การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 นันทวัน แสงเย็น ผลงานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย โรงเรียนพระยาตาก พ.ศ.2565
ชื่อวิจัย : การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่าน ........................... คำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ชื่อผู้วิจัย : นางสาวนันทวัน แสงเย็น ปีการศึกษา : 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ และเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตาม เกณฑ์มาตราฐาน (80/80) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดชัยนาท ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 คน ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ วิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด (2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านออกเสียง คำควบกล้ำ วิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบการอ่านออก เสียงคำควบกล้ำ จำนวน 30 คำ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สูตร ค่าสถิติที (t-test) แบบ Dependent ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการ เรียนที่ใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คิดเป็นร้อยละ 93.33 2. ผลการวิจัยหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำทั้ง 3 ชุด ที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นสามารถพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 57.77/93.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตราฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80
กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยใช้แบบฝึกเสริม การอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สำเร็จสมบูรณ์ลงได้ด้วยความกรุณาจาก คุณครูวิทยา แสนเจ๊ก ซึ่งเป็นที่ปรึกษารายงานการวิจัยที่ให้คำปรึกษาแนะนำ และตรวจแก้ไข ข้อบกพร่อง ตลอดจนข้อคิดเห็นต่าง ๆ จนกระทั่งรายงานการวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอกราบ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณ รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนพระยาตาก คณะครูทุกท่าน ที่มีส่วน เกี่ยวข้องและเป็นกำลังใจในการทำวิจัยครั้งนี้ ขอขอบน้ำใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท ที่เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ตลอดจน ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดียิ่ง นันทวัน แสงเย็น
สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 สมมติฐานการวิจัย 2 ขอบเขตของการวิจัย 2 เนื้อหา 2 ประชาการและกลุ่มตัวอย่าง 2 ตัวแปร 3 ระยะเวลา 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 แบบฝึกเสริมการอ่าน 4 ความหมายของแบบฝึก 4 ความสำคัญของแบบฝึก 5 ลักษณะของแบบฝึก 5 หลักการสร้างแบบฝึก 6 แบบฝึกเพื่อแก้ไขการออกเสียงควบกล้ำ 7 ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ 9 ความหมายของการอ่านออกเสียง 9 ความสำคัญของการอ่านออกเสียง 10 ความหมายของคำควบกล้ำ 10
สารบัญ(ต่อ) บทที่ หน้า ปัญหาการอ่านออกเสียงควบกล้ำ 11 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 17 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 17 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 17 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือในการศึกษาวิจัย 18 วิธีดำเนินการทดลอง 19 การจัดทำและการวิเคราะห์ข้อมูล 19 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 22 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 26 สรุปผล 26 อภิปรายผล 26 ข้อเสนอแนะ 28 ข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปใช้ 28 ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป 29 บรรณานุกรม 30 ภาคผนวก 34 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 35 ภาคผนวก ข แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ 59
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แสดงการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเรียนโดยการใช้แบบฝึกเสริม 22 การอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2 แสดงคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ 23 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด 3 แสดงคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ 24 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด 4 แสดงการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ 25 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การอ่านถือเป็นทักษะที่สำคัญและใช้มากในชีวิตประจำวัน ผู้มีทักษะในการอ่านย่อมแสวงหา ความรู้และศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการพูด และการเขียนได้เป็นอย่างดี ทักษะการอ่านออกเสียงเป็นทักษะที่ช่วยให้ผู้พูดพูดได้อย่างถูกต้องชัดเจน ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ซึ่งในปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากไม่เห็นความสำคัญ ของภาษาไทยเพราะขาดสำนึกในการใช้ภาษาไทยและขาดความระมัดระวังในการออกเสียง ทำให้การ ออกเสียงผิดเพี้ยนไป ซึ่งภาษาไทยของเรานั้นมีความละเอียดอ่อน มีความสวยงาม มีหลากหลาย มีกฎ ระเบียบ และวิธีใช้เฉพาะเป็นเรื่องๆ ไป การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำเป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญอย่างหนึ่งของภาษาไทย เพราะคำ ที่ใช้อักษรควบมีลักษณะที่ทำให้เสียงในภาษาไทย มีความไพเราะและแสดงถึงความประณีตของการ ออกเสียงคำ เพราะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ แตกต่างจากการออกเสียงคำที่มีพยัญชนะต้นตัว เดียว นอกจากนี้ สุวรรณรัศมี ณ เชียงใหม่ (2544 : 2) พบว่าปัญหาการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ เกิดจากครูผู้สอนในระดับชั้นประถมศึกษาไม่เอาใจใส่ และแก้ปัญหานักเรียนที่อ่านออกเสียงไม่ถูกต้อง ผู้เรียนจะเคยชินติดเป็นนิสัย ทำให้ออกเสียงไม่ชัดเจนหรือออกเสียงไม่ถูกต้อง บางคนออกเสียงตัว ร ไม่เป็น ออกเสียงตัว ร กับตัว ล เหมือนกัน อ่านออกเสียงตัว ร ล กล้ำไม่เป็น ทำให้การสื่อสารไม่ เป็นไปตามที่ต้องการหรือมีการคลาดเคลื่อนผิดไปจากที่ต้องการจะสื่อความหมาย เช่น คำว่า รัก และ ลัก ซึ่งมีความหมายต่างกันมาก ถ้ามีการใช้ผิดจะเกิดการเข้าใจผิด นอกจากนี้ จำนง ทองประเสริฐ (2534 : 83) กล่าวว่า เด็กในอดีตถ้าเรียนภาษาไทยไม่ได้มาตรฐานมาเป็นผู้ใหญ่ในปัจจุบันก็พูดผิดแต่ เด็กปัจจุบันนึกว่าพูดถูกก็พูดตาม ไม่เชื่อครูสอนในชั้นเรียน การพูด ร ล ไม่ชัดมีปัญหาเช่นกัน เช่น เข้า โรง กับ เข้าโลง จะเห็นได้ว่าคนไทยควรตระหนักในการออกเสียงเพราะถ้าหากออกเสียงผิดจะทำให้ การสื่อความหมายเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเกิดการเข้าใจผิดและยังทำให้สื่อความหมายผิดอีก ด้วย จากความสำคัญและปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน ออกเสียงคำควบกล้ำ จึงเห็นว่าควรสร้างแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนตระหนักถึง
ความสำคัญของการใช้ภาษา ให้มีความแม่นยำในการใช้ภาษาและอ่านออกเสียงคำควบกล้ำได้ถูกต้อง มากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมและแก้ไขความบกพร่องในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้นักเรียนเป็นผู้อ่านที่ดี สามารถใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสื่อสารใน การดำรงชีวิตประจำวันได้ดีและช่วยรักษาเอกภาพของภาษาไทยต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ 2. เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ตามเกณฑ์มาตราฐาน (80/80) สมมติฐานการวิจัย 3. ผลสัมฤทธิ์ในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการ เรียนที่ใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก 2. แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิตาม เกณฑ์มาตรฐาน (80/80) ขอบเขตของการวิจัย เนื้อหา แบบฝึกที่จัดทำขึ้นเป็นแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ เสียงควบกล้ำที่นำมาใช้สร้างแบบฝึก มีทั้งหมด 15 เสียง ได้แก่ คำควบกล้ำ กร, กล, กว, ขว, คว, ขร, ขล, คร, คล, ตร, ปร, ปล, พร, พล, ผล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นเนื้อหาในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชาภาษาไทย ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 - ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยนาท ปีการศึกษา 2565 จำนวน 63 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยนาท ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 คน ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตัวแปร ตัวแปรต้น ได้แก่ แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ระยะเวลา ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ระหว่างวันที่ 9 - 27 มกราคม 2566 สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. คำควบกล้ำ หมายถึง พยัญชนะสองตัวเขียนเรียงกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียง พยัญชนะตัวหน้า 2. ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ หมายถึง ความชำนาญและความคล่องแคล่วในการ อ่านคำควบกล้ำ ซึ่งได้แก่ อ่านถูกต้อง รวดเร็ว เข้าใจความหมาย และออกเสียงคำที่อ่านได้ถูกต้อง 3. การพัฒนาทักษะการอ่านคำควบกล้ำ หมายถึง การดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ของผู้เรียนให้สูงขึ้นด้วยแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ 4. แบบฝึกเสริมการอ่าน หมายถึง สื่อที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ ผู้วิจัยจัดทำขึ้น เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำที่ดีขึ้น 2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในการประยุกต์ใช้แบบฝึก เสริมการอ่านคำควบกล้ำ ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านคำควบกล้ำ เพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องของนักเรียนเกี่ยวกับการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับ ดังนี้ 1. แบบฝึกเสริมการอ่าน 1.1 ความหมายของแบบฝึก 1.2 ความสำคัญของแบบฝึก 1.3 ลักษณะของแบบฝึก 1.4 หลักการสร้างแบบฝึก 1.5 แบบฝึกเพื่อแก้ไขการออกเสียงควบกล้ำ 2. ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ 2.1 ความหมายของการอ่านออกเสียง 2.2 ความสำคัญของการอ่านออกเสียง 2.3 ความหมายของคำควบกล้ำ 2.4 ปัญหาการอ่านออกเสียงควบกล้ำ 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.แบบฝึกเสริมการอ่าน 1.1 ความหมายของแบบฝึก วาสนา สุพัฒน์ (2530 : 11) กล่าวว่าแบบฝึก เป็นงานหรือกิจกรรมที่ครูมอบหมายให้นักเรียน ทำเพื่อทบทวนความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะและเพิ่มทักษะ ซึ่งสามารถ นำไปแก้ปัญหาได้ ดวงเดือน อ่อนนวม (2533 : 37) กล่าวว่าแบบฝึกหรือแบบฝึกหัด (Work Book) ว่าเป็น สื่อกลางที่จัดทำขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาทำความเข้าใจและฝึกฝนจนเกิดแนวคิดที่ถูกต้องและเกิด ทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้แบบฝึกหัดยังเป็นเครื่องบ่งชี้ให้ครูทราบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจบทเรียนมากน้อยเพียงใด แบบฝึกที่ดีและสมบูรณ์สามารถใช้แทนแบบทดสอบประเภทวินิจฉัย การเรียน (Diagnostic Test) ในการประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนได้ แบบฝึกที่ดีนอกจากจะ สนองทางด้านความรู้แล้วยังมีผลด้านจิตใจด้วย แบบฝึกที่ดีเหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัยจะช่วยให้ เกิดความสำเร็จ เพลิดเพลินและภาคภูมิใจที่ทำได้อีกทั้งยังส่งผลถึงการพัฒนา ทางด้านกล้ามเนื้อ ประสาทสัมผัสอื่น ๆ อีกด้วย
อัจฉรา ชีวพันธ์ และคนอื่น ๆ (2533 : 102) กล่าวว่าแบบฝึกเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเสริม ความเข้าใจและเสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนที่ช่วยให้นักเรียนได้ปฏิบัติและนำเอาความรู้ไปใช้ได้ อย่างแม่นยำ ถูกต้อง คล่องแคล่ว พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน. 2538 : 483) กล่าวว่าแบบฝึก หมายถึง ปัญหาที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนตอบ จากความหมายของแบบฝึกที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แบบฝึกคือ สื่อที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนการ สอนที่สำคัญอย่างหนึ่งมีไว้ให้นักเรียนฝึกฝนเพื่อเพิ่มทักษะภายหลังที่นักเรียนได้เรียนเนื้อหาจาก แบบเรียนปกติแล้วแบบฝึกจะทำให้ผู้เรียน มีความเข้าใจ มีความรู้ความสามารถและทักษะในสิ่งที่ เรียนมากขึ้น จึงนับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำไปใช้จัดการเรียนการสอนเพื่อนำไปสู่จุดหมายได้ 1.2 ความสำคัญของแบบฝึก พรรณธิภา อ่อนแสง (2532 : 44) ได้กล่าวถึงแบบฝึกทางภาษาว่า ถ้าพิจารณาตามหลัก จิตวิทยาและแบบฝึกจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบบฝึกทางภาษา ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การสื่อสารดำเนินไปด้วยดีเท่านั้น หากยังทำให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมในการสื่อสาร เป็นไปโดยอัตโนมัติ แบบฝึกสามารถใช้ฝึกทักษะทางภาษาไทยทุกด้าน แบบฝึกทางภาษาจะมี ความหมายอย่างสมบูรณ์ต่อเมื่อสามารถนำไปใช้ในการโต้ตอบสื่อสารและสามารถอ่านให้ดียิ่งขึ้น วิพุธ โสภาวงค์ (2537 : 828) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างกิจกรรมพิเศษโดยการใช้ แบบฝึกไว้ว่าเป็นการช่วยฝึกให้นักเรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาและเข้าใจภาษาไทยได้ถูกต้อง ควรมีการทดสอบเพื่อประเมินนักเรียนเข้าใจหรือไม่เพียงใด ทำให้ครูทราบข้อบกพร่องของนักเรียน พร้อมทั้งทราบว่าการแก้ไขโดยใช้แบบฝึกนั้นสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ จากความสำคัญดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือสำคัญที่ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเครื่องมือที่สามารถทดสอบและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อให้ครูผู้สอนนำผลการทดสอบมาพัฒนา ปรับปรุง กิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป 1.3 ลักษณะของแบบฝึก พรรณธิภา อ่อนแสง (2532 : 44) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีเพื่อใช้สอนการอ่านออก เสียงควรมีลักษณะดังนี้ 1.ควรมีข้อแนะนำการใช้ 2.ควรมีคำหรือข้อความให้ฝึกจำกัดและแบบให้ฝึกอ่านอย่างเสรี 3.คำสั่งหรือตัวอย่างไม่ควรยาวเกินไปและยากแก่การเข้าใจ 4.ถ้าต้องการศึกษาด้วยตนเอง แบบฝึกควรมีหลายรูปแบบ 5.ควรใช้จิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 6.ควรสร้างขึ้นเพื่อฝึกสิ่งที่จะสอนและเกี่ยวข้องกับนักเรียน
7.คำพูดหรือเนื้อหาควรเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเป็นสิ่งที่นักเรียนพบเห็นอยู่แล้ว 8.สิ่งที่ฝึกแต่ละครั้ง ควรเป็นบทฝึกสั้น ๆ และเข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ และที่สำคัญจะต้องยั่วยุ และกระตุ้นให้เด็กสนใจอยากฝึก สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2523 : 38) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังนี้ 1. ต้องมีการฝึกนักเรียนมากพอควรในเรื่องหนึ่งๆ ก่อนที่จะมีการฝึกเรื่องอื่น ๆต่อไป 2. แต่ละบทควรฝึกการใช้แบบประโยคเพียงหนึ่งแบบเท่านั้น 3. ฝึกโครงสร้างใหม่กับสิ่งที่เรียนมาแล้ว 4. ประโยคที่ฝึกควรเป็นประโยคสั้นๆ 5. ประโยคและคำศัพท์ ควรเน้นแบบที่พูดกันในชีวิตประจำวันที่นักเรียนรู้จักดีอยู่แล้ว 6. เป็นแบบฝึกที่นักเรียนใช้ความคิดน้อย 7. แบบฝึกควรมีหลายแบบ เพื่อมิให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย 8. ควรฝึกให้นักเรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนมาแล้วไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าลักษณะของแบบฝึกที่ดีคือ ต้องมีจุดประสงค์และคำสั่งที่ชัดเจน เข้าใจ ง่าย มีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีรูปแบบที่ทันสมัย สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนให้ เกิดความต้องการที่จะฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความต้องการที่จะฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ 1.4 หลักการสร้างแบบฝึก หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2538 : 174) ได้เสนอหลักเกณฑ์ในการสร้างแบบฝึกดังต่อไปนี้ 1. ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้และ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่เป็นปัญหา ในทุกระดับชั้นหรือเฉพาะชั้นใดชั้นหนึ่ง 2. วิเคราะห์เนื้อหา หรือทักษะที่เป็นปัญหาหรือทักษะย่อย ๆ เพื่อใช้ในการสร้าง แบบทดสอบและ แบบฝึกหัด 3. พิจารณาวัตถุประสงค์ รูปแบบและขั้นตอนการใช้แบบฝึก 4. สร้างแบบทดสอบซึ่งอาจมีแบบทดสอบดังนี้ 4.1 แบบทดสอบเชิงสำรวจ 4.2 แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่อง 4.3 แบบทดสอบความก้าวหน้า
5. สร้างแบบฝึกเพื่อใช้พัฒนาทักษะย่อย 6. สร้างบัตรอ้างอิง เพื่อใช้อธิบายคำตอบหรือแนวทางการตอบแต่ละเรื่อง การสร้างบัตรอ้างอิงนี้ อาจ ทำเพิ่มเติมเมื่อได้นำแบบฝึกหัดไปทดลองใช้ 7. สร้างแบบบันทึกความก้าวหน้า เพื่อใช้บันทึกการทดสอบหรือผลกรเรียนโดยจัดทำเป็นตอน เป็น เรื่อง เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ สอดคล้องกับแบบทดสอบความก้าวหน้า 8. นำเอาแบบฝึกไปทดลองใช้เพื่อหาข้อบกพร่อง คุณภาพของแบบฝึกหัด 9. ปรับปรุงแก้ไข ยงยุทธ ยะบุญธง (2536 : 26) ได้เสนอหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการสร้างชุดฝึกหรือแบบฝึก ไว้ดังนี้ 1. ก่อนสร้างชุดฝึก ต้องกำหนดโครงร่างไว้คร่าวๆ ว่าจะเขียนชุดฝึกเกี่ยวกับเรื่องอะไร และมี วัตถุประสงค์อย่างไร 2. ศึกษาเนื้อหาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3. เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับปัญหา 4. แจงวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมออกเป็นพฤติกรรมย่อย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของ ผู้เรียน 5. กำหนดอุปกรณ์ที่จะใช้ในกิจกรรมแต่ละตอนให้เหมาะสมกับชุดฝึก 6. กำหนดเวลาที่ใช้ในชุดฝึกแต่ละตอนให้เหมาะสม 7. ประเมินผล จะประเมินผลก่อนเรียนและประเมินผลหลังเรียน สำหรับขั้นตอนในการฝึก นั้นจะเริ่มด้วยการประเมินผลก่อนฝึก แล้วให้นักเรียนศึกษาชุดฝึกเมื่อจบชุดฝึกแล้วจึงทำการทดสอบ อีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นการประเมินหลังฝึก จากหลักและวิธีการสร้างแบบฝึกทักษะข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า หลักการสร้างแบบฝึกที่ดี คือต้องกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการฝึกทักษะ โดยใช้แบบฝึกทักษะให้ผู้เรีย นทำด้วย ความเข้าใจตามระดับความสามารถของตน กำหนดระยะเวลาสั้น ๆ ในการฝึกแต่บ่อยครั้ง ไม่ฝึก ติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย มีการอธิบายสำหรับข้อที่ยากรวมทั้งการ ให้ฝึกปฏิบัติควรจะมาหลังการสอน เมื่อนักเรียนเข้าใจดีแล้ว โดยฝึกทำจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก อีกทั้งครูต้องแนะนำอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าพบข้อผิดพลาดแล้วครูจะได้แก้ไขก่อนที่จะติดเป็นนิสัยใน การฝึก และแจ้งให้นักเรียนทราบว่าแบบฝึกทักษะจะเป็นการแสดงความก้าวหน้าของนักเรียน เพื่อครู จะใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 1.5 แบบฝึกเพื่อแก้ไขการออกเสียงคำควบกล้ำ พยุง ญาณโกมุท (2510 :624-631) ได้กล่าวถึงหลักในการจัดทำแบบฝึกเพื่อแก้ไขการออก เสียงคำที่เป็นอักษรควบกล้ำว่าควรเริ่มต้นดังนี้
1. ตรวจดูอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงของเด็ก 2. แนะนำ ชี้แจง เปลี่ยนทักษะของเด็กให้ทราบเหตุและผลของการออกเสียงผิด 3. การฝึกฝน ให้ฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ ด้วยความอดทนจะช่วยได้มาก โดยเริ่มฝึกดังนี้ 3.1 สอนโดยยึดความหมายของคำเป็นหลักให้เด็กเข้าใจความหมายของคำนั้น ๆ ให้รู้ว่าถ้า ออกเสียงผิดความหมายก็จะผิดตามไปด้วย 3.2 ฝึกโดยให้เด็กออกเสียงพยัญชนะที่จำเป็นในการออกเสียงที่ใช้อักษรควบ ไม่ควรฝึกคราว ละหลายๆ ตัว ถ้าเด็กออกเสียงไม่ชัดไม่ถูกต้องครูไม่ควรปล่อยปละละเลย แนวความคิดนี้ สมบัติ ตัญตรัยรัตน์ (2525 : 26) ได้กล่าวถึงแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. เป็นส่วนที่เพิ่มหรือเสริมบทเรียนปกติ 2. เป็นเครื่องมือที่เสริมทักษะ ต้องอาศัยการส่งเสริมและความเอาใจใส่จากครูผู้สอน 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน 4. วิธีใช้แบบฝึกควรทำดังนี้ 4.1 ฝึกทันทีหลังจากเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ 4.2 ฝึกซ้ำหลายๆ ครั้ง 4.3 เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 5. แบบฝึกจะเป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากบทเรียนในแต่ละครั้ง 6. แบบฝึกควรให้เด็กสามารถเก็บรักษาไว้ได้เป็นแนวทางทบทวนด้วยตนเองได้ 7. แบบฝึกควรมีส่วนช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียน 8. แบบฝึกควรจัดทำ นอกเหนือจากบทเรียนเพื่อให้เด็กได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ 9. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยประหยัดเวลาและแรงงานให้กับครู รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้วย พรรณธิภา อ่อนแสง (2532:48) ได้กล่าวถึงหลักในการจัดทำแบบฝึกควรมีลักษณะดังนี้ 1. ตั้งวัตถุประสงค์ 2. ศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหา 3. ขั้นต่างๆ ในการสร้างแบบฝึก 3.1 ศึกษาปัญหาความบกพร่องของเด็กในการเรียนการสอน 3.2 ศึกษาจิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ 3.3 ศึกษาเนื้อหาวิชา 3.4 ศึกษาลักษณะของแบบฝึก 3.5 กำหนดรูปแบบและสร้างแบบฝึกให้ตรงกับเนื้อหาที่ต้องการแก้ไข
ในแนวคิดนี้ วิพุธ โสภาวงศ์ (2527 : 767-829) เสนอแนะว่าครูอาจจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อ แก้ปัญหาด้านการออกเสียง สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ผิด โดยการใช้แบบฝึกการฟังเสียงและการ ออกเสียง เพื่อฝึกให้นักเรียนสามารถจำแนกเสียงที่เป็นปัญหาได้อย่างแม่นยำและให้ออกเสียงตามได้ อย่างถูกต้องตามเสียงภาษามาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจและให้ความร่วมมือ ในการแก้ไขข้อบกพร่องทางภาษาของตนในเรื่องนี้ 2.ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ 2.1 ความหมายของการอ่านออกเสียง นภดล จันทร์เพ็ญ (2531 : 75) ได้กล่าวถึงการอ่านออกเสียง คือ การเปล่งเสียงถ้อยคำ และ เครื่องหมายต่าง ๆ ที่เขียนไว้ออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำและเป็นที่เข้าใจแก่ผู้ฟัง ซึ่งการอ่านออกเสียง เป็นกระบวนการต่อเนื่องระหว่างสายตา สมอง และการเปล่งเสียง คือ สายตาจะต้องจ้องตัวอักษร และเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เขียนไว้ สมองประมวลเป็นถ้อยคำแล้วจึงเปล่งเสียงออกมาอย่างสำเร็จรูป ปรีชา ช้างขวัญยืน (2517:94-98) ได้กล่าวสรุปลักษณะของการอ่านออกเสียงที่ดี คือ ก่อน อ่าน ผู้อ่านต้องศึกษาเรื่องที่จะอ่าน ตลอดทั้งความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ การแบ่งวรรคตอนให้ ชัดเจน ไม่ควรอ่านเร็วหรือช้าเกินไปเพราะการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง ผู้ฟังแต่ละคน เข้าใจเร็วช้าต่างกันต้องพยายามให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ ถ้าเป็นเรื่องสนุกก็อ่านเร็วได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ ต้องการสาระวิชาควรอ่านช้าควรแบ่งประโยคเป็นข้อความสั้นๆ จะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจและผู้อ่านจะได้ หยุดหายใจเป็นระยะ ๆ ทำให้อ่านชัดถ้อยชัดคำ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2529:384) ได้รวบรวมขั้นตอนกระบวนการอ่านออกเสียงไว้ดังนี้ 1. ตามองเห็นข้อความหรือประโยค 2. จากคำหรือข้อความที่มองเห็นเด็กจะอ่านคำนั้นในสมอง 3. เมื่ออ่านคำได้จะรู้ความหมายของคำ โดยเลือกความหมายที่ถูกต้อง 4. ระบบประสาทและกล้ามเนื้อของอวัยวะในการออกเสียง บังคับการออกเสียงข้อความ หรือประโยคให้ถูกต้อง 5. เด็กอ่านคำ ข้อความ ประโยคได้ถูกต้อง การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านขั้นพื้นฐานของการอ่านทุกประเภท เพราะว่าการที่บุคคลจะอ่านใน ระดับสูงขึ้นไปให้ได้ดีประสบความสำเร็จนั้น ต้องมีความสามารถในการอ่านออกเสียงได้ดีมาก่อน
2.2 ความสำคัญของการอ่านออกเสียง ปรีชา ช้างขวัญยืน ( 2540 : 112 ) กล่าวว่า การอ่านออกเสียงเป็นการฝึกให้ออกเสียงคำได้ ถูกต้องชัดเจน แม่นยำและคล่องแคล่ว เมื่อออกเสียงได้ดีแล้วก็จะพูดได้ชัดเจนถูกต้องคล่องแคล่ว ตามไปด้วย คนพูดคล่องแต่พูดไม่ชัดย่อมเสื่อมราศี ยิ่งเป็นคนระดับผู้นำซึ่งต้องอ่านต้องพูดสู่ สาธารณชนด้วยแล้ว การอ่านไม่ชัด พูดไม่ชัด แสดงถึงความด้อยทางวัฒนธรรมหรือด้อยพัฒนาไปส่วน หนึ่ง ทำให้น่าสงสัยในความสามารถที่แท้จริงในเรื่องอื่น ๆ ไปด้วย คนยิ่งมีปัญญา ความสามารถ ยิ่งมี โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะต้องอ่านพูดสู่สาธารณชน การเตรียมการให้ บุคคลเหล่านี้ได้มี โอกาสฝึกฝนสำเนียงภาษาของตนให้ชัดเจนจะช่วยให้มาตรฐานทางการออกเสียง เกิดขึ้นในสังคมโดย อัตโนมัติ กรมวิชาการ (2544 : 20) ได้อ้างถึงปาฐกถาพิเศษในการสัมมนา เรื่อง การใช้ภาษาไทย ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ที่พูดถึงความสำคัญของการอ่านว่า การอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ทั้งเสียง สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ เป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะทำให้คนไทยใช้ภาษาไทยถูกต้อง สื่อสารได้ เข้าใจตรงกันตามความคิดของคนไทย เป็นภาษาประจำชาติ และใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพใน การดำรงชีวิตต่อไป สนิท สัตโยภาส (2545 : 89) ได้กล่าวว่าการอ่านออกเสียงมีความสำคัญในการนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันและยังมีความจำเป็นในด้านของการประกอบอาชีพต่าง ๆ เป็นอย่างมาก จากความสำคัญของการอ่านออกเสียงดังกล่าวสรุปได้ว่า การอ่านออกเสียงมีความสำคัญ ด้านการสื่อสารและการดำรงชีวิตประจำวัน นอกจากนี้การอ่านออกเสียงที่ถูกต้องยังเป็นการ แสดงออกถึงความเป็นไทยและวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย 2.3 ความหมายของคำควบกล้ำ ในเรื่องความหมายของคำควบกล้ำมีผู้ให้ความหมายและคำอธิบายไว้ดังนี้ เปลื้อง ณ นคร (2516 : 105) อธิบายความหมายของอักษรควบว่า คือ พยัญชนะที่ควบกับ ตัว ร ล ว มีเสียงกล้ำเป็นสระเดียวกัน เช่น กราบ กลัว เกวียน หรือ ทรง ทราย จริง ซึ่ง ลักษณะที่ควบกันนั้นออกเสียงต่างกันเป็นสองอย่าง คือ ออกเสียงรวมทั้งสองพยัญชนะ เช่น กราบ ออกเสียง กร รวมกัน แต่ “จริง” ออกเสียงเฉพาะตัว จ ฉะนั้นไวยากรณ์จึงแยกอักษรควบออกเป็น สองอย่าง คือ ควบแท้กับควบไม่แท้ - อักษรควบแท้ คือ อักษรที่ออกเสียงทั้งสองพยัญชนะรวมกัน เช่น กราบ พลู ออกเสียง กร พล รวมกัน หรือควบกัน กร พล เรียกว่า ควบแท้ - อักษรควบไม่แท้ ได้แก่ อักษรที่ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้าตัวเดียวหรือเปลี่ยน เป็นเสียง อื่น เช่น จริง ไซร้ ทรง ดังนี้ จร ซร ทร เรียกว่าควบไม่แท้
กรมวิชาการ (2546 : 168 - 169) ได้ให้ความหมายของอักษรควบหรือตัวควบกล้ำไว้ดังนี้ “อักษรควบหรือตัวควบกล้ำ” คือ พยัญชนะที่ควบกับ ร ล ว ประสมสระเดียวกันออกเสียงควบ กล้ำกันเป็นพยางค์เดียว โดยออกเสียงวรรณยุกต์ตามพยัญชนะตัวหน้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ (1) อักษรควบแท้ ได้แก่อักษรควบที่ออกเสียงพยัญชนะ 2 ตัวควบกล้ำกัน ดังนี้ ก. พยัญชนะตัวหน้า ก ข ค ต ป พ ควบกับ ร เช่น กราบ ขรึม ครั้ง เตรียม โปรด พร้อม ฯลฯ ข. พยัญชนะตัวหน้า ก ข ค ป ผ พ ควบกับ ล เช่น กล้อง ขลุ่ย คล้าย เปลี่ยน ผลัก เพลง ฯลฯ ค. พยัญชนะตัวหน้า ก ข ค ควบกับ ว เช่น แกว่ง ขวักไขว่ เคว้งคว้าง (2) อักษรควบไม่แท้ได้แก่ อักษรควบที่ออกเสียงพยัญชนะตัวหน้าเพียงตัวเดียวหรือออกเสียงเป็น อย่างอื่นดังนี้ ก. พยัญชนะตัวหน้า จ ซ ศ ส ควบกับ ร จะออกเสียงพยัญชนะตัวหน้าไม่ออกเสียง ร กล้ำ เช่น จริง ไซร้ ศรี สร้าง ฯลฯ ข. พยัญชนะตัวหน้าเป็น ท ควบกับ ร จะออกเสียงเป็น ซ เช่น ทรวง ทราบ ทรุดโทรม ฯลฯ จากการให้ความหมายของนักการศึกษาสรุปได้ว่า คำควบกล้ำ หมายถึง คำที่มีพยัญชนะต้น ควบกับ ร ล ว ประสมสระเดียวกัน ออกเสียงควบกล้ำกันเป็นพยางค์เดียวกัน โดยออกเสียงวรรณยุกต์ ตาม พยัญชนะตัวหน้า คำควบกล้ำแบ่งเป็นสองชนิดคือ คำควบกล้ำแท้และคำควบกล้ำไม่แท้ 2.4 ปัญหาการอ่านออกเสียงควบกล้ำ ปทุม หนูมา (2541 : 22) ได้กล่าวถึงปัญหาการออกเสียงควบกล้ำว่าเกิดขึ้นได้ทั้งในหมู่ นักเรียนและผู้ใหญ่ การออกเสียงคำควบกล้ำไม่ชัดเจนจนทำภาษาเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิด ความสับสนทางภาษาทำให้สื่อความหมายไม่ตรงกัน นอกจากนี้ยังทำให้ผู้พูดเสียบุคลิกภาพไปด้วย ความผิดพลาดในการออกเสียงคำควบกล้ำดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากปัญหา ดังนี้ (1) ปัญหาจากตัวครู ครูส่วนมากไม่ระมัดระวังในการอ่านคำควบกล้ำ หรือครูเหล่านั้นอาจมาจาก ครอบครัว หรือชุมชนที่พูดภาษาอื่นที่ออกเสียงภาษาไทยไม่ชัดเจนจึงไม่ระมัดระวังในเรื่องนี้ (2) ปัญหาจากตัวเด็ก เด็กที่เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนอาจมาจากครอบครัวและชุมชนที่พูดภาษา อื่นเป็นจำนวนมาก เมื่อมาอยู่ร่วมกันก็มักจะพูดภาษาตามท้องถิ่นของตนเองใช้ภาษาไทยผิดๆ เด็กอื่น ๆ ก็มักจะตามอย่างไปด้วย (3) ปัญหาทางสังคม เด็กที่มาจากครอบครัวยากจนอยู่ในชุมชนที่พูดภาษาไทยไม่ถูกต้อง โอกาสที่จะใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องก็เฉพาะเวลาที่อยู่ในห้องเรียนเท่านั้น ดังนั้นจึงมักจะพูดหรืออ่าน ตามเด็กส่วนใหญ่
กรรณิการ์ พวงเกษม (2533 : 38) ได้กล่าวถึงปัญหาการอ่านออกเสียงว่าถ้านักเรียนอ่านไม่ ถูกครูจะต้องฝึกให้อ่านซ้ำ เช่น อ่านคำควบกล้ำไม่ถูกครูจะต้องฝึกออกเสียงคำนั้นใหม่หลายๆ ครั้งแล้ว จึงให้อ่านข้อความที่มีคำนั้นซ้ำ ชลธิชา กลัดอยู่และคณะ (2521 : 49, อ้างถึงใน สมพร หลิมตระกูล. 2541 : 6) กล่าวถึง ปัญหาในการอ่านออกเสียงคำที่ใช้ ร ล ว ควบกล้ำไว้ดังนี้ (1) พวกที่ใช้อักษร ร และ ล ควบกล้ำ ร เป็นพยัญชนะลิ้นรัว ล เป็นพยัญชนะข้างลิ้น ลักษณะปลายลิ้นจรดโคนลิ้น ลิ้นงอและม้วนให้ลมออกข้างลิ้น ได้แก่ กร กล ขร ขล คร คล ปร ปล พร และ พล คำเหล่านี้ส่วนใหญ่ผู้ที่ออกเสียง ร ล ไม่ชัดเจนจะมีปัญหา คือ ออกเสียงคำที่มี อักษร ร ล ควบกล้ำไม่ชัดเจนไปด้วย บางครั้งจะออกเสียงสับกัน เช่น ปลาบปลื้ม เป็น ปราบปรื้ม, พรวดพราด เป็น พลวดพลาด เป็นต้น หรือไม่ออกเสียง ร ล ที่ควบกล้ำอยู่เลย เช่น ตรง เป็น ตง เพราะอาจออกเสียงได้ง่ายกว่าและไมได้รับการฝึกฝนออกเสียงให้ถูกต้อง เมื่อเคยชินเขาก็พอใจที่จะ ออกเสียงตามสบายไม่ต้องรัวลิ้นหรือห่อลิ้นเราจึงมักได้ยินคำเหล่านี้อยู่เสมอ “จะปับปุงเปี่ยนแปงปะเทศ” (2) การออกเสียงอักษรควบกล้ำ ว อักษร ว ควบกล้ำเป็นพยัญชนะกึ่งสระ ออกเสียงที่ริม ฝีปากคล้ายกับออกเสียงสระอู ได้แก่ กว ขว และ คว การออกเสียงบางคน มีการสับเสียงกัน มาก คือ ขว หรือ คว ออกเสียงเป็น กว เช่น ควัน เป็น กวัน , ควาย เป็น กวาย เป็นต้น ส่วนพวกที่ออกเสียงคำที่มีอักษร ว ควบกล้ำกับเสียงเดี่ยวที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น - การออกเสียง กว คว เป็น ฟ ดังตัวอย่าง “ท้องฟ้ากว้างและทะเลก็ดูเคว้งคว้างจัง เป็น ท้องฟ้าฟ้างและทะเลก็ดูเฟ้งฟ้างจัง” - การออกเสียง ขว เป็น ฝ ดังตัวอย่าง “หันหน้าไปทางขวาแล้วแขวนเสื้อไว้ เป็น หันหน้าไปทางฝาแล้วแฝนเสื้อไว้” เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเสียง กว ขว คว และ ฟ ฝ นี้มีวิธีออกเสียงที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเมื่อออก เสียงผิดแล้วจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายผิดไปโดยสิ้นเชิงเพราะเป็นคนละหน่วยเสียง นอกจากนี้ ประสงค์ รายณสุข (2532 : 84 – 91, อ้างถึงใน สมพร หลิมตระกูล (2541 : 7 - 12) ยังได้กล่าวถึงปัญหาการออกเสียงคำควบกล้ำ ร เป็น ล และไม่ออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ไว้ว่าคำที่ ใช้พยัญชนะควบกล้ำ ร ล นั้น คนไทยจำนวนไม่น้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ออกเสียงกันไม่ถูกต้องไม่ ชัดเจน คือ มักออกเสียงผิดในลักษณะออกเสียงหนึ่งเป็นอีกเสียงหนึ่งหรือใช้เสียงอื่นแทนเสียงที่ ถูกต้อง เช่น ปราบ เป็น ปลาบ, กรอบ เป็น กลอบ และ ในลักษณะไม่ออกเสียง เช่น ปลา เป็น ปา, ครู เป็น คู เป็นต้น จึงสมควรแก้ไขปรับปรุงการออกเสียงผิดๆ ดังกล่าวให้ถูกต้อง
ขั้นตอนการฝึกแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ - ขั้นที่ 1 การฝึกฟังเสียงคำควบกล้ำ ร ล - ขั้นที่ 2 การฝึกออกเสียงควบกล้ำ ร ล ปัญหาการออกเสียงคำที่มีพยัญชนะ ว ควบกล้ำเป็นพยัญชนะ ฟ หรือไม่ออกเสียง พยัญชนะควบ กล้ำ ว ในคำนั้น คำที่ใช้พยัญชนะ ว ควบกล้ำนั้นเป็นปัญหาในการออกเสียงน้อยกว่าคำที่ใช้ พยัญชนะควบกล้ำ ร ล ควบกล้ำ ผู้ที่ออกเสียงไม่ชัดมักเป็นผู้ที่ติดสำเนียงภาษาถิ่น เช่น คนไทยถิ่น ใต้ออกเสียง คว สับกับเสียง ฟ อาทิ ไฟฟ้า เป็น ไควคว้าหรือในชนกลุ่มน้อยอย่างชาวเขามักออก เสียงควบกล้ำ กว ขว คว ไม่ถูกต้อง เช่น แกว่ง เป็น แก่ง, ควัน เป็น ควน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการออกเสียงควบกล้ำ ว เป็น ฟ หรือไม่ออกเสียงพยัญชนะ ว ในคำนั้น ๆ ก็มี วิธีปรับปรุงแก้ไขโดยดำเนินการเช่นเดียวกับการฝึกออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล โดยมี 2 ขั้นตอน คือ - ขั้นที่ 1 การฝึกฟังเสียงควบกล้ำ ว - ขั้นที่ 2 การฝึกออกเสียงคำควบกล้ำ ว จากแนวคิดดังกล่าวผู้วิจัยจึงนำเอาขั้นการฝึกการฟังและการฝึกออกเสียงมาใช้ในขั้นตอนของ การฝึกเพื่อสร้างเป็นแบบฝึกพัฒนาการอ่านคำควบกล้ำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในครั้ง นี้ สุจริต เพียรชอบ (2543:1-7) ได้กล่าวว่าในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นวงสนทนา ฟังวิทยุ หรือ ชม โทรทัศน์ แม้แต่ชมการแสดงละคร เรามักจะพบว่ามีคนพูดออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำไม่ชัดเจน เป็นจำนวนมาก ทำให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควรและได้เสนอวิธีการฝึกฝนการออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำไว้ดังนี้การฝึกออกสียงนั้นก่อนฝึกจะต้องทดสอบก่อนว่าตนเองมีความบกพร่องในการ ออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำอย่างไร เมื่อพบข้อบกพร่องควรรีบแก้ไขทันที ต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยการฝึกรัวลิ้นบ่อย ๆ แล้วลองเปล่งเสียง ร ล เช่น รัก-ลัก, รอด-ลอด ต้องมีความศรัทธามุ่งมั่นเห็น ความสำคัญที่จะแก้ไขและฝึกจากแบบฝึก ในการฝึกออกเสียงคำแต่ละคำให้ดูความหมายควบคู่ไปด้วย เพราะถ้าออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดเพี้ยนไป และควรฝึกออกเสียงอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่ออก เสียงควรระมัดระวัง อาจให้คนใกล้เคียง เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือเพื่อนช่วยประเมินให้ นอกจากฝึก ออกเสียงจากแบบฝึกที่สร้างขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้บทเพลงหรือบทละครที่เป็นคำที่ออกเสียง ร ล และ คำควบกล้ำได้ จะทำให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และมีทักษะในการออกเสียง ร ล และคำควบ กล้ำได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
3.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ พรรณธิภา อ่อนแสง (2532 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องการศึกษาความสามารถ ในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว ของนักเรียนที่พูดภาษาถิ่นไทยลาวกับการสอนโดยใช้แบบฝึก เสริมสร้างกระบวนการคิด อย่างมีระบบกับการสอนโดยใช้แบบฝึกทั่วไป โดยทดลองกับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนครไทยวิทยาคม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2531 ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านการอ่านภาษาไทยของนักเรียนที่ใช้การสอนโดย ใช้แบบฝึกเสริมสร้างกระบวนการคิดอย่างมีระบบสูงกว่าการสอนโดยใช้แบบฝึกทั่วไป แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผกาวดี ปัญญาวรรณศิริ (2540 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างแบบฝึก การอ่านออกเสียงพยัญชนะต้น ร ล และพยัญชนะควบกล้ำ ร ล ว เพื่อใช้เสริมการสอนนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัย พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านของนักเรียนที่ใช้แบบฝึกสูงขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปรีชา เผ่าเครื่อง (2541 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างแบบฝึกการอ่าน คำควบกล้ำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านออกเสียงพยัญชนะที่ มี ร ล ว ควบกล้ำที่ใช้แบบฝึก ช่วยให้ความสามารถการอ่านคำควบกล้ำดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.1 วันชัย ปัญญาวิชา (2551 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างสื่อประสม สำหรับเสริมความสามารถด้านการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การศึกษาครั้ง นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อประสมสำหรับเสริมความสามารถด้านการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และเพื่อศึกษาผลการใช้สื่อประสมสำหรับเสริมความสามารถด้านการอ่านคำ ควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ประชากรที่ใช้ในการทดลองเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนบ้านสันมะเค็ดสันขี้เหล็กหัวฝายพัฒนา ตำบลเวียงกาหลง อำเภอ เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายจำนวน 10 คน โดยการใช้โปรแกรม Authorware Version 7 ซึ่งมี ความสามารถในการนำเสนอทั้งในรูปแบบข้อความ เสียง ภาพ วิดีโอ ภาพ เคลื่อนไหวและแบบฝึกหัด การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยสื่อประสมสำหรับเสริม
ความสามารถด้านการอ่านคำควบกล้ำในรูปของโปรแกรมที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 3 แบบฝึกหัดคือ ร ควบกล้ำ ล ควบกล้ำ และ ว ควบกล้ำ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และ แบบประเมินสื่อประสมคำควบกล้ำจากผู้เรียน ผู้ศึกษาได้ดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง เริ่มจากการทดสอบการอ่านคำควบกล้ำที่เตรียมไว้จำนวน 60 คำ เป็นคำที่มี ร ควบกล้ำ 20 คำ คำที่มี ล ควบกล้ำ 20 คำ คำที่มี ว ควบกล้ำ 20 คำ โดยให้กลุ่มตัวอย่างอ่านออกเสียงทุกคำและผู้ศึกษา บันทึกว่าแต่ละคนอ่านถูกหรืออ่านผิดหลัง จากนั้นให้กลุ่มตัวอย่างฝึกการอ่านออกเสียงจากสื่อประสม ที่สร้างขึ้นกับคอมพิวเตอร์โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนวันละ 1 คาบ คาบละ 20 นาที เป็นเวลาทั้งหมด 15 คาบ ขณะเดียวกันผู้ศึกษาก็สังเกตพฤติกรรมไปด้วย เสร็จสิ้นการฝึกแล้วผู้ศึกษาใช้แบบทดสอบชุด เดิมทดสอบการอ่านคำควบกล้ำอีกครั้ง พร้อมทั้งให้กลุ่มทดลองประเมินสื่อประสมจากการประเมินที่ สร้างขึ้น ผลการศึกษาพบว่า 1) สื่อประสมสำหรับเสริมความสามารถด้านการอ่านคำควบกล้ำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 3 แบบฝึกใช้เวลา 15 คาบ สามารถพัฒนาความสามารถของ นักเรียนในการอ่านคำควบกล้ำได้ดีขึ้น 2) ผลสัมฤทธิ์การอ่านคำควบกล้ำหลังการทดลองสูงกว่าก่อน การทดลองอย่างมีในสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สุมลมาลย์ เอติรัตนะ (2553 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาแบบฝึก ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ใน การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว ของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะสำหรับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานีเขต 3 จำนวนนักเรียน 42 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 10 แผน แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 จำนวน 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์พัฒนาขึ้นโดยผู้วิจัย ซึ่งมีค่าความยากง่ายตั้งแต่ .28-.65 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .24-.89 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการ ทดสอบค่า t ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 84.71/84.14 2) ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีในสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1
จากการวิจัยพบว่า งานวิจัยของผู้วิจัยหลายท่านที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ต่างมุ่งเม้นที่จะพัฒนา ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ เพราะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำมีความสำคัญต่อตัวนักเรียน เป็นอย่างยิ่ง แต่งานวิจัยของแต่ละท่านก็จะมีความแตกต่างกันที่ตัวแปรต้น วิธีการ และเครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย เช่น การสอนอ่านออกเสียงโดยใช้แบบฝึกเสริมสร้างกระบวนการคิดอย่างมีระบบ การใช้ แบบฝึกการอ่านออกเสียงพยัญชนะต้น ร ล และพยัญชนะควบกล้ำ ร ล ว การใช้สื่อประสม และการ ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง แต่ทุกวิธีการหรือทุก ๆ ตัวแปรต้น ผู้วิจัยก็มุ่งเม้นที่จะพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำเช่นเดียวกัน ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นว่าการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำ ควบกล้ำจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือ วิธีการที่ใช้ในการพัฒนาที่หลากหลาย และสามารถนำเทคโนโลยี หรือรูปแบบการเรียนรู้แบบใหม่ ๆ หรือน่าสนใจเข้ามาช่วยในการพัฒนา เพราะนักเรียนจะได้เกิด ความสนใจในการเรียนการสอน และอยากที่จะเรียนรู้การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ และสามารถนำ ความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติได้จริงและได้ประสิทธิภาพจริง
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำ ควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ครั้งนี้เป็นลักษณะของการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยมีรายละเอียดและขั้นตอนการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือในการศึกษาวิจัย 4. วิธีดำเนินการทดลอง 5. การจัดทำและการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 - ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมือง ชัยนาท จังหวัดชัยนาท สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยนาท ปีการศึกษา 2565 จำนวน 63 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชัยนาท ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 คน ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ประกอบด้วย 1. แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ วิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย 1.1 แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ 1.2 แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านออกเสียงคำที่มี ล ควบกล้ำ 1.3 แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านออกเสียงคำที่มี ว ควบกล้ำ 2. แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ วิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ จำนวน 30 คำ
ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือในการศึกษาวิจัย 1. การสร้างแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ช่วงชั้นที่ 1 และคู่มือ การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 1.2 ศึกษาสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย ช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1.3 ศึกษาเอกสารการสร้างแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 จากหนังสือ เอกสารและหลักการสร้างแบบฝึกเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้าง ต่อไป 1.4 กำหนดกรอบเนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์การเรียนรู้ ในการสร้างแบบฝึกเสริม ทักษะการอ่านคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 1.5 สร้างแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามกรอบเนื้อหา กิจกรม และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ชุด ดังนี้ 1.5.1 แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ 1.5.2 แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านออกเสียงคำที่มี ล ควบกล้ำ 1.5.3 แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านออกเสียงคำที่มี ว ควบกล้ำ 1.6 นำแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนำมาทดลองใช้กับกลุ่ม ตัวอย่าง เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถในการอ่านออกเสียงควบกล้ำของนักเรียน 2. การสร้างแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านออกเสียงควบกล้ำ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ดำเนินการ ดังนี้ 2.1 ศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2 สร้างแบบทดสอบวัดทักษะซึ่งใช้เป็นแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 2.3 นำแบบทดสอบวัดทักษะที่สร้างขึ้นไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
วิธีดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยสร้างแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำและแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านออกเสียงคำ ควบกล้ำเสร็จและผ่านเกณฑ์การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญแล้วจึงนำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพระยาตาก อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท จำนวน 3 คน มีขั้นตอนการรวบรวมเก็บข้อมูล ดังนี้ 1. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบวัด ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ซึ่งเลือกคำที่ออกเสียงควบกล้ำจากแบบฝึกจำนวน 3 ชุด มาสร้าง แบบทดสอบก่อนฝึกและหลังฝึก ประเภทเสียงละ 10 คำ ใช้เวลา 5 นาที/ชุด 2. ดำเนินการทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อฝึกให้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 9 - 27 มกราคม 2566 สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง 3. หลังเสร็จสิ้นการทดลองแล้ว ทำการทดสอบความรู้หลังการเรียน (Post-test) โดยใช้ แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำชุดเดียวกันกับที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนออกเสียงถูกต้องก่อนฝึกและหลังฝึก ได้คะแนนคำละ 1 คะแนน ออกเสียงไม่ถูกต้อง 0 คะแนน การจัดกระทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ โดยใช้ค่าสถิติที (t-test) แบบ Dependent สูตร t = ∑ √ ∑ 2−(∑ ) 2 −1 เมื่อ D คือ ค่าความแตกต่างของคะแนนจากการทดสอบก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริม การอ่านคำควบกล้ำของนักเรียน
N คือ จำนวนนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ∑ 2 คือ ผลรวมของ d แต่ละตัว ยกกำลังสอง ( ∑ d) 2 คือ การเอาผลรวมของ d ทั้งหมดมายกกำลังสอง 2. หาค่าเฉลี่ยของข้อมูลต่าง ๆ ก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สูตร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด.2535 : 102) สูตร ̅ = ∑ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของข้อมูล N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด สำหรับเกณฑ์การประเมิน ค่าเฉลี่ย (̅) (บุญชม ศรีสะอาด.2545 : 65) 2.1 ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มากที่สุด 2.2 ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง มาก 2.3 ค่าเฉลี่ย 2.51 - 3.50 หมายถึง ปานกลาง 2.4 ค่าเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง น้อย 2.5 ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง น้อยที่สุด 3. ค่าร้อยละ วิธีหาเปอร์เซ็นหรือร้อยละ= จำนวนที่ต้องการ จำนวนทั้งหมด × 100
4. หาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สูตร ดังนี้ สูตรที่ 1 1 = ∑ × 100 เมื่อ 1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ คือ คะแนนรวมของนักเรียนจากการทดสอบก่อนการใช้แบบฝึกเสริมการอ่าน คำควบกล้ำของนักเรียน A คือ คะแนนเต็มของการทดสอบก่อนการใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียน N คือ จำนวนนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง สูตรที่ 2 2 = ∑ × 100 เมื่อ 2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (พฤติกรรมที่เปลี่ยนในตัวผู้เรียน) ∑ คือ คะแนนรวมของนักเรียนจากการทดสอบหลังการใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบ กล้ำ B คือ คะแนนเต็มของการทดสอบหลังการใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ N คือ จำนวนนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำและ หาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ มาตรฐานร้อยละ 80/80 โดยผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2 ส่วนตามลำดับ ดังนี้ ส่วนที่ 1 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง คำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยการใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ซึ่งได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเรียนโดยการใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คนที่ คะแนนการทดสอบ(30 คะแนน) d t ก่อนเรียน หลังเรียน 1 13 26 13 169 ** 2 17 28 11 121 3 22 30 8 64 รวม 52 84 ∑ = 32 ∑ 2 = 1,024 ร้อยละ 57.77 93.33 35.55 1,137 ̅ 17.33 28 10.66 341.33 ** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 1 พบว่า ภายหลังการเรียนออกเสียงโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนมีความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำสูงกว่า ก่อนการเรียนด้วยแบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนโดยใช้ แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 28 คิดเป็นร้อยละ 93.33 สูงกว่าก่อนเรียนที่มี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.33 คิดเป็นร้อยละ 57.77 แสดงว่าการเรียนฝึกออกเสียงโดยใช้แบบฝึกเสริม การอ่านคำควบกล้ำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนี้ ทำให้นักเรียนมีพัฒนาด้านการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำเพิ่มขึ้น
ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำเพื่อ เปรียบเทียบเกณฑ์ 1 (80 ตัวแรก) และ 2 (80 ตัวหลัง) ซึ่งได้ผลการวิเคราะห์ดังตารางที่ 2, ตารางที่ 3, ตารางที่ 4 ตารางที่ 2 แสดงคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด คนที่ แบบฝึกชุดที่ 1 (10 คะแนน) แบบฝึกชุดที่ 2 (10 คะแนน) แบบฝึกชุดที่ 3 (10 คะแนน) คะแนนรวม (30 คะแนน) 1 4 5 4 13 2 5 7 5 17 3 6 8 8 22 ∑ 15 20 17 52 50.00 66.66 56.66 57.77 จากตารางที่ 2 พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีผลคะแนนจากการทดสอบเรียนโดยใช้ แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ไม่ผ่านเกณฑ์ 1 (80 ตัวแรก) โดยมีประสิทธิภาพร้อยละตามลำดับ ต่อไปนี้ 1. แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ มีประสิทธิภาพร้อยละ 50.00 2. แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านออกเสียงคำที่มี ล ควบกล้ำ มีประสิทธิภาพร้อยละ 66.66 3. แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านออกเสียงคำที่มี ว ควบกล้ำ มีประสิทธิภาพร้อยละ 56.66 แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของกระบวนการต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีความบกพร่องในการอ่านออกสียงคำควบกล้ำ ก่อนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะนี้ จึงทำให้ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการต่ำกว่าเกณฑ์ มาตราฐานที่ตั้งไว้
ตารางที่ 3 แสดงคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด คนที่ แบบฝึกชุดที่ 1 (10 คะแนน) แบบฝึกชุดที่ 2 (10 คะแนน) แบบฝึกชุดที่ 3 (10 คะแนน ) คะแนนรวม (30 คะแนน) 1 8 10 8 26 2 8 10 10 28 3 10 10 10 30 ∑ 26 30 28 84 86.66 100 93.33 93.33 จากตารางที่ 3 พบว่าแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีผลคะแนนจากการทดสอบหลังที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ มีผลคะแนนผ่าน เกณฑ์ 2 (80 ตัวหลัง) โดยมีประสิทธิภาพร้อยละตามลำดับต่อไปนี้ 1. แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ มีประสิทธิภาพร้อยละ 86.66 2. แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านออกเสียงคำที่มี ล ควบกล้ำ มีประสิทธิภาพร้อยละ 100 3. แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านออกเสียงคำที่มี ว ควบกล้ำ มีประสิทธิภาพร้อยละ 93.33 แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์สูงกว่าเกณฑ์ตามลำดับดังนี้ แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านออก เสียงคำที่มี ล ควบกล้ำ รองลงมาคือ แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านออกเสียงคำที่มี ว ควบกล้ำและแบบ ฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ
ตารางที่ 4 แสดงการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 ชุด ชื่อแบบฝึก เกณฑ์ 80/80 ผล 1 2 แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียง คำที่มี ร ควบกล้ำ 50.00 86.66 สูงกว่าเกณฑ์ แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านออกเสียง คำที่มี ล ควบกล้ำ 66.66 100 สูงกว่าเกณฑ์ แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านออกเสียง คำที่มี ว ควบกล้ำ 56.66 93.33 สูงกว่าเกณฑ์ รวมเฉลี่ย 57.77 93.33 สูงกว่าเกณฑ์ จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้ง 3 ชุด มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เมื่อพิจารณา ประสิทธิภาพของกระบวนการ 1 และประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริม 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แต่ละแบบฝึก ปรากฏว่า ประสิทธิภาพของกระบวนการ 1 และประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริม E2 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ทุกแบบฝึก ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ พบว่า แบบฝึกชุดที่ 1- 3 มีประสิทธิภาพของกระบวนการ 1 และประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริม E2 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ (80/80) โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 57.77/93.33 จึงสรุปได้ว่า แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ชุดนี้มีประสิทธิภาพสามารถ นำไปใช้ได้
บทที่5 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ สรุปผล จากการดำเนินการตามขั้นตอนของการวิจัยที่ได้นำเสนอ ปรากฏผลการวิจัยเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำก่อนเรียนและหลังเรียน นักเรียนมี ความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำสูงกว่าก่อนการเรียนด้วยแบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 โดยมีผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำมี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 28 คิดเป็นร้อยละ 93.33 สูงกว่าก่อนเรียนที่มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.33 คิดเป็นร้อยละ 57.77 2. ผลการวิจัยหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำทั้ง 3 ชุด ที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นสามารถพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 57.77/93.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตราฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80 อภิปรายผล จากผลการวิจัย พบว่า การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ ส่งผลให้นักเรียนมี คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก 1. ความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำพบว่าสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนโดยใช้แบบฝึกอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีผลสัมฤทธิ์หลังการใช้แบบฝึกคิดเป็นค่าเฉลี่ย 28 คิดเป็นร้อยละ 93.33 สูงกว่าก่อนเรียนคิดเป็นค่าเฉลี่ย 17.33 คิดเป็นร้อยละ 57.77 เหมาะที่จะนำไปใช้ในการ พัฒนาการเรียนการสอนซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของพรรณธิภา อ่อนแสง (2532 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องการศึกษาความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว ของ นักเรียนที่พูดภาษาถิ่นไทยลาวกับการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมสร้างกระบวนการคิด อย่างมีระบบกับ การสอนโดยใช้แบบฝึกทั่วไป โดยทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนครไทยวิทยาคม
อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2531 ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถ ด้านการอ่านภาษาไทยของนักเรียนที่ใช้การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมสร้างกระบวนการคิดอย่างมีระบบ สูงกว่าการสอนโดยใช้แบบฝึกทั่วไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้อง กับงานวิจัยของ ผกาวดี ปัญญาวรรณศิริ (2540 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้าง แบบฝึกการอ่านออกเสียงพยัญชนะต้น ร ล และพยัญชนะควบกล้ำ ร ล ว เพื่อใช้เสริมการสอน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัย พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านของนักเรียนที่ใช้แบบฝึก สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปรีชา เผ่าเครื่อง (2541 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างแบบฝึกการอ่านคำควบกล้ำสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านออกเสียงพยัญชนะที่มี ร ล ว ควบกล้ำที่ใช้แบบ ฝึก ช่วยให้ความสามารถการอ่านคำควบกล้ำดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 2. แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ที่ตั้งไว้ (80/80) โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 57.77/93.33 เหมาะที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียน การสอนซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุมลมาลย์ เอติรัตนะ (2553 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษา ค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว ของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบ ฝึกทักษะสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา อุบลราชธานีเขต 3 จำนวนนักเรียน 42 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 10 แผน แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง คำควบกล้ำ ร ล ว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 จำนวน 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ พัฒนาขึ้นโดยผู้วิจัย ซึ่งมีค่าความยากง่ายตั้งแต่ .28-.65 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .24-.89 และมีค่า ความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานและการทดสอบค่า t ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 84.71/84.14 2) ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ออกเสียงคำควบกล้ำสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีในสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.1
จากการศึกษาพบว่าการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำสามารถพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้ดียิ่งขึ้นทั้งนี้เนื่องมาจากสาเหตุ ต่อไปนี้ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านคำควบกล้ำ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้ยึดหลักการสร้างแบบฝึกดังที่ พรรณธิภา อ่อนแสง (2532 : 44) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกนั้นควรมีคำสั่งและตัวอย่างของแบบฝึกที่ไม่ ยาวเกินไป มีหลายรูปแบบ ใช้จิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน คำพูดที่ใช้ควรเกี่ยวข้อง กับชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กสนใจอยากฝึก 2. แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้จัดเรียงลำดับเนื้อหาจากง่าย ไปหา ยาก มีกิจกรรมหลากหลายและเน้นการปฏิบัติจริง ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ นำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ในแต่ละแบบฝึกยังมีรูปภาพเพื่อดึงดูดความสนใจนักเรียน ทำให้นักเรียน สนใจในแบบฝึกมากยิ่งขึ้น 3. การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมการอ่านคำควบกล้ำ เป็นการสอนที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง มีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ ส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์กับ เพื่อนและได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ 1. การสร้างแบบฝึกควรยึดหลักจิตวิทยาการศึกษาที่ว่าเนื้อหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ควรคำนึกถึงความเหมาะสมของเพศ วัย และระดับความสามารถของนักเรียนด้วย เนื้อหามีความ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน มีคำศัพท์ที่ไม่ยากจนเกินไป และต้องสอดคล้องกับความสนใจของนักเรียน จะได้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น 2. ในระหว่างการดำเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ ละคนเนื่องจากนักเรียนมีพัฒนาการ การเรียนรู้และความสามารถที่แตกต่างกัน ครูควรให้คำแนะนำ และคอยช่วยเหลือนักเรียนตลอดการทำกิจกรรม อีกทั้งครูควรตรวจสอบความรู้พื้นฐานของนักเรียน และนำข้อมูลมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคลต่อไป
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการนำนวัตกรรมอื่น ๆ เข้ามาพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง เช่น การพัฒนา ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำโดยใช้เกม เพลง เป็นต้น 2. ควรมีการนำแบบฝึกไปใช้พัฒนาทักษะอื่น ๆ เช่น การสอนโดยใช้แบบฝึกเพื่อพัฒนา ทักษะการเขียนสะกดคำ การเขียนเรียงความ และการเขียนเรื่องจากภาพ เป็นต้น 3. ควรมีการศึกษาสภาพปัญหาของทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน เพื่อนำมาปรับปรุง แก้ไข และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม กรมวิชาการ.(2544). แทนคุณแผ่นดินเกิดเทิดคุณค่าภาษาไทย. กรุงเทพฯ : องค์การรับส่งสินค้าและ ............... พัสดุภัณฑ์(ร.ส.พ). กรมวิชาการ.(2546). การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษา ........... ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544.กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภา. กรรณิการ์ พวงเกษม.(2535). ปัญหาและกลวิธีการสอนภาษาไทยในโรงเรียนประถมศึกษา. ............... กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ดวงเดือน อ่อนนวม.(2533).การสอนซ่อมเสริมคณิตศาสตร์.กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์- ............ มหาวิทยาลัย. นภดล จันทร์เพ็ญ.(2531). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ. บุญชม ศรีสะอาด.(2535). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งนี้ 2. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. ประสงค์ รายณสุข.(2532). การสำรวจแก้ไขข้อบกพร่องการพูดของนักเรียนประถมสาธิต.รายงาน- .......... . การวิจัยทางการศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. ปรีชา ช้างขวัญยืน.(2517). พื้นฐานของการใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ปรีชา ช้างขวัญยืน.(2540). วิพากษ์การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ - ................มหาวิทยาลัย. ปรีชา เผ่าเครื่อง.(2541). การสร้างแบบฝึกการอ่านคำควบกล้ำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ...............ปีที่ 1 . โรงเรียนบ้านเจน(เจนจันทรานุกูล) จังหวัดพะเยา.ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. ................(การประถมศึกษา). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ถ่ายเอกสาร. ผกาวดี ปัญญวรรณศิริ.(2540). การสร้างแบบฝึกการอ่านออกเสียงพยัญชนะต้น ร ล และ พยัญชนะควบกล้ำ ร ล ว เพื่อใช้เสริมการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. ปริญญานิพนธ์ ................กศ.ม.(การประถมศึกษา).มหาวิทยาลัยทักษิณ.ถ่ายเอกสาร. พยุง ญาณโกมุท.(2510). ข้อคิดในการสอนภาษาไทยว่าด้วยการพูดหรือการอ่านออกเสียงอักษร- ...............ควบ.ประชาศึกษา.
พรรณธิภา อ่อนแสง.(2532). การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของ .......... ....นักเรียนที่พูดภาษาถิ่นไทยลาว ในระดับชั้นป.2 ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการสอนโดยใช้ ................แบบฝึกเสริมสร้างกระบวนการคิดอย่างมีระบบ กับกลุ่มที่ไม่ได้รับการสอนโดยใช้แบบ ................ฝึกทั่วไปในโรงเรียนไทยวิทยา อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. .................(การประถมศึกษา).มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. อัดสำเนา. ยงยุทธ ยะบุญธง.(2536). ผลการใช้ชุดฝึกทักษะการสังเกตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ................ที่มีรูปแบบการคิดต่างกัน. ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม.(การมัธยมศึกษา). มหาวิทยาลัย .................เชียงใหม่.อัดสำเนา. ราชบัณฑิตยสถาน.(2538). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2522 กรุงเทพฯ : ......... .....อักษรเจริญทัศน์. วันชัย ปัญญาวิชา.(2551). การสร้างสื่อประสมสำหรับเสริมความสามารถด้านการอ่านคำควบกล้ำ ......... ....ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. ปริญญานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัย- .................ราชภัฎเชียงราย. อัดสำเนา. วาสนา สุพัฒน์.(2530).การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ของ ................นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สอนตามคู่มือครูโดยการทำแบบฝึกหัดแบบปรนัยชนิด ................เลือกตอบแบบฝึกหัดแบบอัตนัย กับการทำแบบฝึกหัดในหนังสือแบบเรียน. ปริญญา .................นิพนธ์ กศ.ม.(การมัธยมศึกษา).กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร .................อัดสำเนา วิพุธ โสภาวงศ์.(2527). การสอนกลุ่มทักษะภาษาไทย หน่วย 12 การสอนภาษาไทยแก่นักเรียนที่ ................ใช้ภาษาถิ่นในระดับประถมศึกษา.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิพุธ โสภาวงศ์.(2537). การสอนกลุ่มทักษะภาษาไทยการสอนภาษาไทยนักเรียนที่ใช้ภาษาถิ่นใน ................ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สนิท สัตโยภาส.(2545). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น. กรุงเทพฯ : บริษัทมาเซ็นจูลี่ จำกัด. สมบัติ ตัญตรัยรัตน์. (2525). การสร้างแบบฝึกความพร้อมในการเรียนอ่าน สำหรับเด็กที่พูดภาษา ................ถิ่นในจังหวัดขอนแก่น. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (ภาษาไทย)กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย. .................มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อัดสำเนา.
สุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัย.(2529). เอกสารการสอนชุดวิชาการสอนกลุ่มทักษะ (ภาษาไทย) .......... ... หน่วยที่ 1-8. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุจริต เพียรชอบ.(2543). บทความ.คู่มือหมอภาษา เอกสารประกอบการเข้าค่ายเยาวชนหมอ .............. ภาษา.กรมสามัญศึกษาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. สุจริต เพียรชอบและสายใจ อินทรัมพรรย์.(2523). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ …………… : ไทยวัฒนาพานิช. สุมลมาลย์ เอติรัตนะ. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ สำหรับ ...............นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. ปริญญานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราช- ................ภัฏอุบลราชธานี.อัดสำเนา. สุวรรณรัศมี ณ เชียงใหม่.(2544). ผลการใช้แบบฝึกการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้น .............. ประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มโรงเรียนหนองผึ้ง ท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ............... ปริญญานิพนธ์.ศศม.(การประถมศึกษา).บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ................ ถ่ายเอกสาร. หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ.(2538). เอกสารเสริมความรู้ .......... ....กลุ่มทักษะภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โครงการอบรมครูผู้สอน. กรุงเทพฯ : …………… โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. อัจฉรา ชีวพันธ์ และคนอื่นๆ. (2533). การสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษา. ในเอกสารการสอน ......... ......ชุดวิชาการสอนกลุ่มทักษะ 1 (ภาษาไทย). หน้า 681. กรุงเทพฯ : ประชาชน.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ครัวป่า เรื่อง การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ เวลาเรียน 2 ชั่วโมง มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ท 1.1 ป. 2/1 อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ถูกต้อง ท 1.1 ป. 2/8 มีมารยาทในการอ่าน จุดประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 1. อธิบายลักษณะของคำที่มี ร ควบกล้ำได้ (K) 2. อ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำได้ถูกต้องชัดเจน (P) 3. จำแนกคำที่มี ร ควบกล้ำได้ถูกต้อง (P) 4. เห็นความสำคัญของการอ่าน (A) สาระสำคัญ การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ คือ การอ่านคำที่เกิดจากพยัญชนะสองตัว ซึ่งมีตัว ร เป็น พยัญชนะตัวที่สอง เมื่อประสมกับสระเดียวกันออกเสียงตัวควบกล้ำพร้อมกัน โดยการออกเสียงตัวควบกล้ำ ร การเรียนรู้คำควบกล้ำแท้ ร จะทำให้สามารถอ่าน เขียน และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง สาระการเรียนรู้ 1. ลักษณะคำที่มี ร ควบกล้ำ 2. การอ่านและการเขียนคำที่มี ร ควบกล้ำ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร ๏ ทักษะการอ่าน ๏ ทักษะการเขียน ๏ ทักษะการฟัง การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคิด ๏ การวิเคราะห์ ๏ การสังเคราะห์ ๏ การประยุกต์/การปรับปรุง ๏ การสรุปความรู้ ๏ การประเมินค่า คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ ตัวชี้วัดที่ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียนและเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน ตัวชี้วัดที่ 6.1 ตั้งใจและรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ตัวชี้วัดที่ 6.2 ทำงานด้วยความเพียรพยายามและอดทนเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย รักความเป็นไทย ตัวชี้วัดที่ 7.2 เห็นคุณค่าและใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ชิ้นงานหรือภาระงาน (หลักฐาน ร่องรอยแสดงความรู้) แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้(ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูสังเกตการอ่านออกเสียงโดยใช้แบบทดสอบทักษะก่อนเรียน (แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำ ที่มี ร ควบกล้ำ) เพื่อให้สามารถแก้ไขข้อบกพร่องในการอ่านออกเสียงของนักเรียนให้ถูกต้อง 2. ครูอธิบายเกี่ยวกับลักษณะของคำที่มี ร ควบกล้ำ 3. ให้นักเรียนยกตัวอย่างคำที่มี ร ควบกล้ำ พร้อมอ่านออกเสียงคำตามความสามารถของนักเรียน 4. ครูพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนโดยการใช้แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียง คำที่มี ร ควบกล้ำ 5. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปแนวคิดเกี่ยวกับคำที่มี ร ควบกล้ำเป็นแผนผังความคิด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้(ชั่วโมงที่ 2) 1. ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับคำที่มี ร ควบกล้ำที่เรียนไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว 2. นักเรียนฝึกออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ ในแบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ โดยออกเสียงพร้อมกัน ออกเสียงเป็นกลุ่ม และออกเสียงเป็นรายบุคคล จนคล่องแคล่วและชัดเจน 3. นักเรียนทำกิจกรรมเสริมทักษะการอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ 4. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ) ซึ่งเป็น แบบทดสอบชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อเป็นการวัดความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
5. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำคัญของการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ จากนั้นร่วมกันสรุปความสำคัญและประโยชน์ของการออกเสียงคำควบกล้ำที่ชัดเจนในการสื่อสาร สื่อการเรียนรู้ แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1. วิธีการวัดและประเมินผล 1) สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการเข้าร่วมกิจกรรม 2) ตรวจแบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ 2. เครื่องมือ แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม 3. เกณฑ์การประเมิน การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม ผ่านตั้งแต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน ผ่าน 1 รายการ ถือว่า ไม่ผ่าน การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) การประเมินผลงานนี้ให้ผู้สอนพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) เรื่อง การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ ระดับคะแนน เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 การอ่านออกเสียงคำที่ มี ร ควบ อ่านออกเสียงคำ ที่มี ร ถูกต้อง ทุกคำ และจำแนก คำที่มี ร ควบกล้ำ ได้ดี อ่านออกเสียงคำ ที่มี ร ถูกต้อง ทุกคำ อาจมีติดขัด เพียงบางช่วงและ จำแนกคำที่มี ร ควบ กล้ำได้ อ่านออกเสียงคำ ที่มี ร บางคำไม่ ถูกต้อง และจำแนก คำที่มี ร ควบกล้ำได้ ไม่ดีเท่าที่ควร อ่านออกเสียง คำที่มี ร ไม่ถูกต้อง เป็นส่วนใหญ่ และ จำแนกคำที่มี ร ควบกล้ำไม่ได้
แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ
กิจกรรมฝึกทักษะ การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ คำชี้แจง ให้นักเรียนฝึกอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ จากคำพยางค์เดียวและหลายพยางค์ คำ อ่านว่า พยัญชนะควบกล้ำ กรุง กอ+รอ+อุ+งอ กร กรม กอ+รอ+โอะ+มอ กร ไกร กอ+รอ+ไอ กร กราบ กอ+รอ+อา+บอ กร กรู กอ+รอ+อู กร กราม กอ+รอ+อา+มอ กร กรง กอ+รอ+โอะ+งอ กร แกร่ง กอ+รอ+แอ+งอ-แกรง+ไม้เอก กร เกรียงไกร กอ+รอ+เอีย+งอ/ กอ+รอ+ไอ กร/ กร เกรียวกราว กอ+รอ+เอีย+วอ/ กอ+รอ+อา+วอ กร/ กร ขรัว ขอ+รอ+อัว ขร ขริบ ขอ+รอ+อิ+บอ ขร ขรึม ขอ+รอ+อึ+มอ ขร ขรม ขอ+รอ+โอะ+มอ ขร ขรึม ขอ+รอ+อึ+มอ ขร ขรุขระ ขอ+รอ+อุ/ ขอ+รอ+อะ ขร/ ขร เขรอะขระ ขอ+รอ+เออะ/ ขอ+รอ+อะ ขร/ ขร ครา คอ+รอ+อา คร ครบ คอ+รอ+โอะ+บอ คร ครอง คอ+รอ+ออ+งอ คร เครียด คอ+รอ+เอีย+ดอ คร เครื่องปรุง คอ+รอ+เอือ+งอ-เครือง+ไม้เอก/ ปอ+รอ+อุ+งอ คร/ ปร ครอบครัว คอ+รอ+ออ+บอ/ คอ+รอ+อัว+วอ คร/ คร คร่ำครวญ คอ+รอ+อำ-ครำ+ไม้เอก/ คอ+รอ+อัว+นอ คร/ คร เคร่งครัด คอ+รอ+เอ+งอ-เครง+ไม้เอก/ คอ+รอ+อะ+ดอ คร/ คร การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ
คำ อ่านว่า พยัญชนะควบกล้ำ ตรง ตอ+รอ+โอะ+งอ ตร ตรู่ ตอ+รอ+อู-ตรู+ไม้เอก ตร ตรอก ตอ+รอ+ออ+กอ ตร ตรง ตอ+รอ+โอะ+งอ ตร ตรวจ ตอ+รอ+อัว+ดอ ตร ตรา ตอ+รอ+อา ตร ตรอมตรม ตอ+รอ+ออ+มอ/ ตอ+รอ+โอะ+มอ ตร/ ตร ตริตรอง ตอ+รอ+อิ/ ตอ+รอ+ออ+งอ ตร/ ตร ตรากตรำ ตอ+รอ+อา+กอ/ ตอ+รอ+อำ ตร/ ตร ตระเตรียม ตอ+รอ+อะ/ ตอ+รอ+เอีย+มอ ตร/ ตร ประ ปอ+รอ+อะ ปร ปรับ ปอ+รอ+อะ+บอ ปร ปราด ปอ+รอ+อา+ดอ ปร เปรอะ ปอ+รอ+เออะ ปร เปรี้ยว ปอ+รอ+เอีย+วอ-เปรียว+ไม้โท ปร แปรง ปอ+รอ+แอ+งอ ปร ปรนเปรอ ปอ+รอ+โอะ+นอ/ ปอ+รอ+เออ ปร/ ปร ตาปรือ ตอ+อา/ ปอ+รอ+อือ -/ ปร ปรักปรำ ปอ+รอ+อะ+กอ/ ปอ+รอ+อำ ปร/ ปร ปราบปราม ปอ+รอ+อา+บอ/ ปอ+รอ+อา+มอ ปร/ ปร พระ พอ+รอ+อะ พร พรม พอ+รอ+โอะ+มอ พร พริก พอ+รอ+อิ+กอ พร เพราะ พอ+รอ+เอาะ พร พราน พอ+รอ+อา+นอ พร พร่ำ พอ+รอ+อำ-พรำ+ไม้เอก พร แพรวพราว พอ+รอ+แอ+วอ/ พอ+รอ+อา+วอ พร/ พร พรวดพราด พอ+รอ+อัว+ดอ/ พอ+รอ+อา+ดอ พร/ พร พรั่งพร้อม พอ+รอ+อะ+งอ-พรัง+ไม้เอก/ พอ+รอ+ออ+มอ-พรอม+ไม้โท พร/ พร การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ
กิจกรรมเสริมทักษะ การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ คำชี้แจง ให้นักเรียนบอกส่วนประกอบของคำที่กำหนดให้ ลงในช่องว่างต่อไปนี้พร้อมฝึกอ่านออก ............................เสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ คำ พยัญชนะควบกล้ำ สระ ตัวสะกด วรรณยุกต์ ตัวอย่าง พริก พร อิ กก - 1. ตรากตรำ 2. ขรึม 3. ตะกร้อ 4. คราว 5. ปรับปรุง 6. ครู 7. มะพร้าว 8. กรวด 9. ตรอก 10. ขรุขระ 11. ตระเตรียม 12. แปรง 13. ตรวจตรา 14. กรับ 15. เปรี้ยว 16. ขริบ 17. โครม 18. พระ 19. ครอบครัว 20. สะพรั่ง การอ่านออกเสียงคำที่มี ร ควบกล้ำ