The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Te, 2021-08-06 01:52:35

การบริหารงานวิชาการที่เหมาะกับ การจัดการศึกษาในยุคเทคโนโลยี 4.0

การบรหิ ารวิชาการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 46

การนิเทศการสอน

การนิเทศการสอนเป็นคาประสมระหว่างการนิเทศและการสอน ความสัมพันธ์ระหว่างการ
นเิ ทศและการนิเทศการสอนก็คือ การนิเทศการสอนเป็นส่วนย่อยของการนิเทศ การนิเทศการสอน
ถูกตคี วามหมายได้หลายความหมาย จึงให้บทบาทของผู้นิเทศไม่คงท่ี การนิเทศการสอนในโรงเรียน
จงึ ถกู ขอ้ จากัดนี้ให้ตีความหมายทแี่ ตกตา่ งกนั ไปตามแนวความคิดของนักศึกษา (Goldhammer and
Other. 1980) การนเิ ทศการสอนอาจเปน็ พฤตกิ รรมท่ี พงึ ปรารถนาอยา่ งเป็นทางการในองคก์ ารน้นั
ซึง่ ชแี้ นะถึงพฤติกรรมของครใู นทางท่ีจะใหค้ วามสะดวกในการเรยี นการสอนของนักเรียน และสัมฤทธิ์
ผลถึงเป้าหมายขององค์การ (Alfonso and Others.1981) หรืออาจหมายถึงสิ่งท่ีบุคลากรใน
โรงเรียนได้กระทาต่อผใู้ หญ่และสง่ิ อื่น เพอื่ จะรักษาไว้หรือเปล่ียนแปลงการปฏิบัติงานของโรงเรียนใน
วถิ ีทางตรงทมี่ อี ทิ ธผิ ลต่อกระบวนการเรียนการสอน ซ่ึงจะเป็นสิ่งท่ีกระตุ้นและช่วยส่งเสริมการเรียน
การสอนของนักเรียน การนิเทศการสอนมีความสัมพันธ์กับการสอนมากกว่ากับตัวนักเรียน การ
นเิ ทศการสอนเป็นหน้าที่ของการปฏิบัตงิ านในโรงเรียน ไม่ใช่งานเฉพาะและเป็นงานที่เก่ียวข้องกับการ
ส่งเสริม และปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนของโรงเรียน (Harris.1985) ดังน้ัน โดยสรุปแล้ว
การนิเทศการสอนเป็นกระบวนการของผู้นิเทศ ท่ีมุ่งจะปรับปรุงและพัฒนาการสอนในสถานศึกษา
โดยม่งุ ทีพ่ ฤติกรรมของครูที่จะสง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมของผู้เรียน

ความสาคญั ของการนิเทศการสอน

การพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาให้ประสบผลสาเร็จไดน้ นั้ จะตอ้ งอาศยั กระบวนการนเิ ทศ ทัง้ นี้
เพราะการนเิ ทศการสอนเปน็ กระบวนการของการทางานร่วมกบั ครเู พือ่ ปรบั ปรุงการเรียนการสอนใน
ชนั้ เรียนใหม้ ปี ระสิทธผิ ลมุ่งปรบั ปรงุ และพฒั นาการเรียนการสอนในโรงเรียน เพ่ือการพัฒนาวิชาชีพ
ครู เพอื่ ใหค้ รูได้ข้อมลู ในการจดั การเรียนการสอนและใชเ้ ปน็ แนวทางในการปรับปรุงการสอนของตน
ไดพ้ ฒั นาความรคู้ วามสามารถในการสอน ซ่ึงนอกจากเพ่ือช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพการสอน
ของครูแลว้ ยังพฒั นาคณุ ภาพการจดั การเรยี นการสอนในโรงเรยี นเพือ่ พัฒนาคุณภาพของนักเรียน
และเพ่ือสง่ เสรมิ ประสทิ ธภิ าพงานวชิ าการในโรงเรียน สร้างขวญั และกาลงั ใจแก่บคุ ลากรทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั
การนิเทศการสอน เพ่ือสร้างสัมพันธ์ท่ีดี ระหว่างบุคคลท่ีเกี่ยวข้องในการทางานร่วมกัน การนิเทศ
การสอนมีความจาเป็นต่อกระบวนการเรยี นการสอน ดว้ ยเหตุผลที่วา่

1) การศึกษาเป็นกิจกรรมทซี่ ับซ้อนและยุง่ ยาก จาเปน็ จะต้องมีการนิเทศ
2) การนเิ ทศการสอนเป็นงานทม่ี ีความจาเป็นต่อความเจริญงอกงามของครู
3) การนิเทศการสอนมคี วามจาเป็นต่อการช่วยเหลอื ครใู นการเตรียมการสอน
4) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลที่ทันสมัยอยู่เสมออัน
เนือ่ งมาจากการเปลีย่ นแปลงทางสงั คมทม่ี ีอยตู่ ลอดเวลา (กิตมิ า ปรดี ดี ิลก. 2532: 263)

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 47

ความจาเป็นในการนิเทศการศึกษา

1. การปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องปฏิรูป
การศึกษาให้ ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการทางานของครใู นสภาพแวดลอ้ มที่กาลังเปล่ียนแปลงทางดา้ น
การศึกษาและ เทคโนโลยีด้านดิจทิ ัลเพื่อพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม

2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การศึกษจาเป็นต้องเปล่ียนแปลงให้สอดคล้องกับการ
เปลี่ยนแปลงของสังคม การนิเทศการศึกษาจะช่วยทาให้เกิดความเปล่ียนแปลงข้ึนในองค์การที่
เกีย่ วขอ้ งกบั การศึกษาคือโรงเรยี นหรอื สถานศกึ ษา

3. การเจริญก้าวหน้าของศาสตร์วิชาความรู้ ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพ่ิมขึ้นโดยไม่
หยดุ ยั้ง แม้ แนวคิดในเร่ืองการจดั กระบวนการเรยี นร้กู เ็ กิดข้นึ ใหม่อยตู่ ลอดเวลา การนิเทศการศกึ ษา
จะชว่ ยทาให้ ครมู คี วามรู้ทันสมยั อยู่เสมอ

4. การนิเทศการศึกษาเป็นส่ิงท่ีสังคมยอมรับว่าสามารถพัฒนางานได้ การแก้ไขปัญหาและ
อุปสรรคต่าง ๆ เพ่ือให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาขึ้น จาเป็นต้องได้รับการชี้แนะหรือการ
นิเทศการศกึ ษา จากผชู้ านาญการโดยเฉพาะ จึงจะทาใหแ้ ก้ไขปัญหาไดส้ าเร็จลุล่วง

5. การจัดการศึกษาของประเทศเพ่ือให้เป็นไป ตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ จะต้องมี
การ ควบคุมดูแลด้วยระบบการนเิ ทศการศึกษา

6. การนิเทศการศึกษาเป็นกิจกรรมทมี่ คี วามจาเป็นต่อการพัฒนาการทางานของครู แม้ว่า
ครูจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ครูก็จะต้องปรับปรุงฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ ในขณะที่
ทางานในสถานการณ์จรงิ

7. ครูยังต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านการนิเทศการศึกษา มีความจาเป็นต่อการ
ชว่ ยเหลือครูในการเตรียมการจดั กจิ กรรม

8. การพัฒนาครูให้ทันสมัย การนิเทศการศึกษามีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลท่ี
ทันสมยั อย่เู สมอเน่ืองจากการเปลยี่ นแปลงทางสงั คมท่ีมีอยู่เสมอ (อัญชลี ธรรมะวธิ กี ลุ , 2552)

สรุปดว้ ยเหตุผลดังกลา่ วขา้ งต้น ผูม้ หี นา้ ที่นเิ ทศจงึ ควรจะต้องจัดดาเนินการ เพื่อช่วยเหลือ
ครใู ห้มี ความสามารถในการปรับปรงุ พัฒนาเทคนคิ การสอน การทางานเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามที่
หลกั สตู ร การศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานคาดหวังไว้ อนั จะทาให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครกู ้าวทันโลกท่ี
กาลงั เจริญ ก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์แก่ผเู้ รยี นอยา่ งเตม็ ที่

ความสาคญั ของการนิเทศการสอน

การพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ได้นน้ั จะต้องอาศยั กระบวนการนเิ ทศ ท้งั นี้
เพราะการนิเทศการสอนเปน็ กระบวนการของการทางานร่วมกบั ครเู พื่อปรบั ปรงุ การเรียนการสอนใน
ชน้ั เรยี นใหม้ ีประสิทธิผลมงุ่ ปรับปรุงและพฒั นาการเรียนการสอนในโรงเรียน เพ่ือการพัฒนาวิชาชีพ
ครู เพ่อื ให้ครูได้ข้อมูลในการจดั การเรียนการสอนและใชเ้ ปน็ แนวทางในการปรับปรุงการสอนของตน
ได้พฒั นาความรู้ความสามารถในการสอน ซึ่งนอกจากเพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพการสอน
ของครแู ล้วยังพฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนในโรงเรยี นเพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียน

การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 48

และเพ่อื สง่ เสริมประสทิ ธิภาพงานวชิ าการในโรงเรยี น สร้างขวญั และกาลงั ใจแกบ่ ุคลากรที่เก่ียวขอ้ งกับ
การนิเทศการสอน เพื่อสร้างสัมพันธ์ท่ีดี ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทางานร่วมกัน การนิเทศ
การสอนมคี วามจาเป็นต่อกระบวนการเรยี นการสอน ด้วยเหตผุ ลท่วี ่า

1) การศึกษาเป็นกิจกรรมทซ่ี ับซ้อนและยงุ่ ยาก จาเป็นจะตอ้ งมีการนิเทศ
2) การนเิ ทศการสอนเปน็ งานทมี่ ีความจาเปน็ ต่อความเจริญงอกงามของครู
3) การนิเทศการสอนมคี วามจาเป็นตอ่ การช่วยเหลือครใู นการเตรียมการสอน
4) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลท่ีทันสมัยอยู่เสมออัน
เนอื่ งมาจากการเปล่ยี นแปลงทางสังคมท่มี อี ยู่ตลอดเวลา (กิติมา ปรดี ีดิลก. 2532: 263)

รปู แบบการนิเทศ

รูปแบบการนิเทศอาจแบ่งได้หลายลักษณะ เช่น แบ่งการนิเทศตามลักษณะท่ีเด่นของการ
นิเทศได้ 2 แบบ (Harris,1985) ไดแ้ ก่

1) การนิเทศแบบเนน้ การใหค้ าแนะนา (Tractive Supervision) แบบนี้ผู้นิเทศจะให้คาแนะนา ให้
ผู้ได้รบั การนเิ ทศนาไปปรบั ปรุงแกไ้ ข

2) การนิเทศแบบเน้นความเป็นพลวัต (Dynamic Supervision) แบบนี้ผู้นิเทศจะจุดประกาย
ทางด้านความคิดเพื่อส่งเสริมให้ผู้ได้รับการนิเทศนาไปปฏิบัติ ผู้ได้รับการนิเทศ สามารถใช้ความรู้
ความสามารถตลอดจนประสบการณ์ที่ตนเองมีมาปรับปรุงการสอนตามความเหมาะสมกับสภาพ
ความเป็นจริง หรืออาจแบ่งตามลักษณะของผู้นิเทศได้ 4 แบบ (D. Tanner and L. Tanner,1987)
ได้แก่

2.1 การนิเทศแบบตรวจตรา (Inspection Supervision) การนิเทศแบบนี้เป็นแบบ
เก่าแก่ที่มีใช้มานาน ผู้นิเทศจะตรวจการทางานของสถานศึกษาให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ระเบียบของ
หลกั สูตรท่ีกาหนดไว้

2.2 การนิเทศแบบเน้นผลงาน (Supervision as Production) การนิเทศแบบน้ีจะดู
ผลงานของสถานศึกษาว่าสามารถผลิตผู้เรียนออกสู่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่มากน้อย
เพียงใด บางคนเรียกการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ เพราะมีการวางแผนการทางานอย่างเป็น ระบบ
ระเบียบตรวจสอบย้อนกลบั ไดอ้ ย่างเปน็ ขนั้ ตอนทช่ี ดั เจน

2.3 การนิเทศแบบคลินกิ (Clinical Supervision) การนิเทศแบบน้เี น้นทีก่ ารปรบั ปรุง
กระบวนการเรยี นการสอนในลักษณะท่ีพจิ ารณาและแกไ้ ขตามความเหมาะสมของผู้ได้รับการนิเทศแต่
ละแหง่ จงึ คลา้ ยกับการรักษาอาการเจ็บป่วยของคนไข้ใหม่มีการฟื้นฟูสภาพได้ดีข้ึนแต่การนิเทศการ
สอนจะมุ่งให้ผู้ได้รับการนิเทศเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนการสอนให้มีความเหมาะสม โดยผู้
นิเทศและผู้ได้รับการนิเทศจะได้พบปะเผชิญหน้ากันและรับคาแนะนาไป ปรับใช้ตามความเหมาะสมและ
ความจาเป็นเพ่อื ประโยชนข์ องการใชง้ าน

2.4 การนิเทศแบบเน้นการพัฒนา (Developmental Supervision) การนิเทศแบบน้ี
เน้นพัฒนาผู้ได้รับการนิเทศใหม่ มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของตนเองได้ตาม
สถานการณท์ ่ีเกดิ ขึน้ ในสถานศึกษา

การบรหิ ารวิชาการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 49

การนิเทศการสอนในยคุ 4.0

การนิเทศการสอนมีความจาเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาครูให้มีความรู้เข้าใจในการจัดการ
เรียนการสอนให้บรรลุจุดประสงค์และเป้าหมายของหลักสูตร ปัจจุบันศึกษานิเทศก์มีจานวนน้อยไม่
เพียงพอกบั ความตอ้ งการของสถานศกึ ษา และสถานศกึ ษาไมม่ ีความรคู้ วามเข้าใจในการนเิ ทศภายใน
สถานศกึ ษา เพยี งพอ สถานศึกษาซงึ่ ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้ผู้บริหารสถานศึกษา
ครูท่ีทาหน้าที่ หัวหน้ากลุ่มสาระและครูท่ีทาหน้าที่ปฏิบัติการสอน ได้ศึกษารูปแบบการนิเทศ และ
สามารถนา ประสบการณ์ท่ีศึกษาจากรูปแบบท่ีจะเขียนมา ประยุกต์ใช้ในการนิเทศภายในสถานศึกษา
เชิง สร้างสรรค์การนิเทศเป็นงานที่ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยระบบองค์รวม เพ่ือนาไปสู่เป้าหมายให้
เดก็ ไทยไดเ้ รยี นรู้ ตลอดชีวิตอย่างมีคณุ ภาพ ให้ครูเปลีย่ นจาก Teaching เป็น Learning และให้สังคม
มสี ่วนรว่ มในการสรา้ งสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ซ่ึงประกอบดว้ ย ยุทธศาสตร์ 6 ประการ คอื

1. เป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะนา กล้าท่ีจะพูดเป็นเสียงเดียว เพ่ือให้เกิดการเปลี่ยน
กรอบความคิดให้ได้ เช่น ทาให้ครูเปลี่ยนวิธีการสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้นักเรียนเรียนด้วย
ความเข้าใจมากกวา่ การจา ซ่ึงเครอื ข่ายศึกษานิเทศก์จะเปน็ พลงั สาคัญนาไปสูก่ าร เปลย่ี นแปลง

2. ร่วมชธู งทางความคิด ศึกษานิเทศก์ ต้องนิเทศการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจและให้ทุก
คนมีสว่ นร่วม โดยมีเปา้ หมายทีค่ ุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา

3. เปน็ ผ้พู ิชิตปญั หา โดยการเข้าสู่ กระบวนการรว่ มมือเพอื่ แกป้ ญั หากับสถานศึกษาและ ครู
อย่างแท้จริง ให้ครูเกิดความรู้สึกว่าเป็นการ ช่วยเหลือมากกว่าการตรวจ ซ่ึงจะนาไปสู่การ
เปล่ยี นแปลงได้ ทง้ั นีค้ วรจะมกี ารยกย่องเชดิ ชศู ึกษานเิ ทศก์ หรือผนู้ ิเทศทมี่ ีกระบวนการพชิ ิตปญั หาใน
ด้านตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเปน็ ดา้ นการบรหิ ารจัดการ การจัดการเรียน การสอน การประเมินผล ท่ีสามารถ
สะทอ้ นผลลัพธ์ให้ เห็นอยา่ งเปน็ รูปธรรม

4. กล้าหาญท้าทาย งานนิเทศก์เป็นงานท่ีต้องอาศัยความท้าทายเพื่อให้ เกิดความ
เปลีย่ นแปลง

5. ใช้ระบบพ่ีเลี้ยง เพื่อให้กระบวนการนิเทศการสอนมีความกลมกลืนกับครู อาจารย์ และ
สถานศกึ ษา

6. มีความเท่ียงตรงและมีเครือข่าย เพื่อให้การนิเทศการสอนมีความน่าเช่ือถือ บริสุทธ์ิ
ยุตธิ รรม และสามารถนาไปสเู่ ป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษทีส่ องได้
แนวทางการนเิ ทศการสอนทน่ี า่ สนใจในยคุ 4.0 : Professional Learning Community (PLC)

ในยุคปัจจุบันนักเรียนแต่ละระดับช้ันมีความสามารถที่หลากหลายและแตกต่างกัน ดัง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 22 ที่ระบุถึงหลักการจัด
การศึกษาว่า ผูเ้ รยี นทกุ คนสามารถเรยี นรูแ้ ละพฒั นาตนเองได้ ต้องจดั การศึกษาทพี่ ฒั นาผูเ้ รียนตาม
ธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ครูทุกคนมีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาวิธีการท่ีจะช่วยให้
นักเรยี นทุ กคนสามารถเรียนรู้ได้ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งนวัตกรรมใหม่ที่
ครูจะต้องทราบคือ Professional Learning Community (PLC) โดยที่ PLC ย่อมาจาก Professional
Learning community ซึ่งหมายถึง Community of Practice (CoP) ในการทาหน้าท่ีครูนั่นเอง หรือ
กล่าวอีกนัยหน่ึง เป็นการรวมตัวกันทางานไปพัฒนาทักษะและการเรียนรู้เพื่อปฏิบัติ หน้าที่ครูเพ่ือ
ศิษย์ไป โดยรวมตัวกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ทาให้การทาหน้าที่ครูเพื่อศิษย์ เป็น
การทางานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม ซึ่งอาจเป็นทีมใน โรงเรียนเดียวกันก็ได้ ต่างโรงเรียนกันก็ได้ หรือ
อาจจะอยหู่ ่างไกลกันก็ได้โดยผา่ น ICT

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 50

PLC (Professional Learning Community) มีพื้นฐานแนวคิดมาจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับ
ความสามารถ ขององค์กรในการเรียนรู้ (Thompson, Gregg, & Niska, 2004) เป็นการนาแนวคิด
องค์กรแห่งการเรียนรู้มาประยุกต์โดยอธิบายว่า การอุปมาที่เปรียบเทียบให้โรงเรียนเป็น “ชุมชน”
มากกว่าความ เปน็ องคก์ ร ซึง่ ความเป็น “องค์กร” กบั “ชุมชน” มคี วามแตกต่างกนั ท่คี วามเป็นชุมชน
จะยึดโยงภายใน ต่อกันดว้ ยค่านยิ ม แนวคดิ และความผู้กพันร่วมกัน ของทุกคนท่ีเป็นสมาชิก ซ่ึงเป็น
แนวคิดตรงกันข้ามกับ ความเป็นองค์กร เพราะ “ชุมชน” จะใช้อิทธิพลที่เกิดจากการมีค่านิยม และ
วัตถุประสงค์ร่วมกัน เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเชิงวิชาชีพมีความเป็น กัลยาณมิตรเชิง
วิชาการ และยึดหลักต้องพ่ึงพาอาศัย ซึ่งกันและกัน แบบผนึกกาลังกันในการปฏิบัติงานท่ีมุ่ง สู่
พัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญ โดย โรงเรียนมีฐานะแบบท่ีเป็นชุมชนแล้วบรรยากาศท่ี
ตามมาก็ คอื สมาชกิ มคี วามผกู้ พนั ตอ่ กนั ดว้ ย วัตถปุ ระสงคร์ ว่ มมกี ารสร้างสมั พันธภาพที่ใกลช้ ดิ สนิท
สนม และเกิดการรว่ มสรา้ งบรรยากาศที่ทกุ คน แสดงออกถึงความห่วงหาอาทรต่อกันและช่วยดูและ
สวัสดิภาพร่วมกัน (Sergiovanni, 1994) โดยท่ีใส่ใจ ร่วมกันถึงการเรียนรู้และความรับผิดชอบหลัก
รว่ มกนั ของชุมชนนั้นคือพัฒนาการการเรียนรู้ของผเู้ รยี น

การดาเนินการในรูปแบบ PLC นาไปสู่การ เปล่ียนแปลงเชิงคุณภาพทั้งด้านวิชาชีพและ
ผลสมั ฤทธ์ิของนกั เรียน (Hord. 1997) จากการสังเคราะห์ รายงานการวิจัยเก่ียวกับโรงเรียนท่ีมีการ
จัดตั้ง PLC โดยใช้คาถามว่า โรงเรยี นดังกล่าวมีผลลัพธอ์ ะไรบา้ งท่ี แตกต่างไปจากโรงเรยี นทั่วไปที่ไม่มี
ชมุ ชนแห่งวชิ าชพี และถา้ แตกตา่ งแล้วจะมผี ลดีต่อครูผู้สอน คอื ลดความรู้สึกโดดเด่ียวงานสอนของ
ครูเพิม่ ความรสู้ กึ ผู้กพันตอ่ พนั ธะกิจและเปา้ หมายของโรงเรยี นมากขึน้ โดยเพ่ิมความกระตือรือร้นที่
จะปฏิบตั ใิ หบ้ รรลพุ นั ธะ กจิ อยา่ งแข็งขันจนเกิดความรู้สกึ วา่ ตอ้ งการรว่ มกัน เรยี นรแู้ ละรบั ผดิ ชอบตอ่
พัฒนาการโดยรวมของ นักเรียน ถือเป็น “พลังการเรียนรู้” ซึ่งส่งผลให้การปฏิบัติการสอนในชั้น
เรยี นให้มีผลดยี ่งิ ข้นึ กล่าวคอื มี การคน้ พบความรูแ้ ละความเชอ่ื ท่เี กี่ยวกบั วิธกี ารสอน และตัวผูเ้ รียน
ซ่งึ ท่ีเกดิ จากการคอยสงั เกตอย่างสนใจ รวมถึงความเข้าใจในด้านเนื้อหาสาระที่ต้องจัดการเรียนรู้ได้
แตกฉานย่ิงขึ้นจนตระหนักถึงบทบาทและ พฤติกรรมการสอนท่ีจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
ทส่ี ดุ อีกทง้ั การรบั ทราบข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ท่ี จาเป็นต่อวิชาชีพได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
ข้ึน ส่งผลดีตอ่ การปรับปรุงพัฒนางานวิชาชพี ได้ ตลอดเวลา เป็นผลให้เกดิ แรงบันดาลใจท่ีจะพัฒนา
และอทุ ิศตนทางวิชาชีพเพื่อศษิ ย์ซงึ่ เปน็ ทง้ั คณุ คา่ และ ขวัญกาลังใจต่อ และมผี ลตอ่ ผู้เรียน คือสามารถ
ลดอตั ราการตกซ้าชัน้ และจานวนชน้ั เรยี นท่ตี ้องเลือ่ น หรือชะลอการจัดการเรียนรู้ให้น้อยลง อัตรา
การขาด เรียนลดลง มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นใน วิชา วทิ ยาศาสตร์ประวัตศิ าสตรแ์ ละวชิ าการอา่ นท่ี
สูง่ ขนึ้ อย่างเดน่ ชดั เม่อื เทยี บกบั โรงเรียนแบบเกา่ สุดท้ายคือ มคี วามแตกตา่ งดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นระหว่าง กลุม่ นักเรียนทมี่ ีภูมิหลังไมเ่ หมอื นกันและลดลง ชัดเจน

กล่าวโดยสรุป คือ PLC มีพัฒนาการมาจาก กลยุทธ์ระดับองค์กรที่มุ่งเน้นให้องค์กรมีการ
ปรับตัว ต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดข้ึนอย่าง รวดเร็วโดยเร่ิมพัฒนาจากแนวคิด
องค์กรแห่งการ เรียนรู้และปรับประยุกต์ให้มีความสอดคล้องกับบริบท ของโรงเรียนและการเรียนรู้
ร่วมกันในทางวิชาชีพ ท่ีมี หน้างานสาคัญคือความรับผิดชอบการเรียนรู้ของ ผู้เรียนร่วมกันเป็น
สาคญั จากการศกึ ษาหลายโรงเรียน ในประเทศสหรัฐอเมรกิ าดาเนนิ การในรูปแบบ PLC พบวา่ เกดิ ผลดี
ทางวชิ าชีพครู และผเู้ รยี นทีม่ ุ่งพัฒนาการของผเู้ รียนเป็นสาคัญ แนวทางการขับเคล่ือนกระบวนการ
ชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community :PLC) ในสถานศึกษานี้ใช้เป็น

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 51

แนวทางสาหรับสถานศึกษาในการนากระบวนการ PLC สู่การปฏิบัติ เพ่ือมุ่งประสิทธิภาพและ
ประสิทธผิ ล ของงานสู่ความเป็นเลิศ โดยมีแนวทางการดาเนินงาน ขับเคล่ือนกระบวนการ PLC ลงสู่
การปฏิบตั ิทั้งในเชงิ การบรหิ ารจดั การและกิจกรรมในชน้ั เรยี นอยา่ งเปน็ รปู ธรรม สามารถดาเนนิ การ
ไดต้ ามข้ันตอน ดงั น้ี

1. เริ่มต้นด้วยขั้นตอนง่ายๆ (Take a baby steps) โดยเริ่มต้นจากการกาหนดเป้าหมาย
อภิปรายสะท้อนผล แลกเปล่ียนกับคนอ่ืนๆ เพื่อกาหนดว่าจะดาเนินการอย่างไรโดยพิจารณาและ
สะท้อนผลในประเดน็ ต่อไปน้ี

1.1 หลกั การอะไรท่ีจะสรา้ งแรงจูงใจในการปฏิบัติ
1.2 เราจะเริ่มตน้ ความร้ใู หม่อย่างไร
1.3 การออกแบบอะไรท่ีพวกเราควรใชใ้ นการตรวจสอบหลักฐานของการเรียนรู้ที่
สาคัญ
2. การวางแผนด้วยความร่วมมือ (Plan Cooperatively) สมาชิกของกลุ่มกาหนด
สารสนเทศทต่ี อ้ งใชใ้ นการดาเนินการ
3. การกาหนดความคาดหวงั ในระดบั สงู่ (Set high expectations) และวเิ คราะหก์ ารสอน สืบ
เสาะหาวธิ ีการทจ่ี ะทาให้ประสบผลสาเรจ็ สู่งสุด
3.1 ทดสอบขอ้ ตกลงท่เี กี่ยวขอ้ งกับการสอน หลังจากได้มีการจัดเตรียมต้นแบบท่ี
เปน็ การวางแผนระยะยาว (Long-term)
3.2 จดั ให้มีชว่ งเวลาของการชแี้ นะ โดยเน้นการนาไปใช้ในช้ันเรียน
3.3 ให้เวลาสาหรับครทู ม่ี ีความยุ่งยากในการสงั เกตการณป์ ฏบิ ตั ิในชั้นเรียนของครู
ที่สร้าง บรรยากาศในการเรียนรอู้ ยา่ งประสบผลสาเรจ็
4. เรม่ิ ต้นจากจดุ เล็กๆ (Start small) เร่มิ ต้นจากการใช้กลมุ่ เล็กๆก่อน แลว้ ค่อยปรับขยาย
5. ศึกษาและใช้ข้อมูล (Study and use the data) ตรวจสอบผลการนาไปใช้และการสะท้อน
ผลเพอ่ื นามากาหนดวา่ แผนไหนควรใช้ตอ่ ไป แผนไหนควรปรับปรุงหรือยกเลิก
6. วางแผนเพื่อความสาเร็จ (Plan for success) เรียนรู้จากอดีต ปรับปรุงหรือปฏิเสธในส่ิง
ท่ไี มส่ าเร็จ และทาตอ่ ไปความสาเร็จในอนาคต หรือ ความลม้ เหลวขึ้นอยู่กับเจตคตแิ ละพฤตกิ รรมของ
ครู
7. นาสู่สาธารณะ (Go public) แผนไหนที่ สาเร็จก็จะมีการเชิญชวนให้คนอ่ืนเข้ามามีส่วน
รว่ มยก ย่องและแลกเปลี่ยนความสาเรจ็
8. ฝึกฝนร่างกายและหล่อเล้ียงสมอง (Exercise the body & nourish the brain) จัด
กิจกรรมที่ได้มีการเคลื่อนไหวและเตรียมครูที่ทางานสาเร็จของแต่ละกลุ่มโดยมีการจัดอาหาร
เครือ่ งดืม่ ท่มี ีประโยชน์

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 52

วงจรการสร้างชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ Hord, Roussin&Sommers, 2010

แนวทางการพั ฒนาการนิเทศการสอนในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส
โคโรน่า 2019 (COVID-19)

จากสภาพปัญหาในสถานการณ์ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทาให้ครูต้อง
ปรบั เปลย่ี นรปู แบบของการจดั การเรียนการสอนทางออนไลน์ทมี่ คี วามหลากหลาย เนอื้ หาบางสว่ นใน
การจัดการเรียนการสอนไม่สามารถจัดการสอนแบบออนไลน์ได้เน่ืองจากต้องมีการลงมือทาหรือ
การปฏิบัติทาให้เกิดความเหล่ือมล้าในการเรียนรู้เพราะเนื่องจากมีนักเรียนบางส่วนที่เรียนผ่าน
ออนไลน์และไม่สามารถลงมือปฏิบัติติในการทากิจกรรมได้ การจัดการเรียนการสอน มีการปรับ
เน้ือหาให้เหมาะสมและต้องเน้นเน้ือหาท่ีสาคัญกับนักเรียนทาให้ครูผู้สอนต้องปรับเนื้อหาให้กระชับ
เขา้ ใจง่าย

เพอื่ ให้การจดั การเรียนการสอนในสถานการณ์ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
มีประสิทธภิ าพ จงึ จาเป็นต้องมีการนเิ ทศตดิ ตามและประเมินผลการศึกษาข้ันพื้นฐาน เพื่อพัฒนาการ
เรยี นการสอนของครใู นยคุ ปกตใิ หม่ทต่ี ้องเปลยี่ นแปลงไปตามสถานการณ์ให้เกิดประสิทธิภาพ สร้าง
ความม่ันใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมเสริมหลักสูตรแก่ครูในยุคปกติใหม่ที่
ต้องเปลย่ี นแปลงไปตามสถานการณ์ และติดตามพฒั นาการการเรียนรู้ของนักเรียนในยุคปกติใหม่ท่ี
ต้องเปล่ียนแปลงไปตามสถานการณ์ โดยใช้รูปแบบกระบวนการ ระบบวงจรคุณภาพ (PDCA) ของ
Dr.W.E. Deming 4 ขนั้ ตอน ดังน้ี

1. การวางแผน (Plan) คือเร่ิมต้นการวางแผนจะต้องมีเป้าหมายท่ีชัดเจนเสียก่อน โดยข้ัน
ตอนนต้ี ้องกาหนดใหค้ รอบคลมุ ทั้งกระบวนการต้ังแต่เริ่มไปจนถึงสุดสิ้นสุดว่ามีปัญหาอะไรท่ีจะต้อง
แก้ไข ใครเป็นผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง กระบวนการค้นหาข้อมูลคืออะไร กระบวนการแก้ไขคืออะไร
โดยเฉพาะระบุตัวช้ีวัด เช่น KPIs หรือ OKR ท่ีชัดเจน แล้วทาออกมาเป็นแผนการดาเนินงาน (Action
Plan) ซึ่งสามารถปรับเปลยี่ นไดต้ ามความเหมาะสม

การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 53

2. การดาเนินการ (Do) หลงั จากกาหนดแผนแลว้ กถ็ ึงเวลาทจี่ ะลงมอื ทา เพราะจะต้องนาแผน
ดังกล่าวมาใชจ้ ริง ดาเนินการจริง เพื่อใหเ้ ห็นผลลพั ธจ์ ริง ในข้นั ตอนนี้ทกุ คนตอ้ งระลกึ ไว้เสมอวา่ การ
ดาเนินการจะเกิดปัญหาอน่ื ตามมาเสมอ นั่นจงึ เป็นเหตุผลวา่ ควรใช้แผนดงั กลา่ วกบั ทมี นาร่องไม่ก่ีคน
หรือเป็นโปรเจกต์เล็ก ๆ เสียก่อน เพราะสภาพแวดล้อมท่ีควบคุมได้จะป้องกันความเสียหายที่เกิดข้ึน
ไมใ่ ห้สง่ ผลกระทบไปท้งั องคก์ ร

3. การตรวจสอบ (Check) เมอื่ ดาเนินการมาถึงจดุ หนึ่งแลว้ จะตอ้ งตรวจสอบให้ได้ว่า แผน
ดงั กล่าวมผี ลลพั ธเ์ ปน็ ไปตามตัวชี้วัดทตี่ ้องการหรอื ไม่ ถา้ ประสบความสาเร็จตามตัวช้ีวัด ก็สามารถ
ดาเนินการไปสู่ข้ันตอนสุดท้ายได้เลย แต่ถ้าไม่ประสบความสาเร็จ ก็ควรนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หา
สาเหตุของปญั หา แล้วดาเนินการขน้ั ตอนที่ 1 – 3 ใหม่จนกวา่ จะประสบความสาเร็จหรือผ่านตัวชี้วัด
ทก่ี าหนดไว้

4. การปรับปรุงพัฒนา (Act) ถ้าการปฏิบัติแผนดังกล่าวประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี ก็
ถึงเวลานาแผนนั้นมาประยุกต์ใช้กับทุกคนองค์กร ผ่านการประกาศ ประชุม อีเมล หรือการจัดการ
อบรมภายในบริษทั เพอ่ื สร้างการเปลย่ี นแปลงจนเกิดตามมาตรฐานใหม่

แนวทางการนามาใช้ในการนิเทศก์เพื่อการศึกษาในสถานณ์การแพร่ระบาดของโรคติด
เชือ้ ไวรัสโคโรน่า 2019

1. การวางแผน (Plan) ประชุมวางแผนการดาเนินการโดยคณะกรรมการ รายงานต่าง ๆ
แต่งตั้งคณะกรรมการดาเนนิ งานควบคมุ ดูแลและป้องกันการ แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
และ ประชุมคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐานของโรงเรยี นเพื่อขอ ความเห็นชอบ

2. การวางแผน (Plan) ประชุมวางแผนการดาเนินการโดยคณะกรรมการ รายงานต่าง ๆ
แตง่ ตง้ั คณะกรรมการดาเนินงานควบคุมดูแลและปอ้ งกันการ แพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019
และประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐานของโรงเรียนเพอื่ ขอ ความเหน็ ชอบ

3. การตรวจสอบ (Check) กากบั นเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมินผลการดาเนนิ งาน จุดเดน่ จดุ ดอ้ ย
จุดท่ีควรพัฒนา จากการจัดการเรียนรู้เป็นระยะ และต่อเนื่อง โดยการรายงานผ่านหัวหน้า
สถานศกึ ษา เพื่อรายงานตอ่ หัวหน้าระดับต้นสงั กดั ของสถานศึกษา

4. การปรบั ปรุงพัฒนา (Act) การจัดการศึกษาโดยการแลกเปล่ียนเรียนรู้ท้ังในสถานศึกษา
และระดับเครือขา่ ย ประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซตข์ องโรงเรยี น ส่ือออนไลน์ช่องต่าง ๆ เพื่อเป็นการ
นาเสนอ ความกา้ วหนา้ ใหแ้ กผ่ ู้มสี ่วนไดส้ ่วนเทเ่ี ก่ยี วขอ้ งรบั ทราบ

“ การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 54

“สาหรับประเทศไทย ความทา้ ทายในการเปลย่ี นครง้ั นี้ไมใ่ ช่
แคก่ ารแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้าในสถานการณ์โควดิ -19
เท่าน้ัน แตค่ วรเป็นการ “เปลยี่ นวกิ ฤติใหเ้ ป็นโอกาส” ใน
การพัฒนาคณุ ภาพการเรยี นการสอนให้ดีกวา่ เดมิ

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 55

ภาพ แนวทางการพฒั นาการนเิ ทศก์ในสถานการณ์แพรร่ ะบาดของไวรสั โคโรนา่ 2019 (COVID-19)
โดยใชก้ ระบวนการ PDCA

ภาพ แนวทางการพฒั นาการนเิ ทศกใ์ นสถานการณ์แพรร่ ะบาดของไวรสั โคโรนา่ 2019 (COVID-19)
โดยใช้กระบวนการ PDCA โดยการทาซ้าเป็นระยะ

การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 56

06

การพัฒนา

การวิจยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพวิชาการ

การวิจัยเกิดขึ้นมาพร้อมกับความต้องการศึกษาเรียนรู้
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนบนโลก และมีการพัฒนา
วิธีการคน้ หา ความรู้มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 57

การพัฒนาการวิจยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพวิชาการ

ความเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วใน
ปัจจุบันล้วนเกิดจากการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ สิ่งท่ีเกิดข้ึนควบคู่กับการพัฒนาองค์
ความรู้ และนาไปสกู่ ารศกึ ษาและการเรยี นร้กู ค็ อื การวจิ ยั การวจิ ยั จะทาใหไ้ ด้องคค์ วามร้ใู หม่และหากได้
พจิ ารณาผลจากการวจิ ยั โดยละเอยี ดถอ่ งแทแ้ ลว้ จะสามารถนาองคค์ วามรใู้ หมเ่ หลา่ นน้ั มาใช้ประโยชน์
ในการพัฒนาสร้างสรรค์ความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ได้อีกมากมาย การวิจัยเกิดข้ึนมาพร้อมกับ
ความต้องการศึกษาเรียนรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นบนโลก และมีการพัฒนาวิธีการค้นหา
ความรู้มาอย่างต่อเนอื่ ง การศึกษาทุกสาขาวิชาในโลกให้ความสาคัญกบั การวิจัยท้งั ส้นิ การวิจัยเป็น
เคร่ืองมือในการศึกษาค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ทาให้เกิดการประยุกต์ใช้ความรู้ท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์
ยิ่งข้ึน และการวิจัยยังเป็นการพัฒนาทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ ทาให้เกิดการ
พัฒนา การศึกษาและการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ นาไปสู่ความเข้มแข็งทางวิชาการ การศึกษาและ
การเรยี นรู้ ที่มคี ุณภาพ โดยเฉพาะในสถานการณป์ ัจจุบันความรู้ใหม่ ๆ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
เกิดขน้ึ อยา่ ง รวดเร็ว เพอื่ ให้บุคลากรและหน่วยงานสามารถพัฒนาได้เท่าทันแล้ว การวิจัยจึงจาเป็น
อยา่ งยิง่ ในการสรา้ งองค์ความรเู้ พอ่ื ให้เหมาะสมกบั สงั คมและพฒั นาอย่างยั่งยนื

การเปล่ียนแปลงของสังคมโลกในศตวรรษท่ี 21 และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่าง
รวดเร็วซงึ่ มผี ลตอ่ การศึกษาและการเรยี นรู้องคค์ วามรใู้ หม่ ๆ จากการวิจัยเป็นส่ิงจาเปน็ และมคี ุณค่า
มากในการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพ ซ่ึงสามารถพัฒนาได้ท้ังความรู้
ความสามารถ ของบคุ ลากรทางการศึกษา ผู้สอนและผู้เรียน แนวทางการใช้งานวิจัยเพื่อการศึกษา
และการเรียนรู้ สามารถทาไดด้ ังนี้

1) การกาหนดนโยบายเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษาที่ชัดเจน มีโอกาส เป็นไปได้
จริง

2) การพฒั นาความรู้ ความสามารถด้านการวจิ ยั ของบุคลากรทเี่ กย่ี วข้อง
3) การจัดให้ มสี ่ิงสนบั สนนุ ในการวจิ ัยและการนาผลการวจิ ยั ไปใชอ้ ย่างเหมาะสม
การใชง้ านวจิ ัยเพื่อการศึกษาและ การเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพสามารถทาได้สองลักษณะใหญ่ ๆ
คือการวจิ ยั เพ่อื พฒั นาการจดั การเรียนรแู้ ละ การวิจัยเพ่อื พฒั นาการบริหารการศึกษา

ความสาคญั ของการวิจยั

การวิจัยมีบทบาทสาคัญในสถานศึกษาทุกระดับ จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ได้กาหนดบทบาทของการวิจัยไว้ใน
หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 24 (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ
สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน และอานวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้
รวมทง้ั สามารถ ใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้
ไปพร้อม กันจากส่ือการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ และ มาตรา 30 ให้
สถานศกึ ษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ รวมทง้ั ส่งเสริมใหผ้ ้สู อนสามารถวิจัย
เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา (สานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาแหง่ ชาติ, 2545) สถาบันอดุ มศึกษามกี ารกาหนดให้การวิจัยเป็นภาระหน้าท่ีสาคัญประการ

การบรหิ ารวิชาการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 58

หนึ่งของสถาบันอุดมศึกษา เป็นส่วนนสาคัญในการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และ
งานวิจยั ถูกกาหนดให้เป็นสว่ นหน่งึ ที่ใช้ประกอบการขอตาแหนง่ ทางวิชาการ สาหรับสถานศกึ ษาระดับ
การศึกษาขัน้ พื้นฐานให้ ความสาคญั กบั งานวจิ ัยอยา่ งชดั เจนในการพฒั นาการเรยี นการสอนคือการ
ทาวิจัยปฏิบัติการในชั้น เรียน มีการกาหนดสมรรถนะครูประการหน่ึงท่ีสาคัญคือครูควรมี
ความสามารถด้านการวเิ คราะห์ สังเคราะหแ์ ละการวจิ ัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน (สานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน, 2553)

นอกจากนี้การวิจัยยังมีความสาคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ซึ่ง
ทาให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศได้ทุกภาคส่วน ดังจะเห็นได้จากการก่อตั้งสถาบันวิจัยเพื่อ
การพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เป็นสถาบันวิจัยเชิงนโยบายท่ีก่อตั้งข้ึนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527
พันธกิจหลักของทีดีอาร์ไอได้แก่ ดาเนินการวิจัยเชิงนโยบายในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นโยบายด้านเศรษฐกิจ ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานระหว่างประเทศ ตลอดจน
ริเริ่มการวิจยั เอง เพ่ือสนบั สนนุ การกาหนดนโยบายการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศไทยให้
เป็นนโยบายท่ีเอ้ือต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ มีการผลิตงานวิจัยเชิงนโยบายท่ีมี
คุณภาพสู่ง อยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาการ และข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างข่ายงานการวิจัยระหว่าง
สถาบนั และนักวิชาการทเี่ ก่ยี วข้องในประเด็นวิจยั เชิงนโยบายทงั้ ในระดับประเทศและระหวา่ งประเทศ และ
เผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการกาหนดนโยบายของประเทศ (สถาบันวิจัยเพ่ือการ
พัฒนาประเทศไทย, ม.ป.ป.) งานวจิ ัยท่เี กิดข้ึนจากการดาเนนิ งานทเ่ี ปน็ ไปตามระเบยี บวิธีวิจัยท่ี ถกู ต้อง
และตอบโจทย์ความต้องการของสังคมได้จะเกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้ท่ีทาวิจัยคือได้พัฒนา องค์
ความรู้พัฒนาทักษะการทาวิจัยและนาไปพัฒนาการทางาน ทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อผู้ท่ีสนใจศึกษา
งานวจิ ัยและผู้อืน่ ท่นี าผลงานวิจัยนั้นไปใชป้ ระโยชน์นักวิจัยต้องทุ่มเทความรู้ ความสามารถ จึงได้เป็น
ผลงานวิจัยทีเ่ สร็จสมบูรณ์ หากไม่นามาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าแล้วก็เป็นเร่ืองที่น่าเสียดายอย่างย่ิง
จงึ ควรส่งเสรมิ สนบั สนุนการใช้งานวจิ ัยเพ่ือการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาและการเรยี นรูใ้ หม้ ากยิ่งขน้ึ
นาไปสู่การศึกษาท่ีมีคุณภาพสอดคล้องกับความก้าวหน้าของสังคมโลกในยุคดิจิทัล และนโยบาย
“ประเทศไทย 4.0” ซ่ึงต้องใช้ความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึง
สถาบันการศึกษาและสถาบันวจิ ยั ตา่ ง ๆ ในการขับเคลื่อน เน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ซ่ึง
ตรงกับแนวความคิด “การระเบิดจากข้างใน” เพิ่มขีดความสามารถ ให้ประชาชนสามารถพ่ึงพา
ตนเองไดแ้ ละมีความสามารถเปน็ กาลงั สาคญั ในการพฒั นาประเทศต่อไป

ประเภทของการวิจยั

การวิจัยมีระเบียบวิธีการที่แตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ ซ่ึงขึ้นอยู่กับสาขาวิชา และ
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย จงึ มีประเภทของการวิจัยที่ต่างกัน ประเภทของการวิจัยอาจแบ่งได้หลาย
ลักษณะ ในท่ีนี้จะนาเสนอการแบ่งประเภทของการวิจัยเป็น 3 ประเภท ดังน้ี งานวิจัยบริสุทธิ์ (Pure
Research) งานวิจัยประยุกต์ (Applied Research) และงานวิจัยเชิงประเมินหรือการประเมิน
(Evaluation Research) สาเริง บุญเรืองรัตน์ (2553) ได้อธิบายความแตกต่างของงานวิจัย 3
ประเภทน้ี ไวด้ ังน้ี

1. งานวจิ ัยบรสิ ุทธ์ิ (Pure Research) เปน็ งานวิจยั เพื่อคน้ หาความรู้ สร้างทฤษฎี สร้างสูตร
สรา้ งกฎ เพ่อื ทาความเขา้ ใจธรรมชาติ เพือ่ พยากรณ์และควบคธุ รรมชาติ เชน่ การศกึ ษาเกี่ยวกับแสง
เดินทางดว้ ยความเร็วเท่าไร การเกิดแผ่นดินไหว เปน็ ตน้

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 59

2. งานวิจยั ประยุกต์ (Applied Research) เป็นงานวิจยั ทนี่ าผลงานวิจัยบริสทุ ธิม์ าประยุคต์ใช้
หรือผลิตเป็นส่ิงของ เครื่องใช้ เพ่ือเป็นประโยชน์ของมนุษย์ เช่น การวิจัยท่ีพบว่าฟ้าแลบฟ้าผ่าใน
อากาศคอื มกี ระแสไฟฟ้าเกดิ ข้นึ จงึ มีการประดิษฐส์ ายล่อฟ้าเพื่อป้องกันฟ้าผา่ เปน็ ตน้

3. งานวิจัยเชิงประเมนิ หรือการประเมิน (Evaluation Research) เป็นงานวิจัยวินิจฉัยคุณค่า
ของส่งิ ทปี่ ระเมนิ เชน่ การพัฒนาหลกั สูตรโครงการจัดการศึกษา โครงการพัฒนาสังคม จะมีการตั้ง
คาถามเพื่อประเมินว่าระหว่างการดาเนินโครงการมีสิ่งใดที่ควรปรับปรุง ส่ิงใดท่ีสาเร็จตามเป้าหมาย
ส่ิงใดดีมีคุณค่า เรียกการประเมินแบบนี้ว่าการประเมินผลย่อย (Formative Evaluation) และเม่ือ
โครงการดาเนนิ การเสร็จสน้ิ แลว้ ก็จะประเมนิ รวบยอดสรุปขีอ้ ดี ขอี้ บกพรอ่ ง คณุ คา่ ปญั หาอุปสรรค
ผลกระทบของโครงการ การประเมนิ แบบน้เี รยี กว่า การประเมนิ ผลสรปุ (Summative Evaluation)

การวิจยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาและการเรยี นรู้

การวิจัยเป็นสิ่งจาเป็นในการศึกษาหรือนาไปพัฒนางานในด้านต่าง ๆ ทาให้มีงานวิจัยมี
ลักษณะหรือประเภทที่แตกต่างกันออกไปเช่นประเภทของงานวิจัยท่ีแบ่งตามลักษณะการวิเคราะห์
ข้อมูล จะมีการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ประเภทงานวิจัยท่ีแบ่งตามศาสตร์ ตาม
สาขาวิชาของศาสตร์นั้นๆ ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษาและการ
เรียนรู้

ความต้องการท่ีจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทยทาให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาตามมา
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ยงั ไมเ่ ป็นไปตามจดุ มุง่ หมายมากนัก เสน่ห์จามรกิ (2538) ได้กลา่ วเกีย่ วกับการศึกษา
และการวจิ ัยไว้ว่า “การปฏิรูปการศกึ ษาย่อมไม่อาจสัมฤทธผ์ิ ลได้อย่างแท้จริง ตราบเท่าที่ยังคงเวียน
ว่ายอยู่แต่ภายในกรอบองค์ความรู้และวัฒนธรรมการเรียนรู้ท่ีเป็นอยู่ หากแต่จาเป็นจะต้องระดม
ความคิด รวมท้ังคิดค้นโครงการศึกษาวิจัยเพื่อเปิดโลกทัศน์แสวงญาณวิทยาใหม่และกระบวนทัศน์
ใหม่” ซ่ึงเป็นการช้ีให้เห็นถึงความจาเป็นท่ีจะต้องมีการแสวงหาความรู้ใหม่ หากจะต้องการพัฒนา
การศึกษา สาเริง บุญเรอื งรตั น์ (2553) เสนอไวว้ า่ การทป่ี ระเทศไทยจะเป็นสงั คมแห่งปัญญาและ การ
เรียนรู้นั้น บคุ คลตอ้ งมคี วามสามารถในการทาวิจัยซึง่ หมายถึงการคน้ หาคาตอบของปัญหาใหม่ ๆ ท่ี
ก้าวไกลออกไปจากเดิม ซึ่งจะแยกเป็นสาขาวิชาเช่น งานวิจัยคณิตศาสตร์งานวิจัยวิทยาศาสตร์
งานวิจัยเก่ียวกับมนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้Bert P.M. Creemers, Louise
Stoll, Gerry Reezigt and the ESI team (2007) ได้เสนอผลการศึกษาโรงเรียนท่ีเป็นแนวปฏิบัติที่ดี
ในการพัฒนาประสิทธิภาพของโรงเรียน พบว่าการพัฒนาประสิทธิภาพของสถานศึกษามี
องค์ประกอบทส่ี าคัญคอื การท่ีผู้บรหิ ารหรอื ผทู้ ีก่ าหนดนโยบาย ใหค้ วามสาคญั คานงึ ถงึ ปจั จยั ในการ
ปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนตามบริบทของโรงเรียน ซ่ึงผู้ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนา
ประสิทธิภาพของโรงเรียนได้แก่ผู้ปฏิบัติงาน นักวิจัยและผู้กาหนดนโยบาย จึงควรให้ผู้ที่ปฏิบัติงาน
นักวิจัย มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นร่วมกับผู้กาหนดนโยบาย ซ่ึงจะทาให้มีการดาเนินงานได้
เหมาะสมกับการปฏิบัติงานและการวิจัย และเป็นจะได้รับข้อมูล ขี้อเสนอ ที่ชัดเจนตามบริบทของ
โรงเรยี น เพ่อื นาไปใช้ในการตัดสินใจในการวางแผนการการการปรับปรงุ โรงเรียนท่ีมีประสิทธิภาพ จะ
เห็นได้วา่ ผู้ทรงคุณวฒุ ิหลายทา่ นลว้ นให้ความสาคัญกับการนาการมีวิจยั มาใช้พัฒนาการศึกษา

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 60

ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนาไปประยุคต์ใช้ได้จริงเป็นปัจจัย
สาคัญ ประการหนึง่ ทจี่ ะช่วยใหก้ ารศกึ ษาของไทยมคี ณุ ภาพทดี่ ีขน้ึ ได้ ผู้เขยี นมคี วามคิดและมีความเชื่อ
เช่นน้ี มาโดยตลอด และเกิดความกระจ่างแจ้งในความคิดความเชื่อดังกล่าวยิ่งขึ้น เมื่อมีโอกาสได้
ศึกษา ปาฐกถาเร่ืองการศึกษากับการวิจัย เพื่ออนาคตของประเทศไทย โดยพระธรรมปิฏก (ป.อ.ป
ยตุ โฺ ต) (2539) ซ่ึงสรุปเนอื้ หาสาคัญเก่ียวกับการวิจัยเพ่ือการศึกษาท่ีมีคุณภาพได้ดังนี้ความสาคัญ
ของ การศึกษาคือการทาให้เกิดปัญญาและในการท่ีจะทาให้เกิดปัญญาน้ัน สิ่งสาคัญคือการวิจัย
การวิจัย จะทาให้รู้จักคิด พิจารณาความจริง หาทางทาให้ดีทาให้สาเร็จแก้ปัญหาได้เพราะฉะนั้น
การศึกษาและ การวจิ ยั เป็นเรอ่ื งของชีวิตประจาวนั เป็นหน้าที่ของมนษุ ยไ์ ม่ใช่เป็นเพียงเร่ืองที่จะมาจัด
กันเป็นกิจการ ของสังคมหรือเป็นการวิจัยทางวิชาการต่าง ๆ อย่างท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
การศึกษาเป็นการฝึกฝนหรือพัฒนาในด้าน ประกอบด้วย 3 ด้านของการพัฒนาชีวิตคือ ด้าน
พฤติกรรม ดา้ นจติ ใจ และด้านปญั ญาการวจิ ัยนนั้ อย่ใู นส่วนของปญั ญาเปน็ หลักและมีความสัมพันธ์
กับพฤติกรรมและจิตใจ ตามมาด้วย เมื่อได้ผลงานวิจัยก็เป็นการเพิ่มขยายปัญญาซึ่งมาหนุน
พฤตกิ รรม ทาใหเ้ รารวู้ ่าควรจะพฒั นาพฤติกรรมอย่างไรจึงจะทาใหไ้ ดผ้ ลดียง่ิ ขนึ้ และทาใหเ้ กิดผลต่อ
จิตใจ มีความพึงพอใจ มีความสุขและภาคภูมิใจ มุ่งม่ันที่จะพัฒนาต่อไป งานวิจัยเป็นส่วนประกอบที่
สาคญั ทจี่ ะทาให้ การศกึ ษาและการเรียนรู้พัฒนาไปด้วยดีเพราะในชีวิตมนุษย์ปัจจัยท่ีสาคัญท่ีจะทาให้
มนุษย์ผ่านพ้นปัญหาไปโดยแก้ปัญหาสาเร็จและดาเนินชีวิตไปโดยปฏิบัติถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลายคือ
ปัญญาพร้อมกัน ทั้งพฤติกรรมและจิตใจ ก็เป็นองค์ประกอบเก้ือหนุนให้การวิจัยน้ันสาเร็จและทาให้
เกิดปัญญาประกอบกับแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-
2564) ไดก้ าหนด ยทุ ธศาสตร์ ไว้ 6 ยุทธศาสตรห์ ลัก ซึ่งหนง่ึ ในหกยุทธศาสตร์ก็คือ ผลิตและพัฒนา
กาลังคน รวมทง้ั งานวจิ ัยที่สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของการพฒั นาประเทศ ทม่ี งุ่ หวังให้กาลงั คน
ได้รับการผลิตและ พัฒนาเพ่ือเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และมีองค์ความรู้
เทคโนโลยี นวัตกรรม สนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนซ่ึงตอบสนองการพัฒนาในด้าน
คณุ ภาพ และด้านการตอบ โจทยบ์ รบิ ทท่ีเปล่ียนแปลง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) จึงกล่าวได้ว่ามี
แนวโน้มท่ี กระทรวงศกึ ษาธิการจะใหค้ วามสาคญั กับการใช้งานวิจัยเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้มาก
ยิ่งขนึ้

คุณประโยชน์จากงานวิจัยสามารถสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของผู้วิจัยและความก้าวหน้า
ของการศกึ ษาไทย ทงั้ ยังก่อใหเ้ กิดการพัฒนาไดร้ อบดา้ น ควรให้ความสาคัญและตระหนักถึงคุณค่า
ของการใช้การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้อย่างจริงจังมากขึ้นในทุกระดับ
การศึกษา จึงขอเสนอแนวทางในการใช้งานวิจัยเพ่ือพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพไว้
ดงั นี้

1. การกาหนดนโยบายเก่ียวกับการวจิ ัยเพ่อื พฒั นาการศึกษาทีช่ ัดเจน มโี อกาสเปน็ ไปได้จริง
ควรกาหนดนโยบายทช่ี ดั เจนเหมาะสมกับสถานการณ์ และบริบทของแตล่ ะสถานศึกษา กาหนดตวั ช้ีวดั
ที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม มีโอกาสเป็นไปได้จริง สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของแผนพัฒนาการศึกษา
ของชาติและครอบคลุมบุคคลท่ีเก่ียวข้องได้ทั้งหมดและเชื่อมโยงกันได้กาหนดวิธีการส่งเสริม
สนับสนนุ และตดิ ตามการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาดา้ นการวจิ ัยอย่างตอ่ เน่ือง เพอื่ ให้เกดิ ความ
เขา้ ใจ เห็นคุณคา่ ทแี่ ท้จริงของงานวิจยั ปฏิบตั ิได้จริง สามารถนาไปประยคุ ต์ใชไ้ ด้

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 61

2. การพัฒนาความรู้ ความสามารถดา้ นการวิจยั ของบคุ ลากรที่เก่ียวขอ้ ง ผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งกับ
การวจิ ยั เพือ่ การพัฒนาการศกึ ษาทท่ี ง้ั โดยตรงไดแ้ ก่ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผู้สอนจึงควรมกี ารพัฒนา
ศกั ยภาพของบคุ ลากรเหลา่ นใ้ี ห้มคี วามรคู้ วามเข้าใจและมคี วามสามารถในการวจิ ัยเพอ่ื จะทาให้นโยบาย
ประสาความสาเร็จ การพัฒนาบุคลากรเพ่ือให้เกิดความสามารถในการวิจัยจาเป็นต้องใช้เวลาและมี
ความตอ่ เนอื่ งดังน้นั จงึ ควรมีการกาหนดแผนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยไว้อย่างต่อเน่ืองเช่น
จดั ให้มหี น่วยงานและคณะกรรมการวจิ ัยประจาโรงเรียน จัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะในการวิจัย จัดหา
แ ส ว ง ห า ทุ น วิ จั ย จ า ก แ ห ล่ ง ทุ น ต่ า ง ๆ ส ร้ า ง บ ร ร ย า ก า ศ ก า ร วิ จั ย ใ น โ ร ง เ รี ย น ( ธี ร ะ
รญุ เจริญ, 2555)

3) การจัดให้มีส่ิงสนับสนุนในการวิจัยและการนาผลการวิจัยไปใช้อย่างเหมาะสม เม่ือมี
นโยบายที่ดีและผู้ปฏิบัติที่มีความพร้อมแล้วก็ควรจะมีส่ิงสนับสนุนที่เอื้อต่อการพัฒนาและการใช้
ประโยชน์จากงานวจิ ยั ด้วย ส่ิงสาคัญคอื การให้เวลาแก่นกั วิจยั เพ่ือทาวิจัยได้อยา่ งต่อเนอื่ ง อุปสรรค
ที่สาคัญในการทาวิจัยและการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยคือ การที่ผู้ปฏิบัติงานมีภาระงานมากจนไม่มี
เวลาในการทาวิจัย (สานักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ: 2551, บุศรา สาระ เกษ: 2555)
นอกจากน้ีควรให้การสนับสนนุ ในดา้ นอ่ืน ได้แก่ อานวยความสะดวกในการเผยแพร่ความรู้โอกาสใน
การเข้าถงึ แหล่งความร้กู ารสรา้ งแรงจูงใจสร้างขวญั และกาลงั ใจให้กบั นักวจิ ยั และการสร้างเครือข่าย
ในการพฒั นางานวิจัยเพือ่ การศึกษาและการเรยี นรู้ทเี่ ขม้ แขง็

การใช้การวิจัยเพ่ือการศึกษาและการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพนั้นผู้ที่เก่ียวข้องโดยตรงก็คือ
บุคลากรทางการศึกษา ผู้สอน นอกจากนี้อาจรวมถึงผู้ปกครอง และผู้ท่ีสนใจเกี่ยวกับการพัฒนา
คุณภาพการศึกษา การใช้การวิจัยเพ่ือพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพสามารถทาได้
สองลักษณะใหญ่คือการวิจัยเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนรู้และการวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหาร
การศึกษา

การวิจยั เพ่ือพัฒนาการจดั การเรยี นรู้

การจัดการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 มีการเปลย่ี นแปลงรปู แบบไปจากเดมิ เปน็ อย่างมาก มีการ
เสนอทักษะท่ีผู้เรียนควรจะมีในศตวรรษท่ี 21 คือ ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้าน
สารสนเทศ และทกั ษะด้านชีวิตและอาชีพ ครูเปล่ียนบทบาทจากผู้สอนเป็นโค้ชทาหน้าที่แนะนา อานวย
ความสะดวกในการเรยี นรใู้ ห้นักเรียนเป็นผ้เู รยี นรดู้ ว้ ยตนเอง โดยครจู ะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้
ตนเองเป็นโค้ช (Coach) และอานวยความสะดวก ในการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem-
Based Learning) หลักสูตรที่ใช้จัดการเรียนการสอนก็ควรจะเปล่ียนแปลงไปด้วย ลักษณะของ
หลักสูตรที่ควรจะเกิดข้ึนในศตวรรษท่ี 21 ควรเป็นหลักสูตรที่เน้นคุณลักษณะเชิงวิพากษ์ (critical
attributes) เชงิ สหวิทยาการ (interdisciplinary) ยึดโครงงานเปน็ ฐาน (project-based) และขับเคลอื่ น
ด้วยการวิจัย (research-driven) เช่ือมโยงท้องถ่ินชุมชนเข้ากับภาค ประเทศ และโลก ในบางโอกาส
นกั เรยี นสามารถรว่ มมือ (collaboration) กบั โครงงานตา่ ง ๆ ไดท้ ั่วโลก เป็นหลักสูตรท่ีเน้นทกั ษะการ
คิดข้ันสู่ง พหุปัญญาเทคโนโลยีและมัลติมีเดีย ความรู้พื้นฐานเชิงพหุสาหรับศตวรรษที่ 21 และการ
ประเมินผลตามสภาพจริง(American Association of Colleges of Teacher Education and the
Partnership for 21st Century Skills, 2010)

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 62

การเปลี่ยนแปลงน้ีทาให้การ วิจัยมีความสาคัญต่อการจัดการเรียนรู้เด่นชัดยิ่งข้ึน การใช้การวิจัย
เพือ่ พฒั นาการจดั การเรียนรู้ สามารถทาไดเ้ ปน็ ในสองลกั ษณะใหญ่ ๆ ได้แกก่ ารจดั การเรียนรู้โดยใช้
วิจัยเปน็ ฐาน (Research Based Learning) และทาการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน (Classroom Action
Research)

การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้การวจิ ัยเป็นฐาน
การจัดการเรียนรู้โดยการใช้วิจัยเป็นฐาน สามารถทาได้ 4 รูปแบบ ดังท่ี สมหวัง พิธิยา

นุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม (2540) ได้เสนอไว้คือ 1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยคือ
การให้ ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทาวิจัยในระดับต่าง ๆ เช่นการทาการทดลองในห้องปฏิบัติการ
วิทยาศาสตร์ การทาโครงงาน การทาวิจยั ฉบับจิ๋ว (Baby Research) การทาวิทยานิพนธ์ เป็นต์น 2)
การสอนโดยให้ ผู้เรียนร่วมทาโครงการวิจัยกับครู อาจารย์หรือเป็นผู้ช่วยในโครงการวิจัย 3) การ
สอนโดยให้ผ้เู รียน ศึกษางานวิจัยเพ่ือเรียนรู้องค์ความรู้หลักการ และทฤษฎีท่ีใช้ในการวิจัย และการ
นาผลการวิจัยไปใช้ และศึกษาต่อไป ทาให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการทาวิจัยมากขึ้น และ 4) การสอน
โดยใช้ผลการวิจัย ประกอบการสอนเป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้ว่าทฤษฎีข้อความรู้ใหม่ ๆ ในศาสตร์
ของตนในปัจจบุ นั เป็นอยา่ งไร เป็นการสร้างศรัทธาต่อผ้สู อน การจดั การเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานนี้
ส่งผลดีต่อคุณภาพการเรียนรู้คือสามารถพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดการเรียนรู้โดยใช้หลักเหตุผล มี
วจิ ารณญาณ สามารถวเิ คราะหส์ งั เคราะห์ เกิดความคดิ สร้างสรรค์ ทาให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาเป็น
ผู้ผลิตความรู้และสร้างนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับโจทย์ ความต้องการของประเทศที่ต้องการลด
การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและต้องการพัฒนา นวัตกรรม (เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ,
2559)

การวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชน้ั เรยี น

การวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชนั้ เรียน หมายถึงการวิจัยท่ีทาโดยครูผู้สอนเพ่ือแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้น
ใน ช้นั เรียนและนาผลมาใชป้ รับปรงุ การจัดการเรียนการสอนหรอื สง่ เสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน ท้ังนี้เพ่ือให้เกิดประโยชน์สู่งสุดกับผู้เรียน (สุวิมล ว องวาณิช, 2554) โดยนาผลการวิจัยที่
ได้มาประกอบ การตัดสินใจในการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาและเพ่ิมความรู้ในงานของครู
เองให้มากย่ิงข้ึน ครสู ามารถเสริมสรา้ งความรูท้ างวิชา สรา้ งรูปแบบการสอนแบบใหม่ แกป้ ัญหาในช้นั
เรียน ทาให้ ผเู้ รยี นมีสมั ฤทธผิ์ ลการเรียนรู้สงู่ ข้ึน การดาเนินการวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการ มี
ลกั ษณะเปน็ วงจร PAOR ประกอบดว้ ย 4 ข้ันตอนไดแ้ ก่ 1) การวางแผนการปฏบิ ตั ิงานตลอดจนการ
กาหนดปัญหา ท่ตี อ้ งการศกึ ษา (Plan) 2) การดาเนินการวิจัยตามแผนท่ีกาหนดไว้ (Action) 3) การ
สังเกตผลท่ี เกิดข้ึนจากการดาเนินการวิจัย (Observe) และ 4) การสะท้อนผลหลังจากการ
ดาเนนิ การวิจัยเสรจ็ สิ้นแล้ว เพื่อให้เกิดการวิพากษ์ของเพื่อนร่วมงาน (Reflect) ซึ่งคุณค่าของการ
วิจัยปฏิบัติการใน ชั้นเรียนส่งผลโดยตรงต่อผู้เรียนเป็นสาคัญ (Barrett, H., 2007) การวิจัย
ปฏิบัติการในชัน้ เรยี น เป็นภาระหนา้ ที่หนง่ึ ของผู้สอนทจ่ี าเป็นตอ้ งทาเพื่อพัฒนา คุณภาพการเรียนรู้
พฒั นาผูเ้ รยี นใหม้ ีคณุ ลักษณะตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสตู ร การวจิ ัยในช้ันเรียนมีคุณค่าอย่าง
ย่ิงต่อการพัฒนาผู้เรยี นและผ้สู อน ทาให้มีการพฒั นาองคค์ วามรแู้ ละนวตั กรรมท่ีส่งเสริมการเรียนรู้
ใหม่ๆ ผู้สอนเกิดความม่ันใจในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พัฒนาการจัดการเรียนรู้ เป็นการพัฒนา
วิชาชพี และยงั สะทอ้ นถึงความสามารถและการพฒั นาตนเองของผู้สอน

“ การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 63

“ผูท้ ่มี ีบทบาทสาคัญการใชง้ านวจิ ยั เพื่อพฒั นาการ
บรหิ ารการศกึ ษากค็ ือผบู้ ริหารในหนว่ ยงานทาง
การศกึ ษาทกุ หนว่ ยงานทม่ี หี น้าทีเ่ กย่ี วข้องหรือ
รบั ผดิ ชอบในการบรหิ ารและจัดการศกึ ษา

การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 64

การวิจยั เพ่ือพัฒนาการบรหิ ารการศกึ ษา

การบริหารการศึกษาเป็นเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับหลายหน่วยงาน และบุคคลต่าง ๆ ในระบบ
การศึกษาที่มีบทบาทหน้าที่บริหารจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับกระทรวงศึกษาธิการจนถึงสถานศึกษา
และยังเก่ียวข้องไปถึงผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม ความเจริญก้าวหน้าของประเทศย่อมเกิดจาก
ความสามารถของประชาชน จึงกล่าวได้ว่าการบริหารการศึกษามีผลต่อความเจริญก้าวหน้าและ
ความ มั่นคงของประเทศ ดังนั้นผู้ที่เป็นผู้บริหารไม่ว่าจะอยู่ในหน่วยงานระดับใดควรตระหนักถึง
ความสาคญั นี้การกาหนดวสิ ยั ทศั น์ กาหนดนโยบาย ยทุ ธศาสตร์แผนงานข้ันตอนการปฏิบัติงานและ
กากับ ติดตาม ล้วนมีความสัมพันธ์กัน เพ่ือให้การบริหารการศึกษาเกิดประสิทธิภาพควรจะใช้
หลกั การ องค์ความรู้และขอ้ มลู ท่ีมคี ุณภาพและเชอื่ ถือได้ในการบรหิ ารจัดการ การวิจยั เป็นเครื่องมอื
สาคัญในการศกึ ษาองคค์ วามรูใ้ หม่ และหาแนวทางวิธีการพฒั นา เมือ่ มีการทาวจิ ัยจะเกดิ ประโยชน์ตอ่
การจดั การเรยี นรผู้ ูส้ อนมกี ารพฒั นาความสามารถทางวชิ าชีพและประสทิ ธิภาพในการทางานมากข้ึน
(Kritin Heggen, Berit Karseth and Svein Kyvik, 2010)

ผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญการใช้งานวิจัยเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษาก็คือผู้บริหารใน
หน่วยงานทางการศึกษาทุกหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีเก่ียวข้องหรือรับผิดชอบในการบริหารและจัด
การศึกษาตามท่ี พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.
2545 ได้กาหนดไว้ในหมวด 5 ต้ังแต่ระดับกระทรวงจนถึงระดับสถานศึกษา แนวทางที่ผู้บริหารจะ
สามารถใช้การวิจัย เพอื่ พัฒนาการบริหารการศึกษาสามารถทาไดด้ งั นี้

1. ผู้บริหารเป็นผู้ทาวิจัยด้วยตนเอง และสามารถ ทาวิจัยร่วมกับผู้อื่นท่ีเกี่ยวข้อง
เช่นผสู้ อนจะชว่ ยใหผ้ ู้บรหิ ารสามารถกาหนดปัญหาไดต้ รงประเด็น และ สามารถศึกษาค้นคว้าหาแนว
ทางการแกป้ ัญหาให้เหมาะสมกบั บริบทของโรงเรียน อย่างมีระบบเช่ือถือได้ (รัตนา ดวงแก้ว, 2014)
นอกจากนยี้ งั เปน็ การพฒั นาทักษะและประสบการณ์ในการวจิ ัยและการบริหาร

2. ผู้บริหารศึกษาผลงานวิจัยของผู้อ่ืน แล้วนามาประยุคต์ใช้ในการพัฒนาการ
บริหาร การศกึ ษา โดยผบู้ รหิ ารจาเปน็ ต้องมที กั ษะ มีความสามารถในการวเิ คราะหผ์ ลงานวจิ ยั เพื่อมา
ปรับใช้ ให้เหมาะสมกับหนว่ ยงานหรือโรงเรียนท่ตี นรบั ผิดชอบ

ลกั ษณะของงานวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษาทีส่ ามารถนามาประยุคตใ์ ชพ้ ฒั นาการบริหาร
จดั การสถานศึกษามสี ามลักษณะใหญไ่ ดแ้ ก่

1. การวจิ ยั เพือ่ ศกึ ษารปู แบบ หรอื กลยุทธใ์ นการบริหารจดั การสถานศกึ ษา
2. การวจิ ัยเพอ่ื ศึกษาการพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรท่ีใช้ในการจัดการเรียนการ
สอน
3. วิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาให้มีความทันสมัยย่ิงขึ้น การศึกษา
ผลงานวิจัยทางการบริหารการศึกษาในปัจจุบันเป็นสิ่งท่ีทาได้สะดวกมาก สามารถสืบค้นข้อมูลจาก
แหล่งข้อมูลท้ังที่เปน็ เอกสารและจากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ท่ีมีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง อีก
ท้ังยังมีหน่วยงาน สถาบันการศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิอีกมากมายที่ยินดีให้คาแนะนาในการนา
ผลงานวจิ ัยมาใช้ประโยชน์

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 65

สรปุ การวจิ ัยเปน็ เครอื่ งมอื หนง่ึ ในการพัฒนาการเรียนรู้ของมนุษย์ นกั วิจยั จะได้องคค์ วามรู้
ใหม่ๆ เกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์ ทักษะในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ เมื่อนา
ผลงานวิจัยเผยแพร่สาธารณะแล้วก็จะเกิดประโยชน์ต่อคนท่ัวไป เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาเรียนรู้
อย่างกว้างสู่ขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการศึกษา การเรียนรู้ในยุคดิจิทัลจะประสบความสาเร็จไม่ได้เลย
หากไมม่ ีการวจิ ยั เขา้ มาช่วยในการคน้ หาความร้ใู หม่ ๆ อันจะนาไปสูก่ ารสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี
การวิจัยช่วยพัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาโดยใช้หลักการ ช่วยให้เข้าใจ มีความรู้
ความสามารถเท่าทันกับสถานการณข์ องสังคมโลกในปจั จบุ นั เปน็ สิ่งท่ีบง่ ชถี้ ึงศักยภาพของประชาชน
ในประเทศ ทาใหป้ ระเทศมีความมัน่ คงยง่ั ยนื ต่อไป จากท่ีกลา่ วมาในข้างตน้ ผ้เู ขียนสรุปภาพรวม การใช้
การวิจยั เพื่อการศึกษาและการเรียนรูท้ ่ีมีคุณภาพไดด้ งั นี้

การใชก้ ารวจิ ัยเพอื่ การศกึ ษาและการเรยี นรทู้ มี่ คี ณุ ภาพ

ภาพแสดงความสอดคลอ้ งการใช้การวจิ ยั เพือ่ การศกึ ษาและการเรยี นรทู้ ม่ี คี ณุ ภาพ
จากภาพการใช้การวิจัยเพ่ือการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ทาได้โดยผู้บริหารควร
กาหนดนโยบายเกย่ี วกบั การวจิ ยั เพือ่ พัฒนาการศกึ ษาที่ชัดเจน มกี ารส่งเสริมและสนับสนุนให้พัฒนา
ความรู้ ความสามารถในการทาวิจยั ใหแ้ กผ่ ู้บริหาร ครู คณาจารย์และควรจัดให้มีสิ่งสนับสนุนในการ
วิจัยและการนาผลการวิจัยไปใช้บุคคลท่ีมีส่วนเก่ียวข้องในการใช้การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพ
การศกึ ษาและการเรียนรู้มีสองกลุ่มใหญ่ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษาและผู้สอน นอกจากนี้ยังมีผู้ท่ี
อาจมีโอกาสและสนใจในการใช้การวิจัยทางการศึกษาอีกเช่นผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ
ที่สนใจเกี่ยวกบั คณุ ภาพการศึกษา การใช้การวิจัยเพ่ือการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสามารถ
ทา ได้สองลกั ษณะใหญ่คือการวิจยั เพือ่ พฒั นาการจดั การเรยี นรู้และการวิจยั เพือ่ พัฒนาการบริหาร
การศึกษา

การบรหิ ารวิชาการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 66

07

การพัฒนา

การใชส้ ่ือ นวัตกรรมและ
เทคโนโลยที างการศึกษายุคไทยแลนด์ 4.0
สังคมปัจจุบันเป็นสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ การเรียนรู้
ความรู้ และนวัตกรรม เป็นปัจจัยสาคัญในการพัฒนาและ
ส่งเสริมเพอื่ นาการเปลยี่ นแปลงสงั คมไทยเขา้ สู่ “Thailand 4.0”

“ การบรหิ ารวิชาการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 67

“สังคมปจั จบุ นั เปน็ สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้
(Knowledge-Based Economy) การเรียนรู้
ความรู้ และนวัตกรรมเป็นปัจจัยสาคญั ในการ
พัฒนาและสง่ เสรมิ เพอื่ นาการเปล่ียนแปลง
สงั คมไทยเขา้ สู่ “Thailand 4.0”

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 68

การพัฒนาการใชส้ ่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยที างการศึกษายุค
ไทยแลนด์ 4.0

สังคมปัจจุบันเป็นสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-Based Economy) การเรียนรู้
ความรู้ และนวัตกรรมเปน็ ปจั จยั สาคญั ในการพฒั นาและส่งเสริมเพอ่ื นาการเปล่ียนแปลงสังคมไทยเขา้
สู่ “Thailand 4.0” ที่ต้องการ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยไปสู่ “Value-Based
Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ ขับเคลอื่ นด้วยนวตั กรรม” ซ่ึงการท่ีจะพฒั นาประเทศไปสจู่ ดุ นน้ั ได้ การ
พัฒนากาลังคนเพ่ือขับเคลื่อน นโยบายถือว่าเป็นส่ิงที่มีความสาคัญและจาเป็นเป็นอย่างมาก ดังน้ัน
การพัฒนาคนโดยการสร้างนิสัย การเรียนรู้และวิธีคิด ตลอดจนการใช้ชีวิตและการทางานที่ต้อง
อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสารเพื่อใช้เป็นเครื่องมืออันสาคัญสาหรับการทางานใน
ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคใหม่ของพลเมืองดิจิทัล (Digital Native หรือ Digital Citizen คือคนที่มี
อายตุ ่ากวา่ 30 ปี) และผอู้ พยพส่โู ลกดิจิทลั (Digital Immigrant คือ คนท่ีมอี ายุ 30 ปีขนึ้ ไป) ท่ที างาน
เรียนรูแ้ ละใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์ดิจิทัลทั้งหลายเป็น
ตัวอานวยความสะดวกความสบายใน การใชช้ ีวติ การทางาน การเรียน และการสืบค้นความรู้ต่าง ๆ
ท่ีมีอยมู่ ากมายจากท้ังในห้องเรียนและ แหล่งเรยี นรูต้ า่ ง ๆ รอบตวั ในปัจจุบนั

จากการท่ีรัฐบาลได้ประกาศนโยบายการพัฒนาประเทศแบบ Thailand 4.0 ขึ้นมา ทาให้เกิด
กระแสการเปล่ียนแปลงขึ้นในทุกภาคส่วน ไม่เว้นแม้แต่ในระบบการศึกษาของไทย ซึ่งรูปแบบของการ
พฒั นาประเทศแบบ Thailand 4.0 น้ี เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ท่ีอธิบายถึงลักษณะการเปล่ียนแปลง
ทางเศรษฐกิจ จากยุคที่มีลักษณะของเศรษฐกิจที่เน้นภาคเกษตรกรรม (ยุค 1.0) มาเป็นยุคแห่งการ
พัฒนาเศรษฐกจิ ในภาคอุตสาหกรรมแรงงานขนาดเบา (ยุค 2.0) จนมาสู่ยุคการพัฒนาเศรษฐกิจใน
ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ท่ีมีความซับซ้อนด้วยเทคโนโลยี (ยุค 3.0) และสุดท้ายคือการก้าวสู่ยุค
แห่งการพฒั นาเศรษฐกิจเนน้ การขับเคลอ่ื นด้วยนวตั กรรมเฉกเชน่ ปจั จบุ นั ทเ่ี ราเรยี กกัน ยุค 4.0

หากนาวสิ ยั ทศั นเ์ ชิงนโยบายน้ี มาอธิบายในภาพรวมของระบบการศกึ ษาไทยจะกส็ ามารถแบง่
ได้เป็นยคุ ทง้ั 4 ยุคไดด้ งั นี้

1. การศกึ ษาในยุค Thailand 1.0 ดว้ ยความที่เป็นยคุ ท่เี พง่ิ เร่ิมต้นวางระบบการศึกษา ทาให้
ประชาชนทม่ี คี วามรู้มจี านวนจากัด ครูทีส่ อนตามโรงเรยี นต่างๆ นับว่าเป็นบคุ คลหนง่ึ ท่มี ีความรู้สู่งใน
ชุมชน การเรียนรใู้ นโรงเรียนส่วนใหญจ่ ึงเนน้ การบอกเลา่ โดยครผู ู้สอนเปน็ หลกั

2. การศึกษา ใน ยุค Thailand 2.0 เปน็ ยุคทม่ี กี ารนาเทคโนโลยเี ข้ามาชว่ ยเหลอื ครผู ูส้ อนใน
การจัดการเรียนการสอน มีการจัดทาสื่อการสอนส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ ซ่ึงทาให้ผู้เรียนมีความ
เข้าใจในเนอื้ หาวชิ ามากข้ึน แตค่ รผู ู้สอนกย็ งั เปน็ หลักในการถ่ายทอดความรอู้ ยู่

3. การศกึ ษา ใน ยคุ Thailand 3.0 จากการที่มีการพฒั นาเครือขา่ ยอนิ เตอร์เน็ต ทาให้ทุก
คนสามารถสืบค้นข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพาได้มากมาย ทาให้ยุคน้ี
เปน็ ของการสบื ค้น การทางานเปน็ กลุม่ ผู้เรยี นมีการปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างกัน ครูเปล่ียนบทบาทมาเป็น
ผู้แนะนา มีการใช้ส่อื สงั คมออนไลน์ (social media) เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาการเรียน
การสอนมากย่ิงข้ึน แต่มกี ารกลั่นกรองคอ่ นข้างนอ้ ย

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 69

4. การศึกษา ใน ยุค Thailand 4.0 เป็นยุคท่ีต่อเน่ืองจากยุคท่ีแล้ว เนื่องจากการท่ีผู้เรียนมี
ความสามารถในการใชส้ อ่ื เทคโนโลยีทส่ี งู่ ขน้ึ และเขา้ ถึงได้งา่ ยขน้ึ ส่งผลให้เกิดการนาเทคโนโลยเี หล่าน้นั
มาประยุกต์ใช้และส่งเสริมการเรียนรู้ มีการใช้สื่อและสังคมออนไลน์ท่ีมีวิจารณญาณมากขึ้น สร้าง
มลู คา่ สร้างนวตั กรรมทต่ี อบสนองต่อความตอ้ งการของตวั เอง ซึ่งบทบาทของครูในยุคนจ้ี ะต้องเป็น
โค้ชที่ช่วยท่ชี ว่ ยส่งเสรมิ องค์ความรูท้ ี่ผเู้ รียนเกดิ การจากเรียนรู้ด้วยตวั เอง

ผ้เู รยี น เรียนรู้ ผเู้ รยี น เรยี นรู้ ผเู้ รียน สรา้ งอง ผู้เรียน สรา้ ง
จากครู อาจารย์ ดว้ ยตนเอง ความรู้ด้วย นวตั กรรมเองได้
ตนเอง
ผู้สอน การศกึ ษา การศกึ ษา
2.0 การศกึ ษา 4.0
การศึกษา 3.0
1.0

ภาพวิวัฒนาการการศกึ ษา 4.0

การศึกษาในยุค Thailand 4.0 น้ัน เป็นยุคท่ีการศึกษาเป็นเร่ืองท่ีมากกว่าการเตรียมความ
พร้อมของคนหรือให้ความรู้กับคนเท่าน้ัน แต่เป็นการเตรียมมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ด้วย กล่าวคือ
นอกจากให้ความร้แู ล้ว จะตอ้ งสง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นรักท่ีจะเรียน มีคุณธรรม สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้
อย่างเหมาะสม ซึง่ ในการก้าวสกู่ ารศกึ ษาในยคุ Thailand 4.0 นน้ั กระทรวงศึกษาธกิ ารไดว้ างแนวทาง
ปฏริ ูปการศึกษาเพอ่ื ตอบสนองการพฒั นาไวด้ งั น้ี

1. พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เพ่ือช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารกับ
ต่างประเทศ

2. ส่งเสริมการเรยี นการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
3. พัฒนาทักษะและกระบวนการคดิ วิเคราะห์ให้ผเู้ รยี น
4. การปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ใหท้ นั สมัยสอดคล้องกบั โลกยุคใหม่
5. พัฒนาปรับปรุงตาราเรยี นให้มมี าตรฐาน 5 ดาว
6. บรหิ ารจดั การคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กอย่างเหมาะสม
7. พฒั นาบทบาทของครูจากผสู้ อนเปน็ โค้ช
8. การบรหิ ารจดั การคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ภายใต้โครงการโรงเรยี นดีใกล้บ้าน
จากท้งั หมดนี้ ถา้ เราวเิ คราะห์จากแนวทางปฏริ ูปของกระทรวงศึกษาธกิ ารแล้ว เราก็สามารถ
สรา้ งสรรคก์ ารศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้โดยใช้แนวคดิ ด้วยตอ่ ไปน้ี
1. สง่ เสรมิ การจัดการเรียนการสอนโดยใชส้ องภาษา

ทุกวนั น้ี ภาษาอังกฤษเขา้ มามบี ทบาทอย่างมาก การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ท่ี
มคี วามสอดคลอ้ งกันทงั้ สองภาษา จะทาใหผ้ ้เู รียนใช้ภาษาได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม และเคยชนิ กบั การ
ใชภ้ าษามาขนึ้ มีความกล้าที่จะใช้ ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของผู้เรียน เพราะภาษาโดยเฉพาะ
ภาษาต่างประเทศจะช่วยใหผ้ ้เู รียนเรยี นรู้ไดม้ ากขน้ึ ทาใหม้ โี ลกทัศนก์ ว้างขนึ้

การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 70

2. ใช้ STEM เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยี

การเรียนรู้แบบ STEM คือการนาเอาศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ วิทยาศาสตร์
(Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์
(Mathematics) มาบูรณาการรวมกันเพ่ือแก้ไขปัญหาหรือสร้างสรรค์ส่ิงต่าง ๆ ข้ึนมาตามโจทย์ที่
ผู้เรียนสนใจ ซ่ึงวิธีการน้ีจะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ และใช้ศาสตร์ความรู้ท้ัง 4 ด้าน มา
ประยกุ ตใ์ ช้ใหไ้ ด้องค์ความรู้หรอื นวตั กรรมใหม่ ซ่ึงนับว่าเป็นหัวใจหลักของการศึกษาในยุค Thailand
4.0

3. ส่งเสรมิ ทกั ษะ EF ในการพฒั นาทักษะการดาเนินชีวิต
EF (Executive Functions) เป็นกระบวนการทางความคิด ในสมองส่วนหน้า ที่

เกีย่ วขอ้ งกบั การคิด ความรสู้ ึกและการกระทา เช่น การยั้งใจคดิ ไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การ
ยืดหยุ่นทางความคิด และการตั้งเป้าหมาย รวมถึงการจัดลาดับความสาคัญของเรื่องต่าง ๆ ซึ่ง
นับว่าเป็นทกั ษะที่จาเป็นอย่างมากในโลกยุคปัจจบุ นั

4. การเรยี นรู้แบบโครงการสง่ เสรมิ กระบวนการคดิ อยา่ งเป็นระบบ
การเรียนรู้แบบโครงการจะช่วยให้ผู้เรียนกาหนดปัญหา สมมติฐาน ได้ร่วมมือกัน

วางแผนและใชค้ วามคดิ อย่างเปน็ ระบบตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้จาก
ขอ้ สรปุ ตา่ ง ๆ ท่ีเกดิ ขึ้น และนาไปสกู่ ารนาเสนอโครงการทส่ี ร้างสรรค์

5. ใช้เทคโนโลยเี ข้ามามีบทบาทในการจัดการเรยี นการสอน
เน้นให้ผเู้ รยี นใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณและเกิดประโยชน์ ส่งเสริมการเรียน

การสอนและมงุ่ หมายให้ผเู้ รียนเกิดองคค์ วามรู้ไดด้ ้วยตวั เอง
6. เนน้ การก้าวสูข่ ั้นของกระบวนการเรียนร้แู บบ Active Learning
กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning คือ กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียน

เรยี นรู้ดว้ ยการปฏบิ ัติ โดยมคี รคู อยเป็นโค้ชให้มากกว่าจะถ่ายทอดความรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นขั้นที่ทา
ให้ผู้เรียนมีความคงทนในความรู้ได้ถึงกว่า 100% เพราะเป็นข้ันของการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนนั้นเกิดองค์
ความรู้ได้ด้วยตัวเองจากการกระทาต่างๆ ซึ่งองค์ความรู้ท่ีผู้เรียนได้นี้เองจะทาให้ผู้เรียนเกิดการ
สร้างสรรค์นวตั กรรม

รูปแบบการเรยี นการสอนทีส่ อดคล้องกับแนวคิดการศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่ สามารถ
นาไปประยกุ ตใ์ ช้ได้ไมย่ ากนกั แมว้ า่ การกา้ วสู่ยุค 4.0 นัน้ ยงั ไม่มสี งิ่ ใดการนั ตีได้วา่ การเปลยี่ นแปลงนจ้ี ะ
เกดิ ผลทางบวกหรือทางลบกับประเทศไทย แตก่ ็ตอ้ งยอมรับว่า กระแสการเปลยี่ นแปลงท่ีรวดเรว็ ของ
ยุคสมัยนี้ ย่อมเป็นความกดดันที่จะต้องรีบเปลี่ยนถ่ายสังคมไทย จากยุค 3.0 ให้ไปสู่ยุค 4.0 ให้เร็ว
ที่สดุ เพ่ือเพ่มิ อานาจตอ่ รองกับนานาอารยประเทศในเรื่องต่างๆ ยิง่ เราเปลย่ี นถ่ายช้า การเตบิ โตของ
ประเทศก็จะชา้ ซง่ึ ไมเ่ ปน็ ผลดกี ับโลกทอ่ี ย่ใู นยุคสมัยแหง่ ความรวดเร็วเชน่ นี้

“ การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 71

“ เป้าหมายการจดั การศกึ ษาไทยในยคุ นี้ (ดิจิทัล) :
Thailand 4.0 เป็นการเตรยี มพรอ้ ม
สรา้ งคนไทย ยุคใหม่สโู่ ลกอนาคต

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 72

นวัตกรรมการและเทคโนโลยศี ึกษา 4.0

เปา้ หมายการจัดการศกึ ษาไทยในยุคน้ี (ดิจิทัล) : Thailand 4.0 เป็นการเตรียมพร้อม สร้าง
คนไทย ยุคใหม่สู่โลกอนาคต แผนพัฒนาการศึกษาชาติ 2560-2574 เพ่ือการปฏิรูปประเทศที่มุ่งสู่
ความมัน่ คง มัง่ คัง่ และยั่งยืน โดยต้องปฏริ ูปการศึกษาใน 5 ด้าน คือ ด้านการเข้าถึงโอกาสทางการ
ศกึ ษา ด้านความเทา่ เทยี มคณุ ภาพ ด้านการ ตอบโจทย์บรบิ ททเี่ ปลย่ี นแปลง ด้านความมปี ระสิทธภิ าพ
และผลลพั ธ์สดุ ท้ายคือสงั คมแห่งการเรียนรู้ และคณุ ธรรมมงุ่ สูก่ ารพัฒนาอย่างย่ังยืน และทักษะของ
เด็กไทยในศตวรรษที่ 21

การศกึ ษา 4.0 (ยคุ สรา้ งนวตั กรรม)

ความหมายของการศึกษา สร้างความรูจ้ ากความสนใจรายบคุ คลและจากการรวมตัวของ

คน ทมี ท่มี ีแรงผลกั ดนั เปน็ ทมี เชน่ ทมี ท่มี นี วัตกรรมเปน็ จุดเน้น

บทบาทของเทคโนโลยี เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปตามผู้เรียนซึ่งผู้เรียนเป็นแหล่ง

วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สาคัญในการสร้างนวตั กรรม

บทบาทด้านการสอน ขยายองค์ความรู้โดยการให้วงจรผลสะท้อนกลับจากการ

สร้างนวัตกรรมเชิงบวก ความรู้เกิดทุกที่ทุกเวลา ทั้งใน

ชีวติ ประจาวนั การเรียนและการทางาน

ลกั ษณะโรงเรยี น เรียนในโลกไร้พรมแดนท่ีมีการเชื่อมต่อเครือข่ายหรือท่ี ๆ มี

การสง่ เสริมการสรา้ งนวตั กรรมการเรียนรู้

มุ ม ม อ ง ผู้ ป ก ค ร อ ง ท่ี มี ต่ อ โรงเรียนเป็นสถานท่ีแห่งหน่ึงในหลายๆ แห่งที่สร้างนวัตกรรม

โรงเรยี น อย่างต่อเนอื่ งโดยนกั เรยี น ครู ผปู้ กครองฯลฯ

บทบาทครู ทกุ คน ทกุ หนแหง่ คอื ครู ครูคอื แหลง่ สรา้ งนวตั กรรมท่ีได้รับ

การสนับสนนุ โดยหุ้นสว่ นทางซอฟท์แวร์และความร่วมมือของ

มนษุ ย์

Hardware แ ล ะ Software ใ น ถูกพฒั นาเป็นนวัตกรรมทกุ วนั ซอฟท์แวร์นามาใช้เฉพาะบคุ คล

โรงเรยี น

ภาพลกั ษณบ์ ัณฑิตในมมุ มอง เปน็ เพ่อื นร่วมงานและผปู้ ระกอบการท่สี ามารถรกั ษาการสรา้ ง

ของนายจ้าง นวัตกรรมทม่ี จี ดุ เนน้ ให้ย่งั ยนื

การพัฒนาการใชส้ อ่ื นวตั กรรมและเทคโนโลยที างการศกึ ษายุคไทยแลนด์ 4.0 มี 3 มาตรการ

คือ

1. พัฒนา Digital Platform เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็น

รายบุคคล

2. เพ่ิมขีดความสามารถในการนา Digital Technology มาใชใ้ นการเรียนการสอนจนผู้เรียน

เกิดทักษะการนาส่ือสังคมออนไลน์ (social media) มาส่งเสริมการเรียนรู้ เรียนรู้แบบโต้ตอบผ่าน

โปรแกรมหรือแอพพลเิ คชนั่ ต่าง ๆ (Inter-active Learning)

3. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร และเครือข่ายในสถานศึกษาอย่างเป็น

ระบบและรวดเร็ว สะดวกแก่การใช้งานของผู้เรียน สื่อการเรียนการสอนเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญ

ประการหน่ึงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหา เกิดทักษะ

กระบวนการและความร้สู กึ นกึ คิดอันจะนาไปสกู่ ารบรรลุเปา้ หมาย

การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 73

หอ้ งเรยี นอจั ฉรยิ ะ (Smart Classroom)

ในปัจจุบนั ยุคทร่ี ะบบการศกึ ษาเปลีย่ นไปมกี ารเน้นผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ (Child Center) ผสู้ อนมี
หน าที่และบทบาทในการแนะนาแนวทางการเรียนด้วยจุดมุ่งหมายท่ีต้องการเน้นให้ผู้เรียนศึกษาหา
ความรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีมีอยู่มากมาย สร้างนิสัยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและทันต่อ
เหตุการณ์ในปัจจุบัน ดังน้ัน เทคโนโลยีและเคร่ืองมือต่าง ๆ จึงเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการ
ช่วยเหลือและตอบสนองการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน การคานึงถึงวิธีการเรียนรู้ เคร่ืองมือท่ีใช้รวมทั้ง
สภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ท่ีจะสามารถต่อยอดไปสู่การทางานในอนาคตได้ เทคโนโลยี
สารสนเทศและเทคโนโลยนี วัตกรรมทางการศึกษาจึงถูกนามาบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนใน
หลายโรงเรียนหลายสถาบันเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ในทุกระดับชั้น ส่ิงเหล่านี้ส่งผล
กระทบให้เกดิ การปรบั เปลยี่ นหอ้ งเรยี นแบบเดมิ ทเี่ คยใช้ในอดตี ไปสหู่ ้องเรียนทเี่ น้นการมีปฏสิ ัมพนั ธ์และ
การมีส่วนร่วมของผูเ้ รยี น ซึ่งเรยี กห้องเรยี นลักษณะนวี้ ่า “ห้องเรยี นอจั ฉรยิ ะ (Smart Classroom)”

ความหมายของห้องเรียนอัจฉริยะ นิยามของคาว่า “ห้องเรียนอัจฉริยะ” หรือ Smart
Classroom อาจมีชื่อท่ีมีความหมาย ใกล้เคียงกันหลายคา ซ่ึงการต้ังช่ืออาจต้ังตามลักษณะของ
ห้องเรียนหรือจุดประสงค์ของการใช้ เช่น Electronic Classroom (e-Classroom), e-Learning
Classroom, Virtual Classroom, Collaborative Classroom, Computer Classroom หรือ ICT
Room ซงึ่ ช่อื ทใี่ ช้เรียกเหลา่ นี้ลว้ น แตม่ ีความหมายและประโยชน์ในการใช้งานเพื่ออานวยความสะดวก
และใชเ้ พื่อจดั การเรียนการสอน ในลกั ษณะเดยี วกนั ทงั้ ส้ิน โดยการกาหนดกรอบมโนทัศน์ (Concept)
ท่ีบ่งบอกถึงความหมายของ คาว่า Smart Classroom มาจากคาว่า SMART ซึ่งประกอบด้วยอักษร
5 ตัว ท่แี สดงให้เหน็ มิติด้านตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้

1. S : Showing มติ ิของความสามารถในการนาเสนอข้อมลู สารสนเทศในการเรียน
การสอนผ่านสอื่ เทคโนโลยกี ารสอนเป็นคุณลกั ษณะท่ีเรียกว่า “คุณลักษณะทางปญั ญา” (Cognitive
Characteristic)

2. M : Manageable มิติด้านความสามารถในเชิงบริหารจัดการ ซึ่งคุณลักษณะ
ดังกล่าว น้ีเป็นการบริหารจัดการด้านสื่อ วัสดุอุปกรณ์ การจัดระบบการสอนรวมทั้งแหล่ง
ทรัพยากรและ สภาพแวดล้อมของการใช้ห้องเรยี นอัจฉริยะ

3. A : Accessible มิติด้านความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการเรียนรู้
จาก การใช้ห้องเรียนอจั ฉริยะผา่ นสอื่ ทมี่ ีอยหู่ ลากหลาย

4. R : Real-time Interactive มิติในเชิงปฏิสัมพันธ์ในการสร้างประสบการณ์ทาง
การเรียนการสอนโดยครูรวมท้ังการเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เชิงโต้ตอบในห้องเรียน
อัจฉรยิ ะดังกลา่ ว

5. T : Testing มิติด้านการทดสอบ ซึ่งเป็นการตรวจสอบเชิงคุณภาพในการจัด
กจิ กรรม การเรียนหรือการตรวจสอบพฤตกิ รรมทางการเรยี นจากการใช้หอ้ งเรียนอจั ฉริยะ

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 74

หอ้ งเรยี นอจั ฉรยิ ะ (Smart Classroom)

ในปัจจุบันยุคทร่ี ะบบการศกึ ษาเปล่ียนไปมกี ารเน้นผูเ้ รยี นเปน็ สาคัญ (Child Center) ผ้สู อนมี
หน าที่และบทบาทในการแนะนาแนวทางการเรียนด้วยจุดมุ่งหมายท่ีต้องการเน้นให้ผู้เรียนศึกษาหา
ความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่มากมาย สร้างนิสัยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและทันต่อ
เหตุการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น เทคโนโลยีและเคร่ืองมือต่าง ๆ จึงเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการ
ช่วยเหลือและตอบสนองการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน การคานึงถึงวิธีการเรียนรู้ เคร่ืองมือที่ใช้รวมทั้ง
สภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ท่ีจะสามารถต่อยอดไปสู่การทางานในอนาคตได้ เทคโนโลยี
สารสนเทศและเทคโนโลยนี วัตกรรมทางการศึกษาจึงถูกนามาบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนใน
หลายโรงเรียนหลายสถาบันเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ในทุกระดับช้ัน สิ่งเหล่าน้ีส่งผล
กระทบใหเ้ กิดการปรับเปลยี่ นหอ้ งเรียนแบบเดิมทเ่ี คยใช้ในอดีตไปสหู่ อ้ งเรียนท่ีเนน้ การมปี ฏสิ มั พันธ์และ
การมีส่วนร่วมของผู้เรียน ซ่งึ เรยี กหอ้ งเรยี นลักษณะนว้ี ่า “หอ้ งเรียนอัจฉรยิ ะ (Smart Classroom)”

ความหมายของห้องเรียนอัจฉริยะ นิยามของคาว่า “ห้องเรียนอัจฉริยะ” หรือ Smart
Classroom อาจมีช่ือท่ีมีความหมาย ใกล้เคียงกันหลายคา ซึ่งการต้ังช่ืออาจตั้งตามลักษณะของ
ห้องเรียนหรือจุดประสงค์ของการใช้ เช่น Electronic Classroom (e-Classroom), e-Learning
Classroom, Virtual Classroom, Collaborative Classroom, Computer Classroom หรือ ICT
Room ซงึ่ ชื่อท่ใี ช้เรยี กเหล่านลี้ วน แตม่ ีความหมายและประโยชนใ์ นการใชง้ านเพอ่ื อานวยความสะดวก
และใช้เพื่อจัดการเรียนการสอน ในลักษณะเดยี วกนั ทัง้ ส้นิ โดยการกาหนดกรอบมโนทัศน์ (Concept)
ทีบ่ งบอกถงึ ความหมายของ คาวา่ Smart Classroom มาจากคาวา่ SMART ซึง่ ประกอบดว้ ยอักษร
5 ตัว ทีแ่ สดงให้เหน็ มติ ิดา้ นต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้

1. S : Showing มิติของความสามารถในการนาเสนอข้อมลู สารสนเทศในการเรียน
การสอนผา่ นสอ่ื เทคโนโลยกี ารสอนเป็นคุณลกั ษณะทเี่ รียกว่า “คุณลักษณะทางปญั ญา” (Cognitive
Characteristic)

2. M : Manageable มิติด้านความสามารถในเชิงบริหารจัดการ ซ่ึงคุณลักษณะ
ดังกล่าว น้ีเป็นการบริหารจัดการด้านสื่อ วัสดุอุปกรณ์ การจัดระบบการสอนรวมท้ังแหล่ง
ทรัพยากรและ สภาพแวดลอ้ มของการใช้หอ้ งเรียนอจั ฉรยิ ะ

3. A : Accessible มิติด้านความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการเรียนรู้
จาก การใช้หอ้ งเรยี นอจั ฉรยิ ะผ่านส่ือท่มี อี ยหู่ ลากหลาย

4. R : Real-time Interactive มิติในเชิงปฏิสัมพันธ์ในการสร้างประสบการณ์ทาง
การเรียนการสอนโดยครรู วมท้ังการเรยี นร้ผู า่ นส่ือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เชิงโต ตอบในห้องเรียน
อจั ฉรยิ ะดังกล่าว

5. T : Testing มิติด้านการทดสอบ ซ่ึงเป็นการตรวจสอบเชิงคุณภาพในการจัด
กจิ กรรม การเรยี นหรอื การตรวจสอบพฤติกรรมทางการเรียนจากการใชห้ ้องเรยี นอจั ฉรยิ ะ

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 75

T: Testing S: Showing

R: Real-time M: Manageable
Interactive

A: Accessible

ภาพกรอบมโนทศั นข์ องห้องเรียนอจั ฉรยิ ะ

IoE เทคโนโลยใี หมข่ อง Smart Classroom 4.0

Internet of Everything (IoE) หรืออินเทอร์เน็ตในทุกสรรพส่ิงเป็นคาที่ถูกบัญญัติขึ้น มี
ความหมาย คอื ทกุ ส่งิ หรอื ทุกสรรพสงิ่ ในชีวิตประจาวันของเราส่วนใหญ่ท่ีเป็นอุปกรณ์ดิจิทัลล้วนมี
การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่เฉพาะแค่คอมพิวเตอร์หรือ Tablet, Smart Phone เท่านั้น แต่ใน
อนาคตจะรวมไปถึงอุปกร์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ท่ีมนุษย์ใช้อยู่ในชีวิตประจาวันด้วย
เช่น นาฬิกา แว่นตา ตู้เย็น Smart TV และ Smart Device อื่น ๆ ในอดีตก่อนท่ีจะมีเทคโนโลยี
อินเทอร์เน็ต ออฟ เอเวอรี ธิงนั้น (IoE Technology) ได้มี เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิง (IoT
Technology) หรืออินเทอร์เน็ตในสรรพส่ิงขึ้นมาก่อน ซึ่งอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิง นี้ถูกคิดค้นโดย
Kevin Ashton ในปี 1999 ภายใตโ้ ครงการทม่ี ชี ื่อ “Auto-ID Center” ที่มหาวิทยาลัย Massachusetts
Institute of Technology จากเทคโนโลยี RFID ท่จี ะทา ใหเ้ ป็นมาตรฐานระดบั โลกสาหรับ RFID Sensors
ต่าง ๆ ท่ีจะเชื่อมต่อกันได้ โดยสาหรับคานิยามของ IoT น้ี Kevin Ashton ได้กล่าวไว้สั้นๆ ว่า
“internet-like” หรือการท่ี อุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ต่าง ๆ สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้เอง ซ่ึงศัพท์
คาวา่ “Things” น้ี ก็คอื อปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์น้ันเอง การใชง้ านเทคโนโลยี IoT อาศัยหลักการท่สี ิง่
หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้เชื่อมโยง เข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทาให้มนุษย์สามารถ
มองเห็น สั่งการ ควบคุมการใช้งานส่ิงหรืออุปกรณ์ ต่าง ๆ ได้ เช่น การสั่งเปิด -ปิด อุปกรณ์
เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เคร่ืองมือสื่อสาร เคร่ืองใช้สานักงาน เคร่ืองมือทาง
การเกษตร เคร่ืองจักรในโรงงานอุตสาหกรรม อาคาร บ้านเรือนเคร่ืองใช้ในชีวิตประจาวันต่าง ๆ
ผ่านทางอปุ กรณพ์ กพา (Smart Device) ท่เี ชอื่ มตอ่ กบั เครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ ได้ เป็นตน้

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 76

ภาพการเชื่อมตอ่ ของThing ในชวี ติ ประจาวัน
ในปจั จุบนั และตอ่ ไปในอนาคตอันใกลน้ เี้ ทคโนโลยี IoT ท่ีอาศยั หลักการทางานประสานกัน ของ
อุปกรณ์แบบSensor Nodes และแบบโครงข่ายเชื่อมต่อแบบ IP Network ประกอบกับการใช้ การ
เรยี นเสรมิ ด้วย Cloud Computing หรือการประมวลผลบนกลมุ่ เมฆทผ่ี ูใ้ ช้สามารถเรยี กใช้ ซอฟต์แวร์
,ระบบ และทรัพยากรของเครือ่ งคอมพิวเตอรข์ องผใู้ ห้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดย สามารถเลือก
กาลังการประมวลผล เลือกจานวนทรัพยากรได้ตลอดเวลา จึงทาให้รูปแบบของ ห้องเรียนอัจฉริยะ
เปลี่ยนแปลงไป สง่ ผลให้การเรยี นการสอนมกี ารสง่ เสริมการเรยี นรูแ้ ละสนบั สนุน การเรยี นแบบเชงิ รกุ
(Active Learning) ที่ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้า ค้นพบ และสร้างองค์ความรู้ ใหม่ได้ด้วยตนเอง
ผู้สอนสามารถใช้เทคนิคการเรียนการสอนแบบเชิงรุกในลักษณะของห้องเรียนกลับ ด้าน (Flipped
Classroom) โดยใช้อุปกรณ์ (Device) ของตนเองเช่ือมโยงเข้าถึงการใช้บริการด้วย Cloud
Computing เพ่ือสร้างการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์และมีความคิดเช่ือมโยงหรือจัดกลุ่ม ส่ิงที่
เรยี นร้ใู หมใ่ ห้สัมพันธก์ ับความรู้เก่าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนคอยทาหน้าท่ีดูแลแนะนา (Coaching) ทา
ให้ผู้เรียนต้ังใจเรียนรู้ คิด และสามารถเช่ือมโยงส่ิงที่เรียนรู้ใหม่ให้มีความสัมพันธ์กับความรู้เก่าของ
ตนเองได้ เกิดการเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย เกิดการเรียนรู้โดยการค้นพบอย่างมี
ความหมาย ผู้เรียนได้คิดอย่างสร้างสรรค์และเข้ากับบริบทของโลกท่ีได้เปล่ียนแปลงไปตามแนวคิด
ของการจัดการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21

ภาพ การสร้างระบบแวดลอ้ มการเรยี นรโู้ ดยใช้ IoE Technology & Cloud Computing

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 77

จากความสาคัญของเทคโนโลยี Internet of Everything ซึ่งสามารถนามาประยุกต์ใช้สร้าง
ระบบอานวยความสะดวก บันทึก ประมวลผล และสามารถอานวยความสะดวกในการใช้งานเพื่อ
ผู้เรียนผู้สอนได้มีเวลาและความสะดวกในการเรียนรู้มากข้ึน ประกอบกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
Cloud Computing ซึง่ เปน็ ระบบทผี่ ู้เรยี นและผู้สอนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลาและมคี วามสะดวก เปน็
ประโยชน์กับผู้เรียนรุ่นใหม่และสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการเรียนรู้ท่ีไม่ใช่แค่การเรียนรู้แบบท่องจา
แต่เป็นการเรียนรู้แบบมีความหมายเพ่ือสร้างสรรค์และพัฒนาทักษะท่ีจาเป็นสาหรับการใช้ ชีวิตใน
ศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงเทคโนโลยี Internet of Everything สาหรับห้องเรียนอัจฉริยะ 4.0 นั้น สามารถ
นามาประยุกต์และออกแบบการจัดการเรียนการสอนได้เป็น 3 ระบบ ดงั น้ี

1. ระบบ IoT Smart Check in คือ การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แก่ การทาป้ายช่ือ
อิเล็กทรอนิกส์มีอุปกรณ์ตรวจวัด (Sensor) คอยตรวจจับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ แล้วรายงานให้
ผู้เรียน/ ผู้สอนรับทราบข้อมูลด้วย Smart Device ของตนเอง เช่น เวลาการเข้า-ออกห้องเรียน
สุขภาพความ พร อมของผเู้ รียน อณุ หภูมิของหอ้ งเรียน สถิติผลการเรยี น ฯลฯ และขอ้ มูลทง้ั หมด
จะถูกรวบรวมข้ึน ไปเก็บไว้บน Cloud เพื่อให้ผู้สอนเข้ามาใช้ข้อมูลสาหรับวิเคราะห์และออกแบบการ
จัดการเรยี น การสอนหรอื ออกแบบการเรยี นร้ใู นคร้ังต่อไป

2. ระบบ IoT Smart Camera คือ ระบบการสังเกตและเก็บข้อมูลในลักษณะภาพน่ิงและ
ภาพเคลอื่ นไหวในห้องเรียน ซง่ึ สามารถส่ังการและควบคุมจากผู้สอนเพ่ือเชค็ ดสู ภาพแวดล้อม ความ
พร อม ความปลอดภัย และสังเกตกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านกล้องที่ติดต้ังไว้ ทั้งนี้ยังใช้
เปน็ ระบบการประชมุ ทางไกลไดอ้ ีกด้วย

3. ระบบ IoT Smart Office คือ ระบบที่คอยอานวยความสะดวกให้ผู้สอนและผู้เรียนในการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ซ่ึงประกอบไปด้วยอุปกรณ์ใช้งานพื้นฐานในออฟฟิศ ได้แก่ คอมพิวเตอร์
สแกนเนอร์ กระดานอจั ฉริยะ ปริ้นเตอร์ 3 D หรืออปุ กรณอ์ นื่ ๆ ที่ตอ้ งการจัดเปน็ สภาพแวดลอ้ มยบู ิ
ควิ ตสั โดยใช้เทคโนโลยี IoE เพิม่ เตมิ ตามความต้องการ งบประมาณ และความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี
ในปัจจุบนั

ภาพการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาชว่ ยสรา้ งสภาพแวดลอ้ มการเรยี นรู้

“ การบรหิ ารวิชาการกบั การจดั การในยคุ เทคโนโลยี 4.0 78

“ การปรับตวั ของภาคการศึกษาควรเป็นไปตาม
เปา้ หมายของเทรนด์การเรยี นร้ทู ี่เนน้ ทกั ษะ
มากกวา่ การเรยี นรตู้ ามระบบหรอื ตามหลกั สูตร

การบรหิ ารวิชาการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 79

การพัฒนาการใชส้ ่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยดี ้านการสอนในยคุ โควิด-19

การแพร่ระบาดไวรสั โควิด 2019 เด็กและเยาวชนจานวน 1.8 พันลา้ นคนไดร้ ับผลกระทบ จาก
การปิดช่ัวคราวของสถานศึกษากว่า 180 ประเทศ ในประเทศไทยได้ใช้มาตรการเว้นระยะห่าง ทาง
สังคม (Social Distancing) เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัส โดยการปิดสถานท่ีสาธารณะ รวมทั้ง
โรงเรียน และมหาวิทยาลัย เพ่ือหลีกเล่ียงการรวมตัวกันของกลุ่มคนจานวนมาก ส่งผลให้ภาคของ
การศึกษาจาเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการศึกษาเป็นวิธีการสอนทางไกลด้วยแหล่งเรียนรู้
ออนไลน์ (Online learning platform) เช่น Massive Open Online Courseware (MOOC) หรือ
แอปพลิเคชันท่ีช่วยให้ผู้สอนจัดการเรียนในห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หรือใช้การ
ถ่ายทอดการสอนผ่านสัญญาณโทรทศั น์ เพอื่ ให้เด็กสามารถเรียนตอ่ ทีบ่ า้ นไดข้ ณะปดิ โรงเรียน

นอกจากผลกระทบจากภาวการณ์แพร่ระบาดของไวรัสแล้ว การพลิกผัน (Disruption)ใน
ด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจส่งผลให้ภาคการศึกษาจาเป็นต้องปรับเปล่ียนแบบก้าวกระโดด การ
จัดการเรียนการสอนต้องเน้นไปท่ีการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถตอบโจทย์
ความตอ้ งการของตลาดแรงงานซ่ึงมปี ัจจัยการเพม่ิ ทกั ษะและความชานาญในการประกอบอาชีพเป็น
ส่ิงที่สาคัญมากข้ึนเรื่อย ๆ การออกแบบหลักสูตรหรือเนื้อหาการเรียนการสอนท่ีใช้เทคโนโลยีเป็น
สื่อกลางนัน้ จึงจาเปน็ ต้องจัดรูปแบบให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยผู้สอนทาหน้าที่อานวยความสะดวก
(facilitate) สถานศกึ ษาและหน่วยงานทเ่ี กยี่ วข้องทาหนา้ ท่ีสนบั สนนุ นวัตกรรม รวมไปถึงทรัพยากรท่ี
จาเป็นต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษาในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มี
คุณภาพ จึงถือเป็นความท้าทายของการปรับเปล่ียน ที่ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าใน
สถานการณ์โควิด-19 เท่าน้ัน แต่ควรเป็นการ “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” ในการพัฒนาคุณภาพ
การเรยี นการสอนใหด้ ีกว่าเดมิ โดยมโี อกาสและปัจจยั เสี่ยงสาคัญทีต่ ่อการสรุปผลเพื่อวางแผนดังน้ี

โอกาสของการศกึ ษาไทยหลังหลงั ภาวะโควดิ 2019
ในโลกแห่งเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง อีกท้ังโควิดที่ได้เข้ามาเร่ง Adoption ของการใช้
เทคโนโลยีในภาคการศึกษา ทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมีความต้องการบริการ Online learning
platform ทัง้ ในลกั ษณะทส่ี ถาบนั การศกึ ษาพฒั นาขึน้ เอง หรอื มผี ูพ้ ัฒนาระบบเพอ่ื ให้ใช้ รว่ มกนั ซง่ึ จะ
ทาให้เกิด Startups เพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการใช้บริการการเรียน ทางไกล เช่น
Microsoft teams, Google classroom, Zoom, Coursera, edX, Udemy และ MOOC เป็นต้น หรือ
การเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง การเรียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาท่ีสาม จาก เจ้าของภาษาโดย
ตรงท่อี ยูอ่ ีกซีกโลก เช่น Voxy, Engoo เปน็ ต้น เพอ่ื ตอบสนองรูปแบบวธิ ีการ เรยี นรู้วิถีใหมข่ องการ
เรยี นรู้ของสาหรับบุคคลไปในทิศทางที่ประสงคไ์ ดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ โดย เทคโนโลยีมีบทบาทสาคัญ
ในการจดั การเรียนร้ใู หม้ ีความเฉพาะเป็นส่วนบคุ คล (Personalized Learning)
จากข้อมูลรูปแบบวิธีการเรียนรู้แบบใหม่สามารถสรุปนาไปสู่การวางแผนหรือไตร่ตรองทั้ง
ความเส่ยี งทอี่ าจเกิดข้นึ ในการป้องกันและโอกาสทส่ี ร้างประโยชน์มีต่อการปรับเปลี่ยนภาคการศึกษา
มีรายละเอยี ดดงั นี้

1. การจัดการเรียนแบบผสมผสานระหว่างในห้องเรียนจริงกับการเรียนทางไกลจะ
ได้รับความนิยมมากข้ึนในอดีตการศึกษาแบบระบบปิดเป็นส่ิงท่ีหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในอนาคตคนจะ
ยอมรับได้กับการเรียนการสอนแบบ Blended learning โดยไม่ต้องเจอตัวคนเรียนคนสอนแบบ

การบรหิ ารวชิ าการกบั การจัดการในยคุ เทคโนโลยี 4.0 80

เป็นๆ ต่อหน้าท้ัง 100% ของทั้งรายวิชา แต่ยังคงได้ Learning experiences ท่ีดีกว่าเดิม ท้ังคน
สอนและคนเรียนจะปรับตัวไปตามเทคโนโลยีการศึกษารูปแบบ Online learning platform ได้ ปรับให้
เหมาะสมกบั การจดั การเรียนการสอนแบบวถิ ใี หม่ จงึ ทาใหเ้ ปน็ ทย่ี อมรับมากยง่ิ ข้ึน

2. การปรบั ตวั ของวชิ าชีพครู จะได้รับการยกย่องมากขึ้น โดยปกติคุณครูจะได้รับ
การ ยกย่องอยู่แล้วว่าเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2 ของนักเรียน ช่วยกล่อมเกลาให้ความรู้เพ่ือให้
เยาวชนของเราเป็นทง้ั พลเมอื งที่ดีและเก่ง ซ่ึงเป็นท่มี าวา่ เราไม่ควรยกเลกิ การเรยี นแบบ Face-to-face
learning ยง่ิ ถ้าโรคระบาดยังอยู่แม้ไม่รุนแรง และมีการอนุญาตให้เปิดการเรียนการสอนได้เท่ากับว่า
พ่อแม่ผู้ปกครองฝากความปลอดภัยของลูกหลานไว้ท่ีครู ในขณะเดียวกันครูก็ต้องยกระดับความรู้
ทกั ษะดา้ น Online learning ของตนเองอกี เพอื่ ใชส้ อนเดก็ ๆ กถ็ ือวา่ เป็นงานทีห่ นักมาก ๆ

3. สรรพวชิ าจะถูกปรับคณุ ภาพและพัฒนาข้ึนมาใหม่อยา่ งมาก การพัฒนาส่ือการ
เรียนรู้ท่ีไปกับโลกยุคใหม่และเก็บรวบรวมอยู่ในฐานความรู้จะถูกจัดทาขึ้นทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก
รวมทั้งนาไปขน้ึ ในระบบ Online learning ซึง่ นอกจากนกั เรยี นและครูจะใช้ไดแ้ ลว้ ผูป้ กครอง ผบู้ ริหาร
สถานศกึ ษาและผเู้ กยี่ วข้องจะสามารถเข้าไปดูยอ้ นหลังถึงความเหมาะสม ประสิทธิภาพ และมีลักษณะ
เชิงสาธารณะมากข้ึน ทั้งนี้รวมถึงการเรียนรู้แบบข้ามศาสตร์แต่ละสาขาวิชาควรจะมีความเชื่อมโยง
มากขึ้น ซึ่งต้องทาความเข้าใจก่อนว่าการเรียนแบบข้ามสาขาไม่ใช่แค่การเรียนหลายสาขาเท่านั้น แต่
ต้องรวู้ ่าตอ้ งเช่อื มโยงหลายสาขาอย่างไร เพื่อใหเ้ กิดความสมั พันธ์ใหม่ แล้วนาไปสกู่ ารคดิ ค้นใหม่ โดย
เทคโนโลยีเป็นศาสตร์หน่ึงท่ีจะต้องนาเข้ามาเรียนร่วมกับศาสตร์อื่น ๆ เช่น การเรียนสังคมวิทยาใน
อนาคต การลงพื้นที่อาจไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องใช้เทคโนโลยีช่วยประมวลผลข้อมูลให้เข้าใจทั้ง
ภาพใหญแ่ ละภาพเล็กไปพร้อมกนั

4. ความร่วมมือในเร่ืองการศึกษาจะมีมากข้ึนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผล ในอนาคตจะเกิดความรว่ มมอื มากขนึ้ ระหว่างครู ผ้พู ฒั นาเนือ้ หา เป็นต้น ในลักษณะข้าม
สถานศึกษาในระบบ Online learning อาจช่วยแบ่งปันครูที่ชานาญและสอนเก่งในวิชาหน่ึงไป ยัง
โรงเรียนอ่ืน ๆ หรือใช้เนื้อหาร่วมกันเพื่อประหยัดเวลาในการพัฒนา สามารถถกเถียงแลกเปล่ียน
ความรูร้ ะหว่างสานกั ทฤษฎีต่าง ๆ ภายในศาสตรไ์ ด้ และเชื่อมโยงระหวา่ งสาขาอืน่ ชว่ ยให้ลด ชอ่ งว่าง
ของศาสตร์ความรู้ สามารถพฒั นาส่วนอืน่ ๆ ทีข่ าดอยู่ให้เกดิ ความก้าวหนา้ มากยง่ิ ข้นึ ต่อไป

สรุป ภาพรวมของโอกาสทางการศึกษาไทยหลังสภาการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ได้สร้าง
ภาวะความปกตใิ หมใ่ หก้ บั ภาคการศึกษาอย่างก้าวกระโดด เมื่อวิเคราะห์จากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นทา
ให้ทราบถึงปจั จยั ทีส่ าคัญที่ช่วยให้รอดพ้นจากภาวะวกิ ฤต หากมองในโจทยร์ ะยะยาวแล้ว การปรับตัว
ของภาคการศกึ ษาควรเปน็ ไปตามเปา้ หมายของเทรนดก์ ารเรยี นร้ทู เ่ี นน้ ทกั ษะ มากกวา่ การเรียนรูต้ าม
ระบบหรือตามหลักสูตร ซึ่งปรากฏให้เห็นถึงเห็นคอร์สเรียนเก่ียวกับทักษะใหม่ ๆ เรียนรู้จาก
ผเู้ ช่ียวชาญหรือ Expert โดยตรง ใช้เวลาเรียนสั้นและสามารถนาทักษะน้ันมาใช้ได้ทันที แตกต่างจาก
การเรยี นรู้ตามระบบท่ีใช้เวลานาน ความรู้ทไ่ี ดจ้ ะเปน็ ความรอบรแู้ บบรอบด้านไม่ เจาะจงลงไปในศาสตร์
ใดศาสตรห์ นึง่ การศกึ ษาคน้ ควา้ ถงึ ข้อเทจ็ จริงจาเป็นต้องศาสตร์อื่น ๆ เข้ามาร่วมในการศึกษาด้วย
ดังน้ันการปรับตัวภาคการศึกษาของภาคการศึกษาในข้างต้นให้เกิดประสิทธิภาพอันรวม ไปถึงด้าน
การให้สนับสนุนกับผู้เรียนโดยตรง เช่น การพัฒนาหลักสูตรท่ียืดหยุ่น นวัตกรรมสื่อการ สอนที่ใช้
ทดแทนหรือเสริมการเรียนปฏิบัติการ และการพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้ล้วน
เปน็ การตอบโจทย์ทส่ี ามารถพลกิ วกิ ฤตใหเ้ ปน็ โอกาสของการศกึ ษาไทยในระยะยาวไดอ้ ย่างย่ังยนื

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 81

การจดั และพัฒนาระบบ

การประกันคณุ ภาพการศึกษา

สถานศึกษาจะต้องจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพ
การศึกษาภายในสถานศึกษา เพื่อสร้างความม่ันใจ
ให้แก่ผู้ที่เก่ียวข้องว่า ผู้เรียนทุกคนจะไดร้ ับการศึกษา
ท่ี มี คุ ณ ภ า พ จ า ก ส ถ า น ศึ ก ษ า เ พ่ื อ พั ฒ น า ค ว า ม รู้
ความสามารถและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตาม
มาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ เพ่ือการประเมิน
คุณภาพภายนอก ระดับการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 82“

“ คุณภาพการศกึ เป็นภาพสะท้อนถึง
คณุ ภาพคนทีเ่ ป็นผลผลิตของการจัด
การศกึ ษา ในบริบทของสังคมไทยปัจจบุ ัน

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 83

08

แนวคิดและหลักการเก่ียวกบั

การประกันคณุ ภาพการศึกษา

การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เป็นกระบวนการกาหนด
มาตรฐานคุณภาพของผู้เรียนที่เป็นเป้าหมาย รวมท้ัง
มาตรฐานกระบวนการ การดาเนินงานและปัจจัยที่
เกี่ยวข้องกับการจดั การศกึ ษาที่เช่ือวา่ จะสามารถส่งผลให้
การจดั การศึกษาบรรลเุ ป้าหมาย

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 84

แนวคิดและหลกั การเก่ียวกับการประกันคุณภาพการศกึ ษา

การประกนั คุณภาพการศึกษา เปน็ กระบวนการดาเนินงานตามภารกจิ ของสถานศกึ ษา เพื่อ
สรา้ งความมน่ั ใจให้กบั นกั เรยี น ผู้ปกครอง ชมุ ชนและสงั คมโดยรวมว่าการดาเนินงานของสถานศึกษา
จะมีประสิทธิภาพและทาใหผ้ ู้เรยี นมีคณุ ภาพ หรอื คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ตามมาตรฐานการศึกษา
ท่ีได้กาหนดไว้ องค์ประกอบของระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วยการพัฒนา
คุณภาพการศกึ ษา การติดตามการตรวจสอบเพ่ือควบคุมคุณภาพการศึกษา การประเมินคุณภาพ
การศึกษา ซ่ึงรวมถึงการใช้ผลประเมนิ เป็นฐานเพอื่ การพัฒนาคณุ ภาพในวงจรการพัฒนาใหม่อย่าง
ต่อเนื่อง

การพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา เป็นกระบวนการกาหนดมาตรฐานคณุ ภาพของผู้เรียนที่เป็น
เป้าหมาย รวมทั้งมาตรฐานกระบวนการ การดาเนินงานและปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาท่ี
เชอ่ื ว่าจะสามารถสง่ ผลใหก้ ารจัดการศึกษาบรรลุเป้าหมาย ท้ังนี้ในระหว่างดาเนินงานจัดการศึกษาสู่
เป้าหมาย สถานศึกษาและหนว่ ยงานตน้ สังกดั จาเปน็ ตอ้ งมีการพฒั นากลไกในการติดตามตรวจสอบ
คณุ ภาพการศกึ ษาดา้ นกระบวนการบรหิ ารและการจัดการ ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่
เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั และดา้ นคณุ ภาพผู้เรียน โดยบุคคลภายในสถานศึกษาและภายนอกสถานศึกษา
เพอ่ื ใหม้ ่ันใจไดว้ า่ จะสามารถพฒั นาผู้เรยี นทมี่ คี ุณภาพตามเปา้ หมายที่กาหนด
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท้งั นส้ี ถานศกึ ษาตอ้ งมกี ารประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา เพือ่ รวบรวมข้อมูลผลการดาเนนิ งาน
ที่สะท้อนคุณภาพของผู้เรียนและกระบวนการบริหารและการจัดการ และนาผลไปเปรียบเทียบกับ
เป้าหมายท่กี าหนดไว้ นาไปสกู่ ารปรับปรงุ พฒั นาคุณภาพการศึกษาให้ย่ังยืนต่อไป

ในส่วนของการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา หลังจากสถานศึกษาดาเนินการประเมิน
คุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยบุคลากรภายในสถานศึกษาที่มีหน้าที่กากับ
ดูแลสถานศึกษานั้น ผลการประเมินคุณภาพภายในดังกล่าวนามาใช้เป็นฐานในการวางแผนพัฒนา
มาตรฐานหรือพัฒนาเป้าหมาย และปรับเปลี่ยนแนวทางการดาเนินงานปกติของสถานศึกษา คือ
กระบวนการบริหารและการจัดการ และกระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
เพ่ือยกระดับคุณภาพผู้เรียนแล้วดาเนินงานตามแผนท่ีวางไว้ควบคู่ไปกับการติดตามตรวจสอบ
กระบวนการดาเนินงานระหว่างการปฏิบัติ และประเมินคุณภาพเปรียบเทียบกับเป้าหมายท่ีกาหนด
พร้อมกับใช้ผลการประเมินเป็นฐานการยกระดับคุณภาพการศึกษา ในวงจรการพัฒนาให้คุณภาพ
สถานศึกษาสงู ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตามลาดบั ทั้งนี้ทกุ สถานศกึ ษาตอ้ งพฒั นาการดาเนินงานการประกนั
คุณภาพภายในสถานศึกษาให้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการศึกษาเป็นปกติของสถานศึกษา
โดยคานงึ ถึงหลักการและกระบวนการสาคญั ได้แก่ 1) หลักการมีส่วนร่วมแบบร่วมแรงร่วมใจในการ
ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของทุกคนในสถานศึกษา 2) หลักการร่วมรับผิดรับชอบในผลการจัด
การศึกษาอย่างตรวจสอบได้ คือมีร่องรอยสารสนเทศสาหรับอธิบายคุณภาพต่อสาธารณชนที่
สามารถตรวจสอบได้ และ 3) หลักการประกันคุณภาพเป็นหน้าที่ของทุกคนในสถานศึกษาที่ต้อง
รับผิดชอบและรว่ มลงมอื ดาเนนิ การทกุ ขน้ั ตอนของการดาเนนิ งานประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 85

ท้ังน้ีโดยอาศัยกระบวนการดาเนินการพัฒนาคุณภาพด้วยวงจรคุณภาพแบบ PDCA คือ มี
กระบวนการวางแผนกาหนดเป้าหมายคุณภาพ (Plan) ดาเนินการตามแผนควบคู่กับการติดตาม
ตรวจสอบและประเมนิ คุณภาพระหว่างดาเนินงาน (DO & Check) กระบวนการนาผลการประเมินมา
เปน็ ฐานการตดั สนิ ใจพัฒนาหรือยกระดับคณุ ภาพให้สูงขึ้นตอ่ เนอ่ื งตามลาดับ (Act)

ในส่วนการประเมินคุณภาพภายนอก เป็นบทบาทหน้าท่ีของสานักงานรับรองมาตรฐานและ
ประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน) ทาหน้าท่ีติดตามตรวจสอบและให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือ
พัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ดังนั้นระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาและการ
ประเมินคุณภาพภายนอก จึงเป็นกลไกท่ีมีเป้าหมายเพ่ือทาให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งและสร้าง
ความเชือ่ ม่นั ตอ่ สังคม

ความสัมพั นธ์ระหว่างการประกันคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพ
ภายนอก

พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 6 กล่าวถึงหลักการประกันคุณภาพ
และมาตรฐานการศึกษา โดยแบ่งเป็นระบบการประกันคุณภาพภายใน และการประกันคุณภาพ
ภายนอก การประกันคุณภาพภายใน เป็นเร่ืองของสถานศึกษาท่ีต้องจัดทาโดยความร่วมมือกับ
หน่วยงานที่เก่ยี วข้อง แต่การประเมนิ คณุ ภาพภายนอก เป็นการดาเนินงานโดยหน่วยงานภายนอกที่
เป็นอิสระและมคี วามเป็นกลางมบี ทบาทหนา้ ทใ่ี นการประเมนิ ตามมาตรฐานของสถานศึกษาท่ัวประเทศ
และดาเนินการทุก ๆ 5 ปี และตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 ข้อ 3
กาหนดให้สถานศกึ ษาแตล่ ะแหง่ จดั ใหม้ รี ะบบการประกันคณุ ภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยการ
กาหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดทาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของ
สถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพ ตามมาตรฐานการศึกษาและดาเนินการตามแผนท่ีกาหนดไว้ จัดให้มีการ
ประเมินผลติดตามและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา เพ่ือพัฒนาสถานศึกษาให้มี
คุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาและจัดส่งรายงานผลการประเมินตนเอง ให้แก่หน่วยงานต้นสังกัด
หรือหน่วยงานทกี่ ากบั ดแู ลสถานศกึ ษาเป็นประจาทุกปี

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 86

การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา (Internal Quality Assurance : IQA) จึงเป็น
กระบวนการท่ีต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง นอกจากจะเป็นการพัฒนาการจัด
การศึกษาของสถานศึกษาโดยตรงแล้วผลการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษายังใช้เป็นหลักฐาน
เช่อื มโยงในการรองรับการประเมนิ คุณภาพภายนอก จากหน่วยงานภายนอกคือ สานักงานรับรอง
มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยใช้มาตรฐานการศึกษาของ
สถานศึกษาที่มีความครอบคลุม ชัดเจน และสอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาชาติและมาตรฐาน
การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน และสามารถสะท้อนคุณภาพของการบริหารจัดการศึกษาและการจัดการศึกษา
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เพ่ือเป็นหลักประกันให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชนเกิดความม่ันใจว่า
นักเรียนจะได้รับการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาและบรรลุเป้าประสงค์ของ
หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานที่กากับดูแลการประเมินคุณภาพภายนอก (External Quality
Assessment : EQA) เปน็ การประเมนิ ตดิ ตามตรวจสอบกระตนุ้ และจงู ใจใหเ้ กดิ การพฒั นาและยกระดับ
คณุ ภาพการศกึ ษา มคี วามท้าทายและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและยกระดับคุณภาพสู่สากล และยัง
มีความเช่ือมโยงกบั การประกันคุณภาพการศกึ ษาภายในสถานศึกษา (Internal Quality Assurance :
IQA) ในการร่วมรับผิดชอบ (Accountability) ต่อผลการจัดการศึกษา และใช้ยืนยันคุณภาพของ
ระบบการประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาเพ่ือการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยืน และเปิดโอกาสให้สร้างความ
โดดเด่นเฉพาะทาง

ระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา (Internal Quality Assurance : IQA)
สถานศึกษาจะตอ้ งจัดใหม้ รี ะบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพ่ือสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่
เก่ียวข้องว่าผู้เรียนทุกคนจะได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพ เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและ
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ตามมาตรฐานที่สถานศึกษากาหนด ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
ภายในสถานศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษา ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยให้สถานศึกษายึดหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนและหน่วยงานที่
เก่ยี วข้องโดยการสง่ เสริม สนับสนนุ และกากับดูแลของหน่วยงานต้นสังกัด โดยมีกระบวนการพัฒนา
คณุ ภาพการศึกษาดังน้ี

1. กาหนดมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา สถานศกึ ษากาหนดมาตรฐานการศึกษาและ
เป้าหมายความสาเร็จที่สะท้อนคุณภาพการบริหารและการจัดการศึกษาซ่ึงเป็นข้อกาหนดเก่ียวกับ
คุณลักษณะ คุณภาพท่ีพึงประสงค์ท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาและ
เปา้ หมายความสาเรจ็ กาหนดขนึ้ จะเป็นหลักเทียบเคียงสาหรับการส่งเสริม กากับดูแล ตรวจสอบและ
ประเมินผลและการประกันคุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษานนั้ ๆ

2. พัฒนาเข้าสู่มาตรฐาน สถานศึกษาจัดทาแผนพัฒนาการศึกษา ซึ่งเป็นแผนที่กาหนด
เปา้ หมายและแนวทางการพฒั นาการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้นในช่วงระยะเวลาที่กาหนด โดย
จดั ไวเ้ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษรเพ่ือให้เกิดความมั่นใจว่าสถานศึกษาจะดาเนินการตามข้อตกลงท่ีกาหนด
ร่วมกัน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของแต่ละกิจกรรมท่ีกาหนดอย่างสอดคล้องกับมาตรฐาน
การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน และมีการดาเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยการกากับติดตาม
ตรวจสอบ และประเมินคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาคุณภาพ
สถานศึกษาท่ีกาหนดไว้ โดยจัดทาแผนปฏิบัติการประจาปีที่ชัดเจนครอบคลุมงาน/โครงการของ
สถานศึกษา

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 87

3. จัดทารายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษา (Self-Assessment Report : SAR) เป็นการนา
ข้อมูลผลการประเมินตามมาตรฐานของสถานศึกษาจากการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลและ
จัดทาเป็นรายงานการประเมินตนเองเพื่อสะท้อนภาพความสาเร็จของการพัฒนา คุณภาพ
สถานศึกษาปกี ารศึกษาที่ผา่ นมาภายใต้บริบทของสถานศกึ ษา

ดังน้ันการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาจึงเป็นกระบวนการที่ต้องดาเนินการอย่างเป็น
ระบบและต่อเน่ือง ท้ังกาหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา การจัดทาแผนพัฒนาการศึกษา
การดาเนินการตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา การประเมินผล ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพ
การศึกษาของสถานศึกษา ทั้งด้านการบริหารการจัดการศึกษา การจัดการเรียนการสอนที่เน้น
ผเู้ รียนเปน็ สาคญั เพื่อพฒั นาสถานศกึ ษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และจัดทารายงานผล
การประเมินตนเองของสถานศึกษา (SAR) เสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพ่ือเตรียมการรองรับการ
ประเมนิ คุณภาพภายนอกต่อไป

การประเมนิ คณุ ภาพภายนอก (External Quality Assessment : EQA) การประเมินคณุ ภาพ
ภายนอก โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน) มีบทบาท
สาคัญ ดงั นี้

1. ประเมนิ ผลและการตดิ ตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา
โดยวิเคราะห์ SAR เยี่ยมชมสถานศึกษา (Site Visit) ติดตามและตรวจสอบ เพ่ือสะท้อนถึงผลการจัด
การศึกษาแต่ละระดับท้ังด้านคุณภาพของผู้เรียน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการศึกษาและด้าน
กระบวนการจดั การเรียนการสอนทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคญั โดยคานงึ ถงึ ความเหมาะสม ความเป็นไปได้
ความเช่ือถือได้ และประสิทธิผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้น ๆ โดยใช้มาตรฐานของ
สถานศึกษา สร้างความเช่อื มน่ั ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชนว่าสถานศึกษาน้ันว่าสามารถ
จัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และบรรลุเป้าประสงค์ของหน่วยงานต้น
สังกัดหรอื หน่วยงานทกี่ ากบั ดูแล

2. รายงานผลการประเมินภายนอก ผู้ประเมินคุณภาพภายนอกสรุปผลการประเมิน
ตรวจสอบคณุ ภาพและจดั ทารายงาน นาสง่ ผลการประเมินพร้อมเอกสารท่เี ก่ียวขอ้ งใหห้ น่วยงานตน้
สังกดั ทีเ่ กย่ี วข้อง เพ่อื ให้หน่วยงานได้ติดตามและพัฒนาใน 3 ประเด็น ได้แก่ การแก้ไขประเด็นต่าง ๆ
ที่ไม่เป็นไปตามนโยบาย และมาตรฐานของสถานศึกษา (Internal Correction) การปรับปรุงประเด็น
ตา่ ง ๆ ให้ดีขึน้ (Improvement) และการพฒั นานวัตกรรมจากประเด็นตา่ ง ๆ (Innovation)

การประเมินคุณภาพภายนอก มีแนวคิดสาคัญ คือ ใช้กลไกการประเมินคุณภาพ
ภายนอกเพ่ือกระตุ้นและจูงใจให้เกิดการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาตามนโยบายปฏิรูป
การศกึ ษา ถอื ปฏิบัตติ ามกฎกระทรวงว่าด้วยการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 ตามบริบท
ของสถานศึกษาลดการประเมนิ ท่ียงุ่ ยากกับสถานศึกษา ลดการจัดทาเอกสารเพิ่มระบบเทคโนโลยีใน
การประเมิน และพฒั นาคณุ ภาพของผูป้ ระเมินคณุ ภาพภายนอก เนน้ การประเมินเพ่ือยืนยันคุณภาพ
ของระบบการประกันคณุ ภาพภายในของสถานศกึ ษาวา่ ดาเนินการเหมาะสม เปน็ ไปได้/เป็นระบบ

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 88

เช่ือถือได้และเกิดประสิทธิผลต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามเป้าหมายมี
พัฒนาการต่อเนื่อง มีนวัตกรรมหรือเป็นแบบอย่างท่ีดีหรือไม่ส่งเสริมให้สถานศึกษาและหน่วยงาน
ต้นสังกัดรับผิดชอบในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาชาติ ตาม
จดุ หมายของหลกั สูตรและมคี วามพร้อมในการ แขง่ ขนั ในระดับสากล ให้ความสาคญั กับการประเมินท่ี
ม่งุ สูก่ ารพฒั นาทย่ี ั่งยนื และเปิดโอกาสใหส้ ถานศึกษาสรา้ งความโดดเด่นหรอื เป็นตน้ แบบในการพัฒนา
ในระดับท้องถิ่น/ภูมิภาค ระดับชาติและระดับนานาชาติ ดังนั้นการประเมินคุณภาพภายนอกจึง
สอดคลอ้ งเปน็ หน่ึงเดยี วกันกับการประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศึกษา

การประเมนิ แบ่งเปน็ 2 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 เป็นการประเมินเพื่อยืนยันคุณภาพโดยสานักงาน
รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยใช้วิธีการประเมินโดยอาศัย
ร่องรอยหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์(Evidences Based Assessment) ครอบคลมุ องค์ประกอบท้งั ระบบแบบ
องค์รวม (Holistic Assessment) โดยไม่แยกสว่ นหรอื แยกองค์ประกอบการประเมินในการประเมินผล
งานหรือกระบวนการ แต่เป็นการประเมินในภาพรวมของผลงานหรือภาพรวมของกระบวนการ
ดาเนินงาน ตรวจทานผลการประเมิน โดยคณะกรรมการในระดับเดียวกัน และสะท้อนผลการ
ดาเนินงานโดยการประเมินและตัดสินผลการประเมินคุณภาพการศึกษาโดยอาศัยความเช่ียวชาญ
(Expert Judgment) และระยะท่ี 2 เป็นการติดตามเพ่ือพัฒนาโดยหน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยที่
กากับดูแลสถานศึกษา ตามข้อเสนอแนะของสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ
การศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน) ดงั น้นั การประเมนิ คุณภาพภายนอกจงึ สอดคล้องเปน็ หนึง่ เดียวกันกับ
การประกนั คุณภาพการศกึ ษาภายในของสถานศกึ ษา

การจดั และพฒั นาระบบการประกันคณุ ภาพการศกึ ษา 89“

“ การพัฒนาการศกึ ษาให้กับมนุษย์คอื การ
พฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยใ์ หม้ ีศักยภาพทม่ี ี
ประโยชน์ตอ่ องคก์ ร ประเทศชาติ และตอ่
โลกใบน้ใี นคราวเดยี วกัน

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 90

09

แนวทางการพัฒนาระบบการประกัน
คณุ ภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา

สถานศึกษาสามารถออกแบบระบบการประกันคุณภาพ
ภายในที่เหมาะสม เป็นไปได้และสอดคล้องกับบริบทของ
สถานศึกษาไดด้ ้วยตนเอง

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 91

แนวทางการพัฒนาระบบ
การประกันคณุ ภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการ ไดม้ นี โยบายปฏิรูประบบการประเมนิ และการประกันคุณภาพการศึกษา
ปรับเปลี่ยนระบบประกันคุณภาพการศึกษา โดยให้มีการประกันคุณภาพภายในและการประเมิน
คุณภาพภายนอกตามแนวคิด หลักการว่า สถานศึกษาสามารถออกแบบระบบการประกันคุณภาพ
ภายในที่เหมาะสม เป็นไปได้และสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาได้ด้วยตนเอง การประเมิน
คุณภาพภายนอกเป็นการยืนยันระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ผลที่ได้จากการ
ประกันคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกน้ัน จะต้องสามารถนาไปใช้พัฒนาคุณภาพ
การศึกษาของสถานศึกษาได้ด้วย รายละเอียดการจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายใน
สถานศึกษาตามกฎกระทรวงการประกนั คุณภาพการศกึ ษา พ.ศ. 2561 ประกอบดว้ ย

1. กาหนดมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา
2. จดั ทาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาทีม่ งุ่ คณุ ภาพตามฐานการศึกษา
3. ดาเนนิ งานตามแผนพัฒนาการจดั การศึกษาของสถานศกึ ษา
4. ประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศกึ ษา
5. ติดตามผลการดาเนนิ งานเพอ่ื พฒั นาสถานศกึ ษาให้มีคณุ ภาพตามมาตรฐานการศึกษา
6. จัดทารายงานผลการประเมนิ ตนเองรายละเอียดแต่ละเรอ่ื งสรุปดังน้ี
1. กาหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา สถานศึกษาประกาศใช้มาตรฐานและ
เป้าหมายการดาเนินงานตามมาตรฐานการศึกษาให้ครอบคลุมทุกระดับการศึกษาท่ีสถานศึกษาจัด
การศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา เป็นไปได้ในการปฏิบัติจริง ด้วยการสร้างความรู้
ความเขา้ ใจให้กบั ครู บคุ ลากร คณะกรรมการสถานศึกษา ตัวแทนผู้ปกครอง ชุมชน และผู้เก่ียวข้อง
อื่น ๆ ดาเนินการวิเคราะห์มาตรฐานการศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา จุดเน้น บริบท ความต้องการ
ทิศทางการจัดการศึกษาอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของสถานศึกษา นามากาหนดเป็นมาตรฐาน
การศึกษา ของสถานศึกษาและประกาศใช้มาตรฐานการศึกษาโดยผ่านความเห็นชอบของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา ท้ังนี้สถานศึกษาสามารถกาหนดมาตรฐาน
การศึกษาของสถานศึกษาเพม่ิ เตมิ ได้ พจิ ารณากาหนดเปา้ หมายความสาเร็จท้ังเชิงปริมาณ หรือเชิง
คุณภาพในปีการศึกษาปัจจุบันโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศผลการดาเนินงานของปีการศึกษาที่ผ่านมา
อยา่ งเหมาะสมและเปน็ ไปได้
2. จัดทาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐาน
การศึกษาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ต้องสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความ
ตอ้ งการจาเป็นของสถานศึกษาและมีการจัดทาอย่างเป็นระบบ สถานศึกษาต้องจดั ทาแผน 2 ประเภท
ดงั นี้

1) แผนพฒั นาการจดั การศึกษาของสถานศึกษา เป็นแผนระยะกลาง 3 - 5 ปี โดย
สถานศกึ ษาสามารถนาแนวคิดการบริหารเชิงกลยทุ ธ์มาใช้ในการจัดทาแผนพัฒนาการจัดการศึกษา
ด้วยการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของปัจจัยภายในสถานศึกษา วิเคราะห์โอกาส และอุปสรรคของ
ปจั จัยภายนอกสถานศกึ ษาประเมนิ สถานภาพของสถานศึกษา กาหนดวิสัยทศั น์ พนั ธกิจ เปา้ ประสงค์
กาหนดกรอบกลยุทธ์/กลยทุ ธก์ ารพัฒนา กาหนดแผน่ งาน โครงการ กิจกรรมรองรับพร้อม

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 92

ประมาณการงบประมาณ ทรัพยากรทใ่ี ช้สนับสนนุ การดาเนนิ งานของสถานศึกษา
2) แผนปฏิบัตกิ ารประจาปี (Action Plan) เป็นการนาแผนพัฒนาการจัดการศึกษา

ไปสู่การปฏิบัติ ด้วยการวิเคราะห์ทิศทางการจัดการศึกษาของสถานศึกษา วิเคราะห์ประมาณ
การงบประมาณรายรับ รายจ่าย จัดลาดับความสาคัญของโครงการ พร้อมกับจัดทารายละเอียด
ของโครงการ กจิ กรรมท่ีครอบคลมุ มาตรฐานของสถานศึกษาดา้ นคณุ ภาพของผู้เรียน กระบวนการ
บริหารและจัดการ กระบวนการจัดประสบการณ์/จัดการเรียนการสอน นโยบายและจุดเน้นของ
หน่วยงานต้นสังกัด เพ่ือให้การดาเนินงานของสถานศึกษาบรรลุตามวิสัยทัศน์ ตามมาตรฐาน
การศกึ ษาของสถานศกึ ษา และเพือ่ แก้ไขปญั หาหรอื ปรับปรุงจดุ ออ่ นของสถานศกึ ษา

ทั้งนี้ สถานศึกษาต้องนาแผนพัฒนาการจัดการศึกษาและแผนปฏิบัติการประจาของ
สถานศกึ ษา เสนอต่อคณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พนื้ ฐานใหค้ วามเหน็ ชอบก่อนนาไปใชจ้ ริง

3. ดาเนินการตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา การพฒั นาสถานศกึ ษาให้
บรรลุตามมาตรฐานการศึกษาท่ีกาหนดนั้น สถานศึกษาต้องมีระบบกลไกการบริหารและจัดการท่ี
เหมาะสมกับบริบทของแต่ละสถานศึกษา ไม่เป็นภาระกับครูหรือผู้เก่ียวข้องมากเกินไป สถานศึกษา
ต้องดาเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาและแผนปฏิบัติการประจาปี มีการกากับ ติดตาม
ตรวจสอบและประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านของแผนงานโครงการ กิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปตามระยะเวลาที่
กาหนด บรรลเุ ปา้ หมายระดับใดโดยสามารถใชแ้ นวคิด ทฤษฎีหรอื ผลงานวิจัยที่เนน้ ความร่วมมอื ของ
ผู้เก่ียวข้องทกุ ฝา่ ย เชน่ การบริหารเชิงระบบ (System Approach) การใช้วงจรการพัฒนาคุณภาพ
(PDCA) การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management) การบริหารแบบมุ่ง
สัมฤทธิ์ (Total Quality Management) การบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพ (Quality System
Management) การใชห้ ่วงโซ่คณุ ภาพ (Chain of quality) เปน็ ตน้ หรอื สถานศกึ ษาสามารถสรา้ งและ
พัฒนารูปแบบการบริหารและจัดการของตนเองก็ได้ นอกจากนี้สถานศึกษาควรจัดระบบอ่ืน ๆ ท่ี
เกี่ยวข้อง เช่น ระบบพัฒนาวิชาการ ระบบพัฒนาครูและบุคลากร ระบบการจัดการสภาพแวดล้อม
ระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศ ระบบการนิเทศภายใน ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นต้น ซึ่ง
เป้าหมายสาคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา คือ วัฒนธรรมคุณภาพที่เกิดขึ้น
ในสถานศึกษา

4. ประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา การประเมินผลและ
ตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเป็นระบบและกลไก ในการควบคุม ตรวจสอบ และ
ประเมินผลการดาเนินงานตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาท่ีดาเนินงานอย่างเป็นระบบและ
ต่อเนื่องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการ กระทาโดยบุคลากรในหน่วยงานหรือผู้ท่ี
เกี่ยวข้อง สถานศึกษาต้องให้ความสาคัญกับการประเมินเชิงคุณภาพที่สะท้อนจุดเด่น และจุดควร
พัฒนาที่เกิดขึ้นจากการการดาเนินงาน ผสมผสานกับการประเมินเชิงปริมาณควบคู่กันไป
สถานศึกษาต้องกาหนดหรือมอบหมายผู้รับผิดชอบในการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพ
การศกึ ษาการปฏบิ ัตงิ านของครแู ละบคุ ลากรในสถานศกึ ษาตามบทบาทและหนา้ ทที่ ไี่ ด้รับมอบหมายและ
ระดับสถานศกึ ษาให้ชัดเจน วเิ คราะหม์ าตรฐานและเป้าหมายตามมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษาท่ี
ประกาศใช้ กาหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและเคร่ืองมือท่ีหลากหลายและเหมาะสม ดาเนินการ
ประเมนิ ผลและตรวจสอบคณุ ภาพการศกึ ษาภายในสถานศกึ ษา อยา่ งนอ้ ยภาคเรียนละ 1 ครง้ั พรอ้ ม
ทัง้ สรุปรายงานผลการประเมนิ คณุ ภาพภายในของสถานศกึ ษา เพอื่ นาผลการประเมินคณุ ภาพภายใน
ไปจดั ทารายงานผลการประเมนิ ตนเองของสถานศกึ ษาตอ่ ไป

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 93

5. ตดิ ตามผลการดาเนนิ การใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา เปน็ การตดิ ตามผลการ
ดาเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาและแผนปฏิบัติการประจาปีของสถานศึกษา เพ่ือให้ได้
ขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ไปใช้ปรับปรงุ หรือพัฒนาการดาเนินงานตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
ประเด็นที่สถานศึกษาติดตามผล ได้แก่ กระบวนการบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษา เช่น การ
พัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ การพัฒนาบุคลากร กระบวนการบริหารและจัดการ การจัด
สภาพแวดลอ้ มและแหล่งเรยี นร้เู ปน็ ตน้ และการดาเนนิ งานตามแผนปฏบิ ตั กิ ารประจาปขี องสถานศกึ ษา
วา่ ดาเนินงานไดบ้ รรลตุ ามเปา้ หมาย ตัวชีว้ ัดความสาเร็จทก่ี าหนดหรือไม่ อย่างไรสถานศกึ ษาสามารถ
ติดตามผลระหว่างและเม่ือเสร็จส้ินการดาเนินงานก็ได้ สถานศึกษาควรกาหนดผู้รับผิดชอบในการ
ตดิ ตามผล กาหนดปฏิทินปฏิบัติงานติดตามผลวิเคราะห์และกาหนดกรอบพร้อมกับสร้างเคร่ืองมือ
ตดิ ตามผลจัดทาระบบข้อมูลสารสนเทศ และรายงานผลการตดิ ตามอย่างนอ้ ยภาคเรยี นละ 1 ครงั้

6. จดั ทารายงานผลการประเมนิ ตนเอง รายงานผลการประเมนิ ตนเอง (Self - Assessment
Report : SAR) ตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาท่ีดี ต้องสะท้อนคุณภาพของผู้เรียนและ
ผลสาเร็จของการบริหารจัดการศึกษา สถานศึกษาต้องนาผลการประเมินคุณภาพภายในมาจัดทา
รายงานผลการประเมินตนเอง โดยรวบรวมข้อมูลสารสนเทศข้อมูลทั่วไปและผลการประเมินตาม
มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาแต่ละมาตรฐานไปจัดทารายงานผลการประเมินตนเองตาม
รปู แบบรายงานทสี่ ถานศกึ ษากาหนด อาจเสนอเป็นความเรยี ง การบรรยายประกอบแผนภูมิ รปู ภาพ
หรือกราฟ ฯลฯ ตามบริบทของสถานศึกษา โดยใช้ภาษาท่ีอ่านเข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน นาเสนอ
ขอ้ มูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ สาระสาคัญรายงานผลการประเมินตนเองแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 บทสรุปสาหรับผู้บริหาร และส่วนท่ี 2 ผลการประเงินตนเองของสถานศึกษา โดยแต่ละ
มาตรฐานนาเสนอใน 3 ประเด็น คือ 1) คุณภาพในแตล่ ะมาตรฐานอยูใ่ นระดับใด 2) มีหลักฐานในการ
อ้างอิงผลการประเมินตามประเด็นพิจารณาของแต่ละมาตรฐานอย่างไร 3) สถานศึกษาจะมี
กระบวนการพฒั นาคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาใหด้ ขี น้ึ กวา่ เดิมได้อยา่ งไร สถานศึกษาอาจแนบ
ภาคผนวกที่นาเสนอหลักฐานขอ้ มลู สาคัญกระบวนการพฒั นาคุณภาพตามมาตรฐานการศกึ ษาของ
สถานศึกษาให้ดขี ึน้ หรือเอกสารอ้างอิงตา่ ง ๆ ได้ตามความเหมาะสม นาเสนอรายงานผลการประเมิน
ตนเองต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นชอบ และจัดส่งรายงานดังกล่าวต่อ
หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานที่กากับดูแลเป็นประจาทุกปี เผยแพร่รายงานต่อสาธารณชนและ
หน่วยงานที่เก่ียวข้อง และเตรียมรบั การประเมินคุณภาพภายนอกต่อไป

สถานศึกษาแต่ละแห่งและหน่วยงานต้นสังกัด ต้องนาข้อมูลจากรายงานผลการประเมิน
ตนเองและขอ้ เสนอแนะที่ได้รับจากการประเมินคุณภาพภายนอกจากสานักงานรับรองมาตรฐานและ
ประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ไปใช้ปรับปรุงหรือพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ
สถานศกึ ษาให้มีคุณภาพและตอ่ เนอ่ื ง ยง่ั ยืนต่อไป

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 94“

“ อุดมการณส์ าคญั ของการจดั การศกึ ษา
คอื การจัดให้มกี ารศึกษาตลอดชีวิตและ
สรา้ งสงั คมไทยใหเ้ ปน็ สงั คมแหง่ การเรยี นรู้
การศึกมาสรา้ งคณุ ภาพชวี ติ และสงั คม
บูรณาการอย่างสมดลุ ระหวา่ ง
ปญั ญาธรรม คุณธรรม และวฒั นธรรม

การจดั และพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 95

10

การกาหนดมาตรฐานการศึกษา

ของสถานศึกษา
มาตรฐาน การศึกษาว่า เป็นข้อกาหนดเก่ียวกับ
คุณลักษณะ คุณภาพท่ีพึงประสงค์ และมาตรฐานที่
ตอ้ งการใหเ้ กดิ ขนึ้ ในสถานศกึ ษาทกุ แหง่


Click to View FlipBook Version