The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและเชียงตุง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและเชียงตุง

ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและเชียงตุง

81

3.5 ความชดั เจนของเขตการค้า
เมอ่ื พมา่ ปกครองลา้ นนา เมอื งทอ่ี ยใู่ กลพ้ มา่ จงึ ไดร้ บั ผลประโยชน์จากการคา้ มาก กล่าวคอื
พ่อคา้ ชาวพม่าเขา้ มาคา้ ขายในเมอื งทอ่ี ยู่ใกล้กบั พม่า และขยายไปยงั เมอื งลําปางและเชยี งใหม่ใน
ทส่ี ุด อกี ทงั้ เมอื งท่อี ยู่ทางเหนือของล้านนาตงั้ อยู่บนเสน้ ทางการคา้ ทางไกลทม่ี จี นี เป็นผูข้ บั เคล่อื น
สําคญั ดงั นัน้ เมอื งทางเหนือของลา้ นนาจงึ กา้ วเขา้ มามคี วามสาํ คญั ทางดา้ นการคา้ มากขน้ึ จากเดมิ
ดงั จะเห็นได้จากเศรษฐกิจของเมืองเชียงตุงและเชียงแสน ทําให้เชียงแสนกลายเป็นเมืองท่ีมี
ความสาํ คญั ทางดา้ นการคา้ จนราชสาํ นกั พมา่ ตอ้ งเขา้ ปกครองโดยตรง และแยกออกจากการปกครอง
จากเชยี งใหม่ เมอื งเมาะตะมะหรอื มะละแหมง่ กลายเป็นศูนยก์ ลางของสนิ คา้ จากชาวตะวนั ตกเพราะ
เป็นเมอื งทา่ ทส่ี าํ คญั
3.6 การเปล่ียนศนู ยก์ ลางทางการค้า
ศูนยก์ ลางทางการคา้ ทส่ี าํ คญั ในยุคราชวงศม์ งั รายจากทไ่ี ดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ อย่ทู เ่ี ชยี งใหม่
และเมอื งหรภิ ุญไชยตามลําดบั เม่อื มกี ารเปล่ยี นแปลงทางการปกครองและมกี ารขยายตวั ทาง
การคา้ มากขน้ึ ทําใหเ้ มอื งสาํ คญั ทางดา้ นการคา้ เปลย่ี นไปเป็นเมอื งเชยี งใหม่ เชยี งแสน ลําปาง และ
เชยี งตุง ซ่งึ เมอื งดงั กล่าวเป็นเมอื งศูนยก์ ลางทางเศรษฐกจิ ทส่ี าํ คญั และเป็นแหล่งทส่ี ามารถตกั ตวง
ผลประโยชน์และทรพั ยากรทเ่ี ออ้ื ประโยชน์ต่อพมา่ ในอาณาจกั รลา้ นนาไดเ้ ป็นอยา่ งดี

4. เมอื งสาํ คญั ทางด้านการค้ายคุ พม่าปกครอง

หวั เมอื งในลา้ นนาเป็นหวั เมอื งสาํ คญั ทางการคา้ ของพม่า เน่ืองจากลา้ นนาเป็นดนิ แดนท่ี
อยกู่ ง่ึ กลางระหว่างพมา่ และสยาม ดงั นัน้ เมอื งต่างๆ ของลา้ นนาเม่อื ตกเป็นเมอื งขน้ึ ของพม่า ทําให้
กษตั รยิ พ์ มา่ สง่ ขนุ นางมาปกครองอยา่ งใกลช้ ดิ และเมอื งทม่ี คี วามสาํ คญั ทางดา้ นการคา้ ไดแ้ ก่

4.1 เมอื งเชียงใหม่
เมอื งเชยี งใหม่ถูกสรา้ งขน้ึ เพ่อื เป็นศูนยก์ ลางการปกครองของอาณาจกั รล้านนาและเป็น
ศูนยก์ ลางของความเจรญิ ในดา้ นต่างๆ รวมทงั้ เป็นศูนยก์ ลางทางดา้ นการคา้ เม่อื อาณาจกั รลา้ นนา
ตกเป็นของพม่า เชยี งใหม่กย็ งั คงมบี ทบาทในการเป็นศูนยก์ ลางของการปกครองลา้ นนาของพม่า

ในช่วงแรกของการปกครองลา้ นนาของราชวงศต์ องอูไดใ้ หเ้ ชอ้ื สายราชวงศม์ งั รายปกครองดแู ลความ
สงบในระยะแรก จากนัน้ จงึ ใหน้ รธาเมงสอหรอื มงั นรธาช่อพระโอรสของพระองคเ์ ดนิ ทางมาปกครอง จากนัน้ เกดิ
เหตุการณ์แยง่ ชงิ ราชสมบตั กิ นั ในระหวา่ งพระโอรสของนรธาเมงสอ ดงั นัน้ เม่อื สน้ิ เชอ้ื สายของนรธาเมงสอ กษตั รยิ ์
พม่าจึงได้ให้ขุนนางในระดบั เมยี ววุ่น (ตําแหน่งท่อี ยู่ในระดบั เดยี วกบั เหมยี ววุ่น คือ เจ้าเมืองล้านนาเดิม) มา
ปกครองแทนโดยมขี ุนนางในระดบั ต่างๆ คอยช่วยปกครองบา้ นเมอื งควบคู่กบั ขุนนางชาวพน้ื เมอื ง การท่เี ปลย่ี น
จากเชอ้ื พระวงศข์ องพม่าในการปกครองลา้ นนา ซง่ึ อาจจะเป็นดว้ ยเหตุทผ่ี ปู้ กครองเป็นเชอ้ื สายราชวงศพ์ มา่ เกรง
ว่าจะก่อกบฏตงั้ ตนเป็นอสิ ระ และอกี ทงั้ เน่ืองจากล้านนาเป็นดนิ แดนท่กี วา้ งใหญ่ไพศาลมาก ถ้าหากผูป้ กครอง
สามารถรวบรวมอาํ นาจไวท้ ผ่ี ปู้ กครองกจ็ ะเป็นภยั ต่อราชสาํ นกั พมา่ หากผปู้ กครองเขา้ สวามภิ กั ดสิ ์ ยามกจ็ ะเป็นภยั
อยา่ งมากกบั กษตั รยิ พ์ มา่ เชน่ กนั

82

และเป็นศนู ยก์ ลางทางการคา้ ดงั นนั้ พมา่ จงึ ใหค้ วามสาํ คญั กบั เชยี งใหม่ เม่อื พมา่ ทาํ ศกึ กบั สยามพมา่
จะอาศยั เชยี งใหมเ่ ป็นฐานในการรวบรวมกาํ ลงั พล และเสบยี งทใ่ี ชใ้ นการทาํ สงครามกบั สยาม ดงั นนั้
เชยี งใหมจ่ งึ เป็นเมอื งทส่ี าํ คญั ทงั้ ดา้ นการเมอื งการปกครอง และดา้ นการคา้

4.2 เมอื งลาํ ปาง
เมอื งลําปางเป็นเมอื งทม่ี บี ทบาททางดา้ นการคา้ มาตงั้ แต่อาณาจกั รหรภิ ุญไชย จากนนั้ ใน
ยคุ พมา่ ปกครองลาํ ปางมคี วามสาํ คญั ทางดา้ นการคา้ ขน้ึ มาก เน่ืองจากเป็นเมอื งทม่ี พี อ่ คา้ ชาวพมา่ ตงั้
รา้ นคา้ อย่มู าก อกี ทงั้ ยงั เป็นเมอื งทม่ี กี ารตดิ ต่อคา้ ขายกบั พอ่ คา้ ทางไกลจากจนี และเชยี งตุง รวมทงั้
เป็นศูนยก์ ลางทางด้านการคา้ กบั เมอื งใต้ก่อนท่สี นิ คา้ ต่างๆ จะส่งผ่านมายงั เชยี งใหม่ ภายใต้การ
ปกครองของพม่า ลําปางจงึ เป็นเมอื งท่มี คี วามสําคญั ทางเศรษฐกิจ ดงั จะเห็นได้ว่าภายในเมอื ง
ลาํ ปางมวี ดั วาอารามทม่ี รี ปู แบบของสถาปตั ยกรรมพมา่ อยมู่ าก
4.3 เมอื งเชียงตงุ
เชยี งตุงเป็นเมอื งทม่ี คี วามสาํ คญั ทางดา้ นการเมอื งและการคา้ ตงั้ แต่พระยามงั รายไดเ้ ขา้ ยดึ
ครอง ในระยะแรกพระยามงั รายตอ้ งการใหเ้ ชยี งตุงเป็นเมอื งหน้าด่าน เพ่อื ต่อตา้ นการรกุ รานจากจนี
แต่ในทางกลบั กนั เชยี งตุงยงั เป็นเมอื งท่อี ยู่บนเสน้ ทางการคา้ สําคญั ดงั นัน้ การค้าทางไกลจงึ ผ่าน
เมอื งเชยี งตุง ส่งผลใหเ้ มอื งเชยี งตุงเป็นเมอื งสําคญั ของอาณาจกั รล้านนา สงั เกตไดจ้ ากผปู้ กครอง
เชยี งตุงมเี ชอ้ื สายราชวงศม์ งั รายมาตงั้ แต่พระยาไชยสงครามไดใ้ หเ้ จา้ น้ําท่วมพระโอรสมาปกครอง
เชยี งตุง เชยี งตุงจงึ มฐี านะทเ่ี หนือกว่าหวั เมอื งในลา้ นนาอ่นื ๆ จากการทเ่ี ชยี งตุงตงั้ อย่ใู นชยั ภูมทิ ด่ี มี ี
อาณาเขตตดิ กบั ยูนานและพม่า อกี ทงั้ ยงั อย่รู ะหว่างกลางแม่น้ําสายสําคญั ถงึ 2 สาย คอื แม่น้ําโขง
และแม่น้ําสาละวนิ จงึ สามารถทําการคา้ ทางน้ํากบั หลวงพระบางหรอื เชยี งทองได้ อกี ทงั้ ระยะเวลา
การเดนิ ทางระหว่างเชยี งใหม่ไปยงั เชยี งตุงใชร้ ะยะเวลาเพยี ง 2 สปั ดาหห์ รอื ประมาณ 15 วนั 1
เสน้ ทางทเ่ี ชยี งตุงใชท้ ําการคา้ ในยุคพมา่ ปกครองคอื จากยนู านลงมายงั เชยี งตุง เชยี งรายหรอื เชยี ง
แสน เชยี งใหม่ ลาํ ปาง เมาะตะมะ มณั ฑะเลย์ ยา่ งกุง้ พอ่ คา้ ทม่ี บี ทบาทในเมอื งเชยี งตุง ไดแ้ ก่ พอ่ คา้
ชาวจนี ทเ่ี ดนิ ทางมาทําการคา้ โดยใชก้ องคาราวานโคต่าง ล่อต่าง ในช่วงพม่าปกครองการคา้ กลุ่ม
พ่อค้าชาวพ้นื เมอื งของเชยี งตุงจะมบี ทบาทมากกว่าพ่อค้าชาวจนี เป้าหมายทางการค้ายุคพม่า
ปกครองของพ่อค้าท่เี ดนิ ทางผ่านเชยี งตุงอยู่ท่เี ชยี งใหม่หรอื ลําปาง ดงั นัน้ ทางด้านการเมอื งจงึ มี
ความสมั พนั ธก์ นั ซง่ึ พจิ ารณาไดจ้ ากเหตุการณ์ทห่ี นานทพิ ยช์ า้ งชาวเมอื งลําปางทส่ี ามารถปราบทา้ ว
มหายศ และไดใ้ ชค้ วามสมั พนั ธ์ทม่ี กี บั ผูป้ กครองเมอื งเชยี งตุงเพ่อื ขอรบั การแต่งตงั้ ใหเ้ ป็นเจา้ เมอื ง
ลําปางจากกษตั รยิ พ์ มา่ จากความสมั พนั ธข์ องเมอื งลําปางและเมอื งเชยี งตุงขา้ งตน้ สามารถอนุมาน
ไดว้ า่ เมอื งเชยี งตุงเป็นเมอื งทส่ี าํ คญั แหง่ หน่ึงในขณะนนั้ 2

1สมมะโน ณ เชยี งใหม.่ (2538). เลม่ เดมิ . หน้า 53.
2สมหมาย เปรมจติ ต.์ (2540). เลม่ เดมิ . หน้า 119.

83

4.4 เมอื งเชียงแสน
เมอื งเชยี งแสนเดมิ เป็นเมอื งโบราณและได้รบั การสถาปนาขน้ึ มาใหม่โดยพระยาแสนภู
ดงั นัน้ จากความเป็นเมอื งเก่ามาก่อน พ้ืนฐานทางเศรษฐกิจนัน้ ยงั คงมีอยู่ ซ่ึงเป็นเมืองท่ีอยู่บน
เสน้ ทางการคา้ ระหว่างเชยี งใหม่กบั เชยี งตุงอกี ทงั้ ทต่ี งั้ ของเมอื งอย่ไู ม่ไกลมากนกั จากเชยี งราย เม่อื
พม่ายุคราชวงศน์ ยองยานเขา้ มาปกครองลา้ นนา เชยี งแสนไดม้ คี วามสาํ คญั ขน้ึ มาก เน่ืองจากเชยี ง
แสนอยู่ใกล้พม่ามากกว่าเชยี งใหม่ อกี ทงั้ เป็นการปิดกนั้ ผลประโยชน์ทางดา้ นการคา้ ของเชยี งใหม่
โดยให้เชียงแสนแยกออกจากการปกครองของเชียงใหม่และข้นึ ตรงกบั พม่า เพ่ือจะได้ควบคุม
ผลประโยชน์ทางดา้ นการคา้ จากเชยี งแสน ดงั นัน้ เมอื งเชยี งแสนตงั้ แต่ราชวงศ์นยองยานไดเ้ ขา้ มา
ปกครองพมา่ เชยี งแสนจงึ เป็นเมอื งทม่ี คี วามสาํ คญั ของลา้ นนาเทยี บเทา่ กบั เชยี งใหม่

ภาพประกอบ 27 เวยี งหนองลม่ (ทะเลสาบเชยี งแสน)
อาํ เภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งราย

ทม่ี า: ณรงค์ พว่ งพศิ . (2543). ประวตั ศิ าสตรก์ ารตงั้ ถนิ่ ฐานในประเทศไทย. หน้า 61.

4.5 หวั เมืองล้านนา
ความสําคญั ทางการค้าของเมอื งต่างๆ ในล้านนา มลี กั ษณะเป็นเมอื งต้นทางในการรบั
สนิ คา้ จากท่ตี ่างๆ โดยหวั เมอื งต่างๆ ในอาณาจกั รล้านนา มกี ารส่งสนิ คา้ ออกไปเพ่อื แลกเปล่ยี น
ตามเมอื งศูนยก์ ลางการคา้ ทงั้ เมอื งเชยี งใหม่ เชยี งแสน เชยี งตุงและลําปาง ดงั นนั้ ความสาํ คญั ของ
เมอื งศนู ยก์ ลางทางการคา้ ทส่ี าํ คญั จงึ เป็นหวั ใจหลกั ของการคา้ ขายภายในและภายนอกลา้ นนา โดย
กลุ่มคนทไ่ี ดร้ บั ผลประโยชน์จากการคา้ ไดแ้ ก่ กษตั รยิ พ์ ม่า ขุนนางพม่า และผปู้ กครองทอ้ งถน่ิ เป็น
หลกั

84

5. ปัจจยั ที่ส่งเสริมการค้าและอปุ สรรคทางการค้ายคุ พมา่ ปกครองล้านนา

การคา้ ระหว่างรฐั ในอดตี นัน้ มปี จั จยั อย่หู ลายปจั จยั ทส่ี ่งเสรมิ การคา้ เช่น ปจั จยั ทางดา้ น
การเมอื ง และดา้ นสงั คม เป็นตน้

5.1 ปัจจยั ส่งเสริมด้านการค้า
ปจั จยั ทช่ี ว่ ยสง่ เสรมิ การคา้ มหี ลายปจั จยั ดงั ต่อไปน้ี

5.1.1 ปัจจยั ด้านการเมือง
ในช่วงท่ลี ้านนาตกเป็นเมอื งขน้ึ ของพม่า และต่อมาเชยี งตุงจงึ เขา้ สวามภิ กั ดพิ ์ ม่าใน
พ.ศ. 2101 นัน้ สนิ คา้ ทพ่ี ม่ามคี วามต้องการมากจากลา้ นนาและเชยี งตุง คอื เสบยี งต่างๆ รวมถงึ
สตั วต์ ่าง เช่น กระบอื จากลา้ นชา้ ง ทําใหพ้ ่อคา้ ชาวพม่าเขา้ มาทําการคา้ ในลา้ นนามากขน้ึ ในการน้ี
พอ่ คา้ ชาวพมา่ ไดเ้ ลอื กเมอื งเชยี งใหม่ และลาํ ปางเป็นเมอื งทท่ี าํ การคา้ ของตน ซง่ึ ไดร้ บั การสนบั สนุน
จากราชสํานักพม่า พ่อคา้ พม่าเขา้ มาทําการค้าในล้านนาทําใหส้ ภาพเศรษฐกจิ ในล้านนาเกดิ การ
ขยายตวั อย่างมาก ส่วนเชยี งตุงการคา้ ขายมกี ารขยายตวั มากขน้ึ เน่ืองจากราชสาํ นักพม่าใหก้ าร
สนบั สนุนในฐานะทเ่ี ป็นแหล่งผลประโยชน์ในดา้ นภาษอี ากรในรปู แบบต่าง ราชสาํ นกั พมา่ ไดอ้ าํ นวย
ความสะดวกในการเดนิ ทางของพอ่ คา้ จากต่างแดนใหเ้ ขา้ ไปทาํ การคา้ ทเ่ี ชยี งตุง และมดี า่ นตรวจเป็น
จาํ นวนมากระหวา่ งเสน้ ทางการคา้
5.1.2 ปัจจยั ด้านสงั คม
ราษฎรส่วนใหญ่ของล้านนายงั คงเล้ียงชีพด้วยการทําเกษตรกรรม ผลผลิตทาง
การเกษตรจึงมีอยู่มาก ขณะเดียวกนั ชาวล้านนาก็มคี วามต้องการสนิ ค้าจากชาวตะวนั ตก โดย
ปลายทางของการค้าขายจะอยู่ท่เี มอื งเมาะตะมะหรอื มะละแหม่ง ซ่ึงเป็นเมอื งท่าและศูนย์กลาง
ทางการคา้ กบั ชาวตะวนั ตก สว่ นเชยี งตุงมพี น้ื ทท่ี าํ เกษตรไมม่ าก เหน็ ไดจ้ ากลกั ษณะภมู ปิ ระเทศของ
เมอื งท่ตี งั้ อยู่บนเขาสูงดงั นัน้ การทําเกษตรทําแค่เล้ยี งชพี แต่ชาวเชยี งตุงก็มคี วามชํานาญในการ
เดนิ ทางบนภูเขาสงู ทําใหช้ าวเชยี งตุงออกเดนิ ทางตดิ ตามพอ่ คา้ ชาวจนี เพอ่ื ทําการคา้ และต่อมาจงึ
ผนั ตวั มาเป็นพอ่ คา้ คนกลาง การทล่ี า้ นนาและเชยี งตุงมพี น้ื ฐานทางสงั คมแบบเกษตร โคจงึ เป็นสตั ว์
เศรษฐกิจอกี ประเภทหน่ึง นอกจากใช้ในการทําเกษตรกรรมแล้วยงั สามารถนํามาใชเ้ ป็นพาหนะ
เทยี มเกวยี นเพ่อื ขนส่งสนิ คา้ ไปจําหน่ายยงั ท่ตี ่างๆ ได้ ดงั นัน้ โคจงึ ถอื เป็นสตั ว์อกี ชนิดหน่ึงท่มี ี
ความสาํ คญั ในลา้ นนา
5.1.3 ปัจจยั ความต้องการสินค้าท่ีหลากหลาย
สนิ คา้ ของชาวลา้ นนาแต่ละหวั เมอื งนัน้ มคี วามแตกต่างกนั ดงั นัน้ การคา้ ขายจงึ มกี าร
แลกเปลย่ี นจากเมอื งสเู่ มอื งมากขน้ึ กล่าวคอื แต่ละเมอื งมผี ลผลติ ทต่ี ่างกนั และมคี วามตอ้ งการสนิ คา้
ซ่งึ กนั และกนั จงึ ก่อใหเ้ กดิ พ่อคา้ ระหว่างเมอื งหรอื พ่อคา้ รายย่อยขน้ึ พ่อคา้ เหล่าน้ีจะนําสนิ คา้ จาก
เมอื งของตนไปคา้ ขายยงั เมอื งต่างๆ จากนัน้ เม่อื เดนิ ทางกลบั กจ็ ะนําสนิ คา้ จากเมอื งต่างๆ กลบั มา
คา้ ขายยงั เมอื งของตนดว้ ย

85

5.2 อปุ สรรคทางด้านการค้า
อุปสรรคทางดา้ นการคา้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มหี ลายประการดงั ต่อไปน้ี

5.2.1 อปุ สรรคด้านการเดินทาง
การเดนิ ทางในระบบการค้าทางไกลนัน้ อุปสรรคสําคญั อยู่ท่สี ภาพภูมอิ ากาศ ทําให้
การเดนิ ทางเพ่อื ไปคา้ ขายจะอย่ใู นช่วงฤดูแลง้ เท่านัน้ เพราะดนิ แดนลา้ นนาเป็นดนิ แดนทม่ี ภี ูเขาสงู
หวั เมอื งต่างๆ ตงั้ อยใู่ กลแ้ มน่ ้ํา หากเดนิ ทางในฤดฝู น1การเดนิ ทางจะเป็นอุปสรรคต่อการขนสง่ สนิ คา้
อยา่ งมาก ลา้ นนายงั มกี ารประกอบอาชพี เกษตรกรรมเป็นหลกั ดงั นนั้ ฤดฝู นจะเป็นชว่ งทช่ี าวลา้ นนา
ทาํ เกษตรกรรม ไมเ่ ออ้ื ต่อการทาํ การคา้
5.2.2 อปุ สรรคด้านการเมอื ง
ในช่วงปลายของการปกครองของพม่านัน้ เมอื งเชยี งใหม่ท่เี คยเป็นศูนย์กลางทาง
การค้าใหญ่กลายเป็นเมอื งรา้ ง เน่ืองจากเกดิ การกบฏทําใหพ้ ม่ากวาดต้อนราษฎรเชยี งใหม่ไปยงั
พม่า ศูนยก์ ารคา้ ในลา้ นนาจงึ เปลย่ี นจากเชยี งใหมไ่ ปอย่ทู เ่ี มอื งลําปาง เมอื งเชยี งแสน และเชยี งตุง
ทางตอนเหนือของลา้ นนา เป็นตน้ การคา้ ทางไกลลดบทบาทลงเหลอื เพยี งการคา้ ระหว่างเมอื งเป็น
สว่ นใหญ่อกี ทงั้ การคา้ ยงั คงมคี วามคกึ คกั อยทู่ างตอนเหนือของลา้ นนา

6. สินค้าสาํ คญั ยคุ พม่าปกครอง

สนิ คา้ แต่ละยุคมกี ารเปลย่ี นแปลงขน้ึ มากทงั้ เสน้ ทางการคา้ และสนิ คา้ ต่างๆ โดยสนิ คา้ ทม่ี ี
การคา้ กนั มอี ยหู่ ลากหลายไดแ้ ก่

6.1 สินค้าเกษตร
สนิ คา้ จําพวกเกษตรเป็นสนิ คา้ หลกั ของชาวลา้ นนาทม่ี กี ารซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นกนั ซง่ึ มอี ยู่
หลากหลายดว้ ยกนั ไดแ้ ก่

6.1.1 ข้าว
อาณาจกั รล้านนาในอดีตนัน้ วเิ คราะห์จากช่อื ของอาณาจกั รเป็นดนิ แดนท่ีมกี ารทํา
เกษตรและพชื เศรษฐกจิ สําคญั คอื ขา้ วจงึ ได้ช่อื ว่าล้านนา โดยแปลว่ามนี าอยู่เป็นล้าน ชาวล้านนา
บรโิ ภคขา้ วเป็นหลกั รวมทงั้ เป็นส่วยและนํามาคา้ ขายแลกเปลย่ี นกบั สนิ คา้ อ่นื ๆ ท่ลี า้ นนาไม่มี ชาว
ลา้ นนามกี ารบรโิ ภคขา้ วกนั อย่างแพร่หลายและโดยมากเป็นขา้ วเหนียว ซ่งึ ปจั จุบนั น้ีชาวลา้ นนาก็
ยงั คงบรโิ ภคขา้ วเหนียวเป็นอาหารหลกั อยู่ เม่อื เวลาผา่ นไปมกี ารตดิ ต่อซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นสนิ คา้ กนั
มากขน้ึ ชาวลา้ นนาจงึ ปลูกขา้ วเจา้ หรอื ขา้ วสวยมากขน้ึ เพ่อื ประโยชน์ในการทําการคา้ ทางไกลกบั
ดนิ แดนจนี ตอนใต้ เน่ืองดว้ ยชาวจนี นิยมบรโิ ภคขา้ วเจา้ มาก จากการขยายตวั ทางการคา้ ของชาว

1การเดนิ ทางในฤดฝู น กลุม่ พอ่ คา้ จะทาํ การคา้ ขายไดอ้ ยา่ งลาํ บากมาก เน่ืองจากตอ้ งรอฝนหมดและให้
สภาพการเดนิ ทางสะดวก กองคาราวานฮอ่ เดนิ ทางมาถงึ เชยี งใหมร่ าวกลางเดอื นธนั วาคมทกุ ปี ซง่ึ ถอื วา่ มคี วาม
ลา่ ชา้ มากถา้ เทยี บกบั การเดนิ ทางในชว่ งอ่นื ๆ ดใู น รตั นาพร เศรษฐกุล. (2552). ประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ
วฒั นธรรมแอ่งเชยี งใหม-่ ลาํ พนู . หน้า 136.

86

ลา้ นนาจะถูกเกบ็ ส่วยเป็นขา้ วเจา้ ใหก้ บั ผปู้ กครอง ซง่ึ เป็นผลประโยชน์ดา้ นการคา้ ของผปู้ กครองอกี
ทอดหน่ึง ดงั นัน้ ขา้ วจงึ เป็นทงั้ เป็นพชื ทใ่ี ชบ้ รโิ ภคในครวั เรอื น เป็นส่วยใหก้ บั ผปู้ กครอง และยงั เป็น
สนิ คา้ สาํ คญั ของชาวลา้ นนาอกี ชนิดหน่ึง

6.1.2 พืชพรรณนานาชนิด
สนิ ค้าเกษตรในล้านนาไม่ได้จํากดั แต่เพยี งขา้ วอย่างเดยี วเพราะภูมปิ ระเทศของหวั
เมอื งต่างๆ บางครงั้ อยู่ในท่สี ูง หรอื ไม่ก็ปลูกพชื หมุนเวยี นเพ่อื รกั ษาดนิ ให้อุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ
ดงั นนั้ พชื พรรณของลา้ นนาทส่ี ามารถทําการเพาะปลูกไดจ้ งึ มอี ยหู่ ลากหลาย เช่น ฝ้าย พรกิ หมาก
พลู ใบชา ตน้ ยาสบู งา ถวั่ ขงิ และขา่ เป็นตน้ พชื พรรณนานาชนิดเหล่าน้ี โดยมากจะเป็นสนิ คา้ ทม่ี ี
การคา้ ขายอยใู่ นหวั เมอื งลา้ นนาเท่านนั้ เพ่อื ใชบ้ รโิ ภคเท่านนั้ ไมน่ ิยมเป็นสนิ คา้ สง่ ออกไปยงั ดนิ แดน
ภายนอกจงึ เป็นเพยี งสนิ คา้ ทใ่ี ชภ้ ายในครวั เรอื น
6.2 สินค้าหตั ถกรรม
สินค้าหตั ถกรรมเป็นสินค้าท่ีชาวพ้ืนเมืองได้ทําข้ึนเพ่ือใช้ในครวั เรือน มีการทําอย่าง
หยาบๆ และไม่ได้เป็นสนิ ค้าเพ่อื ส่งออกแต่อย่างใด มเี พยี งเคร่อื งเขนิ ท่มี กี ารส่งต่อไปยงั ดนิ แดน
ต่างๆซง่ึ เป็นเครอ่ื งแสดงถงึ อาํ นาจและบารมขี องชนชนั้ ผปู้ กครองในสมยั น้ี ตวั อยา่ งสนิ คา้ หตั ถกรรม
ไดแ้ ก่
6.2.1 เครือ่ งเขิน
เคร่อื งเขนิ ถอื เป็นงานหตั ถกรรมอย่างหน่ึง เป็นงานฝีมอื ทใ่ี ชค้ วามชํานาญและทกั ษะ
สงู โดยมากเมอื งท่ที ําเคร่อื งเขนิ ไดอ้ ย่างชํานาญคอื ชาวเขนิ ในเมอื งเชยี งตุง1 จงึ เรยี กว่าเคร่อื งเขนิ
(เพราะชาวเชยี งตุงเป็นชาวไทเขนิ หรอื ขนื ) เคร่อื งเขนิ เป็นสนิ คา้ หตั ถกรรมทไ่ี ดร้ บั ความนิยมมากใน
บรรดาชนชนั้ สูงของล้านนา แต่ช่วงระยะตอนปลายท่พี ม่าปกครองล้านนานัน้ เคร่อื งเขนิ ได้เร่ิม
แพรห่ ลายในกลุ่มบรรดาราษฎรทวั่ ไป ดงั นนั้ สนิ คา้ ประเภทน้ีจงึ เป็นสนิ คา้ สาํ คญั ของเมอื งเชยี งตุงอกี
ประเภทหน่ึง
6.2.2 เครือ่ งปัน้ ดินเผา
เคร่อื งปนั้ ดนิ เผาและเคร่อื งเคลอื บเป็นสนิ คา้ หตั ถกรรมของชาวลา้ นนามาตงั้ แต่อดตี
ได้แก่ ถ้วยชาม หม้อ ไห และกระเบ้ือง เคร่อื งปนั้ ดินเผาและเคร่อื งเคลือบเป็นเคร่อื งใช้ภายใน
ครวั เรอื นและเป็นสนิ คา้ ทไ่ี ดก้ ระจายตามหวั เมอื งลา้ นนาอยอู่ ยา่ งกวา้ งขวา้ ง การผลติ ขน้ึ มาเพอ่ื ใชใ้ น
ครวั เรอื นและจากนัน้ จงึ ซอ้ื ขายแลกเปล่ยี นกบั สนิ คา้ อ่นื ๆ ทค่ี นในหวั เมอื งต่างๆ ขาดแคลน แต่จาก
หลกั ฐานทางโบราณคดที ไ่ี ดพ้ บจากบรเิ วณเมอื งโบราณของลา้ นนา ปรากฏว่ามเี ครอ่ื งเคลอื บดนิ เผา
ของสุโขทยั และจนี อยู่ดว้ ย ดงั นัน้ เคร่อื งเคลอื บของล้านนาท่ที ําขน้ึ เองตามหวั เมอื งต่างๆ เป็นการ
ผลติ เพอ่ื ใชข้ องราษฎรและสง่ ไปขายใหก้ บั ราษฎรของลา้ นนาในระดบั เดยี วกนั สว่ นเครอ่ื งเคลอื บจาก
สุโขทยั และจนี คาดว่าเป็นสนิ คา้ สําหรบั ผูท้ ่มี ฐี านะสูง เช่น ผูป้ กครอง เพราะสนิ คา้ ท่นี ําเขา้ จากจนี

1ชวศิ า ศริ .ิ (2550). เลม่ เดมิ . หน้า 137.

87

และสุโขทยั มรี าคาสูง เม่อื ล้านนาตกเป็นประเทศราชของพม่าทําใหก้ ารผลติ เคร่อื งปนั้ ดนิ เผาและ
เครอ่ื งเคลอื บลดลง และเหลอื เพยี งการผลติ เพอ่ื ใชใ้ นครวั เรอื น

6.2.3 ผา้ ทอ
อาณาจกั รลา้ นนาในอดตี ยคุ ราชวงศม์ งั รายไดม้ กี ารทอผา้ ใชใ้ นครวั เรอื นเพอ่ื นุ่งหม่ และ
ทาํ ตุงเพ่อื ไวใ้ ชป้ ระดบั ในวนั สาํ คญั และงานประเพณีทางศาสนา ดงั นนั้ การทอผา้ จงึ เป็นหตั ถกรรมใน
ครวั เรอื น แต่เมอ่ื พมา่ เขา้ มาในลา้ นนามากขน้ึ การคา้ ขายผา้ ทอจงึ เกดิ ขน้ึ เพราะการขยายตวั ทงั้ ดา้ น
การเมืองและการค้า การหลัง่ ไหลเข้ามาในล้านนาของเหล่าขุนนางชาวพม่า ดังนัน้ การทํา
เครอ่ื งนุ่งหม่ จากผา้ ทอจงึ กลายเป็นสนิ คา้ ขน้ึ มาดว้ ยเหตุผลดงั กล่าว
6.2.4 เครื่องใช้ที่ทาํ จากไม้
จากอาชพี หลกั ของชาวลา้ นนาทเ่ี ป็นการทําเกษตรกรรม ดงั นัน้ เคร่อื งใชไ้ มส้ อยท่ที ํา
จากไมน้ นั้ ชาวลา้ นนาและชาวเชยี งตุงมกั จะใชใ้ นการเกษตรกรรมและการหาเลย้ี งชพี มกี ารทาํ เครอ่ื ง
จกั สานจากไม้ เช่น ขอ้ ง ซ่งึ ไวใ้ ช้ใส่ปลา กบ และเขยี ด ท่สี ามารถจบั มาจากทุ่งนาเพ่อื ไม่ใหส้ ตั ว์
ดงั กล่าวหนี นอกจากนนั้ ยงั มโี ต๊ะ ขนั โตกไม้ กบั ดกั สตั วต์ ่างๆ สา้ (ตะกรา้ ) กะชะ(ภาชนะสานชนิด
หน่ึงคล้ายตะกรา้ ใช้บรรจุสงิ่ ของในการเดนิ ทาง) ไถ คราด เกวยี น เรอื ซ่งึ ทงั้ หมดน้ีล้วนแต่เป็น
เคร่อื งใชใ้ นการหาเล้ยี งชพี และมกี ารผลติ เพ่อื จําหน่ายตามหวั เมอื งต่างๆ และทงั้ หมดทํามาจากไม้
ทงั้ สน้ิ
6.3 สินค้าประเภทปศสุ ตั ว์
สนิ คา้ ประเภทปศุสตั วม์ อี ยู่ 2 ชนิดคอื สตั วใ์ ชง้ าน และสตั วท์ ใ่ี ชเ้ ป็นอาหาร
6.3.1 สินค้าประเภทสตั วท์ ่ีใช้ทาํ อาหาร
สตั วท์ ใ่ี ชเ้ ป็นอาหาร ไดแ้ ก่ สุกร ไก่ เป็ด แพะ หา่ น โค และกระบอื สนิ คา้ ประเภทสตั ว์
น้ีมีการค้าขายท่ีอยู่ในวงกว้าง ทงั้ เป็นสนิ ค้าท่ีซ้ือขายแลกเปล่ียนกนั ภายในเมือง หมู่บ้าน ส่วน
กระบอื นนั้ มกี ารบนั ทกึ วา่ ไดน้ ําเขา้ มาจากลา้ นชา้ งเพอ่ื นํามาบรโิ ภคเป็นหลกั
6.3.2 สินค้าประเภทสตั วใ์ ช้งาน
สตั วท์ ท่ี ําการซอ้ื ขายเพ่อื นําไปใชง้ าน ไดแ้ ก่ โค กระบอื ชา้ ง มา้ ลา ล่อ สตั วท์ ใ่ี ชง้ าน
เหล่าน้ีมกี ารใชง้ านทแ่ี ตกต่างกนั โคและกระบอื มกั ใชใ้ นภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ชา้ ง มา้ ลา
ลอ่ ใชใ้ นการเป็นพาหนะเพอ่ื ใชเ้ ดนิ ทาง สว่ นกองคาราวานในการคา้ ขายมกั ใชโ้ ค และล่อในการขนสง่
สนิ คา้ เป็นหลกั
6.4 สินค้าที่ได้จากป่ า
สนิ คา้ ทเ่ี กบ็ หรอื หาไดใ้ นผนื ป่าอนั อุดมสมบูรณ์ของลา้ นนาและเชยี งตุง ทําใหร้ าษฎรบาง
กลุม่ ยดึ อาชพี หาของปา่ สนิ คา้ ทไ่ี ดจ้ ากปา่ เป็นสนิ คา้ สง่ ออกไปยงั ดนิ แดนอ่นื ไดแ้ ก่ พลอย1 ไมจ้ นั ทน์

ปจั จุบนั น้ีชาวลา้ นนายงั เรยี กตะกรา้ วา่ “ สา้ ” อยู่
1ชวศิ า ศริ .ิ (2550). เลม่ เดมิ . หน้า 148.

88

น้ําผง้ึ น้ํารกั ชะมดเชด็ ครงั่ สเี สยี ด นอกจากนนั้ ยงั มสี นิ คา้ ทเ่ี ป็นสตั วป์ า่ เชน่ ชา้ ง เสอื ดาว เสอื โครง่
หมดี ํา นกยูง นกเก้าหาง เต่าหกขา งาช้าง นอแรด เขากวาง หนังสตั ว์ต่างๆ เป็นต้น และสนิ ค้า
ประเภทพชื พรรณไมต้ ่างๆ ทไ่ี ดจ้ ากปา่ ไดแ้ ก่ ไมฝ้ าง ไมก้ ฤษณา ไมส้ กั ไมแ้ ดง ไมจ้ นั ทน์หอม
ไมพ้ ะยงู ไมเ้ ตง็ ไมต้ ะเคยี น ไมต้ ะแบก ไมม้ ะคา่ โมง ไมแ้ สม เปลอื กสเี สยี ด เปลอื กไมโ้ กงกาง เปลอื ก
สน ลูกกระวาน น้ํามนั สน ยางสน ยางรกั ครงั่ กํายาน อบเชย การบูร กานพลู จนั ทน์ชะมด ดปี ลี
และไต้(ยางไม้ท่ีใช้จุดเป็นเช้ือเพลิง) เป็นต้น ซ่ึงสินค้าเหล่าน้ีล้วนสร้างความมงั่ คงั่ ให้กบั ชนชนั้
ผปู้ กครองในระดบั ต่างๆ ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลการปกครองของพมา่

6.5 สินค้าทรพั ยากรธรรมชาติ
สินค้าประเภททรัพยากรธรรมชาติคือสินค้าท่ีได้จากพ้ืนดิน แม่น้ําลําธารสายต่างๆ
โดยมากจะเป็นแร่ต่างๆ นํามาผ่านกรรมวธิ กี ่อนทจ่ี ะสามารถเป็นสนิ คา้ ทน่ี ํารายไดม้ าสู่ดนิ แดนได้
และกรรมวธิ ที ใ่ี ชม้ อี ย่หู ลากหลาย เช่น การกรอง ตม้ หรอื เผา ตามรปู แบบทเ่ี คยปฏบิ ตั กิ นั มาตงั้ แต่
สมยั โบราณ และเมอ่ื ผา่ นกรรมวธิ ดี งั กลา่ วแลว้ จะไดแ้ รธ่ าตุดงั น้ี

6.5.1 เกลือ
เกลอื เป็นสนิ คา้ ทส่ี าํ คญั ของเมอื งน่าน และหลวงพระบาง เกลอื จากเมอื งน่านและหลวง
พระบางเป็นเกลอื สนิ เธาวท์ ห่ี าไดจ้ ากดนิ ซง่ึ มคี วามสาํ คญั ในการประกอบอาหารของชาวลา้ นนามาก
เพราะอย่หู ่างไกลจากทะเลอกี ทงั้ ยงั เป็นสนิ คา้ ทเ่ี ป็นความตอ้ งการของเหล่าบรรดาเมอื งตอนในของ
ภมู ภิ าคจนไปถงึ ตอนใตข้ องจนี เมอื งทม่ี คี วามตอ้ งการบรโิ ภคเกลอื ไดแ้ ก่ เชยี งตุง เชยี งรงุ้ และเมอื ง
ไทใหญ่ทงั้ หลาย ดงั นนั้ กองคาราวานของพอ่ คา้ ชาวจนี และพอ่ คา้ จากเชยี งตุงจงึ มกั เดนิ ทางเขา้ มายงั
น่านเพอ่ื ซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นกบั เกลอื สนิ เธาวข์ องน่าน
6.5.2 ทองคาํ
ทองคําเป็นแร่มคี ่าทม่ี กี ารคา้ ขายอย่ใู นเสน้ ทางการคา้ ระหว่างเชยี งใหม่ไปถงึ คุนหมงิ
ซง่ึ เสน้ ทางสายน้ีถกู เรยี กวา่ เสน้ ทางสายทองคาํ ดงั นนั้ ทองคาํ ถูกคา้ ขายตงั้ แต่ภาคใตข้ องจนี จนมาถงึ
เชียงใหม่ ทองคําเป็นแร่ท่ีมีค่ามาก กษัตริย์ และชนชัน้ ผู้ปกครองในระดบั ต่างๆ มกั จะใช้เป็น
เคร่อื งใชไ้ มส้ อยเพ่อื แสดงฐานะของตน สนิ คา้ ประเภททองคํานัน้ ส่วนมากจะเป็นสนิ คา้ ทล่ี า้ นนาได้
นําเขา้ จากทางตอนใตข้ องจนี ซง่ึ มหี ลกั ฐานปรากฏว่าบรเิ วณตะวนั ตกเฉียงใตแ้ ละทางใต้ของจนี จะ
อดุ มไปดว้ ยแรท่ องคาํ 1
6.5.3 เงิน
แร่เงนิ เป็นแร่ทม่ี มี ลู ค่ารองลงมาจากทองคาํ นิยมนํามาใชเ้ ป็นภาชนะในการใส่สง่ิ ของ
ต่างๆ ของผูท้ ่มี ฐี านะสูง เงนิ ถูกนํามาเป็นเคร่อื งใช้โดยเป็นงานหตั ถกรรมหลายประเภทมกี ารทํา
ลวดลายใหส้ วยงาม เชน่ กาํ ไลขอ้ มอื เขม็ ขดั กล่องใสย่ าสบู หรอื บุหร่ี ถาด สลุงพาน สง่ิ ของดงั กล่าว

1ชวศิ า ศริ .ิ (2550). เลม่ เดมิ . หน้า 142.
สลุงมลี กั ษณะเป็นขนั แต่มลี วดลายสวยงาม และมขี นาดใหญ่กว่าขนั ใช้ใส่น้ํา ปจั จุบนั น้ีผู้สูงอายุใน
จงั หวดั ทางภาคเหนือของไทยจะใชใ้ สน่ ้ําขมน้ิ สม้ ปอ่ ยไปวดั

89

มไี วเ้ พ่อื แสดงฐานะสงั คมของผคู้ รอบครอง ดงั นัน้ เงนิ จงึ เป็นทงั้ สนิ คา้ ทน่ี ํามาทําเป็นเคร่อื งใชต้ ่างๆ
และสนิ คา้ แลกเปลย่ี นกนั อกี ดว้ ย

6.5.4 สาํ ริด
สาํ รดิ ไดม้ าจากการนําทองแดง ดบี ุก ตะกวั่ พลวง และสงั กะสมี าหลอมผสมกนั เพ่อื ขน้ึ
รปู หรอื นํามาใสพ่ มิ พท์ าํ เพอ่ื ตเี ป็นเครอ่ื งใชต้ ่างๆ เชน่ อาวธุ และเครอ่ื งมอื เคร่อื งใชต้ ่างๆ ชาวลา้ นนา
โบราณเรยี กว่าทองแต่ไม่ใช่ทองคําท่มี คี ่ามากกว่า แต่ก็ถือเป็นโลหะมรี าคา บางครงั้ ราษฎรชาว
ลา้ นนาทพ่ี อจะมฐี านะกไ็ ดห้ ลอ่ พระพทุ ธรปู สาํ รดิ ขน้ึ มา ดงั จะเหน็ ไดต้ ามวดั ทางภาคเหนือของไทยใน
ปจั จบุ นั ทจ่ี ะมพี ระพทุ ธรปู สาํ รดิ อยมู่ าก สาํ รดิ เป็นสนิ คา้ ประเภทหน่ึงทม่ี มี ลู ค่าต่ํากวา่ เงนิ และสามารถ
ซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นกนั ได้
6.5.5 เหลก็
แร่เหลก็ ในลา้ นนานัน้ มหี ลายชนิด เช่น เหลก็ ขาง คอื เหลก็ ทใ่ี ชท้ าํ เคร่อื งครวั มดี ดาบ
และเครอ่ื งมอื ทาํ มาหากนิ และเหลก็ ทใ่ี ชท้ าํ ใหข้ น้ึ รปู ตามแบบต่างๆ คอื เหลก็ เคย่ี น เคร่อื งมอื ทท่ี าํ มา
จากเหล็ก ชาวล้านนามีการเรียกเฉพาะ เช่น เหล็กข้เี ม่ียงคือเหล็กท่ีเป็นสนิม และเหล็กปิ่นซ่ึง
หมายถึงตะปู สนิ ค้าประเภทเหล็กเป็นสนิ ค้าท่ีมใี ช้กนั แพร่หลายในล้านนาและมใี ช้กนั เกือบทุก
ครวั เรอื น ดงั นนั้ สนิ คา้ ประเภทน้ีจงึ เป็นสนิ คา้ ทอ้ งถน่ิ มากกวา่ สนิ คา้ สง่ ออกหรอื นําเขา้
6.5.6 ปลา
เน่ืองดว้ ยภูมปิ ระเทศทม่ี ภี ูเขาสูงและหวั เมอื งต่างๆ ไดส้ รา้ งตามทร่ี าบลุ่มน้ํา การทํา
ประมงน้ําจดื จงึ เป็นสง่ิ ท่อี ยู่ควบคู่กบั การทําการเกษตร การทําประมงเม่อื ไดป้ ลาจงึ นํามาซ้อื ขาย
แลกเปล่ยี นกนั ภายในหมู่บ้านหรอื นํามาถนอมอาหารเป็นปลารา้ และปลาแหง้ 1 ซ่งึ สามารถพกพา
เดนิ ทางตดิ ตวั ไปยงั ดนิ แดนต่างๆ รวมทงั้ นําไปขายยงั หวั เมอื งทต่ี งั้ อยบู่ นทร่ี าบสงู ดว้ ย
6.6 สินค้านําเข้าจากต่างดินแดน
ลา้ นนาเป็นดนิ แดนท่อี ุดมสมบูรณ์ไปดว้ ยภูเขา ลําธารและพน้ื ทท่ี างเกษตร ดงั นัน้ สนิ ค้า
บางชนิดจงึ เป็นสนิ คา้ นําเขา้ โดยการแลกเปล่ยี นสนิ คา้ กบั ผลติ ผลทม่ี อี ยู่ภายในลา้ นนา และมพี ่อคา้
คนกลางเป็นสอ่ื กลางในการคา้ ขายสนิ คา้ ทม่ี าจากภายนอก ช่วงปลายการปกครองของพมา่ มกี ารซอ้ื
ขายโดยการใชเ้ งนิ ตรามากขน้ึ สนิ คา้ นําเขา้ จากภายนอก ไดแ้ ก่
6.6.1 แร่โลหะ
สนิ คา้ ประเภทโลหะ เป็นสนิ คา้ ทถ่ี ูกนําเขา้ มาเน่ืองดว้ ยเป็นสนิ คา้ ทไ่ี มเ่ พยี งพอต่อความ
ตอ้ งการภายในล้านนาเอง ทงั้ น้ี ลา้ นนาสามารถหาหรอื ผลติ ไดเ้ องแต่ไม่พอเพยี งต่อความต้องการ
จงึ มกี ารนําเขา้ จากดนิ แดนภายนอก แรท่ องคาํ ทล่ี า้ นนานําเขา้ มาในลา้ นนานนั้ มอี ยู่ 2 แหล่งคอื จาก
หลวงพระบางและพม่า ส่วนทางตอนใตข้ องจนี นัน้ ไม่ไดม้ ปี รากฏว่าลา้ นนาไดน้ ําเขา้ ทองคํามาจาก
จนี แต่มกี ารนําเขา้ แร่เหลก็ จากจนี มากกว่า และพ่อคา้ ชาวจนี ใชแ้ ร่เหลก็ แลกกบั เกลอื สนิ เธาวจ์ าก

1รตั นาพร เศรษฐกุล. (2552). เลม่ เดมิ . หน้า 118.

90

น่าน รวมทงั้ พอ่ คา้ เชยี งตุงทท่ี าํ หน้าทเ่ี ป็นคนกลางในการจดั หาสนิ คา้ ใหก้ บั กองคาราวานพ่อคา้ ชาว
จนี เน่ืองดว้ ยสภาพการเดนิ ทางไปยงั น่านนนั้ ลาํ บากมแี ต่ภเู ขาทุรกนั ดาร ชาวเชยี งตุงมคี วามชาํ นาญ
มากกว่าชาวจนี ทาํ ใหช้ าวเชยี งตุงสามารถซอ้ื เกลอื สนิ เธาวจ์ ากน่านไปขายใหพ้ ่อคา้ ชาวจนี อกี ทอด
หน่ึง

6.6.2 อญั มณีต่างๆ
สนิ คา้ ประเภทน้ีไดน้ ําเขา้ มาเพ่อื แสดงฐานะของชนชนั้ สงู ในยุคจารตี โดยมกี ารนํามา
ทาํ เป็นเครอ่ื งประดบั ในรปู แบบทแ่ี ตกต่างกนั ไป ซง่ึ พอ่ คา้ ชาวพม่าไดน้ ํามาคา้ ขายในลา้ นนา ซง่ึ อญั -
มณีทน่ี ํามาคา้ ขายในลา้ นนานนั้ มที งั้ ไดร้ บั มาจากพอ่ คา้ ชาวอนิ เดยี พอ่ คา้ แขก และจากแหล่งผลติ ใน
พม่า คอื บ่อทบั ทมิ โมโคก (เมอื งโคก)1 หากแต่การค้าขายอญั มณีพม่าเป็นสนิ ค้าหวงหา้ มเพราะ
สินค้าประเภทอัญมณีเป็นสินค้าสําหรับกษัตริย์2 และชนชัน้ สูงเท่านั้น และมีไว้ค้าขายกับ
ชาวตะวนั ตกเท่านัน้ ดงั นัน้ อญั มณีท่ีได้นํามาค้าขายในล้านนาจึงเป็นอญั มณีท่ีมาจากภายนอก
ดนิ แดนพมา่
6.6.3 เครอื่ งเคลือบ
สนิ คา้ ประเภทน้ีเป็นสนิ คา้ ทล่ี ้านนาสามารถผลติ ไดเ้ องหากแต่เป็นการผลติ ไวใ้ ชเ้ อง
ตามหวั เมอื งต่างๆ โดยมากเป็นกระเบอ้ื งดนิ เผาหรอื หลงั คาดนิ เผา สว่ นเคร่อื งเคลอื บทน่ี ําเขา้ มาจาก
สุโขทยั และจนี เป็นสนิ คา้ ของชนชนั้ สงู หรอื ชนชนั้ ผปู้ กครอง เน่ืองจากเป็นการนําเขา้ จงึ มรี าคาทส่ี ูง
มาก

ภาพประกอบ 28 ไหเคลอื บ เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาลา้ นนา

ทม่ี า: สรสั วดี ออ๋ งสกุล. (2553). ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา. หน้า 158.

1พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ.์ (2550). พระราชพงศาวดารพมา่ . หน้า 915.
2แหลง่ เดมิ . หน้า 914.

91

6.6.4 สินค้าฟ่ มุ เฟื อย
สนิ คา้ ฟุม่ เฟือยหรอื ของฟุม่ เฟือยเป็นสนิ คา้ ทม่ี ขี ายอยใู่ นวงจาํ กดั อย่ทู ช่ี นชนั้ สงู เท่านนั้
สนิ คา้ ประเภทน้ีเป็นสนิ คา้ ทเ่ี ขา้ มาขายยงั ลา้ นนาเพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการความหรูหราของชน
ชนั้ สงู สนิ คา้ ฟุม่ เฟือยมตี งั้ แต่เครอ่ื งนุ่งห่ม เคร่อื งใชส้ ว่ นตวั เคร่อื งประดบั ตลอดจนเคร่อื งใชภ้ ายใน
ครวั เรอื น สนิ คา้ แต่ละชนิดถูกผลติ จากวตั ถุดบิ ท่มี คี ุณภาพและมรี าคาสูง มคี วามประณีตสวยงาม
โดยมากจะนําเขา้ มาจากรฐั หรอื เมอื งทใ่ี หญ่กว่า ดงั นัน้ สนิ คา้ ประเภทน้ีจะนําเขา้ มาทางพม่า อยุธยา
หรอื แมแ้ ต่เมอื งทา่ เมาะตะมะเพราะเป็นเมอื งทเ่ี ป็นชุมทางการตดิ ต่อคา้ ขายกบั พอ่ คา้ ชาวตะวนั ตก
กลา่ วโดยสรปุ สภาพเศรษฐกจิ การคา้ ในยคุ พมา่ ปกครองเชยี งตุงและลา้ นนา มกี ารสง่ เสรมิ
การคา้ เพอ่ื ขยายอทิ ธพิ ลของพมา่ และเกบ็ เกย่ี วผลประโยชน์เขา้ สรู่ าชสาํ นกั พมา่ เป็นหลกั ทงั้ น้ีขน้ึ อยู่
กบั ปจั จยั ต่างๆ ไดแ้ ก่ เสน้ ทางการคา้ พอ่ คา้ สนิ คา้ นโยบายการปกครอง มาตรการการเกบ็ ภาษแี ละ
ส่วยเมอื ง และบรรดาเมอื งศูนยก์ ลางทางการคา้ ลว้ นมสี ่วนส่งเสรมิ ใหร้ าชสํานักพม่ามคี วามมงั่ คงั่
จากนโยบายทเ่ี ขม้ งวดและรดั กุมในเร่อื งผลประโยชน์จากการคา้ และขุนนางพม่าทถ่ี ูกส่งไปประจํา
ตามหวั เมอื งลา้ นนา สง่ ผลใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ กบั กลุ่มผปู้ กครองชาวพน้ื เมอื งเดมิ ในทส่ี ดุ จงึ ไดม้ กี าร
รวมตวั กนั เพ่อื ขบั ไล่พมา่ ออกจากดนิ แดนลา้ นนา และสาเหตุทพ่ี มา่ ควบคุมลา้ นนาอยา่ งเขม้ งวดเป็น
เพราะลา้ นนาอย่บู นเสน้ ทางสายเศรษฐกจิ ทอ่ี ยกู่ ง่ึ กลางระหว่างพมา่ และสยาม ลา้ นนาเป็นดนิ แดนท่ี
มคี วามสาํ คญั ทางการเมอื ง และการคา้ ระหวา่ งรฐั ในยคุ จารตี ลา้ นนามรี ะบบการคา้ ทงั้ ในดนิ แดนและ
ตามหัวเมืองต่างๆ โดยมีการค้าขายกับสยาม พม่า อินเดีย และจีนตอนใต้ รวมทัง้ พ่อค้า
ชาวตะวนั ตก ซ่งึ ผลของความสมั พนั ธ์ด้านการค้าระหว่างเชยี งตุงกบั ล้านนาท่เี กดิ ขน้ึ ในยุคสมยั ท่ี
พมา่ ปกครองไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ คณุ อนนั ตต์ ่อพน้ื ทแ่ี ถบน้ีเป็นอยา่ งมาก

92

บทท่ี 6
ผลของความสมั พนั ธท์ างการค้าระหว่างเชียงตงุ กบั ล้านนา

พ.ศ. 2101 – 2317

ความสมั พนั ธ์ระหว่างเชยี งตุงกบั ลา้ นนามอี ยู่ดว้ ยกนั หลายดา้ น และมพี ฒั นาการมาจาก
ความสมั พนั ธ์ทางด้านการเมอื งจากผู้ปกครองท่ีมลี กั ษณะเครอื ญาติ การเปล่ียนสถานภาพของ
ผปู้ กครองจากกษตั รยิ ร์ าชวงศม์ งั รายมาเป็นกษตั รยิ พ์ มา่ ความสมั พนั ธท์ างการปกครองจงึ มลี กั ษณะ
ท่เี ปล่ยี นแปลงไป แต่ไม่อาจส่งผลต่อความสมั พนั ธ์ทางด้านการค้าท่เี กดิ ขน้ึ ระหว่างกนั ได้ ดงั นัน้
ความสมั พนั ธท์ างการคา้ จงึ มสี ว่ นชว่ ยสง่ เสรมิ ใหค้ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเชยี งตุงกบั ลา้ นนาเป็นไปอยา่ ง
แน่นแฟ้นมากขน้ึ

1. ความสมั พนั ธท์ างการค้าที่ส่งผลต่อการเมืองการปกครองในยคุ พม่าปกครอง

ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเชยี งตุงกบั ลา้ นนายุคพม่าปกครองส่งผลต่อความสมั พนั ธใ์ นรปู แบบ
ของการปกครองทเ่ี ปลย่ี นไปดงั น้ี

1.1 การเปล่ียนแปลงลกั ษณะการปกครอง
การเปลย่ี นแปลงทางระบบการปกครองของพม่าเกดิ ขน้ึ ภายหลงั จากทร่ี าชวงศน์ ยองยาน
สามารถเขา้ มายดึ ครองลา้ นนาและเชยี งตุงไดอ้ กี ครงั้ การปกครองทเ่ี ขม้ งวดโดยการใชข้ นุ นางพมา่ ท่ี
เขา้ มาปกครองดนิ แดน สง่ ผลกระทบต่อความสมั พนั ธร์ ะหว่างเชยี งตุงกบั ลา้ นนาอยา่ งมาก จากเดมิ
ความสมั พนั ธ์ทอ่ี ยู่ในรูปความสมั พนั ธ์ระหว่างเครอื ญาติ ตลอดจนความสมั พนั ธ์ทด่ี ตี ่อกนั ในระดบั
ต่างๆ ขุนนางพม่าเข้ามาสอดส่องดูแลผลประโยชน์ด้านการค้าเป็นหลกั กระนัน้ ความสมั พนั ธ์
ทางการปกครองระหว่างหวั เมอื งล้านนาทงั้ หมดรวมถึงเมอื งประเทศราชอย่างเชียงตุงยงั ได้รบั
ผลกระทบจากบทบาทของขุนนางพม่า โดยเฉพาะการติดต่อขอ้ ราชการเร่อื งต่างๆ จะถูกควบคุม
อยา่ งใกลช้ ดิ จากกลุม่ คนดงั กลา่ ว
ความสมั พนั ธ์ทางด้านการเมอื งระหว่างเชยี งตุงกบั หวั เมอื งลา้ นนาในยุคน้ี จงึ อยู่ภายใต้
การควบคุมของขุนนางพม่า และจากการบรหิ ารเมอื งประเทศราชของพม่ามคี วามต้องการรวม
อาํ นาจไวท้ ศ่ี ูนยก์ ลางในราชสาํ นกั พม่า มกี ารกระจายอาํ นาจจากขนุ นางพมา่ ลงสทู่ อ้ งถนิ่ มากขน้ึ ทาํ
ใหก้ ลุ่มอาํ นาจเดมิ ถูกลดบทบาทลง ดงั นนั้ ทาํ ใหเ้ มอื งเชยี งตุงและอาณาจกั รลา้ นนาต่างอยใู่ นสภาวะท่ี
ไม่สามารถดําเนินความสมั พนั ธร์ ะหว่างกนั อย่างราบร่นื นัก เชยี งตุงและลา้ นนาจงึ ไดม้ กี ารส่งเสรมิ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างผูป้ กครองเดิมท่มี อี ยู่ ตลอดจนส่งเสรมิ ความสมั พนั ธ์ระหว่างกนั ในรูปของ
เศรษฐกจิ การคา้ เป็นหลกั

93

1.2 ลกั ษณะของอาํ นาจ
อาํ นาจของผปู้ กครองเชยี งตุงกบั ลา้ นนามคี วามแตกต่างกนั อยา่ งมาก ซง่ึ ในชว่ งราชวงศ์
นยองยานและราชวงศค์ องบอง อํานาจการปกครองของลา้ นนาถูกลดทอนลงไปเร่อื ยๆ ตงั้ แต่สมยั
พระเจา้ ตะลุน1แหง่ ราชวงศน์ ยองยานไดด้ าํ รใิ หม้ กี ารบรหิ ารราชการแบบรวมศนู ยอ์ าํ นาจ
จากนโยบายการบรหิ ารราชการของราชวงศ์นยองยานท่รี วมอํานาจเขา้ สู่ศูนยก์ ลาง การ
ปกครองเมอื งประเทศราชในขอบขณั ฑสมี าของพมา่ ดงั นนั้ การปกครองบา้ นเมอื งจงึ เปลย่ี นแปลงไป
จากเดมิ กล่าวคอื เม่อื นโยบายรวมอํานาจเขา้ สู่ศูนยก์ ลางส่งผลทําใหอ้ ํานาจของผูป้ กครองเดมิ ถูก
ลดทอนลงไป กอปรดว้ ยการหลงั่ ไหลของขุนนางพม่าในระดบั ต่างๆ ได้เขา้ บรหิ ารหวั เมอื งในเขต
พม่าและประเทศราช ผูป้ กครองเชยี งตุงกบั ล้านนาจงึ ถูกแทรกแซงจากเหล่าขุนนางพม่า หากแต่
เชยี งตุงมสี ถานะทด่ี กี ว่าเม่อื เทยี บกบั หวั เมอื งลา้ นนาในขณะนัน้ ผปู้ กครองสงู สุดของเชยี งตุงยงั คง
เป็นเจา้ ฟ้าเชอ้ื สายพระยามงั ราย ซง่ึ มอี าํ นาจบรหิ ารบา้ นเมอื งอยา่ งเจา้ ประเทศราช แต่มขี นุ นางพมา่
ช่วยเหลอื ในการปกครองและเกบ็ เก่ยี วผลประโยชน์ในเร่อื งต่างๆ เพ่อื ส่งไปยงั ราชสาํ นักพม่า ดา้ น
หวั เมอื งลา้ นนาผปู้ กครองชาวพน้ื เมอื งถูกลดทอนอาํ นาจลงมาก ผปู้ กครองสงู สดุ เป็นขนุ นางชาวพมา่
ตลอดจนขนุ นางระดบั ล่างกย็ งั เป็นคนในบงั คบั พม่า ผปู้ กครองชาวพน้ื เมอื งจงึ มหี น้าทเ่ี รยี กเกบ็ ส่วย
อากรต่างๆ ใหก้ บั ขุนนางชาวพมา่ ดงั นัน้ จงึ เกดิ การรวมตวั กนั ก่อกบฏอยู่หลายครงั้ เพ่อื ขบั ไล่พม่า
ออกจากดนิ แดนลา้ นนา ในทส่ี ดุ กส็ ามารถขบั ไล่พมา่ ออกจากดนิ แดนไดใ้ น พ.ศ. 2317 ซง่ึ ไดร้ บั การ
ชว่ ยเหลอื จากสยาม ซง่ึ นําโดยทพั ของพระยากาวลิ ะและพระยาจา่ บา้ น

2. ความสมั พนั ธท์ างการค้าท่ีส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในยคุ พมา่ ปกครอง

ระบบเศรษฐกจิ เป็นส่วนทส่ี าํ คญั ทส่ี ่งผลต่อความเจรญิ รุง่ เรอื งในอดตี ของอาณาจกั รต่างๆ
ในยคุ จารตี ความสมั พนั ธท์ างดา้ นเศรษฐกจิ การคา้ ระหว่างเชยี งตุงกบั ดนิ แดนลา้ นนาเป็นสว่ นสาํ คญั
ประการหน่ึง ทท่ี ําใหท้ งั้ เชยี งตุงและล้านนาตกเป็นเมอื งขน้ึ ของพม่าในท่สี ุด และปจั จยั ทส่ี ่งผลต่อ
ความสมั พนั ธต์ ่อระบบเศรษฐกจิ การคา้ ระหวา่ งกนั มดี งั น้ี

2.1 เส้นทางคมนาคม
ในอดตี การตดิ ต่อคา้ ขายขน้ึ อยู่กบั ปจั จยั ทส่ี ําคญั คอื เสน้ ทางการคมนาคมท่มี ที งั้ ทางบก
และทางน้ํา โดยเมอื งต่างๆ ซ่งึ มลี กั ษณะท่คี ล้ายๆ กนั กล่าวคอื ตงั้ อยู่บรเิ วณท่รี าบลุ่มแม่น้ําเพ่อื
อาศยั น้ําในการทาํ เกษตรกรรมเป็นหลกั และการคา้ ขายมกั มสี นิ คา้ ทางการเกษตรซง่ึ เป็นปจั จยั หลกั
ในช่วงแรก ในระยะเวลาต่อมาเม่อื กาลเวลาเปล่ยี นไป สนิ คา้ มจี ํานวนมากและหลากหลายมากขน้ึ
การคมนาคมจงึ มสี ว่ นสง่ เสรมิ ใหก้ ารคา้ ขายเจรญิ กา้ วหน้าขน้ึ และในยุคทพ่ี มา่ เขา้ มาปกครองลา้ นนา
และเชยี งตุงไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ผลต่างๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามมาโดยเฉพาะความเป็นสงั คมแหง่ การคา้

1มาโนช พรหมปญั โญ. (2547). การเรอื งอาํ นาจของราชวงคค์ องบอง ค.ศ. 1752-1776. หน้า 55.

94

2.1.1 ทางบก
เสน้ ทางการคา้ ทางบกเปรยี บเสมอื นเป็นเสน้ เลอื ดหลกั ของการคา้ ระหว่างดนิ แดนทาง
ตอนใตจ้ ากจนี ลงมายงั เชยี งใหม่ต่อไปเมาะตะมะหรอื มะละแหมง่ ดงั นนั้ จะเหน็ ว่าเสน้ ทางสายน้ีเป็น
ถนนการคา้ ทม่ี คี วามสาํ คญั ตงั้ แต่ก่อนพระยามงั รายสถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา เสน้ ทางสายสาํ คญั น้ี
เรยี กว่าเสน้ ทางสายทองคํา1 ซ่งึ ในช่วงระยะเวลาประมาณเกือบสองรอ้ ยปีท่พี ม่าปกครองล้านนา
เสน้ ทางสายน้ีเป็นเสน้ ทางสายสาํ คญั ทใ่ี หผ้ ลประโยชน์ในดา้ นต่างๆ แก่พมา่ เช่น เสน้ ทางเศรษฐกจิ
การค้าท่ีสําคญั เส้นทางการเดินทางของเสบียงกรณีทําสงคราม และใช้เป็นเส้นทางผ่านในการ
เดนิ ทพั เป็นตน้
จากความสาํ คญั ดงั กล่าว เสน้ ทางสายทองคําจงึ เป็นปจั จยั สาํ คญั ทท่ี ําใหพ้ ม่าสามารถ
ปกครองล้านนาได้เป็นระยะเวลานาน นอกเหนือจากเสน้ ทางสายทองคํานัน้ ยงั มเี สน้ ทางการค้า
ระหว่างหวั เมอื งทเ่ี ป็นส่วนกระชบั ความสมั พนั ธ์ระหว่างเชยี งตุงกบั หวั เมอื งล้านนา ไดแ้ ก่ เสน้ ทาง
จากเชยี งตุง – เชยี งแสน – เชยี งราย – พะเยา - น่าน เชยี งตุง – เชยี งแสน – เชยี งราย – พะเยา –
งาว – ลําปาง เชยี งตุง – เชยี งแสน – เชยี งราย – พะเยา – แพร่ และเสน้ ทางเชยี งตุง – เชยี งแสน
– เชยี งราย – ฝาง – เชยี งใหม่ จากเสน้ ทางขา้ งตน้ ความสมั พนั ธท์ างการคา้ ระหว่างเชยี งตุงและหวั
เมอื งล้านนามลี กั ษณะทก่ี ระจายเป็นวงกวา้ งและสามารถเขา้ ถงึ เมอื งการคา้ หลกั ไดโ้ ดยตรง ซ่งึ หวั
เมอื งทก่ี ล่าวขา้ งตน้ ไดม้ กี ารกระจายสนิ คา้ ไปอกี ทอดหน่ึง ดงั นนั้ เม่อื สถานการณ์ทางการเมอื งทถ่ี ูก
ปกครองอยา่ งรดั กุมในยคุ พมา่ ปกครอง ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งไดถ้ ูกลดทอนลงตามลําดบั ทาํ ให้
ความสมั พนั ธบ์ นเสน้ ทางการคา้ ทางบกจงึ มบี ทบาทมากขน้ึ ในระยะน้ี
2.1.2 ทางนํ้า
การคมนาคมทางการคา้ มที งั้ ทางบกและทางน้ํา ซง่ึ เชยี งตุงเป็นเมอื งทม่ี ภี ูมปิ ระเทศท่ี
อุดมสมบูรณ์ รายลอ้ มดว้ ยภูเขาน้อยใหญ่ และอย่รู ะหว่างกลางแม่น้ําสายสาํ คญั ถงึ 2 สายคอื แม่น้ํา
โขงกบั แม่น้ําสาละวนิ การคา้ ระหว่างเชยี งตุงกบั หวั เมอื งลา้ นนาทส่ี าํ คญั อยใู่ นรปู การคา้ ทางบก จาก
ทไ่ี ดก้ ล่าวไวข้ า้ งต้น กระนัน้ การคา้ ทางน้ํากม็ ปี รากฏใหเ้ หน็ อยู่บา้ งแต่ไม่มากเท่ากบั การคา้ ทางบก
และจาํ กดั การคา้ กบั บางเมอื ง การคา้ ทางน้ําระหว่างเชยี งตุงกบั หวั เมอื งลา้ นนา จากการศกึ ษาพบว่า
มกี บั หวั เมอื งลา้ นนาทอ่ี ยใู่ กลก้ บั แมน่ ้ําโขง เช่น เมอื งกลุ่มเชยี งแสน – เชยี งราย – พะเยา2 และน่าน
เป็นตน้ ตลอดจนมกี ารตดิ ต่อสมั พนั ธท์ างการคา้ กบั อาณาจกั รลา้ นชา้ ง เช่น เมอื งหลวงพระบางหรอื
เชยี งทองและเวยี งจนั ทน์ เป็นตน้
การค้าทางน้ําของเชียงตุงอาจจะดูไม่โดดเด่นเท่ากับการค้าทางบก แต่สามารถ
ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ สภาพความเป็นเมอื งทา่ ทางการคา้ ขายของเชยี งตุงไดอ้ ยา่ งชดั เจน โดยเฉพาะการคา้ กบั
ลา้ นนาซง่ึ สามารถเดนิ ทางจากเชยี งตุงลงมายงั กลุ่มเมอื งเชยี งแสน เชยี งราย พะเยา และน่านโดย

1มาโนช พรหมปญั โญ. (2547). เลม่ เดมิ . หน้า 56.
2ชวศิ า ศริ .ิ (2550). เลม่ เดมิ . หน้า 163.

95

อาศยั เสน้ ทางน้ํา สะท้อนใหเ้ หน็ มติ ใิ นการคา้ ของเชยี งตุงท่มี ตี ่อหวั เมอื งล้านนาท่ไี ม่ไดม้ จี ํากดั แค่
การคา้ ทางบกเทา่ นนั้

2.2 ระบบเศรษฐกิจ
ปจั จยั ทส่ี ง่ เสรมิ พฒั นาการทางเศรษฐกจิ ของรฐั ในยุคจารตี มอี ยหู่ ลากหลายปจั จยั ซง่ึ แต่ละ
ปจั จยั เป็นสงิ่ ทเ่ี สรมิ ใหเ้ ชยี งตุงมคี วามสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ การคา้ กบั ลา้ นนาในยุคพมา่ ปกครอง ซง่ึ
ปจั จยั หลกั เช่น สนิ คา้ พ่อคา้ และระบบเงนิ ตรา เป็นต้น ดงั นัน้ รูปแบบความสมั พนั ธ์ทางการคา้ ท่ี
เชยี งตุงมตี ่อหวั เมอื งล้านนาได้สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงสภาพทวั่ ไปของเศรษฐกจิ การคา้ บรเิ วณภูมภิ าค
เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตใ้ นยคุ จารตี ซง่ึ สามารถพอทจ่ี ะแจกแจงใหเ้ หน็ รายละเอยี ดได้ ดงั น้ี

2.2.1 สินค้า
ในอดตี การคา้ ขายโดยใชเ้ งนิ ตราเป็นส่อื กลางในการแลกเปลย่ี นมอี ยใู่ นวงจาํ กดั และไม่
มากนัก มีเพียงบางกลุ่มชนเท่านัน้ ท่ีรู้จกั การใช้เงนิ ตรา ดงั นัน้ การค้าขายช่วงแรกจึงใช้วิธีการ
แลกเปล่ยี นสนิ คา้ กนั โดยตรง ซ่งึ สนิ คา้ โดยมากจะเป็นผลผลติ ทางการเกษตร ขา้ วของเคร่อื งใชใ้ น
ชวี ติ ประจาํ วนั ตลอดจนผลผลติ จากธรรมชาติ ซง่ึ เป็นสนิ คา้ ทน่ี ํามาแลกเปลย่ี นกนั เม่อื ววิ ฒั นาการ
ของชาวพน้ื เมอื งมมี ากขน้ึ ทาํ ใหส้ นิ คา้ ทางการเกษตรมกี ารเปลย่ี นแปลงรปู แบบมากขน้ึ จนกลายเป็น
สนิ คา้ อปุ โภคบรโิ ภคทจ่ี าํ เป็นในชวี ติ ประจาํ วนั
สนิ ค้าท่มี กี ารซ้ือขายแลกเปล่ยี นกนั ระหว่างพ่อค้าพ้นื เมอื งชาวเชยี งตุงกบั หวั เมอื ง
ลา้ นนามอี ย่หู ลากหลายประเภทดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ขา้ ว ฝ้าย พรกิ หมาก พลู ใบชา งา ถวั่ ใบยาสูบ
เกลอื สนิ เธาว์ สเี สยี ด ขงิ ขา่ ครงั่ น้ํารกั ชา้ ง เสอื ดาว เสอื โคร่ง หมดี าํ นกยงู ชะมดเชด็ นกเกา้ หาง
เต่าหกขา งาช้าง เขากวาง นอแรด ไม้สกั ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ไม้แดง ไม้จนั ทน์หอม น้ําผ้งึ ไม้
ตะเคียน ไม้เต็ง ไม้แสม ไม้มะค่าโมง เปลือกสน ลูกกระวาน น้ํายางสน ยางรกั กํายาน การบูร
อบเชย กานพลู ดปี ลี ทาส เคร่อื งเคลอื บ เคร่อื งปนั้ ดนิ เผา เคร่อื งเขนิ ผา้ ทอ เคร่อื งจกั สานต่างๆ
เคร่อื งมอื ทางการเกษตร สตั วเ์ ล้ยี งไว้ใช้งาน สตั ว์เล้ยี งเพ่อื เป็นอาหาร ปลา แร่ทองคํา แร่เงนิ แร่
เหล็ก สําริด อัญมณีต่างๆ ตลอดจนสินค้าฟุ่มเฟือยจากตะวันตก เป็นต้น สินค้าเหล่าน้ีมีการ
หมุนเวยี นเพ่อื ซ้อื ขายกนั ในหวั เมอื งล้านนาโดยผ่านพ่อคา้ ชาวเชยี งตุงและพ่อคา้ ชาวจนี เป็นหลกั
เน่ืองจากคนกลุ่มน้ีมคี วามชํานาญในการเดนิ ทางในระยะทางทไ่ี กล โดยมกี ารขนส่งสนิ คา้ แต่ละครงั้
เป็นจาํ นวนมากและเดนิ ทางเป็นกองคาราวาน
2.2.2 บทบาทของตลาดการค้า
การคา้ ตงั้ แต่ยุคจารตี ในแต่ละอาณาจกั รยอ่ มมเี มอื งศูนยก์ ลางทางการคา้ ทม่ี ที งั้ ขนาด
ใหญ่และขนาดเลก็ โดยมหี น้าทเ่ี ป็นศูนยร์ บั และกระจายสนิ คา้ ไปยงั หวั เมอื งต่างๆ ตลอดจนกระจาย
ไปยงั ดนิ แดนอ่นื ๆ ท่ที ําการค้า ดงั นัน้ สภาพการค้าภายในดนิ แดนล้านนาและเชยี งตุงในยุคพม่า
ปกครองนัน้ มเี มอื งทส่ี าํ คญั อย่หู ลายเมอื ง เช่น เชยี งใหม่ เชยี งแสน เชยี งราย เชยี งตุง ลําปาง และ
ฝาง เป็นตน้ โดยเฉพาะเชยี งตุงเป็นเมอื งทม่ี คี วามสาํ คญั ทงั้ ทางการคา้ และการเมอื งการปกครอง ทม่ี ี
อาณาเขตตดิ ต่อกบั จนี ทางตอนใต้ และพอ่ คา้ ชาวจนี เหลา่ น้ีเดนิ ทางผา่ นเชยี งตุงเพอ่ื ทาํ การคา้ อยเู่ ป็น

96

ประจํา และมจี ํานวนเพมิ่ มากขน้ึ ทุกปี ดงั นัน้ ระบบเศรษฐกจิ ของลา้ นนาจงึ ไม่สามารถแยกออกจาก
เชยี งตุงได้ อกี ทงั้ พ่อค้าเชยี งตุงยงั เป็นพ่อคา้ คนกลางท่สี ําคญั ในการกระจายสนิ คา้ ใหก้ บั หวั เมอื ง
ล้านนา อน่ึงจากสภาพท่เี ชยี งตุงกบั ล้านนาเป็นเมอื งขน้ึ พม่าเช่นกนั ทําใหก้ ารค้าขายในดนิ แดน
ล้านนาของพ่อค้าชาวเชยี งตุงมมี ากข้นึ และสามารถเขา้ ถึงตลาดการค้าหรอื หวั เมอื งสําคญั ด้าน
การคา้ งา่ ยขน้ึ สง่ ผลใหห้ วั เมอื งต่างๆ มคี วามสมั พนั ธก์ บั เมอื งเชยี งตุงเพมิ่ มากขน้ึ โดยมรี ะบบการคา้
เป็นตวั เชอ่ื มความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั ในสงั คม

2.2.3 ระบบเงินตรา
จากท่ีได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าการค้าของอาณาจักรล้านนาในอดีตนัน้ มีการใช้
เงนิ ตราเป็นส่อื กลางในการแลกเปล่ยี นอยู่น้อยมาก และเงนิ ตรามใี ช้อยู่อย่างจํากดั การค้าในช่วง
ระยะทอ่ี าณาจกั รลา้ นนาอย่ภู ายใต้การปกครองจากราชวงศม์ งั ราย การคา้ ขายมลี กั ษณะทเ่ี ป็นการ
แลกเปล่ยี นกนั โดยตรง เงนิ ตรามใี ช้เฉพาะกลุ่มชนชนั้ สูงหรอื ชนชนั้ ผูป้ กครอง ท่นี ําเงนิ ตรามาใช้
แลกเปลย่ี นสนิ คา้ กบั พอ่ คา้ ต่างเมอื ง เชน่ พอ่ คา้ จากจนี พอ่ คา้ เมอื งใต้ หรอื แมแ้ ต่พอ่ คา้ ชาวตะวนั ตก
ทเ่ี ขา้ มาในชว่ งปลายของราชวงศม์ งั ราย เป็นตน้
เงนิ ตราเขา้ มาแพร่หลายในดนิ แดนลา้ นนาช่วงพม่าเขา้ มาปกครอง เน่ืองจากพม่าให้
ความสาํ คญั กบั การคา้ ในลา้ นนามาก ทาํ ใหน้ โยบายการปกครองลา้ นนาและเมอื งประเทศราชต่างๆ
ของพมา่ มจี ุดประสงคเ์ พอ่ื ตอ้ งการแสวงหาผลประโยชน์เขา้ สรู่ าชสาํ นกั ของตนเป็นหลกั ดงั นนั้ ทาํ ให้
เชยี งตุงซ่งึ เป็นดนิ แดนตน้ ทางการคา้ ทางไกลระหว่างลา้ นนากบั ดนิ แดนจนี ตอนใตไ้ ดม้ บี ทบาทมาก
ขน้ึ โดยเฉพาะเชยี งตุงเป็นพ่อคา้ ทส่ี ําคญั ทม่ี บี ทบาทในระบบการคา้ ระหว่างหวั เมอื ง โดยทําหน้าท่ี
เป็นพอ่ คา้ คนกลางทส่ี าํ คญั เน่ืองจากภมู ปิ ระเทศของดนิ แดนลา้ นนามลี กั ษณะเป็นภเู ขาสงู ชนั ยากต่อ
การเดินทาง พ่อค้าชาวจนี ไม่มคี วามชํานาญในการเดนิ ทางบนพ้นื ท่ๆี มคี วามทุรกนั ดาร ดงั นัน้
พอ่ คา้ เชยี งตุงจงึ เปรยี บเสมอื นตวั เช่อื มระบบการคา้ ระหวา่ งพอ่ คา้ ชาวจนี กบั ดนิ แดนลา้ นนา และจาก
ข้อจํากัดในการเดินทางของพ่อค้าชาวจีนดังกล่าวน้ีเอง ทําให้พ่อค้าเชียงตุงสามารถสร้าง
ความสมั พนั ธด์ า้ นการคา้ กบั หวั เมอื งลา้ นนาไดส้ ะดวกมากขน้ึ
จากข้อความขา้ งต้นเม่อื การค้าขยายตวั เพมิ่ มากข้นึ เงนิ ตราจงึ กลายเป็นส่อื กลาง
สําคญั และจําเป็นในการค้าขาย ระบบเงนิ ตราชนิดแรกท่ีถูกใช้ในล้านนา สนั นิษฐานได้ว่าเป็น
เงนิ ตราจากจนี ต่อมาล้านนามกี ารผลติ ข้นึ ไว้ใชเ้ องในแต่ละเมอื งโดยเมอื งท่มี เี งนิ ตราใชเ้ ป็นของ
ตนเองจะเป็นเมอื งศูนยก์ ลางทางการคา้ ซ่งึ จากเงนิ ตราทพ่ี บในดนิ แดนลา้ นนามที งั้ เงนิ ตราของจนี
เชยี งใหม่ ลาํ ปาง เชยี งแสน เชยี งราย และน่าน เป็นตน้ ดา้ นเงนิ รปู ีของอนิ เดยี สนั นิษฐานไดว้ า่ น่าจะ
ถูกนําเขา้ มาใชใ้ นช่วงราชวงศ์อลองพญาท่ปี กครองลา้ นนาในระยะเวลาอนั สนั้ พฒั นาการทางดา้ น
เงนิ ตราทําใหด้ นิ แดนล้านนามคี วามสําคญั ตลอดจนเป็นดนิ แดนท่มี กี ารหมุนเวยี นของสนิ คา้ และ
เงนิ ตรา โดยผ่านการคา้ ขายในระบบทางไกลโดยมพี ่อคา้ จนี และพอ่ คา้ ชาวเชยี งตุงเป็นผทู้ ม่ี บี ทบาท
ทางการคา้ สาํ คญั

97

2.2.4 ฐานะและอาํ นาจของพ่อค้า
ความเจรญิ ทางดา้ นการคา้ ในอาณาจกั รล้านนาส่งผลใหก้ ลุ่มชนชนั้ สูง และผูน้ ําชาว
พ้นื เมอื งมบี ทบาททางการคา้ มากขน้ึ การค้าเป็นแหล่งผลประโยชน์ท่สี ร้างความมงั่ คงั่ ใหก้ บั ราช
สํานักพม่า อย่างไรก็ดีความมงั่ คงั่ ไม่ได้ถูกจํากัดท่ีราชสํานักพม่าแต่เพยี งอย่างเดียว อีกทงั้ ยงั
เสรมิ สรา้ งความมงั่ คงั่ ใหก้ บั บรรดาขุนนางพน้ื เมอื งทท่ี ําการคา้ ในรูปแบบต่างๆ ก่อนพม่าจะเขา้ มา
ปกครองล้านนาความมงั่ คงั่ ของขุนนางพ้นื เมอื งเคยปรากฏมาตงั้ แต่ยุคราชวงศ์มงั รายปกครอง
ลา้ นนา จนทาํ ใหเ้ กดิ ความวนุ่ วายทางการปกครองจนเป็นเหตุใหพ้ มา่ เขา้ ปกครองลา้ นนาไดใ้ นทส่ี ดุ
ดงั นนั้ ฐานะของพอ่ คา้ จงึ เป็นสงิ่ สาํ คญั มาก เพราะขนุ นางชาวพน้ื เมอื งเป็นผทู้ ม่ี บี ทบาท
ในการคา้ ขาย และสามารถนําความมงั่ คงั่ ทไ่ี ดร้ บั จากการคา้ ขายไปพฒั นาความเจรญิ ในดา้ นต่างๆ
ของบา้ นเมอื ง สงั เกตจากนโยบายการปกครองลา้ นนาของพมา่ ทพ่ี ยายามลดทอนอาํ นาจของขนุ นาง
พ้นื เมอื งชาวล้านนา โดยการส่งขุนนางพม่าในระดบั ต่างๆ เข้ามาประจําอยู่ตามหวั เมอื งล้านนา
เน่ืองจากการคา้ ทางไกลสามารถทํากําไรใหก้ บั ขุนนางพน้ื เมอื งและพ่อคา้ อย่างมาก อย่างไรกด็ เี ม่อื
ราชวงศ์อลองพญาเขา้ มาปกครองลา้ นนาในช่วงปลายและปกครองลา้ นนาอย่างเขม้ งวด ทําใหก้ าร
กบฏขน้ึ หลายครงั้ จนทาํ ใหล้ า้ นนาสามารถขบั ไล่พมา่ ออกจากดนิ แดนลา้ นนาไดใ้ นทส่ี ดุ โดยการไดร้ บั
ความชว่ ยเหลอื จากสยาม
2.2.5 กล่มุ คนท่ีมีความสมั พนั ธก์ บั ระบบการค้า
จากสภาพการค้าท่มี คี วามเจรญิ รุ่งเรอื งเป็นอย่างมาก ทําใหค้ วามสมั พนั ธ์ทางด้าน
การคา้ ระหวา่ งเชยี งตุงและลา้ นนา มกี ลุ่มคนทส่ี รา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั อยหู่ ลากหลายกลุ่ม เช่น
ระหว่างพ่อคา้ เชยี งตุงและพ่อชาวพน้ื เมอื ง พ่อคา้ เชยี งตุงกบั ผูป้ กครองชาวพน้ื เมอื ง พ่อคา้ เชยี งตุง
กบั ผูป้ กครองชาวพม่า เป็นตน้ เช่น ในยุคทพ่ี ม่าปกครองลา้ นนาช่วงทา้ ยนัน้ เมอ่ี หนานทพิ ยช์ า้ ง
สามารถขบั ไล่ทหารลาํ พนู ออกจากลําปางไดส้ าํ เรจ็ พระอธกิ ารวดั ชมภูและบรรดาราษฎรชาวลําปาง
จงึ ไดก้ ระทาํ การปราบดาภเิ ษกเจา้ ทพิ ยเ์ ทพบุญเรอื นหรอื หนานทพิ ยช์ า้ งขน้ึ เป็น “ เจา้ พญาสลุ ะวะฦา
ไชยสงคราม ” เม่อื ไดค้ รองลําปางโดยการสนับสนุนของราษฎรชาวลําปาง เจา้ พญาสุละวะฦาไชย
สงครามเห็นว่าหากจะปกครองบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยจึงต้องได้รับการแต่งตัง้ จาก
พระมหากษตั รยิ ท์ อ่ี งั วะ(ระยะนนั้ ลา้ นนายงั อย่ภู ายใตก้ ารปกครองของพม่า) เจา้ พญาสุละวะฦาไชย
สงครามจงึ เดนิ ทางไปยงั เมอื งเชยี งตุง เพ่อื ใหข้ ุนนางพม่าและเจา้ ฟ้าเมอื งเชยี งตุงพาเจา้ พญาสุละ-
วะฦาไชยสงครามเดนิ ทางนําเคร่อื งราชบรรณาการไปราชสํานักพม่า เพ่อื ขอรบั การแต่งตงั้ เป็นเจา้
เมอื งจากกษตั รยิ พ์ มา่ เพ่อื สรา้ งความชอบธรรมตลอดจนความปลอดภยั ของราษฎร ซง่ึ บนั ทกึ กล่าว
ไวว้ า่

98

เจา้ พระยาสลุ ะวะลอื ไชยร่าํ เพงิ วา่ แผน่ น้ําหนงั ดนิ กบ็ ม่ ใี ผปงหอ้ื เทา่ มแี ตป่ ระชาราษฎร์
บา้ นเมอื ง หากยกยอหอ้ื เจา้ เป็นใหญ่ จง่ิ มปี ณั ณาการฝากดอกไมค้ นั ทอใชไ้ ปเถงิ โปม่ า่ นหนองมยุ ยงั เมอื ง
เชยี งตุง ขอเป็นทก่ี ราบไหว้ ทลู ไหวส้ าเถงิ กษตั รยิ เ์ จา้ องั วะโปห่ นองมยุ ไดแ้ จง้ แลว้ กล็ งไปไหวส้ าปฏบิ ตั กิ ราบทลู
กษตั รยิ อ์ งั วะ กษตั รยิ ก์ จ็ งิ่ ปงวางแผน่ น้ําหนงั ดนิ เมอื งละครหอ้ื แลว้ ทา่ ใสช่ อ้ื หอ้ื แถมใหมว่ า่ พระยาไชยสงครามแล...1

จากขอ้ ความทค่ี ดั มาดงั กล่าว จะเหน็ ไดว้ ่าเมอื งเชยี งตุงกบั เมอื งลําปางมคี วามสมั พนั ธ์
ท่ีดีต่อกัน โดยผ่านทางการค้าท่ีมีความสัมพันธ์กันมาเป็นระยะเวลานาน หากวิเคราะห์จาก
เหตุการณ์การเดนิ ทางไปยงั เชยี งตุงของเจา้ พญาสุละวะฦาไชยสงคราม เพ่อื ใหเ้ จา้ ฟ้าเมอื งเชยี งตุง
กบั ขนุ นางพมา่ พาไปยงั ราชสาํ นกั พมา่ เพอ่ื ขอรบั ตําแหน่งเจา้ ครองเมอื งลําปางนนั้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ
ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงกับเมืองลําปางมีความใกล้ชิดกันมาก ซ่ึงเป็นผลท่ีเกิดข้ึนจาก
ความสมั พนั ธท์ างการคา้ เป็นหลกั

2.2.6 การขยายตวั ของหวั เมืองต่างๆ ในพระราชอาณาเขต
ในยุคท่พี ม่าปกครองล้านนาเมอื งศูนยก์ ลางทางการคา้ ขนาดต่างๆ มขี นาดใหญ่ข้นึ
ทงั้ ตวั เมอื ง และบรเิ วณตลาดทม่ี กี ารคา้ หนาแน่น จากทไ่ี ดก้ ล่าวขา้ งต้นว่าการคา้ ทางไกลเป็นหวั ใจ
หลกั ของการคา้ ระหว่างเชยี งตุงกบั หวั เมอื งลา้ นนา ดงั นนั้ บรรดาเมอื งศูนยก์ ลางทางการคา้ จงึ มกี าร
เตบิ โตและกา้ วขน้ึ มามบี ทบาทเป็นอย่างมาก ทงั้ ในดา้ นเศรษฐกจิ และการเมอื ง เช่น เมอื งเชยี งแสน
สามารถยกฐานะจากเมอื งภายใต้การปกครองของขุนนางพม่าท่ีเชียงใหม่ เม่อื การค้าทางไกล
ขยายตวั มากขน้ึ เมอื งการคา้ ทส่ี าํ คญั อยา่ งเชยี งแสนจงึ ถูกราชสาํ นกั พม่าปกครองโดยตรง และไมข่ น้ึ
ตรงต่อเมอื งเชยี งใหม่อีกต่อไป อีกทงั้ ยงั เป็นการตดั ผลประโยชน์ทางการค้าของขุนนางพม่าใน
เชยี งใหม่ ดงั นัน้ เชยี งใหม่จงึ เป็นเพยี งเมอื งท่มี กี องกําลงั ทหารท่แี ขง็ แกร่ง เชยี งแสนจงึ กลายเป็น
เมอื งศูนยก์ ลางทางการคา้ แทนทเ่ี ชยี งใหม่ตงั้ แต่ราชวงศ์นยองยานปกครองลา้ นนา สนั นิษฐานว่า
เชยี งแสนไดแ้ ยกตวั ออกจากการบรหิ ารบา้ นเมอื งจากเชยี งใหมต่ งั้ แต่รชั สมยั พระเจา้ ตะลุนเป็นตน้ มา
จากกรณีเมอื งเชยี งแสนสะทอ้ นถงึ การขยายตวั ของเมอื ง เน่ืองดว้ ยประจกั ษ์ในความ
เจรญิ รุ่งเรอื งดา้ นการคา้ ส่งผลใหร้ าชสํานักพม่าแยกเมอื งเชยี งแสนออกจากเมอื งเชยี งใหม่ เพ่อื ส่ง
ขนุ นางพมา่ ไปปกครองโดยราชสาํ นกั พมา่ และตอ้ งการตดั ผลประโยชน์ดา้ นการคา้ ของเชยี งใหม่

1สมหมาย เปรมจติ ต.์ (2540). เลม่ เดมิ . หน้า 119.

99

3. ความสมั พนั ธท์ างการค้าท่ีส่งผลสงั คมและวฒั นธรรมในยคุ พม่าปกครอง

ในช่วงพม่าปกครองล้านนาความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงกับอาณาจักรล้านนานัน้
ก่อใหเ้ กดิ การเช่อื มโยงทางวฒั นธรรมหรอื แมแ้ ต่การอพยพเคล่อื นยา้ ยของกลุ่มคนเพ่อื เขา้ มาตงั้ ถนิ่
ฐานตามย่านการค้าต่างๆ ท่ีขยายตัวข้ึนมาในช่วงน้ี ทําให้ล้านนาเป็นดินแดนท่ีมีประชากรท่ี
หลากหลาย เป็นสงั คมพหุวฒั นธรรม ซ่งึ การคา้ ในยุคพม่าปกครองทม่ี คี วามเจรญิ อย่างมาก ทําให้
เกิดปจั จยั ในการเดินทางเข้ามาอยู่ในล้านนาเพ่อื แสวงหาผลประโยชน์จากการค้า ดงั นัน้ ทําให้
ลกั ษณะทางดา้ นสงั คมและวฒั นธรรมทม่ี อี ยใู่ นลา้ นนาเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ

3.1 การแลกเปล่ียนทางวฒั นธรรมด้านต่างๆ
การเคล่อื นยา้ ยถนิ่ ฐานมปี รากฏตงั้ แต่ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ จากปรากฏการณ์เหล่าน้ีได้
ทําใหเ้ กดิ การหลอมรวมทางดา้ นวฒั นธรรม อนั เป็นผลมาจากสภาพทางสงั คม วฒั นธรรม รวมถึง
ลกั ษณะทางกายภาพทม่ี คี วามแตกต่างกนั นํามาซง่ึ การผสมผสานทางดา้ นวฒั นธรรมระหว่างกลุ่ม
คนทเ่ี คล่อื นยา้ ยถนิ่ เขา้ มากบั กลุม่ ชนพน้ื เมอื งทอ่ี าศยั อยใู่ นลา้ นนามาแต่เดมิ
เม่อื การค้าในล้านนารุ่งเรอื งข้นึ จากการค้าทางไกล พ่อค้าจากดนิ แดนต่างๆ เขา้ มาทํา
การคา้ ในดนิ แดนลา้ นนามากขน้ึ สง่ ผลใหล้ า้ นนามสี ภาพเป็นดนิ แดนทม่ี คี วามหลากหลายมากขน้ึ ยง่ิ
อยภู่ ายใตก้ ารปกครองของพมา่ ซง่ึ นโยบายของพมา่ ในการปกครองลา้ นนาสง่ ผลกบั การคา้ โดยตรง
เน่ืองจากอาณาจกั รลา้ นนาเป็นแหล่งรายไดใ้ หก้ บั ราชสาํ นักพม่า และผลอ่นื ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามมา คอื
พอ่ คา้ ทเ่ี ดนิ ทางเขา้ มาประกอบการคา้ ในลา้ นนาเป็นจาํ นวนมาก เชน่ พอ่ คา้ ชาวจนี เงย้ี ว ไทใหญ่ ลอ้ื
พม่า อนิ เดยี และชนเผ่าต่างๆ เป็นต้น กล็ ว้ นเป็นกลุ่มคนทท่ี ําใหอ้ าณาจกั รลา้ นนาเป็นยุคทองแห่ง
การคา้ และสงิ่ เหล่าน้ีลว้ นทําใหเ้ กดิ วฒั นธรรมท่ผี สมผสานกนั ระหว่างกลุ่มคนทเ่ี คล่อื นยา้ ยถน่ิ ฐาน
กบั ชาวพน้ื เมอื ง โดยแต่ละกลุ่มคนต่างกม็ เี อกลกั ษณ์ทางดา้ นวฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างกนั แต่กส็ ามารถ
อยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสนั ตสิ บื มา
3.2 ความเป็นสงั คมนานาชาติของอาณาจกั รล้านนา
การเคล่อื นยา้ ยถน่ิ ฐานทไ่ี ดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ เป็นการทาํ ใหด้ นิ แดนลา้ นนามสี ภาพเป็นสงั คม
นานาชาตใิ นเวลาต่อมาและมอี ยหู่ ลากหลายกลุ่มดว้ ยกนั ซง่ึ การยา้ ยถน่ิ ฐานเพ่อื ทําการเกษตรและ
การคา้ สง่ ผลใหด้ นิ แดนลา้ นนามคี วามหลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ เรม่ิ ตงั้ แต่พมา่ เขา้ มาปกครองลา้ นนา
และนโยบายทางการปกครองของพม่าส่งผลใหพ้ ่อคา้ ชาวพม่าเดนิ ทางเขา้ มาเพ่อื สรา้ งหา้ งรา้ นใน
การคา้ ขาย เมอื งทม่ี พี อ่ คา้ พมา่ เขา้ มาทาํ การคา้ อยจู่ าํ นวนมาก ไดแ้ ก่ เมอื งเชยี งใหม่ และลาํ ปาง การ
ยา้ ยถน่ิ ฐานไม่ไดจ้ ํากดั เพยี งแค่พ่อคา้ พม่าแต่เพยี งกลุ่มเดยี ว หากแต่พ่อคา้ พม่าเป็นกลุ่มทย่ี า้ ยถน่ิ
ฐานมาอยู่ในลา้ นนาเป็นจํานวนมากท่สี ุด กลุ่มพ่อคา้ ต่างเมอื งเม่อื เขา้ มาไดอ้ ยู่แบบกระจดั กระจาย
ตามหวั เมอื งต่างๆ เมอื งลําปางเป็นเมอื งทม่ี พี ่อคา้ ชาวพม่าอาศยั อยู่มากทส่ี ุดในช่วงปลายสมยั การ
ปกครองลา้ นนาของพมา่ เน่ืองจากสภาพทางการเมอื งในเชยี งใหมเ่ กดิ ความวุน่ วาย หลงั จากนนั้ เม่อื
กองทพั พระเจ้ากรุงธนบุรรี ่วมมอื กบั กองทพั ผู้ปกครองท้องถ่ินชาวพ้นื เมอื ง ขบั ไล่พม่าออกจาก
ลา้ นนาไดส้ าํ เรจ็ ใน พ.ศ. 2317 พอ่ คา้ ชาวพมา่ ไดท้ ยอยเดนิ ทางออกจากลา้ นนาและทห่ี ลงเหลอื มอี ยู่

100

ไม่มาก ส่วนพ่อคา้ ทเ่ี ดนิ ทางมาอยู่ในลา้ นนาแทนทพ่ี ่อคา้ ชาวพม่าคอื พ่อคา้ ชาวจนี ซง่ึ ขยายจํานวน
เพมิ่ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ และมบี ทบาททางการคา้ แทนพอ่ คา้ ชาวพมา่ ในชว่ งระยะเวลาต่อมา

3.3 การเปล่ียนแปลงทางสงั คม
การค้าทางไกลในยุคพม่าปกครองมสี ่วนท่ที ําใหส้ งั คมล้านนามกี ารเปล่ยี นแปลงไปมาก
เน่ืองจากการคา้ ทางไกลสง่ ผลทาํ ใหม้ กี ารเคล่อื นยา้ ยถนิ่ ฐาน การเปลย่ี นแปลงทางการผลติ สนิ คา้ เพอ่ื
ป้อนเขา้ สตู่ ลาดการคา้ ตลอดจนสง่ ผลถงึ ความสมั พนั ธก์ นั ระหว่างพอ่ คา้ เชยี งตุงกบั ชาวลา้ นนาทไ่ี ด้
ตดิ ต่อทาํ การคา้ ระหวา่ งกนั
นโยบายการปกครองของพมา่ ทม่ี คี วามเขม้ งวดเป็นอยา่ งมาก เป็นเหตุผลสาํ คญั ทส่ี ง่ ผลต่อ
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเชยี งตุงกบั ลา้ นนาใหเ้ ปลย่ี นไป เกดิ ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งอยา่ งแนบแน่น
โดยมีผู้ปกครองคนเดียวกัน ตลอดจนมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือเครือญาติ ดังนั้น
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเชยี งตุงกบั หวั เมอื งลา้ นนาจงึ ปรบั เปลย่ี นใหก้ ารคา้ เป็นสว่ นเช่อื มความสมั พนั ธ์
ระหว่างกนั เม่อื การคา้ ทางไกลมคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งมากขน้ึ สภาพสงั คมของลา้ นนาจงึ เปลย่ี นแปลง
ไปเน่ืองจากหลายๆ ดา้ น เช่น การขยายตวั ของเมอื ง การผลติ สนิ คา้ เพ่อื การคา้ ดงั นนั้ การขยายตวั
ทางการคา้ ส่งผลทําใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมในอาณาจกั รลา้ นนาดว้ ย ซ่งึ สงั คมลา้ นนาแต่
เดมิ เป็นสงั คมเกษตรกรรม เม่อื การค้าขยายตวั มากขน้ึ โดยเฉพาะการค้าทางไกล ความต้องการ
สนิ คา้ มจี ํานวนเพมิ่ มากขน้ึ ดงั นัน้ ลกั ษณะการทําเกษตรกรรมของลา้ นนาจงึ เปลย่ี นไปเป็นการผลติ
เพอ่ื ป้อนผลผลติ เขา้ ส่รู ะบบการคา้ ทาํ ใหเ้ มอื งการคา้ มขี นาดใหญ่และเตบิ โตมากขน้ึ เช่น เมอื งเชยี ง
แสน และเมอื งลาํ ปาง ซง่ึ เมอื งการคา้ เหล่าน้ีมกี ารขยายขน้ึ เพ่อื รองรบั การคา้ ทข่ี ยายตวั มพี อ่ คา้ ต่าง
เมอื ง พอ่ คา้ ชาวอนิ เดยี พ่อคา้ ชาวจนี และพ่อคา้ ชาวพมา่ เขา้ มาทาํ การคา้ มากขน้ึ ดว้ ยปจั จยั เหล่าน้ี
ทาํ ใหล้ กั ษณะทางสงั คมในหวั เมอื งลา้ นนามคี วามหลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ และทาํ ใหล้ กั ษณะสงั คม
ของลา้ นนาเปลย่ี นไปจากสงั คมชาวพน้ื เมอื งเป็นสงั คมนานาชาตมิ าจนกระทงั่ ถงึ ในปจั จบุ นั
กล่าวโดยสรุป ผลของความสมั พนั ธท์ างการคา้ ระหวา่ งเชยี งตุงกบั ลา้ นนาทเ่ี กดิ ขน้ึ สง่ ผล
ให้เกิดการเปล่ียนแปลงในด้านต่างๆ โดยมีการเปล่ียนแปลงด้านการเมืองการปกครอง การ
เปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และการเปลย่ี นแปลงทางดา้ นสงั คมวฒั นธรรม โดยเฉพาะความสมั พนั ธ์
ทางการคา้ ระหว่างเชยี งตุงและลา้ นนาในสมยั ทพ่ี มา่ ปกครองลา้ นนาเป็นปจั จยั หน่ึงทท่ี ําใหเ้ กดิ ความ
เปลย่ี นแปลงของระบบการคา้ ทงั้ ภายในและภายนอกพระราชอาณาเขตทเ่ี คยมมี าก่อนหน้าน้ี และ
สงิ่ เหล่าน้ีไดส้ ง่ ผลสบื เน่ืองมาถงึ ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ ระหว่างภาคเหนือตอนบนของประเทศ
ไทยกบั รฐั ฉาน ซง่ึ เป็นพน้ื ทห่ี น่ึงในการปกครองของสาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมยี นมารใ์ นปจั จบุ นั

101

บทท่ี 7
บทสรปุ

เมอื งเชยี งตุงและอาณาจกั รลา้ นนาเป็นพน้ื ทท่ี ม่ี คี วามสาํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรม์ าตงั้ แต่อดตี
โดยเฉพาะอาณาจกั รล้านนาท่ีมีบทบาทและความสําคญั ในฐานะศูนย์กลางการเมืองการปกครอง
เศรษฐกจิ และสงั คมวฒั นธรรมของพน้ื ท่ภี าคเหนือตอนบน จากลกั ษณะดงั กล่าวทําใหเ้ มอื งเชยี งตุงมี
ความสาํ คญั ในฐานะเป็นเมอื งหน้าดา่ นทส่ี าํ คญั เมอื งหน่ึงในขอบขณั ฑสมี าของอาณาจกั รลา้ นนา และเป็น
ศนู ยก์ ลางทางเศรษฐกจิ ของอาณาจกั รลา้ นนาทางตอนเหนือในยคุ จารตี ประกอบกบั ดนิ แดนทงั้ สองต่างมี
ความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งยาวนาน เน่ืองดว้ ยการมพี รมแดนทต่ี ดิ กนั เป็นประการสาํ คญั

เป็นท่ยี อมรบั กนั โดยทวั่ ไปว่าภายหลงั จากท่พี ระยามงั รายไดส้ ถาปนาอาณาจกั รล้านนาข้นึ
บรเิ วณภาคเหนือของประเทศไทย และพ้นื ท่บี างส่วนของรฐั ฉานใน พ.ศ. 1839 นัน้ เป็นช่วงท่ี
ความสมั พนั ธ์ระหว่างเมอื งเชยี งตุงและอาณาจกั รลา้ นนามคี วามใกล้ชดิ กนั มากขน้ึ ทงั้ ในทางการเมอื ง
เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม โดยสามารถแบ่งลกั ษณะความสมั พนั ธอ์ อกไดเ้ ป็นสองช่วงเวลา ชว่ งแรก
คอื ความสมั พนั ธน์ บั ตงั้ แต่สถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา พ.ศ.1839 ถงึ ก่อนยุคทพ่ี ม่าปกครองลา้ นนาใน
พ.ศ. 2101 และช่วงท่ี 2 เม่อื เรม่ิ การปกครองของพมา่ ในลา้ นนาจนถงึ สน้ิ สุดการปกครองของพมา่ ใน
ลา้ นนา พ.ศ. 2317

เชยี งตุงและลา้ นนามคี วามสมั พนั ธก์ นั ตงั้ แต่เรมิ่ สถาปนาอาณาจกั รลา้ นนา ผปู้ กครองของเชยี ง
ตุงและลา้ นนามคี วามเป็นเครอื ญาตกิ นั ภายหลงั จากทถ่ี ูกปกครองโดยพม่าแลว้ ทําใหค้ วามสมั พนั ธเ์ รม่ิ
ลดลง อย่างไรก็ตามดินแดนทงั้ สองยงั มคี วามสมั พนั ธ์ทางอ้อมอยู่ คอื ความสมั พนั ธ์ด้านการค้า ซ่ึง
สามารถสรา้ งความสมั พนั ธ์กนั โดยผ่านระบบการค้า อน่ึง จากระบบการคา้ ทางไกลท่มี กี ารตดิ ต่อกบั
ดนิ แดนทางตอนใตข้ องจนี ดงั นนั้ ขบวนสนิ คา้ ของพอ่ คา้ ชาวจนี ทเ่ี ดนิ ทางเขา้ มาคา้ ขายในลา้ นนาจงึ ตอ้ ง
ผา่ นทางเชยี งตุงเป็นหลกั และจุดหมายปลายทางของกลุ่มพ่อคา้ ทท่ี ําการคา้ ขายทางไกล คอื เชยี งใหม่
ทเ่ี ป็นศูนยก์ ลางของลา้ นนา ทําใหค้ วามสมั พนั ธ์ของเชยี งตุงและลา้ นนามกี ารตดิ ต่อกนั ทางดา้ นการคา้
เป็นหลกั

ชว่ งราชวงศน์ ยองยานปกครองพมา่ อยถู่ อื เป็นชว่ งระยะเวลาทม่ี กี ารสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
เชยี งตุงกบั ลา้ นนาอยา่ งมาก เพราะนโยบายของราชสาํ นกั พมา่ เน้นใหข้ นุ นางพมา่ เขา้ ไปช่วยปกครองหวั
เมอื งล้านนาตลอดจนเมอื งเชยี งตุงเพ่อื เกบ็ เกย่ี วผลประโยชน์ส่งไปยงั ราชสํานักพม่า ดงั นัน้ การคา้ จงึ มี
การขยายตวั มากขน้ึ โดยเฉพาะระบบการคา้ ทางไกล ซ่งึ เป็นแหล่งรายได้หลกั ของพม่านอกเหนือจาก
ส่วยอากรต่างๆ ทร่ี าษฎรชาวลา้ นนาตอ้ งจ่ายใหพ้ ม่าในอตั ราสูง เม่อื การคา้ ขยายตวั การตดิ ต่อซ้อื ขาย
แลกเปลย่ี นสนิ คา้ เป็นสงิ่ ทเ่ี ช่อื มความสมั พนั ธ์ของเชยี งตุงและลา้ นนาโดยผ่านการคา้ จงึ ทวคี วามสาํ คญั
มากขน้ึ ดงั นนั้ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างลา้ นนากบั เชยี งตุงในช่วงระยะเวลาน้ีเช่อื มกนั ดว้ ยการคา้ ทางไกลท่ี
ขยายตวั จาํ นวนพอ่ คา้ ชาวพมา่ มจี าํ นวนมากขน้ึ ในลา้ นนา เน่ืองจากราชสาํ นกั พมา่ ส่งเสรมิ ใหท้ าํ การคา้

102

สถานภาพทางการเมอื งมคี วามมนั่ คง ส่งผลทําใหก้ ารคา้ มคี วามรุ่งเรอื งมากขน้ึ ถงึ แมจ้ ะมปี ญั หาและ
อปุ สรรคเกดิ ขน้ึ บา้ ง แต่กไ็ มไ่ ดส้ ง่ ผลต่อการเปลย่ี นแปลงของระบบการคา้ ของดนิ แดนทงั้ สองมากนกั

กล่าวเฉพาะในทางการคา้ งานศกึ ษาทผ่ี า่ นมาสว่ นใหญ่นัน้ มกั จะอธบิ ายความสมั พนั ธท์ างการ
คา้ ระหว่างดนิ แดนทงั้ สองในช่วงสมยั ก่อนการยดึ ครองของพม่าว่าเป็นความเคล่อื นไหวท่เี กดิ ขน้ึ จาก
ความตอ้ งการของอาณาจกั รลา้ นนาเป็นหลกั ทจ่ี ะมนี โยบายสง่ เสรมิ การคา้ ใหเ้ พม่ิ มากขน้ึ ทงั้ น้ี เน่ืองจาก
เชยี งใหม่ไดด้ ํารงฐานะเป็นศูนยก์ ลางการปกครองของอาณาจกั รล้านนาในยุคราชวงศ์มงั รายปกครอง
และสามารถควบคมุ เสน้ ทางการคา้ บรเิ วณภาคเหนือตอนบนไดท้ งั้ หมด

สําหรบั ความสมั พนั ธ์ในช่วงท่พี ม่าได้ปกครองอาณาจกั รล้านนานัน้ งานศกึ ษาส่วนใหญ่มกั
มองขา้ มความสมั พนั ธท์ างการคา้ ระหว่างดนิ แดนทงั้ สอง ส่วนใหญ่จะเน้นถงึ บทบาททางการเมอื งของ
พน้ื ทส่ี ําคญั ๆ อย่างพม่า หรอื ล้านนามากกว่า ส่วนเมอื งทม่ี คี วามสําคญั เป็นลําดบั รองๆ อย่างเชยี งตุง
การศกึ ษาสว่ นใหญ่จะไม่ค่อยใหค้ วามสาํ คญั มากนกั ดงั นัน้ การศกึ ษาเร่อื งน้ีจงึ ถอื เป็นการเปิดประเดน็
ใหมท่ างการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรข์ องไทยกบั ดนิ แดนใกลเ้ คยี ง โดยใชว้ ธิ วี เิ คราะหแ์ ละประมวลผลโดยเน้น
การศกึ ษาเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธท์ างการคา้ ระหวา่ งเมอื งเชยี งตุงและลา้ นนาในยุคทพ่ี มา่ ปกครองลา้ นนา
เป็นหลกั

การเขา้ มายดึ ครองลา้ นนาโดยพมา่ ใน พ.ศ. 2101 นัน้ ส่งผลทาํ ใหค้ วามสมั พนั ธท์ างการคา้ ท่ี
ดาํ เนินอยกู่ อ่ นหน้าตอ้ งหยดุ ชะงกั ลง และมกี ารเปลย่ี นโฉมหน้าใหมไ่ ปสคู่ วามสมั พนั ธท์ ต่ี งั้ อยบู่ นฐานของ
เป้าหมายในระดบั ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ การคา้ มากขน้ึ โดยมรี าชสาํ นกั พมา่ อยเู่ บอ้ื งหลงั และเป็นผทู้ ม่ี ี
บทบาทสาํ คญั ในการกําหนดนโยบายการคา้ ของดนิ แดนทงั้ สอง ดงั นัน้ ในช่วงระยะเวลาทล่ี า้ นนาตกอยู่
ภายใต้การปกครองของพม่าตงั้ แต่ พ.ศ. 2101 ถงึ พ.ศ. 2317 ซง่ึ ระยะเวลาดงั กล่าวไดเ้ กดิ ความ
เปลย่ี นแปลงในพมา่ อยา่ งมาก กล่าวคอื มกี ารเปลย่ี นราชวงศถ์ งึ 3 ราชวงศ์ ดงั นนั้ การกําหนดนโยบาย
ในการปกครองทแ่ี ตกต่างกนั สง่ ผลทงั้ ทางการเมอื ง และระบบเศรษฐกจิ การคา้ เป็นอยา่ งมาก

พมา่ ปกครองอาณาจกั รลา้ นนาจนถงึ พ.ศ. 2317 เมอ่ื พระเจา้ กรงุ ธนบุรสี ามารถขบั ไล่พมา่ ออก
จากล้านนาและสถาปนาผู้ครองอาณาจกั รล้านนาใหม่ ทําให้ผู้ปกครองเมอื งต่างๆ ในล้านนาหนั มา
สวามภิ กั ดติ ์ ่อกรุงธนบุรแี ละกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ทําใหใ้ นสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น ความสมั พนั ธท์ างการ
คา้ ระหว่างเชยี งตุงกบั ลา้ นนาไดม้ กี ารเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ อยา่ งไรกด็ ี ในช่วงระยะเวลาทเ่ี ชยี งตุงกบั
ลา้ นนาไดอ้ ย่ภู ายใตก้ ารปกครองของราชวงศน์ ยองยาน ส่งผลโดยตรงต่อระบบการคา้ ใหม้ กี ารขยายตวั
และเป็นพน้ื ฐานของการคา้ ในยคุ ต่อมาจนกระทงั่ ถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ ปจั จุบนั การคา้ ชายแดนไทย – พมา่ ยงั คง
ดาํ เนินตามเสน้ ทางการคา้ เดมิ ทเ่ี คยมมี าตงั้ แต่ในอดตี

แต่อย่างไรกต็ ามถงึ แมว้ ่าพม่าจะพยายามควบคุมดนิ แดนทงั้ สองดงั กล่าวดว้ ยการเขา้ มาสวม
บทบาทของผนู้ ํานโยบายทางการคา้ ของดนิ แดนทงั้ สองใหเ้ จรญิ ขน้ึ แต่ในอกี ดา้ นหน่ึงกพ็ ยายามอาศยั
อาํ นาจทางเศรษฐกจิ และการคา้ ของเชยี งตุงและลา้ นนาเพ่อื ยกระดบั “สถานภาพของราชสาํ นกั พมา่ ” ซง่ึ
เพงิ่ ถูกสรา้ งขน้ึ มาอยา่ งรวดเรว็ ใหเ้ ตบิ โตขน้ึ เป็นศนู ยก์ ลางของสวุ รรณภมู ดิ ว้ ยเชน่ กนั

อาจสรุปไดว้ ่าความสมั พนั ธท์ างการคา้ ระหว่างเมอื งเชยี งตุงกบั ลา้ นนาในสมยั ทพ่ี ม่าปกครอง
ลา้ นนานัน้ ถอื ว่าเป็นตวั อยา่ งทผ่ี นู้ ําของทงั้ สองดนิ แดนจะใชศ้ กึ ษาทงั้ ส่วนทด่ี แี ละส่วนทบ่ี กพรอ่ งในการ

103

กําหนดนโยบายทางการคา้ ระหว่างเชยี งตุงและลา้ นนาเพ่อื ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ การคา้ ในยุคต่อมา
ดงั นัน้ อาจกล่าวได้ว่าความสมั พนั ธ์ทางการค้าระหว่างเชียงตุงกบั ล้านนาในระยะเวลาดงั กล่าวน้ีมี
ความสมั พนั ธก์ นั อยใู่ น 2 ลกั ษณะคอื ตอนแรกเป็นลกั ษณะดนิ แดนเลก็ ต่อดนิ แดนเลก็ มกี ารช่วยเหลอื
เก้อื กูลกนั ตงั้ แต่หลงั การเขา้ ปกครองของพม่าในลา้ นนาเป็นต้นมา ความสมั พนั ธก์ เ็ ปล่ยี นไปเป็นแบบ
ดนิ แดนมหาอํานาจกบั ดนิ แดนเลก็ พม่าพยายามทจ่ี ะเอาเปรยี บเชยี งตุงและลา้ นนาในทุกทาง และผนู้ ํา
ของทงั้ สองดนิ แดนกส็ ามารถหลกี เลย่ี งไดด้ ว้ ยดตี ลอดมา

จากประเดน็ ขา้ งตน้ ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดอ้ ภปิ รายมาทงั้ หมดน้ี ยอ่ มชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ผลของการศกึ ษา
สามารถอธบิ ายใหเ้ หน็ ถงึ ปรากฏการณ์ในประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ ในช่วง พ.ศ. 2101-2317 ผ่านการ
วเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ทางการคา้ ระหว่างเชยี งตุงกบั ลา้ นนา ทงั้ น้ีผวู้ จิ ยั ไดพ้ ยายามอธบิ ายเช่อื มโยงให้
เหน็ ปรากฏการณ์ดงั กล่าวในมติ ิของประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่ินอนั สมั พนั ธ์กบั บรบิ ทของอาณาจกั รล้านนา
ในชว่ งเวลาดงั กลา่ วโดยอาศยั ระเบยี บวธิ ที างประวตั ศิ าสตรใ์ นการวเิ คราะหเ์ ป็นสาํ คญั

อน่ึง ผวู้ จิ ยั ขอเสนอแนะผลจากการศกึ ษา 2 ประการ คอื เอกสารชนั้ ตน้ ทไ่ี ดม้ กี ารสาํ รวจพบ
สว่ นใหญ่จะเป็นเรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ตํานาน นิทานพน้ื บา้ น พน้ื เมอื งของหวั เมอื งใหญ่น้อยในภาคเหนือ ยง่ิ
ไปกว่านนั้ เอกสารบางฉบบั กช็ าํ รุดทรุดโทรมมาก ขาดการดูแลรกั ษา รวมทงั้ การจดั ระเบยี บเอกสารยงั
ไม่เรยี บรอ้ ยเพยี งพอ เป็นเหตุใหเ้ กดิ ความยากลําบากในการศกึ ษาคน้ ควา้ มาก และดว้ ยขอ้ จํากดั ดา้ น
ภาษาและเวลาของผู้วจิ ยั ทําใหง้ านวจิ ยั น้ีต้องอาศยั การศกึ ษาค้นคว้าจากเอกสารท่ปี รวิ รรตแล้ว ซ่งึ
จดั เป็นกลุ่มของเอกสารชนั้ ตน้ ทถ่ี กู ตพี มิ พแ์ ลว้ เป็นหลกั

อกี ประการหน่ึง เอกสารท่เี ป็นภาษาต่างประเทศทเ่ี ก่ยี วกบั เร่อื งทว่ี จิ ยั น้ีมจี ํานวนจํากดั จงึ ไม่
อาจนํามาใชใ้ นการวจิ ยั อย่างเตม็ ท่ี อย่างไรกด็ ี ผูเ้ ขยี นกไ็ ดพ้ ยายามศกึ ษาคน้ ควา้ จากหลกั ฐานทม่ี ี และ
วจิ ยั เรอ่ื งน้ีดว้ ยความเป็นกลางทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะสามารถทาํ ได้ ดงั นนั้ ควรสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารศกึ ษาวจิ ยั เกย่ี วกบั
เอกสารทางประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ที างภาคเหนือของประเทศไทยในเชงิ ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธใ์ นเชงิ ลกึ มากขน้ึ
เพอ่ื ทจ่ี ะเป็นประโยชน์ต่อการอา้ งองิ ทางวชิ าการไดใ้ นอนาคต

ประเดน็ ดงั กล่าวเป็นเพยี งการยกตวั อย่างใหเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะความสมั พนั ธ์ท่เี ก่ยี วขอ้ งกนั กบั
บทบาททางการค้าขายโดยตรงเท่านัน้ และยงั คงมปี ระเดน็ อ่นื ๆ อกี เช่นกนั ซ่งึ งานวจิ ยั ช้นิ น้ียงั ไม่ได้
กล่าวถงึ อย่างละเอยี ดมากนัก เช่น พน้ื ฐานทางเศรษฐกจิ แหล่งการคา้ การลําเลยี งขนส่งสนิ คา้ ตลาด
การค้า และพฒั นาการของระบบเงินตรา เป็นต้น ซ่ึงประเด็นต่างๆ ดงั กล่าวน้ียงั คงเป็นประเด็นท่ี
น่าสนใจศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ต่อไป อน่ึง จากการศกึ ษาเรอ่ื งน้ี อาจจะเป็นลู่ทางทําใหเ้ ขา้ ใจปญั หาบางประการ
ของความสมั พนั ธ์ทางการคา้ ระหว่างรฐั ฉานกบั ดนิ แดนตอนบนของประเทศไทยในยุคปจั จุบนั ไดต้ าม
สมควร

104

บรรณานุกรม

105

บรรณานุกรม

เอกสารชนั้ ต้นท่ียงั ไม่ได้ตีพิมพ์

ตํานานสบิ หา้ ราชวงศ์ เลม่ ที่1 ผกู ที่1-2. (2524). เชยี งใหม:่ วทิ ยาลยั ครเู ชยี งใหม.่
ตาํ นานสบิ หา้ ราชวงศ์ เลม่ ที่3 ผกู ที่6-7. (2524?). เชยี งใหม:่ ม.ป.พ.

เอกสารชนั้ ต้นที่ตีพิมพแ์ ล้ว

จนั ทรด์ ,ี พระภกิ ษุ . (จุลศกั ราช 1292 (พ.ศ. 2473)). ตาํ นานเชยี งแสน ตน้ ฉบบั วดั กาสา.
เชยี งราย: ม.ป.พ.

เจา้ พญาธรรมาเต.้ (2544). พงศาวดารเมอื งไท (เครอื เมอื งกเู มอื ง).แปลและเรยี บเรยี งเป็น
ภาษาไทยโดย จา้ วหงหยนิ ; และ สมพงศ์ วทิ ยศกั ดพิ ์ นั ธุ์ . เชยี งใหม:่ ตรสั วนิ
(ซลิ คเ์ วอรม์ บ๊คุ ).

ดาํ รงราชานุภาพ, สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา. (2545). พงศาวดารเรอื่ งไทยรบพมา่ .
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: มตชิ น.

ตํานานเชยี งใหมป่ างเดมิ . (2540). พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. เชยี งใหม:่ สถาบนั วจิ ยั สงั คม
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่

ตํานานพ้นื เมอื งเชยี งใหม่ : จากตน้ ฉบบั ใบลานอกั ษรไทยยวน. (2536). กรงุ เทพฯ:
คณะกรรมการจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวตั ศิ าสตร์ สาํ นกั นายกรฐั มนตร.ี

ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม่ ฉบบั เชยี งใหม่ 700 ปี. (2538). เชยี งใหม:่ มงิ่ เมอื งเชยี งใหม.่
ตํานานพน้ื เมอื งลานนาเชยี งใหม.่ (2524). เชยี งใหม:่ หน่วยงานศกึ ษาวจิ ยั คมั ภรี ใ์ บลานภาค-

เหนือ โครงการรว่ มระหวา่ งพพิ ธิ ภณั ฑช์ าตพิ นั ธวุ์ ทิ ยาแหง่ ชาตโิ อซากา และสถาบนั วจิ ยั สงั คม
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
ตาํ นานพ้นื เมอื งสบิ สองพนั นา. (2529). ปรวิ รรตโดย ทวี สวา่ งปญั ญางกรู . เชยี งใหม:่
มติ รนราการพมิ พ.์
ตาํ นานเมอื งเชยี งตุง. (2529).ปรวิ รรตโดย ทวี สวา่ งปญั ญางกรู . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ:
ลฟิ วงิ่ จาํ กดั .
ตาํ นานเมอื งยอง. (2528). ปรวิ รรตโดย ทวี สวา่ งปญั ญางกรู . เชยี งใหม:่ สถาบนั วจิ ยั สงั คม
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
พงศาวดารเมอื งเชยี งตุง. (2533). ปรวิ รรตโดย ทวี สวา่ งปญั ญางกรู . หนงั สอื แจกเป็นมติ รพลงี าน
พระราชทานเพลงิ ศพ เจา้ แมท่ พิ วรรณ ณ เชยี งตุง. ม.ป.พ.
นคร สารสมทุ ร. (2536?). ตํานานเมอื งนครโยนกนาคพนั ธน์ ครหลวง. เชยี งราย:
ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ วทิ ยาลยั ครเู ชยี งราย.

106

นนทปญั ญา (สงวน มกรานนท)์ . (2484). พงศาวดารเมอื งลา้ นชา้ ง และลาํ ดบั สกลุ สทิ ธสิ ารบิ ุตร.
พระนคร: สาสน์ ศกึ ษา.

นราธปิ ประพนั ธพ์ งศ,์ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระ. (2550). พระราชพงศาวดารพมา่ .
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. นนทบุร:ี โสภณการพมิ พ.์

บุญยงั ชมุ ศร.ี (2536). ตํานานเมอื งโยนกนครราชธาณชี ยบุรศี รชี า้ งแสน่ . เชยี งราย: ม.ป.พ.
ประชากจิ กรจกั ร, พระยา. (2516). พงศาวดารโยนก. กรงุ เทพฯ: คลงั วทิ ยา.
ประเสรฐิ ณ นคร ; และ ปวงคาํ ตุย้ เขยี ว.(2537). ตํานานมลู ศาสนาเชยี งใหมแ่ ละเชยี งตุง.

กรงุ เทพฯ: ศกั ดโิ ์ สภาการพมิ พ.์
-----------------------. (2531). หนงั สอื ปรวิ รรตจากคมั ภรี ใ์ บลาน ชุดตาํ นานเมอื งและกฎหมาย. เชยี งใหม่

: คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
ราชวงศาพน้ื เมอื งเชยี งใหม.่ (2518). เชยี งใหม:่ ภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา

คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
สงวน โชตสิ ขุ รตั น์. (2552). ตาํ นานเมอื งเหนือ. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. นนทบุร:ี โสภณการพมิ พ.์
-----------------------. (2515). ประชมุ ตํานานลานนาไทย. พระนคร: โอเดยี นสโตร.์
สมหมาย เปรมจติ ต.์ (2519). ตํานานมลู ศาสนา ฉบบั วดั ปา่ แดง ภาคปรวิ รรต ลาํ ดบั ที่9.

เชยี งใหม:่ ภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา คณะสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
-----------------------. (2540). ตํานานสบิ หา้ ราชวงศ์ ฉบบั สอบชาํ ระ. เชยี งใหม:่ สถาบนั วจิ ยั สงั คม
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
สรสั วดี ออ๋ งสกุล. (2546). พน้ื เมอื งเชยี งแสน. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั
ลชิ ชง่ิ จาํ กดั .
-----------------------. (2537). พน้ื เมอื งน่าน ฉบบั วดั พระเกดิ . เชยี งใหม:่ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว ; และ พอ่ หนานศรที น คาํ แปง. (2 5 4 0). ปกณิ กะตํานาน: ตาํ นานตุงครสี
พ้นื เมอื งเชยี งตุง ตาํ นานเมอื งระแวกและตาํ นานสรจี อ้ น ตํานานหอ้ ตาํ นานหนองสะเน้า. พมิ พ์
ครงั้ ท่ี 2. เชยี งใหม:่ ศนู ยศ์ ลิ ปวฒั นธรรม สถาบนั ราชภฏั เชยี งใหม.่
อดุ ม รงุ่ เรอื งศร.ี (2528). คา่ วกาวลิ ะและตํานานเมอื งเชยี งแสน. เชยี งใหม:่
ศนู ยว์ ฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งใหม่ ศนู ยศ์ ลิ ปวฒั นธรรม วทิ ยาลยั ครเู ชยี งใหม.่

107

เอกสารชนั้ รอง

หนังสือ

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ กรงุ เทพฯ: กรมวชิ าการ กระทรวงฯ.
การศกึ ษาวฒั นธรรมชนชาตไิ ท. (2538). กรงุ เทพฯ: สาํ นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
จนิ ตนา มธั ยมบุรษุ . (2532). ประวตั ศิ าสตรเ์ มอื งเชยี งใหม.่ เชยี งใหม:่ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์

คณะวชิ ามนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ สหวทิ ยาลา้ นนา วทิ ยาลยั ครเู ชยี งใหม.่
เจา้ ฟ้ายนั แสงหว.ี (2540). ประวตั ศิ าสตรไ์ ทใหญ่. เรยี บเรยี งโดย นนั ทสงิ ห์ ; และแปลโดย

สมปอง ไตตุ่มแกน่ ; และ ฉตั รทพิ ย์ นาถสภุ า. กรงุ เทพฯ: โครงการประวตั ศิ าสตรส์ งั คม
และวฒั นธรรมชนชาตไิ ทและสาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.).
เจยี งอง้ิ เหลยี ง. (2534). ประวตั เิ ช้อื ชาตไิ ท. กรงุ เทพฯ: คณะกรรมการสบื คน้ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
เกย่ี วกบั เอกสารภาษาจนี สาํ นกั เลขาธกิ ารนายกรฐั มนตรี สาํ นกั นายกรฐั มนตร.ี
ฉลาดชาย รมติ านนท์ ; และคนอ่นื ๆ. (2541). ไท. เชยี งใหม:่ โรงพมิ พม์ ง่ิ เมอื ง.
เฉลมิ ต๊ะคาํ ม.ี (2554). ตาํ นานเมอื งพะเยา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. เชยี งใหม:่ นครพงิ คก์ ารพมิ พ.์
ชยั เรอื งศลิ ป์ ; และ พรเพญ็ ฮนั่ ตระกลู , บรรณาธกิ าร. (2533). ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยดา้ นเศรษฐกจิ แต่
โบราณ – พ.ศ.2399. กรงุ เทพฯ: ตน้ ออ้ .
ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ .ิ (2544). พมา่ : ประวตั ศิ าสตรแ์ ละการเมอื ง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ:
โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
-----------------------. (2544). สยามพาณชิ ย.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: มลู นิธโิ ตโยตา้
ประเทศไทย.
ณรงค์ พว่ งพศิ . (2543). ประวตั ศิ าสตรก์ ารตงั้ ถนิ่ ฐานในดนิ แดนประเทศไทย.กรงุ เทพฯ: อกั ษร
เจรญิ ทศั น์.
ดนยั ไชยโยธา. (2546). ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย : ยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตรถ์ งึ ส้นิ อาณาจกั รสโุ ขทยั .
กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์
ไทล้อื อตั ลกั ษณ์แหง่ ชาตพิ นั ธุไ์ ท. (2551). เชยี งใหม:่ โครงการพพิ ธิ ภณั ฑว์ ฒั นธรรม
และชาตพิ นั ธลุ์ า้ นนา สถาบนั วจิ ยั สงั คม มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
ธนาคารแหง่ ประเทศไทย. (2540). เงนิ ตราลา้ นนาและผา้ ไท . กรงุ เทพฯ:
อมั รนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ จาํ กดั .
นิโคลาส ทารล์ งิ่ ,บรรณาธกิ าร. (2552). ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้
ฉบบั เคมบรดิ จ์ เลม่ สอง : จากประมาณ ค.ศ. 1500 ถงึ ประมาณ ค.ศ. 1800. แปลโดย มทั นา เกษ
กมล ; และ มทั นี เกษกมล . นนทบุร:ี ปรน๊ิ โอโซน.
นวรตั น์ เลขะกุล. (2542). เบ้ยี บาท กษาปณ์ แบงก.์ กรงุ เทพฯ: สารคด.ี

108

บุญเทยี ม พลายชมพ.ู (2549). พมา่ : ประวตั ศิ าสตร์ อารยธรรม และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ.
กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์ .

บุนมี เทบสเี มอื ง. (2533). ความเป็นมาของชนชาตลิ าว เลม่ ที่1. แปลโดย ไผท ภธู า
กรงุ เทพฯ: สขุ ภาพใจ.

แบสตนิ , จอหน์ ; และ เบนดา, แฮร่ี เจ. (2529). ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตส้ มยั ใหม่
ลทั ธอิ าณานิคม ลทั ธชิ าตนิ ิยม และการสลายตวั ของลทั ธอิ าณานิคม. แปลโดย ช่นื จติ ต์
อาํ ไพพรรณ ; และ ภรณี กาญจนษั ฐติ .ิ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พ์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรร์ ว่ มกบั มลู นธิ โิ ครงการตาํ ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์

ประคอง นิมมานเหมนิ ท์ ; และ ทรงศกั ดิ ์ปรางคว์ ฒั นากุล,บรรณาธกิ าร. (2521). ลานนาไทยคด.ี
เชยี งใหม:่ สาํ นกั พมิ พศ์ นู ยห์ นงั สอื เชยี งใหม.่

ประวตั นิ ่านเจา้ . (2526). กรงุ เทพฯ: คณะกรรมการสบื คน้ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
เกย่ี วกบั เอกสารภาษาจนี สาํ นกั เลขาธกิ ารนายกรฐั มนตรี สาํ นกั นายกรฐั มนตร.ี

ประสทิ ธิ ์พงศอ์ ุดม. (2539). นนั ทบุรศี รนี ครน่าน : ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและครสิ ตศ์ าสนา.
เชยี งใหม:่ ฝา่ ยประวตั ศิ าสตร์ สภาครสิ ตจกั รในประเทศไทย เชยี งใหม.่

ประวทิ ย์ ตนั ตลานุกุล ; พระครภู มู ปิ ญั ญาไทย ; และ วฒุ อิ าสาธนาคารสมอง. (2553). เชยี งใหม่ –
เชยี งตุง บา้ นพเี่ มอื งน้อง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. เชยี งใหม:่ แสงศลิ ป์.

พงศาวดารเมอื งน่าน. (2543). อนุสรณ์งานบาํ เพญ็ พระราชกุศลออกพระเมรุ งานพระราชทานเพลงิ
ศพ พระเทพนนั ทาราจารย์ (บุญชู ธมฺมสารมหาเถร). ม.ป.พ.

ยรรยง จริ ะนคร ; และ รตั นาพร เศรษฐกุล. (2544). ประวตั ศิ าสตรส์ บิ สองปนั นา. กรงุ เทพฯ:
อมรนิ ทรบ์ ุ๊คเซน็ เตอร.์

รกั ษ์ ธรรมสิ รา. (2545). เสน้ ทางสายไหม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: สรา้ งสรรคบ์ ุ๊คส.์
ลมลู จนั ทน์หอม. (2550). ตํานานมงั ราย และตาํ นานเชยี งใหม่ – เชยี งตุง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1.

เชยี งใหม:่ สาํ นกั ภาษาและศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งใหม.่
ลอ้ ม เพง็ แกว้ . (2553). บา้ หาเบ้ยี . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: มตชิ น.
ลา้ นนาไทย : อนุสรณ์พระราชพธิ เี ปิดพระบรมราชานุสาวรยี ส์ ามกษตั รยิ ์ (เชยี งใหม่ 2526-

2527). (2526). เชยี งใหม:่ ทพิ ยเ์ นตรการพมิ พ.์
ลดั ดาวลั ย์ แซเ่ ซยี ว. (2545). 200 ปี พมา่ ในลา้ นนา. กรงุ เทพฯ: TEN MAYPRODUCTION.
วดั ทา่ กระดาน. (2541). เขมรฐั นครเชยี งตุง. เชยี งใหม:่ ดาวคอมกราฟิก.
วงศก์ ุลพทั ธ์ สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา ; และคนอน่ื ๆ . (2552). ศกึ เชยี งตุง : การแผแ่ สนยานุภาพของ

สยามประเทศ ยคุ เปลยี่ นผา่ นเมอื งอุตมทศิ สงครามจารตี ครงั้ สดุ ทา้ ยของสยามประเทศ.
กรงุ เทพฯ: ประชาชน จาํ กดั .
วฒุ ชิ ยั มลู ศลิ ป์ , บรรณาธกิ าร . (2544). สายธารแหง่ ความคดิ 2. กรงุ เทพฯ: รงุ่ แสงการพมิ พ.์
ศรจี นั ทร.์ (2548). เรอื่ งเลา่ ลา้ นนา. กรงุ เทพฯ: บา้ นหนงั สอื .

109

สรสั วดี อ๋องสกุล. (2553). ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 7. นนทบุร:ี อมั รนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ
แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ .

สายนั ต์ ไพรชาญจติ ร.์ (2540). โบราณคดลี า้ นนา.กรงุ เทพฯ: สมาพนั ธ.์
สมุ ติ ร ปิตพิ ฒั น์ ; และคนอน่ื ๆ. (2545). ชมุ ชนไทในพมา่ ตอนเหนือ : รฐั ฉานตอนใต้ ภาคมณั ฑะเลย์

และคาํ ตหี่ ลวง. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
สเุ นตร ชตุ นิ ธรานนท์ . (2554). พมา่ รบไทย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 10. นนทบุร:ี มตชิ น.
หมอ่ งทนิ ออ่ ง. (2551). ประวตั ศิ าสตรพ์ มา่ .แปลโดย เพช็ รี สมุ ติ ร. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ:

มลู นิธโิ ครงการตําราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์
อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว ; และเดวดิ เค วยั อาจ. (2538). ตํานานพ้นื เมอื งเชยี งใหม.่

เชยี งใหม:่ สรุ วิ งศบ์ ุ๊คเซน็ เตอร.์
อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว ; และนฤมล เรอื งรงั ษ.ี (2538). เรอื่ งเมอื งเชยี งตุง.

พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. เชยี งใหม:่ มงิ่ เมอื ง.
อรศริ ิ ปาณนิ ท์ ; และคนอ่นื ๆ. (2550). ภมู ปิ ญั ญา พฒั นาการ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั ของ

เรอื นพน้ื ถนิ่ ไทเขนิ เชยี งใหม่ – เชยี งตุง. กรงุ เทพฯ: สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั
(สกว.).
อนิ ทรศ์ วร แยม้ แสง. (2551). ประวตั เิ มอื งฝาง. เชยี งใหม:่ หา้ ดาวโฆษณา.
อุษณยี ์ ธงไชย. (2531). ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนาไทยสมยั ราชวงศม์ งั รายจากเอกสารจนี . เชยี งใหม:่
ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ.์ (2527). พฒั นาการของชวี ติ และวฒั นธรรมลา้ นนา. เชยี งใหม:่
โครงการตํารามหาวทิ ยาลยั หอ้ งจาํ หน่ายหนงั สอื สาํ นกั หอสมดุ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
แอนโทนี รดี . (2548). เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใ้ นยคุ การคา้ ค.ศ. 1450 – 1680 เลม่ ที่ 1:
ดนิ แดนใตล้ ม. แปลโดย พงษ์ศรี เลขวฒั นะ. เชยี งใหม:่ ซลิ คเ์ วอรม์ .
------------------. (2548). เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใ้ นยคุ การคา้ ค.ศ. 1450 – 1680 เล่มที่ 2
: การขยายตวั และวกิ ฤตกิ ารณ์. แปลโดย พงษ์ศรี เลขวฒั นะ. เชยี งใหม:่ ซลิ คเ์ วอรม์ .

บทความและวารสาร

ทวี สวา่ งปญั ญางกรู . (2535, พฤศจกิ ายน). เชยี งตุง. ศลิ ปวฒั นธรรม. 14 (1): 184 – 192.
รตั นาพร เศรษฐกลุ . (2527, กรกฎาคม – ธนั วาคม). ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งระหวา่ งเชยี งใหม่

และเชยี งตุงจนถงึ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19. วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
12 (1): 18 – 41.
สายสนุ ีย์ สงิ หทศั น์. (2538, มกราคม). เมอื งหา้ เชยี งในประวตั ศิ าสตร.์ อนุสาร อสท. 35 (6):
36 – 48.

110

อสิ รชน. (2538, มกราคม). เขมรฐั เชยี งตุง เมอื งทค่ี นุ้ เคยทถ่ี ูกแปลกหน้า?. อนุสาร อสท. 35 (6):
50 – 56.

อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว. (2545 , ตุลาคม – ธนั วาคม). เมอื งเชยี งตุง เมอื งพยาก และเมอื งเลน.
วารสารราชบณั ฑติ ยสถาน. 27 (4): 1036 – 1052.

เอกสารประกอบการสมั มนา

คณะกรรมการสภาวจิ ยั แหง่ ชาติ สาขาสงั คมวทิ ยา สาํ นกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แหง่ ชาต.ิ (2545).
รายการสมั มนาเครอื ขา่ ยนกั ศกึ ษาปรญิ ญาโท ดา้ นสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา ครงั้ ที่2
โดยภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่

โครงการจดั ตงั้ กองสง่ เสรมิ การวจิ ยั บรกิ ารวชิ าการ และศลิ ปวฒั นธรรม. (2549).
การประชุมเชงิ วชิ าการและนิทรรศการ เรอื่ ง กลุ่มชาตพิ นั ธุก์ บั การพฒั นาในอนุภมู ภิ าค
แมน่ ้ําโขง โดยศนู ยว์ จิ ยั สงั คมอนุภมู ภิ าคลุม่ น้ําโขง สาขาสงั คมศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี.

ชนชาตไิ ท : รวมบทความ Proceedings of the 6th Internationnal Conference on
ThaiStudiesTheme VII. (2539). ม.ป.พ.

วทิ ยาลยั ครเู ชยี งใหม.่ (2528). รวมเอกสารสมั มนา “ลา้ นนาคดศี กึ ษา : ประวตั ศิ าสตร์
และโบราณคด”ี . เชยี งใหม:่ วทิ ยาลยั ครเู ชยี งใหม.่

สาํ นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2538). การศกึ ษาวฒั นธรรม
ชนชาตไิ ท. กรงุ เทพฯ: ม.ป.พ.

วิทยานิ พนธ์

ชวศิ า ศริ .ิ (2550). การคา้ ของอาณาจกั รลา้ นนาตงั้ แต่ตน้ พทุ ธศตวรรษที่19 ถงึ พทุ ธศตวรรษที่22.
วทิ ยานิพนธ์ อ.ม.(ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต)้ . กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ถ่ายเอกสาร.

ทพิ ยพ์ าพร อนิ คุม้ . (2551). สงครามเชยี งตุงในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย พ.ศ. 2392 – 2488.
วทิ ยานิพนธ์ อ.ม. (ประวตั ศิ าสตร)์ กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ถ่าย
เอกสาร.

มาโนช พรหมปญั โญ. (2547). การเรอื งอาํ นาจของราชวงคค์ องบอง ค.ศ. 1752-1776.
วทิ ยานิพนธ์ อ.ม. (ประวตั ศิ าสตร)์ . กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ถ่าย
เอกสาร.

111

ลดั ดาวลั ย์ แซเ่ ชยี ว. (2537). การเมอื งลา้ นนาภายใตก้ ารปกครองของพมา่
ระหวา่ งปี พ.ศ. 2101 – 2317. วทิ ยานิพนธ์ ศศ.ม. (ประวตั ศิ าสตร)์ . เชยี งใหม:่
บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ ถ่ายเอกสาร.

วราภรณ์ เรอื งศร.ี (2550). การคา้ กบั เครอื ขา่ ยความสมั พนั ธข์ องกลุม่ ชาตพิ นั ธุใ์ นลา้ นนา
กอ่ นการสถาปนาระบบเทศาภบิ าล. วทิ ยานิพนธ์ อ.ม. (ประวตั ศิ าสตร)์ . กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ
วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ถ่ายเอกสาร.

ศศภิ สั ร์ เทย่ี งมติ ร. (2545). กาดหลวงเมอื งเชยี งตุงและเมอื งเชยี งใหม่ : ศกึ ษาเปรยี บเทยี บ
พฒั นาการและการเปลยี่ นแปลงจากผลกระทบของระบบเศรษฐกจิ โลกหลงั สงครามโลกครงั้
ทสี่ องถงึ ปจั จุบนั . วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม. (ภมู ภิ าคศกึ ษา). เชยี งใหม:่ บณั ฑติ วทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ ถ่ายเอกสาร.

สมมะโน ณ เชยี งใหม.่ (2538). ศนู ยก์ ลางการคา้ และเสน้ ทางการคา้ ในอาณาจกั รลา้ นนาไทยชว่ ง
พ.ศ. 1839 – 2442. วทิ ยานิพนธ์ วท.ม. (ภมู ศิ าสตรศ์ กึ ษา). เชยี งใหม:่ บณั ฑติ วทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ ถ่ายเอกสาร.

อาสา คาํ ภา. (2549). ลา้ นนา และ รฐั ฉาน : ความเปลยี่ นแปลงภายใตก้ ระบวนการรวมศนู ยอ์ าํ นาจ
และชว่ งสมยั อาณานิคม ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่19 – 20. วทิ ยานิพนธ์ ศศ.ม.
(ภมู ภิ าคศกึ ษา). เชยี งใหม:่ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ ถ่ายเอกสาร.

หนังสือภาษาองั กฤษ

Hallett, Holt S. (n.d.). Thousand Miles on an Elephant in The Shan States. London:
William blackwood and sons Edinburgh and london.

Sai Aung Tun. (2009). History of Shan State From its Origins to 1962. Chiang Mai:
Silkworm Book.

William J. Koenig. (n.d.). THE BURMESE POLITY,1752-1819. United State of American:
Center For South and South Asian Studies The University of Michican.

แหล่งข้อมลู อิเลก็ ทรอนิกส์

เงนิ เกอื กมา้ . (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//auctiong.uamulet.comAuctionGoodsDetail.aspxqid=305966

เงนิ เจยี งหรอื เงนิ กาํ ไล. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.spantique.comproduct.detail_0_th_1439613

112

เงนิ ไซซี . (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.thaibestpromotion.com

เงนิ ดอกไม.้ (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.lannafolk.commaincontent.phppage=product&category=9&id=19

เงนิ ทอ้ กเชยี งใหม.่ (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//เงนิ โบราณ.blogspot.com

เงนิ ใบไม.้ (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www2.bot.or.thmuseumthaimoneylannadesc.aspPoID=841

เงนิ ปากหม.ู (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//เงนิ โบราณ.blogspot.com

เงนิ พดดว้ งสโุ ขทยั . (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//shopping.sanook.comproductpopup878945

เงนิ พดดว้ งอยธุ ยา. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.web-pra.comShopsatangdangShow2883

เงนิ พดดว้ งอยธุ ยาขาบาก. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.web-pra.comShopsatangdangShow2883อยธุ ยา

เงนิ ลาด. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.pramool.comcgi-bindispitem.cgi5255696

เงนิ ฮอ้ ย. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.pramool.comcgi-bindispitem.cgi5255696

เงนิ ฮาง. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.oknation.netblogprint.phpid=264404

ทองคาํ ลา้ นนา. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.pralanna.comshoppage.phpshopid=303766

ประตผู เี ชยี งราย. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 12 มถิ ุนายน 2555 , จาก
http://www.chiangraifocus.com/webboard/view.php?Qid=21127&cat=9

ประตูผเี ชยี งราย 2. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 13 มถิ ุนายน 2555 , จาก
http://spshop.tarad.com/product.detail_69938_th_1439613#

แผนทเี่ มอื งเชยี งตุง. (2555). สบื คน้ เมอ่ื 8 มถิ ุนายน 2555 , จาก
http://www.trekkingthai.com/cgibin/webboard/print.pl?content==3683&board=backpacker

ยรุ วี รรณ นนทวาส.ี (2554). ชาวไทยยวน(คนเมอื ง).ในลาํ ปาง(1).สบื คน้ เมอ่ื 2 ธนั วาคม 2554 ,
จาก http://olparticle.blogspot.com/2006/12/1_08.html

113

หอยเบ้ยี . (2555). สบื คน้ เมอ่ื 22 กนั ยายน 2555 , จาก
http//www.pramool.comcgi-bindispitem.cgi5521588

เอกรนิ ทร์ สม่ี หาศาล ; และคนอ่นื ๆ. (2555). ความเป็นมาของชาตไิ ทย.สบื คน้ เมอ่ื 4 มถิ ุนายน
2555 , จาก http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.
php?mul_content_id=1613

114

ภาคผนวก

115

ภาคผนวก ก
ลาํ ดบั กษตั ริยร์ าชวงศม์ งั ราย1

กษตั ริย์ ช่วงเวลาครองราชย์

พญามงั ราย พ.ศ. 1804 – 1854
พญาไชยสงคราม พ.ศ. 1854 – 1868
พญาแสนพู พ.ศ. 1868 – 1877
พญาคาํ ฟู พ.ศ. 1877 – 1879
พญาผายู พ.ศ. 1879 – 1898
พญากอื นา พ.ศ. 1898 – 1928
พญาแสนเมอื งมา พ.ศ. 1928 – 1944
พญาสามฝงั่ แกน พ.ศ. 1945 – 1984
พญาตโิ ลกราช (พระเจา้ ตโิ ลกราช) พ.ศ. 1984 – 2030
พญายอดเชยี งราย พ.ศ. 2031 – 2038
พญาแกว้ (พระเมอื งแกว้ ) พ.ศ. 2038 – 2068
พญาเกสเชษฐราช (พระเมอื งเกษเกลา้ ) พ.ศ. 2069 – 2081 (ครงั้ ท1่ี )
ทา้ วชาย พ.ศ. 2081 – 2086
พญาเกสเชษฐราช (พระเมอื งเกษเกลา้ ) พ.ศ. 2086 – 2088 (ครงั้ ท2่ี )
มหาเทวจี ริ ประภา พ.ศ. 2088 – 2089
พญาอปุ เยาว์ (พระไชยเชษฐา) พ.ศ. 2089 – 2090
พญาแมก่ ุ (ทา้ วแมก่ ุ) พ.ศ. 2094 – 2107
พระนางวสิ ทุ ธเิ ทวี พ.ศ. 2107 – 2121

1สรสั วดี อ๋องสกุล. (2553). ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา. หน้า 630.

116

ภาคผนวก ข
ลาํ ดบั ผคู้ รองเมอื งเชียงใหมส่ มยั พม่าปกครอง2

(พ.ศ. 2121 – 2317)

ผคู้ รองเมืองเชียงใหม่ ศกั ราชที่ครอง หลกั ฐาน
นรธาเมงสอ
พ.ศ. 2122 – 2150 (พงศาวดารโยนก)
พระชอ้ ย (มองซวยเทา) พ.ศ. 2121 – 2150 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
(สโทกอย) พ.ศ. 2121 – 2150 (โคลงมงั ทรารบเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2150 – 2152 (พงศาวดารโยนก)
พระชยั ทพิ (มองกอยต่อ) พ.ศ. 2150 – 2151 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2150 – 2151 (โคลงมงั ทรารบเชยี งใหม)่
พระชอ้ ย (ครงั้ ท่ี 2) พ.ศ. 2152 – 2154 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2151 – 2156 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
เจา้ เมอื งน่าน พ.ศ. 2151 – 2156 (โคลงมงั ทรารบเชยี งใหม)่
พญาหลวงทพิ เนตร พ.ศ. 2154 – 2157 (พงศาวดารโยนก)
พระแสนเมอื ง พ.ศ. 2156 – 2158 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
เจา้ เมอื งแพร่ พ.ศ. 2156 – 2157 (โคลงมงั ทรารบเชยี งใหม)่
อปุ ราชอง้ึ แซะ (กรงุ องั วะ) พ.ศ. 2157 – 2174 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2158 – 2174 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2174 – 2193 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2174 – 2198 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2193 – 2206 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2198 – 2202 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2206 – 2215 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2202 – 2215 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2215 – 2228 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2215 – 2218 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่

2สรสั วดี อ๋องสกุล. (2553). เลม่ เดมิ . หน้า 631 - 632.

117

ภาคผนวก ข (ต่อ)
ลาํ ดบั ผคู้ รองเมอื งเชียงใหม่สมยั พมา่ ปกครอง

(พ.ศ. 2121 – 2317)

ผคู้ รองเมืองเชียงใหม่ ศกั ราชที่ครอง หลกั ฐาน

บุตรเจา้ เจกุตรา (เจพตู ราย) พ.ศ. 2228 – ไมป่ รากฏหลกั ฐาน
(พงศาวดารโยนก)
มงั แรนรา่
เทพสงิ ห์ พ.ศ. 2218 – ไมป่ รากฏหลกั ฐาน
องคด์ าํ (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่

เจา้ จนั ทร์ พ.ศ. 2250 – 2270 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2250 – 2270 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
อดตี ภกิ ษุวดั ดวงดี (เจา้ ขห้ี ดุ ) พ.ศ. 2270 – 2270 (พงศาวดารโยนก)
โปอ่ ภยั คามนิ ี (โปอ่ ะเกยี คามนุ ี) พ.ศ. 2270 – 2270 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
โปม่ ะยงุ ว่ น พ.ศ. 2270 – 2302 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2270 – ไมป่ รากฏหลกั ฐาน

(ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2302 – 2304 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. ไมป่ รากฏหลกั ฐาน – 2304

(ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2304 – 2306 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2304 – 2306 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2306 – 2312 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2306 – 2311 (ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่
พ.ศ. 2312 – 2317 (พงศาวดารโยนก)
พ.ศ. 2311 – 2317 (ตํานานพน้ื เมอื งเชยี งใหม)่

118

ภาคผนวก ค
รายพระนามเจ้าฟ้ าเมืองเชียงตงุ 3

1. เจา้ น้ําทว่ ม 2. เจา้ น้ําน่าน 3. เจา้ สามหมน่ื หว้ ย
4. เจา้ อา้ ยลก
7. เจา้ อา้ ยออ่ น 5. เจา้ ใสน่ ่าน 6. เจา้ เจด็ พนั ตู
10. เจา้ สาม
13. เจา้ อา้ ยเลา 8. เจา้ บุญชู 9. เจา้ ยค่ี าํ ขา
16. เจา้ ใสพ่ รหม
19. เจา้ ทา้ วคาํ ฟู 11. เจา้ สามสรี 12. เจา้ อา้ ยเลาคาํ ทา
22. เจา้ ขาก
25. เจา้ รามหมน่ื 14. เจา้ หน่อแกว้ 15. เจา้ สายคอ
28. เจา้ เมอื งช่นื
31. เจา้ เมอื งสาม 17. เจา้ สามเชยี งคง 18. เจา้ คาํ หมู่
34. เจา้ มหาพรหม
37. เจา้ หมอ่ มกองคาํ ฟู 20. เจา้ แกว้ บุญนํา 21. เจา้ คาํ ทา้ ว
40. เจา้ ฟ้าพรหมลอื
23. เจา้ อา้ ยอุน่ 24. เจา้ อนิ คาํ

26. เจา้ แกว้ บุญมา 27. เจา้ สามปี

29. เจา้ มอ่ งมว้ิ 30. เจา้ ตถิ นนั ทราชา

32. เจา้ กองไตย 33. เจา้ มหาขนาน

35. เจา้ คาํ แสน 36. เจา้ หมอ่ มเชยี งแขง็

38. เจา้ กอ้ นแกว้ อนิ แถลง 39. เจา้ กองไตย

41. เจา้ ชายหลวง (องคส์ ดุ ทา้ ย)

3ประวทิ ย์ ตนั ตลานุกุล ; ครภู มู ปิ ญั ญาไทย ; และ วฒุ อิ าสาธนาคารสมอง. (2553). เชยี งใหม่ – เชยี งตุง
บา้ นพเี่ มอื งน้อง. หน้า 17.

119

ภาคผนวก ง
แผนที่จาํ ลองเครือข่ายและเส้นทางการค้าของเชียงตงุ และล้านนาในอดีต

ภาพประกอบ ก แผนทเ่ี สน้ ทางการคา้ ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตต้ อนบน
ทม่ี า: วงศก์ ุลพทั ธ์ สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา ; และคนอน่ื ๆ . (2552). ศกึ เชยี งตุง : การแผ่
แสนยานุภาพของสยามประเทศ ยุคเปลีย่ นผ่านเมืองอุตมทิศ สงครามจารีตครงั้ สุดท้ายของสยาม
ประเทศ. หน้า 131.

120

ภาคผนวก จ
ภาพประกอบท่ีเกี่ยวข้องกบั เมืองเชียงตงุ

ภาพประกอบ ข ภาพถ่ายมมุ สงู ของเมอื งเชยี งตุง
ทม่ี า: ณรงค์ พว่ งพศิ . (2543). ประวตั ศิ าสตรก์ ารตงั้ ถนิ่ ฐานในประเทศไทย.หน้า 62.

ภาพประกอบ ค หนองตุง แหลง่ น้ําขนาดใหญ่กลางเมอื งเชยี งตุง
ทม่ี า: วงศก์ ุลพทั ธ์ สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา ; และคนอ่นื ๆ . (2552). ศกึ เชยี งตุง : การแผ่
แสนยานุภาพของสยามประเทศ ยุคเปลีย่ นผ่านเมืองอุตมทิศ สงครามจารีตครงั้ สุดท้ายของสยาม
ประเทศ. หน้า 113.

121

ภาคผนวก จ (ต่อ)
ภาพประกอบท่ีเก่ียวข้องกบั เมืองเชียงตงุ

ภาพประกอบ ง แผนผงั เมอื งเชยี งตุงในปจั จบุ นั

ทม่ี า: วงศก์ ุลพทั ธ์ สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา ; และคนอน่ื ๆ . (2552). ศกึ เชยี งตุง : การแผ่
แสนยานุภาพของสยามประเทศ ยคุ เปลยี่ นผา่ นเมอื งอุตมทศิ สงครามจารตี ครงั้ สดุ ทา้ ยของสยาม
ประเทศ. หน้า 118.

122

ภาคผนวก ฉ
ภาพประกอบท่ีเกี่ยวข้องกบั อาณาจกั รล้านนาในยคุ ราชวงศม์ งั ราย

(พ.ศ. 1839-2101)

ภาพประกอบ จ วดั พระธาตุดอยสเุ ทพ ปชู นียสถานสาํ คญั ทเ่ี ป็นศนู ยร์ วมจติ ใจของชาวเชยี งใหม่
ในอดตี บรเิ วณน้ีเคยเป็นชยั ภมู สิ าํ คญั ทพ่ี ระยามงั รายก่อรา่ งสรา้ งอาณาจกั ร
ลา้ นนาบรเิ วณทร่ี าบเชยี งใหม่ (ลุม่ แมน่ ้ําปิงตอนบน)

ทม่ี า: กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2543). เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ หน้า 16.

ภาพประกอบ ฉ พระบรมราชานุสาวรยี ส์ ามกษตั รยิ ์ คอื พระยามงั ราย พระยางาํ เมอื ง และพระยา
รว่ ง บรเิ วณหน้าหอศลิ ปวฒั นธรรมเมอื งเชยี งใหม่ จงั หวดั เชยี งใหม่

ทม่ี า: กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2543). เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ หน้า 39.

123

ภาคผนวก ฉ (ต่อ)
ภาพประกอบท่ีเก่ียวข้องกบั อาณาจกั รล้านนาในยคุ ราชวงศม์ งั ราย

(พ.ศ. 1839-2101)

ภาพประกอบ ช เจดยี ว์ ดั เจด็ ยอด (วดั มหาโพธาราม)
ทม่ี า: กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2543). เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ หน้า 4.

124

ภาคผนวก ฉ (ต่อ)
ภาพประกอบท่ีเก่ียวข้องกบั อาณาจกั รล้านนาในยคุ ราชวงศม์ งั ราย

(พ.ศ. 1839-2101)

ภาพประกอบ ซ วดั สวนดอก วดั ซง่ึ ผกู พนั กบั ราชวงศเ์ ชยี งใหม่
ทม่ี า: กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2543). เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ หน้า 30.

ภาพประกอบ ฌ บรเิ วณเชงิ ดอยสเุ ทพ อดตี ดนิ แดนแหง่ น้ีเป็นทอ่ี ยขู่ องชาวพน้ื เมอื งทเ่ี รยี กวา่ “ ลวั ะ ”
ทม่ี า: กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2543). เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ หน้า 35.

125

ภาคผนวก ช
แผนที่แสดงดินแดนล้านนาในปัจจบุ นั

ภาพประกอบ ญ แผนทแ่ี สดงดนิ แดนลา้ นนาในปจั จุบนั
ทม่ี า: กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2543). เชยี งใหม่ : นพบุรศี รนี ครพงิ ค.์ หน้า 33.

126

ภาคผนวก ซ
แผนที่แสดงตาํ แหน่งวดั สาํ คญั ในตวั เมืองเชียงใหม่

สมยั ราชวงศม์ งั ราย

ภาพประกอบ ฎ แผนทแ่ี สดงตาํ แหน่งวดั สาํ คญั ในตวั เมอื งเชยี งใหมส่ มยั ราชวงศม์ งั ราย

ทม่ี า: อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว ; และเดวดิ เค วยั อาจ. (2543). ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม.่
หน้า 20.

127

ภาคผนวก ฌ
สภาพเมอื งเชียงใหมใ่ นปัจจบุ นั

ภาพประกอบ ฏ เมอื งเชยี งใหมต่ งั้ อยบู่ นทร่ี าบเชยี งใหม่ เป็นเมอื งสาํ คญั ทางภาคเหนือ
ตอนบน นบั ตงั้ แต่แรกสรา้ งจนมาถงึ ปจั จบุ นั

ทม่ี า: ดนยั ไชยโยธา. (2546). ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย : ยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตรถ์ งึ ส้นิ อาณาจกั ร
สโุ ขทยั . หน้า 79.

128

ภาคผนวก ญ
สภาพเมอื งเชียงตงุ ในปัจจบุ นั

ภาพประกอบ ฐ ทร่ี าบลุ่มแมน่ ้ําขนื ทม่ี ภี เู ขารายรอบ
แหลง่ เกษตรกรรมทส่ี าํ คญั ของเมอื งเชยี งตุง

ทม่ี า: วงศก์ ุลพทั ธ์ สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา ; และคนอ่นื ๆ . (2552). ศกึ เชยี งตุง : การแผ่
แสนยานุภาพของสยามประเทศ ยคุ เปลยี่ นผา่ นเมอื งอตุ มทศิ สงครามจารตี ครงั้ สดุ ทา้ ยของสยาม
ประเทศ. หน้า 112.

ภาพประกอบ ฑ ตลาดในเมอื งเชยี งตุง ยา่ นการคา้ ทส่ี ะทอ้ นสภาพเศรษฐกจิ ของเมอื ง
เชยี งตุงจากอดตี สปู่ จั จบุ นั

ทม่ี า: วงศก์ ุลพทั ธ์ สนทิ วงศ์ ณ อยธุ ยา ; และคนอน่ื ๆ . (2552). ศกึ เชยี งตุง : การแผ่
แสนยานุภาพของสยามประเทศ ยคุ เปลยี่ นผา่ นเมอื งอุตมทศิ สงครามจารตี ครงั้ สดุ ทา้ ยของสยาม
ประเทศ. หน้า 121.

129

ประวตั ิย่อผวู้ ิจยั

130

ประวตั ิย่อผวู้ ิจยั

ชอ่ื ชอ่ื สกุล นายสหภสั อนิ ทรยี ์

วนั เดอื นปีเกดิ 10 พฤศจกิ ายน 2526

สถานทเ่ี กดิ อาํ เภอเกาะคา จงั หวดั ลาํ ปาง
สถานทอ่ี ยปู่ จั จบุ นั
194 หมู่ 4 ตําบลลาํ ปางหลวง อาํ เภอเกาะคา จงั หวดั ลาํ ปาง

52130
ตําแหน่งหน้าทก่ี ารงานปจั จบุ นั -
สถานทท่ี าํ งานปจั จบุ นั
-

ประวตั กิ ารศกึ ษา

พ.ศ. 2540 มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6

จากศนู ยบ์ รกิ ารการศกึ ษานอกโรงเรยี น

อาํ เภอเกาะคา จงั หวดั ลาํ ปาง

พ.ศ. 2551 ศศ.บ. (ประวตั ศิ าสตร)์

จากมหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง กรงุ เทพมหานคร

พ.ศ. 2555 ศศ.ม. (ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี )

จากมหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ กรงุ เทพมหานคร


Click to View FlipBook Version