนใจและหลากหลาย และสอดคล้องกับ สาระการเรียนรู้ 3. เตรียมใบความรู้และใบกิจกรรมสำหรับนักเรียน 4. เตรียมพร้อมด้านสื่อ สาระความรู้เพิ่มเติมสำหรับนักเรียน 5. ระบุกิจกรรมการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจนในแผนการสอน 6. กำหนดวิธีการประเมินที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
25 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550) สรุปบทบาทของผู้สอนในการ จัดการเรียนการ สอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐานว่า ผู้สอนมีบทบาทโดยตรงต่อการจัดการเรียนรู้ ดังนั้น ลักษณะของผู้สอนที่เอื้อต่อ การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ควรมีลักษณะดังนี้ 1. ผู้สอนต้องมุ่งมั่น ตั้งใจสูง รู้จักแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ 2. ผู้สอนต้องรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลเข้าใจศักยภาพของผู้เรียน เพื่อสามารถให้คา แนะนำช่วยเหลือผู้เรียนได้ทุกเมื่อทุกเวลา 3. ผู้สอนต้องเข้าใจขั้นตอนของแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน อย่างถ่องแท้ชัดเจนทุกขั้นตอน เพื่อจะได้แนะนำ ให้คาปรึกษาแก่ผู้เรียนได้ถูกต้อง 4. ผู้สอนต้องมีทักษะและศักยภาพสูงในการจัดการเรียนรู้ และการติดตาม ประเมินผลการพัฒนาของผู้เรียน 5. ผู้สอนต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกด้วยการจัดหา สนับสนุน สื่ออุปกรณ์เรียนรู้ ให้เหมาะสมเพียงพอ จัดเตรียมแหล่งเรียนรู้ จัดเตรียม ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ฯลฯ 6. ผู้สอนต้องมีจิตวิทยาสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัว ในการเรียนรู้ตลอดเวลา 7. ผู้สอนต้องชี้แจงและปรับทัศนคติของผู้เรียนให้เข้าใจและเห็นคุณค่าของการ เรียนรู้แบบนี้ 8. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถด้านการวัดและประเมินผลผู้เรียนตามสภาพจริง ให้ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะกระบวนการและ เจตคติให้ครบทุกขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ สรุปได้ว่า บทบาทที่สำคัญของครูในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานผู้สอนมีบทบาท เป็นผู้อ านวยความสะดวกในการจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่จำเป็น ให้คำปรึกษาแนะแนวมากกว่า การชี้นำ คอย กระตุ้นให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิดวิธีการหาคำตอบ มากกว่าการถามเพื่อ ต้องการคำตอบ ยอมรับและทำความเข้าใจกระบวนการคิดของนักเรียน เพื่อหา วิธีการกระตุ้นให้มีการพัฒนา และเตรียมการประเมินที่หลากหลายเหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนเป็นผู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียนรู้ จุดประกายความคิดและ กระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียน รวมทั้งจัดบรรยากาศการเรียนรู้ให้เหมาะสม โดย ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมายตามที่ กำหนดไว้ 4.4.2 บทบาทของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การทำความเข้าใจใน บทบาทของผู้เรียนต้องให้มีความชัดเจนจะช่วยให้ครูสามารถกำกับให้คำปรึกษาแนะนำ ระหว่างการ จัดการ เรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้โดยกล่าวถึง บทบาทของผู้เรียน ดังนี้ สุปรียา วงษ์ตระหง่าน (2546) กล่าวว่านักเรียนจะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้จะ มีโอกาส ได้ฝึกการแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนจะต้องกำหนดทุกอย่างตั้งแต่วัตถุประสงค์
26 วิธีการเรียนรู้ เป็นการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิตนักเรียนจะมีบทบาทใน การเรียนรู้ พอสรุปได้ดังนี้ 1. การรับรู้และตีความหมายข้อมูลที่ได้รับ 2. สร้างข้อสมมติฐานจากข้อมูลที่มี 3. ใช้วิธีการที่หลากหลายในการค้นหาข้อมูล 4. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม 5. นำความรู้ที่ได้มารับมาสร้างข้อสรุป Barrow, Haward S (1985) กล่าวถึงผู้เรียนว่าเป็นผู้กระทำโดยตรง ไม่ใช่ผู้รับผู้เรียน ไม่ใช่ ผู้ฟัง สังเกตเขียน และจดจำ แต่เป็นการถามเพื่อปฏิบัติ คิด เข้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นอย่าง เปิดเผย และเรียนด้วยความพยายาม Willkerson, L.& Feletti, G (1989) กล่าวถึงบทบาทของผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียน มีบทบาทในการตัดสินใจสิ่งที่จะได้เรียน และวิธีการเรียนมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น ถามคำถาม อธิบาย ความเป็นไปได้ พิสูจน์ให้เห็น ประเมินผลอย่างมีวิจารญาณ และทำงานร่วมกับผู้อื่นในการสืบ เสาะหาความรู้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550) สรุปบทบาทของผู้เรียนในการจัดการเรียนการ สอน แบบใช้ปัญหาเป็นฐานไว้ว่า 1. ผู้เรียนต้องปรับทัศนคติในบทบาทหน้าที่และการเรียนรู้ของตนเอง 2. ผู้เรียนต้องมีคุณลักษณะด้านการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีความรับผิดชอบสูง รู้จักการ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ 3. ผู้เรียนต้องได้รับการวางพื้นฐาน และฝึกทักษะที่จาเป็นในการเรียนรู้ตามรูปแบบ การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เช่น กระบวนการคิด การสืบค้นข้อมูล การทางานกลุ่ม การ อภิปรายการ สรุป การนำเสนอผลงาน และการประเมินผล 4. ผู้เรียนต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดีพอ 4.5 ประโยชน์ของการจัดเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) มีประโยชน์ดังนี้ สุมนา อัศวปยุกต์กุล (2539) กล่าวว่าประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) มีประโยชน์ต่อนักเรียนมีดังนี้ 1. เรียนรู้กระบวนการแสวงหาความรู้และการแก้ปัญหา 2. เรียนรู้การตอบสนองต่อปรากฏการณ์ใหม่อย่างเป็นระบบ 3. เรียนรู้วิธีการศึกษาด้วยตนเอง 4. ฝึกฝนความเชื่อมั่นในวิชาที่เรียนและการทำงานเป็นทีม 5. เรียนรู้การประเมินตนเอง เพื่อนและระบบงาน
27 วัฒนา รัตนพรหม (2548) เสนอว่าประโยชน์ของ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning; PBL) ดังนี้ 1. เป็นการเตรียมผู้เรียนให้เผชิญกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงถ้าผู้เรียนเห็น ความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่นักเรียนกับชีวิตจริง จะทำให้มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ มากกว่าการเน้นบทบาทของครู เป็นสำคัญ การเรียนรู้โดยมีผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่ม ดำเนินการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง 3. เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตัดสินใจของผู้เรียนเองว่าจะเรียนรู้อะไรและเรียนรู้ อย่างไร ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการวางแผนการเรียนรู้ 4. เป็นการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ มีการบูรณาการทั้งวิธีการเรียนรู้แหล่งข้อมูลที่ หลากหลายและมีคุณภาพ 5. ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมการเรียนรู้แบบ ปัญหาเป็นฐาน เป็นวิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ความคิดวิเคราะห์ ใช้ความเป็นเหตุเป็นผลใน การ ดำเนินการเรียนแต่ละขั้นตอนด้วยตนเอง ดังนั้นคุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้แบบปัญหา เป็นฐาน สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ - จาการเรียนแบบเก่า นักเรียนส่วนใหญ่จะถูกเน้นให้ท่องจำ บอกจดในห้องเรียน มากกว่าที่จะมีการลงมือปฏิบัติจริง (Vernon and Blake, 1993) แต่ในการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็น ฐานจะ พยายามมุ่งไปที่การให้นักเรียนได้มีการเรียนรู้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสเจอกับปัญหา จริง ได้ลงมือแก้ไขอย่างจริงจังมีการลงมือปฏิบัติจริง การเรียนแบบนี้ถือว่าเป็น การเรียนที่มีความหมาย (Meaningful Learning) - ผู้เรียนจะมีการนำพาตัวเองในการเรียนรู้ และมีความรับผิดชอบในการเรียนเพิ่ม มากยิ่งขึ้น เมื่อปัญหาเกิดขึ้น ผู้เรียนจำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลด้วยตัวเองเพื่อนำมาแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะ เป็นการ ใช้วารสาร ข้อมูลสารสนเทศ รวมถึงการพูดแลกเปลี่ยน ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้เรียนมีความ เชี่ยวชาญในการหา ข้อมูลเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย - การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นสูงมาก ขึ้นและมีการพัฒนาทักษะในด้านต่างๆมากขึ้น การเรียนในบริบทของความจริง ไม่เพียงแต่ทำให้การ เรียน เป็นไปอย่างลึกซึ้งและคงทนเพียงเท่านั้น แต่ยังคงเพิ่มทักษะของความรู้ในการถ่ายโอนจาก ห้องเรียนไปสู่การ ทำงานได้ ความสามารถในการถ่ายโอน (Transferability) นี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้เรียน สามารถที่จะฝึกฝนความรู้ และทักษะในการปฏิบัติจริงได้เนื่องจากนี้ยังทำให้ผู้เรียนรู้เกิดการ จินตนาการที่ดีขึ้นเมื่อต้องทำความรู้และ ทักษะที่เรียนมาได้ใช้ในการทำงานจริง - การรู้จักการทำงานเป็นทีม และมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น ก็คือ ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพราะว่าในอนาคต ผู้เรียน จะต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในชีวิต การเรียนโดย ใช้ปัญหาพื้นฐานผู้เรียนจะทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การประเมินอภิปราย
28 - ผู้เรียนจะมีทัศนคติในการจูงใจตัวเองเพิ่มขึ้น นักวิจัยหลายท่านจากผลการสำรวจ ว่า ผู้เรียนโดยทั่วไปชอบการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และอัตราการเข้าชั้นเรียนมีสูงจากเพื่อนร่วม กลุ่ม รวมถึงการช่วยกันแสดงผลงานมากกว่าการเรียน ผู้เรียนคิดว่าการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็น วิธีการที่ น่าสนใจ สนุกสนานและการกระตุ้น ให้ผู้เรียนยืดหยุ่นในการเรียนมากขึ้น เพราะว่าสภาพของ การเรียนโดยใช้ ปัญหาเป็นฐานนี้ไม่มีการบังคับและผู้เรียนสามารถเรียนได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง ทัศนคตินี้เองทำให้ผู้เรียนเกิด แรงจูงใจในการเรียนเพิ่มมากขึ้น - ความสัมพันธ์ของครูผู้สอนกับนักเรียนครูผู้สอนถือได้ว่าเป็นผู้แนะแนวทางและ ใกล้ชิดกับนักเรียนเมื่อครูผู้เรียนรู้ถึงความต้องการความสนใจของผู้เรียนแล้วปัญหาที่นำมาแก้ไขก็จะ กลายเป็น แรงจูงใจอย่างดีในการเพิ่มบรรยากาศการทำงานเป็นกลุ่มให้แก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีการเรียนที่จำนำพาตัวเองใน การเรียน และมีทักษะในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ เจริญเติบโตทางด้านความคิดของ ผู้เรียน - ระดับในการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้น ผู้เรียนจะมีการพัฒนาความเข้าใจเพิ่ม มากยิ่งขึ้นตามลำดับขั้นตอนของการเรียนเริ่มจากการนำความรู้เก่ามาใช้เรียนรู้ในบริบทที่คล้ายคลึง กับสิ่งที่จะ เกิดในอนาคต มีการเรียนรู้ที่จะหาข้อมูลเพิ่มจำนำมาแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด ซึ่งจุดนี้เอง ผู้เรียนจะมีการพัฒนา ระบบในการคิด การเข้าใจ และนำกลับมาใช้ได้เพราะว่าเนื้อหาที่เรียนอยู่ใน บริบทที่เคยเรียนมาแล้ว ไม่ว่าจะ เป็นการให้คำนิยาม ข้อมูลต่างๆทฤษฎีต่างๆ ความสัมพันธ์รวมทั้ง หลักต่างๆ ก็อยู่ในบริบทนั้นๆ สรุปได้ว่า การเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐานว่า เป็นการช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียน และ พัฒนาทักษะการค้นคว้าความรู้ได้ด้วยตนเอง ช่วยฝึกทักษะในการแก้ปัญหากระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการ ประยุกต์ใช้ความรู้จากสิ่งที่เรียนรู้นามาใช้ในการแก้ปัญหา ทำให้ผู้เรียนแสดงออกทางความคิด การใช้เหตุผล การวิเคราะห์ และการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นโดยใช้กระบวนการกลุ่มมีการทำงาน ร่วมกันเป็นทีม ซึ่ง เป็นการส่งเสริมให้นักเรียน เรียนรู้กระบวนการแสวงหาความรู้ด้วย ตนเอง เรียนรู้และพัฒนาการทำงาน ร่วมกัน พัฒนาด้านการใช้เหตุผล พัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองและความ รับผิดชอบ จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ แบบปัญหาเป็นฐานนี้ เป็นแนวความคิดในการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะที่ จะเป็นในการดำรงชีวิตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทักษะใน การแก้ไขปัญหา ทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะในการนำพาตัวเองในการเรียนรู้ทักษะในการ รับผิดชอบ รวมถึงมีการพัฒนาระบบในการคิดอย่างเป็น ขั้นตอน 4.6 แนวทางการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน พวงรัตน์ บุญญานุรักษ์ (2544) กล่าวถึงการประเมินผลการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ว่า เมื่อได้รับการพัฒนาวิธีการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เครื่องมือการประเมินผลสอดคล้องกับแนว ทฤษฎีที่ ต้องใช้ในการประเมินการพัฒนาผู้เรียนได้ดี การบูรณาการวิธีการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เข้าไว้เป็นการ พัฒนาแผนการเรียนรู้ แผนการเรียนรู้จึงเป็นเป้าหมายของการพัฒนาทักษะที่มุ่งการ ปฏิบัติ เช่น การ ตั้งเป้าหมาย การเลือกวิธีการเรียนรู้ การค้นหาข้อมูลและแหล่งต่างๆ และการ ประเมินความก้าวหน้า แผนการ
29 เรียนรู้ที่กล่าวถึงนี้เป็นส่วนของกระบวนการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ด้วย วิธีการประเมินผลการเรียนแบบใช้ ปัญหาเป็นฐานได้แก่ 1. แฟ้มงานเรียนรู้ (The Learning Portfolio) 2. บันทึกการเรียนรู้ (Learning Log) 3. การประเมินตนเอง (Self-Assessment) 4. ข้อมูลย้อนกลับกับเพื่อน (Peer Feedback) 5. การประเมินผลรวบยอด (Overall Evaluation) กล่าวว่า การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จะต้อง วัดและประเมินให้ ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งในส่วนของกระบวนการและผลงานทั้งด้านความรู้ทักษะการ ทำงานทุกด้านตลอดจน เจตคติโดย การประเมินจะต้องมีทั้งการประเมินความก้าวหน้าระหว่างเรียน และการประเมินตัดสินผลหลังจาก เรียนเสร็จสิ้น ซึ่งผู้สอนอาจแบ่งขั้นตอน การประเมินเพื่อการ วางแผนที่ดีได้ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการประเมิน 2. พิจารณาขอบเขต เกณฑ์วิธีการ และสิ่งที่จะประเมิน เช่น ประเมินพัฒนาการ ด้านการ นำเสนอความรู้ ต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ครอบคลุมจุดมุ่งหมายทางการศึกษาทั้ง 3 ด้าน คือ ความรู้ เจตคติ และทักษะกลไก 3. กำหนดผู้ประเมินว่ามีใครบ้างที่จะเป็นผู้ประเมิน โดยผู้ประเมินควรครอบคลุมทุก ด้านของ กิจกรรม เช่น นักเรียนนักศึกษาประเมินตนเอง เพื่อนประเมิน ครูอาจารย์ประเมิน ผู้ปกครอง ประเมิน เจ้าหน้าที่และบุคคลที่ร่วมปฏิบัติงาน เช่น กรณีของนักศึกษาแพทย์ที่ปฏิบัติงานบนหอ ผู้ป่วยก็อาจใช้พยาบาล และผู้ป่วยร่วมประเมินด้วย 4. เลือกใช้เทคนิคและเครื่องมือในการประเมินที่หลากหลาย โดยต้องสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ ของหลักสูตรและวัตถุประสงค์รายวิชา รวมไปถึงสอดคล้องกับเกณฑ์การประเมิน เช่น ใช้การทดสอบ ใช้การ สัมภาษณ์ ใช้การสังเกตพฤติกรรม ใช้แบบสอบถาม ใช้การบันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง ใช้แบบประเมินตนเอง ใช้ แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) เป็นต้น 5. กำหนดเวลาและสถานที่ที่จะประเมิน เช่น การประเมินระหว่างการทำกิจกรรม กลุ่ม การ ประเมินระหว่างทำโครงการ 6. วิเคราะห์ผลและจัดการข้อมูลการประเมิน โดยนำเสนอรายการกระบวนการ แฟ้มสะสม ผลงาน การบันทึกข้อมูล ผลการสอบ 7. สรุปผลการประเมินเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องของการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุง กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ และในกรณีที่เป็นการประเมินผลสรุปรวมเพื่อตัดสินผลการ เรียน ควรพิจารณาใช้ เกณฑ์ที่กำหนด และนำผลการประเมินระหว่างเรียนมาประกอบการ พิจารณา ด้วยเสมอ วัชรา เล่าเรียนดี (2548) ได้กล่าวถึงแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้แบบปัญหาเป็น ฐานมีดังนี้ 1. ให้เสนอรายการการดำรงแก้ปัญหา ทั้งเป็นงานเดี่ยวที่เป็นงานกลุ่ม
30 2. ตรวจการเขียนบันทึกผลการเรียนรู้ผู้เรียนของตนเอง ของผู้เรียนแต่ละคน 3. ใช้แบบประเมินโดยให้เพื่อนประเมินกันและกันซึ่งต้องกำหนดเกินการประเมิน 4. ใช้แบบสังเกตประเมินผลระหว่างการเรียนรู้ 5. ทดสอบด้วยการใช้วิเคราะห์ปัญหา คิดหาแนวทางการแก้ปัญหาและดำเนินการ แก้ปัญหาเป็น รายบุคคลโดยกำหนดปัญหาให้ปฏิบัติตามขั้นตอน 6. สัมภาษณ์เป็นรายบุคคล 7. ใช้ข้อสอบ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 5.1 งานวิจัยในประเทศ อรมนัส วงศ์ไทย (2562) ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม การวิจัยปฏิบัติการเชิงคุณภาพนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางและผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่ง รูปแบบการจัดการเรียนรู้มี 6 ชั้นตอนไต้แก่ 1) กำหนดปัญหา 2 ทำความเข้าใจกับปัญหา 3) รวบรวมและ จัดการกับข้อมูล 4) ดำเนินการศึกษาค้นคว้า 5) ประเมินและตัดสินใจ 6) นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้เข้าร่วมวิจัย คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเกแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 9 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียน แบบบันทึกการสะท้อนผล แบบประเมินทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา และแทบบันทึกพฤติกรรมนักเรียน รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยปฏิบัติการ ประกอบด้วย ชั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติ ขั้นสังเกต และขั้นสะท้อนผล ดำเนินการเป็นงจรต่อเนื่อง 3 วงจร ปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเราะห์เนื้อหาและตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าผลการวิจัย พบว่า 1) การจัดการเรียนรู้เริ่มดันจากการใช้สถานการณ์ปัญหาซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนอยาก เรียนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ แก้ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในขั้นที่ 3รวบรวมและจัดการกับข้อมูล และชั้นที่ 5 การประเมินและตัดสินใจ โดย ครูจะมีบทบาทอย่างมากในช่วงแรกในการใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนร่วมแสดงความคิดเห็นและเกิดการ โต้แย้ง และจะค่อยๆ ลดบทบาทลงเมื่อเห็นว่านักเรียนสามารถพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง 2) นักเรียนมีการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้น ตามลำดับจากวงจรปฏิบัติการที่ 1 ถึง 3 โดยมีการพัฒนาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การให้เหตุผล การคิดอย่างเป็น ระบบ การประเมินและตัดสินใจ และการแก้ปัญหา กนกวรรณ เขียวน้ำชุม (2563) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเรียนรู้รายวิชา วิทยาศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนบ้านดงน้อย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อเปรียบเทียบ ผลการเรียนรู้รายวิชา วิทยาศาสตร์ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) เพื่อศึกษาทักษะ การ
31 แก้ปัญหาของนักเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัด การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดงน้อย อำเภอศรี สงคราม จังหวัดนครพนม ปีการศึกษา 2560 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 แบบทดสอบวัด ผล การเรียนรู้ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 ค่าความยากระหว่าง 0.25-078 ค่าอ านาจจำแนก ระหว่าง 0.21-0.50 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.70 แบบวัดทักษะการแก้ปัญหามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 และ แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีค่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าทีผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 2. ทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน พบว่านักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้3. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ชบา เมืองจีน (2564) การพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้เรื่อง สิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบ ทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิต ในสิ่งแวดล้อมก่อนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียน วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 57 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem-based learning) เรื่องสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 แผน 2) แบบวัดทักษะการคิด แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.75 3) แบบวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานและการทดสอบค่าทีผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมี ทักษะการคิดแก้ปัญหา ทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวมทั้ง 4ด้าน คือ 1) ด้านการตั้งปัญหา 2) ด้านการวิเคราะห์ ปัญหา 3) ด้านการเสนอวิธีแก้ปัญหา และ 4) ด้านตรวจสอบผลลัพธ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก รชกร ไชยวงศ์และคณะ (2564) ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อ พัฒนาทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อ พัฒนาทักษะ การคิดเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาสังคมศึกษา 2. เพื่อนำเสนอรูปแบบการ
32 จัดการ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาวิชาชีพครู สาขาวิชาสังคมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาครู สาขาวิชาสังคมศึกษาชั้นปีที่ 5 ภาควิชาหลักสูตรการสอนและการเรียนรู้ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา ที่ 2562 โดยเจาะจงเลือกนักศึกษาวิชาชีพครูที่ออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู จำนวน 28 คน เครื่องมือที่จะ ใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก/เชิง การสนทนากลุ่ม และความพึงพอใจต่อรูปแบบการ จัดการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา ผลการวิจัยพบว่า ตอนที่ 1 สภาพปัญหาและสถานการณ์ในการจัดการเรียน การสอนของนักศึกษาฝึกประ การณ์วิชาชีพครู (นักศึกษาฝึกสอน) ในแต่ละบริบทที่แตกต่างกันไป พร้อมทั้ง แนวทางแก้ไขหรือการ ปรับตัวของนักศึกษาฝึกประการณ์วิชาชีพครู นักศึกษาครูสะท้อนคิดร่วมกันและ สามารถแบ่งสาเหตุของปัญหาออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. ปัจจัย คือ สภาพพื้นฐานในการเรียนการสอนที่เป็น จริง หรือสิ่ง ต่างๆ ที่ส่งเข้าไปให้มีผลต่อการจัดการเรียนการสอน 2. กระบวนการ คือ สภาพการจัดการ ดำเนินการ เรียนการสอนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 3. ผลผลิต คือ ผลสำเร็จภายหลังเมื่อเสร็จสิ้นการ จัดการ ตอนที่ 2 รูปแบบการสอน วิธีการจัดการเรียนรู้ที่นักศึกษาฝึกประการณ์วิชาชีพครูใช้ในการ จัดการ เรียนการสอนโดยเน้นการใช้ปัญหาเป็นฐานในการจัดการศึกษา ซึ่งมีลักษณะสำคัญของ กิจกรรมการเรียนรู้ใน รูปแบบ 7 ขั้นตอน ดังนี้คือ 1. ทำความเข้าใจคำศัพท์และข้อความของปัญหาให้ชัดเจน 2. ระบุปัญหาหรือ ข้อมูลสำคัญ 3. ระดมสมอง 4. วิเคราะห์ปัญหา 5. กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 6. เรียนรู้ด้วยตนเอง 7 รายงานผล ตอนที่ 3 นำเสนอรูปแบบการจัดการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการ คิดเชิง สร้างสรรค์ของนักศึกษาวิชาชีพครูสาขาวิชาสังคมศึกษา เพื่อนำมาเผยแพร่และปรับใช้ในการ เรียนการสอน ต่อไป ซึ่งจากการสะท้อนคิดของนักศึกษาที่ออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูได้แลกเปลี่ยนวิธีคิด ประสบการณ์ ตามประเด็นการเรียนรู้ โดยสามารถอภิปรายข้อค้นพบแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นด้วยกัน ดังนี้ประเด็นที่ 1 จุดเด่นและข้อจำกัดของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ผู้เรียนจะมีทักษะใน การตั้งสมมติฐานและการให้ เหตุผลดีขึ้น สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำงานเป็นกลุ่ม และสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้นและมี ประสิทธิภาพ แต่มีความกังวลว่าผู้เรียนจะมีความรู้น้อยลง ความรู้ที่ ได้รับจะไม่เป็นระบบ ความถูกต้องของ เนื้อหาหรือข้อมูลที่ผู้เรียนไปค้นคว้าศึกษามา ประเด็นที่ 2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐาน พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน คุณภาพของการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้คือ 1. ความสำคัญของเนื้อหา 2. คุณภาพของโจทย์ ปัญหา 3. กระบวนกลุ่ม 4. บทบาทและทักษะ 5. การพัฒนาทักษะต่างๆ 6. ทรัพยากรการเรียนรู้ 7. การ บริหารจัดการ กิตติศักดิ์ ใจอ่อนและกตัญญุตา บางโท (2565) ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถในการออกแบบ การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมความสามารถ ใน การออกแบบการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา และศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ การจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน จำนวน 47 คน เครื่องมือที่ใช้ใน
33 การวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) แบบประเมินความสามารถในการออกแบบ แผนการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ตามกรอบ แนวคิดของ Sahin (2009) 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการ แก้ปัญหา และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้สถิติพรรณนาได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า 1) หลังจากจัดกิจกรรม ในแต่ละวงจรปฏิบัติการนั้นนักศึกษามีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เพิ่มขึ้น โดยนักศึกษามีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก (x= ̅15.50, S.D. = 1.31) 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด (x= ̅4.68, S.D. = 0.33) 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ Willkerson and Felleti (1989) ได้ศึกษาวิธีการสอน แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน พบว่า เป็นวิธีการ ทีสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักเรียน ในเวลาเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นให้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอด ชีวิต และการแก้ปัญหาของผู้เรียนได้เรียนรู้ถึง 2 ประการ ด้วยกัน คือ รู้ความคิดรวบยอดกฎข้อเท็จจริง และรู้ วิธีการที่จะใช้สิ่งเหล่านั้น Hesterberg (2005) ศึกษาเรื่อง การประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในหลักสูตร ฝึกหัด เรื่องประสิทธิภาพของการกระทำด้วยตนเอง การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการประเมินพัฒนาการ ด้านความชํานาญของนักเรียนทีเรียนด้วยหลักสูตร PBL กลุ่มทดลอง คือนักเรียนทีเรียนด้วยหลักสูตร PBL จำนวน 39 คน กลุ่มควบคุม คือ นักเรียนทีเรียน โดยไม่ใช้หลักสูตร PBL จำนวน 53 คน ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยหลักสูตร PBL มากกวา ร้อยละ 75 มีความต้องการเกรด A ทุกวิชาทีได้เรียนและ ่ ต้องการ เวลาในการศึกษาบทเรียน แต่ละสัปดาห์เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเรียนมากกว่า ส่วนนักเรียนทีเรียนโดยไม่ใช้ หลักสูตร PBL มีความต้องการเกรด A เพียง ร้อยละ 60 แต่คะแนนจากการทำแบบทดสอบการคิดอย่างมี วิจารณญาณของนักเรียนทังสองกลุ่มไม่แตกต่างกนั Elshafei (2007) ได้เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยวิธีการเรียน แบบใช้ปัญหาเป็น ฐานกบวิธีการเรียนแบบปกติ ในรายวิชาพีชคณิต โดยได้ทำการวิจัยกึ่งทดลองกบันักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา ตอนปลายในรัฐแอตแลนตา จำนวน 15 ห้องเรียน 342 คน แบ่งเป็น ห้องเรียนแบบปกติ 8 ห้อง และเรียน แบบใช้ปัญหาเป็นหลัก 7 ห้อง ผลการวิจัยพบว่า นักเรียน ทีเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงกว่า นักเรียนทีเรียนด้วยวิธีการเรียน แบบปกติอยางมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากการทีนักเรียนใช้แบบ ฝึกปัญหาเป็นฐานสามารถทำให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง มีการรวมกลุ่มกันแก้ปัญหาและ สามารถคิดค้นวิธีการ แก้ปัญหาได้ดีกว่านักเรียนทีเรียนแบบปกติ
34 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการแก้ปัญหาทาง วิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังขั้นตอนต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 52 คน จาก 2 ห้องเรียน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 25 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลังทดลอง One Group Pretest – Posttest Design (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540: 60-61) แบบแผนที่ใช้ในการทดลอง สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X หมายถึง การจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวง จันทร์ T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Posttest)
35 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน จำนวน 4 แผน แผนละ 2-3 ชั่วโมง รวม 10 ชั่วโมง 2. แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เป็นข้อสอบแบบปรนัย 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อๆ ละ 1 คะแนน ครอบคลุมทักษะด้านการระบุปัญหา การวิเคราะห์ปัญหา การเสนอวิธีแก้ปัญหา และการ ตรวจสอบผลลัพธ์ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ 1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560), กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ, หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์, คู่มือการสอนวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน 1.2 วิเคราะห์และกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมของการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหา เป็นฐาน 1.3 พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่าง ของดวงจันทร์จำนวน 4 แผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ดวงจันทร์มีการขึ้นและตกหรือไม่อย่างไร 3 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ในแต่ละวันมองเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างอย่างไร 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ระบบสุริยะ 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ระบบสุริยะมีลักษณะอย่างไร 3 ชั่วโมง โดยแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบดังนี้ 1) คำชี้แจง 2) จุดประสงค์การ เรียนรู้ 3) ใบความรู้ 4) ใบกิจกรรม 5) แบบสรุปผลกิจกรรม และ 6)แบบฝึกหัดท้ายกิจกรรม 1.4 นำชุดแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข ตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและพิจารณาให้ข้อเสนอแนะ 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของ ดวงจันทร์ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิทยาศาสตร์ และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การขึ้น - ตก และ รูปร่างของดวงจันทร์โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) ระหว่าง
36 จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่าน พิจารณาตรวจสอบให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความไม่เหมาะสมและไม่ สอดคล้องกัน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาค่าดัชนี ความสอดคล้องขององค์ประกอบตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไป 1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำเสนออาจารย์ที่ ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจำนวน 25 คน ที่มีระดับความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน เพื่อดูความเหมาะสมของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เวลาที่ใช้และปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไข 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ไปใช้กับนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่างต่อไป 2. แบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เป็นแบบทดสอบปรนัย 2.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวัดทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์วิธีสร้าง แบบทดสอบ และการเขียนข้อสอบตามกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2.2 วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา และกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่าง ของดวงจันทร์จากนั้นสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3 สร้างแบบวัดทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 2.4 นำแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุง แก้ไข ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและพิจารณาให้ข้อเสนอแนะ 2.5 นำแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ ปรึกษา เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิทยาศาสตร์ และการวัดผลและ ประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) ระหว่างข้อคำถามและจุดประสงค์การเรียนรู้โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณา ตรวจสอบให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน
37 ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้อง กัน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอ โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องของ องค์ประกอบตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไป 2.6 ปรับปรุงแก้ไขแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้ว นำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา แล้วนำไปทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ที่เคยเรียน เรื่องการขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ มาแล้ว จำนวน 30 คน แล้วนำคะแนนการทดสอบมาวิเคราะห์หา ความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ คัดเลือกข้อสอบโดยพิจารณาความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 และอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป 2.7 นำแบบทดสอบที่คัดเลือกไว้ มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นทั้งฉบับ โดยคำนวณจากสูตร K-R20 โดยพิจารณาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป 2.8 นำแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่หาคุณภาพเรียบร้อยแล้ว ไปทดลองใช้กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ก่อนการทดลอง ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำคะแนน มาวิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียน 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน จำนวน 4 แผน รวม 10 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 5 สัปดาห์ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ทำการทดลองหลังเรียน โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบวัดทักษะการคิด แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ชุดเดิมกับทดสอบก่อนเรียน เพื่อนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล นำคะแนนแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เรียนและหลังเรียน มาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) แล้วนำคะแนนทั้งสองมาเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ t-test Dependent สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 1.1 วิเคราะห์หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ของ แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน และ แบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยการคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 1.2 หาความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก ( r) ของแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์
38 1.3 หาความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยคำนวณจากสูตร KR20 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ค่าร้อยละ 2.2 ค่าเฉลี่ย 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test Dependent
39 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐานซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูล มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ผลการศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบแบบปรนัย เรื่องการขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก มีจำนวนทั้งหมด 20 ข้อ คะแนนเต็ม 20 คะแนน ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จากนั้นนำคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์หา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แสดงผลดังตารางที่ 1 ตารางที่1 ผลการศึกษาการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 7 35 14 70 2 9 45 17 85 3 8 40 16 80 4 10 50 16 80 5 6 30 13 65 6 9 45 16 80 7 8 40 16 80 8 6 30 14 70 9 13 65 18 90 10 11 55 17 85 11 8 40 15 75 12 9 45 16 80 13 10 50 18 90 14 8 40 14 70
40 ตารางที่ 1 (ต่อ) ผลการศึกษาการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 15 10 50 16 80 16 11 55 17 85 17 13 65 19 95 18 10 50 18 90 19 9 45 14 70 20 9 45 16 80 21 8 40 15 75 22 7 35 15 75 23 8 40 16 80 24 9 45 17 85 25 6 30 15 75 คะแนนเฉลี่ย 8.88 44.4 15.92 79.6 S.D 1.878 - 1.498 - จากตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 8.88 คิดเป็นร้อยละ 44.4 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 15.92 คิดเป็นร้อยละ 79.6 ซึ่งไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน การเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ผู้วิจัยได้นำคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน จากการทดสอบวัดการคิดแก้ปัญหา เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์มาวิเคราะห์เปรียบเทียบโดย การทดสอบ t-test for Dependent Sample ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงผลดังตารางที่ 2
41 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ คะแนนเฉลี่ย S.D. ร้อยละ t-test ก่อนเรียน 8.88 1.878 44.4 33.211 หลังเรียน 15.92 1.498 79.6 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 8.88 คิดเป็นร้อยละ 44.4 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 15.92 คิดเป็นร้อยละ 79.6 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีผลการ ทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
42 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ การวิจัย เรื่อง การศึกษาและเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญหาเป็นฐานเรื่องการขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ เพื่อศึกษาผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จากการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลสามารถ สรุปผล อภิปรายผล และให้ข้อเสนอแนะ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทาง วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ .05 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองสำโรง วิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 52 คน จาก 2 ห้องเรียน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนอง สำโรงวิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการเจาะจง 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้เนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 ว.3.1 ป.4/1 – 4/3 เรื่อง ดวงจันทร์ของเรา ประกอบด้วยเนื้อหาย่อย ดังนี้ 1. การขึ้นและตกของดวงจันทร์ 2. รูปร่างของดวงจันทร์
43 3 ระบบสุริยะ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการ ทดลอง10 ชั่วโมง. สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 5 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของดวงจันทร์ จำนวน 4 แผนๆ ละ 2-3 ชั่วโมง รวมจำนวนทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 2. แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง การขึ้น - ตก และรูปร่างของ ดวงจันทร์ เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และเมื่อนำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง มีค่าความยากง่าย (P) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.21 – 0.7 ค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.29 – 1.00 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ก่อนการทดลอง ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบวัดทักษะการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำ คะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียน 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน จำนวน 4 แผน รวม 10 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 5 สัปดาห์ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ทำการทดลองหลังเรียน โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบวัดทักษะการคิด แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ชุดเดิมกับทดสอบก่อนเรียน เพื่อนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล นำคะแนนแบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เรียนและหลังเรียน มาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) แล้วนำคะแนนทั้งสองมาเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ t-test Dependent สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาและเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 8.88 คิด เป็นร้อยละ 44.4 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.92 คิดเป็นร้อยละ 79.6 ซึ่ง 75 เมื่อนำมาเปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการทดสอบค่าที (t-test Dependent) สรุปได้