The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยการเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ชลดา บัวสูง, 2024-04-03 22:27:51

วิจัยการเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย

วิจัยการเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย

ก การเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงล าดับ ของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น นางสาวชลดา บัวสูง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ข การเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงล าดับ ของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น นางสาวชลดา บัวสูง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับ ของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น ผู้วิจัย นางสาวชลดา บัวสูง สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน ครูพี่เลี้ยง นางจันทร์เพ็ญ เมืองฮาม อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ……………………………………………………………... หัวหน้าสาขาวิชา (ผศ.วรัญญา ศรีบัว) วันที่………..เดือน……………………..พ.ศ………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................... ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน) .................................................................... กรรมการ (นางจันทร์เพ็ญ เมืองฮาม) .................................................................... กรรมการ (นางสาววิมล ศรีขาว)


ข ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถทางการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น ผู้วิจัย นางสาวชลดา บัวสูง รหัสนักศึกษา 62100186104 สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย โดยรวมรายบุคคลที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัด กิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นอนุบาลชั้นปีที่ 3 ภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านตาด อำเภอเมืองอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 จำนวน 28 คน จากนักเรียนจำนวน 1 ห้อง ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบการปั้น เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียงลำดับของเด็ก ปฐมวัย 2) คู่มือการใช้แบบทดสอบวัดทักษะด้านการเรียงลำดับสำหรับเด็กปฐมวัย 3) แบบทดสอบวัดทักษะ ด้านการเรียงลำดับสำหรับเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน วิเคราะห์หาประสิทธิภาพ และ วิเคราะห์คะแนนพัฒนาการ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบการปั้น มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนมีค่าเท่ากับ 16.64 คิดเป็น ร้อยละ 55.46 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 27.71 คิดเป็นร้อยละ 92.37


ค กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจาก อาจารย์ญาณี ช่อ สูงเนิน ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย โดยให้คำแนะนำ อย่างดียิ่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบพระคุณ นายสุพัฒน์ มาชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตาด พร้อมทั้งคณะครู ในโรงเรียนทุก ท่าน และนักเรียนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ได้ให้กำลังใจและให้ความอนุเคราะห์ เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอน้อมรำลึกถึงคุณบิดา มารดา ผู้ให้ ชีวิต ให้ การศึกษา ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่าน ที่ได้ให้ความรู้และอบรมสั่งสอนแก่ผู้วิจัยจนประสบ ความสำเร็จในการศึกษา ชลดา บัวสูง


ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ........................................................................................................................................ ข กิตติกรรมประกาศ......................................................................................................................... ค สารบัญ.......................................................................................................................................... ง สารบัญตาราง................................................................................................................................ ช สารบัญภาพ................................................................................................................................... ซ บทที่ 1 บทนำ………………………………………………………………………………………………………………………… 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………………...………………………….. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………………………………………. 3 สมมติฐานของการวิจัย……………………………………….………………………………………………………. 3 ขอบเขตของการวิจัย……………………………………………….…………………………………………………. 3 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………………………………. 4 ประโยชน์ที่ได้รับ……………………………………………….………………………………………………………. 5 กรอบแนวคิดการวิจัย…………………………………………………………………………………………………. 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………..………………………………………….. 6 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560………………………….……………..…………………….. 7 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทานและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………. 15 ความหมายของนิทาน…………………………………………………………………………………………………. 15 ความสำคัญและคุณค่าของนิทาน…………………………………………………………………………………. 16 สื่อที่ใช้ในการเล่านิทาน………………………………………………………………………………………………. 18 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………………………….. 20 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปั้นและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………….. 22 ความหมายของการปั้น…………………….…………..…………………….……………………..………………. 22


จ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ความสำคัญของการปั้น…………………………………………………………………………………….. 22 นิทานกับการปั้น………………………………………………………………………………………………. 23 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………………… 24 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………… 26 ความหมายของการคิด……………………………………………………………………………………… 26 ความสำคัญของการคิด……………………………………………………………………………………… 27 ประเภทของการคิด………………………………………………………………………………………….. 30 ทักษะการคิด…………………………………………………………………………………………………… 32 ทักษะการคิดเชิงเหตุผล……………………………………………………………………………………. 36 แนวทางการส่งเสริมการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย………………………………………….. 36 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………………………………………….. 38 3 วิธีดำเนินการวิจัย……………………….…………..……………………..……….………………………….. 41 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………...………..…………..…………………….…………….. 41 การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………….……..…………..……...……………..….………………….. 41 วิธีการสร้างและตรวจสอบเครื่องมือ…..…………….………...........................………………… 42 การวิเคราะห์ข้อมูล…………………….…………..……………..…………………………..…………….. 48 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………… 48 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………….………….…………………..……….…………………………. 51 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล……………………..…….………………………….…………. 51 ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………….....………….…………….. 51 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………..….……………..……………….. 52 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………….. 55 วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………….……….................………………..….………........... 55 สรุปผลวิจัย…………………….……….................………………..…………………….………............ 55


ฉ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า อภิปรายผลวิจัย…………………….………............………………..…………………….………................. 55 ข้อเสนอแนะ…………………….………...........................………………..…………………….……………. 57 บรรณานุกรม…………………….….…………..……….…………..………………..……………………………. 58 ภาคผนวก…………………….………….…….…………………………………………………..…………………. 62 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือ…………............................................... ค่า IOC …………...................................................................................... ภาคผนวก ข คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบการปั้น เพื่อ ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียนลำดับของของเด็กปฐมวัย…………………… ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบการปั้น เพื่อ ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียนลำดับของของเด็กปฐมวัย…………………… ภาคผนวก ค คู่มือการใช้แบบทดสอบวัดทักษะการคิดเหตุผลด้านการเรียงลำดับ สำหรับเด็กปฐมวัย…………………………………………………………………………………………….. ตัวอย่างแบบทดสอบวัดทักษะการคิดเหตุผลด้านการเรียงลำดับ สำหรับเด็กปฐมวัย…………………………………………………………………………………………….. 64 65 ประวัติย่อผู้วิจัย……………………………………………………………………………………………………… 93 70 84 67 88


ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 มาตรฐานและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์.......................... 10 2 แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานประกอบการปั้น………… 43 3 แบบแผนการทดลอง……………………………………………………………………………………………… 47 4 ประสิทธิภาพของกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้นที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงเหตุผล ด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย……………………………………………………………………………… 52 5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้นที่ส่งเสริมทักษะการคิด เชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย………………………………………………………………. 53 6 ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับ ของเด็กปฐมวัย…………………………………………………………………………………………………………. 65


ซ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย……….……………………………………………………………..………………...... 5


1 บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ในสภาพสังคมไทยในปัจจุบันเกิดความสับสนและวิกฤตการณ์ต่าง ๆขึ้นบ่อยครั้งประชาชนต้องพบ กับปัญหาและอุปสรรคมากมายในชีวิตประจำวัน การคิดหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา การ จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยจัดเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญระดับหนึ่งเพราะเป็นช่วงที่มี พัฒนาการทุกด้านเจริญอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การพัฒนาเด็กในช่วงนี้ จะเป็นการวางพื้นฐานด้าน ต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลต่ออนาคตของเด็กและประเทศชาติ เนื่องจากช่วงอายุของเด็ก ปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี สมองมีการเจริญเดิบโตและพัฒนาโครงสร้างอย่างรวดเร็วคือเด็กอายุประมาณ 6 เดือน สมองโตเท่ากับครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่อายุประมาณ 5 ปี ขนาดสมองเป็น 90% ของผู้ใหญ่เซลล์ประสาท และการเชื่อมต่อกันในสมองจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงเด็กปฐมวัยซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์การเรียนรู้ที่ เหมาะสม เด็กจึงจะมีพื้นฐานที่มั่งคงสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการขั้นต่อไป ถ้าหากเด็กไม่ได้รับการ พัฒนาทางด้านสติปัญญาอย่างถูกต้องและเหมาะสมในช่วงนี้แล้วความสามารถในการเรียนรู้ต่าง ๆ อาจหยุด และไม่พัฒนาได้ แต่หากเด็กได้รับการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ตรงโดยผู้ใหญ่เป็นผู้เตรียมสภาพแวดล้อม ให้และเด็กได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงเรียนรู้จากของจริงได้ทดลองจริงกับสิ่งนั้น ๆ เด็กจะเกิดความเข้าใจและ เกิดความคิดรวบยอดในเรื่องที่เรียนมาได้ดี (สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์. 2538 : 154) การคิดการใช้เหตุผลในการ ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ นอกจากนี้การคิดยังเป็นทักษะที่ส่งเสริมให้คนรู้จักการสังเกตอธิบายหรือแปลความหมาย สิ่งต่าง ๆ ได้ เด็กเล็ก ๆมีกระบวนการคิดเช่นเดียวกับผู้ใหญ่กล่าวคือ เด็กสามารถเรียนรู้ จำ สร้างความคิดรวบ ยอด และสื่อสารสิ่งที่ตนคิด แต่ขบวนการคิดของ เด็กอาจไม่ซับซ้อนเท่ากับผู้ใหญ่และวิธีการคิดอาจแตกต่าง จากผู้ใหญ่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เด็กได้รับ (นภเนตร ธรรมบวร. 2544 : 3) นิทานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการปั้น การใช้นิทานเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้เด็กได้ ฝึกทักษะทางภาษาและกระบวนการให้คิดดันกลวิธีในการนำนิทาน การคิด (ภารดี รีประยูร. 2542 :30) เนื่องจากนิทาน เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนให้ความสนใจ เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน สานสัมพันธภาพอย่าง ใกลัชิดระหว่างเด็กกับผู้เล่านิทาน นอกจากนี้นิทานยังมีส่วนช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อ ความกลัว รวม ทั้งตัวละครในนิทานยังเป็นแบบในการหล่อหลอมพฤติกรรมและคลิกภาพของเด็กอีกด้วย จากความสำคัญของ นิทานที่กล่าวมาแล้วนั้นทำให้คุณครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กนำนิทานมาใช้กับเด็ก จะต้องคำนึงถึงเนื้อหา และพัฒนาการทางภาษาของเด็ก ในแต่ละช่วงอายุ (พัฒนา ชัชพงต์. 2551 : 24) กล่าวคือเด็กในวัย 36 ขวบ เป็นวัยที่เริ่มการเรียนรู้ ได้และภาษาเด่นชัดมากความคิดเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กจะเป็นอย่างไรในอนาคตอยู่ที่ การส่งเสริมเลี้ยงดูในช่วงเวลานี้เป็นสำคัญ พ่อแม่ควรส่งเสริมพัฒนาการหลายด้านไปพร้อมกัน เช่น อาหาร


2 สังคมการเล่นดนตรีหรือการอ่าน เด็กไม่จำเป็นต้องมีของเล่นราคาแพง แต่พ่อแม่สามารถใช้สิ่งของที่มีอยู่ใน บ้านเป็นของเล่นได้ ในส่วนของดนตรีไม่จำเป็นต้องเปิดเพลงให้ฟังเท่านั้น การเคาะจังหวะ เช่นการตบมือ เคาะ ไม้ หรือดนตรีล้วน ๆที่ไม่มีเนื้อร้อง จะทำให้เด็กเรียนรู้จังหวะนอกจากนี้การอ่านนิทานให้ลูกฟังจะต้องมีเสียง สูงต่ำ มีจังหวะ นิทานทำให้เด็กมีจินตนาการและถ้ามีเนื้อหาดี ๆ จะเป็นการปลูกฝังให้เด็กอยากทำความดี (พร จันทร์ จันทวิมล. 2529 :103-106) เนื้อเรื่องนิทานจะเป็นเรื่องง่าย ๆ มีความสมบูรณ์ของเรื่อง มีเหตุการณ์ สำคัญเพียงอย่างเดียวเพื่อให้เด็กคาดคะเนเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ ตัวละครมีน้อยตัว แต่มีลักษณะเด่น ใช้ ภาษาด่าง ๆ ประโยคสั้น ๆ อาจใช้ดำซ้ำหรือสัมผัสช่วยให้เด็กจำได้ง่าย เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก และไม่ควรยาวเกิน 15 นาที ส่วนรูปแบบการเล่านิทานนั้นมีด้วยกันหลายวิธีทั้งการเล่าแบบปากเปล่าที่อาศัยน้ำเสียงและคำพูด เป็นสื่อ การเล่านิทานประกอบท่าทาง การเล่านิทานประกอบภาพ การเล่านิทานประกอบเสียง การเล่านิทาน ประกอบอุปกรณ์ เช่น หุ่นมือ หุ่นเชิด ตุ๊กตา หุ่นเงา เป็นต้น (กุลยา ตันติผลาชีวะ. 2541 : 12-14) การเล่า นิทานแต่ละแบบมีลักษณะเด่นในตัวเอง ควรจะเลือกใช้วิธีการเล่าแบบใด ขึ้นอยู่กับความถนัดและความ เหมาะสมของเรื่องที่ใช้เล่า การเล่านิทานให้ได้ดีนั้น ผู้เล่าต้องมีเทคนิค และศิลปะในการเล่านิทาน ซึ่งในการ เล่านิทานแต่ละครั้งต้องทำความเข้าใจกับนิทานที่จะเล่าจัดสภาพแวดล้อมในการเล่านิทานให้น่าสนใจ ใช้บท สนทนาที่เข้าใจง่ายและเป็นกันเองน้ำเสียงเหมาะกับเนื้อเรื่อง เปิดโอกาสให้เด็กซักถามหรือเล่านิทานจบ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533 :104) เพื่อให้เด็กเกิดการคิดวิเคราะห์และหาเหตุผลจากเรื่องราวที่ได้ฟัง กิจกรรม การปั่นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ส่งผลต่อความคิดเชิงเหตุผลของเด็ก ซึ่งจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี (กรม วิชาการ. 2540 :54-56) กิจกรรมการปั้นเป็นกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์ประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับเด็ก เพราะการปั้นช่วยให้เด็กได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมือ ฝึกประสาทสัมผัส และกระตุ้นให้เด็กเกิดพัฒนาการในทุก ด้านนอกจากนี้การปั้นยังช่วยให้เด็กได้มีโอกาสสร้างสรรค์งานศิลปะที่มีรูปทรงสามมิติ ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ได้ดี (Schimmacher. 1998 : 237) ดังนั้นจากความสำคัญและสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะส่งเสริมทักษะการคิด เชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย โดยส่งเสริมในรูปแบบของกิจกรรมศิลปะการปั้น โดยใช้ดินน้ำมันเป็นวัสดุในการปั้น ซึ่งกิจกรรมศิลปะการปั้นจะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักการรวบรวมข้อมูลเพื่อการ สื่อสาร รู้จักการแก้ไขปัญหา รู้จักการแยกแยะสิ่งต่างๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ และผลการวิจัยจะนำมาเป็น แนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย และส่งเสริมทักษะการคิดเชิงเหตุผลของเด็ก ปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป


3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัยโดยรวม รายบุคคลที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้นมีทักษะการคิดเชิง เหตุผลด้านการเรียงลำดับโดยรวมและรายบุคคลสูงขึ้นกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมอุดรธานี เขต 1 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมอุดรธานี เขต 1 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับของเด็กปฐมวัย 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 สัปดาห์ละ 3 วัน ในช่วงกิจกรรมสร้างสรรค์ รวม ทั้งสิ้น 24 ครั้ง


4 นิยามศัพท์เฉพาะ เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กนักเรียนชาย – หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้น อนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและความ บันเทิง มีการสอดแทรกคติธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สามารถนำความรู้มาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช่ใน ชีวิตประจำวัน และเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตได้ การปั้น หมายถึง การนำวัสดุที่เป็นเนื้ออ่อนที่สามารถเปลี่ยนรูปได้ เช่น ขี้ผึ้ง ดินเหนียว ดินน้ำมัน กระดาษผสมกาว ขี้เลื่อยผสมกาว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น มาผ่านกระบวนการในการเพิ่มวัสดุให้เกิดเป็นรูปทรง ตามต้องการโดยใช้มือ และวัสดุอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ ช่วยในการสร้างงานปั้น นอกจากนี้ งานปั้นยังเป็นงาน ศิลปะที่สามารถสัมผัสกับส่วนลึก ตื้น หนา หรือบางได้ตามความเป็นจริง ไม่เหมือนงานจิตรกรรมที่มีลักษณะ เป็น 2 มิติ ที่ผู้ชมจะสัมผัสกับความลึกตื้น หนา บาง ได้จากความรู้สึกเท่านั้น ทักษะการคิดเชิงเหตุผล หมายถึง ความสามารถของเด็กปฐมวัยกลุ่มตัวอย่างที่สามารถอธิบาย บอก ถึงการคิดเชิงเหตุผลของตนเองต่อเหตุการณ์ที่ตนเองปฏิบัติอยู่ ตลอดจนสามารถตอบข้อสงสัย ข้อซักถาม หรือ เหตุผลในการแก้ปัญหาต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนและกระตุ้นจากครูผู้สอน ซึ่งจะนำไปสู่ทักษะการคิดให้ เหตุผลเชิงตรรกะ และเชิงสถานการณ์ การให้เหตุผลเชิงตรรกะนั้นเป็นการให้เหตุผลภายใต้เงื่อนไขและ ข้อตกลงร่วมกันระหว่างครูและเด็กว่าจะจำแนก หรือเรียงลำดับตามรูปร่าง ลักษณะอย่างไร และการให้เหตุผล เชิงสถานการณ์นั้นเป็นการให้เหตุผลการแก้ปัญหาของเด็กแต่ละคนที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งในการ วิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้แบ่งการคิดเชิงเหตุผลออกเป็น 3 ด้านคือ 2.1 ด้านการจ าแนก หมายถึง การที่เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการแบ่งประเภทการจัด หมวดหมู่ เปรียบเทียบ สังเกตความเหมือนหรือแตกต่างกันในด้านลักษณะ รูปร่าง สี ลายและรูปทรงของ สิ่งของ สัตว์ พืช หรือคน 2.2 ด้านการเรียงล าดับ หมายถึง การที่เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการลำดับเรื่องราว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิทาน ลำดับสิ่งของ สัตว์ ของเล่นที่ปั้น ภาพต่างๆ สี และลำดับเรื่องราว หรือ เหตุการณ์ที่เด็กได้ทำผ่านมาในระหว่างการปฏิบัติกิจกรรมศิลปะการปั้น 2.3 ด้านการแก้ปัญหา หมายถึง การที่เด็กปฐมวัยมีความสามารถ ในการคิดหาคำตอบ หา แนวทาง ในการแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้ สำเร็จ


5 ประโยชน์ที่ได้รับ 1. เด็กปฐมวัยมีทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับดีขึ้น หลังจากการได้รับการจัด ประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้น 2. เป็นประโยชน์สำหรับครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่จะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุง กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่ใช้ในการสอนให้ดียิ่งขึ้น 3. เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการ เรียงลำดับของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้นทั้งภายในและภายนอก กรอบแนวคิดการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำกิจกรรมเล่านิทานประกอบการปั้นมาเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อ ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการเรียงลำดับให้กับเด็กปฐมวัย ดังนี้ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย การจัดกิจกรรมเล่านิทาน ประกอบการปั้น ทักษะการคิดเชิงเหตุผลด้านการ เรียงล าดับของเด็กปฐมวัย


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแยกการนำเสนอ เนื้อหาตามลำดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทานและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความหมายของนิทาน 3.2 ความสำคัญและคุณค่าของนิทาน 2.3 สื่อที่ใช้ในการเล่านิทาน 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปั้นและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 ความหมายของการปั้น 3.2 ความสำคัญของการปั้น 3.3 นิทานกับการปั้น 3.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 ความหมายของการคิด 4.2 ความสำคัญของการคิด 4.3 ประเภทของการคิด 4.4 ทักษะการคิด 4.5 ทักษะการคิดเชิงเหตุผล 4.6 แนวทางการส่งเสริมการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย 4.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง


7 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กระทรวงศึกษาธิการ (2560 : 2 - 44) กล่าว่า หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (สำหรับ เด็กอายุ 3 – 6) ปีจัดทำขึ้นโดยยึดแนวคิดและหลักการจัดการศึกษา ดังนี้ ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี บริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐานการ อบรมเลี้ยงดู และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนให้ เต็มตามศักยภาพภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความ เข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณค่าต่อ ตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ วิสัยทัศน์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญาอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและเหมาะสมตาม วัย มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และสำนึกความเป็นไทย โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก หลักการ เด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสมด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับ ผู้สอน เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนา และให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้าน อย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็ม ตามศักยภาพโดยมีหลักการ ดังนี้ 3.1 ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน 3.2 ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย


8 3.3 ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นอย่างมีความหมายและมี กิจกรรมที่หลากหลาย ได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัย และมีการพักผ่อน ที่เพียงพอ 3.4 จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข 3.5 สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่างสถานศึกษา กับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย จุดหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยเต็มตามศักยภาพ และเมื่อมีความพร้อมใน การเรียนรู้ต่อไป จึงกำหนดจุดหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อเด็กจบการศึกษาระดับปฐมวัย ดังนี้ 4.1 มีร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี 4.2 มีสุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรมและจิตใจที่ดีงาม 4.3 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4.4 มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐาน ประกอบด้วย 5.1 พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน 5.2 พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม 5.3 พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน


9 มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5.4 พัฒนาการด้านสติปัญญา ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ ตัวบ่งชี้เป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่คาดหวังให้เด็กเกิด บนพื้นฐาน พัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุเพื่อนำไปใช้ในการกำหนดสาระเรียนรู้ใน การจัดประสบการณ์ กิจกรรมและประเมินพัฒนาการเด็ก โดยมีรายละเอียดของมาตรฐาน มาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ ดังนี้


10 ตารางที่ 1 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ 4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 2.2 ใช้มือ – ตา ประสานสัมพันธ์กัน 2.2.1 ใช้กรรไกรตัด กระดาขาดจากกันได้ โดยใช้มือเดียว 2.2.1 ใช้กรรไกรตัดกระดาษ ตามแนวเส้นตรงได้ 2.2.1 ใช้กรรไกรตัด กระดาษตามแนวเส้นโค้ง ได้ 2.2.2 เขียนรูปวงกลม ตามแบบได้ 2.2.2 เขียนรูปสี่เหลี่ยมตาม แบบได้อย่างมีมุมชัดเจน 2.2.2 เขียนรูป สามเหลี่ยมตามแบบได้ อย่างมีมุมชัดเจน 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรู ขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลาง 1 ซม.ได้ 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเส้น ผ่านศูนย์ 0.5 ซม.ได้ 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรูขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง0.25 ซม.ได้ มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ 4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 3.1 แสดงออกทาง อารมณ์อย่างเหมาะสม 3.1.1 แสดงอารมณ์ ความรู้สึกได้เหมาะสม กับบางสถานการณ์ 3.1.1 แสดงอารมณ์ ความรู้สึกได้ตาม สถานการณ์ 3.1.1 แสดงอารมณ์ ความรู้สึกได้สอดคล้อง กับสถานการณ์อย่าง เหมาะสม 3.2 มีความรู้สึกที่ดีต่อ ตนเองและผู้อื่น 3.2.1 กล้าพูดกล้า แสดงออก 3.2.1 กล้าพูดกล้า แสดงออกอย่าง เหมาะสมบาง สถานการณ์ 3.2.1 กล้าพูดกล้า แสดงออกอย่าง เหมาะสมตาม สถานการณ์


11 3.2.2 แสดงความพอใจ ในผลงานตนเอง 3.2.2 แสดงความพอใจ ในผลงานและ ความสามารถของตนเอง 3.2.2 แสดงความพอใจ ในผลงานและ ความสามารถของตนเอง และผู้อื่น มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ 4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 4.1 สนใจและมีความสุข และแสดงออกผ่านงาน ศิลปะ ดนตรีและการ เคลื่อนไหว 4.1.1 สนใจและมี ความสุขและแสดงออก ผ่านงานศิลปะ 4.1.1 สนใจและมี ความสุขและแสดงออก ผ่านงานศิลปะ 4.1.1 สนใจและมี ความสุขและแสดงออก ผ่านงานศิลปะ มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ 4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 5.3 มีความเห็นอกเห็น ใจผู้อื่น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ ท่าทางรับรู้ความรู้สึก ผู้อื่น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ ท่าทางรับรู้ความรู้สึก ผู้อื่น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ ท่าทางรับรู้ความรู้สึก ผู้อื่นอย่างสอดคล้องกบ สถานการณ์


12 มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ 4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 8.3 ปฏิบัติตนเบื้องต้น ในการเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคม 8.3.1 ปฏิบัติตาม ข้อตกลงเมื่อมีผู้ชีแนะ 8.3.1 มีส่วนร่วมสร้าง ข้อตกลงและปฏิบัติตาม ข้อตกลงเมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.3.1 มีส่วนร่วมสร้าง ข้อตกลงและปฏิบัติตาม ข้อตกลงด้วยตนเอง มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 9.1 สนทนาโต้ตอบและ เล่าเรื่องให้ผู้อื่นเข้าใจ 9.1.2 เล่า เรื่องด้วย ประโยคสั้นๆ 9.1.2 เล่าเรื่องเป็น ประโยคอย่างต่อเนื่อง 9.1.2 เล่าเป็นเรื่องราว ต่อเนื่องได้ มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ อายุ 3 - 4 ปี อายุ 4 - 5 ปี อายุ 5 - 6 ปี 11.1 ทำงานศิลปะตาม จินตนาการและความคิด สร้างสรรค์ 11.1.1 สร้างผลงาน ศิลปะเพื่อสื่อสาร ความคิด ความรู้สึกของ ตนเอง 11.1.1 สร้างผลงาน ศิลปะเพื่อสื่อสาร ความคิด ความรู้สึกของ ตนเองโดยมีการ ดัดแปลงและแปลกใหม่ จากเดิมหรือมี รายละเอียดเพิ่มขึ้น 11.1.1 สร้างผลงาน ศิลปะเพื่อสื่อสาร ความคิด ความรู้สึกของ ตนเองโดยมีการดัดแปลง และแปลกใหม่จากเดิม และ มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น


13 การจัดเวลาเรียน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ 3 -6 ปี กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาในการจัด ประสบการณ์ให้กับเด็ก 1 – 3 ปีการศึกษา โดยประมาณทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอายุของเด็กที่เริ่มเข้าสถานศึกษาหรือ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เวลาเรียนสำหรับเด็กจะขึ้นอยู่กับสถานศึกษาแต่ละแห่ง โดยมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่า 180 วันต่อ 1 ปีการศึกษา ในแต่ละวันจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง โดยสามารถปรับให้เหมาะสมตาม บริบทของสถานศึกษาและสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 9. การจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3 – 6 ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะบูรณาการผ่านการเล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิด การพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชาโดยมีหลักการ และแนวทาง การจัดประสบการณ์ ดังนี้ 10. หลักการจัดประสบการณ์ 10.1 จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้หลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวมอย่าง สมดุลและต่อเนื่อง 10.2 เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคและ บริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่ 10.3 จัดให้ได้รับการพัฒนาโดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก 10.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการ จัดประสบการณ์ พร้อมทั้งนำผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง 10.5 ให้พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก 11. แนวทางการจัดประสบการณ์ 11.1 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมองที่ เหมาะสมกับอายุ วุฒิภาวะและระดับพัฒนาการ เพื่อให้เด็กทุกคนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ 11.2 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทำเรียนรู้ผ่าน ประสาสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง 11.3 จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้


14 11.4 จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำและนำเสนอความคิด โดยครูหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุนอำนวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก 11.5 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นกับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ ในบรรยากาศที่อบอุ่นมีความสุข และเรียนรู้การทำกิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะต่างๆกัน 11.5 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้หลากหลายและอยู่ในวิถี ชีวิตของเด็ก 11.6 จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวัตตลอดจน สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 11.6 จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่ดีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ 11.7 จัดทำสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็น รายบุคคล นำมาไตร่ตรองและใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็ก และการวิจัยในชั้นเรียน 11.8 จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมทั้งการวางแผนการ สนับสนุนสื่อแหล่งเรียนรู้ การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ 12. การประเมินพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3 –6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อตนเอง และเป็น ส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัดให้ เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนำมาจัดทำสารนิทัศน์หรือจัดทำข้อมูลหลักฐานหรือ เอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถบอกเรื่องราวหรือ ประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ ให้นำข้อมูลผลการประเมิน พัฒนาการเด็กมาพิจารณา ปรับปรุงวางแผน การจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตาม จุดหมายของหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี้ 12.1 วางแผนการประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ 12.2 ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน 12.3 ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดปี


15 12.4 ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจำวันด้วยเครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย ไม่ควรใช้แบบทดสอบ 12.5 สรุปผลการประเมิน จัดทำข้อมูลและนำผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก สำหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3 – 6 ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การ สนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (สำหรับอายุ 3 – 6 ปี) มีความยืดหยุ่นสามารถนำไปปรับให้เหมาะกับเด็กและสภาพท้องถิ่นได้ โดยมีจุดเน้นสำคัญคือ การเรียนรู้แบบ active learning ของเด็กโดยการลงมือกระทำ มีการบูรณาการผ่านการเล่น มีเป้าหมาย คือ เป็นคนดี มีวินัย มีปัญญา ความสุข เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการอบรมเลี้ยงดู เด็กจะได้รับการพัฒนาทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญาตามวัยและความสามารถของเด็กแต่ละคน เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเล่านิทานและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ความหมายของนิทาน มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของนิทาน ไว้ดังนี้ จารุณี ศรีเผือก (2554 :17) กล่าวคือ นิทาน คือ เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินและความบันเทิง ซึ่งนิทานอาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่สมมติขึ้น ทำให้เด็กเกิดจินตนาการจากเรื่อง ได้แง่คิดคติสอนใจ เด็กสามารถนำไปเป็นต้นแบบต่อการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันและใช้ในอนาคตได้ นิตยา ดอกกระถิน (2552 :20 ได้ให้ความหมายของนิทานว่า นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกัน มาหรือแต่งขึ้นใหม่ เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินและให้ความรู้ มีการสอดแทรกคติธรรมหรือ คุณธรรมลงไปเพื่อให้เด็กนำไปเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต ดวงสมร ศรีใสคำ (2552 :29) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความ สนุกสนานเพลิดเพลิน และเกิดความรู้ สามารถนำมาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ปราณี ปริยวาที (2551 :24) ได้ให้ความหมายของนิทานว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาด้วยการ ผูกเรื่องขึ้นโดยอาศัยประวัติของความจริงบ้างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบ้างหรืออาจจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจาก จินตนาการหรืออิงความจริงมีวัตถุประสงค์เพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลิน สอดแทรกแง่คิดคติสอนใจ และ แฝงด้วยการปลูกฟังคุณธรรมจริยธรรมอันดีงาม เพื่อให้ผู้ฟังนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติตนที่ดีในการอยู่ร่วมกัน ในสังคม


16 บุษนีย์ สมญาประเสริฐ (255 1 :21) ได้ให้ความหมายของนิทานว่าเป็นสื่อการเรียนการสอนของครูที่ สามารถนำไปสู่การเรียนการสอนในรูปแบบมากมาย ทั้งด้านการใช้ภาษา คณิตศาสตร์ การสังเกตนิทาน สามารถสร้างจินตนาการ ความฝันความคิด ความเข้าใจ และการรับรู้ให้กับเด็ก และยังเป็นสื่อที่จะช่วยปลูกฝัง ให้เด็กรักการอ่านมากยิ่งขึ้น จิราพร ปั้นทอง (2550 :36) สรุปความหมายของนิทานว่า เรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาหรือแต่งขึ้นใหม่ เพื่อให้เกิดความสนุกสนานและสามารถสอดแทรกแนวคิดเพื่อให้เด็กนำไปเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต สรุป นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและความ บันเทิง มีการสอดแทรกคติธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สามารถนำความรู้มาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช่ใน ชีวิตประจำวัน และเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตได้ 2. ความส าคัญและคุณค่าของนิทาน มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงคุณค่ของนิทานไว้ ดังนี้ บวร งามศิริอุดม (2556) ให้ความหมายความสำคัญที่ได้จากการเล่านิทาน 1. ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก 2. ให้รู้จักคำเรียกชื่อสิ่งของต่างๆจากรูปภาพในนิทาน 3. เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก พัฒนาความคิด จินตนาการ 4. ให้ความรู้สึกที่ดีต่อเด็ก 5. มีความตลกขบขันให้ความสนุกสนาน ช่วยแก้ปัญหาให้กับตัวเด็ก เมื่อเปรียบเทียบตนเองกับตัว ละคร ปราณี ปริยวาที (2551 :29) กล่าวว่า นิทานมีคุณค่าและประโยชน์ คือ เป็นวิธีการให้ความรู้ที่จะทำให้ เด็กสนใจเรียนรู้ สามารถจดจำและกล้าแสดงออก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของ เด็กจากตัวแบบในนิทานที่เด็กประทับใจ สร้างสมาธิ ผ่อนคลายอารมณ์ สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้เล่า และผู้ฟัง


17 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550 :11-16) ได้ระบุถึงความสำคัญของนิทานว่า นิทานเป็นสิ่งที่ สำคัญต่อชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนอกจากนิทานจะช่วยให้เด็กๆมีความสุขสนุกหรรษาแล้วยังเป็นโลกแห่ง จินตนาการที่สมบูรณ์แบบที่คอยช่วยถักทอสายใยความรัก ความฝันสานสัมพันธ์อันอบอุ่น ความละมุนละไมในกลุ่มสมาชิกของครอบครัว อีกทั้งนิทานยังให้แง่คิดคติสอนใจและปรัชญาชีวิตอัน ล้ำลึกแก่เด็ก นิทานมีความสำคัญต่อการพัฒนาการของเด็ก ดังนี้ 1. ช่วยพัฒนาเด็กทางด้านลักษณะชีวิต เด็กได้เรียนรู้ถึงลักษณะชีวิตที่ดีผ่านนิทานที่ปรารถนาให้เด็กมี พฤติกรรมที่ดี เช่น มีคุณธรรมจริยธรรม มีความกล้าหาญ มีความยุติธรรม 2. การพัฒนาเด็กด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพเป็นองค์ประกอบที่มีอยู่มากในนิทาน ซึ่งเด็กจะได้รับ รู้ถึงบุคลิกภาพที่ดีที่จะช่วยให้อยู่ในสังคมได้อย่างดี เช่น ความเชื่อมั่น การรักษาตน ความสุภาพอ่อนน้อม ความมีมารยาทที่ดี ความเป็นผู้นำ 3. การพัฒนาเด็กด้านความรู้และสติปัญญา 4. การพัฒนาเด็กในด้านทักษะและความสามารถ 5. การพัฒนาเด็กในด้านสุขภาพ นิทานเป็นกระบวนการหนึ่งที่กำหนดบทบาทในด้านสุขภาพให้เกิด แก่เด็ก เพราะเมื่อเด็กได้อ่านหรือฟังนิทานแล้วจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในการที่จะรักษาสุขภาพกายและ สุขภาพจิตของตน จิราพร ปั้นทอง (2550 :38) กล่าวว่า นิทานมีคุณค่าต่อเด็กเป็นอย่างมาก นิทานช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการทางภาษาความคิดและจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ ฝึกให้เด็กมีความกล้าที่จะแสดงออกเกิดความ สนุกสนานเพลิดเพลิน มีสมาธิเป็นผู้รู้จักฟังมีสัมพันธ์อันดีกับบุคคลรอบข้าง เป็นตัวกระตุ้นนำให้เด็กมี คุณลักษณะอันถึงประสงค์ของสังคม มีพฤติกรรมและเป็นที่ยอมรับอันจะนำมาซึ่งความสุขในการดำเนินชีวิต สรุป นิทานมีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัย คือ เป็นวิธีการให้ความรู้ที่จะทำให้เด็กสนใจเรียนรู้สามารถ จดจำและกล้าแสดงออก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ช่วยพัฒนาเด็กทางด้านลักษณะชีวิต พัฒนาเด็กด้าน บุคลิกภาพด้านความรู้และสติปัญญา ด้านทักษะและความสามารถ และด้านสุขภาพ


18 3. สื่อที่ใช้ในการเล่านิทาน การเล่านิทานมีความสำคัญมากสำหรับเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะเรื่องของการเลือกสื่อที่ใช้ประกอบการ เล่านิทานทั้งผู้เล่าและผู้ฟัง เพราะเด็กในช่วงวัยนี้มีช่วงความสนใจสั้น การเลือกสื่อที่เร้าต่อความสนใจของเด็ก จะช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และติดตามเรื่องราวที่ฟังตลอดทั้งเรื่อง การจัดเตยมสื่อที่ เหมาะสมและมีการฝึกใช้สื่อมาก่อนการเล่า จะช่วยให้ผู้เล่าเกิดความมั่นใจในการเล่า ราบรื่นและประสบผลดี ไพพรรณ อินทนิล (2534, หน้า 113-148) อุปกรณ์การเล่านิทานช่วยกระตุ้นผู้ฟัง ให้เกิดความสนใจในนิทานมากยิ่งขึ้น สื่อที่ใช้ในการเล่านิทานสามารถแยกประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. รูปภาพ 1.1 ภาพประกอบจากหนังสือสำหรับเด็ก 1.2 ภาพวาด 1.3 ภาพแปะ 1.4 การใช้ภาพวาดติดกระดุม 1.5 การใช้ภาพจากโฆษณา 2. หุ่นต่างๆ ได้แก่ 2.1 หุ่นเงา 2.2 หุ่นมือ 2.3 หุ่นถุงมือ 2.4 หุ่นถุงกระดาษ 2.5 หุ่นนิ้วมือ 2.6 หุ่นหน้ากากหรือหุ่นใส่ตัวคน 2.7 หุ่นเงามือ 2.8 หุ่นเชิด หรือหุ่นกระบอก 2.9 หุ่นชัก 3. ดนตรีประกอบการเล่านิทาน 4. เชือกและสิ่งของต่างๆ ประกอบการเล่านิทาน 5. การแสดงท่าทางประกอบการเล่านิทาน 6. การใช้นิ้วมือประดิษฐ์เป็นตัวละคร


19 7. กระดาษพับเป็นรูปต่างๆ 8. การเล่านิทานโดยใช้สื่อที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น ตะกร้า ตุ๊กตา ใบไม้ เกริก ยุ้นพันธ์ (2543, หน้า 92-93 สื่อที่ใช้ในการเล่านิทานมีหลากหลาย ซึ่งพอจะกล่าวได้ ดังนี้ 1. การเล่านิทานด้วยหนังสือ 2. การเล่านิทานประกอบหุ่นกระดาษ 3. นิทานหุ่นนิ้ว และนิทานหุ่นนิ้วเจาะรู 4. นิทานหุ่นมือ 5. นิทานหุ่นเชิด 6. นิทานหุ่นซัก 7. นิทานหุ่นเงา 8. นิทานเชือก 9. นิทานพับกระดาษ 10. นิทานตัดกระดาษหรือฉีกกระดาษ 11. นิทานประกอบการปั้น 12. นิทานผ้าเช็ดหน้า 13. นิทานแผ่นป้ายสำลี 14. นิทานหน้ากาก จากสื่อที่ใช้ในการเล่านิทานดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การเลือกสื่อที่ใช้ในการเล่านิทานมีความสำคัญ ต่อเด็กปฐมวัยมาก เพราะเด็กในช่วงวัยนี้มีช่วงความสนใจสั้น การเลือกสื่อที่เร้าความสนใจของเด็กจะช่วยให้ เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และติดตามเรื่องราวที่ฟังตลอดทั้งเรื่อง สื่อที่ใช้ในการเล่านิทานมี หลากหลาย ได้แก่ รูปภาพ เช่น ภาพประกอบจากหนังสือเด็ก ภาพวาด ภาพ แปะ ภาพจากโฆษณา หุ่นต่างๆ ได้แก่ หุ่นเงา หุ่นมือ หุ่นถุงมือ หุ่นถุงกระดาษหุ่นนิ้วมือ หุ่นหน้ากากหรือหุ่นตัวคน หุ่นเงามือ หุ่นเชิด หุ่นชัก ดนตรีประกอบการเล่านิทาน เชือกและสิ่งของประกอบการเล่านิทาน การแสดงท่าทางประกอบการเล่านิทาน การใช้นิ้วมือประดิษฐ์เป็นตัวละคร นิทานพับกระดาษ นิทานตัดกระดาษหรือฉีกกระดาษ นิทานประกอบการ ปั้น นิทานผ้าเช็ดหน้า นิทานแผ่นป้ายสำลี นิทานหน้ากาก นิทานโดยใช้สื่อที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน วัสดุตาม


20 ธรรมชาติ เทคโนโลยี และตัวผู้เล่าเองก็เป็นสื่ออย่างหนึ่งที่เหมาะสม นอกจากนี้การจัดเตรียมสื่อที่เหมาะสม และมีการฝึกใช้สื่อมาก่อนการเล่า จะช่วยให้ผู้เล่าเกิดความมั่นใจในการเล่า ราบรื่นและประสบผลดี ผู้ศึกษาใช้ สื่อในการเล่านิทาน เป็นภาพจากหนังสือนิทาน ใช้การแสดงท่าทางประกอบและใช้หุ่นมือ เป็นสื่อประกอบการ เล่านิทานในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประภาพิศ ดวงคำจันทร์ (2555:77 อ้างอิงจาก อมอริจจิAmoriggi, 1981) ได้ศึกษาความสามารถใน การเล่านิทานของเด็กปฐมวัย โดยผู้วิจัยจะเล่านิทานให้เด็กฟังแล้วให้เด็กเล่าเรื่องย้อนกลับและเด่าเรื่องราวต่อ จากผู้วิจัย ซึ่งทดลองครั้งละ 15-20 นาที เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าเด็กตามารถเล่านิทานได้ ถูกต้อง การเรียงลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ พัฒนามากขึ้น ในขณะทำการทดลองเด็กสามารถนำเอานิทานที่ฟังไป ประยุกต์และเล่าเรื่องต่อไปหลังการทดลองผ่านไป 3 สัปดาห์ออดยนเนล (O'Donrel, 1999) ได้ศึกษาเรื่องผล ของทักษะการเล่าเรื่องจากการฟังนิทานและวาดรูปตามการค้นพบพบว่า พัฒนาการโครงการสร้างการเล่าเรื่อง สามารถพัฒนาได้ดีในเด็กฮายุ 4 ปี เด็กสามารถบอกบรรยายในรูปแบบของเรื่องแสะนิทาน หลังจากเสานิทาน เด็กตามารถนำเสนอเรื่องราวของเรื่องที่ได้ฟังได้เป็นอย่างดี และยังพบว่าการวาดภาพหลังจากการได้ยินหรือ ฟังเรื่องหรือนิทานไม่ได้ส่งเริมการเล่าเรื่องย้อนกลับของเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปี ดังนั้นจึงควรส่งเสริมการเล่า เรื่องหรือนิทานในเด็กอายุช่วง 4-6 ปี ระภา เอี่ยมสุธึ (2557) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่า นิทานประกอบงานศิลปะที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อ สร้างและหาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่านิทานประกอบงานศิลปะ ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังกิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่านิทานประกอบงานศิลปะ ที่ส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย โดยดำเนินการตามขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่านิทานประกอบงานศิลปะ ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ผู้ศึกษาได้ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี หลักการสร้างกิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่า นิทานประกอบงานศิลปะ จากนั้นสร้างกิจกรรมจำนวน 20 กิจกรรม นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านตรวจสอบ


21 ความเหมาะสมของกิจกรรม นำมาปรับปรุงแก้ไข แล้วนำไปทดลองกับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนชุมชน บ้านคลองลาน จำนวน 3 คน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมด้านภาษา เนื้อหาและเวลา แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไข แล้วนำไปทดลองกับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่2/3ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนชุมชนบ้าน คลองลาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 จำนวน 1 ห้องเรียน 20 คน เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรม เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ กิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่า นิทานประกอบงานศิลปะ ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ผลการตรวจสอบความ เหมาะสมโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและหาค่าดัชนีประสิทธิผล ขั้นตอนที่ 2 การ เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังกิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการ เล่านิทานประกอบงานศิลปะที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 22 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนชุมชนบ้านคลองลาน สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 จำนวน 1 ห้องเรียน24 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์จากการวาดภาพ TCT - DP ของเยลเลนและเออร์บัน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่การทดสอบค่า t (t - test for dependent samples) ผลการศึกษา พบว่า1. กิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่านิทานประกอบงานศิลปะ ที่ส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย มีกระบวนการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นวางแผนขั้นตอนที่ 2 ชั้นปฏิบัติ ขั้นตอนที่ 3 ขั้นทบทวน สรุปกิจกรรมการจัดการเรียนรู้มีค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.85 , S.D. = 0.22) และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.67662. ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กนักเรียนที่เรียนด้วย กิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการเล่านิทานประกอบงานศิลปะ ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวัย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ศรัญญา พิมเสน(2562 : 1) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยการเล่านิทานแบบ เล่าไปวาดไปของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ปฐมวัยโดยใช้การการเล่านิทานแบบเล่าไปวาดไป ระดับชั้นอนุบาล 3 ให้มีประสิทธิภาพ (E,/E2) ตามเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนดเพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรม การการเล่านิทานแบบเล่าไปวาดไป กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านคลองนา มิตรภาพที่201 จำนวน 20 คน โดยใช้เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย รวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่า


22 ประสิทธิภาพ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่า 1.การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง พฤติกรรมก่อนการจัดประสบการณ์และหลังการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยการเล่านิทานแบบเล่าไปวาดไป ของเด็กปฐมวัย ที่ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาขึ้นพบว่าคะแนนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 โดยคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ 2.ประสิทธิภาพของแผนการจัด ประสบการณ์กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวแรก(E1) รวมทั้ง 5 แผนการจัดกิจกรรม เท่ากับ 9 1.25 ส่วนประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวหลัง (E.)เท่ากับ 87.10 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปั้นและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ความหมายของการปั้น วรรณวัฒก็ ปวุตตานนท์ (2556: ออนไลน์) กล่าวว่า การปันหมายถึง การนำเอาวัสดุอ่อนทีสามารถ รวมกันได้ หรือแบ่งแยกออกจากกันได้ เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน ขี้ผึ้ง มาตกแต่งทำเป็นรูปทรงต่างๆ ตาม ต้องการ โดยวิธีขยำ บีบ นวด ตัด ขัด ขูด ปะ เป็นต้น ไพบูลย์ อมรประภา (2556: ออนไลน์) กล่าวว่า การปั่นหมายถึง การนำวัสดุที่เป็นเนื้ออ่อนที่สามารถ เปลี่ยนรูปได้ เช่น ขี้ผึ้ง ดินเหนียว กระดาษผสมกาว ขี้เลื่อยผสมกาว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้นมาผ่ากระบวนการ ในการเพิ่มวัสดุให้เกิดเป็นรูปทรงตามต้องการโดยใช้มือ และวัสดุอุปกรณ์ชนิดต่างๆ ช่วยในการสร้างงานปั้น นอกจากนี้ งานปั่นยังเป็นงานศิลปะที่สามารถสัมผัสกับส่วนลึก ตื้นหนา และบางได้ตามความจริง จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าการปั่นหมายถึง การนำเอาวัสดุเนื้ออ่อนที่ได้จากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุ สังเคราะห์ ที่สามารถแยกหรือเปลี่ยนรูปได้ มาผ่านกระบวนการในการเพิ่ม- ลดวัสดุ หรือตกแต่งให้เกิดเป็น รูปทรงต่างๆ ตามต้องการ โดยการบีบ ขยำ ขัด ปะ ขูด และนวด 2. ความส าคัญของการปั้น การปั้นช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อมือ พัฒนาด้าน ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ พัฒนาทางด้านสติปัญญา ถือว่าการปั้นนั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนา เกือบทุกด้าน


23 กรองกมล บุตรขาว. (2546 : 26) ได้กล่าวถึงความสำคัญของประสบการณ์การปั้นว่า ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง ถ่ายทอดความคิดด้วยสื่อที่กำหนด นอกจากเด็กจะได้รับการพัฒนากล้ามเนื้อมือแล้ว ยัง ส่งผลต่ออารมณ์ในด้านความเพลิดเพลิน และรองรับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วได้ เมรี เมเยสกี้ (Mary Mayesky. 2009: 295) ได้กล่าวว่า การปั่นสามารถช่วยให้เด็กได้มีความคิดและ จินตนาการที่หลากหลาย เด็กสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางศิลปะของเขาเองจากการปั้นดินเหนียว การปั้น ดินเหนียวไม่ทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ทุกคนสามารถทำกิจกรรมการปั้นได้ เพราะจะช่วยให้เด็ก เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีสิ่งที่สำคัญคือ เด็กไม่ควรถูกจำกัดในการสร้างสรรค์ ผลงานของแต่ละคน จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การปั่นมีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยอย่างยิ่ง การปั่นจะช่วยให้เด็กมี ประสบการณ์ มีความคิดและจินตนาการที่หลากหลาย และกว้างไกล นอกจากนี้เด็กยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง ต่างๆ ผ่านการปั้น เด็กสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางศิลปะของตนเอง เมื่อเด็กได้ลงมือปฏิบัติการปั้น และ ได้สัมผัสกับเนื้อดิน ทำให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเพลิดเพลิน 3. นิทานกับการปั้น เลิศ อานันทนะ (2535: 45-46) ได้กล่าวว่า การปั้นเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาการทำงานที่ ประสานสัมพันธ์กันระหว่างการใช้กล้ามเนื้อมือและประสาทตาซึ่งเด็กจะได้พัฒนาทั้งกล้าเนื้อมือ ฝ่ามือ และนิ้ว มือ ซึ่งจะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ มีความแข็งแรงและทำงานได้คล่องตัวขึ้นซีเฟลท์และบาร์บัว (ปัทมา แจ่มจำรัส. 2548: 35; อ้างอิงจาก Seefelt : Barbour.1986: 267-298) ได้กล่าวถึงการปั้นว่า การปั้นดินเหนียวด้วยมือ มัวนรอบ ๆ แขน หรือทุบโต๊ะ ทำให้เกิดความพอใจและความสนุกเพลิดเพลิน ดินเหนียวมีหลายชนิด เช่นดิน เหนียว สีแดง สีเทา สีขาว เป็นตัน ดินเหนียว แป้งโดและสื่ออื่นๆมีประโยชน์ การเก็บดินเหนียวต้องใส่ภาชนะ เพื่อเก็บรักษาความชื้นปั้นเป็นก้อนเล็กๆแต่ละก้อนทำเป็นรอยเว้า เติมน้ำลงไปจะช่วยรักษาให้ใหม่และอ่อน นุ่มเหมาะสำหรับมือของเด็ก เด็กสามารถปั้นดิน สาน หรือทำงานตามความต้องการ เด็กทำกิจกรรมกับดินและ แป้งด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การติดกับสิ่งอื่น ใช้กาวติดเข้าด้วยกัน มาเยสกี้ (ปัทมา แจ่มจำรัส. 2548: 33; อ้างอิงจาก Mayesky. 1998: 186) ได้กล่าวว่าเป็นสื่อที่ สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และมีความยืดหยุ่น มีประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็ก ช่วยพัฒนาประสาทสัมผัส การรับรู้ ความเข้าใจ ความชื่นชม จากการสัมผัส การปั้นช่วยพัฒนาความสามารถในการปรับตัว การ เปลี่ยนแปลง โดยใช่สื่อที่มีความยืดหยุ่น ในการปั่นวัตถุ 3 มิติ เด็กเด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับรูปร่าง


24 สัดส่วน ความมั่นคงแข็งแรง เรียนรู้ที่จะสร้างวัตถุด้วยมือตนเอง เมื่อเด็กมีอายุมากขึ้น จะเกิดความซาบซึ้งใน งานประดิมากรรมและเครื่องปั้นดินเผาสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวและประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อการปั่นช่วยให้เกิด งานประติมากรรมที่มีเอกลักษณ์และเรียบง่าย ซึ่งศิลปะ 3 มิติ พบได้ในมุมศิลปะทั่วไป ภายในห้องเรียนเด็ก ปฐมวัย และจนถึงปัจจุบันนี้แนวคิดหลักเกี่ยวกับประดิมากรรมเป็นสื่อช่วยให้เกิดรูปแบบ ช่องว่าง ไม่ว่าอะไรก็ ตามที่เด็กแต่ละคนทำในทุก ๆ วันช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ รุรักษ์ ภิรมย์รักษ์ (2540: 45) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่สืบต่อเนื่องกันมา โดยวัตถุประสงค์เพื่อ สืบทอดประสบการณ์ ความรู้ ความคิด หรือค่านิยมบางอย่างให้ผู้ฟัง พร้อมทั้งสอดแทรกความสนุกสนาน เพลิดเพลินไปพร้อมๆ กัน กุลยา ตันติผลาชีวะ (2541: 2/10 ) ให้ความหมายไว้ว่า นิทานคือสิ่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับการสร้าง การเรียนรู้ให้กับเด็กปฐมวัย ไม่มีเด็กคนใดไม่ชอบฟังนิทาน นิทานสามารถสร้างจินตนาการ ความฝัน ความคิด ความเข้าใจและการรับรู้ให้กับเด็ก สรุปได้ดังนี้นิทานกับการปั้น นิทาน เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับการสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็ก ปฐมวัย ไม่มีเด็กคนใดไม่ชอบฟังนิทาน นิทานสามารถสร้างจินตนาการ ความฝันความคิด นิทานยังเป็นตัวช่วย ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการคิดเชิงเหตุผล กิจกรรมการปั้นสำหรับเด็กปฐมวัยเป็นกิจกรรมที่ตอบสนองและเปิด โอกาสให้เด็กได้สร้างสรรค์งานที่มีรูปทรงสามมิติในขณะที่เด็กปั้นเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนทำให้เกิดการเรียนรู้ ให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึก ความคิดจินตนาการ กระบวนการและจะส่งเสริมพัฒนาการ ทั้ง 4 ด้านให้แก่ เด็ก ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ด้านสังคมและด้านสติปัญญา เสริมสร้างลักษณะนิสัยบุคลิกภาพที่เหมาะสมกล้า แสดงออกกล้าคิดกล้าทำ ทำให้เด็กมีความภาคภูมิใจที่ได้ทำสิ่งนั้นและพยายามทำสิ่งนั้นให้สำเร็จด้วยความ มานะอดทนและส่งผลให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นตนเอง การปั่นเป็นตัวสนับสนุนให้เด็กได้คิดวางแผนการปั่น เพื่อถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงการเรียนรู้ของตนเอง 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิชชุลดา นุชนงค์ (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการปั้นที่มีต่อความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ชั้นบริบาล โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ การวิจัยในครั้งนี้มี วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ชั้นบริบาล โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการปั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้


25 คือ เด็กชาย–หญิง ที่มีอายุระหว่าง 2-3 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นบริบาล ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา2563 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์สังกัดกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงจำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ดังนี้ 1. แผนการจัดกิจกรรมการปั้น จำนวน 8 แผน 2.แบบทดสอบวัดความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็ก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์คุณภาพแผนการจัดกิจกรรมการปั้น 2. การ วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย 3. การวิเคราะห์ ข้อมูลพื้นฐานผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยหลังการได้รับกิจกรรมการปั้นมีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อ มัดเล็กโดยรวมหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง เพื่อพิจารณารายด้านแล้วพบว่าความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการปั้น มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 1.30 และมีค่าเฉลี่ย แยกเป็นรายด้าน คือ ด้านความแข็งแรงเท่ากับ 0.21 และด้านความสัมพันธ์ของมือกับตาเท่ากับ 1.09 แต่ หลักการได้รับการจัดกิจกรรมการปั้น มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ2.65 และมีค่าเฉลี่ยแยกเป็นรายด้าน คือ ด้านความ แข็งแรงเท่ากับ 1.78 และด้านความสัมพันธ์มือกับตาเท่ากับ 2.74 สุปราณี งามหลอด (4:2557) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะการปั้นที่มีต่อทักษะการ คิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย. การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาระดับของทักษะการคิดเชิงเหตุผลของ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะการปั้น และเปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยก่อน และหลังการจัดกิจกรรมศิลปะการปั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุ ระหว่าง 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนแอ๊ดเวนตีสเอกมัย จำนวนเด็กปฐมวัย 15 คน เพื่อรับการจัดกิจกรรมศิลปะการปั้นเป็นเวลา : สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 45 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ แบบทดสอบวัดทักษะการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น .79 และแผนการจัดกิจกรรมศิลปะการปั้น โดยใช้แผนการทดลองแบบ One Group Pretest- Posttest Design และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test for Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการคิดเชิงเหตุผล ของเด็กปฐมวัย หลังจากได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะการปั้น ทั้งโดยภาพรวม จำแนกเป็นรายด้าน และ รายบุคคล อยู่ในระดับดี และเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการทดลอง พบว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงว่ากิจกรรมศิลปะการปั้นส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีทักษะการคิดเชิงเหตุผลสูงขึ้น


26 อาทิตยา วงศ์มณี (2553:94) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมการปั้นที่มีต้อทักษะกลัาม เนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการปั้นที่มีต่อทักษะการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย โดยกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคือเด็กปฐมวัยชายและหญิง จำนวน 25 คน ที่มี อายุระหว่าง 4 -5 ปี และศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนเทศบาลบ้าน ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบประเมินทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก ปฐมวัย แผนการจัดกิจกรรมการปั่น จำนวน 25 แผนวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยง เบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการปั้นมีคะแนนทักษะกล้ามเนื้อมัด เล็กหลังได้รับการจัดกิจกรรมการปั้นสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการปั้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และจากการบันทึกพฤติกรรมพบว่า การจัดกิจกรรมการปั้นสามารถช่วยส่งเสริมทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็กให้มี การพัฒนาเพิ่มมากขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ความหมายของการคิด นักวิชาการ และนักจิตวิทยาหลายท่านได้ให้ความหมายของการคิดดังนี้ บรูเนอร์ และคณะ(1962: 336) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการคิดว่า เป็นกระบวนการที่ใช้ในการสร้างแนวคิดรวบยอดด้วยการจำแนก ความแตกต่าง การจัดกลุ่มและกำหนดเรียกชื่อข้อความจริงที่ได้รับ และเป็นกระบวนการที่ใช้ในการแปล ความหมาย ข้อมูล การสรุป การอ้างอิง ด้วยการจำแนกรายละเอียดการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ ได้รับและนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกิลฟอร์ด (1967 : 225) กล่าวว่า การคิดคือ การค้นหาหลักการโดย แยกคุณสมบัติของสิ่งต่าง หรือค้นหาความจริงที่ได้รับและทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุป รวมถึงการนำ หลักการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ที่ต่างจากเดิม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2525:36 ได้ให้คำจำกัดความของการคิดว่า เป็นกระบวนการ ทำงานของจิตใจมนุษย์ในขณะที่กำลังพยายามหาคำตอบหรือทางออกเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อแก้ไข ปัญหาในชีวิตประจำวัน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545) กล่าวว่า การคิดหมายถึง การที่คนคนหนึ่งพยายามใช้พลังทาง สมองของตน ในการนำเอาข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาจัดวางอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลลัพธ์ การคิดเหมือนการเรียงหินที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบเรียบร้อย การเรียงหินเปรียบได้กับการจัด ระเบียบข้อมูลในสมองมีการคิดและไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ ถือว่าเป็นคนที่คิดเป็น ความสามารถใน


27 การคิดทำให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ มนุษย์สามารถแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และสามารถคิดวิธี ป้องกันตนเองจากภัยธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม เยาวพา เดชะคุปต์ (2528:72) กล่าวว่า ความคิดคือกระบวนการรับรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อม โดยใช้สิ่ง ที่รู้นั้นตอบสนองหรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดพฤติกรรมการคิดที่ควรฝึกฝนให้เด็กคือ ความ ตั้งใจ การรับรู้ การจำ ความคิดรวบยอด ภาษา ท่าทาง และการแก้ปัญหา จำนง วิบูลย์ศรี (2536: 29) กล่าวว่าการคิดหมายถึง กระบวนการทำงานของจิตใจมนุษย์ในขณะที่ พยายามหาคำตอบ หรือหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ชาติ แจ่มนุช (2547 : 26) กล่าวว่า การคิดคือกระบวนการทำงานของสมองโดยใช้ ประสบการณ์มาสัมผัสกับสิ่งเร้า และข้อมูลหรือสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหา แสวงหาคำตอบ ตัดสินใจ หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เป็นพฤติกรรมที่เกิดในสมอง และการที่จะรู้ว่ามนุษย์นั้นคิดอะไร คิดอย่างไรนั้นจะต้อง สังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออกหรือจากคำพูดที่พูดออกมา ฮิลการ์ด (2554: ออนไลน์). กล่าวว่า การคิดหมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสมองอัน เนื่องมาจากการใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งของ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ จากที่กล่าวมาข้าวต้นสรุปได้ว่าการคิด หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ ที่ พยายามค้นหาข้อเท็จจริง โดยการวิเคราะห์ข้อมูล จัดวาง และเรียบเรียงข้อมูล และหาแนวทางในการแก้ไข ปัญหาและเป็นกระบวนการรับรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อม โดยใช้สิ่งที่รู้นั้นตอบสนองหรือมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม 2. ความส าคัญของการคิด การคิดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ที่มีความสำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาทักษะการคิดนี้โดยการฝึกฝนการคิดอย่างสม่ำเสมอ คิดดี คิดเป็น คิดในสิ่งที่ดี คิด กว้างไกล และคิดถูกต้อง มนุษย์ก็จะสามารถแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข ทิศนา แขมมณี (2547: ออนไลน์) กล่าวว่า การคิดเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อ รากฐานของการเปลี่ยนแปลงชีวิตของแต่ละบุคคล ถ้าคนแต่ละคนคิดดี คิดถูกต้อง คิดเหมาะสม การดำเนิน ชีวิตของคนและความเป็นไปในสังคมก็จะดำเนินไปอย่างมีศักยภาพ และสามารถคิดแก้ปัญหาในชีวิตได้ บุคคล ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก จึงต้องช่วยพัฒนาความสามารถในการคิดให้แก่เด็กอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เด็กเป็นคนที่มี ความคิดกว้างไกล สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้


28 ลักขณา สริวัฒน์ (2549: 10-14) ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคิดดังนี้ 1. การคิดเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่สำคัญที่สุด เพราะมีผลต่อรากฐานของการเปลี่ยนแปลง ในการดำรงชีวิตของแต่ละคน ถ้าทุกคนคิดดี คิดถูกต้อง คิดเหมาะสม การดำเนินชีวิตของแต่ละคน และความ เป็นไปในสังคมจะดำเนินไปอย่างมีคุณค่า การคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ ตามปกติมนุษย์มีปฏิกิริยา ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหา ในการกระทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันด้วยการคิดหาเหตุผล ว่าควรดำเนินการอย่างไรในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เผชิญอยู่นั้น 2. การคิดกับภาษา เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ในการคิดนั้นจะต้องใช้ภาษาสื่อ ออกมาให้ผู้อื่นรู้ว่าต้องการอะไร หากไม่มีภาษา การคิดก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความคิดชนิดใดก็ตาม ต้องอาศัยภาษาเป็นสื่อในอันที่จะก่อให้เกิดเป็นรูปของแนวความคิดขึ้นมา 3. การคิดกับพฤติกรรม การคิดนั้นย่อมก่อให้เกิดการกระทำ และเปลี่ยนการกระทำของ มนุษย์ที่มีแต่ความต้องการ ความอยาก ความใคร่ ที่เกินความพอดีให้กลายเป็นการกระทำที่เฉลี่ยวฉลาด ดังนั้น ผู้ที่มีความคิด จะทำอะไรย่อมมีการไตร่ตรอง มีการพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบถึงผลดีผลเสียก่อนลงมือ กระทำ การคิดจึงเป็นกระบวนการทางจิตที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ 4. การคิดกำหนดความเป็นตัวเรา การคิดเป็นตัวกำหนดสิ่งที่รู้ (Knowing) และความรู้ที่ได้ จากการคิดนั้นจะเป็นตัวกำหนดความเป็นตัวเรา (Being) เราคิดอย่างไร รู้อะไร เราจะเป็นเช่นนั้นและความ เป็นตัวเราจะเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของเรา (Living) 5. การคิดเป็นพื้นฐานของสติปัญญาและความรู้ความเข้าใจ คนเราจะเริ่มคิดและหาคำตอบ ให้ได้ดียิ่งขึ้น หากได้ใช้เวลาในการคิดทบทวน และคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อนที่จะตัดสินใจ จึงมีคำกล่าว แต่โบราณว่า "จงคิดก่อนพูด และคิดก่อนทำ" นอกจากนี้ความคิดจะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงสิ่งเดิมที่มีอยู่ให้ ดีขึ้น และหากได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมๆ กัน ก็จะสามารถทำให้เกิดความคิดที่หลากหลายได้ 6. การคิดเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจ เนื่องจากการคิดจำนวนมากมายที่เข้ามากระทบสมอง ของเราเป็นเหตุให้ต้องมีการตัดสินใจ การที่เราจะตัดสินใจได้ดีหรือไม่นั้นจะอาศัยเพียงความคิดประการเดียว ย่อมไม่พอเราต้องมีข้อมูล และทางเลือกที่หลากหลายมากกว่าหนึ่งทางโดยอาศัยข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ การระดมความคิดเห็น การเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆ มาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจด้วย เพื่อพิจารณา ว่าตัวเลือกใดเหมาะสมและถูกต้องมากที่สุด 7. การคิดนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่างๆ ของโลก ด้วยลักษณะธรรมชาติของ มนุษย์ที่มีความต้องการต่างๆ ทั้งด้านพื้นฐานอันได้แก่ ปัจจัยสี่ และความต้องการที่สูงขึ้นนอกเหนือจากปัจจัยสี่


29 ได้แก่ ความปลอดภัยในชีวิต ความสำเร็จ ความสะดวกสบายทั้งกายและใจซึ่งความต้องการดังกล่าวจะเป็น ตัวกระตุ้นให้เราไม่พอใจในความเป็นอยู่ตามธรรมชาติที่ได้รับ โดยเริ่มต้นที่การคิดให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการจึงจะ เกิดความคิดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาวะต่างๆ ในโลก เช่น การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว (คอมพิวเตอร์) อัน เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ หรือโทรศัพท์มือถือ ยังได้รับการพัฒนาให้สามารถถ่ายภาพนิ่งและ เคลื่อนไหวได้ ดังนั้นความสามารถที่จะอยู่ในโลกได้อย่างมีคุณค่า ต้องเกิดจากการสร้างคนให้คิดเป็น ทำเป็น สังคมใดสร้างคนไม่รู้จักคิดก็ต้องเป็นสังคมตามหลัง และล้าหลัง 8. การคิดสร้างความสามารถในการแข่งขันในสังคมแห่งความรู้ สังคมแห่งความรู้มีสภาพ ความรุนแรงในด้านการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นทั้งในระดับบุคคล ระหว่างสังคม และระหว่างประเทศ อันเนื่องมาจาก ความเจริญก้าวหน้าทางทคโนโลยีสารสนเทศที่เชื่อมโยงส่วนต่างๆ ของโลกเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการขยายตัวของขอบเขตการแข่งขันจากระดับย่อยสู่ระดับใหญ่ที่สุด ต้องใช้ความคิดอย่างมากในการ คิดหาวิธีการ กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถแข่งข้นกับสังคม หรือประเทศซาติอื่นได้ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey 2007: 12-13) ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคิดว่า การคิดช่วย ให้คนได้มองเห็นภาพปัญหาต่างๆ ในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้บุคคลได้คิดหาแนวทางในการป้องกันได้และการคิด ช่วยขยายความหมายของสิ่งต่างๆ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการคิดคือ คนจะมีการปฏิบัติหรือกระทำ ตามที่เขาคิดถึงแม้ว่าจะถูกหรือผิดเนื่องจากการคิดมีพลังอำนาจจึงต้องการการควบคุม ศิริกาญจน์ โกสุมภ์ และดารณี คำวัจนัง (2551: 5-10) กล่าวว่า การคิดมีความสำคัญต่อการ เป็นอยู่ในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ การัรู้จักคิดอย่างมีวิจารณญาณจะช่วยให้สามารถรับข่าวสาร ข้อมูล และเลือกใช้ทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม และเป็นประโยชน์สูงสุด ในปัจจุบันมนุษย์ต้องแข่งข้นกับคนใน สังคมโลกมากขึ้น ทำให้มนุษย์ต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น และการพึ่งพาตนเองนี้ต้องอาศัยพื้นฐานที่สำคัญนั่นคือ ต้องเป็นคนที่คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น สามารถสร้างความรู้ด้วยตนเอง และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของ ตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากที่กล่าวมาสรุปว่า การคิดมีความสำคัญ เพราะการคิดเป็นรากฐานที่สำคัญในการดำเนิน ชีวิตของมนุษย์ การคิดช่วยให้มนุษย์มองเห็นภาพปัญหาต่างๆ ช่วยให้มนุษย์สามารถคิดอย่างมี วิจารณญาณในการรับรู้ เข้าใจ และสื่อสารกับบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิผล


30 3. ประเภทของการคิด ลักขณา สริวัฒน์ (2549: 24-28) การคิดเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่ อยู่ร่วมกันในสังคม สังคมจะมีการพัฒนามีความก้าวหน้า มีความคิดสร้างสรรค์ มีการคิดพิจารณาด้วยเหตุผล รู้จักคิดป้องกันและแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างไรนั้น ทุกคนในสังคมจะต้องช่วยกันพัฒนาความสามารถใน การคิดให้แก่คนในสังคม โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย เพื่อให้เขามีความคิด มีจินตนาการอันกว้างไกลอันจะนำไปสู่ การดำเนินชีวิตในสังคมที่ยุ่งยาก ซึ่งผู้ที่ทำการคิดอย่างสม่ำเสมอจะเกิดภาพพจน์ คำถาม สัญลักษณ์ และ ความคิดรวบยอดได้ การคิดนั้นมีหลายประเภท และหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับว่าจะยึดลักษณะใดเป็นหลัก ได้ดังนี้ 1. แบ่งตามขอบเขตของการคิด จำแนกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.1 การคิดในระบบปิด คือ การคิดที่อยู่ในขอบเขตจำกัด แนวการคิดไม่ เปลี่ยนแปลง 1.2 การคิดในระบบเปิด คือ การคิดที่เป็นไปตามความรู้ ความสามารถประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม 2. แบ่งตามความแตกต่างของเพศ จำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ 2.1 การคิดแบบวิเคราะห์ (Analytical Thinking) เป็นการคิดโดยอาศัยสิ่งเร้าที่เป็น จริงเป็นการคิดพื้นฐานแบบวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะการคิดของผู้ชายส่วนใหญ่ ลักษณะของการคิดวิเคราะห์ คือ มีเหตุผล (Rational) มีการคาดคะเน (Predictable) มีขอบเขต (Convergent) และเป็นแนวส่ง (Vertical) 2.2 การคิดแบบโยงความสัมพันธ์ (Relational Style) เป็นการคิดที่สัมพันธ์กับ อารมณ์ยึดตัวเองเป็นใหญ่ เกิดจากการมองหาความสัมพันธ์ของสิ่งเร้าตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป เช่น ความสัมพันธ์ ด้านหน้าที่ สถานที่ หรือกาลเวลา มักจะเป็นการคิดของผู้หญิง 3. แบ่งตามความสนใจของนักจิตวิทยา จำแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 3.1 การคิดรวบยอด (Concept) เป็นการคิดจากการรับรู้ โดยมีการเปรียบเทียบ ความเหมือนและแตกต่าง โดยอาศัยประสบการณ์เดิม 3.2 การคิดหาเหตุผล (Reaso ning! เป็นการคิดที่เริ่มจากการตั้งสมมุติฐาน ดำเนินการทดสอบสมมุติฐาน 3.3 การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) เป็นการคิดที่อาศัยการคิดแก้ปัญหา ใหม่ๆคิดสร้างสิ่งใหม่ การแก้ปัญหาแนวใหม่ และการออกแบบทางศิลปะ และการดนตรี การคิดริเริ่ม


31 สร้างสรรค์ เป็นการคิดเมื่อพบความสัมพันธ์ใหม่ของสิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่า และมีประโยชน์แปลก กว่าเดิม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อาจพิจารณาได้ว่าเป็นคำที่มีความหมายผสมผสานกันของคำว่า "Initiative" หมายถึง กระบวนการในการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ กับคำว่า "Creative" หมายถึง การประดิษฐ์ หรือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้น โดยการคิด กระทำ หรือการสร้างที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่เป็นการลอกเลียนแบบ ของคนอื่น โดยมีกระบวนการคิดสร้างสรรค์ 4 ขั้นคือ ขั้นการเตรียมตัว ขั้นการฟักตัว ขั้นการคิดออก และขั้นทดสอบ 4. แบ่งตามลักษณะของการคิด จำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 4.1 การคิดโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย (Undirected Thinking) หรือความคิดเชื่อมโยง (Associative Thinking) เป็นวิธีคิดจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน ไม่มีจุดมุ่งหมาย ควบคุมไม่ได้ แต่มีทิศทาง การคิดนี้ยังแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ ดังนี้ 4.1.1 การคิดต่อเนื่องอย่างอิสระ หรือการคิดเชื่อมโยงอิสระ (Free Association)เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์กันอย่างอิสระ จากเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่งโดยไม่ เข้มงวดกับการเรียงประโยค หรือความถูกต้องของไวยากรณ์ 4.1.2 การคิดต่อเนื่องที่ไม่อิสระ หรือการควบคุมการเชื่อมโยง (Controlled Association) เป็นความคิดที่เรียงลำดับจากคำหนึ่งไปยังอีกคำหนึ่งตามที่ผู้แนะนำ หรือคอยนำ ให้เป็นการเสริมต่อ แนะนำบางคำเพื่อกระตุ้นให้ผู้คิด คิดได้ต่อไป 4.1.3 การฝันกลางวัน (Day Dreaming) เป็นการคิดแบบเพ้อฝัน สร้าง วิมานในอากาศ ที่ไม่ใช่สภาพที่แท้จริงของตน เป็นความคิดที่มีจุดประสงค์ป้องกันตัวเอง 4.1.4 การฝันกลางคืน (Night Dreaming) มักเกิดในเวลาหลับ ฝันถึง เรื่องราวต่างๆเป็นการฝันอันเป็นความคิดของเรา หรือเป็นความฝันเนื่องจากการรับรู้ผิดหรือตอบสนองต่อสิ่ง เร้า 4.1.5 การคิดตามความเชื่อของผู้คิด หรือการคิดเข้าข้างตนเอง (Autistic Thinking)เป็นกระบวนการคิดที่ผู้คิดตีความหมายจากความเชื่อ และตัดสินด้วยเหตุผลที่เข้าข้างตนเอง เพื่อให้ เป็นไปตามความต้องการ ความสบายใจของตน 4.2 การคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย (The Goal-directed Thinking) เป็นการคิดที่มี จุดมุ่งหมายในสิ่งที่คิดว่าจะทำอย่างไร สิ้นสุดตรงไหน ทำให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไร และมีการสรุปหลังจากที่ คิดเสร็จสิ้นแล้ว


32 จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การคิดนั้นมีหลายประเภท และได้แบ่งการคิดตามลักษณะต่างๆออกไปอีก หลายชนิดคือ แบ่งตามขอบเขตการคิดซึ่งการคิดนี้ได้แก่การคิดในระบบปิดและระบบเปิดเป็นการคิดแบบมี ขอบเขตจำกัด และการคิดที่เป็นไปตามความรู้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ของผู้คิดนั้นเอง แบ่งตาม ความแตกต่างของเพศ เป็นลักษณะการคิดระหว่างชาย และหญิง ซึ่งผู้ชายจะมีการคิดแบบวิเคราะห์โดยอาศัย สิ่งเร้าที่เป็นจริงเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ส่วนผู้หญิงนั้นจะมีการคิดแบบโยงความสัมพันธ์ของสิ่งเร้าตั้งแต่สองสิ่ง ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับหน้าที่ สถานที่ และกาลเวลา แบ่งการคิดตามความสนใจของนักจิตวิทยา เป็นการคิดที่ได้จาก การรับรู้ มีการเปรียบเทียบ หาเหตุผล ตั้งสมมุติฐาน ทดสอบ คิดแก้ปัญหา และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และ สุดท้ายแบ่งการคิดตามลักษณะการคิด ซึ่งการคิดนี้ได้แก่การคิดที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย และการคิดที่มีจุดมุ่งหมาย 4. ทักษะการคิด ทิศนา แขมมณี. (2540 : 54-56 ) ได้ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับการคิด พบว่า มีคำที่แสดงถึงลักษณะ ของการคิด และคำที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดเป็นจำนวนมาก ได้แก่ 1. การสังเกต คิดผิด-คิดถูก กระบนการคิดอย่างวิจารณญาณ 2. การเปรียบเทียบ คิดสั้น - คิดยาว /คิดไกล กระบวนการคิดแก้ปัญหา 3. การตั้งคำถาม คิดแคบ-คิดกว้าง กระบวนการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 4. การแปลความหมาย คิดรอบคอบ คิดทบทวน กระบวนการตัดสินใจ 5. การตีความคิดคล่อง คิดไว กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 6. การขยายความ คิดอย่างมีเหตุผล กระบวนการศึกษาวิจัย 7. การอ้างอิงคิดหลากหลายกระบวนการปฏิบัติ 8. การคาดคะเนคิดละเอียดลออ 9. การสรุปคิดเป็น 10 การสร้าง จะเห็นได้ว่าคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคิดจำนวนมากนั้น สามารถจัดกลุ่มได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ 1 เป็นคำที่แสดงออกถึงการกระทำหรือพฤติกรรมซึ่งต้องใช้ความคิด เช่น การ


33 สังเกต การเปรียบเทียบ การจำแนกแยกแยะ การขยายความ การแปลความ การตีความ การจัดหมวดหมู่ การ สรุป ฯลฯ คำเหล่านี้จะเป็นพฤติกรรมที่มีคำว่า "คิด" อยู่ แต่ก็มีความหมายของการคิดอยู่ในตัว เรียกชื่อกลุ่มคำ กลุ่มนี้ว่า ทักษะการคิด กลุ่มที่ 2 เป็นคำที่แสดงลักษณะของการคิด ซึ่งใช้ในลักษณะเป็นคำวิเศษณ์ เช่น คิดกว้าง คิด พูก คิดคล่อง คิดรอบคอบ ซึ่งไม่ได้แสดงพฤติกรรมหรือการกระทำโดยตรง แต่สามารถแปลความไปถึง พฤติกรรมหรือการกระทำประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการรวมกันจึงเรียกกลุ่มคำนี้ว่าลักษณะการคิด กลุ่มที่ 3 เป็นคำที่แสดงถึงการดำเนินกิจกรรมการคิดอย่างเป็นลำดับขั้นตอนหรือเป็น กระบวน ซึ่งจะช่วยบรรลุวัตถุประสงค์ของการคิดนั้นๆ และในกระบวนการแต่ละขั้นตอนจะต้องอาศัยทักษะ การคิดและลักษณะการคิดที่จำเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณกระบวนการ แก้ปัญหา กระบวนการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นต้น กลุ่มคำนี้เรียกว่า "กระบวนการคิด" สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี (2540: 13-14) ได้แบ่ง ทักษะการคิดดังนี้ 1. การคิดระดับพื้นฐานได้แก่ 1.1 การคิดคล่อง คือ ให้กล้าที่จะคิด และมีความคิดหลั่งไหลออกได้อย่างรวดเร็ว 1.2 การคิดหลากหลายคือคิดให้ได้ความคิดในหลายๆ ลักษณะประเกmชนิดรูปแบบ 1.3 การคิดละเอียดละออคือเพื่อให้ได้ข้อมูลอันจะส่งผลให้ความคิดมีความรอบคอบ ขึ้น 1.4 การคิดให้ชัดเจนคือ ให้มีความเข้าใจสิ่งที่คิด สามารถอธิบายขยายความได้ด้วย 2. การคิดระดับกลาง ได้แก่ 2.1 การคิดกว้าง คือ คิดให้ได้หลายด้าน หลายแง่ หลายมุม 2.2 การคิดลึกซึ้ง คือ คิดให้เข้าใจถึงสาเหตุที่มา และความสัมพันธ์ต่างๆ ที่ซับซ้อน ที่ส่งให้เกิดผลต่างๆ รวมทั้งคุณคำความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น 2.3 การคิดไกล คือ การประมวลข้อมูลในระดับกว้างและระดับลึก เพื่อทำนายสิ่งที่ จะเกิดขึ้นในอนาคต 2.4 การคิดอย่างมีเหตุผล คือ การคิดโดยใช้หลักเหตุผลแบบนินัย และอุปนัย ได้แก่


34 2.4.1 หลักเหตุผลแบบนิรนัย (Deductive argument) คือ การอ้างอิงเหตุผลจาก ข้ออ้างที่เป็นความจริงแน่นอนตายตัว หรือเรียกว่าความจริงทั่วไป มาสนับสนุนหรือยืนยันความเป็นจริงของ ข้อสรุปที่มีลักษณะเป็นความจริงเฉพาะ 2.4.2 หลักเหตุผลแบบอุปนัย (Inductive argument) คือ การอ้างเหตุผลที่ได้ หลักฐานจากข้อเท็จจริง (fact) ที่ถือว่าเป็นความจริงเฉพาะที่ได้มาจากความจริงบางส่วน แล้วนำไป สนับสนุนข้อสรุป ส่วนที่เป็นความจริงทั่วไป (ruth) ที่ถือว่าเป็นความจริงของสิ่งทั้งหมด แต่ข้อสรุปส่วนมากจะ เป็นข้อสรุปที่มีน้ำหนักเกินข้ออ้างอยู่มาก 3. การคิดระดับสูง การคิดระดับสูงเป็นการคิดที่ต้องมีกระบวนการ ขั้นตอนที่มากและซับซ้อนขึ้น เรียกว่า"กระบวนการคิด" ได้แก่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผ่านการกลั่นกรอง มาดีแล้ว สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ เช่น ใช้ในการแก้ปัญหา ใช้ในการตัดสินใจที่จะทำ หรือไม่ทำ การริเริ่ม การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือการปฏิบัติการสร้าง และการผลิตสิ่งต่างๆคำพูด ฆนัท ธาตุทอง (2554: 30-38) กล่าวว่า ทักษะการคิดถือว่าเป็นทักษะขั้นพื้นฐาน เพราะเป็นทักษะที่ ต้องนำไปใช้ในการคิดอื่นๆ ที่ยุ่งยากมากขึ้น ทักษะการคิดจัดกลุ่มได้ดังนี้ 1. ทักษะการคิดพื้นฐานทักษะการคิดพื้นฐาน (Basic skils) หมายถึง ทักษะการคิดย่อยที่เป็น พื้นฐานเบื้องต้นต่อ การคิดในระดับสูงขึ้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1.1 ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการสื่อความหมาย (Communication skills) เป็นทักษะการรับสารที่แสดงถึงความคิดของผู้อื่นเข้ามา เพื่อรับรู้ ตีความแล้วจดจำ และเมื่อต้องการจะระลึกเพื่อนำมาเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดของตนให้ผู้อื่น โดยแปลงความคิดให้อยู่ในรูปของภาษาต่างๆ เช่น ข้อความ คำพูดศิลปะ ดนตรี คณิตศาสตร์ เป็นต้น 1.2 ทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือทักษะการคิดทั่วไปทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือทักษะการ คิดทั่วไป (Core or general thinking skill) เป็นทักษะการคิดที่จำเป็นต้องใช้อยู่เสมอในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน และเป็นพื้นฐานการคิดขั้นสูงที่มีความสลับชับช้อน ซึ่งมนุษย์จำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้เนื้อหา วิชาการต่างๆ ตลอดจนการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ประกอบด้วย การสังเกต การสำรวจ การตั้งคำถาม การเก็บ รวบรวมข้อมูล การระบุการจำแนกแยกแยะ การจัดลำดับ การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การสรุปอ้างอิง การแปล การตีความ การเชื่อมโยง การขยายความ การให้เหตุผล และการสรุปย่อ 2. ทักษะการคิดขั้นสูงหรือทักษะการคิดซับซ้อน


35 ทักษะการคิดขั้นสูงหรือทักษะการคิดซับซ้อน (higher-order-more complicated thinking skills) คือ การ คิดที่มีขั้นตอนหลายขั้นตอน และต้องอาศัยทักษะการสื่อความหมายและทักษะการคิดที่เป็นแกนหลายๆ ทักษะในแต่ละขั้น ทักษะการคิดขั้นสูงจะพัฒนาได้ต้องพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐานจนมีความชำนาญพอสมควร ทักษะการคิดขั้นสูงประกอบด้วย การสรุปความ การให้คำจำกัดความ การวิเคราะห์ การผสมผสานข้อมูล การ จัดระบบความคิด การสร้างองค์ความรู้ใหม่ การกำหนดโครงสร้างความรู้ การแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างความรู้ ใหม่ การค้นหาแบบแผน การหาความเชื่อพื้นฐาน การคาดคะเน / การพยากรณ์ การตั้งสมมุติฐาน การ ทดสอบสมมุติฐาน การตั้งเกณฑ์การพิสูจน์ความจริง และการประยุกต์ใช้ความรู้ จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าทักษะการคิดสามารถแบ่งได้หลายระดับ เริ่มตั้งแต่การคิดระดับขั้นพื้นฐาน หรือการคิดทั่วไป การคิดในระดับขั้นนี้ส่วนใหญ่เป็นการคิดสื่อความหมาย คิดที่หลากหลาย และคิดคล้อง การ คิดระดับกลางเป็นการคิดอีกขั้นหนึ่งของการคิด การคิดนี้จะเป็นการคิดที่กว้างไกล คิดอย่างมีเหตุผล และคิด อย่างลึกซึ้ง ส่วนการคิดในระดับสูงเป็นการคิดที่ซับซ้อน เป็น การคิดเพื่อวิเคราะห์ สร้างองค์ความรู้ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ ถึงแม้ว่าระดับขั้นของการคิดจะมีความยาก ง่ายที่แตกต่างกัน แต่มนุษย์ต้องอาศัยทักษะเหล่านี้เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และใช้ทักษะการคิด เหล่านี้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป 5. ทักษะการคิดเชิงเหตุผล กัลยา แสงสุวรรณ (2532: 119) การคิดเชิงเหตุผลคือ การคิดที่อาศัยข้อมูลต่างๆ พิจารณา ความสำคัญของข้อมูลเป็นความสามารถในการคิดหาเหตุผลทั้งที่เป็นอุปมาน และอนุมาน กล่าวคือการคิดแบบ อุปมานเป็นการคิดที่ต้องอาศัยสิ่งเร้าหลายอย่างมาสรุปเป็นกฎหรือหลักการ ส่วนอนุมานเป็นการคิดที่ต้องมี หลักเกณฑ์หรือสิ่งที่กำหนดไว้แล้วมาเป็นข้อสรุป จำนง วิบูลย์ศรี (2536 : 29) ได้ให้ความหมายของการคิดเชิงเหตุผลว่าเป็นการคิดที่ต้องอาศัยหลักการ หรือข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมาสนับสนุนเพียงพอ เป็นการคิดที่มีโอกาสผิดพลาดน้อย และถือว่าเป็นทักษะอย่าง หนึ่งที่พัฒนาให้มีคุณภาพสูงขึ้นได้ ผู้ที่มีทักษะในการคิดดีจะช่วยแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งอันเป็นประโยชน์ แก่มนุษย์ได้มากมาย จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ทักษะการคิดเชิงเหตุผล เป็นการคิดที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริง และหลักการมา สนับสนุนในการคิดวิเคราะห์ พิจารณา ให้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งมนุษย์


36 แต่ละคนก็จะคิดแก้ปัญหา และให้เหตุผลที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวเป็นข้อ กำหนดการตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิต 6. แนวทางการส่งเสริมการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย สิ่งที่ควรคำนึงถึงอันดับแรกคือตัวผู้เรียน ควรคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก ควรสอนเด็กจากธรรมชาติ และสิ่งที่ เด็กมีความสนใจ จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ จัดประสบการณ์เน้นการลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์อย่างยั่งยืน และจัดประสบการณ์ที่พัฒนาทักษะการคิดเชิงเหตุผล กรภัสสร ประเสริฐศักดิ์ (2539: 56- 58) ได้กล่าวว่า ครูเป็นผู้สร้างคำถามชี้นำการคิดให้กับ เด็ก ทำให้เกิดการปรับขยายโครงสร้างทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่การหยั่งรู้ ทำให้เด็กเกิดการรวบรวมความคิด จากประสบการณ์เดิม และตอบคำถาม ลักษณะของคำถามเป็นข้อความที่ครูใช้เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ ประสบการณ์เดิมเป็นข้อมูลในการหาคำตอบ โดยการคิดวิเคราะห์ และหาเหตุผลได้หลายทิศทาง อาเธอร์ (Arthur; et al. 1996; อ้างอิงจาก Glenda McNaughton; & Gillian Williams.2004: 35) ได้กล่าวว่า เมื่อเด็กอายุได้ 1-5 ปี เด็กจะมีพัฒนาการด้านจิตใจที่ดีขึ้น เขาสามารถเข้าใจถึงความแตกต่าง ระหว่างความเป็นธรรม หรือไม่ยุติธรรม และระหว่างความกรุณา และไม่กรุณาในชีวิตประจำวันได้ ทันทีที่เด็ก เริ่มตั้งคำถามว่า ทำไม และอย่างไร เขาได้แสดงความสนใจในการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามครู จำเป็นต้องส่งเสริมให้ตรงจุด เพื่อการเรียนรู้พัฒนาความสามารถและความสนใจของเด็ก วิธีการจัดประสบการณ์ได้แก่ 1. กิจกรรมสร้างสรรค์ (ศิลปะศึกษา) เช่น วาดภาพระบายสี การพิมพ์ภาพ การปั้น การขยำด้วยดิน เหนียว ดินน้ำมัน แป้งโด กิจกรรมการพับ ฉีก ตัดปะ กิจกรรมการประดิษฐ์ การร้อยลูกปัดกิจกรรมการสาน กิจกรรมการเล่นเครื่องเล่นสัมผัส การต่อของบรรจุ กิจกรรมเขียนภาพด้วยเส้นต่าง 2. การเล่นตามมุม ได้แก่ มุมบล็อก มุมบ้าน มุมหมอ มุมหนังสือ มุมวิทยาศาสตร์ มุมศิลปะ มุมเกม การศึกษา มุมพลาสติกสร้างสรรค์ เป็นต้น 3. กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง ได้แก่ การเล่นทราย การเล่นน้ำ การเล่นในบ้านจำลองการเล่นในมุมช่าง ไม้ และการเล่นเกมการละเล่น หรือการละเล่นพื้นบ้าน เป็นต้น 4. กิจกรรมพัฒนาระบบกายสัมผัส ได้แก่ การสัมผัส ถูนวด การระบายสีด้วยนิ้วมือ การวาดด้วยสบู่ การวาดรูปด้วยนิ้วมือบนแขน ฝ่ามือ การฝนสีด้วยกระดาษ และการสัมผัสกับผิวของวัสดุต่างๆ


37 กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ. (2540: 32) การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กก่อนปฐมศึกษา ควรมี วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นรูปธรรม ให้เด็กได้มีโอกาสสังเกต สัมผัส ทดลอง สำรวจ ค้นคว้า แก้ไขปัญหา และมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น ควรจัดสภาพแวดล้อม สื่อให้พร้อม และคอยแนะนำช่วยเหลือเด็กเสมอ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2540: 40 - 41) กล่าวถึงแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนา และส่งเสริมการคิดอย่างมีเหตุผลของเด็กปฐมวัยดังนี้ 1. การแก้ปัญหา การเรียนรู้ด้วยการแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นจากครูเป็นผู้ตั้งปัญหา เพื่อเป็นตัว จุดประเด็นและให้เด็กคิดหาข้อสรุป 2. การใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ เด็กอาจมีการทดลอง ตั้งสมมุติฐาน และทดสอบงานจน ครบวงจร 3. ใช้หลักการสืบค้น เป็นกระบนการที่ให้เด็กพยายามค้นหาคำตอบด้วยตนเอง 4. การใช้ทักษะกระบวนการ เป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นการสังเกต การเปรียบเทียบการ จัดประเภท การสื่อสาร การถ่ายโยง การสรุป โดยให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2545: 78) ได้ให้แนวคิดในการพัฒนาด้านการคิด ว่า เด็กจะเจริญเติบโตขึ้นในด้านความสามารถที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ได้อย่างรอบคอบนั้น เด็กต้องได้รับ เสรีภาพที่จะคิดเพื่อตนเอง และจะต้องได้รับโอกาสฝึกฝน การมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่ใช้ความคิดร่วมกับคน อื่นจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้มาก วิธีการที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และใช้ความคิดได้อย่างมี คุณภาพ คือ 1. ใช้วิธีกระตุ้นให้เกิดความสนใจ ใฝ่รู้ 2. ให้เด็กเกิดความประทับใจในสิ่งที่เรียนรู้ การเล่นกับเด็กทำให้เด็กรู้สึกสนุก สร้าง 3. ให้เด็กได้มีโอกาสได้คิด ได้ค้นหา และลงมือกระทำด้วยตนเอง 4. เชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้เข้ากับชีวิตจริง การเรียนรู้คำศัพท์แล้วนำมาอ่านป้ายข้างทางป้าย ร้านค้าต่างๆ เป็นต้น 5. ใช้การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย ดนตรี และศิลปะ เป็นสื่อความประทับใจ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย. (2546: 34-35) ได้ให้แนวทางในการจัดประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ให้กับเด็กปฐมวัย ได้แก่ 1. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ คือเหมาะกับอายุ วุฒิภาวะ


38 และระดับพัฒนาการ เพื่อให้เด็กทุกคนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ 2. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้คือ เด็กได้ลงมือประจำ เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง 3. จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ คือ บูรณาการทั้งทักษะ และสาระการเรียนรู้ 4. จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทำ และนำเสนอ ความคิด โดยผู้สอนเป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก 5. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุข และเรียนรู้การทำกิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะต่างๆ กัน 6. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย และ อยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก 7. จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดี และทักษะการใช้ชีวิตประจำวันตลอดจน สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 8. จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า และแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง ไม่ได้คาดการณ์ไว้ 9. ให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดประสบการณ์ ทั้งการวางแผน การสนับสนุน สื่อการสอน การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แนวทางในการจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงเหตุผลสำหรับ เด็กปฐมวัยนั้นสิ่งสำคัญคือ ควรกระตุ้นเด็กให้เกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ และเกิดความประทับใจในสิ่งที่เรียน ควรจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้มีโอกาสใช้ความคิด การค้นคว้า สังเกตสัมผัส ทดลอง และแก้ปัญหา ครูมีบทบาท สำคัญในการสร้างคำถามเพื่อชี้นำความคิดให้กับเด็ก เพื่อขยายโครงสร้างทางความคิด จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวร่างกาย และกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ ถ้าเด็กได้ฝึกฝนทักษะการคิดเชิงเหตุผลผ่านกิจกรรมที่ หลากหลายอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเด็กจะสามารถคิดแก้ปัญหาต่างๆได้ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ปริษา บุญมาศ. (4:2551), ได้ทำการวิจัยเรื่อง ทักษะการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นการผสมสี. การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการคิดเชิงเหตุผลของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นการผสมสีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ เด็ก


39 ปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 4 - 5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนอนุบาลสุดารักษ์บางเขน เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร โดยการสุ่มอย่างง่าย (Random Sampling) ด้วยการจับสลากมา 1 ห้องเรียนจากจำนวนทั้งหมด 4 ห้องเรียน และได้นักเรียนจำนวน 20 น เพื่อเป็นกลุ่ม ตัวอย่างในการทดลอง ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยทำการทดลองสัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 40 นาที รวมระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัด กิจกรรมศิลปสร้างสรรค์นันการผสมสี และแบบทดสอบวัดการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 94 ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น แบบแผนการวิจัยเป็นการวิจัยแบบ One - Group Pretest - Posttest Design สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลคือ ใช้t - test สำหรับ dependent samples ผลการวิจัยพบว่า การคิดเชิงเหตุผลของเด็ก ปฐมวัยหลังการทำกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์เน้น การผสมสีสูงกว่าก่อนทำกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์เนการผสมสี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ชนาธิป บุบผามาศ. (4:2553). ได้ทำการวิจัยเรื่อง การคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเล่านิทานอีสปประกอบ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการคิดเชิงเหตุผลของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสปประกอบคำถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนไผทอุดมศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Random Sampling ) ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยทำการทดลองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที รวมทั้งสิ้น 24 ครั้งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสปประกอบคำถามและแบบทดสอบวัดการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งมีค่าความ เชื่อมั่น .86 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบแผนการวิจัยเป็นการวิจัยแบบ One - Group Pretest - Posttest Design สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือt-test for Dependent samples ผลการวิจัยพบว่า การคิดเชิงเหตุผลของ เด็กปฐมวัยหลังการทดลองจัดกิจกรรมการ เล่านิทานอีสปประกอบคำถามสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้ว พบว่า การคิดเชิงเหตุผลด้านการเปรียบเทียบ และด้าน การสรุปความสูงกว่า ก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านการจัดประเภท สูงกว่า ก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 พัชรี คุ้มชาติ. (4:2553). ได้ทำการวิจัยเรื่อง การคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ฟังนิทานประกอบการ ปั้น การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการฟังนิทาน


40 ประกอบการปั่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุ3- 4 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ใน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเชียงรากน้อย สังกัดเทศบาลตำบลเชียงรากน้อยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยทำการทดลอง สัปดาห์ละ 4 วัน วัน ละ 30-40 นาที รวมระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 32 ครั้งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมฟังนิทานประกอบการปั้น และแบบทดสอบวัดการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 0.82 แบบแผนการวิจัยเป็นการวิจัยแบบOne - Group Pretest - Posttest Design สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ t - test สำหรับ dependent samplesผลการวิจัยพบว่า การคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยหลังการฟัง นิทานประกอบการปั่นสูงกว่าก่อนฟังนิทานประกอบการปั่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 วัลย์ ตนะสอน (3:2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การจัดประสบการณ์การเล่านิทานประกอบกิจกรรม ศิลปะเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเขียบความคิดสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวัย ก่อนและหลังได้รับการจัดประสบการณ์การเล่านิทานประกอบกิจกรรมศิลปะ และ 2) ศึกษาความ พึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อรูปแบบการจัดประสบการณ์การเล่านิทานประกอบกิจกรรมศิลปะ กลุ่มเป้าหมายในการทำวิจัย คือ เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย เทศบาลนคร ขอนแก่น จำนวน 20 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 ซึ่งได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1. แผนการจัดประสบการณ์การเล่านิทานประกอบ กิจกรรมศิลปะ จำนวน 12 แผน 2. แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์โดยอาศัยรูปภาพ แบบ ก. ของทอแรนซ์ (Torrance Test of Creative Thinking Figural Form A) และ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการ เล่านิทานประกอบกิจกรรมศิลปะ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยมีดังนี้1. ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดประสบการณ์การเล่านิทาน ประกอบ กิจกรรมศิลปะ สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ความพึงพอใจของเด็ก ปฐมวัย ที่มีต่อรูปแบบการจัดประสบการณ์การเล่านิทานประกอบกิจกรรมศิลปะ โดยภาพรวม พบว่า เด็ก ปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่านิทานโดยใช้กิจกรรมศิลปะมีความพึงพอใจในระดับชอบมาก คิด เป็นร้อยละ 98.00


Click to View FlipBook Version