The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุทัตตา สมพร, 2023-10-11 12:26:35

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม สุทัตตา สมพร วิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2565


ก ชื่อเรื่อง : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ผู้วิจัย : สุทัตตา สมพร ปริญญา : ครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม สาขา : การประถมศึกษา ปีการศึกษา : 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของ พืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร ่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3) เพื่อให้นักเรียนจัดกระท าและสื่อ ความหมายของข้อมูล เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร่วมกับ การจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 4) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร ่วมกับการ จัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) กลุ ่มตัวอย ่างที ่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2/1 จ านวน 25 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565 ด้วยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการวิจัยเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร ่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น(Active Learning) จ านวน 1 แผน 3 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 3 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้แบบจ าลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) สถิติที่ใช้ใน งานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์สถิติทดสอบ (t-test ) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจ าลองเป็น ฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05


ข 2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการ จัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 มีระดับความพึง พอใจมาก


ค กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ส าเร็จลุล ่วงไปด้วยความกรุณาจากบุคลากรหลายฝ ่าย ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ คณาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิประสาทวิชา เพื่อสร้างองค์ความรู้ ให้ค าแนะน า และความช่วยเหลือในการเป็น แนวทางเพื่อการศึกษาค้นคว้าและจัดท าวิทยานิพนธ์จนประสบความส าเร็จ โดยเฉพาะอาจารย์กวินทรา ภูแพงค า ซึ่งเป็นครูพี่เลี้ยงที่เสียสละเวลาให้ค าปรึกษา ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเพื่อความสมบูรณ์ถูกต้องมาโดยตลอด จนท าให้วิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้ส าเร็จเรียบร้อย ขอขอบพระค ุณผู้ทรงค ุณว ุฒิด้านเครื่องมือต ่าง ๆ ที ่ใช้ในการท าวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย อาจารย์วารินทิพย์ ศรีกุลา อาจารย์สุกัญญา นนทมาตย์ และอาจารย์กวินทรา ภูแพงค า ซึ ่งกรุณาให้ ค าปรึกษาแนะน า และตรวจแก้ไข เพื่อช่วยพัฒนาเครื่องมือให้มีคุณภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขอขอบพระคุณท่านผู้อ านวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม อาจารย์ศึกษานิเทศก์ ทั่วไป อาจารย์ศึกษานิเทศก์เอกสาขาเฉพาะ และคณะครูทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ อ านวยความ สะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล และขอบใจนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราช ภัฏมหาสารคาม ที่ให้ความร่วมมือในการท าวิจัยเป็นอย่างดี ขอขอบพระคุณบิดา-มารดา ผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งในหัวใจ ญาติพี่น้อง ที่ให้ความอุปถัมภ์ค ้าชูเมตตา และ เพื่อนสนิทมิตรสหายที่เป็นก าลังใจคอยสนับสนุนช่วยเหลือในทุกด้านตลอดมา ท้ายที่สุด ผู้วิจัยขอน้อมร าลึกและขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล โลก อันเป็นสรณะทางใจให้ผู้วิจัยมีสติ สมาธิและปัญญาในการจัดท าวิทยานิพนธ์คุณประโยชน์ประการใด อันพึงมี จากการน าวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ไปใช้ เพื่อก่อเกิดประโยชน์ทางการศึกษาในด้านต่าง ๆ ผู้วิจัยขอมอบความดีเป็น กตเวทิตา เป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดา-มารดา บูรพคณาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่านที่ได้ประสิทธิประสาท วิชาความรู้ จนผู้วิจัยเกิดผลึกความรู้ทางการศึกษา สุทัตตา สมพร


ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ……………………………………………………………………………………………………………………….……………. ก กิตติกรรมประกาศ ……………………………………………………………………………………………………………………….. ค สารบัญ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. ง สารบัญตาราง ………………………………………………………………………………………………………………………….…… ฉ บทที่ 1 บทน า ……………………………………………………………………………………………………………………..……. 1 1.1 ที่มาและความส าคัญของปัญหา …………………………………………………………………………………... 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ……………………………………………………………………………………………. 3 1.3 สมมติฐานการวิจัย ……………………………………………………………………………………………………… 3 1.4 สมมติฐานทางสถิติ ………………………….……………………………………………………………………….… 4 1.5 ขอบเขตการวิจัย ………………………………………………………………………………………………………… 4 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ …………………………………………………………………………………………… 5 1.7 นิยามศัพท์ ……………………………………………………………………………………………………………….… 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง …………………………………………………………………….……………….… 7 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 …………………………………..……….. 8 2.2 การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ………………………………….. 13 2.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ……………………………………………………………………………. 20 2.4 ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 …………………………………………………………………………………….………. 21 2.5 แบบจ าลองเป็นฐาน …………………………………………………………………………………………….……. 22 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน …………………………………………………………………………………….………. 25 2.7 ความพึงพอใจ ………………………………………………………………………………………………….………. 31 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง …………………………………………………………………………………….…………….. 35 2.9 กรอบแนวคิดการวิจัย ………………………………………………………………………………….……………. 37 บทที่ 3 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ………………………………………………………………………………………….……………. 38 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ……………………………………………………………………………….………….. 38 3.2 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ………………………………………………………………….………….. 39 3.3 แบบแผนการทดลอง …………………………………………………………………………….………………….. 44


จ สารบัญ หัวเรื่อง หน้า 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ………………………………………………………………………………………………. 45 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………………………………………………………… 45 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………………………………………… 46 บทที่ 4 ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 47 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลผลการวิจัย …………………………………………………..…………. 47 4.2 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้………………………………………………………………………………….. 47 4.3 ผลการวิจัย ……………………………………………………………………………….………………………………… 48 บทที่ 5 …………………………………………………………………………………………………………………………………………. 51 5.1 วัตถุประสงค์การวิจัย …………………………………………………………………………………………………… 51 5.2 สรุปผล ………………………………………………………………………………………………………………………. 51 5.3 อภิปรายผล ………………………………………………………………………………………………………………… 52 5.4 ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………. 52 บรรณานุกรม ……………………………………………………………………………………………………………………………… 53 ภาคผนวก ………………………………………………………………………………………………………………………………….. 54 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ……………………………..………… ……………………….…… 55 ภาคผนวก ข คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ……………….……………………………………………..….. 85 รายนามผู้เชี่ยวชาญ ………………………………………………………………………………………………………………………. ประวัติย่อผู้วิจัย …………………………………………………………………………………………………………………………… 89


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 การสังเคราะห์กระบวนการของสมองและสติปัญญา ที่ช่วยมนุษย์ให้เกิดความรู้ในระดับต่าง ๆ 25 3.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และเวลาเรียน ……………………………………………………………….. 37 3.2 แบบแผนการทดลองเขียนเป็นแผนภาพได้ …………………………………………………………………… 4


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน ทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนผลผลิตต่างๆ เพื่อใช้อำนวยความสะดวก ในชีวิตและการทำงานล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ ความรู้ วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก พร้อมกันนั้นเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากที่จะให้การศึกษาค้นคว้า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 94) วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้ พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีทักษะสำคัญในการกันคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลาย และประจักษ์พยานที่ตรวจสอบไว้ วิทยาศาสตร์เป็น วัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมี ความรู้ความเข้าใจโลก ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น และนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มี คุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่นำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและ ยั่งยืน ที่สำคัญยิ่งคือความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับนานา ประเทศและดำเนินชีวิตร่วมกัน ในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 104) ปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง 2560 ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้า และสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูล หลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วย ตนเองมากที่สุด เพื่อให้ใด้ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ ได้มาจัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ (ตัวชี้วัดและสาระการเรียน แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (*ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551) แบบจำลองเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ โดยแบบจำลองใน รูปแบบต่างมีจุดประสงค์ใน การใช้ที่แตกต่างกัน ทั้งในการสื่อสารความคิดของตัวเอง เพื่อบรรยายและอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เพื่อ พยากรณ์ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเป็นกรอบ ในการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ แบบจำลองที่มี


2 การใช้ในทางวิทยาศาสตร์จึงได้มีรูปแบบที่ หลากหลายทั้งเป็นโครงสร้างทางกายภาพ ภาพวาด แผนผัง กราฟ สมการ ข้อความ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Harrison and Treagust, 2000) แบบจำลองได้เข้ามามีบทบาทในทางด้าน การศึกษา ในรูปของเป็นสื่อทางการศึกษาที่ใช้ในการอธิบายความรู้ ทฤษฎีที่เป็นนามธรรม เพื่อที่จะให้นักเรียนเกิด ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ ได้โดยเฉพาะในรายวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นรายวิชาที่มีการนำแบบจำลองมาใช้ในการ เรียนการสอนเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบางเนื้อหาของบทเรียนมีเนื้อหาที่มีลักษณะที่เป็นปรากฏการณ์ และสิ่งที่ไม่ สามารถสังเกตได้ทันที ในรายวิชาชีววิทยาก็ได้มีการนำ แบบจำลองในรูปแบบต่าง ๆ มาใช้ อย่างเช่น แบบจำลองสายใย อาหารตารางพันเนตต์ ซึ่งเป็นแผนภาพตารางที่ใช้ช่วยในการทำนายผลที่ได้จากการทดสอบการผสมพันธุ์ แบบจำลอง ลักษณะของดีเอ็นเอที่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวคู่เวียนขวา (Schwarz et al., 2009) จะเห็นได้ว่าแบบจำลองมี2 ความสำคัญ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และทางด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ ดังจะเห็นได้จากระบุให้“การสร้างแบบจำลอง” เป็นหนึ่งใน องค์ประกอบของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ ดังที่ปรากฏในตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ว่าการสร้างแบบจำลอง หรือรูปแบบที่อธิบายผลหรือแสดงผลของการสำรวจ ตรวจสอบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และการสร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งที่จะค้นพบ หรือสร้างแบบจำลอง เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (สำนักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา, 2552) ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยมีความสนใจในการนำเอาเทคนิคการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น (Active Learning) มาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น(Active Learning) เป็น กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม และมีบทบาทในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวาอย่างตื่นตัว และนักเรียนจะมี องค์ความรู้ที่คงทน การเรียนรู้แบบกระตือรือร้นเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเชื่อมโยงองค์ความรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในอนาคต ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของนักเรียนต่อกระบวนการเรียนรู้รายบุคคลและ กลุ่ม ทำให้ผลสัมฤทธิ์ดีกว่าวิธีการสอน การแบบบรรยาย ซึ่งในการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้นจะต้องอาศัย หลากหลายวิธีการสอนที่ปรับเปลี่ยนบทบาทครูเน้นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน (Wongpibool, 2017, pp. 327-336; Felder & Brent, 2009, pp. 2-4; Hyun, Ediger, & Lee, 2017, pp. 108-118; Mankilik & Ofodile, 2015, pp. 77- 87) จากการสังเกตและสอบถามครูผู้สอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ในปีการศึกษา 2564 พบว่าส่วนใหญ่ครูผู้สอนให้นักเรียนดูภาพเพื่ออธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก และพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ มีปัญหาเกี่ยวกับการบอกตำแหน่งและหน้าที่ของพืชดอก และทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชต่ำ จากสภาพปัญหาข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยได้คิดแก้ปัญหาของในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ให้สูงขึ้น


3 ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม อันเป็นแนวทางที่จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกจากการสร้างแบบจำลอง มีความคิดสร้างสรรค์ และทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามดียิ่งขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลอง เป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3. เพื่อให้นักเรียนจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูล เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ( Active Learning) มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 2. นักเรียนมีความพึงพอใจในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชา วิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดับที่มาก


4 1.4 สมมติฐานทางสถิติ H0 : µ1 = µ2 H1 : µ1 › µ2 เมื่อ µ1 คือ ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น (Active Learning) ในการทดลอง µ2 คือ ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สอนโดยการสอนแบบปกติ 1.5 ขอบเขตการวิจัย 1.5.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้งหมด 2 ห้อง จำนวน 47 คน โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 25 คน โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565 ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย 1.5.2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 2. การสอนแบบปกติ ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่2 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning)


5 1.5.3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยพิจารณาจากคู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มี เนื้อหาสอดคล้องกับมาตรฐานตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ซึ่งเลือกมา 1 หน่วยการเรียนรู้ ดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แสงและสิ่งมีชีวิต - บทที่ 2 สิ่งมีชีวิต - เรื่องที่ 2 ชีวิตของพืช 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก และสามารถนำความรู้เรื่องโครงสร้างและ หน้าที่ของพืชดอก ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2. นักเรียนสามารถนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาจัดกระทำโดยการสร้างแบบจำลองโครงสร้างของพืชดอก 3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 1.7 นิยามศัพท์ การเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยนักเรียนมีกิจกรรมในการสร้างแบบจำลอง เพื่อนำมาใช้ในการอธิบายแบบจำลองที่นักเรียนสร้างขึ้นมาได้ โดยงานวิจัยนี้ได้นำขั้นการสอนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ของ Gobert and Buckley (2000) ซึ่งมี 6 ขั้นตอนในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 นักเรียนทำการสร้างแบบจำลองทางความคิดเกี่ยวกับโครงสร้างของพืชดอก ขั้นที่ 2 ครูประเมินและทบทวนแนวคิดของนักเรียนที่จำเป็นจะต้องใช้ในการสร้างแบบจำลอง เพื่อสรุปอ้างอิง แบบจำลองของนักเรียน ขั้นที่ 3 นักเรียนลงมือสร้างแบบจำลองในขั้นนี้นักเรียนรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกันทั้งข้อมูลเกี่ยวกับ โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก โดยเขียนเป็นแผนภาพ จากนั้นตรวจสอบข้อมูลแล้วจึงลงมือสร้างแบบจำลอง ขั้นที่ 4 นำแบบจำลองไปใช้และประเมินในขั้นนี้นักเรียนอาจจะพบว่าแบบจำลองที่นักเรียนสร้างขึ้นถูกปฏิเสธ เนื่องจากใช้อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ไม่ดีพอนักเรียนต้องกลับไปปรับปรุง และแก้ไขแบบจำลองเพื่อให้สามารถอธิบาย โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกได้ดีขึ้น ขั้นที่ 5 ปรับปรุงและแก้ไขแบบจำลอง เพื่อให้สามารถนำแบบจำลองที่ปรับปรุง หรือแก้ไขมาอธิบายโครงสร้าง และหน้าที่ของพืชดอกได้ดีขึ้น


6 ขั้นที่ 6 ขยายแบบจำลอง ในขั้นนี้นักเรียนอาจจะนำแบบจำลองเดิมไปสร้างเพิ่มเติมหรือนำไปรวมกับแบบจำลอง อื่นเพื่อขยายแนวคิดให้กว้างขึ้น แบบจำลอง หมายถึง สิ่งที่แสดงออกมาจากความคิด ให้อยู่ในรูปแบบที่ทำความเข้าใจ ง่าย เพื่อเป็นเครื่องมือ พื้นฐานที่ใช้ในการอธิบาย หรือสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์โดยการวิจัยครั้งนี้ได้ ใช้แบบจำลอง 3 แบบ ได้แก่ แบบจำลอง เชิงรูปธรรม แบบจำลองเชิงภาษา และแบบจำลองเชิงภาพ การจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสนุกสนาน โดยนักเรียนจะได้ร่วมมือกันทำกิจกรรม ร่วมกันคิดและลงมือกระทำ เพื่อค้นหาคำตอบ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาร่วมกันอภิปราย พูดคุย ตั้งคำถามข้อสงสัย มีการโต้ตอบระหว่างกัน ทำให้นักเนียน เกิดความเข้าใจด้วยตนเอง เกิดความกระตือรือร้นในการเรียน แก้ปัญหาได้ และมีทักษะในการเลือกรับข้อมูลวิเคราะห์และ สังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบลงมือคิดและกระทำอย่างมีความหมาย สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยใช้ ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบกระตือรือร้น 4 ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ 1) ขั้นสนใจเรียนรู้ ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมนักเรียนโดยการสร้างแรงจูงใจในการเรียนด้วยกิจกรรมที่ น่าสนใจ ท้าทายความรู้ความสามารถ และกระตุ้นความคิด เพื่อให้นักเรียนสนใจและมีส่วนร่วมในการเรียน เช่น สถานการณ์ชวนสงสัย การใช้สื่อการเรียนการสอน รูปภาพหรือเกม 2) ขั้นลงมือกระทำ ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งเน้นให้นักเรียนคิดวางแผน และลงมือ กระทำอย่างอิสระ เพื่อค้นหาคำตอบ โดยใช้เทคนิคที่หลากหลาย เช่น การเรียนแบบร่วมมือ การเรียนแบบสืบสอบ การใช้ สถานการณ์จำลอง การระดมพลังสมองและการแก้ปัญหา เป็นต้น 3) ขั้นสรุปและสะท้อนความรู้ นักเรียนร่วมกันสรุปมโนทัศน์ โดยนำเสนอผลที่ได้จากการลงมือกระทำในรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น ผังมโนทัศน์ แบบฝึกหัด การวาดรูป คู่ตรวจสอบ การเล่าเรื่องรอบโต๊ะ ซึ่งนักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิด สะท้อนความรู้ และซักถามข้อสงสัยร่วมกัน โดยครูอธิบายกฎ นิยาม และหลักการทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมเพื่อให้นักเรียน เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง 4) ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ ครูจัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนนำมโนทัศน์ที่เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ เพื่อขยาย มโนทัศน์ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนผลการสอบของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 ที่ได้จากการ ทดสอบ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกคำตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ความพึงพอใจ คือความรู้สึกชอบหรือพึงพอใจของบุคคลที่มีต่อการทำงาน หรือความต้องการของแต่ละบุคคล ในแนวทางที่เขาประสงค์ อันเป็นผลจากการได้รับการตอบสนองต่อแรงจูงใจ


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลอง เป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง กับการศึกษาค้นคว้า โดยสรุปเป็นประเด็นสำคัญและนำเสนอเนื้อหาตามลำดับดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.1 วิสัยทัศน์ 2.1.2 หลักการ 2.1.3 จุดหมาย 2.1.4 สมรรถนะของผู้เรียน 2.1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2.1.6 เป้าหมายของวิทยาศาสตร์ 2.1.7 มาตรฐานและสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2.2 การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) 2.2.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) 2.2.2 แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 2.2.3 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 2.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2.4 ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 2.5 แบบจำลองเป็นฐาน 2.5.1 ความหมายของแบบจำลอง 2.5.2 ประเภทของแบบจำลอง 2.5.3 ความสำคัญของแบบจำลองและการสร้างแบบจำลอง 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.6.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.6.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.6.3 ลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี


8 2.7 ความพึงพอใจ 2.7.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.7.2 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 2.7.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.9 กรอบแนวคิดการวิจัย 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ได้ระบุหลักการ และจุดหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐานพุทธศักราช 2551 ฉบับ ปรับปรุง 2560 ดังนี้ 2.1.1 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มี ความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็น ต่อ การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ( หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551: 4) 2.1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อดวามเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็น เป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับ ความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมี คุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยึดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ


9 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ ( หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551 : 5 ) 2.1.3 จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนา หรือศาสนา ที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยีและมีทักษะ ชีวิต 3. มีสุขภาพกาย และสุขภาพจิต ที่ดีมีสุขนิสัยและรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมมีจิตสาธารณะที่มุ่ง ทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ( หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน , 2551 : 5 ) 2.1.4 สมรรถนะของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนา ผู้เรียน ให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอด ความคิดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์ อันจะเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง และสังคมรวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับ หรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนำไปสู่ การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับ ตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม


10 3. ความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศเข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลง ของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มี ประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเองสังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริม ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการ เปลี่ยนแปลงของสังคม และสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและ ผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะ กระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสารการทำงานการแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม ( หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551:6-7 ) 2.1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลกดังนี้( หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551 : 7 ) 1. รักชาติศาสน์กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ 2.1.6 เป้าหมายของวิทยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุดเพื่อให้ได้ความรู้ และกระบวนการ จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดให้เป็นระบบ หลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายที่สำคัญดังนี้ 1.1 เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีและกฎที่เป็นพื้นฐานในวิชาวิทยาศาสตร์


11 1.2 เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกัดในการศึกษา วิชาวิทยาศาสตร์ 1.3 เพื่อให้มีทักษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี 1.4 เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมวลมนุษย์และ สภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 1.5 เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อสังคม และการดำรงชีวิต 1.6 เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการความสามารถในการแก้ปัญหา และ การ จัดการทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ 1.7 เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างสร้างสรรค์ 2.1.7 มาตรฐานและสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ว 1.2 ป.2/1 ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำ เพื่อการเจริญเติบโตโดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ว 1.2 ป.2/2 ตระหนักถึงความจำเป็นที่พืชต้องได้รับน้ำและแสงเพื่อการเจริญเติบโตโดยดูแลพืชให้ได้รับ สิ่งดังกล่าวอย่างเหมาะสม ว 1.2 ป.2/3 สร้างแบบจำลองที่บรรยายวัฏจักรชีวิตของพืชดอก มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ว 1.3 ป.2/1 เปรียบเทียบลักษณะของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต จากข้อมูลที่รวบรวมได้ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ


12 มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสารความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคหลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วัด ว 2.1 ป.2/1 เปรียบเทียบสมบัติการดูดซับน้ำของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และระบุการนำสมบัติการดูดซับน้ำของวัสดุไปประยุกต์ใช้ในการทำวัตถุในชีวิตประจำวัน ว 2.1 ป.2/2 อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุที่เกิดจากการนำวัสดุมาผสมกันโดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ ว 2.1 ป.2/3 เปรียบเทียบสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุเพื่อนำมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตาม วัตถุประสงค์และอธิบายการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.1 ป.2/4 ตระหนักถึงประโยชน์ของการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่โดยการนำวัสดุที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ใหม่ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงานการเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงานพลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ว 2.3 ป.2/1 บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของแสงจากแหล่งกำเนิดแสง และอธิบายการมองเห็นวัตถุ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.3 ป.2/2 ตระหนักในคุณค่าของความรู้ของการมองเห็นโดยเสนอแนะแนวทางการป้องกัน อันตรายจากการมองวัตถุที่อยู่ในบริเวณที่มีแสงสว่างไม่เหมาะสม สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลกกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายใน โลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัยกระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.2/1 ระบุส่วนประกอบของดินและจำแนกชนิดของดิน โดยใช้ลักษณะเนื้อดินและการจับตัว เป็นเกณฑ์ ว 3.2 ป.2/2 อธิบายการใช้ประโยชน์จากดิน จากข้อมูลที่รวบรวมได้


13 2.2 การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 2.2.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) สถาพร พฤฑฒิกุล (2559, น. 49) อธิบายว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้หรือสร้าง ความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อ หรือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีผู้สอนเป็นผู้ แนะนำกระตุ้นหรืออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการคิด ขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการ เรียนรู้ทำให้การ เรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จรรยา ดาสา (2558, น. 72) อธิบายว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น เป็นการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการ เรียนการสอน ผู้เรียนจะได้เชื่อมโยงความรู้ เดิมและความรู้ใหม่จากการได้คิดได้ปฏิบัติระหว่างการเรียนการสอน อีกทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการฝึกการคิดขั้นสูงอีกด้วย ศิริพร มโนเชษฐวัฒนา (2557, น. 27) อธิบายว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น เป็นการ เรียนรู้ที่ผู้เรียนได้มีบทบาทในการรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองอย่าง กระปรี้กระเปร่า โดยการลงมือทำและคิดสิ่งที่ ตนกาลังกระทำ จากข้อมูลหรือกิจกรรมการเรียนการ สอนที่ได้ผ่านทางการอ่าน พูด ฟัง คิด เขียน อภิปราย แก้ปัญหา และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เพื่อทดแทนการสอนแบบบรรยาย จากการเรียนรู้แบบกระตือรือร้นเน้นให้ผู้เรียนได้รับ ประสบการณ์ ตรงจากการที่ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มีโอกาสคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์ ระหวาง ผู้เรียนและผู้สอน ผู้เรียนและผู้เรียน การเรียนรู้แบบกระตือรือร้นมุ่งเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในบทบาทการเรียนรู้ด้วย ตนเองเป็นสำคัญและมีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตนเองเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนา ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะต่างๆ จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า “การเรียนรู้แบบกระตือรือร้น(Active Learning)” หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ และการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ที่เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือ การลงมือทำความรู้ที่เกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ ผู้เรียนมีบทบาทในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านการ อ่าน การเขียน การอภิปราย การแก้ปัญหา หรือการประยุกต์ใช้สู่สถานการณ์จริงร่วมกันด้วยกิจกรรมที่หลากหลายทำให้ ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูงการเรียนรู้เป็นไปอยางมีความหมาย และนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 2.2.2 แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ศักดา ไชกิจภิญโญ (2548) เสนอแนวคิดว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น ผู้สอนต้องทำ ให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้ และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง จนเกิดความรู้ ความ


14 เข้าใจ นำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ โดยผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการอ่านการเขียนการโต้ตอบและการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินค่า กระบวนการเหล่านี้ผู้เรียนสามารถเพิ่มพูนและสร้างแนวคิด ของตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากวิธีการเรียน (Learning How to Learn) และมีทักษะเลือกรับข้อมูลอย่างเป็นระบบ อัมพิกา ภูเดช (2541, น. 57) เสนอแนวคิดว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้นส่งเสริม นักเรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนั้นปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การมีวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ นักเรียนมีโอกาสลงมือกระทำ นักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือกกิจกรรมและกลวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง นักเรียนได้สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งที่กำหนดกับผู้อื่น และการรับการสนับสนุนกระตุ้นให้ลงมือทำที่ท้าทายจากผู้สอน Meyers and Jones (1993, p. 113) ได้เสนอองค์ประกอบสำคัญของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบกระตือรือร้น 3 ประการ ดังนี้ 1. กระบวนการพื้นฐานในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น มี 4 ด้านได้แก่ การพูดและการ ฟัง การเขียน การอ่าน และการสะท้อนความคิด การพูดและการฟังจะช่วยให้นักเรียนได้ค้นหาความหมายของสิ่งที่ เรียน การเขียนจะช่วยให้นักเรียนได้สรุปข้อมูลเป็นภาษาของตนเอง การอ่าน การตรวจเอกสารสรุป การบันทึกย่อ สามารถช่วยให้นักเรียนประมวลสิ่งที่อ่านและพัฒนาความสามารถในการเน้นสาระสำคัญการสะท้อนความคิดจะช่วยให้ นักเรียนได้นำสิ่งที่เรียนรู้ไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้มาก่อน หรือนำความรู้ที่ได้รับไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หรือการให้ นักเรียนหยุดเพื่อใช้เวลาในการคิดและบอกให้ผู้อื่นได้เรียนรู้อะไรบ้าง เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บกัก ความรู้ของนักเรียน 2. กลวิธีในการเรียนการสอนผู้สอนสามารถใช้วิธี และเทคนิคต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น การเรียนร่วมมือ กรณีศึกษา สถานการณ์จำลอง การอภิปราย การเขียนบทความ การแก้ปัญหา เป็นต้น 3. ทรัพยากรที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน จะต้องเป็นแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า เช่น วิทยากรภายนอก การใช้เทคโนโลยีการสอน การใช้โทรทัศน์เพื่อการศึกษา และการให้นักเรียนลงมือ กระทำจากงานที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ การบ้าน ผังมโนทัศน์ ใบงาน ใบกิจกรรม การอ่าน เป็นต้น จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้นผู้สอนมีหน้าที่จัด สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เอื้ออำนวย และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตัวเองผ่านกิจกรรม ต่างๆ อย่างอิสระร่วมกับผู้อื่น และทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว เช่น การพูด การอ่าน การ ฟัง การเขียน การสะท้อนความคิด และการมีปฏิสัมพันธ์ต่อผู้อื่นที่เกิดขึ้นในห้องเรียน


15 2.2.3 เทคนิคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น การเรียนรู้แบบกระตือรือร้นสามารถใช้เทคนิคหลากหลายในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น เช่น การเรียนแบบร่วมมือ และการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นต้น อุษณีย์เทพวรชัย (2543, น. 6) ได้เสนอเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้นไว้ 7 วิธี ดังนี้ 1. การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็นวิธีการเรียนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อม ทางการเรียนให้นักเรียนได้ร่วมมือกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มละ 4-5 คน สมาชิกแต่ละคนจะต้องมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และ ในความสำเร็จของกลุ่ม โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ร่วมกัน การเป็นกำลังใจซึ่งกัน และกัน สมาชิกแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองพร้อม ๆ กับการดูแลเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละคนคือความสำเร็จของกลุ่ม ความสำเร็จของกลุ่มคือความสำเร็จของทุกคน 2. การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) เป็นเครื่องกระตุ้น ให้นักเรียนเกิดความต้องการที่จะใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ปัญหานั้น หรือเป็นการเรียนรู้ที่ผลจากกระบวนการทำงานที่จะทำให้ เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริงต่อสาเหตุของปัญหา โดยการเน้นให้นักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจแก้ปัญหา รู้จักการทำงานเป็นทีม ภายในกลุ่ม ครูผู้สอนจะมีส่วนร่วมน้อยที่สุด 3. การสอนแบบอภิปราย (Discussion) มีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะมีลักษณะเฉพาะ ตนเอง รูปแบบต่าง ๆ ของการสอนแบบอภิปราย ได้แก่ การอภิปรายทั้งห้องเรียน การอภิปรายแบบโต้วาที การอภิปราย เป็นคณะ การอภิปรายกลุ่มใหญ่ การอภิปรายกลุ่มย่อย เป็นต้น 4. การสอนแบบใช้เทคนิคระดมสมอง (Branstorming) เป็นลักษณะกลุ่มบุคคล ที่มาร่วมกัน แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีความคิดเห็นของแต่ละคน ไม่มีการตัดสินว่าความคิดของใคร ดี-เลว หรือ ถูกผิด แต่อยางใด 5. การสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Play) เป็นเทคนิคการสอนที่ใช้ในการ พัฒนาทักษะการ ติดต่อสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์ และการฝึกภาระในการเป็นผู้นำนอกจากนี้ยัง เป็นการฝึกตนให้มีความชำนาญในด้านการ เผชิญสภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น จำนวน สมาชิกขึ้นอยู่กับประเภทของการแสดงบทบาทสมมติ แต่ไม่เกิน 9 คน 6. การสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง (Simulation) หมายถึง การจำลอง สถานการณ์จริงมาไว้ ในชั้นเรียน นอกจากนี้จะมีลักษณะหรือส่วนประกอบที่เหมือนของจริง ยังจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบ เหล่านั้นเกิดขึ้นคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์จริงด้วยสถานการณ์จำลองที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่ รูปของการ เขียน การแสดงบทบาทจริง เป็นต้น


16 7. การสอนแบบสัมมนา (Seminar) มีเป้าหมายหลักที่จะให้มีการค้นคว้าโดย อิสระโดยไม่ถูก ควบคุมและถูกจำกดขอบเขตเนื้อหา หรือองค์ประกอบใด ๆ ดังนั้นการสอนแบบ สัมมนาเป็นการสอนที่ผสมเทคนิคและ การเรียนแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน มนัส บุญประกอบ (2544, น. 7) ได้เสนอเทคนิคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น ดังนี้ 1. การอ่านแบบกระตือรือร้น การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จำเป็นต้องอาศัยการอ่าน เช่น การอ่าน เอกสาร หนังสือเรียน การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมได้ หลากหลายเพื่อกระตุ้น ส่งเสริมการอ่าน และทำความเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวได้ดีขึ้นด้วยกลวิธี ดังนี้ 1.1 การเน้นคำ เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนเลือกคำวลี ประโยค หรือข้อมูลออก จากเนื้อหาที่ กำหนด เพื่อกระตุ้นนักเรียนให้เห็นคำหลัก หรือมโนทัศน์ ทำได้หลากหลายวิธี เช่น ขีด เส้นใต้ ระบายสี วงรอบข้อมูล เป็น ต้น 1.2 การเว้นคำ เป็นกิจกรรมเชิงคาดคะเน โดยลบคำสำคัญในเนื้อหาออกบางส่วน แล้วให้ นักเรียนเติมเนื้อหาให้สมบูรณ์ ผู้สอนอาจกำหนดคำสำหรับเติมหรือไม่กำหนดก็ได้ 1.3 การเรียงลำดับ เป็นกิจกรรมตัดแบ่งเนื้อหาความรู้ออกเป็นส่วน ๆ สลับคละกัน แล้วให้ นักเรียนจัดเรียงลำดับเชิงเหตุผลของเหตุการณ์ตามเนื้อหาได้ถูกต้อง 1.4 การระบุชื่อ ให้นักเรียนตัดชิ้นส่วนของข้อความที่เตรียมให้ แล้วนำไปติดบนภาพที่กำหนด เพื่อตรวจสอบความรู้ที่ถูกต้องในการค้นหาชื่อ หรือคำที่เหมาะสมกับแผนภาพ และใช้แผนภาพเป็นเครื่องช่วยจำและ แยกแยะเนื้อหา 1.5 การเขียนแผนภาพ ให้นักเรียนเขียนภาพหรือแผนภูมิลำดับความคิดเห็นจากเนื้อหาที่อ่าน เพื่อช่วยให้นักเรียนเห็นภาพ ตรวจทานและบันทึกความเข้าใจมโนทัศน์ที่กาหนดให้อ่าน 1.6 อ่านเนื้อความแล้วตั้งคำถาม ผู้สอนเตรียมเนื้อหาให้นักเรียนอ่านแล้วตั้งคำถาม แลกเปลี่ยน คำถามกัน เพื่อค้นหาคำตอบ หรืออภิปรายร่วมกัน 2. การเขียนที่กระตือรือร้น (Active Writing) เป็นกลวิธีกระตุ้นให้นักเรียนแสดงออกเชิงความรู้ ความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้การเรียนดังนี้ 2.1 บันทึกประจำวัน เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนสะท้อนการเรียนรู้ของตนเองอย่าง อิสระโดยสื่อสารแนวความคิดของตนเองด้วยการเขียน 2.2 รายงานในหนังสือพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนเขียนสาระเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี บทสัมภาษณ์ สำหรับตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ หรือให้เลือกบทความจากวารสาร หนังสือพิมพ์ เพื่อนำมาเขียน รายงาน ข้อเท็จจริง หรือประเด็นทางวิทยาศาสตร์


17 2.3 การเขียนร้อยแก้ว โคลง กลอน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนสร้างสรรค์งานเขียนที่นำไปสู่มโน ทัศน์ หรือการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง การบรรยาย ประสบการณ์ หรือความรู้สึกของนักเรียน การเขียนรายงานโครงการ หรือ รายงานการทดลอง เป็นต้น 2.4 บทละคร ผู้สอนอาจใช้เทคนิคการเขียนบทละครโดยใช้เนื้อหาเป็นหลักให้นักเรียนเขียน สะท้อนความรู้แนวคิด ความคิดเห็น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2.5 การนำเสนอ เป็นการรายงานผลการค้นคว้าของนักเรียนให้ผู้อื่นทราบอาจอยูในรูปแบบของ การทำโปสเตอร์ แผ่นพับ เป็นต้น 3. เกม (Games) หมายถึง กิจกรรมที่ใช้ผู้เล่นหนึ่งคนหรือมากกวา เป็นการแข่งขันที่มีกฎเกณฑ์ เกมช่วยให้นักเรียนเรียนสนุก ตื่นเต้น มีส่วนร่วมและกระตุ้นให้เรียนรู้ ช่วยพัฒนาทักษะแก้ปัญหา สื่อสาร การฟัง ความ ร่วมมือซึ่งและกัน ผู้สอนใช้เกมในการเสริมแรง ทบทวนสอนข้อเท็จจริง ทักษะ และโมนทัศน์ ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ทำให้นักเรียนสนใจบทเรียน นักเรียนอ่อนและเก่งสามารถทำงานกันได้ดี ทำให้นักเรียนอ่อนเกิดกำลังใจในการ เรียนมากขึ้น ทั้งอาจใช้เป็นการประเมินผลการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเกมมีหลายประเภท การจับคู่ การทายคำ โดมิโน ปริศนาอักษรไขว้ และไพ่ เป็นต้น กดา ไชกิจภิญโญ (2548, น. 12) ได้เสนอเทคนิคการแทรกกิจกรรมต่าง ๆ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกระตือรือร้น สรุปได้ดังนี้ 1. คู่ร่วมคิด ผู้สอนตั้งปัญหา โดยให้นักเรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบด้วยตนเองในเวลาจำกด ต่อมานักเรียนจับคู่และคิดหาคำตอบ อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดกิน หลังจากนั้นผู้สอน สุ่มนักเรียนนำเสนอหน้าชั้นเรียน 2. จิกซอว์ ผู้สอนเลือกเนื้อหาที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วน ๆได้ หรือเลือกบทความที่มีเนื้อหา สอดคล้องกัน 3-4 ชิ้น แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเท่าๆ กับเนื้อหา ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมา 1 คน เลือกเนื้อหาที่เตรียม ไว้ ให้อ่านทำความเข้าใจร่วมกัน หรือหาคำตอบร่วมกันในกลุ่มนำกลับไปสอนที่กลุ่มเดิมของตนเองจนครบทุกคน 3. การเขียนรอบโต๊ะ แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม เพื่อตอบคำถามโดยแต่ละกลุ่มจะได้รับกระดาษ คำถาม 1แผน และปากกา 1 ด้าม ให้แต่ละกลุ่มเขียนคำตอบลงกระดาษ และเวียนให้กลุ่มอื่นดูคำถามคำตอบ โดยคำตอบ ไม่ซ้ำกัน ผู้สอนอาจสุ่มนำเสนอหน้าห้องเรียน 4. ผังมโนทัศน์ แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มเขียนประเด็นหลักที่ได้เรียนรู้ลงกลาง กระดาษ และเขียนประเด็นรองที่เกี่ยวข้อง แล้วเชื่อมโยงกับประเด็นหลักจะได้รูปร่างคล้ายลูกโซ่ต่อกัน หรือเป็นแบบใย แมงมุม หรือรูปดาว ซึ่งการดูแผนภูมิ เช่นนี้จะทำให้จดจำง่าย หรือเข้าใจง่าย 5. การลงความคิดเห็น ให้นักเรียนยกมือเพื่อตอบคำถามของผู้สอนโดยแสดงความคิดเห็น ว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือแข่งกันตอบ


18 6. การซักถาม สามนาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลาเรียนให้นักเรียนสรุปการเรียนรู้ โดยเขียนประโยค 2 ประโยค หรือซักถามก่อนจบการเรียนรู้ จากการศึกษาสรุปได้ว่า เทคนิคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกระตือรือร้นมีกิจกรรมที่หลากหลาย แต่ละวิธีจะมีความเหมาะสมกับจุดประสงค์ในการศึกษาและเนื้อหา การเลือกวิธีการสอนแต่ละครั้ง ควรคำนึงถึงรูปแบบ การเรียนรู้ของนักเรียน ผู้สอนต้องควรวินิจฉัยและเลือกใช้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับนักเรียน และ ห้องเรียนมากที่สุด ซึ่งในการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น


19 2.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์


20 2.4 ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21


21 2.5 แบบจำลองเป็นฐาน 2.5.1 ความหมายของแบบจำลอง ปียะนัฐ นันทการณ์ (2551, น. 58) ได้ให้ความหมายของแบบจำลองความคิดว่า หมายถึง สิ่งที่ใช้ อธิบาย ปรากฏการณ์เกี่ยวกับโลก ได้แก่ ทฤษฎี กฎ กระบวนการ แนวคิดและหลักการทำงานต่างๆ ของระบบโดยนำเสนอใน รูปแบบต่างๆ เช่น วัสดุทรง 3 มิติ ภาพร่าง สมการ โกเมศ นาแจ้ง (2554. น. 18) ได้ให้ความหมายของแบบจำลองความคิดว่าหมายถึง เกิดจากการสร้าง แบบจำลองทางความคิดจากปรากฏการณ์ที่ ได้ศึกษา หลังจากได้แก้ปัญหาลงข้อสรุป หรือให้หตุผลด้วยแบบจำลอง บุคคล จะสร้างแบบจำลองจากความรู้เดิมและสารสนเทศ ใหม่ที่ได้รับระหว่างการสร้างแบบจำลอง เพื่อสร้างเป็นแบบจำลองทาง ความคิดของปรากฎการณ์ อารยา ควัฒน์กุล (2558, น. 47) ได้ให้ความหมายของแบบจำลอง ว่าหมายถึง เป็นภาพที่นักเรียน สะท้อนออกมาจากความคิดของตนเองโดยผ่านการให้เหตุผลที่ใช้ความรู้พื้นฐาน เพื่อใช้ในการที่จะอธิบายหรือทำนาย สถานการณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างถูกต้อง ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความหมายของแบบจำลอง หมายถึง กระบวนการทำความเข้าใจและใช้อธิบาย ปรากฏการณ์โดยผ่านการสร้างแบบจำลองปรากฏการณ์หรือระบบนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง นักเรียนจะสร้างแบบจำลองจาก ความรู้เดิมของนักเรียน จากนั้นนักเรียนจะสร้างแบบจำลอง 2.5.2 ประเภทของแบบจำลอง Gilbert (2005) ได้แบ่งแบบจำลองออกเป็น 5 ประเภทตามลักษณะการมีส่วนร่วมของบุคคล 1. แบบจำลองทางความคิด (Mental model) คือ แบบจำลองหรือภาพในสมองที่มี ลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล 2. แบบจำลองที่แสดงออก (Expressed model) คือแบบจำลองทางความคิดที่มีการนำเสนอ หรือแสดงออกให้ผู้อื่นรับรู้ซึ่งอาจจะแสดงออกในรูปแบบของ คำพูด ภาพวาด หรือลักษณะท่าทาง เป็นต้น 3. แบบจำลองมติของกลุ่ม (Consensus model) คือแบบจาลองที่ได้รับการยอมรับจากภายใน กลุ่มผู้ซึ่งศึกษาเรื่องนั้นๆ อาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับผลการทดลองหรือประสบการณ์ของแต่ละกลุ่ม 4. แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ (Scientific model) คือแบบจำลองที่ได้รับการทดสอบอย่าง เป็นทางการ มีการยอมรับจากมติประชาคมวิทยาศาสตร์และมีการเผยแพร่ในวารสารต่างๆ 5. แบบจำลองประวัติศาสตร์(Historical model) คือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ในอดีตที่เคย ได้รับการยอมรับจากประชาคมวิทยาศาสตร์ Boulter and Buckley (2000) แบ่งแบบจำลองออกเป็น 5 ประเภทตามลักษณะการ แสดงออกของแบบจำลอง ดังนี้


22 1. รูปธรรม (Concrete model) เป็นแบบจำลองที่สามารถสัมผัสได้สร้างเป็นสามมิติถ้าแบบจา ลองนั้นมีลักษณะเหมือนกับเป้าหมายแต่มีสัดส่วนเล็กกว่าจะเรียกแบบจาลองประเภทนี้ว่า scale model เช่น แบบจำลอง อะตอมพลาสติก แต่ถ้าแบบจำลองนั้นมีลักษณะและสัดส่วนไม่เหมือนเป้าหมายแต่มีหน้าที่การทำงานที่สามารถอธิบาย เป้าหมายได้เรียกแบบจำลองประเภทนี้ว่า functional model เช่น แบบจำลองระบบสุริยะ เป็นต้น 2. คำพูด (Verbal model) เป็นแบบจำลองที่ใช้คำพูดหรือคำอธิบายในการบรรยายข้อความรู้ ต่างๆ กับลักษณะที่แสดงออก เช่น คำพูดในการอธิบายการทำงานของเซลล์เหมือนกับโรงงาน เป็นต้น 3. คณิตศาสตร์ (Mathematical models) เป็นแบบจำลองที่ใช้สัญลักษณ์แสดงความสัมพันธ์ เชิงปริมาณ เช่น สัญลักษณ์หรือสมการคณิตศาสตร์ 4. ภาพ (Visual or diagrammatic models) เป็นแบบจำลองที่สามารถมองเห็นได้ในสองมิติ เช่น กราฟ แผนภาพ รูปภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น Suckling et al. (1978) แบบจำลองสามารจำแนกได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับธรรมชาติและรูปแบบของ แบบจำลองแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. แบบจำลองทางกายภาพ (Physical models) จะประกอบไปด้วย 1.1 แบบจำลองมาตรส่วน (Scale/iconic models) ซึ่งใช้แทนรูปแบบหรือลักษณะภายนอก ของเป้าหมาย 1.2 แผนที่/แผนภาพ (Maps/diagrams) เช่น แผนผังแสดงการเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือ กระบวนการเผาผลาญ 1.3 สูตร (Formulae) เช่น สูตรเคมีต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนสารเคมีหรือกระบวนการทาง เคมีเช่น น้ำเขียนแทนด้วย สูตรเคมี H_2 O 1.4 แบบจำลองการเปรียบเทียบ (Analogue models) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่แสดงถึง ลักษณะของเป้าหมายหนึ่งอย่างหรือมากกว่านั้น เช่น แบบจำลอง ball-and-stick หรือแบบจำลอง space-filling molecular ในวิชาเคมีหรือแบบจาลองหัวใจในวิชาชีววิทยา เป็นต้น 2. แบบจำลองแนวคิดหรือสัญลักษณ์(Conceptual-symbolic models) เป็นแบบจำลองที่ แสดงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจหรือเป็นโครงสร้างทางความคิด ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2.1 แบบจำลองเชิงประจักษ์ (Empirical models) เป็นแบบจำลองที่มีความสัมพันธ์กับ ตัวแปรต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตได้เช่น แบบจำลองร่างกายของมนุษย์ 2.2 แบบจำลองทางทฤษฎี (Theoretical models) เป็นแบบจำลองที่ใช้แทนปรากฏการณ์ ที่เป็นนามธรรม เช่น แรงหรือพันธะทางเคมี


23 2.3 แบบจำลองทางคณิตศาสตร์(Mathematical models) ประกอบไปด้วยสมบัติทาง กายภาพ เช่น ความหนาแน่น หรือกระบวนการทางกายภาพ และสมการทางคณิตศาสตร์ 2.4 แบบจำลองมาตรฐาน (Standard models) เป็นการลอกเลียนแบบในกระบวนการ บางอย่าง เช่น แบบจำลองของกระบวนการหายใจ 2.5 แบบจำลองแม่แบบ (Archetype models) เป็นการสร้างแบบจำลองเพื่อใช้ อธิบายปรากฏการณ์บางอย่าง จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า แบบจำลอง หมายถึง การนำเสนอแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เพื่อ อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ได้ศึกษา ในรูปแผนภาพ สัญลักษณ์ หรือสิ่งประดิษฐ์ 2.5.3 ประโยชน์ของแบบจำลอง Chamat (. 2009.p. 128) การศึกษาธรรมชาติโดยใช้แบบจำลองให้พัฒนาตามกาลเวลาเริ่มตั้งแต่สิ่งที่ไม่ สามารถ มองเห็นด้วยตาเปล่า จนถึงสิ่งที่ต้องใช้คำอธิบายที่สลับชับร้อน แบบจำตองมีบทบาทสำคัญในวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ใช้แบบจำลองในการสร้างสมมติฐานที่จะตรวจสอบ อธิบาย ทำนาย ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือเป็น แนวทางไปสู่การวิจัยในอนาคต ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบงำลองช่วยให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ต่างๆ มีดังนี้ 1. แบบจำลองทำให้บทเรียนนำสนไจ และช่วยให้นักเรียนรู้ข้าใงได้ดียิ่งขึ้น 2. ส่งเสริมให้นักเรียนฝึกการคิดอย่างเป็นระบบ 3. แสดงความคิดเห็นให้ผู้อื่นเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น 4. เข้าไจแนคิตทางประวิติศาสตร์และนำไปพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่อไป 5. เป็นแนวทางแสวงหาความรู้ และสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 6. นักเรียนรู้เกิดความสนุกสนานในการเรียนและได้รับความรู้ไปพร้อม ๆ กัน และเรียนรู้ วิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย 7. ส่งเสริมให้นักเรียนสืบเสาะหาความรู้หลากหลายวิธี ศึกษาเพิ่มเติมไม่มีที่สิ้น พรเทพ จันทราอุกฤมฏ์ (2556, น. 53-50) ได้กล่าวเกี่ยวกับประโยชน์หลักการเรียนรู้ ของการใช้ แบบจำลองเป็นฐานไว้ดังนี้ 1. แบบจำลองเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียน เข้าใขปรากฎการณ์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น 2. การสร้างแบบลำลองช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ค้นพบข้อความรู้ และเข้าใจในธรรมชาติของวิทยาศาสตร์


24 จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า ประโยชน์ของแบบจำลอง ใช้อธิบายส่วนสลับซับซ้อน แบบจำลองมี บทบาทสำคัญในวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ใช้แบบจำลองในการสร้างสมมติฐานที่ จะตรวจสอบ อธิบาย ทำนาย ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือเป็นแนวทางไปสู่การวิจัยในอนาคต 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.6.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ธัญวรรณ ทุ่มแก้ว (2550, น. 54) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นผลของความรู้ ความสามารถของผู้เรียนในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ทั้งในด้านของเนื้อหา และกระบวนการ แสวงหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ที่แสดงออกในรูปของความสำเร็จ ซึ่งสามารถวัดได้จากคะแนนหรือผลการเรียนของผู้เรียนด้วยเครื่องมือวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีเจตนารมณ์ที่จะมุ่งพัฒนา ศักยภาพของ ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ดังนั้นการที่ครูผู้สอนจะสามารถวัดและประเมินผล ในชั้นเรียนเพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความ เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของมาตรฐานและตัวชี้วัดแต่ละตัว ซึ่งมีลักษณะของพฤติกรรมที่แสดงออก แตกต่างกัน ประกอบด้วย พฤติกรรมด้านความรู้ (Knowledge) หรือพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้าน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute) หรือจิตพิสัย (Effective Domain) และพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ (Process Skill) หรือด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ในที่นี้จะใช้แนวคิดของบลูม (Bloom, 1961) เป็นพื้นฐานในการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียน ซึ่งในปัจจุบันพฤติกรรมการเรียนรู้ทางด้านความรู้หรือด้านพุทธิพิสัยตามลำดับขั้นทาง ปัญญาของบลูมนั้น ได้มีการ ปรับปรุงใหม่ (Revised Bloom ’s Taxonomy) โดย Anderson et al. (2001) ได้ทำการปรับปรุงลำดับขั้นทางสติปัญญา ของบลูมที่เสนอไว้ คือ “เปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียกในแต่ละ ระดับของความรู้ความคิดจากคำนามเป็นคำกริยาเพื่อให้สะท้อน ความเป็นกระบวนการของสมองหรือ สติปัญญาที่ช่วยให้มนุษย์เกิดความรู้หรือสติปัญญาและเปลี่ยนความรู้ในระดับการ สังเคราะห์จากเดิม เป็นการสร้างสรรค์และจัดเป็นความรู้ขั้นสูงสุดของลำดับขั้นที่ปรับปรุงใหม่” ดังแสดงในตารางต่อไปนี้


25 ตารางที่ 2.1 การสังเคราะห์กระบวนการของสมองและสติปัญญา ที่ช่วยมนุษย์ให้เกิดความรู้ ในระดับต่าง ๆ โดยกระบวนการทางสติปัญญาตามการจัดหมวดหมู่ลำดับความรู้ของบลูมที่ได้รับการ ปรับปรุงใหม่ให้มี ความถูกต้องและเหมาะสมกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน มีทั้งหมด 6 ขั้น เรียงลำดับจากความรู้ระดับต่ำไปยังความรู้ ระดับสูง มีดังนี้ 1. จำ (Remembering) เป็นความสามารถของสมองในการระลึก / จำความรู้หรือ สารสนเทศ ที่เก็บไว้ในสมอง ซึ่งเป็นความจำระยะยาว 2. เข้าใจ (Understanding) เป็นความสามารถทางสมองของบุคคลในการสร้าความหมาย หรือ ความรู้จากสื่อหรือเครื่องมือทางการศึกษาด้วยตนเอง เช่น จากการอ่าน การอธิบายของครู ทักษะย่อยของความสามารถ ในขั้นนี้ ได้แก่ การแปลความหมาย (interpreting) การให้ตัวอย่าง (exemplifying) การจัดจำแนก (classifying) การสรุป (summarizing) การเปรียบเทียบ (comparing) และการอธิบาย (explaining) 3. ประยุกต์ใช้ (Applying) จัดเป็นกระบวนการทางสมองในการใช้กระบวนการที่ได้เรียนรู้มาใน สถานการณ์ใหม่หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน 4. วิเคราะห์ (Analyzing) กระบวนการทางปัญญาในขั้นนี้ เป็นการแยกความรู้ออกเป็นส่วน โดยสามารถให้เหตุผลว่า ความรู้ส่วนย่อยที่แยกแต่ละส่วนมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของความรู้ทั้งหมดอย่างไร นักเรียนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์จะต้องสามารถจำแนกความแตกต่างได้จัดระบบความรู้ได้ และบอกที่มาของ ความรู้หรือองค์ประกอบแต่ละส่วนได้ 5. ประเมินค่า (Evaluating) เดิมความสามารถด้านการประเมินจัดเป็นความรู้ขั้นสูงสุด เป็น ความสามารถของสติปัญญาเกี่ยวกับการตรวจสอบและการวิพากษ์ต่าง ๆ


26 6. สร้างสรรค์ (Create) เป็นความสามารถของสติปัญญาในการสร้างสิ่งใหม่จากสิ่งที่เคยเรียนรู้ หรือสิ่งที่พบเห็นในบริบทต่างๆ นักเรียนที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์จะต้องสามารถสร้างสรรค์งาน แผนงาน หรือ ผลิตภัณฑ์ หรือชิ้นงานที่แปลกใหม่ จากข้อมูลสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับ การจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบปรนัย (ก-ค) ชนิดเลือกคำตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 2.6.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นภาเพ็ญ (2562, น.106) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นมี 2 ชนิด คือแบบทดสอบที่เป็น มาตรฐาน และแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นโดยยึดมาตรฐานการเรียนรู้ และครอบคลุมเนื้อหามีความเหมาะสมในความยาก ง่ายของข้อสอบ เพื่อความตรงในการนําไปวัดความสามารถของนักเรียนให้ได้มาก ปริศนา (2561, น.79) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือแบบทดสอบ อิงเกณฑ์เป็นการตัดสินว่านักเรียนมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้หรือไม่และแบบทดสอบอิงกลุ่มเป็นการตัดสิน ความสามารถของนักเรียนว่ามีความรู้อยู่ในกลุ่มใด ปิยฉัตร (2561, น.48) แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนซึ่งเป็นผลจากการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอบนั้น การศึกษาในครั้งนี้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น ข้อสอบแบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก ที่เป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์และเป็นแบบทดสอบมาตรฐาน จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทแบบอิงเกณฑ์และแบบอิงกลุ่ม แต่แบบทดสอบที่นํามานั้นต้องยึดตามมารตฐานการเรียนรู้ โดยจะต้องครอบคุม เนื้อหาและมีความเหมาะสมในความยากง่ายของข้อสอบ เพื่อความตรงในการนําไปวัดความสามารถของ นักเรียนให้ได้มากที่สุด 2.6.3 ลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2532, น. 47) ได้สรุปลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ที่ดีไว้ ดังนี้ 1. ความเที่ยงตรง (Validity) เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เครื่องมือวัดผลนั้นมีคุณภาพ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า เครื่องมือวัดนั้นสามารถวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นคือวัดได้ตรงและครบถ้วนตามเนื้อหาที่ ต้องการวัด วัดได้ตรงตามจุดประสงค์ วัดได้ตรงตามสภาพความเป็นจริง และวัดแล้วสามารถนำผลการวัดไปพยากรณ์หรือ คาดคะเนอนาคตได้


27 2. มีความเชื่อมั่นสูง (Reliability) เครื่องมือวัดผลที่ดีวัดสิ่งเดียวกันหลาย ๆ ครั้ง ผลที่ได้จาก การวัดจะเหมือนกันหรือแตกต่างกันน้อยมาก 3. มีความเป็นปรนัย (Objectivity) เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยจะมีความชัดเจนในตัวเอง เช่น ข้อสอบที่มีความเป็นปรนัย จะมีความชัดเจนอยู่ 3 ประการ คือ คำถามชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจตรงกัน คำตอบแน่นอน ใครตรวจก็ให้คะแนนตรงกัน และประการสุดท้ายคือ แปลความหมายคะแนนได้ตรงกัน 4. มีความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty) ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป ข้อสอบข้อใดที่มีคน ตอบถูกมากแสดงว่าง่าย ข้อที่มีคนตอบถูกน้อยแสดงว่ายาก ค่าความยากง่ายของข้อสอบ (p) มีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1.00 ข้อสอบที่ดีมีค่า p อยู่ระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 ซึ่งเป็นข้อสอบที่ค่อน ข้างยากปานกลางและค่อนข้างง่าย 5. มีอำนาจจำแนก (Discrimination) หมายถึง สามารถแบ่งแยกคนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ ถูกต้อง ข้อสอบที่จำแนกได้ หมายถึง ข้อสอบที่คนเก่งตอบถูก คนอ่อนตอบผิด ข้อสอบที่จำแนกกลับ คนเก่งจะตอบผิดแต่ คนอ่อนจะตอบถูก และข้อสอบที่จำแนกไม่ได้ คนเก่งและคนอ่อนจะตอบถูกและผิดพอ ๆ กัน ไม่ค่อยมีความแตกต่างกัน มากนัก อำนาจจำแนกของข้อสอบมีค่า r อยู่ระหว่าง -1.00 ถึง +1.00 ค่า r เป็นเครื่องหมายลบ หมายความว่า จำแนก ไม่ได้ คนเก่งตอบถูกน้อยกว่าคนอ่อน r เป็นเครื่องหมายลบ หมายความว่า จำแนกได้ คนก่งตอบถูกมากกว่าคนอ่อน ข้อสอบที่มีค่า r ใกล้ศูนย์ (r = -0.19 ถึง +0.19) เป็นข้อสอบที่จำแนกไม่ได้ เพราะคนเก่งตอบถูกพอ ๆ กับคนอ่อน ข้อสอบ ที่ดีควรมีค่า r อยู่ระหว่าง 0.20 ถึง 1.00 6. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ เครื่องมือที่สามารถทำให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุดเชื่อถือได้มาก โดยใช้วิธีการที่สะดวก รวดเร็ว คล่องตัว แต่เสียเวลาน้อย ลงทุนน้อยและใช้แรงงานน้อย 7. มีความยุติธรรม (Fair) ไม่เปิดโอกาสให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างผู้ที่ถูกวัด ด้วยกัน 8. ใช้คำถามถามลึก (Searching) ข้อสอบที่ดีต้องการให้ผู้ตอบใช้ความสามารถในการคิดค้น ก่อนที่จะตอบ 9. ใช้คำถามยั่วยุ (Exemplary) มีลักษณะที่ท้าทายให้ผู้สอบอยากคิดอยากตอบและทำด้วย ความเต็มใจ 10. คำถามจำเพาะเจาะจง (Definite) ไม่ถามวงกว้างเกินไป หรือถามคลุมเครือให้คิดได้ (สิริพร ทิพย์คง. 2545 : 195 ; พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2545 : 135 – 161) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ดังนี้ 1. ความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถนำไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการวัด


28 2. ความเชื่อมั่น แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งก็ตาม เช่น ถ้านำแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมีความสัมพันธ์กันดี เมื่อสอบได้คะแนนสูง ในครั้งแรกก็ควรได้คะแนนสูงในการสอบครั้งที่สอง 3. ความเป็นปรนัย เป็นแบบทดสอบที่มีคำถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถูกต้องตามหลัก วิชา และเข้าใจตรงกัน เมื่อนักเรียนอ่านคำถามจะเข้าใจตรงกัน ข้อคำถามต้องชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจตรงกัน 4. การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจำ โดยถามตามตำราหรือถาม ตามที่ครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมขั้นสูงกว่าขั้นความรู้ความจำได้แก่ ความเข้าใจการนำไปใช้ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์และการประเมินค่า 5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมีคนตอบถูกมาก หรือตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบข้อนั้นก็ยาก ข้อสอบที่ยากเกิน ความสามารถของนักเรียนจะตอบได้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถจำแนกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทาง ตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไปนักเรียนตอบได้หมด ก็ไม่สามารถจำแนกได้เช่นกัน ฉะนั้นข้อสอบที่ดีควรมีความยากง่าย พอเหมาะไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไป 6. อำนาจจำแนก หมายถึง แบบทดสอบนี้สามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อนโดย สามารถจำแนกนักเรียนออกเป็นประเภทๆ ได้ทุกระดับอย่างละเอียดตั่งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด 7. ความยุติธรรม คำถามของแบบทดสอบต้องไม่มีช่องทางชี้แนะให้นักเรียนที่ฉลาดใช้ไหวพริบ ในการเดาได้ถูกต้องและไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูตำราอย่างคร่าวๆตอบได้ และต้องเป็นแบบทดสอบที่ไม่ ลำเอียงต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ชวาล แพรัตกุล (2552, หน้า 123-136 )กล่าวถึงคุณลกัษณะของแบบทดสอบที่ดีไว้ดังนี้ 1. ต้องเที่ยงตรง (Validity) หมายถึงคุณสมบัติที่ทำให้ผู้ใช้บรรลุถึงวัตถุประสงค์แบบทดสอบที่มี ความเที่ยงตรงสูงคือแบบทดสอบที่สามารถทำหน้าที่วัดสิ่งที่เราจะวัดได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามความมุ่งหมาย 2. ต้องยุติธรรม (Fair) คือโจทย์คำถามทั้งหลายไม่มีช่องทางแนะให้เด็กเดาคำตอบได้ไม่เปิด โอกาสให้เด็กเกียจคร้านที่จะดูตำราแต่ตอบได้ดี 3 ต้องถามลึก (Searching) วัดความลึกซึ้งของวิทยาการตามแนวดิ่งมากกว่าการวัดตามแนว กว้างว่ารู้มากน้อยเพียงใด 4. ต้องยั่วยุเป็นเยี่ยงอย่าง (Exemplary) คำถามมีลักษณะท้าทายชักชวนให้คิดเด็กสอบแล้วมี ความอยากรู้มากน้อยเพียงใด 5. ต้องจำเพาะเจาะจง (Definite) เด็กอ่านคำถามแล้วต้องเข้าใจแจ่มชัดว่าครูถามถึงอะไรหรือ ให้คิดอะไรไม่ถามคลุมเครือ


29 6. ต้องเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึงคุณสมบัติ 3 ประการคือ 6.1 แจ่มชัดในความหมายของคำตอบ 6.2 แจ่มชัดในวิธีตรวจหรือมาตรฐานการให้คะแนน 6.3 แจ่มชัดในการแปลความหมายของข้อความ 7. ต้องมีประสิทธิภาพ (Efficiency) สามารถให้คะแนนที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากที่สุด ภายในเวลาแรงงานและเงินน้อยที่สุดด้วย 8. ต้องยากพอเหมาะ (Difficulty) 9. ต้องมีอำนาจจำแนก (Discrimination) สามารถแยกเด็นออกเป็นประเภทได้ทุกระดับตั้งแต่ อ่อนสุดถึงเก่งสุด 10. ต้องเชื่อมั่นได้ (Reliability) ข้อสอบนั้นสามารถให้คะแนนได้คงที่แน่นอนไม่แปรผัน จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี จะต้องมีความ เที่ยงตรง มี ความเชื่อมั่นสูง มีความเป็นปรนัย มีความยากง่ายพอเหมาะ มีอำนาจจำแนก มีประสิทธิภาพ มีความยุติธรรม ใช้คำถาม ถามลึก ใช้คำถามยั่วยุ และคำถามจำเพาะเจาะจง 2.7 ความพึงพอใจ 2.7.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อความสำเร็จของงานที่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นผลจากการได้รับการตอบสนองต่อแรงจูงใจ หรือความต้องการของแต่ละบุคคลในแนวทางที่ เขาประสงค์ ความพึงพอใจ โดยทั่วไปตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Satisfaction และยังมีผู้ให้ความหมายคำว่าความพึง พอใจพอสรุปได้ดังนี้ ประภาภรณ์ สุรปภา (2544) กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจเป็นระดับขั้นตอนความรู้สึกในทางบวกหรือทาง ลบของคนที่มีลักษณะต่างๆ ของงานรวมทั้งงานที่ได้รับมอบหมายการจัดระบบงานและความสัมพันธ์กับ เพื่อนร่วมงาน Powell อ้างถึงนายสุพัฒน์อัมระนันทน์ (2540 หน้า 8-9) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึงความสามารถของบุคคลในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขสนุกสนานปราศจากความรู้สึกเป็นทุกข์ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะต้องได้รับการตอบสนองอย่างสมบูรณ์ในทุกๆสิ่งที่ต้องการแต่ความพึงพอใจนั้นจะหมายถึง ความสุขที่เกิดจากการปรับตัวของบุคคลต่อสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดีและทำให้เกิดความสมดุลระหว่าง ความต้องการของบุคคลกับการได้รับการตอบสนอง


30 คณิต ดวงหัสดี (2537) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นความรู้สึกชอบหรือพึงพอใจของบุคคลที่มีต่อการ ทำงานและองค์กร หรือสิ่งจูงใจอื่นๆถ้างานที่ทำหรือองค์กรประกอบเหล่านั้นตอบสนองความต้องการของบุคคลได้บุคคล นั้นจะเกิดความพึงพอใจในงานขึ้นจะอุทิศเวลาแรงกาย แรงใจ รวมทั้งสติปัญญาให้แก่งานของตนให้บรรลุวัตถุประสงค์ อย่างมีคุณภาพ จากการศึกษาเอกสารและความหมายที่เกี่ยวข้องผู้วิจัยสรุปได้ว่า “ความพึงพอใจ” หมายถึง ความรู้สึก ชอบหรือพึงพอใจของบุคคลที่มีต่อการทำงาน หรือความต้องการของแต่ละบุคคลในแนวทางที่เขาประสงค์อันเป็นผลจาก การได้รับการตอบสนองต่อแรงจูงใจ 2.7.2 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ เบญจรัตน สีทองสุก (2549) กลาววา แนวคิดความพึงพอใจ มีสวนเกี่ยวของกับความตองการ ของ มนุษย์ กล่าวคือ ความพึงพอใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนอง ซึ่งมนุษย์ไม่ ว่าอยู่ในที่ใดยอมมีความต้องการขั้นพื้นฐานไม่ตางกัน นิลบล ตุยคำภีร์ (2546) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ว่าความพึงพอใจเป็น ความรู้สึกสอง แบบของมนุษย์ คือ ความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวกเปน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วจะ ทำใหเกิดความสุข ความสุขนนี้เป็นความรูสึกที่แตกตางจากความรูสึกทางบวกอื่นๆ กล่าวคือ เป็นความรู้สึกที่มีระบบ ย้อนกลับความสุขสามารถทำให้เกิดความรู้สึกทางบวกเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความสุขเป็นความรู้สึกที่สลับซับ ซอนและความสุขนี้จะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกใน ทางบวกอื่นๆ วิจิตร จิตรวศินกุล (2545) ได้มีการสรุปว่า ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่ใช้เป็นเครื่องมือบงชี้ถึง ปัญหาที่ เกี่ยวกับความพึงพอใจในการทำงานนั้นมี 3 ประการ คือ 1. ปัจจัยดานบุคคล (personal factors) หมายถึง คุณลักษณะสวนตัวของบุคคลที่ เกี่ยวของกับ งานได้แก่ ประสบการณในการทำงาน เพศ จำนวนสมาชิกในความรับผิดชอบ อายุ เวลาในการ ทำงาน การศึกษาเงินเดือน ความสนใจ เป็นต้น 2. ปัจจัยดานงาน (factor in the Job) ได้แก่ ลักษณะของงาน ทักษะในการทำงาน ฐานะ ทาง วิชาชีพ ขนาดของหน่วยงาน ความหางไกลของบานและที่ทำงาน สภาพทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น 3. ปัจจัยดานการจัดการ (factors controllable by management) ได้แก่ ความมั่นคง ใน งานรายรับ ผลประโยชน โอกาสก้าวหน้า อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ สภาพการทำงาน เพื่อนรวมงาน ความรับผิดการ สื่อสารกับผู้บังคับบัญชา ความศรัทธาในตัวผู้บริหาร การนิเทศงาน เป็นต้น จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความพึงพอใจจะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งจูงใจที่มีอยู่ เมื่อนำแนวคิด นี้มาประยุกต์ใช้กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การที่นักเรียนมีส่วนร่วมในการ เลือกเรียนตาม ความสนใจ และ


31 สามารถเลือกวิธีแสวงหาความรู้ด้วยวิธีที่ผู้เรียนถนัดและสามารถ ค้นหาคำตอบได้ จะเกิดความพึงพอใจกับ ความสำเร็จใน กิจกรรมเหล่านั้นมากขึ้น 2.7.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ สุดาวดี ใจแดง (2546) ได้เสนอทฤษฎีการแสวงหาความพึงพอใจไว้ว่า บุคคลพอใจจะ กระทำสิ่งใดๆที่ ให้มีความสุขและจะหลีกเลี่ยงไม่กระทำในสิ่งที่เขาจะได้รับความทุกข์หรือความยากลำบาก โดยอาจแบงประเภทความ พอใจกรณีนี้ได้ 3 ประเภท คือ 1. ความพอใจดานจิตวิทยา (psychological hedonism) เป็นทรรศนะของความพึงพอใจว่า มนุษย์โดยธรรมชาติจะมีความแสวงหาความสุขสวนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความทุกขใดๆ 2. ความพอใจเกี่ยวกับตนเอง (egoistic hedonism) เป็นทรรศนะของความพอใจว่า มนุษย์จะ พยายามแสวงหาความสุขสวนตัว แต่ไม่จำเป็นว่าการแสวงหาความสุขต้องเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เสมอไป 3. ความพอใจเกี่ยวกับจริยธรรม (ethical hedonism) ทรรศนะนี้ถือวามนุษยแสวงหา ความสุข เพื่อผลประโยชนของมวลมนุษย์หรือสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่และเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ผู้หนึ่งด้วย อุกกฤษณ์ ทรงชัยสงวน (2543) กลาววา พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นตองมีสิ่งจูงใจ (motive) หรือแรง ขับดัน (drive) เป็นความต้องการที่กดดันจนมากพอที่จะจูงใจให้บุคคลเกิดพฤติกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของ ตนเอง ซึ่งความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการบางอย่างเป็นความต้องการทางชีววิทยา( biological) เกิดขึ้นจากสภาวะตึงเครียด เช่น ความหิวกระหายหรือความลำบาก บางอย่างเป็นความต้องการทางจิตวิทยา (psychological) เกิดจากความตองการการยอมรับ (recognition) การยกย่อง (esteem) หรือการเป็นเจ้าของทรัพยสิน (belonging) ความต้องการส่วนใหญ่ อาจไม่มากพอที่จะจูงใจให้บุคคลกระทำในช่วงเวลานั้น ความต้องการกลายเป็น สิ่งจูงใจ เมื่อได้รับการ กระตุ้นอย่างเพียงพอจนเกิดความตึงเครียด โดยทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มี 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีของอับราฮัม มาสโลว และทฤษฎีของซิกมันด ฟรอยด์ 1. ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว (Maslow’s theory motivation) อับราฮัม มาสโลว (A.H.Maslow) คนหาวิธีที่จะอธิบายวาทำไมคนจึงถูกผลักดันโดย ความตอง การบางอย่าง ณ เวลาหนึ่ง ทำไมคนหนึ่งจึงทุมเทเวลาและพลังงานอยางมากเพื่อให้ได้มาซึ่งความ ปลอดภัยของตนเองแต่ อีกคนหนึ่งกลับทำสิ่งเหลานั้น เพื่อให้ได้รับการยกยองนับถือจากผู้อื่น คำตอบของ มาสโลว คือความต้องการของมนุษย์จะ ถูกเรียงตามลำดับจากสิ่งที่กดดันมากที่สุดไปถึงน้อยที่สุด ทฤษฎีของมาสโลวได้ จัดลำดับความต้องการตามความสำคัญ คือ 1.1 ความตองการทางกาย (physiological needs) เป็นความต้องการพื้นฐาน คือ อาหาร ที่ พัก อากาศ ยารักษาโรค


32 1.2 ความตองการความปลอดภัย (safety needs) เป็นความตองการที่เหนือกว่า ความต้องการ เพื่อความอยู่รอด เป็นความต้องการในด้านความปลอดภัยจากอันตราย 1.3 ความตองการทางสังคม (social needs) เป็นการต้องการการยอมรับจากเพื่อน 1.4 ความตองการการยกยอง (esteem needs) เป็นความตองการการยกยอง ส่วนตัวความ นับถือและสถานะทางสังคม 1.5 ความต้องการให้ตนประสบความสำเร็จ (self – actualization needs) เป็นความต้องการ สูงสุดของแต่ละบุคคล ความต้องการทำทุกสิ่งทุกอยางได้สำเร็จบุคคลพยายามที่สรางความพึงพอใจใหกับความต้องการที่ สำคัญที่สุดเปนอันดับแรกก่อนเมื่อ ความต้องการนั้นได้รับความพึงพอใจ ความต้องการนั้นก็จะหมดลงและเป็นตัวกระตุน ให้บุคคลพยายาม สร้างความพึงพอใจใหกับความต้องการที่สำคัญที่สุดลำดับต่อไป ตัวอย่าง เช่น คนที่อดอยาก (ความ ต้องการทางกาย) จะไม่สนใจต่องานศิลปะชิ้นลาสุด (ความต้องการสูงสุด) หรือไม่ต้องการยกย่องจากผู้อื่น หรือไม่ต้องการ แม้แต่อากาศที่บริสุทธิ์ (ความปลอดภัย) แต่เมื่อความต้องการแต่ละขั้นได้รับความพึงพอใจ แลวก็จะมีความต้องการในขั้น ลำดับตอไป 2. ทฤษฎีแรงจูงใจของฟรอยด์ ซิกมันด ฟรอยด์ ( S. M. Freud) ตั้งสมมุติฐานวาบุคคลมักไม่รูตัวมากนักว่าพลังทาง จิตวิทยามี ส่วนช่วยสร้างให้เกิดพฤติกรรม ฟรอยด์พบว่าบุคคลเพิ่มและควบคุมสิ่งเราหลายอยาง สิ่งเร้า เหล่านี้อยู่นอกเหนือการ ควบคุมอย่างสิ้นเชิง บุคคลจึงมีความฝน พูดคำที่ไม่ตั้งใจพูด มีอารมณ์อยู่เหนือ เหตุผลและมีพฤติกรรมหลอกหลอนหรือ เกิดอาการวิตกจริตอย่างมาก Clayton P. Alderfer อ้างถึงใน นรา สมประสงค์ (2536 หน้า 139-140) ได้กล่าวถึงความ ต้องการและความพึงพอใจของมนุษย์ได้เสนอทฤษฎี erg โดยอาศัยพื้นฐานมาจากทฤษฎีของมาสโลว์ (Maslow) และการ วิจัยเชิงประจักษ์ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1. ความต้องการดำรงชีวิต (existence needs) หรือ E เป็นความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางร่างกายและปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต 2. ความต้องการสัมพันธ์ (relatedness needs) หรือ R เป็นความต้องการทางสังคมที่จะมี ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆเช่นสมาชิกในครอบครัวเพื่อนฝูงเพื่อนร่วมงานและคนที่มีความต้องการจะมีความสัมพันธ์ด้วย 3. ความต้องการเจริญก้าวหน้า (growth needs) หรือ G เป็นความต้องการที่จะพัฒนาตน ตามศักยภาพสูงสุด นอกจากนี้ Clayton P. Alderfer ยังเชื่อว่าในขณะเดียวกันคนมีความต้องการมากกว่า 1 อย่างได้หรือ ความต้องการทั้ง 3 อย่างนี้อาจด าเนินไปในขณะเดียวกันก็ได้และถ้าความพึงพอใจในความต้องการระดับ สูงสุดถูกปิดกั้นยังไม่ได้รับการตอบสนองความปรารถนาที่จะมีความพึงพอใจในความต้องการระดับล่างจะ


33 เพิ่มขึ้นและยังกล่าวถึงความแตกต่างของความต้องการและความพึงพอใจของมนุษย์ว่าเป็นพลังผลักดันจากภูมิ หลังของครอบครัวและสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สุรัสวดี ปะกิระเค (2561) บทคัดย่อ การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง ปรากฏการณ์ของโลกและเทคโนโลยีอวกาศ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อ พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เเบบจำลองเป็นฐานให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 (2) เพื่อเปรียบเทียผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ (3) เพื่อเปรียบเทียบ ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็น ฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองกุงโนนทัน จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ใน งานวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน จำนวน 12 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ และแบบวัดความคิดสร้างสรรค์จำนวน 4 ข้อ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเยี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้ r-test ผลการวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลอง เป็นฐานมีค่าเท่ากับ 76.51 และ 78.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 (2) คะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน มี ความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปรีญานันต์ นวลจันทร์ (2563) บทคัดย่อ ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียน โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม 3) เพื่อ เปรียบเทียบความสามารถใน การคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ แบบจำลองเป็นฐาน และ 4) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 10 (อนุบาลเทศบาลเมืองสระบุรี) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 สังกัด เทศบาลเมืองสระบุรีจำนวน 26 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม หลายขั้นตอน โดยใช้เวลาในการทดลอง 9 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 2 ชั่วโมง รวมเป็น 18 ชั่วโมง เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน จำนวน 9 แผน แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.78 และแบบทดสอบวัด ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.82 ดำเนินการทดลองตาม แบบแผนการวิจัย


34 โดยการสุ่มและวัดก่อน-หลังการทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ สมมติฐานโดยใช้สถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม ตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน และกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการ จัดการเรียนรู้โดย ใช้แบบจำลองเป็นฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการ จัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 รัชนี รอดถนน (2561) บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ระบบสุริยะ ด้วยการเรียนรู้แบบ Active Learning โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดมัชฌิมภูมิ) มีความมุ่ง หมายเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบ สุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ระบบสุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนและหลังใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบ สุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชากรนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 4 (วัดมัชฌิมภูมิ) เทศบาลนครตรัง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมดจำนวน 24 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีเพียง ห้องเรียนเดียว แบบแผนการศึกษา เป็นการศึกษาแบบกลุ่มเดียว สอบก่อนและหลัง (One Group Pretest-Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบสุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 12 แผนการจัดการเรียนรู้ เวลา 15 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบสุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3) แบบ ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบสุริยะ โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสาระการเรียนรู้ ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านสื่อและ อุปกรณ์การเรียนรู้ ด้านการวัดผลและประเมินผล จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t – test) ผลการศึกษา พบว่า 1) การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบสุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน เทศบาล 4 (วัดมัชฌิมภูมิ) มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 87.70/81.04 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบสุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้


35 วิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ความพึง พอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบ Active Learning เรื่อง ระบบสุริยะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 2.9 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม กรอบแนวคิดการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชา วิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม วิธีการสอนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจ าลองเป็น ฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 2.การสอนแบบปกติ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2. ความพึงพอใจของนักเรียน


36 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลอง เป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 3.3 แบบแผนการทดลอง 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ มีดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการวิจัยเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น(Active Learning) 1 แผน จำนวน 3 ชั่วโมง แผนการ จัดการเรียนรู้แบบปกติ 1 แผน จำนวน 3 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 6 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) จำนวน 1 แผน 3 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบปกติจำนวน 1 แผน 3 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการ จัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning)


37 3.2 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.2.1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 1. ศึกษาหนังสือเรียนแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ได้แก่ อินเทอร์เน็ตวารสารเพื่อหาเนื้อหาที่สอดคล้องกับหน่วย การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ 2. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยศึกษาสาระการเรียนรู้มาตรฐานการ เรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและเลือกหน่วยการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับกิจกรรมการสอนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ซึ่งพิจารณาเลือกเนื้อหาที่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่ คาดหวังและเนื้อหานั้นสามารถนำมาใช้กับกิจกรรมสถานการณ์ได้ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการ จัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนโดยเลือกเนื้อหาการเรียนรู้ทั้งหมด 1 เรื่อง ดังนี้ แผนที่ 1 เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก จำนวน 3 ชั่วโมง ใช้ระยะเวลา 1 สัปดาห์ด้วยการเรียนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น ( Active Learning) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลอง เป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ตารางที่ 3.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และเวลาเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ เนื้อหา จำนวนชั้วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 โครงสร้างและหน้าที่ของ พืชดอก หน้าที่และส่วนประกอบของพืชดอก (ชบา) 1 สร้างแบบจำลองโครงสร้างของพืชดอก (ตามกลุ่มที่ได้) 1 นำเสนอโครงสร้างและบอกหน้าที่ของพืชดอกนั้นๆ 1 รวม 3


38 3. ดำเนินการสร้างแผนการเรียนรู้ตามเนื้อหาจุดประสงค์ที่ศึกษาไว้ 4. ผู้วิจัยนำแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษารายวิชา ถึงความถูกต้อง เหมาะสม และความสอดคล้องของเนื้อหาเพื่อพิจารณา และปรับปรุงแก้ไข 5. สร้างแบบประเมินแผนการการเรียนรู้แบบมาตราส่วนประมาณค่า ซึ่งกำหนดระดับ ความเหมาะสม 5 ระดับคือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด (กันตพัฒน์ สุวรรณเรือง 2561 น 58) กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับ ผู้เชี่ยวชาญดังนี้ ระดับคุณภาพ ระดับคะแนน เหมาะสมมากที่สุด 5 คะแนน เหมาะสมมาก 4 คะเเนน เหมาะสมปานกลาง 3 คะแนน เหมาะสมน้อย 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด 1 คะแนน 6. ผู้วิจัยนำแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) จำนวน 1 แผนที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านตรวจสอบความถูกต้องของการใช้ภาษาความ เหมาะสมของเนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธีการวัดและประเมินผลเพื่อนำแผนการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขให้ เหมาะสมยิ่งขึ้นและให้บรรลุตามเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประกอบด้วย 1. อาจารย์วารินทิพย์ ศรีกุลา อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตร์สาขาวิชาการประถมศึกษามหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม 2. อาจารย์สุกัญญา นนทมาตย์ อาจารย์ประจำวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม 3. อาจารย์กวินทรา ภูแพงคำ คุณครูพี่เลี้ยง โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 7. นำคะแนนที่ได้จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ยนำไปเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้โดยใช้ เกณฑ์ของ กันตพัฒน์ สุวรรณเรือง (2561 : 59)


39 ระดับความคิดเห็น ระดับคะแนนเฉลี่ย เหมาะสมมากที่สุด 4.51 – 5.00 เหมาะสมมาก 3.51-4.50 เหมาะสมปานกลาง 2.51-3.50 เหมาะสมน้อย 1.51-2.50 เหมาะสมน้อยที่สุด 1.00- 1.50 หรือได้ค่าความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ย 4.51 จึงถือว่าเป็นแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ใช้ได้ ผู้เชี่ยวชาญประเมินแล้วได้ 4.66 8. ผู้วิจัยนำแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ที่ได้รับการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 1 ห้องคือ นักเรียน ห้อง ป.2/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 9. นำคะแนนมาหาค่าความเชื่อมั่นและค่าอำนาจจำแนก 10. จัดพิมพ์แผนกิจกรรมแบบสมบูรณ์และนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนห้อง ป.2/1 โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เป็นแบบเลือกตอบ ชนิด 3 ตัวเลือก เนื้อหาเรื่อง โครงสร้าง และหน้าที่องพืชดอก ระดับประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งดำเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครู หนังสือแบบเรียน และเอกสารที่เกี่ยวกับ เนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง เนื้อหาผลการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ดอก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สอดคล้องกับเนื้อหา ผลการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิด เลือกตอบ จำนวน 3 ตัวเลือก 30 ข้อ (ต้องการใช้ จริง 20 ข้อ) 4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างเสร็จแล้วเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องและปรับปรุงแกไขตามข้อเสนอแนะ


40 5. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อ พิจารณาและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ ของพืชดอก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) ที่คำนวณได้ต้องมีค่าระหว่าง 0.50-1.00 (ไพศาล วรคำ 2558 : 269) โดย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่0.60-1.00และมีคำแนะนำใน การสร้างแบบทดสอบให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ให้ข้อสอบมีความเป็นปรนัย แนะนำวิธีการสร้างตัวลวงในตัวเลือก 6. ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ของผู้เชี่ยวชาญ และจัดพิมพ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนฉบับทดลอง แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 22 คน จากนั้นนำคะแนนมาหาค่าความ ยาก และค่าอำนาจจำแนก แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มาค่าความยากระหว่าง 0.20-0.80 และมีค่าอำนาจจำแนกมีค่าระหว่าง 0.20- 1.00 (บุญชม ศรี สะอาด 2545 : 90) แล้วคัดเลือกข้อสอบไว้ 20 ข้อ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับ นี้มีค่าความยากตั้งแต่ 0.30-0.70 และมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.26-1.00 7 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ ค่าความเชื่อมั่นจะต้อง มีค่าระหว่าง 0.70-1.00 (ไพศาล วรคำ 2558 : 168) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับนี้มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.88 8. นำแบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีประสิทธิภาพไปใช้จริงกับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 ภาค เรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 3.2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการสอนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจเพื่อเป็นแนวทางในการ สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) 2. กำหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนเนื้อหาที่จะวัดและเลือกรูปแบบเครื่องมือที่จะวัด 3. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น (Active Learning) โดยสอบถามความพึงพอใจในด้านกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสื่อการเรียนรู้และด้าน ประโยชน์ที่ได้รับลักษณะของรูปแบบการวัดเป็นแบบใช้มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert Scale) โดยมีระดับคะแนนดังนี้


41 ระดับคะแนน ระดับความคิดเห็น 3 มีความระดับความพึงพอใจระดับมาก 2 มีความระดับความพึงพอใจระดับปานกลาง 1 มีความระดับความพึงพอใจระดับน้อย ใช้เกณฑ์ในการแปลความหมายดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 105 – 106) ระดับคะแนนค่าเฉลี่ย ระดับความคิดเห็น 2.01 -3.00 มีความระดับความพึงพอใจระดับมาก 1.51-2.00 มีความระดับความพึงพอใจระดับปานกลาง 1.00 – 1.50 มีความระดับความพึงพอใจระดับน้อย โดยประเมินความสอดคล้องค่า IOC ของแบบสอบถามความพึงพอใจโดยผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม คัดเลือกข้อคำถามที่ มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป 4. ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสมและปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะน า 5. ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านตรวจสอบความ ถูกต้องเหมาะสม 6. ผู้วิจัยนำแบบวัดความพึงพอใจที่มีค่า IOC ผ่าน เกณฑ์จำนวน 10 ข้อมาจัดพิมพ์เป็นแบบสอบถาม ฉบับจริงเพื่อใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 25 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


42 3.3 แบบแผนการทดลอง แบบแผนสุ่มกลุ่มควบคุมทดสอบก่อนหลังเป็นแบบแผนที่มีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีการสุ่มหน่วยทดลองเข้า กลุ่มตามลักษณะของแบบแผนการทดลองแท้และมีการสังเกตก่อนและหลังการทดลองมีวิธีวิจัยดังนี้ 1) สุ่มหน่วยทดลองเข้ากลุ่มสองกลุ่มหรือมากกว่า 2) สุ่มเสี่ยงทดลองให้แต่ละกลุ่ม 3) สังเกตหรือวัดตัวแปรตามในแต่ละกลุ่ม 4) ให้สิ่งทดลองกับแต่ละกลุ่ม 5) สังเกตหรือว่าตัวแปรตามหลังจากให้สิ่งทดลองแล้วทำการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ตารางที่ 3.2 แบบแผนการทดลอง การสุ่ม กลุ่ม ทดสอบก่อน สิ่งทดลอง ทดสอบหลัง R E O1 X O2 C O1 - O2 ข้อดี เป็นแบบแผนการวิจัยที่มั่นใจได้ว่าปัจจัยแทรกช้อนต่างๆ ของกลุ่มควบคุมและกลุ่ม ทดลองจะถูกควบคุมให้ เท่าเทียมกันก่อบที่จะให้สิ่งทลลลง เช่น ประสบการณ์ กระบวนการทางวุฒิภวะ การถดถอยทางสถิติ เป็นต้น และ สามารถศึกษาพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตามได้ นอกจากนี้การทลสอบก่อนยังเป็นการตรวจสอบความเท่า เทียมกันของกลุ่มด้วย ข้อเสีย อาจเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างการทลสอบก่อนกับปัจจัยแทรกซ้อนอื่นๆ ทำให้ส่งผลต่อคำการวัดตัวแปรตาม ได้ และการทลสอบก่อนกลายเป็นเงื่อนไชที่ทำให้ผลการศึกษาไม่สามารถสรุปล้างไปยังประชากรอื่นๆ ได้ เพราะโดยปกติ ประชากรอื่นๆ จะไม่ได้รับประสบการณ์ในการทดสอบเหมือนกับกลุ่มที่ใช้ในการทดลอง (ไพศาล วรคำ, 2564 : 146)


43 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบกระตือรือร้น (Active Learning) เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 ในภาคเรียน ที่ 2 ปี การศึกษา 2565 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ รวม เวลา 6 ชั่วโมง มีลำดับขั้นตอนดำเนินและเก็บรวมรวมข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. ทำการทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ชั้นประถมศึกษา ปี ที่ 2/1 ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ รวม เวลา 6 ชั่วโมง 3. เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) ครบแล้ว ผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาทดสอบกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายอีก ครั้ง 4. ให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทำแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ แบบจำลองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learning) เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ดอก 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์การหาคําคุณภาพของเครื่องมือ ได้แก่ ความเที่ยงตรง ค่าความเชื่อมั่น และค่าอํานาจจําแนก ค่าความยาก 2. วิเคราะห์สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน 3. วิเคราะห์สถิติทดสอบ (t-test )


Click to View FlipBook Version