การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 43 ประกอบด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ ่งมีวาระ 2 ปี และเลือกหนึ ่งในสามของสมาชิก วุฒิสภาซึ่งมีวาระ 6 ปี และยังเลือกเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ว่าการรัฐ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต่างๆ การเลือกตั้งนี้มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นการประเมินผลงานและนโยบายของประธานาธิบดี และ เป็นการกำหนดดุลอำนาจในสภาคองเกรส และส่งผลต่อกระบวนการของรัฐสภาในการออกกฎหมายและ ดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีผลคะแนนจึงขึ้นอยู่กับผลงานของผู้ได้รับเลือกตั้ง (ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, 2563) นอกจากนี้ การเลือกตั้งกลางภาคยังเป็นเวทีของผู้สมัครในการสำรวจคะแนนเสียงของตนเองเพื่อ วางแผนในการลงสมัครรับเลือกตั้งในอนาคต 5. Swing States หรือ Battleground States Swing States หรือ รัฐสมรภูมิ (Battleground State) หรือ “toss-up” states เป็นคำทาง การเมืองสหรัฐอเมริกา หมายถึง รัฐที่พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันมีคะแนนหยั่งเสียงเท่า ๆ กัน จน บอกได้ยากว่าพรรคการเมืองใดจะชนะในรัฐนั้น ผู้สมัครทั้งสองฝ่ายมุ่งให้ความสนใจและเร่งหาเสียงในรัฐมร ภูมิเหล่านี้ เพราะเป็นรัฐที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง เนื ่องจากในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแต ่ละครั้งจะมี Swing State ที ่แตกต ่างกัน และ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ระหว่างการเลือกตั้งปี 2016-2020 ปรากฎ Swing States ที่แตกต่างกัน แสดงให้ เห็นถึงความสำคัญของภูมิทัศน์ทางการเมืองในแต่ละรัฐ รัฐสำคัญในการเลือกตั้ง ได้แก่ ฟลอริดา โอไฮโอ เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน (Bhowmick and Jain, 2020) แนวโน้มทางการเมืองสหรัฐฯ ในวง กว้าง ผู้สมัครต้องสื่อสารกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐเหล่านี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหาและเสนอวิธี แก้ปัญหาที่ตรงใจ ด้วยเหตุนี้ การชนะในรัฐ Swing States จึงสำคัญต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีกำหนด ทิศทางการเมืองอเมริกา และกำหนดผลการเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 คะแนนจาก Swing States ที่มีผลการหยั่งเสียงระหว่างทั้ง สองพรรคเท่ากัน เช่น เพนซิลเวเนีย มิชิแกน วิสคอนซิน แอริโซนา และจอร์เจีย มีส่วนสำคัญในการกำหนด ผลลัพธ์การเลือกตั้ง พรรคการเมืองใหญ่สองพรรคเร่งระดมทุนและหาเสียงอย่างหนักในรัฐเหล่านี้ เช่น การ ชุมนุม โฆษณาทางโทรทัศน์และแคมเปญทางโซเชียลมีเดีย หากผู้สมัครได้คะแนนเสียงจากรัฐเหล่านี้จะมี โอกาสชนะในการเลือกตั้ง ในท้ายที่สุดโจ ไบเดนสามารถคว้าชัยชนะในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง หวุดหวิดจากหลายรัฐที่เคยลงคะแนนให้โดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2016 (The New York Times, 2020)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 44 ภาพที่ 21: การเปรียบเทียบ Swing States ในการเลือกตั้งปี 2016 และ 2020 ที่มา: (270toWin, 2023)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 45 6. การแถลงนโยบายประจำปี (The State of the Union Address: SOTU) The State of the Union คือ การแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีที่กล่าวต่อสภาคองเก รส และผู้พิพากษาสูงสุด รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าประธานาธิบดี "จะให้ข้อมูลของรัฐแก่สภาคองเกรสเป็น ครั้งคราว และเสนอแนะต่อการพิจารณามาตรการที่เขาตัดสินว่าจำเป็นและเห็นสมควร8 " ระหว่างเดือน มกราคมและกุมภาพันธ์ของทุกปี State of Union เป็นโอกาสที่ประธานาธิบดีกล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัจจุบันให้แก่สภาคองเกรสและประชาชนชาวอเมริกันทราบโดยทั่วกัน ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจ นโยบาย ต่างประเทศ ความมั่นคงของชาติ และประเด็นทางสังคม และนโยบายที่เขาจะทำในปีถัดไป เช่น นโยบาย ใหม่ ข้อเสนอ กฎหมาย หรือความคิดริเริ่มใหม่ๆ (ShareAmerica, 2023) การแถลงนโยบายประจำปีเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมทางการเมืองสหรัฐฯ และมีการถ่ายทอดสด ทางโทรทัศน์ที ่มีผู้คนนับล้านรอชมสื ่อต ่างๆ มักจะวิเคราะห์ผลกระทบของการแถลงนโยบายประจำปี อความคิดเห็นสาธารณะ 7. การถอดถอนประธานาธิบดี(Impeachment) รัฐธรรมนูญให้อำนาจรัฐสภาในการฟ้องร้องและถอดถอนประธานาธิบดีรองประธานาธิบดีและผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีการก่อ "อาชญากรรมขั้นสูงและความผิดลหุโทษ" เช่น การทรยศ การติด สินบน หรืออาชญากรรมและความผิดทางอาญาอื่นๆ อำนาจในการกล่าวโทษและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองเป็นหนึ่งการบวนการการตรวจสอบฝ่ายบริหารที่สำคัญ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดชอบ ต่อการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและการใช้อำนาจในทางที่ผิด (Library of Congress, 2020) รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริการะบุการกล ่าวโทษและถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ ่ง เป็น กระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน (Gerhardt, 2019) ดังนี้ 8 the President "shall from time to time give to the Congress Information of The State of the Union and recommend to their Consideration such Measures as he shall judge necessary and expedient."
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 46 ภาพที่ 22: กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี ที่มา: ผู้เขียน ดัดแปลงจาก (BBC News, 2019) คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฏรสอบสวนข้อกล่าวหาต่อประธานาธิบดี ให้พิจารณาว่าจะเริ่มกระบวนการถอดถอนหรือไม่ หลักฐานไม่เพียงพอ ประธานาธิบดีท าหน้าที่ต่อ หลักฐานเพียงพอว่ากระท าผิด สภาผู้แทนราษฎรลงมติยื่นถอดถอน เสียงไม่ถึง 50% ที่สนับสนุนการยื่น ถอดถอน ประธานาธิบดีท าหน้าที่ต่อ เสียงไม่ถึง 50% ที่สนับสนุนการยื่น ถอดถอน วุฒิสภาท าการไตร่สวน ลงมติว่าประธานาธิบดีมีความผิด หรือไม่ เสียงน้อยกว่า 2 ใน 3 ลงมติว่ามี ความผิด ประธานาธิบดีปฏิบัติหน้าที่ต่อ เสียงมากกว่า 2 ใน 3 ลงมติว่ามี ความผิด ประธานาธิบดีถูกถอดถอน รองประธานาธิบดี ท าหน้าที่แทน
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 47 1) การสืบสวนการกระทำผิด: สภาคองเกรสสืบสวนการกระทำของประธานาธิบดี โดยเริ่มต้น โดยสภาผู้แทนราษฎรหรือที่ปรึกษาอิสระ 2) ผลการการสืบสวน: หากการสืบสวนพบว่าประธานาธิบดีได้ก่อ "อาชญากรและความผิดลหุ โทษ" สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติว่าจะถอดถอนประธานาธิบดีหรือไม่ สภาต้องได้เสียงข้างมาก (เกิน 51%) เพื่อลงมติให้ถอดถอนประธานาธิบดี 3) การส่งเรื่องไปยังวุฒิสภา: เมื่อสภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ถอดถอนประธานาธิบดี คดีจะถูก ส่งไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณา โดยมีหัวหน้าผู้พิพากษาสูงสุดเป็นประธาน และวุฒิสมาชิกทำหน้าที่เป็นลูกขุน 4) การแสดงหลักฐานและโต้แย้ง: ในระหว่างการพิจารณาคดี ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงหลักฐาน และข้อโต้แย้ง ประธานาธิบดีมีสิทธิเสนอข้อแก้ต่าง 5) วุฒิสภาลงมติ: ในตอนท้าย วุฒิสภาลงมติว่าตัดสินลงโทษประธานาธิบดีหรือไม่ ต้องใช้เสียง ข้างมากสองในสามเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง 6) การปลดออกจากตำแหน่ง: หากวุฒิสภาลงมติตัดสินลงโทษประธานาธิบดี เขาจะถูกปลด ออกจากตำแหน่งทันที และรองประธานาธิบดีจะกลายเป็นประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม การกล่าวโทษเป็นกระบวนการทางการเมืองไม่มีมาตรฐานทางกฎหมายที่ตายตัว อาศัยการตีความของสภาคองเกรสในการติดสินการกระทำของประธานาธิบดี (Gerhardt, 2019) ในประวัติศาสตร์ มีประธานาธิบดีที่ถูกยื่นถอดถอนตำแหน่ง 4 ท่าน คือ แอนดรูว์ จอห์นสัน ริชาร์ด นิกสัน บิล คลินตัน และ โดนัลด์ ทรัมป์แต่ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดถูกลงมติถอดถอนจนพ้น จากตำแหน่ง (BBC News, 2019) 8. สรุป: การเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่กำหนดอนาคตของสหรัฐฯ และการเมือง ระดับโลก การเลือกตั้งสหรัฐฯ จึงมีกระบวนการที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ผ่านการแข่งขันระหว่างสองพรรค การเมืองใหญ่คือพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐยังเป็นต้นแบบของ ระบอบประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม นอกจากนี้ การเลือกตั้งกลางภาค รัฐสมรภูมิการแถลงนโยบายประจำปีและกระบวนการถอด ถอนประธานาธิบดีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเมืองของสหรัฐฯ มี นัยสำคัญต่อการกำหนดทิศทางของการกำหนดนโยบายและดุลอำนาจในรัฐบาล เราจึงเห็นได้ว่าการทำ ความเข้าใจกระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกาและ ทิศทางการเมืองระดับโลกได้
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 49 บทที่ 4: รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (2017-2021) โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ (Donald John Trump) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ใน บทนี้ เราจะทำความเข้าใจรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของเขา ผ่านการวิเคราะห์ชัยชนะของเขาในการ เลือกตั้งปี 2016 นโยบายของเขา และผลกระทบของนโยบายต ่อสังคมอเมริกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกิจการภายในประเทศ ตลอดจนมรดกที่เขาทิ้งไว้หลังจากดำรงตำแหน่ง กระบวนการในการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ภาพที่ 23: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มา: (Duignan, 2023) 1. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองสหรัฐฯ และผู้คนมากมายต่างต้องประหลาดใจกับชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 (Jérôme et al., 2021) ผู้เขียนวิเคราะห์ว่าชัยชนะ ของเขาเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น บริบททางการเมือง ความสามารถในการดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลุ่มผลประโยชน์ คู่แข่งทางการเมือง และคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งที่ส่งผลให้ทรัมป์ได้ก้าวขึ้นมาเป็น ประธานาธิบดีคนที่ 45 ปัจจัยประการแรกคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันจำนวนมากรู้สึกไม ่พอใจในบรรยากาศทาง การเมืองของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ประเทศกำลังประสบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ชาวอเมริกัน
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 50 หลายคนรู้สึกถูกทอดทิ้งจากโลกาภิวัตน์ และการไม่มีงานทำ การหาเสียงของทรัมป์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2016 ในฐานะตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน โดยเน้นประโยชน์ของชาติในประเด็นสำคัญได้แก่ การ อพยพ การค้าและงาน เขาเชิดชูชาตินิยมทางเศรษฐกิจผ่านภูมิหลังในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สัญญาว่าจะสร้างงานจำนวนมหาศาล และสัญญาว่าจะ “สร้างสหรัฐอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” (Make America Great Again) และ “สหรัฐอเมริกามาก่อน” (America First) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลัก และถูกใจ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นอย่างมาก (จุฑาทิพ คล้ายทับทิม, 2563) ประการที ่สองคือ ทรัมป์สามารถระดมฐานเสียงผู้สนับสนุนได้อย่างมาก เขาหาเสียงกับชนชั้น แรงงาน คนผิวขาว ผู้เผยแพร่ศาสนา และกลุ่มอนุรักษ์นิยม โดยมีรูปแบบการหาเสียงที่แตกต่าง เช่น การ ต่อต้านความถูกต้องทางการเมือง9 (Political correctness: PC) และปฏิเสธสื่อกระแสหลัก ท่าทางการ เสียงที่ดุดันเพื่อสนับสนุนเสรีภาพในการพูด และท้าทายอำนาจเดิม รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Twitter เพื ่อสื ่อสารกับผู้สนับสนุนและโจมตีฝ ่ายตรงข้าม (Buccoliero et al., 2020; Liberini et al., 2020; Varis, 2020) เขาจัดให้มีการชุมนุมทั่วประเทศ เพื่อดึงดูผู้คนที่ด้วยความดุดัน การเผชิญหน้า และ วาทศิลป์ แม้ว่าจะถูกวิจารณ์ว่าสร้างความแตกแยก แต่กลับกระตุ้นประชาชนในชุมชนชนบทและชนชั้น แรงงาน จนสามารถเอาชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตได้ (Moody-Ramirez and Church, 2019) ประการที่สามคือ ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด นั้นคือ สมาคมไรเฟิล แห่งชาติ (National Rifle Association: NRA) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นเวลาหลายปี และมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรครีพับลิกัน กลุ ่มนี้สนับสนุนการถือครองในอาวุธปืนและต่อต้านมาตรการ ควบคุมอาวุธปืน ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2016 NRA ใช้เงินเป็นมากถึง 30 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการ หาเสียงของทรัมป์ทั้งการโฆษณาทางโทรทัศน์ การส่งจดหมาย และการระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสนับสนุน ของ NRA มีส่วนสำคัญช่วยให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้(Lacombe, 2021) รัฐบาลทรัมป์ยืนยัน สิทธิ์ในการถือครองปืน ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่สองที่กล่าวว่า “สิทธิของประชาชนที่จะมี และถืออาวุธจะถูกขัดขวางไม่ได้”10 และไม่แก้ไขกฎหมายแม้ว่าจะมีการกราดยิงหลายครั้งก็ตาม ปัจจัยสำคัญคือ ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตเผชิญกับความท้า ทายยในการเลือกตั้ง เช่น การตั้งคำถามกับการหาเสียง และข้อกล่าวหาที่ทำลายความน่าเชื่อถือของเธอ ว่า เธอใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (Secretary 9 ความถูกต้องทางการเมือง หรือ Political correctness คือ แนวคิดที่ว่าภาษาและการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการรุกราน หรือการด้อยค่าด้อยโอกาสกลุ่มคนบาง เช่น กลุ่มที่เคยถูกเลือกปฏิบัติ เชื้อชาติ เพศ ศาสนา รสนิยมทางเพศ หรือความ ทุพพลภาพ 10 “the right of the people to keep and bear Arms, shall not be infringed.”
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 51 of State) แม้ว่าเธอจะพยายามเข้าหาผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มคนสำคัญ เช่น กลุ่มคนอายุน้อยและชาวแอฟริ กันอเมริกัน แต่ยังใช้กลยุทธ์แบบเดิม ๆ เช่น การหาเสียงผ่านโฆษณาทางทีวี จึงไม่สามารถเอาชนะทรัมป์ได้ (Moody-Ramirez and Church, 2019) นอกจากนี้ คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งในระบบการเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่งผลให้ทรัมป์ชนะ เพราะแม้ว่า คลินตันจะได้รับคะแนนนิยมกว่า 65 ล้านเสียง แต่ทรัมป์ชนะด้วยคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งในรัฐ สำคัญๆ เช่น มิชิแกน เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ชัยชนะของทรัมป์แสดงให้เห็นถึงข้อถกเถียงสำคัญใน ประเด็นการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง 1) ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการนับคะแนนในระบบเลือกตั้งสหรัฐฯ ชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ก่อให้เกิดการถกเถียงระหว่าง คะแนนนิยม (Popular Vote) และคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) ในการตัดสินผู้ชนะ ตำแหน่งประธานาธิบดี แท้จริงแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่มาจาก คะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงรวมจำนวน 538 เสียง เพื่อเลือกประธานาธิบดี การลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งในปัจจุบันไม่ได้มาจากรัฐธรรมนูญฉบับเดิมปี 1787 แต่เป็นการ แก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 12 หลังวิกฤตการเลือกตั้งระหว่างจอห์น อดัมส์ และโธมัส เจฟเฟอร์สันในปี ค.ศ. 1800 ที่ทั้งสองกล่าวหากันว่าทุจริตและหลอกลวง เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติซ้ำรอยและแก้ไขปัญหาการเลือกตั้ง อื่นๆ ท้ายที่สุด โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson: 1743-1826) จึงได้เป็นประธานาธิบดี และใช้การ ลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน (Foley, 2019; Keyssar, 2020) ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการนับคะแนนไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ในหลายกรณีผู้สมัครชนะการเลือกตั้งแบบ คะแนนนิยม แต่กลับไม่ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะแพ้คะแนนเลือกตั้งของคณะผู้เลือกตั้ง เช่น การเลือกตั้ง ในปี 1876, 1888, 2000 และ 201611 (Feerick, 2021) โดยในปี ค.ศ. 1876 ซามูเอล เจ. ทิลเดน (Samuel J. Tilden) จากพรรคเดโมแครตชนะคะแนนนิยม 50.9% แต่รัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮย์ส (Rutherford B. Hayes) จากพรรครีพับลิกันชนะคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 185 เสียงต ่อ 184 เสียง ท้ายที่สุด Hayes ได้ดำรงตำแหน่งประธานธิบดี แต่นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่า Tilden เป็นผู้ชนะการ เลือกตั้งที่แท้จริง สถานการณ์เดียวกันเกิดขึ้นใน ปี 1888 เบนจามิน แฮร์ริสัน (Benjamin Harrison) จากพรรครีพับ ลิกันจะชนะคะแนนนิยม แต่โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (Grover Cleveland) จากพรรคเดโมแครต ได้ดำรง ประธานาธิบดีคนที่ 23 (ปี 1889–1893) เพราะเขาชนะคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 233 เสียงจาก 401 11 ดู ตารางสรุปผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่คะแนนผู้เลือกตั้งไม่เป็นไปตามคะแนนนิยมในภาคผนวกที่ 3
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 52 เสียง ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2000 จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) จากพรรครีพับลิกันชนะคะแนน จากคณะผู้เลือกตั้ง 271 เสียงแม้ว่าอัล กอร์ (Al Gore) จากพรรคเดโมแครตจะชนะคะแนนนิยม นำไปสู่ การร้องขอให้นับคะแนนใหม่ในรัฐฟลอริดา (Cain, 2022) ท้ายที่สุด ศาลฎีกาตัดสินในคดี Bush v. Gore ให้หยุดการนับคะแนนและประกาศให้บุชดำรงตำแหน ่งประธานาธิบดีคนที ่ 43 (ปี 2001–2009) (Chemerinsky, 2020) ในการเลือกตั้งปี 2016 ฮิลลารี คลินตันชนะคะแนนนิยมกว่า 65 ล้านเสียงจากคนอเมริกันโดยตรง แต่กลับไม่ได้เป็นประธานาธิบดีเนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 304 เสียง ขณะที่ ฮิลลารี คลินตันได้คะแนนเสียงเพียง 227 เสียง ดังนั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์จึงได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ในปี 2017 การชนะการเลือกตั้งของทรัมป์นี้นำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของระบบคณะผู้ เลือกตั้ง และเรียกร้องให้ใช้ระบบคะแนนนิยมแทน (Arlington and Branner, 1984; Wegman, 2020) แม้ระบบคณะผู้เลือกตั้งจะมีข้อวิจารณ์มากมาย แต่ผู้สนับสนุนคณะผู้เลือกตั้งให้เหตุผลว่าคณะผู้ เลือกตั้งเป็นผลจากความยากลำบากในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเป็นประเพณีทางการเมือง ระบบนี้ช่วยให้ รัฐเล็ก ๆ ไม่ถูกครอบงำโดยรัฐใหญ่ เป็นการรักษาดุลอำนาจระหว่างสภาคองเกรส และสภานิติบัญญัติ มี การตรวจสอบและถ่วงดุลในระบบรัฐธรรมนูญ หากการเมืองสหรัฐฯ ไม่มีคณะผู้เลือกตั้งอาจทำให้ผู้สมัครชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีหาเสียงเฉพาะในรัฐใหญ่ที่มีประชากรมาก แต่ไม่สนใจรัฐที่เล็ก อีกทั้งคณะผู้เลือกตั้ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองสหรัฐฯ มานานกว่า 200 ปี ที่ทำงานได้ดีมาโดยตลอด (Keyssar, 2020) ขณะที่ผู้สนับสนุนระบบคะแนนนิยมให้เหตุผลว่าคณะผู้เลือกตั้งไม่ได้สะท้อนว่าประธานาธิบดีมา จากเสียงของประชาชนโดยตรงอย่างแท้จริง กีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งและละเลยผลประโยชน์ของรัฐเล็กๆ บ่อนทำลายหลักการประชาธิปไตย ผู้สมัครสนใจหาเสียงแต่ในรัฐ Swing State มากเกินไปจนละเลยรัฐ อื ่นๆ จึงมีการเสนอแนวทางแก้ไขระบบนับคะแนนเสียงใหม ่ โดยให้การนับคะแนนเลือกตั้งเป็นไปตาม สัดส ่วนคะแนนเสียงของประชาชน และการใช้คะแนนเสียงแบบเลือกลำดับ การนับคะแนนเช ่นนี้เป็น ตัวแทนของเจตจำนงของประชาชนได้ดีกว่า เป็นประชาธิปไตยและยุติธรรมมากกว่า (Edwards III, 2019) อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงระหว่างคะแนนนิยมกับคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งยังหาบทสรุปไม่ได้ และดูเหมือนว่าระบบการเมืองสหรัฐฯ ยังคงใช้ระบบคณะผู้เลือกตั้งไว้เช่นเดิม 2. Make America Great Again: นโยบายภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ชัยชนะในระบบผู้คณะผู้เลือกตั้ง ส่งผลให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีคนที ่ 45 และใช้นโยบาย ภายในประเทศที่น่าสนใจและก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ผู้อพยพ การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ นโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่สำคัญดังนี้
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 53 1) นโยบายภายในประเทศ (1) ด้านสาธารณสุข: รัฐบาลทรัมป์ปฏิรูประบบสาธารณะสุข โดยพยายามยกเลิกรัฐบัญญัติ คุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้(Patient Protection and Affordable Care Act of 2010: ACA) หรือ โอบามาแคร์ (Obamacare) และออกกฎหมายอื ่นทดแทน แม้ว ่าพรรครีพับลิกันจะไม ่ประสบ ความสำเร็จในการยกเลิก Obamacare ในสภาคองเกรส แต่รัฐบาลทรัมป์กลับเปลี่ยนให้กฎหมายนี้อ่อนแอ ลง โดยกำหนดให้ชาวอเมริกันต้องทำประกันสุขภาพเอง รัฐบาลทรัมป์ยังถูกวิจารณ์ว่ารับมือกับการแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ล่าช้า ปฏิเสธการสวมหน้ากากอนามัย และการ เว้นระยะห ่างทางสังคม นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์พยายามจำกัดการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์และมี นโยบายห้ามไม่ให้องค์กรต่างประเทศจัดหาหรือส่งเสริมการทำแท้ง (Levitt, 2020; Woolhandler et al., 2021) (2) นโยบายผู้อพยพ: รัฐบาลทรัมป์ผลักดันให้มีการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ และ เม็กซิโก ในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างกำแพงไปแล้ว 450 ไมล์ โดยใช้งบประมาณ ด้านการรักษาความมั่นคงบริเวณชายแดน เพื่อสกัดกั้นการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและการค้ายา เสพติด แต่นักวิจารณ์แย้งว่ากำแพงไม่ได้แก้ไขสาเหตุของการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และฃมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป อีกทั้งยังเป็นการการเหยียดเชื้อชาติ และทำลายความสัมพันธ์ ระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ทรัมป์ประกาศสั่งผู้บริหารห้ามเดินทาง (EO 13769) หรือ "คำสั่งห้ามชาวมุสลิม" ("Muslim Ban") เดือนมกราคม 2017 ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียและชาวมุสลิมรวม 7 ประเทศ12เข้าสหรัฐฯ ไม่ได้ และลด จำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดเหลือ 50,000 คน (Waslin, 2020; Wroe, 2022) อีกทั้งยังมีนโยบายแยกเด็กออกจาก ครอบครัวที่ชายแดน แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนวิจารณ์คำสั่งนี้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอย ่างไม่ เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของชาวอเมริกันในเรื่องเสรีภาพทางศาสนาและความหลากหลายทาง วัฒนธรรม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ละเมิดบทบัญญัติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกของสหรัฐฯห้ามไม่ให้รัฐบาล สนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ และส่งเสริมการแตกแยกในสังคมอเมริกัน นำไปสู่การฟ้องร้องต่อ ศาลให้ระงับคำสั่งฝ่ายบริหารเนื่องจากคำสั่งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้ตัดสินในเดือน มิถุนายน 2018 ว่าประธานาธิบดีมีอำนาจในการควบคุมคนเข้าเมือง และการแก้ไขคำสั่งในภายหลังไม่ขัด ต่อรัฐธรรมนูญ (Ramahi, 2020; Wallace and Zepeda-Millán, 2020) 12 ได้แก่ ซีเรีย อิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และเยเมน
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 54 ภาพที่ 24: โดนัลด์ ทรัมป์กับกำแพงชายแดนใกล้เมืองยูมา รัฐแอริโซนา ปี 2020 ที่มา: (The White House, 2020) (3) กระบวนการยุติธรรมและการแต่งตั้งตุลาการศาลฎีกา: ในปี 2018 ทรัมป์การปฏิรูป กระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยได้ลงนามในกฎหมาย First Step Act of 2018 ซึ่งเป็นร่างกฎหมาย ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น การบังคับโทษจำคุกขั้นต่ำ และการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ต้องขัง เพื่อการกลับคืนสู่สังคม การปฏิรูปดังกล่าวนับว่าเป็นพัฒนาการในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญ นอกจากนี้การแต่งตั้งตุลาการศาลฎีกา เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของประธานาธิบดี และเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดี การเสียชีวิตของผู้พิพากษาสูงสุด Antonin Scalia ใน ปี 2016 แต ่สมาชิกวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันไม ่รับรองผู้พิพากษาคนใหม ่ที ่ได้รับเสนอชื ่อจาก ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อรอให้ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันแต่งตั้งผู้พิพากษาแบบอนุรักษ์ นิยมเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง (Sears, 2016) ซึ่งทรัมป์ได้ใช้อำนาจดังกล้าวในการเสนอชื่อและแต่งตั้งผู้พิพากษา ฝ่ายอนุรักษ์นิยม 3 คนในศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้แก่ นีล กอร์ซัค (Neil Gorsuch) ในปี 2017 เบรตต์ คาวานอห์ (Brett Kavanaugh) ในปี 2018 และเอมี โคนีย์ บาร์เร็ตต์ (Amy Coney Barrett) ในปี 2020 การแต ่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดเหล ่านี้มีนัยสำคัญต ่อการตีความรัฐธรรมนูญ เมื ่อผู้พิพากษาฝ ่าย อนุรักษนิยมมี 5 เสียงใน 9 เสียงของศาลฎีกา อาจส่งผลให้การตีความรัฐธรรมนูญอย่างเข้มงวดเกินไปและ เพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงในบริบททางสังคมในประเด็นต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเจริญพันธุ์ สิทธิในการออก
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 55 เสียง สิทธิพลเมือง และกฎระเบียบของรัฐบาล ส่งผลให้คนอเมริกันไม่พอใจและตั้งคำถามกับเสรีภาพใน อเมริกา (Nemacheck, 2021) (4) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ทรัมป์เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่อง หลอกลวง (Climate change denial) โดยกล่าวหาว่าชาวจีนคิดค้น "แนวคิดเรื่องภาวะโลกร้อน" เพราะมัน จะส ่งผลเสียต ่อการผลิตของสหรัฐฯ ในทางใดทางหนึ ่ง ในปลายปี2015 ทวีตข้อสงสัยเกี ่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากถึง 115 ครั้ง (Matthews, 2017; Zurcher, 2017) เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลสภาพภูมิอากาศมีอยู่จริง ในช ่วงหนึ ่งร้อยวันแรกของการดำรงตำแหน ่ง ทรัมป์พยายามยกเลิกนโยบายด้านสิ ่งแวดล้อม มากกว่า 125 ฉบับ เช่น กฎหมายปกป้องสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ กฎหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ การลดมาตรฐานด้านพลังงานของรถยนต์ ก่อนที่จะออกคำสั่งฝ่ายบริหารยกเลิกแผนพลังงานสะอาด การ ประเมินสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ และต้นทุนคาร์บอนทางสังคม (social cost of carbon) ในรัฐบาลโอ บามา (Hejny, 2018) ส่งผลให้บริษัทเอกชนเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมและทรัพยกรของ สหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ เสื่อมโทรมลงอย่างมาก (Eilperin et al., 2020) ในระดับโลก รัฐบาลทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากความร ่วมมือระดับโลก เช ่น พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ความตกลงปารีสด้านสภาพอากาศ (Paris Agreement) ทำให้สหรัฐฯ ไม ่ต้องจำกัด ภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เพราะ ทรัมป์เชื่อว่าข้อตกลงเหล่านี้ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประชาชนอเมริกัน และขัดแย้งกับแผน พลังงานตามนโยบาย “อเมริกาต้องมาก ่อน” (America First) ของเขา การถอนตัวทำให้สหรัฐฯ ถูก วิจารณ์อย่างมากว่าพ่ายแพ้ในการจัดการสิ่งแวดล้อม (McGrath, 2020; Washington Post, 2021) 2) ด้านเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์เน้นการลดภาษี การลดกฎระเบียบ และการปกป้องการค้า ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ส่งผลให้เกิดผล กระทบทั้งทางบวกและทางลบ ดังนี้ (1) การลดภาษี: รัฐบัญญัติการลดภาษีและการจ้างงาน (The Tax Cuts and Jobs Act: TCJA of 2017) ปี 2017 กำหนดให้มีการลดภาษีนิติบุคคล การลดภาษีเงินได้ และลดภาษีอสังหาริมทรัพย์ โดย เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างงานมากขึ้น แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าการลดภาษีเป็นการ เอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม เช่น คนร่ำรวยและชนชั้นกลาง และเพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศ
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 56 (2) กฎระเบียบ: รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกกฎระเบียบจำนวนมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อลดภาระด้านกฎระเบียบของธุรกิจ โดยรัฐบาลอ้างว่าการยกเลิกกฎระเบียบจะช่วยลดต้นทุนให้แก่ภาค ธุรกิจ เพิ่มการลงทุน และสร้างงานมากขึ้น แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าการยกเลิกกฎระเบียบนำไปสู่การเพิ่มความ เสี่ยงและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค (3) การปกป้องการค้า: ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงการค้าเดิม แต ่เปิดการเจรจาใหม ่ เช่น ข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (The U.S.–Mexico–Canada Agreement: USMCA) รัฐบาลเพิ่มอัตรา ภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ พราะเชื่อว่าจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และส่งเสริมการจ้างงานภาคการผลิตของสหรัฐฯ แต่นโยบายนี้ทำให้ผู้บริโภคซื้อสินเค้าในราคาสูงขึ้น และ ลดความสามารถของสหรัฐในการแข่งขันทางการค้าระดับโลก (Celebi and Welfens, 2020) (4) ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ส ่งผลต ่อตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ โดย เศรษฐกิจสหรัฐมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังจากการประกาศใช้รัฐบัญญัติการลดภาษีและการจ้างงาน (The Tax Cuts and Jobs Act: TCJA of 2017) ทำให้คนอเมริกันมีงานทำ และราคาหุ้นสูงขึ้น แต ่หนี้ สาธารณะกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากการลดภาษี (VOA, 2018) และนโยบายกีดกันทางการค้าได้สร้าง ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา จีน และประเทศอื่นๆ นำไปสู่การตอบโต้กลับที่รุนแรง ส่งผลต่อภาค การเกษตรและธุรกิจอเมริกัน อีกทั้งการระบาดใหญ ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 Pandemic) ทำให้คนอเมริกันตกงานเพิ่มมากขึ้น และเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (5) ข้อตกลงทางการค้า: เขาพาสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงการค้าพหุภาคีหลายฉบับ เช่น ข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิก13 (Trans-Pacific Partnership: TPP) เพราะ ทรัมป์เห็นว่า TPP ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ จึงถอนตัวออกเพื่อดำเนินนโยบายการค้าแบบกีดกันมากขึ้น (Welfens, 2019) แต ่เขาเจรจาข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (The U.S.–Mexico–Canada Agreement: USMCA) เพื ่อทดแทนข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (The North American Free Trade Agreement : NAFTA) ในปี 2018 (Blecker, 2021) เพื่อสร้างงานใหม่และกระตุ้นการเติบโตทาง เศรษฐกิจของสหรัฐฯ พร้อมทั้งดำเนินนโยบายการค้า ตามหลัก "อเมริกาต้องมาก่อน" นโยบายเหล่านี้เป็น อันตรายต่อเศรษฐกิจโลกและนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ 13 ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการค้าที่เจรจาระหว่าง 12 ประเทศที่มีพรมแดนติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แคนาดา และออสเตรเลีย เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก และตอบ โต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 57 นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายแง่มุม ทั้งผลกระทบเชิงบวก เช่น การสร้างงานและกำไรจากตลาดหลักทรัพย์ และผลกระทบเชิงลบ เช่น หนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้นและการ หยุดชะงักทางเศรษฐกิจจากนโยบายกีดกันทางการค้า (Rowley, 2020) 3) นโยบายต่างประเทศ นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลทรัมป์วางอยู่บนสโลแกนที่ว่า “America First” หรืออเมริกาต้อง มาก่อน (Restad, 2020) สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของ ตนเอง เน้นผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นอันดับแรก ปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ลดการให้ความ ช่วยเหลือต่างชาติ มุ่งเน้นไปที่การเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ใช้กำลังทางการทหารและการบีบบังคับเพื่อ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ (Kim and Knuckey, 2021) ประเด็นสำคัญที่นโยบายของเขามีผลกระทบ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้ (1) ความมั่นคงระดับโลก: นโยบายต่างประเทศทรัมป์สร้างความตึงเครียดให้แก่พันธมิตรของ สหรัฐฯ เช ่น ทรัมป์วิจารณ์องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (The North Atlantic Treaty Organization: NATO) ว่า "ล้าสมัย" และขู่ว่าจะถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิก NATO หากประเทศ สมาชิกที ่ไม ่ปฏิบัติตามพันธกรณีทางการเงิน สำหรับสหภาพยุโรป (European Union: EU) ทรัมป์ สนับสนุน Brexit14 และวิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปหลายครั้ง เขาเก็บภาษีสินค้าจากยุโรป ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการค้า และความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเพิ่มมากขึ้น (Edwards, 2018) (2) ตะวันออกกลาง: ทรัมป์เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของอเมริกาในตะวันออกกลาง โดย ถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย ในปี 2018 อีกทั้ง ทรัมป์ยังวิจารณ์ พันธมิตร เช่น เยอรมนีและญี่ปุ่นด้านการค้า และเรียกร้องให้พันธมิตรเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินเพื่อ ความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งทรัมป์ยังถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงและองค์กรระหว่างประเทศหลาย ฉบับ เช่น ความตกลงปารีส และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งส่งผลเสียต่อความร่วมมือ ระหว่างประเทศ (3) ความสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้นำเผด็จการ: ทรัมป์สร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้นำเผด็จการ เช่น ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่พบคิมจองอึนผู้นำเกาหลีเหนือเพื่อเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่กลับล้มเหลว และทรัมป์พบกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูตินหลายครั้งเพื่อหารือในประเด็น ต ่างๆ เช ่น การควบคุมอาวุธ สงครามในซีเรีย และข้อกล ่าวหาเรื ่องรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง 14 เป็นกระบวนการของรัฐบาลสหราชอาณาจักร (UK) เพื่อออกจากสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่ปี 2017 - 2020
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 58 ประธานาธิบดีสหรัฐปี 2016 การสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้นำเผด็จการของทรัมป์ทำให้พันธมิตรของ สหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับค่านิยมประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลสหรัฐ (4) สงครามการค้ากับจีน: ประธานาธิบดีทรัมป์ทำสงครามการค้ากับจีนด้วยการขึ้นภาษีศุลกากร และตอบโต้ภาษีสินค้าระหว ่างสองประเทศ อันเป็นผลมาจากแนวทางปฏิบัติทางการค้า การโจรกรรม ทรัพย์สินทางปัญญา และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดเริ ่มต้นในปี 2018 เมื่อรัฐบาลทรัมป์ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน ก่อนที่จีนจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีกับสินค้า สหรัฐหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง เนื้อหมู และรถยนต์ โดยแต่ละประเทศเรียกเก็บภาษีกับสินค้ามูลค่าหลาย พันล้านดอลลาร์ (Liu and Woo, 2018) รัฐบาลทรัมป์ยังมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีนในหลายประเด็น เช่น สิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของชาติ และการระบาดของไวรัสโคโรนา ความขัดแย้งนี้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ถดถอยลง เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหา ในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ (Steinbock, 2018) นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในรัฐบาลทรัมป์ได้สร้างความตึงเครียดให้แก่พันธมิตรเดิม การ ถอนตัวออกจากข้อตกลงและองค์กรระหว่างประเทศ สงครามการค้าและการสร้างมิตรกับผู้นำเผด็จการได้ ทำลายความเป็นผู้นำและความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก 3. การถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ การสืบสวนของมุลเลอร์และการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นสองเหตุการณ์ที่สำคัญที่ ผู้เขียนเห็นว่าแสดงให้เห็นถึงหลักการถ่วงดุลอำนาจในการเมืองสหรัฐอย่างชัดเจนในการเมืองสหรัฐฯ ใน ส่วนนี้เราจะพิจารณาการสืบสวนของมูลเลอร์และการถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์โดยละเอียด เพื่อทำความ เข้าใจระบบการเมืองของสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ดังนี้ 1) การสืบสวนของมุลเลอร์ การสืบสวนของมูลเลอร์ (The Mueller investigation) เป็นการสอบสวนของที ่ปรึกษาพิเศษ (The Special Counsel investigation) นำโดย Robert Mueller อดีตผู้อำนวยการ FBI ที ่ได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษในเดือนพฤษภาคม 2017 เป็นการสอบสวนข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียแทรกแซง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 และความสัมพันธ์ของทรัมป์กับรัสเซียในระหว่างการหาเสียง (Gavra and Slutskiy, 2021) หลังจากดำเนินการสืบสวนนานกว่า 2 ปี รายงานของ Mueller ในปี 2019 พบว่ารัสเซียมีเจตนา แทรกแซงการเลือกตั้งในปี 2016 อย่างเป็นระบบ และบุคคลจำนวนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซียในการหา เสียงของทรัมป์ จึงมีการฟ้องร้องบุคคลและหน่วยงานหลายแห่ง เช่น เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ข่าว
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 59 กรองของรัสเซีย ผู้ร่วมหาเสียงกับทรัมป์หลายคน และยังพบหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดี ทรัมป์ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม (Mueller et al., 2019) แม้ว่ามูลเลอร์จะไม่ได้ระบุว่าประธานาธิบดี ได้ก่ออาชญากรรมหรือไม่ แต่รายงานนี้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สภาผู้แทนราษฎรเปิดการไต่สวน เพื่อถอด ถอนประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนกันยายน 2019 2) การถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์เกิดขึ้นระหว ่างปี 2019 และ 2020 นับเป็นครั้งที ่สามใน ประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ กระบวนการถอดถอนเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญบนฐานความผิด "อาชญากรรมขั้นสูงและความผิดลหุโทษ15" การไต ่สวนเริ ่มต้นขึ้นหลังจากสภาผู้แทนราษฎรรับเรื ่อง ร้องเรียนของผู้แจ้งเบาะแส ผู้แทนราษฎร (ซึ่งมี สส. จากพรรคเดโมแครตเป็นเสียงข้างมาก) ลงมติให้ถอด ถอนประธานาธิบดีทรัมป์ในสองข้อหา คือ (1) การใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยทรัมป์อนุญาติให้ต ่างชาติเข้าแทรกแซงการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐในปี2016 (2) การขัดขวางการทำงานของรัฐสภา คือทรัมป์ปฏิเสธที ่จะปฏิบัติตามหมายเรียกของ รัฐสภาระหว่างการไต่สวนถอดถอน เมื่อสภาผู้แทนราษฎรลงลงมติด้วยเสียงข้างมากให้ดำเนินการต่อ วุฒิสภาได้พิจารณาคดีถอดถอน ประธานาธิบดีโดยมีหัวหน้าผู้พิพากษาสูงสุดจอห์น โรเบิร์ตส์(Chief Justice John Roberts) เป็นประธาน แต่วุฒิสภา (ซึ่งมี สว. จากพรรครีพับลิกันเป็นเสียงข้างมาก หลังการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2018) ได้ลงมติให้ ยกฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์ทั้งสองข้อหา (Jacobson, 2020) ทำให้ทรัมป์พ้นผิดในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 แม้ทรัมป์ยังดำรงตำแหน ่งประธานาธิบดีจนหมดวาระในเดือนมกราคม 2021 แต ่การพ้นผิด ของทรัมป์กลับนำมาซึ่งความความแตกแยกและการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างลึกซึ้งในสหรัฐฯ ผู้สนับสนุน ทรัมป์เชื่อว่าการสอบสวนมีแรงจูงใจทางการเมือง ขณะที่ผู้ต่อต้านทรัมป์เห็นว่าทรัมป์ต้องรับผิดชอบในการ กระทำของเขา อีกทั้งยังส่งผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 โดยทั้งสองฝ่ายใช้ประเด็นเหล่านี้ สร้างฐานเสียงและดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเสียให้ฝ่ายของตน การถอดถอนประธานาธิบดีแสดงให้เห็นถึงกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอำนาจระหว่าง ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 15 แต่หากประธานาธิบดีถูกกล ่าวโทษว่าเป็น "การทรยศ การติดสินบน หรืออาชญากรรมขั้นสูงและความผิดลหุโทษ" รัฐธรรมนูญให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงผู้เดียวในการเริ่มกระบวนการถอดถอน และวุฒิสภามีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ในการพิจารณาคดีและถอดถอนเจ้าหน้าที่ออกจากตำแหน่ง
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 60 4.การแถลงต่อรัฐสภาก่อนหมดวาระของทรัมป์ คำปราศรัยครั้งสุดท้ายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คือวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 อย่างไรก็ตาม ในทางเทคนิคแล้ว ไม่ใช่การแถลงนโยบายประจำปี(The State of the Union) เพราะเขาไม่ได้อยู่กลาง วาระ แต่เป็นสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส (Gambino, 2020) โดยมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ (1) ด้านเศรษฐกิจ: ทรัมป์เน้นย้ำถึงความสำเร็จในการบริหารเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง การสร้างงาน และการปฏิรูปภาษีเขากล่าวเกินจริงว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เช่น อัตราการว่างงานที่ ต ่ำที ่สุดในรอบ 50 ปี และค ่าจ้างที ่เพิ ่มขึ้น ความสำเร็จของเขาในการเจรจาใหม ่ในข้อตกลงการค้าเสรี อเมริกาเหนือและข้อตกลงการค้ากับจีน อย่างไรก็ตาม เขาอ้างว่า USMCA สร้างงานยานยนต์ใหม ่ที ่ให้ ผลตอบแทนสูง 100,000 ตำแหน ่ง ในขณะที ่รายงานของคณะกรรมาธิการการค้าระหว ่างประเทศของ สหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะมีงานดังกล่าวเพียง 28,000 ตำแหน่งเท่านั้น ทรัมป์ใช้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจใน ใช้การหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปเพื่อต่อสู้กับนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของพรรคเดโมแครต (2) สงครามวัฒนธรรม (Culture wars): ทรัมป์แถลงเกี่ยวกับประเด็นร้อน เช่น ผู้อพยพ อาวุธ ปืน การยุติการตั้งครรภ์และเสรีภาพทางศาสนา เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม เขาสัญญาว่า จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการนับถือศาสนาและการครอบครองอาวุธ ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือใน การบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง ร้องให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายห้ามทำแท้ง ชื่นชมการแต่งตั้งผู้พิพากษา สูงสุดแนวอนุรักษ์นิยม 2 คน คือ นีล กอร์ซัค (Neil Gorsuch) และเบรตต์ คาวานอห์ (Brett Kavanaugh) และอาจแต่งตั้งเพิ่มอีก ซึ่งทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันต่างปรบมือให้กับในประเด็นเหล่านี้ (3) การพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดี: ทรัมป์ไม่ได้กล่าวถึงการพิจารณาคดีถอดถอนของ ตนเอง แต่ความตึงเครียดระหว่างเขากับประธานสภา Nancy Pelosi แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อเขาปฏิเสธ ที่จะจับมือเธอ และเธอไม่ปฏิบัติธรรมเนียมที่ต้องประกาศแนะนำประธานาธิบดีว่าเป็น"สิทธิพิเศษอย่างสูง และเป็นเกียรติอย่างยิ่งในการเสนอตัวเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา16 " (Gambino, 2020: 1) และ เมื่อทรัมป์แถลงจบ Pelosi ยังได้ฉีกสำเนาคำปราศรัย ด้วยเหตุผลว่าเป็น "สิ่งที่ควรทำ17" (4) ประเด็นด้านสังคมนิยม: ทรัมป์โจมตีพรรคเดโมแครตมีความโน้มเอียงไปในแนวทางสังคม นิยมมากเกินไป เขาจึงสาบานว่าจะปกป้องอเมริกาจากลัทธิสังคมนิยม เขายังอ้างว่าเขาจะปกป้องผู้ป่วยที่ อยู่ภาวะฉุกเฉิน แม้ว่าจะสนับสนุนให้พรรครีพับลิกันในสภายกเลิก รัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาล ที่เสียได้ (Patient Protection and Affordable Care Act of 2010: ACA) ห รื อ โ อบ า ม า แ ค ร์ (Obamacare) ในปี 2017 พรรครีพับลิกันจะต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศจากลัทธิสังคมนิยม ไม่ว่าผู้ท้าชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีจะเป็นใครในเดือนพฤศจิกายนก็ตาม (Gambino, 2020) 16 "The high privilege and distinct honor of presenting to you the president of the United States" 17 “the courteous thing to do”
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 61 (5) เหตุฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดน: ทรัมป์ไม่ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนทาง ตอนใต้ แต่อ้างว่าการอพยพอย่างผิดกฎหมายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง โดยเฉพาะเมืองต่างๆ ในเม็กซิโกที่มี การขนย้ายผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารมายังชายแดนสหรัฐฯ เขาจึงยืนยันต่อสภาคองเกรสว่าจะสร้างกำแพง ต่อไป และจะไม่ยอมประนีประนอมให้กับมติในสภา (Cillizza, 2019) 5.สรุป: รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (2017-2021) รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์(2017-2021) เป็นหนึ่งในรัฐบาลที่มีความขัดแย้งและสับสนวุ่นวายที่สุดใน ประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่ดำเนินนโยบายชาตินิยมที ่สุด เขาเห็นประโยชน์ของ สหรัฐฯ และคนอเมริกันเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยลักษณะความเป็นผู้นำที่ไม่เหมือนใคร การใช้สื่อสังคมออนไลน์ การเผชิญหน้า ความขัดแย้งกับสื่อและฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ในช่วงสี่ปีที่ดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ดำเนินนโยบายที่ถกเถียงกันมากที่สุดจากทั้งพรรคเดโมแครตและ พรรครีพับลิกัน การผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษี ความพยายามยกเลิก Obamacare ออกกฎหมายจำกัดคน เข้าเมือง และนโยบายกีดกันทางการค้า การแต ่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดฝ ่ายอนุรักษ์นิยม และการเจรจา ข้อตกลงทางการทูตในตะวันออกกลาง รัฐบาลทรัมป์เผชิญกับการสืบสวนในประเด็นการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2016 และทรัมป์ถูกนำเข้าสู่กระบวนการถอนถอนประธานาธิบดีอาจเรียกได้ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นช่วงเวลา ของความขัดแย้ง การแบ่งขั้ว และความโกลาหลมากที่สุดในการเมืองสหรัฐฯ ร่วมสมัย
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 63 บทที่ 5: การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 คนอเมริกันรอคอยการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ที่จัดขึ้นท่ามกลางโรคระบาดทั่วโลก ความไม่ แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรง ในบทนี้ ผู้เขียนวิเคราะห์การเลือกตั้งปี 2020 ในแง่มุมต่างๆ ได้แก่ ผลกระทบของ COVID-19 ต่อการเลือกตั้ง ความท้าทายในการหาเสียง การลงคะแนน เสียงทางไปรษณีย์ และบทบาทของโซเชียลมีเดียในการเลือกตั้ง 1. การเลือกตั้งปี 2020 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2020 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 เป็นการชิง ชัยระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันลงสมัครเป็นสมัยที่สอง แข่งกับนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสมัยบารัค โอบามาจากพรรคเดโมแครต คนอเมริกันมีความคาดหวังในการเลือกตั้ง ครั้งนี้เป็นอย่างมากว่าจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่การเมืองสหรัฐฯ ได้ สงครามระอุขึ้นในสภาคองเกรสเพียงสองเดือนก่อนการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคเดโมแครตเสนอร่าง กฎหมายให้อนุญาตการลงคะแนนล่วงหน้า การลงคะแนนทางไปรษณีย์ (Mail-in voting หรือ absentee voting) การลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการออกเสียงของชนกลุ่มน้อยใน 37 รัฐ ขณะที่พรรครี พับลิกันออกร่างกฎหมายกว ่า 165 ฉบับเพื่อจำกัดการลงคะแนนทางไปรษณีย์และจำกัดโอกาสในการ ลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งชาวอเมริกันที่ไปลงคะแนนเสียงมากเป็นประวัติการณ์ด้วย บัตรลงคะแนนกว่า 158 ล้านใบ (Cain, 2022) ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 หลายรัฐอนุญาตให้ประชาชนการลงคะแนนล่วงหน้า และลงคะแนนทางไปรษณีย์ เพื่อลดความแออัดและความเสี่ยงติดเชื้อที่หน่วยเลือกตั้ง ทำให้การลงคะแนน เสียงทางไปรษณีย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นความขัดแย้งในการเลือกตั้ง โดยทรัมป์กล่าวหาว่ามีการ ฉ้อโกงคะแนนทางไปรษณีย์(Landman and Splendore, 2020) การเลือกตั้งในปี 2020 จึงถือได้ว ่าเป็นหนึ่งในการเลือกตั้งที ่มีการถกเถียงและการแบ่งขั้วทาง การเมืองอย ่างมาก โดยทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้สนับสนุนต ่างมีความคิดที่รุนแรง และวิสัยทัศน์ต่อ อนาคตของประเทศที่แตกต่างกัน 2. ความแตกแยกและการแบ่งขั้วทางการเมือง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 เป็นหนึ่งในการเลือกตั้งที่สร้างความแตกแยกและการ แบ่งขั้วทางการเมือง (Political polarization) อย่างลึกซึ้ง เนื่องจากทั้งสองพรรคมีมุมมองในประเด็นต่างๆ ที ่แตกต ่างกันอย ่างสิ้นเชิง ทรัมป์หาเสียงโดยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดภาษี การยกเลิก
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 64 กฎระเบียบ และต่อต้านการผู้อพยพแ ขณะที่ไบเดนส่งเสริมนโยบาย Obamcare ขยายการเข้าถึงบริการ สาธารณสุข ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนความเท่าเทียมทางสังคม และไม่เหยียดเชื้อ ชาติแม้ว ่าความแตกแยกอย ่างลึกซึ้งระหว ่างอุดมการณ์และพรรคการเมืองในสังคมอเมริกันเป็น ลักษณะเฉพาะของการเมืองอเมริกัน แต่ในการเลือกตั้งปี 2020 ทำให้การแบ่งขั้วการเมืองชัดเจนมากขึ้นซึ่ง มีรากฐานมาจากค่านิยม ความเชื่อ และความสนใจที่ความแตกต่าง (Heltzel and Laurin, 2020) ในการเมืองอเมริกา เราอาจแบ่งขั้วทางการเมืองได้เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยม โดยทั่วไป แล้วฝ่ายอนุรักษ์นิยมสนับสนุนรัฐบาลที่จำกัด เสรีภาพส่วนบุคคล และค่านิยมดั้งเดิม ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยม มักสนับสนุนรัฐบาลที่กระตือรือร้น ความยุติธรรมทางสังคม และความเท่าเทียมกัน การแบ่งอุดมการณ์ใน ลักษณะนี้ ปรากฎขึ้นในการเมืองอเมริกันตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ที่คนอเมริกันมักเลือกพรรคการเมืองหนึ่ง แต่การแบ่งขั้วในการเลือกตั้งปี 2020 มาจากความเชื่อที่ว่าพรรคอื่นจะเป็นอันตรายต่อประเทศ ซึ่งเป็น ความท้าทายระบบการเมืองและตัวแทนของระบอบประชาธิปไตยอย่างมาก นำไปสู่ความขัดแย้งในสภาคอง เกรส ผลที ่เกิดขึ้นคือ พรรคเสียงข้างมากกดดันฝ ่ายค้านในสภาคองเกรส ผลักดันนโยบาย ลงมติด้าน งบประมาณและผ ่านร ่างกฎหมายเพื ่อปกป้องพรรคและผลประโยชน์ของตน ขณะที ่พรรคฝ ่ายค้านใช้ กระบวนการศาล บังคับใช้กฎหมายแลกฎเเกณฑ์ต่าง ๆ และความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อเอาผิดกับพรรคฝ่าย ตรงข้าม (Friedrichs and Tama, 2022) ประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทรัมป์และไบเดนมีแนวทาง ในการจัดการกับโรคระบาดที่แตกต่างกัน โดยทรัมป์เน้นแนวทางปฏิบัติมากกว่า เช่น การเปิดเศรษฐกิจอีก ครั้งให้ความสำคัญกับการคุกคามการแร่ระบาดของไวรัสน้อย ในขณะที่ไบเดนเน้นมาตรการด้านสาธารณสุข ที่แข็งแกร่ง การควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส การปกป้องสุขภาพของประชาชน และการตอบสนองต่อ โรคระบาดอย่างเป็นระบบ ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศมีผู้ ติดเชื้อหลายล้านคนและเสียชีวิตหลายแสนคน ประเด็นต่อมาคือความยุติธรรมทางเชื้อชาติและการปฏิรูปองค์กรตำรวจ จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจในมินนิอาโปลิส (Minneapolis) สังหารจอร์จ ฟลอยด์(George Floyd) ในเดือนพฤษภาคม 2020 และสังหารชาวอเมริกันผิวดำคนอื่น ก่อให้เกิดการประท้วงทั่วประเทศเพื่อต่อต้านความโหดร้ายของตำรวจ และการเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะขบนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) เช่น แบล็คไลฟ์แมทเทอร์ (Black Lives Matters) ที่การเรียกร้องความเท่าเทียมทาง เชื้อชาติและยุติความรุนแรงต่อคนผิวสีโดยรัฐ (Little and McGivern, 2012; Stilinovic, 2561) ไบเดน และพรรคเดโมแครตเสนอนโยบายในการปฏิรูปตำรวจ การบังคับใช้และการปฏิบัติตามกฎหมายมากขึ้น
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 65 เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำหน้าที่จับกุมที่เหมาะสมและห้ามบีบคอ ในขณะที่ทรัมป์และพรรครีพับลิกันให้ ความสำคัญกับกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามประท้วงที่รุนแรง ประเด็นอื่นๆ เช่น การอพยพ สาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจ ใน ประเด็นการย้ายถิ่นฐาน ทรัมป์และพรรครีพับลิกันเน้นย้ำเรื่องความมั่นคงบริเวณชายแดนและการจำกัดคน เข้าเมือง ส่วนไบเดนและพรรคเดโมแครตยินดีต้อนรับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารเข้ามาเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ใน ด้านสาธารณสุข โดยไบเดนและพรรคเดโมแครตเรียกร้องให้มี Affordable healthcare ซึ่งพัฒนามาจาก Obamacare และเพิ่มการประกันสุขภาพเพื่อขยายการเข้าถึงบริการสาธารณะสุข ส่วนทรัมป์และพรรครี พับลิกันพยายามยกเลิก Obamacare และให้พลเมืองซื้อประกันสุขภาพเอง ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไบเดนและพรรคเดโมแครตสนับสนุนนโยบายเพื่อ จัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ทรัมป์ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ พรรครีพับลิกันเพิกเฉยต่อปัญหาโลกร้อน และด้านในเศรษฐกิจ ทรัมป์สนับสนุนการผ่อนคลายกฎระเบียบ และการลดภาษี ขณะที่ไบเดนส่งเสริมทางเศรษฐกิจเพื่อให้อเมริกาฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID19 และลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ โดยรวมแล้ว การเลือกตั้งในปี 2020 เป็นการตอกย้ำความแตกต่างทางอุดมการณ์และนโยบาย ระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต การแบ่งขั้วและแตกแยกทางการเมืองมีแนวโน้มกว้างขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง การจัดการกับความแตกแยกเหล่านี้จะต้องใช้ความพยายามในการส่งเสริมความเข้าใจ การเจรจา และการประนีประนอม และเพื่อหาจุดร่วมในประเด็นต่างๆ ร่วมกัน 3. การแพร่ระบาดของ COVID-19 กับการเลือกตั้ง การระบาดใหญ่ของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ทั้งด้าน นโยบาย การหาเสียงของผู้สมัครทั้งสองคน และท้าทายกระบวนการเลือกตั้ง โดยการรับมือกับ COVID-19 ตอกย้ำความแตกต่างระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่ ในบทบาทของรัฐบาลด้านสาธารณสุข และนโยบาย เศรษฐกิจ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนวิจารณ์การจัดการโรคระบาดของทรัมป์ ขณะที่ผู้สนับสนุนทรัมป์กลับชื่น ชมการสนับสนุนเศรษฐกิจและเร่งการพัฒนาวัคซีนของทรัมป์ นอกจากนี้ การแพร่ระบาดยังเป็นความท้าทายต่อวิธีการหาเสียงของผู้สมัคร การหาเสียงแบบเดิม ๆ ที่ไม ่สามารถจัดการชุมนุมขนาดใหญ ่ได้จึงเป็นสถานการณ์บังคับให้ผู้สมัครต้องหาเสียงผ ่านระบบ ออนไลน์ สื่อดิจิทัล หรือกิจกรรมเสมือนจริง ผู้สมัครจึงต้องกระตือรือร้นในการหาเสียง และเพิ่มความ พยายามในการเชื่อมต่อกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด (Sullivan, 2020)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 66 กระบวนการเลือกตั้งในช่วง COVID-19 เปลี่ยนวิธีการลงคะแนนเสียง ในการเลือกตั้งปี 2020 ผู้มี สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากเลือกที่การลงคะแนนล่วงหน้าหรือลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์เพื่อลดความเสี่ยงใน การแพร่เชื้อในคูหาเลือกตั้ง การลงคะแนนทางไปรษณีย์เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเลือกตั้งของสหรัฐมา นานหลายทศวรรษ ตั้งแต ่ยุคสงครามกลางเมืองเพื ่อให้ทหารสามารถลงคะแนนเสียงได้ ต ่อมาหลายรัฐ ยอมรับให้พลเมืองทุกคนสามารถลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ได้ แม้ว่าการลงคะแนนทางไปรษณีย์มีโอกาสโกงคะแนนเสียงหรือกระบวนการนับคะแนนที่ไม่ถูกต้อง แต่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 หลายรัฐเปิดโอกาสให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงทาง ไปรษณีย์ได้ คณะกรรมการการเลือกตั้งเผชิญกับท้าทายด้านการขนส่งบัตรเลือกตั้ง การจัดการกับบัตร ลงคะแนนทางไปรษณีย์ และการนับคะแนนเสียงอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ การลงคะแนนทางไปรษณีย์ในการ เลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผู้ให้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงทาง ไปรษณีย์มากที่สุดประวัติการณ์ ลงคะแนนได้อย่างปลอดภัย และมีกระบวนการนับคะแนนที่ถูกต้อง ทำให้ การโกงผลการเลือกตั้งทางไปรษณีย์เป็นไปได้ยากมาก (Amlani and Collitt, 2022; Peeples, 2020) 4. บทบาทของโซเชียลมีเดียในการเลือกตั้งปี 2020 โซเชียลมีเดียมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการเมือง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 เนื ่องจาก COVID-19 การหาเสียงจึงเปลี ่ยนมาอยู ่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียออนไลน์ต ่าง ๆ (Persily and Tucker, 2020) ทั้งนี้ บทบาทสำคัญของโซเชียลมีเดียในการเลือกตั้งปี2016 เป็นเพียงการ ใช้เป็นพื้นที่โฆษณาของผู้สมัครจากทั้งสองพรรคการเมืองเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ใช้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และโน้นน้าวให้พวกเขาเลือกตนเอง (Karami et al., 2021) แต่ในการเลือกตั้งปี 2020 นักการเมืองได้ใช้แพลตฟอร์มต ่างๆ เช ่น Facebook, Twitter และ Instagram ในการหาเสียง นักการเมืองเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากขึ้นไนเวลาเดียวกัน มีกลุ่มประชากรเป้าหมายที ่ชัดเจน และมี ประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการหาเสียงแบบเดิม ๆ ในทางตรงกันข้าม การลงโฆษณาในโซเชียลมีเดีย อาจก่อให้เกิดการกระจายข้อมูลที่อาจเป็นข ่าว ลวง และข้อมูลที่บิดเบือน ผู้คนใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแชร์บทความข่าว วิดีโอ และมีม (Meme) เกี ่ยวกับผู้สมัคร แต ่ก็อาจเผยแพร ่ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี ่ยวกับการเลือกตั้งและผลการเลือกตั้งได้ (Zhuravskaya et al., 2020) โดยเฉพาะการแบ่งขั้วทางการเมือง อาจเกิดการแพร่กระจายข่าวลวง จึง ต้องคำนึงถึงความโปร่งใสและการควบคุมการโฆษณาการเมืองในสื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดียยังมีบทบาทในการระดมและการมีส่วนร่วมของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครทั้งสองใช้สื่อ สังคมออนไลน์เพื่อสื่อสารกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งและกระตุ้นให้พวกเขาลงคะแนนเสียง แพลตฟอร์มออนไลน์
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 67 เช่น Facebook และ Twitter เป็นแหล่งให้ความรู้แก่ผู้คนลงทะเบียนเลือกตั้ง (Boulianne, 2020) โดย Facebook เป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการโฆษณาทางการเมือง แต่เนื่องจากมีข้อมูลเท็จและข่าวปลอม ในการเลือกตั้งปี 2016 Facebook จึงเพิ่มมาตรการและข้อกำหนดในการควบคุมโฆษณาทางการเมือง และป้องกันการโฆษณาชวนเชื ่อ นอกจากนี้ นักการเมืองและองค์กรทางการเมืองใช้ Twitter ในการ แบ่งปันข่าวสาร ระดมผู้สนับสนุน และมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ ขณะเดียวกัน Twitter มีมาตรการ ควบคุมการโฆษณาทางการเมือง โดยแบนโฆษณาทางการเมืองทั้งหมดในปลายปี 2019 และปิดกั้นเนื้อหา ที่อาจทำให้เข้าใจผิด และแบนนักการเมืองที่ละเมิดนโยบายของ Twitter (Alashri and Alalola, 2020) ในด้านผู้สมัคร ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์และโจ ไบเดนต่างใช้โซเชียลมีเดียในการหาเสียง แต่พวกเขามี แนวทางที ่แตกต ่างกัน โดยทรัมป์มักปรากฏตัวบน Twitter อย ่างเสมอและสร้างประเด็นให้แตกตื่น ตลอดเวลา เขาใช้ Twitter เพื ่อสื ่อสารโดยตรงกับผู้สนับสนุนและวิพากษ์วิจารณ์ฝ ่ายตรงข้าม (Emily Chen et al., 2021) และยังใช้ทั้ง Facebook และ Instagram เพื ่อแชร์ข้อความและนโยบายหาเสียง ทรัมป์ใช้กลยุทธ์โซเชียลมีเดียในการสร้างเนื้อหาที่เป็นไวรัลและสร้างความขัดแย้งกับคู่แข่งทางการเมือง นักข่าว และนักวิจารณ์การเมืองทางออนไลน์ ในทางกลับกันโจ ไบเดนใช้ใช้ Twitter และแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื ่อสื ่อสารกับผู้สนับสนุนและแบ ่งปันแนวคิดของเขา ไบเดนเน้นกลยุทธ์ในสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แบ่งปันประสบการณ์ แสดงคุณสมบัติความเป็นผู้นำของเขา ส่งเสริมความสามัคคีและเข้าถึงผู้มีสิทธิ เลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจ (Alashri and Alalola, 2020) โซเชียลมีเดียของไบเดนจึงมียอดการเข้าถึงน้อย กว่าของทรัมป์ โดยสรุป กลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดียของผู้สมัครทั้งสองสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและรูปแบบทาง การเมืองที่แตกต่างกัน โดยทรัมป์ใช้โซเชียลมีเดียนการสร้างประเด็นโต้เถียงให้กลายเป็นไวรัล ขณะที่ไบ เดนเน้นการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก ประสบการณ์ และคุณสมบัติความเป็นผู้นำของเขา 5. การบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 สภาคองเกรสมีการประชุมเพื ่อนับและรับรองคะแนนเสียงจากการ เลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 อย่างเป็นทางการ ซึ่งโจ ไบเดนเอาชนะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์รวมตัวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อประท้วงการรับรองผลการ เลือกตั้ง พวกเขาเชื ่อว ่าคะแนนของโจ ไบเดนขโมยมาจากทรัมป์ และพยายามล้มผลการเลือกตั้ง การ ประท้วงเริ่มบานปลายกลายเป็นความรุนแรง มีการบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ ทุบหน้าต ่าง ทำลายอาคารสำนักงาน และปะทะกับเจ้าหน้าที่ในสภา (Anderson, 2022)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 68 ภาพที่ 25: การจลาจลในรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ที่มา: (McManus, 2021) การจลาจลทำให้การพิจารณาสภาคองเกรสหยุดชะงักลงชั่วคราว สร้างความเสียหายให้กับอาคาร ฝ ่ายนิติบัญญัติและเจ้าหน้าที ่ต้องอพยพออกจากอาคาร หลายชั ่วโมงต ่อมากองกำลังพิทักษ์ชาติและ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ผลของความรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย หนึ่ง ในนั้นคือเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐสภา และมีผู้บาดบาดเจ็บจำนวนมาก (Hitkul et al., 2021) เหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม 2021 เรียกได้ว่าเป็น "การบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ" ("U.S. Capitol Attack") ที่ถูกประนามจากนักการเมืองทั้งสองพรรค และผู้นำทั่วโลก ตอกย้ำให้เห็นถึงการแบ่งขั้วทาง การเมืองในสหรัฐอเมริกาที่ชัดเจนและรุนแรงมากขึ้น มีการตั้งคำถามกับความเป็นประชาธิปไตยใน สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกนำเข้าสู่กระบวนการถอดถอนโดยสภาผู้แทนราษฎรในข้อหายุยงให้ เกิดการจลาจลในวันนั้น แม้ว่าภายหลังเขาจะถูกตัดสินให้พ้นผิดโดยวุฒิสภา แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมีนัยยะ สำคัญต่อแนวคิดสุดโต่ง และความเปราะบางของประชาธิปไตยในการเมืองของสหรัฐอเมริกา (Crothers and Burgener, 2021) 6. สรุป: การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกในประเด็นสำคัญหลาย ประการ การแบ ่งขั้วทางการเมืองระหว ่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมมากที ่สุดในประวัติศาสตร์
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 69 สหรัฐฯ และนโยบายที่แตกต่างกันมากระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต เช่น การตอบสนองการ แพร่ระบาดของ COVID-19 เศรษฐกิจ ผู้อพยพ และความยุติธรรมทางเชื้อชาติ นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลต่อการเลือกตั้ง การตอบสนองอย่างเข้มแข็งของ รัฐบาลต ่อวิกฤตการณ์สาธารณสุข วิธีการลงคะแนนเสียง บทบาทของโซเชียลมีเดียในการเลือกตั้ง ทั้ง Facebook Instagram และ Twitter เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและการแสดงความคิดเห็นสาธารณะ การหาเสียง ของทั้งทรัมป์และไบเดนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งเหตุการณ์การบุกรุกอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 มกราคม 2021 จากการปลุกปั่นของทรัมป์ ท้ายที่สุดนายโจ ไบเดนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งจากคะแนนนิยม 51.3% และคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 306 คะแนน ส ่งผลให้เขาดำรงตำแหน ่งประธานาธิบดีคนที ่ 46 ของ สหรัฐอเมริกา
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 71 บทที่ 6: รัฐบาลโจ ไบเดน (2021-ปัจจุบัน) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนดำรงตำแหน่งคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา เริ่มบริหารประเทศเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 โดยมีนางกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) เป็นรองประธานาธิบดีเป็นผู้หญิงและผิวสีคนแรก ในบทนี้เราจะอภิปรายรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดน สำรวจนโยบายที่สำคัญ ทั้งนโยบาย ภายในประเทศ เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลกระทบของนโยบายที่มีต่อสังคมอเมริกัน และวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสของรัฐบาลไบเดน ภาพที่ 26: ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มา: (Nicholas, 2023) 1. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน นายโจ ไบเดน (Joseph Robinette Biden Jr.) มีส่วนร่วมในการเมืองมานานหลายปี เป็นสมาชิก ของพรรคเดโมแครต เคยดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์เป็นเวลา 36 ปี ตั้งแต่ปี 1973 จนถึง 2009 และเป็นคณะกรรมการหลายชุด เช่น คณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและคณะกรรมการตุลา การ ก่อนจะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2009-2017 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020 ไบ เดนได้รับการสนับสนุนจากผู้นำพรรคและนักการเมืองหลายคนในการเสนอชื่อจากการเลือกตั้งขั้นต้นและ คอคัสของพรรคเดโมแครต ในปี 2020 เขาชนะการเลือกตั้งและได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ต่อจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 72 ในการเลือกตั้งทั่วไป ไบเดนต้องหาเสียงแข่งกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยสโลแกน Build Back Better เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของอเมริกาหลังภาวะโรคระบาด การเลือกตั้งในช่วง การแพร่ระบาดของ COVID-19 การลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์และการลงคะแนนล่วงหน้ามีจำนวนมาก เป็นประวัติการณ์ เขาได้รับคะแนนการเลือกตั้งจากคณะผู้เลือกตั้ง 306 เสียงต่อ 232 เสียงของทรัมป์ ขณะเดียวกันไบเดนได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 81 ล้านเสียง ซึ่งเป็นคะแนนเสียงที่สูงสุดเท่าที่เคยมีมาใน ประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ เมื ่อวันที ่ 20 มกราคม 2021 โจ ไบเดน สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีคนที่ 46 โดยมีนางกมลา แฮร์ริสดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี 2. Build Back Better: นโยบายภายใต้รัฐบาลไบเดน เมื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 รัฐบาล ไบเดนดำเนินนโยบายที่สำคัญ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การย้ายถิ่นฐาน และนโยบายต่างประเทศ ดังนี้ 1) Build Back Better ไบเดนดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์“Build Back Better” เพื่อฟื้นฟูสหรัฐฯ ในสามระยะ คือ (1) The American Rescue Plan เขาลงนามในกฎหมาย และแก้ไขในร ่างกฎหมายต ่าง ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์จากการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ไบเดนนำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ การเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) และฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสให้แก่คนอเมริกันภายใน 100 วันแรก รัฐบาลวางแผนแจกจ ่ายวัคซีนให้แก ่ชาวอเมริกัน 70% ภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2021 แต่งตั้งผู้ประสานงานเพื่อรับมือกับ COVID-19 ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร กำหนดให้สวมหน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม และให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่บุคคลและ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ปรับปรุงแผนการรับมือกับ COVID-19 โดยการเพิ่มค่าเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาด (Silberner, 2021) ในระยะยาว รัฐบาลไบเดนขยายการเข้าถึงระบบ สาธารณสุข หรือ Obamacare และมีทางเลือกในการทำประกันสุขภาพ ลดค ่าเทอมการศึกษาระดับ วิทยาลัยเพื่อให้เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น เสนอค่าเล่าเรียนฟรีในวิทยาลัยชุมชน (community collage) ปลดหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา และส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ (2) American Jobs Plan (AJP) เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกละเลยมายาวนาน และ ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลไบเดนเสนอแผนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อปรับปรุงถนน สะพาน การขนส่งสาธารณะ การเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ (Internet Broadband) เทคโนโลยีการวิจัยด้านพลังงานสะอาด และยานพาหนะไฟฟ้า เพื่อสร้างเศรษฐกิจ ขึ้นใหม่ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และลงทุนในพลังงานสะอาดในระยะเวลา 4 ปี ซึ่งเป็นการสร้าง
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 73 งานใหม่ให้แก่ชาวอเมริกันมากกว่า 1.5 ล้านตำแหน่งใน 10 ปี เช่น การก่อสร้าง การผลิต และวิศวกรรม โดยให้ความสำคัญกับสหภาพแรงงาน พร้อมสวัสดิการต่างๆ เช่น สวัสดิการด้านสุขภาพและสวัสดิการ เกษียณอายุ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (Khalid and Sprunt, 2020) (3) American Families Plan (AFP) คือการให้ทุนสนับสนุนนโยบายสวัสดิการทางสังคมที่ หลากหลาย เช่น การลางานเพื่อครอบครัวโดยยังคงได้รับค่าจ้าง ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมทางเชื้อ ชาติ และความเท่าเทียม ไบเดนจัดการการเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบ เช่น การปฏิรูปกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา การจัดการที่อยู่อาศัยราคาถูกและเข้าถึงได้ เปิดโอกาสการศึกษาและทางเศรษฐกิจ สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กของคนผิวสี และส่งเสริมความหลากหลาย (Diversity) และการรวมอยู่ในสังคม เดียวกัน (Inclusion) 2) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลไบเดนให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก เขาชูนโยบายด้าน สิ่งแวดล้อม (Green Recovery) ส่งเสริมพลังงานสะอาด รับมือกับสภาวะโลกร้อน ส่งเสริมความยุติธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม และยกให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระแห่งชาติ (Biden, 2020) โดยประกาศ เปลี่ยนรถยนต์ของรัฐบาลกลางประมาณ 650,000 คันให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อแสดงบทบาทนำของ สหรัฐในด้านเทคโนโลยี โดยกำหนดเป้าหมายพลังงานสะอาดร้อยละ 100 ให้ได้ภายในปี 2035 และปล่อย คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (ชนินทร์ ศรีสุมะ, 2564) ในปี 2021 รัฐบาลไบเดนประกาศนโยบาย President’s Emergency Plan for Adaptation and Resilience ภายใต้งบประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์เพื ่อสร้างความตระหนักเกี ่ยวกับวิกฤตการ เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ผ่านกฎหมายเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ นโยบายทาง ภาษีที่สร้างแรงจูงใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานสะอาด มูลค่า 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อย 1 กิกะตัน (gigaton) ภายในปี ค.ศ. 2030 (BBC News, 2021) ปลายปี 2021 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานหรือรัฐบัญญัติการลงทุนโครงสร้าง พื้นฐานและการจ้างงาน (Infrastructure Investment and Jobs Act 2021: IIJA) ซึ่งเป็นแผนการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างงานมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลา 5 ปี โดย ลงทุน 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้านการคมนาคมขนส่ง สร้างถนน ท่าเรือ สนามบิน ทางรถไฟ และ สะพานของอเมริกาขึ้นใหม่ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และด้านสาธารณูปโภค เช่น ขยายการเข้าถึงน้ำดื่ม สะอาด จัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความยุติธรรมด้านสิ ่งแวดล้อม และลงทุนในชุมชน กฎหมาย
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 74 ดังกล่าวช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและเสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน ทำให้เศรษฐกิจ เติบโตอย่างยั่งยืนและเท่าเทียมกัน (Mufson and Eilperin, 2021; Pramuk, 2021; The White House, 2021) ภาพที่ 27: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ที่มา: (Mastriana, 2021) ในระดับโลก ไบเดนนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อให้สหรัฐฯ ให้เป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมผ่านนโยบายที่ช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือประเทศที ่กำลังพัฒนา เช่น การ ช่วยเหลือทางด้านเงินทุน เงินกู้ราคาถูกในพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดหรือเทคโนโลยี ไบเดนเผยแพร่ ข้อความในทวีตเตอร์ ในงานประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพอากาศ (UN 2021 Leaders” Climate Summit) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2021 เพื่อตอกย้ำถึงความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมว่า ... “ไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วยตัวเอง เราทุกคนต้องลุกขึ้นสู้ การประชุม สุดยอดผู้นำด้านสภาพอากาศในวันนี้เป็นก้าวแรกของเราในการทำให้โลกของเราอยู่บนเส้นทางสู่ อนาคตที่มั่นคง รุ่งเรือง และยั่งยืน … เรามีเวลาน้อย แต่ผมเชื่อว่าเราทำได้และจะทำ” (Joe Biden, 2021)18 18 “No nation can solve the climate crisis on our own — all of us have to step up. Today”s Leaders Summit on Climate is our first step to set our world on a path to a secure, prosperous, and sustainable future. Time is short, but I believe that we can and will do this.” (Joe Biden, 2021)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 75 ในการประชุมสุดยอดด้านการเปลี ่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติครั้งที ่ 26 (UN Climate Change Conference of the Parties: COP26) ปี 2021 ไบเดนและผู้นำโลกมากกว่า 120 คน ต่างให้คำมั่นว่าจะปกป้อง ฟื้นฟูป่าไม้ และที่ดินภายในสิ้นทศวรรษนี้ นvกจากนี้ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป จะเป็นผู้นำในข้อตกลง Global Methane Pledge เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน19ลงร้อยละ 30 ภายในปี 2030 (ณรงค์กร มโนจันทร์เพ็ญ, 2564) 3) นโยบายผู้อพยพ รัฐบาลไบเดนยกเลิกนโยบายรัฐบาลทรัมป์ และได้เสนอการปฏิรูประบบคนเข้าเมืองและการอพยพ ถิ่นฐานอย่างครอบคลุม โดยในช่วงแรก ไบเดนยกเลิกคำสั่งการห้ามเดินทางจากประเทศที่นับถือศาสนา อิสลาม ปกป้องผู้อพยพในโครงการ DACA (Deferred Action for Childhood Arrivals) ซึ่งถูกนำตัวมายัง สหรัฐอเมริกาตั้งแต่เด็ก อนุญาตให้พวกเขาสมัครเป็นพลเมืองสหรัฐฯได้หยุดการก่อสร้างกำแพงชายแดน ตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และยกเลิกนโยบาย "จะไม่ทนอีกต่อไป" ("zero-tolerance") ของรัฐบาล ชุดโดยหน่วยงานเพื่อรวมครอบครัวที่แยกจากกันที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกอีกครั้ง (Ries, 2020) นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังพยายามการแก้ไขปัญหาความยากจน ความรุนแรง และการคอรัปชั่น ซึ่งเป็นต้นตอของการย้ายถิ่นฐานของผู้อพยพจากอเมริกากลางผ ่านการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและ ส่งเสริมธรรมาภิบาลในภูมิภาค ไบเดนเสนอร่างกฎหมายปฏิรูปการอพยพ การปรับปรุงระบบลี้ภัย และเพิ่ม เงินทุนในการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยภาพรวมแล้ว นโยบายของไบเดนสะท้อนแนวทางที ่มี มนุษยธรรมกับผู้อพยพมากขึ้น 4) นโยบายต่างประเทศ รัฐบาลไบเดนฟื้นฟูความเป็นผู้นำในเวทีโลกด้วยการกลับเข้าร่วมองค์การอนามัยโลก และข้อตกลง นิวเคลียร์ของอิหร่าน และจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนที่โลกกำลังเผชิญอยู่ อีกทั้งไบเดนยังนโยบาย แบบพหุภาคีในการทำงานร่วมกับพันธมิตรเดิมเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก เช่น ความตกลงปารีส องค์การอนามัยโลก และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Biden, 2020) เน้นการส่งเสริม ประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศเมียนมาร์ และเบลารุส และต ่อต้านระบอบเผด็จอย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ รัฐบาลไบเดนมีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรณีของรัสเซียและจีน สำหรับรัสเซีย สหรัฐฯ ใช้ มาตรการคว ่ำบาตรต ่อการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐในปี 2020 และการรุกรานยูเครน นอกจากนี้ รัฐบาลไบเดนมองว ่าจีนเป็นคู ่แข ่งทางยุทธศาสตร์และต ่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การทหาร และ 19 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 76 เทคโนโลยีของจีน อีกทั้งยังกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน สถานการณ์ในฮ่องกงและไต้หวัน (Chen, 2022) ในตะวันออกกลาง รัฐบาลไบเดนยุติการสนับสนุนสงครามที่นำโดยซาอุดีอาระเบียในเยเมน และสานสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านอีกครั้งในโครงการนิวเคลียร์ เขาต้องการปเป็นตัวกลางประสานความ ขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์(Cordesman and Hwang, 2021) ในความท้าทายระดับโลก รัฐบาลไบเดนเน้นย้ำเสมอว่าโลกต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการกับความท้า ทายรูปแบบใหม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด และการก่อการร้าย เขานำสหรัฐฯ กลับ เข้าร่วมในข้อตกลงระดับโลก และแจกจ่ายวัคซีนป้องกัน COVID-19 ไปยังประเทศต่างๆ (Biden, 2020) เราจึงเห็นได้ว่า นโยบายต่างประเทศของไบเดนเน้นย้ำถึงการกลับไปใช้การทูตและการสร้างความร ่วมมือ กับพันธมิตร เพื่อจัดการกับความท้าทายระดับโลก 3. ผลกระทบของนโยบายไบเดน การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของไบเดนส่งผลต่อนโยบายสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ การตอบสนองต่อ COVID-19 รัฐบาลไบเดนแก้ปัญหาการแพร่ระบาดด้วยมาตรการที่ครอบคลุม ทั้งการ ตรวจหาเชื้อ การติดตามผู้สัมผัส การฉีดวัคซีน และให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาด (Levitt, 2020) รวมถึงการรับมือการเปลี ่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย ่างจริงจัง ส ่งผลให้นโยบายด้าน สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งในแง่กฎหมาย และความร่วมมือระดับโลก (Biden, 2020) และนโยบายผู้อพยพที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นด้วยการยุติคำสั ่งห้ามเดินทางชาวมุสลิม และยุติการ ก่อสร้างกำแพงพรมแดนระหว่างสหรัฐฯและเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไบเดนต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งกลุ่มเสรีนิยมและกลุ่มอนุรักษ์ นิยม โดยกลุ่มเสรีนิยมหัวก้าวหน้าเห็นว่านโยบาย COVID-19 ของรัฐบาลไบเดนเข้มงวดมากเกินไป เช่น การบังคับการสวมหน้ากาก และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่ยังดำเนินการไม่มากพอในประเด็นต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรมทางเชื้อชาติ และ สิทธิของ LGBTQ ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอนุรักษ์นิยมกลับวิจารณ์นโยบายสิ่งแวดล้อมของไบเดนว่าจะส่งผลเสียต่อ เศรษฐกิจ และนำไปสู ่การสูญเสียงานในบางอุตสาหกรรม นโยบายผู้อพยพผ ่อนปรนเกินไป ซึ ่งอาจจะ นำไปสู่การเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และนโยบายต่างประเทศเน้นการทูตมากเกินไป แต่ไม่ใช้กำลังทาง ทหาร จึงมีท่าทีอ่อนแอเกินไปที่จะต่อต้านอิทธิพลของประเทศจีนและรัสเซีย
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 77 4. ความท้าทายและโอกาสของรัฐบาลไบเดน ประธานาธิบดีไบเดนแถลงนโยบายประจำปี (The State of the Union) ต่อรัฐสภาและผู้พิพากษา สูงสุดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์2023 เขาแสดงวิสัยทัศน์ทางสายกลาง และเตรียมความพร้อมเพื่อแข่งขันกับ พรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งในปี 2024 ด้วยนโยบายหาเสียงที่ว่า “ทำงานให้เสร็จ” ("finish the job") (The White House, 2023) ภาพที่ 28: ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวแถลงนโยบายประจำปี ร่วมกับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และประธานสภาผู้แทนราษฎร Kevin McCarthy ที่มา: (Montanaro, 2023) การแถลงนโยบายประจำปีแสดงให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสของรัฐบาลไบเดน ดังนี้ (1) ว่าด้วยจีน 'สถานะที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบทศวรรษ': พรรครีพับลิกันกล ่าวหาไบเดนใน ประเด็นบอลลูนสอดแนมข้ามประเทศของจีน แต่ไบเดนปฏิเสธ โดยกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาอยู่ในสถานะที่ แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายทศวรรษ” พร้อมที่จะแข่งขันหรือร่วมมือกับจีนในการพัฒนาผลประโยชน์ของทั้ง สองประเทศ และ “หากจีนคุกคามอธิปไตยของเรา เราจะดำเนินการเพื่อปกป้องประเทศของเรา และเราก็ ทำ20 ” (Greve and Pengelly, 2023: 1) 20 "… if China threatens our sovereignty, we will act to protect our country. And we did.”
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 78 (2) ภัยคุกคามต่อระบบประกันสังคมและเมดิแคร์ (Medicare): รัฐบาลสหรัฐเผชิญกับการผิด นัดชำระหนี้หากไม่เพิ่มเพดานหนี้ ขณะที่ไบเดนมุ่งเป้าไปที่พรรครีพับลิกันพยายามลดประกันสังคมและ เมดิแคร์ลงโดยตัดงบประมาณของรัฐบาลกลาง เขากล่าวว่า: "แทนที่จะให้คนรวยจ่ายส่วนแบ่งที่ยุติธรรม พรรครีพับลิกันบางคนต้องการให้ยุติเมดิแคร์และประกันสังคม นั่นหมายความว่าหากสภาคองเกรสไม่ลงมติ ให้[โปรแกรมเหลานี้]คงไว้ โปรแกรมเหล่านั้นก็จะหายไป21” (Greve and Pengelly, 2023: 1) แม้เขาจะ ได้รับเสียงโห่และการตะโกนจากพรรครีพับลิกัน แต่นี่ถือเป็นความท้าทายสำคัญของรัฐบาลไบเดน (3) กรณี Tyre Nichols และตำรวจใช้ความรุนแรง: ไบเดนอ้างถึงกรณี Tyre Nichols ชายผิว ดำถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายจนเสียชีวิตในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี เขากล่าวว่า “[ตำรวจ]เสี่ยงชีวิตทุกครั้งที่สวม เสื้อเกราะป้องกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับไทร์ในเมมฟิสนั้นเกิดขึ้นบ่อยเกินไป เราต้องทำให้ดีกว่านี้” (The White House, 2023) แสดงให้เห็นว่า เขาคาดหวังว่สภาคองเกรสซึ่งมีเสียงส ่วนใหญ่มาจากพรรครีพับลิกันจะ ปฏิรูปตำรวจและการลดการเหยียดเชื้อชาติได้สำเร็จ (Montanaro, 2023) (4) อาวุธปืน การอุทธรณ์คำสั่งห้ามใช้อาวุธโจมตี: รัฐบาลไบเดนเผชิญกับความท้าทายในการ ปฏิรูปกฎหมายการครอบครองอาวุธปืน และการห้ามใช้อาวุธโจมตี โดยกล ่าวถึงเหตุกราดยิงที่ สวนสาธารณะมอนเทอเรย์ ในแคลิฟอร์เนีย เขาเน้นย้ำว่าเมื่อสมัยที่เขาเป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐเดลาแวร์ในปี 1994 การสนับสนุนกฎหมายห้ามครอบครองอาวุธปืนของเขาทำให้กรณีกราดยิงลดลงเป็นจำนวนมาก แต่ เมื่อพรรครีพับลิกันปล่อยให้กฎหมายนี้หมดอายุลง การกราดยิงกลับเพิ่มขึ้นมากเป็นสามเท่า ใบเดนเน้นย้ำ ว่าจะต้องทำงานนี้อีกครั้ง และต้องทำให้สำเร็จ (5) การยุติการตั้งครรภ์โดยสมัครใจ: ไบเดนเน้นย้ำว่าสภาคองเกรสต้องคืนสิทธิ์ในกรณีRoe v Wade เพื่อปกป้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้หญิงทุกคนในการเลือกทำแท้งได้ และเขาจะใช้สิทธิ์ยับยั้ง กฎหมายนี้หากสภาคองเกรสผ ่านกฎหมายการห้ามทำแท้งระดับชาติ แต ่คงเป็นไปได้ยากเพราะศาลได้ ตัดสินให้สิทธิการยุติการตั้งครรภ์เป็นการอำนาจของรัฐแล้ว ดังนั้น ประเด็นการยุติการตั้งครรภ์จึงเป็นความ ท้าทายของไบเดนจนถึงปี 2024 (6) ปัญหาชายแดนและผู้อพยพ: เมื่อไบเดนลกล่าวถึงกฎหมายผู้อพยพ และการรักษาความ ปลอดภัยพรมแดนของอเมริกา พรรครีพับลิกันกลับตะโกนในสภาคองเกรสว่า “รักษาชายแดนให้ปลอดภัย” 21 “Instead of making the wealthy pay their fair share, some Republicans want Medicare and social security to sunset every five years. That means if Congress doesn’t vote to keep them, those programs will go away.”
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 79 และกล่าวหาว่ากรณีการลับลอบนำเข้าสารโอปิออยด์ เฟนทานิล22 (Opioid fentanyl) เป็นความผิดของ รัฐบาลไบเดน (7) กรณียูเครน: ไบเดนเคารพยูเครนหลังจากถูกรัสเซียรุกรานนานกว่าหนึ่งปี สหรัฐฯ ใน ฐานะ ผู้นำ สมาชิก NATO และการสร้างพันธมิตรระดับโลกให้การสนับสนุนและส่งอาวุธให้แก่รัฐบาลยูเครน ไบ เดนยืนยันที่จะต่อสู้กับความก้าวร้าวของปูติน และจะยืนเคียงข้างชาวยูเครน "จนกว่าการรุกรานจะจบลง" 23 (8) ความแตกแยกและฝ่ายขวาคุกคามประชาธิปไตย: ไบเดนกล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ถูกคุกคาม ถูกโจมตี และตกอยู่ในความเสี่ยง โดยไม่เอ่ยชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เขาไม่ อาจยอมรับความรุนแรงทางการเมืองในอเมริกาและยืนยันที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐาน การเลือกตั้ง เคารพ ผลการเลือกตั้ง ไม ่ทำลายเจตจำนงของประชาชน และฟื้นฟูความเชื ่อมั ่นในสถาบันประชาธิปไตยของ สหรัฐอเมริกาให้ได้(Greve and Pengelly, 2023) นอกจากการแถลงนโยบายประจำปีแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าในอนาคตรัฐบาลไบเดนยังจะต้องเผชิญกับ ความท้าทายและมีโอกาสในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ (9) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: สหรัฐฯ ประสบกับเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงและ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น รัฐบาลไบเดนจึงต้องส่งเสริมพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โอกาสสำหรับรัฐบาลไบเดนคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฟื้นฟูและส่งเสริม การเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็เป็นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสังคม ได้อีกทางหนึ่ง เช่น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และการว่างงาน (10) การต่างประเทศ: สหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามที ่ทรงอิทธิพลไปทั่วโลก โดยเฉพาะใน ประเด็น ต้หวัน ทะเลจีนใต้ และสิทธิมนุษยชน ขณะที่รัสเซียมีอิทธิพลอย่างมากในยุโรป ตะวันออกกลาง และการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความขัดแย้งในซีเรีย และความขัดแย้งในยูเครน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไบเดนยังคงใช้โอกาสทางการทูต การสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรอีกครั้ง เพื่อ ร่วมมือกันในด้านการค้า และความมั่นคงของโลก 5. สรุป: รัฐบาลโจ ไบเดน (2021-ปัจจุบัน) การเลือกตั้งปี 2020 นำมาซึ่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ รัฐบาลไบ เดนเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่สำคัญตามแผนการ Build Back Better และเผชิญกับความท้าทายมากมาย 22 เป็นยาระงับปวดประสิทธิภาพสูงในกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid) ใช้รักษาอาการปวดชนิดรุนแรง บรรเทาอาการปวดหลัง ผ่าตัด หากมีการใช้เกิดขนาดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต 23 “We’re going to stand with you as long as it takes.” (The White House, 2023)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 80 ได้แก่ การแพร่ระบาดของ COVID-19 การแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรง การแก้ไขนโยบายการย้ายถิ่น ฐาน การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูสถานะของสหรัฐให้กลับมาเป็นผู้นำในเวที การเมืองระดับโลก อย ่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมีโอกาสในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การขยายการเข้าถึงบริการ สาธารณสุข การจัดการปัญหาความยุติธรรมทางเชื้อชาติ และส่งเสริมการทูต ความสำเร็จของนโยบาย รัฐบาลไบเดนจะขึ้นอยู ่กับความสามารถในการทำงานร ่วมกับสภาคองเกรส ผู้มีส ่วนได้ส ่วนเสีย ความสามารถในการจัดการกับความท้าทาย การสร้างความสมดุลระหว ่างสาธารณสุข การฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ ความยุติธรรมทางสังคม และตอบสนองต ่อความต้องการของคนอเมริกันทั้งในปัจจุบันและ อนาคต
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 81 บทที่7: การเปลี่ยนผ่านจากทรัมป์สู่ไบเดน การเมืองสหรัฐฯ มีประเด็นสำคัญในช ่วงเปลี ่ยนผ ่าน บทนี้เราจะสำรวจการเปลี ่ยนผ ่านทาง การเมืองระหว่างรัฐบาลทรัมป์และไบเดนผ่านนโยบายภายใน และนโยบายต่างประเทศซึ่งเป็นแกนหลัก สำคัญในการบริหารประเทศ และนัยสำคัญของการเปลี่ยนผ่านี่ส่งผลกระทบต่อชีวิตพลเมืองอเมริกันและ พลเมืองโลกไม่มากก็น้อย 1. การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย การเมืองสหรัฐฯ จากรัฐบาลทรัมป์ไปสู่รัฐบาลไบเดนแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เนื่องจากรัฐบาล ทั้งสองมีวิสัยทัศน์ต ่ออนาคตของสหรัฐฯ ที ่แตกต ่างกันมาก เราจึงเห็นการดำเนินนโยบายภายในและ นโยบายต่างประเทศที่แตกต่างอย่างชัดเจน ดังนี้ 1) นโยบายภายในประเทศ นโยบายภายในประเทศ คือกรอบการทำงานของรัฐบาลเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ภายในประเทศ นโยบายมักเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมาย และดำเนินการตามข้อบังคับ และนโยบายใหม่ ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ความยากจน การดูแลสุขภาพ การศึกษา และเศรษฐกิจ รัฐบาลมี บทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายภายในประเทศ เนื ่องจากมีอำนาจในการบริหารและจัดสรร งบประมาณ เพื่อดำเนินนโยบายเหล่านี้ (1) นโยบายเศรษฐกิจ: การเปลี่ยนผ่านระหว่างรัฐบาลทรัมป์และรัฐบาลไบเดนมีความสำคัญใน แง ่ของทิศทางนโยบาย การบริหารของทรัมป์มีลักษณะเฉพาะโดยเน้นไปที ่การระตุ้นการเติบโตทาง เศรษฐกิจ โดยลดกฎระเบียบ การลดภาษีให้แก่นิติบุคคลและคนร่ำรวย ในทางกลับกันรัฐบาลไบเดนเน้น การแทรกแซงของรัฐในระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาลและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่ม โครงการสวัสดิการสังคม จัดการกับรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน พลังงานสีเขียว และโครงการสวัสดิการสังคม เช่น การดูแลเด็ก และการศึกษา (2) นโยบายสาธารณสุข: รัฐบาลทรัมป์ถูกวิจารณ์ว ่าการตอบสนองต ่อการระบาดใหญ ่ของ COVID-19 ช้าและไม่เพียงพอ รัฐบาลทรัมป์มองข้ามความรุนแรงและไม่ใช้มาตรการเพื่อจัดการกับการ ระบาด พร้อมทั้งยังกล่าวถ้อยแถลงที่ขัดแย้งกัน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและรัฐบาลไม่ประสานงาน กัน ก ่อนที ่จะเริ ่มใช้มาตรการต ่างๆ เช ่น จำกัดการเดินทาง เพิ ่มการตรวจสอบ และการพัฒนาวัคซีน (Parrott, 2020) ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลไบเดนได้ให้ความสำคัญกับโรคระบาดเป็นอย ่างมาก และใช้ มาตรการต่างๆ อย่างรวดเร็ว เช่น การแจกหน้ากากอนามัย มีระบบตรวจสอบและการติดตามผู้สัมผัสเชื้อ และการแจกจ่ายวัคซีน
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 82 ในระยะยาว รัฐบาลทรัมป์พยายามที่จะยกเลิกรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้ (ACA) หรือ โอบามาแคร์ (Obamacare) และลดงบประมาณสำหรับหน่วยงานด้านสาธารณสุข ในทาง กลับกัน รัฐบาลของไบเดนขยายขอบเขตของ ACA เพิ่มเงินทุนให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข และเพิ่มเงิน อุดหนุนสำหรับผู้ที่ซื้อประกันผ่าน ACA (Westmoreland et al., 2021) รัฐบาลไบเดนยังได้เน้นย้ำถึงความ จำเป็นในการจัดการกับปัจจัยทางสังคม ซึ่งเป็นรากฐานของสุขภาพ เช่น ความยากจน และการขาดการ เข้าถึงการรักษาพยาบาล (Levitt, 2020; Oberlander, 2021) แม้จะมีผู้วิจารณ์ว่าไบเดนใช้คำสั่งที่เข้มงวด แข็งกร้าว และมีข้อจำกัดมากเกินไป ใช้รัฐบาลต้องการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสสายพันธ์เดลต้า ซึ่งมีความรุนแรงมากได้สำเร็จ และชาวอเมริกันได้วัคซีนอย่างทั่วถึง (3) นโยบายผู้อพยพ: รัฐบาลทรัมป์มีท่าทีแข็งกร้าว เน้นการลดจำนวนผู้ลี้ภัยเข้าประเทศ ทั้งถูก กฎหมายและผิดกฎหมาย Mayda et al., 2022; Wallace & Zepeda-Millán, 2020) ใช้มาตรการหลาย ประการ เช่น การห้ามชาวมุสลิมจากหลายประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ แยกเด็กออกจากพ่อแม่ที่ชายแดนใต้ ยุติโครงการ Deferred Action for Childhood Arrivals (DACA)24 และการสร้างกำแพงกั้นระหว ่าง สหรัฐฯ และประเทศเม็กซิโก และเนรเทศผู้อพยพที ่ไม ่มีเอกสาร (Schmidt, 2019) ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลไบเดนมีนโยบายที่เห็นอกเห็นใจผู้อพยพมากกว่า อนุญาตให้ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารระบุตัวบุคคล สามารถขอสัญชาติเป็นพลเมืองสหรัฐฯยกเลิกคำสั่งของรัฐบาลทรัมป์หลายข้อ และให้ความสำคัญกับการ แก้ไขต้นตอของการย้ายถิ่นฐาน โดยการเสนอความช่วยเหลือต่างประเทศ และเพิ่มจำนวนผู้ลี้ภัยที่รับเข้า ประเทศสหรัฐอเมริกา (Ries, 2020) (4) นโยบายสิ่งแวดล้อม: รัฐบาลทั้งสองมีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างมาก รัฐบาลทรัมป์ยกเลิก กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ และแผนพลังงานสะอาด แต่กลับสนับสนุนให้ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ และยังได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากความร่วมมือระดับโลกเพื่อจัดการกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Bomberg, 2021) ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลไบเดนให้ความสำคัญกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปกป้องสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนไปสู่แหล่งพลังงานหมุนเวียน ความ ยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม ไบเดนได้นำสหรัฐเข้าร่วมความตกลงปารีสอีกครั้ง กำหนดเป้าหมายในการบรรลุ เป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 น (Biden, 2020) (5) การครอบครองอาวุธปืน: นโยบายเกี ่ยวกับอาวุธปืนของรัฐบาลทรัมป์และไบเดนมีความ แตกต่างกันอย่างชัดเจน รัฐบาลทรัมป์ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนของสมาคมไรเฟิลแห่งชาติ(NRA) เขา 24 เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลโอบามาเมื่อปี 2012 เพื่อคุ้มครองเยาวชนวัยรุ่นซึ่งเป็นลูกหลานของผู้อพยพที่เดิน ทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ ให้สามารถมีสิทธิในการทำงาน ศึกษาและอาศัยอยู่ในสหรัฐได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ชลิ ตา สุนันทาภรณ์, 2560)
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 83 จึงไม่แสดงออกถึงการควบคุมปืน และลงนามยกเลิกกฎระเบียบในยุคโอบามาที่ผู้ป่วยทางจิตซื้ออาวุธปืน ยากขึ้น แต ่กลับให้ครูในโรงเรียนติดอาวุธเพื ่อตอบโต้เหตุกราดยิงในโรงเรียนแทน (Spitzer, 2020) แต่ รัฐบาลไบเดนมีแนวทางเชิงรุกนการจัดการกับความรุนแรงของปืน และการควบคุมอาวุธปืน โดยการห้ามใช้ อาวุธสงคราม ตรวจสอบประวัติก่อนทำการซื้อขายอาวุธปืนทั้งหมด รัฐบาลควบคุมการขาย "ปืนผี" ซึ่งเป็น อาวุธปืนที่ประกอบขึ้นเองและไม่มีหมายเลขประจำเครื่อง ควบคุมกิจกรรมของ NRA ให้เข้มงวดมากขึ้น และยกระดับปัญหาความรุนแรงของปืนให้เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุข (Tanne, 2021) (6) สิทธิการยุติการตั้งครรภ์: การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญคือ คำพิพากษาคดี Roe v. Wade ในปี 1973 ที่กำหนดบรรทัดฐานการยุติการตั้งครรภ์ทั่วประเทศ โดยยืนยันหลักการในรัฐธรรมนูญอเมริกาฉบับ ปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 14 เรื่อง” สิทธิความเป็นส่วนตัว” (Right to privacy) ส่งผลให้รัฐบาลกลางและรัฐ ต้องยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำแท้งไปหลายฉบับ (Hull and Hoffer, 2021) แต่ประเด็นนี้ยังเป็นที่ ถกเถียงของสองฝ่าย คือ “กลุ่มปกป้องสตรีในการทำแท้ง (pro choice)” ที่ให้สตรีมีสิทธิที่จะเลือกยุติการ ตั้งครรภ์ของตน ซึ่งพรรคเดโมแครตสนับสนุนแนวคิดนี้ และ “กลุ่มปกป้องชีวิตทารก (pro life)” ที่เชื่อว่า ทารกในครรภ์มีสิทธิมีชีวิตซึ่งเป็นฐานคิดของพรรครีพับลิกัน (Sun, 2022) เมื่อทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีเสนอชื่อผู้พิพากษาสูงสุดฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพิ่ม 3 คนทำให้เสียง ส่วนใหญ่ในศาลฏีกากลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade ทำให้สิทธิการทำแท้งของสตรีไม่ถูกปกป้องอีกต่อไป (Whitby et al., 2022) ประธานาธิบดีไบเดนออกมาแสดงความผิดหวังกับคำตัดสินดังกล่าว และสัญญาว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสิทธิในการยุติการตั้งครรภ์ เรียกร้องให้ชาวอเมริกันลงคะแนน เสียงแก่ตัวแทนที ่สนับสนุนการใช้สิทธิทำแท้งในการเลือกตั้งปี 2024 (Sun, 2022) ประเด็นการยุติการ ตั้งครรภ์ทำให้เราเห็นการใช้อำนาจระหว่างฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหารอย่างชัดเจน ผู้เขียนสามารถสรุปการเปลี่ยนผ่านในนโยบายภายในประเทศระหว่างสองรัฐบาลได้ดังตารางนี้ ตารางที่ 5: สรุปนโยบายภายในประเทศของสองรัฐบาล นโยบาย รัฐบาลทรัมป์ รัฐบาลไบเดน 1) การรับมือกับ COVID-19 ประเมินการแพร่ระบาดในระดับต่ำ และต ่อต้านการสวมหน้ากาก เน้น ก า ร เ ป ิ ด เ ศ ร ษ ฐ ก ิ จ ใ ห ม่ วิพากษ์วิจารณ์มาตรการล็อกดาวน์ ของรัฐและท้องถิ ่น สนับสนุนการ พัฒนาวัคซีน ให้ความสำคัญกับการตอบสนองด้าน สาธารณสุข มีคำสั ่งหน้ากากและการ แจกจ ่ายวัคซีน ดำเนินการตามแผน วัคซีนแห่งชาติ ให้ความช่วยเหลือทาง เศรษฐกิจแก ่บุคคลและธุรกิจที ่ได้รับ ผลกระทบจากโรคระบาด
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 84 นโยบาย รัฐบาลทรัมป์ รัฐบาลไบเดน 2) สาธารณสุข พยายามยกเลิกรัฐบัญญัติคุ้มครอง ผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้ (ACA) ห ร ื อ โ อ บ า ม า แ ค ร์ (Obamacare) โดยไม่มีแผนทดแทน ขยายการเข้าถึงแผนประกันสุขภาพ ร ะย ะสั้น ลด ร าค าย า; รอง รับ การแพทย์ทางไกล ขยายการเข้าถึง ACA มีการลงทะเบียน พิเศษ เพิ ่มเงินอุดหนุนเพื ่อลดเบี้ย ประกัน รองรับการประกันทางเลือกะ ขยาย Medicaid ในบางรัฐ 3) การตรวจคน เข้าเมือง นโยบาย "จะไม ่ทนอีกต ่อไป" ที่ ช า ย แ ดน ส ่ง ผ ลให้ ค ร อบค รั ว แตกแยก พยายามย ุติโปรแกรม DACA (Deferred Action for Childhood Arrivals); ค ำสั ่งห้ าม ประชาชนจากประเทศที ่ส ่วนใหญ่ เป็นชาวมุสลิมเดินทางเข้าระเทศ สร้างกำแพงกั้นพรมแดน ยุติการแยกครอบครัวที ่ด ่านชายแดน ด ำ เ นิ น โ ป ร แ ก ร ม DACA; เ ส น อ กฎหมายปฏิรูปคนเข้าเมือง อนุญาตให้ ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารสามารถขอเป็น พลเมืองได้ยุติการก ่อสร้างกำแพง ชายแดน 4) เปลี่ยนแปลง สภาพ ภูมิอากาศ ถอนตัวจากความตกลงปารีส ยกเลิก กฎระเบียบในยุคโอบามาเกี ่ยวกับ การปล ่อยค าร์บอน มาตรฐ าน ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของ รถยนต์ และน้ำสะอาด ขยายการขุด เจาะและรองรับอุตสาหกรรมถ ่าน หิน กลับเข้าร ่วมความตกลงปารีสอีกครั้ง เสนอแผนง านอเมริกันลงท ุนใน พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และ โครงสร้างพื้นฐาน กำหนดมาตรฐาน พลังงานสะอาด ยุติการเช่าน้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติ 5) การจัดเก็บ ภาษี ผ ่านรัฐบัญญัติการลดภาษีและการ จ้างงานปี 2017 ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่ บริษัทและบุคคลร่ำรวยเป็นหลัก เสนอให้ขึ้นภาษีกับบริษัทและคน ร ่ำรวย และขยายเครดิตภาษีสำหรับ ครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ 6) การศึกษา ส ่งเสริมการเลือกโรงเรียนและการ แปรรูปการศึกษา การกำกับดูแล เพิ่มเงินทุนเพื่อการศึกษาของรัฐอย่างมี นัยสำคัญ ปลดหนี้เงินกู้มากถึง 20,000
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 85 นโยบาย รัฐบาลทรัมป์ รัฐบาลไบเดน นโยบายการศึกษาของรัฐบาลกลาง ที่จำกัด ดอลลาร์ให้แก่ผู้ที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 125,000 ดอลลาร์ 7) การควบคุม อาวุธปืน สนับสนุนสิทธิในการถืออาวุธ และ คัดค้านมาตรการควบคุมอาวุธปืน ขยายการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืน การห้ามใช้อาวุธจู่โจม และการจำกัด การบรรจุลูกกระสุนไว้ในอาวุธปืน 8) การปฏิรูป กระบวนการ ยุติธรรมทาง อาญา คัดค้านการปฏิรูปและสนับสนุน นโยบาย "กฎหมายและระเบียบ" (" law and order" policies) สนับสน ุนการปฏิรูปกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา การยุติการจำคุก ขั้นต่ำ และเสนอทางเลือกอื่นแทนการ จำคุก 9) สิทธิของเพศ ทางเลือก (LGBTQ+) ยกเลิกการคุ้มครองบุคคลที่เป็นเพศ ทางเลือก ในด้านสาธารณสุข การ จ้างงาน และที่อยู่อาศัย ห้ามคนข้าม เพศเข้ารับราชการทหาร เสนอกฎหมายความเท่าเทียม คุ้มครอง บุคคลที ่เป็นเพศทางเลือกในการจ้าง งาน ที่พักอาศัย และพื้นที่อื่นๆ อนุญาต ให้บุคคลข้ามเพศเข้ารับราชการทหาร 10)สิทธิการยุติ การตั้งครรภ์ คัดค้านสิทธิการทำแท้งและแต่งตั้งผู้ พิพากษที ่มีความคิดอนุรักษ์นิยม นโยบายที่จำกัดการเข้าถึงการดูแล สุขภาพการเจริญพันธุ์ สนับสน ุนสิทธิการทำแท้งและการ เข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ และสัญญาว่าจะร่างกฎหมาย Roe v. Wade สนับสน ุนเงินท ุนเพื ่อก าร วางแผนครอบครัว และให้บริการด้าน อนามัยการเจริญพันธุ์ ที่มา: ผู้เขียน 2) นโยบายต่างประเทศ นโยบายต่างประเทศ หมายถึงการดำเนินการและกลยุทธ์ของรัฐบาลเพื่อพัฒนาผลประโยชน์ของ ประเทศในเวทีระหว่างประเทศ มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในเวทีการเมืองโลก ด้วยวิธี ทางการทูต การแทรกแซงทางทหาร ข้อตกลงทางการค้า และการกระทำอื่น ๆ นโยบายต่างประเทศเกิดขึ้น จากหลายปัจจัย เช่น การพิจารณาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และด้านความมั่นคง
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 86 ในฐานะประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์และโจ ไบเดน ใช้แนวทางที ่แตกต ่างกันในการดำเนิน นโยบายต่างประเทศ ดังนี้ (1) แนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศ: โดนัลด์ ทรัมป์มีแนวทาง "อเมริกาต้องมาก่อน" โดยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เหนือสิ ่งอื ่นใด ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการเจรจา ข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accords) เพื่อสันติภาพและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับชาติ อาหรับหลายชาติ แต่ทรัมป์มักดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สร้างความขัดแย้ง คือการถอนตัวออกจาก ความร่วมมือต่างๆ ใช้มาตรการคว ่ำบาตร การเก็บภาษี และกำลังทางทหารเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของ สหรัฐฯ (Edwards, 2018)ซึ่งนำไปสู่ความสับสนและความไม่แน่นอนในประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้ หลายประเทศเข้าใจว่าสหรัฐฯ ใช้นโยบายโดดเดี่ยวอีกครั้งหนึ่ง (Friedrichs and Tama, 2022) ในทางตรงกันข้าม ไบเดนใช้นโยบายต่างประเทศแบบพหุภาคี เน้นการทูตและการแก้ปัญหาความ ขัดแย้งอย่างสันติ สร้างความสัมพันธ์ใหม่กับพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ เช่น แคนาดาและเยอรมนี ฟื้นฟู สถานะความเป็นผู้นำระดับโลกของสหรัฐฯ และมีแนวทางการทำงานร่วมกันมาก เขานำสหรัฐฯ เข้าร่วม ข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน องค์การอนามัยโลก และความตกลงปารีส (Phares, 2020) และข้อตกลง ระหว่างประเทศอื่นๆ ที่ทรัมป์ถอนตัวออกไป พร้อมทั้งปกป้องสิทธิมนุษยชนและค่านิยมประชาธิปไตย (JRJ Biden, 2020; Cordesman and Hwang, 2021; Sloan, 2021) (2) ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม: รัฐบาลทรัมป์ดำเนินนโยบายในแนวทางโดดเดี่ยวในประเด็น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการถอนตัวออกจากความตกลงปารีสเพราะเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ในทางกลับกัน ไบเดนเน้นความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม โดยนำสหรัฐฯ กลับเข้าไปร่วมในความตกลงปารีส (Biden, 2020) แม้ไบเดนมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนในประเด็นการค้าและ การละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่จีนยังมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (3) นโยบายการค้าระหว่างประเทศ: รัฐบาลทั้งสองดำเนินนโยบายการค้าระหว ่างประเทศที่ แตกต ่างกัน ทรัมป์เน้น "อเมริกาต้องมาก ่อน" โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากประเทศจีน แคนาดา และเม็กซิโก เพื ่อกระตุ้นอุตสาหกรรมในอเมริกา นำไปสู ่ความตึงเครียดทางการค้าและ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับคู่ค้าที่สำคัญ ขณะที่ไบเดนใช้แนวทางทางการทูตมากขึ้นในการค้าและทำงาน ร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ เป็นธรรม (4) การแทรกแซงทางทหาร: รัฐบาลทรัมป์ใช้นโยบายที่แข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือ เช่น การคว่ำ บาตร และการคุกคามทางทหาร แต่ยังดำเนินนโยบายทางการทูตและพบกับผู้นำเผด็จการ เช่น วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เขาใช้ปฏิบัติการทางทหาร เช่น การสั่ง
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 87 โจมตีด้วยขีปนาวุธในซีเรีย และการสังหารนายพลกาเซ็ม สุไลมานีของอิหร ่าน (Simon, 2018) ในทาง กลับกัน ไบเดนหลีกเลี่ยงการแทรกแซงทางทหารอย่างระมัดระวัง และวางแผนยุติการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในสงครามในเยเมน (Cordesman and Hwang, 2021) ผู้เขียนสามารถสรุปการเปลี่ยนผ่านในนโยบายต่างประเทศระหว่างสองรัฐบาลได้ดังตารางนี้ ตารางที่ 6: สรุปนโยบายต่างประเทศของสองรัฐบาล นโยบาย รัฐบาลทรัมป์ รัฐบาลไบเดน 1) ความร่วมมือ ด้าน สิ่งแวดล้อม ถอนตัวจากความตกลงปารีส ยกเลิก กฎระเบียบด้านสิ ่งแวดล้อม เพื่อ ส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าร ่วมความตกลงปารีสอีกครั้ง ตั้งเป้าหมายในการลดการปล ่อย คาร์บอน เสนอการลงทุนที ่สำคัญใน พลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐาน 1) NATO วิจารณ์พันธมิตรของนาโต้ว ่าไม่ สนับสนุนการใช้จ่ายด้านกลาโหม ขู่ ถอนตัวจากนาโต สนับสนุนนาโต้ และเน้นความสำคัญ กับความมั่นคงร่วมกัน 2) องค์การ อนามัยโลก ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และตัดเงินทุนช ่วยเหลือ ในช่วงการระบาดของ COVID-19 กลับเข้าร ่วม WHO และมุ ่งมั ่นที ่จะ สนับสนุนการต ่อสู้กับการระบาดของ COVID-19 ในระดับโลก 3) ข้อตกลง นิวเคลียร์ อิหร่าน ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ อิหร ่าน ยกเลิกมาตรการคว ่ำบาตร เพื่อแลกกับข้อตกลงของอิหร ่านใน การจำกัดโครงการนิวเคลียร์ กำหนด มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ เข้าร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน อีกครั้ง ซึ่งยกเลิกมาตรการคว ่ำบาตร เพื่อแลกกับข้อตกลงของอิหร่านในการ จำกัดโครงการนิวเคลียร์ 4) จีน ทำสงครามการค้ากับจีน เรียกเก็บ ภาษีสินค้าจากจีนมูลค ่าหล าย พันล้านดอลลาร์ กล ่าวหาจีนว่า ปฏิบัติทางการค้าที ่ไม ่เป็นธรรม ละเมิดสิทธิมน ุษยชน และขโมย ทรัพย์สินทางปัญญา รักษาท ่าทีที ่แข็งกร้าวต ่อจีน แข ่งขัน เชิงกลยุทธ์และความร ่วมมือกับจีน ป ร ะน าม จีนใน ก า ร ล ะเมิด สิ ท ธิ มนุษยชนในซินเจียงและฮ่องกง
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 88 นโยบาย รัฐบาลทรัมป์ รัฐบาลไบเดน 5) รัสเซีย มีสัมพันธ์กับรัสเซีย แต ่กล ่าวหา รัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้ง สหรัฐฯ ในปี 2016 ถอนตัวจาก สนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัย กลาง (the Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty) แสดงท ่าทีที ่แข็งกร้าวขึ้นต ่อรัสเซีย บังคับใช้มาตรการคว ่ำบาตรในการ แทรกแซงการเลือกตั้ง การโจมตีทางไซ เบอร์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขยายสนธิสัญญาควบคุมอาวุธ START ใหม่กับรัสเซีย 6) การแทรกแซง ทางทหารใน ตะวันออก กลาง ยอมรับเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง ของอิสราเอลโดยการย้ายสถานทูต สหรัฐฯ นโยบายสนับสนุนอิสราเอล ปรับความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอล กับรัฐอาหรับหลายประเทศ สนับสน ุนอิสราเอลอย ่างต ่อเนื ่อง พยายามแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ระหว ่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยุติ การสนับสน ุนของสหรัฐฯ ในการ แทรกแซงทางการทหารในเยเมน ที่มา: ผู้เขียน เราจึงเห็นได้ชัดเจนว ่าแม้ว ่านโยบาย "อเมริกาต้องมาก ่อน" ของทรัมป์ให้ความสำคัญกับ ผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก แต่ก็นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพันธมิตรสำคัญๆ และการใช้แนวทาง ฝ่ายเดียวมากขึ้นในกิจการระหว่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลไบเดนมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูความเป็นผู้นำของ สหรัฐฯ และการทำงานร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศมากขึ้น 2. นัยสำคัญของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล รัฐบาลทรัมป์มีแนวทางการบริหารและมีลักษณะเฉพาะด้วยวาทศิลป์ประชานิยม (populist rhetoric) ทรัมป์ใช้โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Twitter และ Facebook เพื่อสื่อสารกับชาวอเมริกันโดยตรง ว่าเขาเน้นผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก ในทางกลับกัน รัฐบาลไบเดนกลับไปสู่แนวปฏิบัติทางการเมือง แบบดั้งเดิม เน้นนโยบายที่ก้าวหน้า และความร่วมมือแบบพหุภาคีในเวทีการเมืองโลก ผู้เขียนเสนอว่าการ เปลี่ยนผ่านทางการเมืองสหรัฐฯ มีนัยสำคัญทางการเมืองสหรัฐฯ อย่างน้อยสี่ประการ ดังนี้ (1) ความแตกต่างในเชิงนโยบายและลำดับความสำคัญ: รัฐบาลทรัมป์มีแนวทางนโยบาย ต่างประเทศที่แยกตัวและชาตินิยม มุ่งเน้นไปที่การลดภาษี กฎระเบียบ นโยบายการค้าแบบกีดกัน และการ ปฏิรูปคนเข้าเมือง ตามนโยบายหาเสียงของเขาคือ "อเมริกาต้องมาก ่อน" และ“สร้างสหรัฐอเมริกาให้ ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” เพื่อปกป้องการค้าและการจำกัดคนเข้าเมือง แต่รัฐบาลไบเดนยกเลิกนโยบายเหล่านี้ โดย
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 89 ย้ำความร ่วมมือระดับโลกผ ่านแนวทางพหุภาคีมากขึ้น ให้ความสำคัญกับประเด็นต ่างๆ เช ่น การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านสาธารณสุข ความยุติธรรมทางเชื้อชาติ และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ (2) ความแตกแยกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต: การแบ่งขั้วทาง การเมืองที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นความแตกแยกอย่างลึกซึ้ง รัฐบาลทรัมป์ท้าทายบรรทัดฐานและค่านิยม ดั้งเดิม ขณะที่รัฐบาลไบเดนฟื้นฟูศรัทธาในรัฐบาลและรวบรวมประเทศที่แตกแยก การแบ่งขั้วส่งผลต่อ พฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ความคิดเห็นสาธารณะ และการมีส่วนร่วมของพลเมืองในอนาคต นอกจากนี้ การแบ่งขั้วทางการเมืองยังปรากฏในระบบตุลาการ โดยผู้พิพากษาสูงสุดแนวอนุรักษ์นิยมทำให้การตีความ กฎหมายแบ่งขั้วมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน เช่น การยุติการตั้งครรภ์และ อาวุธปืนที่ตัดสินไปในแนวทางอนุรักษ์นิยมมากขึ้น (Hasen, 2019) ความแตกแยกที่ลึกซึ้งนี้ยิ่งตอกย้ำถึง ความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยในอเมริกา (3) กระบวนการเลือกตั้งและบทบาทของสื่อสังคมออนไลน์: สื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลต่อวาท กรรมทางการเมือง ทรัมป์ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อกระจายข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการโกงการเลือกตั้ง และการบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 (Anderson, 2022; McManus, 2021) เหตุการณ์นี้เน้นให้เห็นถึงบทบาทของสื่อสังคมออนไลน์และข้อมูลที่บิดเบือนเป็นอันตายต่อการเมืองอย่าง ชัดเจน และตั้งคำถามต ่อกระบวนการประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกา การเมืองสหรัฐฯ จึงต้องการการ เยียวยาครั้งใหญ่ (4) ความพยายามในการแก้ปัญหาในเชิงระบบ: การเปลี่ยนผ่านเผยให้เป็นความลักลั่นและจุด เปราะบางของสังคมการเมืองในสหรัฐฯ เช่น การปฏิรูประบบความยุติธรรมทางอาญา ความไม่เท่าเทียม ทางเชื้อชาติ ด้านสาธารณสุข และการศึกษา รัฐบาลไบเดนดำเนินนโยบายที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก เพื่อ รับมือและการแก้ไขปัญหาเชิงระบบในสังคมและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการเมืองโลก การเมืองสหรัฐฯ จากรัฐบาลทรัมป์ไปสู่รัฐบาลไบเดนแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เพราะรัฐบาล ทั้งสองมีวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของสหรัฐฯ ที่แตกต่างกันมาก เมื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาล ไบเดนยกเลิกนโยบาย หลายอย่างของรัฐบาลทรัมป์ และดำเนินนโยบายที่ก้าวหน้าแทน แต่กลับได้รับคำวิจารณ์จากพรรครีพับลิ กันและฝ่ายอนุรักษ์นิยมว่าเป็นการเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลกลางมากเกินไป อนาคตของการเมืองอเมริกันจึงถูก กำหนดโดยการต่อสู้แข่งขันกันระหว่างแนวคิดทางการเมืองและวิสัยทัศน์ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง 3. สรุป: การเปลี่ยนผ่านจากทรัมป์สู่ไบเดน แม้ว่าผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาพยายามออกแบบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด มีความสมดุล ระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ และป้องกันไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจมากจนเกินไป แต่รอยต่อ
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 90 ระหว ่างสองรัฐบาลทรัมป์และไบเดนเป็นนหมุดหมายสำคัญที ่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของ ประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ทั้งในแง่ของสถาบันการเมือง นโยบายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ภายใต้ความ ท้าทายสำคัญมากมาย ได้แก่ อุดมการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป การระบาดของ COVID-19 การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ ่านรัฐบาลระหว่างทรัมป์และไบเดนเป็นช ่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์การเมือง สหรัฐอเมริกา แต่ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากในประเด็นการเปลี ่ยนแปลงนโยบาย การแบ่งขั้วทาง การเมืองที่เพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง และการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ เพื่อทำความ เข้าใจการเปลี่ยนผ่านและพลวัตทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาได้ดียิ่งขึ้น
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 91 บรรณานุกรม 270toWin (2023) Real Time Live Presidential Election Results. Available at: https://www.270towin.com/2020-election-results-live/ (accessed 11 March 2023). Alashri S and Alalola T (2020) Functional Analysis of the 2020 U.S. Elections on Twitter and Facebook using Machine Learning. In: 2020 IEEE/ACM International Conference on Advances in Social Networks Analysis and Mining (ASONAM), December 2020, pp. 586–589. DOI: 10.1109/ASONAM49781.2020.9381302. Amaria K and Nilsen E (2021) Joe Biden’s Inauguration Day, in photos. VOX, 20 January. Available at: https://www.vox.com/22240601/joe-biden-president-inauguration-dayin-photos (accessed 11 March 2023). Amlani S and Collitt S (2022) The Impact of Vote-By-Mail Policy on Turnout and Vote Share in the 2020 Election. Election Law Journal: Rules, Politics, and Policy 21(2). Mary Ann Liebert, Inc., publishers: 135–149. DOI: 10.1089/elj.2021.0015. Anderson KB (2022) The January 6 Insurrection: Historical and Global Contexts. Critical Sociology 48(6). SAGE Publications Ltd: 901–907. DOI: 10.1177/08969205211058210. Arlington TS and Branner S (1984) Should the Electoral College be Replaced by the Direct Election of the President? A Debate. PS: Political Science & Politics 17(2). Cambridge University Press: 237–250. DOI: 10.2307/418787. BBC News (2019) กระบวนการถอดถอนทรัมป์ มีขั้นตอนอย ่างไร. BBC News ไทย. Available at: https://www.bbc.com/thai/international-50402952 (accessed 24 June 2021). BBC News (2020) Presidential debate: Second Trump v Biden debate in pictures. BBC News, 23 October. Available at: https://www.bbc.com/news/in-pictures-54654486 (accessed 11 March 2023). BBC News (2021) Joe Biden: Where does he stand on key issues? BBC News, 19 January. Available at: https://www.bbc.com/news/election-us-2020-53575474 (accessed 25 June 2021). Bhowmick S and Jain S (2020) US Elections 2020: The Battleground States. ORF: Observer Research Foundation. Available at: https://policycommons.net/artifacts/1424296/us-elections-2020/2038569/ (accessed 11 March 2023). Bianco WT and Canon DT (2021) American Politics Today. New York: W. W. Norton & Company.
การเมืองสหรัฐอเมริกา: การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์สู่ไบเดน 92 Biden J (2020) Plan for Climate Change and Environmental Justice. Available at: https://joebiden.com/climate-plan/ (accessed 25 June 2021). Biden JRJ (2020) Why American Must Lead Again: Recusing U.S. Foreign Policy after Trump. Foreign Affairs 99: 64. Biography (2020) Charles-Louis de Secondat - Beliefs, Philosophy & Facts. Available at: https://www.biography.com/scholar/charles-louis-de-secondat (accessed 25 March 2023). Blecker RA (2021) The Rebranded NAFTA: Will the USMCA Achieve The Goals of the Trump Administration For North American Trade? Norteamérica16(2). Universidad Nacional Autónoma de México, Centro de Investigaciones sobre América del Norte: 289–315. DOI: 10.22201/cisan.24487228e.2021.2.516. Bok H (2018) Baron de Montesquieu, Charles-Louis de Secondat. In: Zalta EN (ed.) The Stanford Encyclopedia of Philosophy. Winter 2018. Metaphysics Research Lab, Stanford University. Available at: https://plato.stanford.edu/archives/win2018/entries/montesquieu/ (accessed 9 May 2021). Bomberg E (2021) The environmental legacy of President Trump. Policy Studies 42(5–6). Routledge: 628–645. DOI: 10.1080/01442872.2021.1922660. Boulianne S (2020) Twenty Years of Digital Media Effects on Civic and Political Participation. Communication Research 47(7). SAGE Publications Inc: 947–966. DOI: 10.1177/0093650218808186. Buccoliero L, Bellio E, Crestini G, et al. (2020) Twitter and politics: Evidence from the US presidential elections 2016. Journal of Marketing Communications 26(1). Routledge: 88–114. DOI: 10.1080/13527266.2018.1504228. Cain BE (2022) The Elections of 2020. In: Peele G, Cain BE, Herbert J, et al. (eds) Developments in American Politics 9. 1st ed. 2022 edition. Palgrave Macmillan, pp. 17–31. Celebi K and Welfens PJJ (2020) The Economic Impact of Trump: Conclusions from an Impact Evaluation Analysis. EIIW Discussion paper. EIIW Discussion paper disbei281. Universitätsbibliothek Wuppertal, University Library. Available at: https://ideas.repec.org//p/bwu/eiiwdp/disbei281.html (accessed 11 March 2023).