การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้ เทคนิค LT (Learning Together) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ธนบดี สิทธิโคตร วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ผู้วิจัย จ่าสิบเอก ธนบดี สิทธิโคตร สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ชฎล นาคใหม่ ครูพี่เลี้ยง นางกุศล ด้วงสะดี อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ................................................................................ ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช) ................................................................................ กรรมการ (อาจารย์ชฎล นาคใหม่) ................................................................................ กรรมการ (นางกุศล ด้วงสะดี) ................................................................................ กรรมการ (นายวรวุฒิ คำชมภู) ว่าที่ร้อยตรี.............................................................. กรรมการ (จักราชัย ใจซื่อ)
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ผู้วิจัย จ่าสิบเอก ธนบดี สิทธิโคตร อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ชฎล นาคใหม่ ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผ่านเกณฑ์ 70/70 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้จาก การเลือกแบบเจาะจง จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชา สังคมศึกษา จำนวน 6 แผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.29/74.69 แสดงว่า แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) เรื่อง กฎหมาย แพ่งและกฎหมายอาญา ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ 70/70 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมาย อาญา โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 8.31 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.94 ซึ่งมี คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.วินัย ภารเวช และ อาจารย์ชฎล นาคใหม่ อาจารย์ที่ปรึกษา ที่กรุณาให้คำปรึกษา คำแนะนำ อ่าน และแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ ของรายงานการวิจัยนี้จนสำเร็จสมบูรณ์ ทั้งเสียสละเวลา และให้กำลังใจผู้วิจัย มาโดยตลอด จนสำเร็จเรียบร้อย ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอบพระคุณ ว่าที่ร้อยตรี จักราชัย ใจซื่อ นายวรวุฒิ คำชมภูและนางกุศล ด้วงสะดีที่กรุณา เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบ พิจารณาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและ ให้ข้อเสนอแนะ ตลอดระยะเวลาดำเนินการวิจัย ขอบพระคุณ ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู และขอบใจนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ให้ความอนุเคราะห์ทดลองใช้เครื่องมือในการวิจัย และให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรว มข้อมูล จนได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ประโยชน์และคุณค่าจากรายงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอกุศลแห่งความดีในครั้งนี้แด่พระคุณบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ และครูอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ทำให้ผู้วิจัยประสบ ความสำเร็จในครั้งนี้ จ่าสิบเอก ธนบดี สิทธิโคตร
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ........................................................................................................................................ ก กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................. ............................ ข สารบัญ....................................................................................................................... .....................ค สารบัญตาราง.................................................................................................................. ................ฉ สารบัญภาพ....................................................................................................... ..............................ช บทที่ 1 บทนำ......................................................................................................................... ...........1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ.........................................................................................1 1.2 วัตถุประสงค์...................................................................................................................2 1.3 สมมตุฐานการวิจัย..........................................................................................................2 1.4 ขอบเขตการวิจัย................................................................................................... ..........2 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ.......................................................................................................... .3 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.............................................................................................4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................5 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม........................................................................................................ ..5 2.2 หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 พุทธศักราช 2566..............................9 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT.............................................................13 2.4 แผนการจัดการเรียนรู้....................................................................................................21 2.5 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้........................................................................ 25 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน................................................................................................. 27 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.........................................................................................................29 2.8 กรอบแนวคิดในการวิจัย.................................................................................................33
ง สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย................................................................................................................. 34 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย..........................................................................................34 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................................34 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ....................................................................35 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล....................................................................................................37 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................37 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................37 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................................... .42 ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้การสอนแบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ที่ผ่านเกณฑ์70/70................................................42 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง จากการใช้การสอน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ที่ผ่านเกณฑ์70/70.............................44 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ......................................................................................47 5.1 วัตถุประสงค์................................................................................................................. ..47 5.2 สมมติฐานของการวิจัย...................................................................................................47 5.3 วิธีดำเนินการวิจัย...........................................................................................................47 5.4 สรุปผลการวิจัย.............................................................................................................. 49 5.5 อภิปรายผล............................................................................................................. .......49 5.6 ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................. 53 บรรณานุกรม บรรณานุกรม........................................................................................................................54
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ...........................................................................................57 ประวัติย่อผู้เชี่ยวชาญ....................................................................................................... .....58 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................. 59 ภาคผนวก ค ผลคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................... 80 ภาคผนวก ง ภาพบรรยากาศ............................................................................................... 94 ประวัติย่อผู้วิจัย........................................................................................................... ......... 98
ฉ สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ 4.1 ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3............................................................................................................ 43 ตารางที่ 4.2 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3............................................................................................................ 44 ตารางที่ 4.3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และผลสัมฤทธิ์ หลังเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.......... 45 ตารางที่ 4.4 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมาย อาญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3................................................................................46 ตารางที่ ค.1 ตารางวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน......................................................................................90 ตารางที่ ค.2 ตางรางค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดผลสัมฤทธิ์.................................................92
ช สารบัญภาพ ภาพ หน้า ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการทำวิจัย.................................................................................33
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ ในศตวรรษที่ 21 การจัดกระบวนการเรียนรู้มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็นอย่างมาก เนื่องจากในยุคก่อน ๆ ที่เน้นให้นักเรียนอ่านฟังบรรยายยืดเนื้อหาจากตำรา โดยที่ครูบรรยายบอก ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ก็เพราะต้องการให้นักเรียนจดบันทึกแล้วนำไปสอบวัดเก็บคะแนนความรู้ ซึ่งต่อมาครู เริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการนำเสนอให้นักเรียนได้รับรู้และรับฟัง แต่ก็ยังถือว่าเป็นการยึดครู เป็นศูนย์กลาง ดังนั้น ในศตวรรษที่ 21 จึงมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ใหม่ โดยพยายามเปลี่ยนบทบาทครูจากครูผู้บรรยายมาเป็นคณะครูร่วมกันออกแบบกิจกรรมในการจัด กระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนใช้เครื่องมือไปสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ครูเป็นผู้อำนวย ความสะดวกและเสนอแนะเครื่องมือ การเข้าถึงองค์ความรู้ผ่านวิธีการต่าง ๆ โดยเฉพาะผ่าน เทคโนโลยีให้นักเรียนเข้าถึงความรู้ได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง และนำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนกับ เพื่อนสมาชิกในห้อง ปัจจุบันการเรียนการสอน ครูจะเน้นด้านทฤษฎีมากกว่าเน้นการปฏิบัติจริง จึงทำให้ นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนจากเอกสารตำราเรียน เพราะเอกสารตำราเรียนมีเพียง ภาพประกอบ และตัวอักษรเท่านั้น จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักเรียนไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร อีกทั้งชั่วโมงในการเรียน การสอนแต่ละชั่วโมงก็ประสบปัญหาเรื่องของนักเรียนเข้าห้องเรียนช้า เพราะบางครั้ง บางชั่วโมงเรียนห้องเรียนต้องใช้ร่วมกัน ทำให้นักเรียนต้องมานั่งรอการเปลี่ยนชั่วโมง เรียน ทำให้นักเรียนได้เข้าห้องเรียนในการปฏิบัติช้า และบางครั้งนักเรียนบางคนก็ไม่มีเอกสารตำรา เรียนมาเรียน ทำให้เกิดปัญหาด้านการเรียนการสอนมากมาย ทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงการเรียน ของนักเรียน ทำให้นักเรียนมีผลการเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอีกด้วย การเรียนในห้องเรียน ก็มีปัญหา โดยเฉพาะนักเรียนบางคนที่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ รบกวนเพื่อน ๆ เมื่อครูสั่งงานกลุ่ม นักเรียนก็จะทำกันเป็นบางคน ส่วนที่เหลือก็จะนั่งเล่นไม่สนใจงานร่วมกัน และไม่มีความสามัคคี ช่วยเหลือกันทำงาน ทำให้ผลงานที่นำมาถ่ายทอดให้เพื่อน ๆ ฟังไม่มีประสิทธิภาพพอ จึงเป็นปัญหา ในเรื่องการทำงานร่วมกัน นักเรียนขาดความเป็นผู้นำ ขาดการมอบหมายงานให้กันภายในกลุ่ม ขาดความเป็นผู้รับผิดชอบ และการบริหารงานต่าง ๆ ภายในกลุ่ม จากการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันได้เกิดปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะการจัดการเรียน การสอนในรายวิชาวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จากการศึกษาการฝึกปฏิบัติวิชาชีพ ระหว่างเรียน พบว่า ผู้เรียนขาดทักษะของการทำงานเป็นทีม ขาดความร่วมมือในการทำงาน
2 ไม่แบ่งภาระงานที่ชัดเจน และขาดความรับผิดชอบในการทำงานร่วมกับผู้อื่นในทีม ทำให้งานที่ออกมา ไม่ประสบความสำเร็จและงานขาดประสิทธิภาพ จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้ผู้วิจัย สนใจที่จะนำการ เรียนรู้แบบร่วมมือ คือ การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together (LT) เพื่อช่วยกระตุ้น การเรียนรู้ให้กับนักเรียน และเพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง ทั้งยังเพื่อเป็น ประโยชน์ในการเสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมาย อาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผ่านเกณฑ์ 70/70 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมาย แพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 1.3 สมมุติฐานของการวิจัย 1.3.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ในรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นไปตามเกณฑ์ ร้อยละ 70 1.3.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ด้านเนื้อหา ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ในรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 แผน รวม 8 ชั่วโมง ดังรายละเอียด คือ 1.4.1.1 ทดสอบก่อนเรียน 1 ชั่วโมง 1.4.1.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง สัญญาซื้อขาย 1 ชั่วโมง
3 1.4.1.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สัญญากู้ยืม 1 ชั่วโมง 1.4.1.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง สัญญาเช่าทรัพย์ 1 ชั่วโมง 1.4.1.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง สัญญาเช่าซื้อ 1 ชั่วโมง 1.4.1.6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ความผิดทางอาญาและโทษทางอาญา 1 ชั่วโมง 1.4.1.7 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สิน 1 ชั่วโมง 1.4.1.8 ทดสอบหลังเรียน 1 ชั่วโมง 1.4.2 ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ทั้งหมด 16 คน 1.4.3 ด้านตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.4.3.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) 1.4.3.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา 1.4.4 ระยะเวลา ปีการศึกษา 2566 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together (LT) หมายถึง เป็นเทคนิคการจัด กิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ทุกคน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้รายงานนำเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทำงาน จนได้ผลงานสำเร็จ ส่งและนำเสนอต่อผู้สอน ลักษณะการจัดกิจกรรม กลุ่มผู้เรียนจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน เช่น เป็นผู้อ่านคำสั่งใบงาน เป็นผู้จด บันทึกงาน เป็นผู้หาคำตอบ เป็นผู้ตรวจคำตอบ กลุ่มจะได้ผลงานที่เกิดจากการทำงานของทุกคน 1.5.2 การทำงานเป็นทีม (Team Work) หมายถึง การร่วมกันทำงานของสมาชิกภายในกลุ่ม ที่มากกว่า 1 คน โดยที่สมาชิกทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน จะทำอะไรทุกคนต้องยอมรับ ร่วมกัน มีการวางแผนการทำงานร่วมกัน การทำงานเป็นทีมมีบทบาทสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ของงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือของกลุ่มสมาชิกเป็นอย่างดี 1.5.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความรู้ ความสามารถที่ได้รับและพัฒนามาจาก การเรียนการสอนการเรียนรู้แบบร่วมมือ Learning Together (LT) วิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมาย
4 แพ่งและกฎหมายอาญา โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผลหลังจากการเรียน คะแนนที่ได้จากก่อน และหลังเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา 1.5.4 กฎหมายแพ่ง หมายถึง กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล เช่น เรื่องสภาพบุคคล ทรัพย์ หนี้ นิติกรรม ครอบครัว และมรดก เป็นต้น การกระทำผิดทางแพ่ง ถือว่าเป็นการละเมิด ต่อบุคคลที่เสียหายโดยเฉพาะ ไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างการกระทำผิดอาญา 1.5.5 กฎหมายพาณิชย์ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมาย ว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น 1.5.6 กฎหมายอาญา หมายถึง กฎหมายที่กำหนดลักษณะของการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิด ต่อร่างกายและทรัพย์สิน และกำหนดบทลงโทษทางอาญาสำหรับผู้กระทำความผิดนั้นมี 5 อย่าง ได้แก่ ริบทรัพย์สิน ปรับ กักขัง จำคุก และประหารชีวิต 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดีขึ้น 1.6.2 ได้แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค LT ในรายวิชาสังคมศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ 1.6.3 สามารถนำไปพัฒนาและปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมต่อไป
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและ กฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย ได้ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2.2 หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 พุทธศักราช 2566 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT 2.4 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.5 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.8 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2.1.1 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญดังนี้ 2.1.1.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2.1.1.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 2.1.1.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 2.1.1.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการจัดการเรียนรู้
6 2.1.1.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2.1.1.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 2.1.2 ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ การดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัว ตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุค สมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับ ในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดี ของประเทศชาติ และสังคมโลก 2.1.3 เรียนรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความ เชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบท สภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระต่าง ๆ ไว้ ดังนี้ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรม ของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้ง บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ระบบการเมืองการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสำคัญการเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยม ด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ การดำเนินชีวิตอย่าง สันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนำหลัก เศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน
7 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการ ของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบ ที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก ภูมิศาสตร์ ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.1.4 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1) มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อม ในท้องถิ่นที่อยู่อาศัย และเชื่อมโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้าง 2) มีทักษะกระบวนการ และมีข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมของห้องเรียน และ ได้ฝึกหัดในการตัดสินใจ 3) มีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ในลักษณะ การบูรณาการ ผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ - รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการออมขั้นต้น และวิธีการเศรษฐกิจพอเพียง 4) รู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่ พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจในขั้นที่สูง ต่อไป จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1) มีความรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการเมือง การปกครอง และสภาพ เศรษฐกิจโดยเน้นความเป็นประเทศไทย 2) มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตน ตามหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธีและพิธีกรรมทางศาสนามาก ยิ่งขึ้น
8 3) ปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น 4) สามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อขยายประสบการณ์ ไปสู่การทำความเข้าใจในภูมิภาคซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1) มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทยเปรียบเทียบ กับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข 2) มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณได้รับการพัฒนาแนวคิด และขยายประสบการณ์เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ 3) รู้และเข้าใจแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถนำมาใช้ เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1) มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น 2) เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา ที่ตนนับถือ มีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้ง มีศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูงตามความประสงค์ได้ 3) มีความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ ของชาติไทย ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข 4) มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทยและสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและ ประเทศชาติ มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม
9 5) มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำตนเองได้และ สามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในสังคมได้ตลอดชีวิต 2.1.5 สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดีงาม และธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทยดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลก อย่างสันติสุข ตัวชี้วัด ม.3/1 อธิบายความแตกต่างของการกระทำความผิดระหว่างคดีอาญาและ คดีแพ่ง 2.2 หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 พุทธศักราช 2566 วิสัยทัศน์ “ภายในปี 2570 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษาและผู้เรียนมีสมรรถนะที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ด้วยการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ” พันธกิจ 1) พัฒนาโรงเรียนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ปลอดภัย 2) พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษาและส่งเสริมผู้เรียนให้มีสมรรถนะ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต 3) พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษา 4) ส่งเสริมกระบวนการบริหารจัดการให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษา โดยยึดหลักธรรมาภิบาล 5) น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ เป้าประสงค์ 1) โรงเรียนเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ปลอดภัย 2) ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษาและสมรรถนะที่จำเป็นในการดำรงชีวิต 3) ครูและบุคลากรทางการศึกษามีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษา 4) มีกระบวนการบริหารจัดการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสถานศึกษาโดยยึด หลักธรรมาภิบาล 5) มีการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน
10 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 มุ่งเน้นพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ดังนี้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่มีต่อตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้าง องค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
11 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ การบูรณาการกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้ 1) ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ 2) ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่า จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ 3) ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน อนาคต โดยมีเงื่อนไขของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง 2 ประการ ดังนี้ 1) เงื่อนไขความรู้ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รอบด้านความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในการปฏิบัติ 2) เงื่อนไขคุณธรรมที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
12 มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี 4) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 6) กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 7) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ 8) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญ ของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็น กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบ ว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไรและประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพ ภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษาและการทดสอบระดับชาติ ระบบ การตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่า สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด ระดับการศึกษา หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2 จัดระดับการศึกษาเป็น 2 ระดับ ดังนี้ 1) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3) เป็นช่วงสุดท้าย ของการศึกษาภาคบังคับ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริม การพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน มีทักษะในการคิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะ ในการดำเนินชีวิต มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความสมดุล ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจน ใช้เป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อ
13 2) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6) การศึกษาระดับนี้ เน้นการเพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบความสามารถ ความถนัด และความสนใจ ของผู้เรียนแต่ละคนทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ มีทักษะในการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการคิดขั้นสูง สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาต่อและ การประกอบอาชีพ มุ่งพัฒนาตนและประเทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผู้นำ และผู้ให้บริการ ชุมชนในด้านต่าง ๆ การจัดเวลาเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนขั้นต่ำ สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมได้ ตามความพร้อมและจุดเน้น โดยสามารถปรับให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพ ของผู้เรียน ดังนี้ 1) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3) ให้จัดเวลาเรียน เป็นรายภาค มีเวลาเรียนวันละไม่เกิน 6 ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียนมีค่าน้ำหนักวิชา เท่ากับ 1 หน่วยกิต (นก.) 2) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6) ให้จัดเวลาเรียน เป็นรายภาคมีเวลาเรียน วันละไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียน มีค่าน้ำหนักวิชา เท่ากับ 1 หน่วยกิต (นก.) 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT 2.3.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ การจัดการเรียนรูแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็นการจัดการเรียนรูที่เนน ให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน มีปฏิสัมพันธกันในกลุม โดยสมาชิกทุกคนในกลุมจะเกิด การเรียนรู้ร่วมกัน มีการถ่ายทอดความรูระหว่างสมาชิกในกลุม และมีเป้าหมายคือความสำเร็จ ของกลุ่ม อาทซท์ และนิวแมน (Artzt; & Newman. 1990: 448 - 449) ได้กล่าวถึงการเรียน แบบร่วมมือกันว่าเป็นแนวทางการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนต้องระลึก เสมอว่า พวกเขามีความสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ดังนั้นสมาชิกในกลุ่ม ต้องช่วยเหลือกันในการแก้ปัญหาการเรียนรู้ร่วมกัน ครูผู้สอนมีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือชี้แนะ แหล่งข้อมูลและจัดหาสื่ออุปกรณ์ให้ผู้เรียนได้ใช้ความสามารถในการเรียนรู้อย่างเต็มที่
14 สลาวิน (Slavin. 1990: 5) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการเรียนที่ผู้เรียน แสดงความคิดเห็นร่วมกันในการเรียน และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง และต่อความสำเร็จของกลุ่ม ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม และความสำเร็จของกลุ่ม สัมฤทธิ์ผลของกลุ่มขึ้นอยู่กับความสามารถของสมาชิกทุกคนในกลุ่มที่เกิดจากการช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน ผู้เรียนแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบเป็นรายบุคคล เพราะมีความหมายต่อความสำเร็จ ของกลุ่มมาก จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson. 1994: 5) กล่าวว่า การสอนโดยวิธีการ เรียนแบบร่วมมือ เป็นการสอนที่จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มละประมาณ 3 – 5 คน โดยที่สมาชิกในกลุ่มมีความแตกต่างกันทางด้านเพศ เชื้อชาติ ความสามารถทางการเรียน ฯลฯ ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รับผิดชอบการทำงานของสมาชิก แต่ละคนในกลุ่มร่วมกัน วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542: 174 - 175) การเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีการจัดการกิจกรรม การเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และในความสำเร็จ ของกลุ่ม โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กัน และกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียน ของตนเองเท่านั้น หากแต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละบุคคลคือความสำเร็จของกลุ่ม พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544: 6) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง วิธีสอนแบบหนึ่ง โดยกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถต่างกันทำงานพร้อมกันเป็นกลุ่มขนาดเล็กโดยทุกคน มีความรับผิดชอบงานของตนเอง และงานส่วนรวมร่วมกันมีปฏิสัมพันธ์กันและกันมีทักษะการทำงาน กลุ่ม เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย ส่งผลให้เกิดความพอใจอันเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2545: 105) ได้สรุปลักษณะการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า การเรียนรู้ แบบร่วมมือทุกรูปแบบต่างก็มีกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องพึ่งพาและเกื้อกูลกัน สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษา หารือ และปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด สมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และสามารถ ตรวจสอบได้ สมาชิกกลุ่มต้องใช้ทักษะการทำงานกลุ่ม และการสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการทำงาน หรือการเรียนรู้ร่วมกัน วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545: 51) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียน ได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน
15 โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสำเร็จของกลุ่ม ทั้งโดย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งเป็นกำลังใจแก่กัน คนที่เรียนเก่ง จะช่วยเหลือคนที่เรียนอ่อนกว่าสมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเท่านั้น หากแต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของ แต่ละบุคคลคือความสำเร็จของกลุ่ม สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2545: 134) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่ม ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้าง ที่ชัดเจน มีการทำงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคน ในกลุ่ม ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนั้น จึงสรุปว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่ม โดยสมาชิกทุกคนในกลุ่มจะเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน มีการถ่ายทอดความรู้ แสดงความคิดเห็นระหว่างสมาชิกในกลุ่ม สมาชิกทุกคนจึงมีบทบาทในกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และมีเป้าหมายคือความสำเร็จของกลุ่ม การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้มีหลักการที่ครูควรคำนึงถึงอยู่ 3 ประการ คือ 1) รางวัลหรือเป้าหมายของกลุ่ม ซึ่งครูจะต้องตั้งรางวัลไว้เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน มีความพยายามในการเรียนรู้มากขึ้น และพยายามปรับพฤติกรรมของตน เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม รางวัลที่กำหนดอาจเป็นสิ่งของ ประกาศนียบัตร คำชมเชย ฯลฯ โดยที่แต่ละกลุ่มจะได้รับเมื่อกลุ่ม ทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ภายในเวลาที่กำหนดและครูควรชี้แจงให้นักเรียนทราบว่ากลุ่มไม่ควร แข่งขันกัน เพื่อต้องการรางวัลเพียงอย่างเดียว 2) ความรับผิดชอบรายบุคคล สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนและ พยายามทำความเข้าใจในบทเรียน สมาชิกทุกคนต้องช่วยกันอธิบายให้สมาชิกในกลุ่มเข้าใจ เนื่องจาก ครูจะทำการวัดความก้าวหน้าของกลุ่ม ซึ่งจะวัดจากความสามารถของแต่ละบุคคลในกลุ่ม แล้วนำคะแนนจากการทดสอบรายบุคคลไปเฉลี่ยเป็นคะแนนของกลุ่ม ดังนั้น จึงนับได้ว่าความสำเร็จ หรือความก้าวหน้าของกลุ่ม จะขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ 3) โอกาสในการประสบความสำเร็จที่เท่าเทียมกัน หมายถึง สมาชิกทุกคนในกลุ่ม มีโอกาสที่จะทำให้ดีที่สุด และประสบผลสำเร็จในการเรียนเท่าเทียมกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ของสมาชิกทุกคนในกลุ่มจึงเป็นสิ่งที่มีค่า (เกษรา เฉยงาม. 2546: 27 – 28)
16 2.3.2 ความหมายและรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT พัฒนาโดย David Johnson and Robert Johnson แห่งมหาวิทยาลัยมินิโซต้า ซึ่งได้สร้างโมเดลของการเรียนแบบร่วมมือขึ้น (วัชรา เล่าเรียนดี. 2548: 193; อ้างอิงจาก Johnson & Johnson. 1986) ประกอบด้วยนักเรียนกลุ่มละ 4 – 6 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานที่ได้รับมอบหมายในใบงานกลุ่ม ส่งงานชิ้นเดียวกัน และได้รับคำชมหรือรางวัลตามผลงานของกลุ่ม โดยมีหลักการ คือ 1) นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน นักเรียนพึ่งพาซึ่งกันและกัน 2) นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง 3) นักเรียนมีทักษะในการทำงานด้วยกัน รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) หรือการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน การเรียนรู้รูปแบบนี้มีการกำหนดสถานการณ์และเงื่อนไข ให้นักเรียนทำผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การแบ่งงาน ที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม และเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีความคล้ายคลึงกับรูปแบบ การสอนแบบสืบสวนสอบสวน (Group Investigation) ซึ่งรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันนี้ จะแบ่ง นักเรียนเป็นกลุ่มคละความสามารถ เน้นการสร้างกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมก่อนที่จะทำงานร่วมกันจริง และเน้นการอภิปรายในกลุ่มว่าสมาชิกทำงานช่วยกันได้ดีเพียงใด (สุภณิดา ปุสุรินทร์คำ. 2549: 79 – 81) การจัดกิจกรรมการเรียนแบบ LT โดยครูสอนนักเรียนทั้งชั้นก่อน แล้วจึงมอบหมาย ใบงาน หรือโครงงาน (Project) ให้นักเรียนช่วยกันทำเป็นกลุ่ม ซึ่งครูอาจจะให้นักเรียนช่วยกัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่นักเรียนต้องการแก้ไข ในการจัดนักเรียนครูอาจจัดนักเรียน เข้ากลุ่มแบบคละความสามารถ แล้วให้สมาชิกของแต่ละกลุ่ม เลือกโครงการที่กลุ่มของตนสนใจ ที่จะศึกษา โดยมีการมอบหมายงาน และหน้าที่ที่แต่ละคนในกลุ่มจะต้องทำอย่างชัดเจน สมาชิก แต่ละคนต้องรับผิดชอบในงานส่วนที่ตนได้รับมอบหมายให้เสร็จตามกำหนด มีการพึ่งพาและ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วนำงานของทุกคนที่ทำเสร็จมารวมกันก็จะเป็นภาพงานของกลุ่ม ครูจะเป็นผู้เลือกตัวแทนของกลุ่มออกมานำเสนอผลงาน และอธิบายกระบวนการทำงานกลุ่มของตน ดังนั้นสมาชิกทุกคนในกลุ่ม จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการที่จะนำเสนอผลงาน เพราะการประเมิน ให้คะแนนจะพิจารณาจากการนำเสนอและการอธิบายของตัวแทนของกลุ่ม การให้คะแนนสมาชิก ทุกคนในกลุ่มเดียวกันจะได้คะแนนเท่ากัน (สิริพร ทิพย์คง. 2545: 176)
17 ลินณา พัฒนมาศ (2550: 51) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เป็นการสอนโดยให้นักเรียนเข้ากลุ่มกัน นักเรียนเข้ากลุ่มกันเรียนรู้ แบบปกติที่ครูใช้เป็นประจำ แต่จะต้องเป็นการเรียนรู้ร่วมกันอย่างจริงจังของสมาชิกกลุ่มทุกคน ครูจะต้องติดตามดูแลการเรียนรู้และปฏิบัติงานกลุ่มของนักเรียนตลอดเวลา ให้ทุกคนรับผิดชอบ ต่อผลงานของตนเองและของกลุ่ม มีการแบ่งหน้าที่กันในทีม ความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ของตน ทุกคนต้อง มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยกันพึ่งพากัน ยอมรับกันและกัน รวมทั้งช่วยเหลือเพื่อน สมาชิกให้สามารถเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด พิสมัย วีรพร (2550: 28) กล่าวว่าหลักการรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกัน หรือ Learning Together โดยนักเรียนทำงานเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม ในขณะทำงานนักเรียนช่วยกันคิด และช่วยกันตอบคำถาม พยายามทำให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคำตอบ ให้นักเรียนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชยหรือให้รางวัลกลุ่มตามผลงาน ของกลุ่มเป็นหลัก ดังนั้น การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค LT จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนทำงาน เป็นกลุ่ม โดยสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจะมีหน้าที่อย่างชัดเจน ในการทำงานสมาชิกทุกคนจะต้อง รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง สมาชิกแต่ละคนจะต้องมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง และสามารถอธิบายให้สมาชิกในกลุ่มเข้าใจได้ ทุกคนจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยเหลือ พึ่งพากัน เพื่อการดำเนินงานอย่างมีระบบ ผลงานกลุ่มที่ได้มาจะต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิก ทุกคน 2.3.3 องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือตามรูปแบบ LT จะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ (ไสว ฟักขาว. 2542: 151 – 154) 2.3.3.1 สร้างความรู้สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให้เกิดขึ้นในกลุ่ม นักเรียน ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี คือ 1) กำหนดเป้าหมายร่วมของกลุ่ม (Mutual Goals) ให้ทุกคนต้องเรียนรู้ เหมือนกัน 2) การให้รางวัลรวม เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนของกลุ่มได้คะแนนคิดเป็น ร้อยละ 90 ขึ้นไปของคะแนนเต็ม (Joint Rewards) สมาชิกในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนพิเศษอีกคนละ 5 คะแนน
18 3) ให้ใช้เอกสารหรือแหล่งข้อมูล (Share Resources) ครูอาจแจกเอกสาร ที่ต้องใช้เพียง 1 ชุด สมาชิกแต่ละคนจะต้องช่วยกันอ่านโดยแบ่งเอกสารออกเป็นส่วน ๆ เพื่อทำงานที่ ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ 4) กำหนดบทบาทของสมาชิกในการทำงานกลุ่ม (Assigned Roles) งานที่มอบหมายแต่ละงานอาจกำหนดบทบาทการทำงานของสมาชิกในกลุ่มแตกต่างกัน หากเป็นงาน เกี่ยวกับการตอบคำถามในแบบฝึกหัดที่กำหนด ครูอาจกำหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม เป็นผู้อ่าน คำถาม ผู้ตรวจสอบ ผู้กระตุ้นให้สมาชิกช่วยกันคิดหาคำตอบและผู้จดบันทึกคำตอบ 2.3.3.2 จัดให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน (Face – To – Face Interaction) ให้นักเรียนทำงานด้วยกันภายใต้บรรยากาศของความช่วยเหลือและส่งเสริมกัน 2.3.3.3 จัดให้มีความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ ( Individual Accountability) เป็นการทำให้นักเรียนแต่ละคนตั้งใจเรียนและช่วยกันทำงาน ไม่กินแรงเพื่อน ครูอาจจะสภาพการณ์ได้ด้วยการประเมินเป็นระยะ สุ่มสมาชิกของกลุ่มให้ตอบคำถามหรือรายงานผล การทำงาน สมาชิกทุกคนจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของกลุ่ม 2.3.3.4 ให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะสังคม (Social Skills) การทำงานร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างดี นักเรียนต้องมีทักษะทางสังคมที่จำเป็น ได้แก่ ความเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การสร้าง ความไว้ใจ การสื่อสาร และทักษะการจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ 2.3.3.5 จัดให้มีกระบวนการกลุ่ม (Group Processing) เป็นการเปิดโอกาส ให้นักเรียนประเมินการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุง การทำงานกลุ่มให้ดีขึ้น จากหลักการดังกล่าวทำให้ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ร่วมกันเทคนิค LT ที่นักเรียน ทำงานเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม ในขณะทำงานนักเรียนช่วยกันคิดและช่วยกันตอบคำถาม พยายามทำให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคำตอบ ให้นักเรียนขอความช่วยเหลือ จากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชยหรือให้รางวัลกลุ่มตามผลงานของกลุ่ม 2.3.4 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson; & Johnson. 1990: 101 – 102) ได้กล่าวถึงขั้นตอน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้ 1) ขั้นเตรียม ประกอบด้วยครูเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำถึงบทบาทของนักเรียน การแบ่งกลุ่มผู้เรียน 4 – 6 คน แจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนในแต่ละบท แต่ละคาบและฝึกฝนทักษะ พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม
19 2) ขั้นการจัดการเรียนรู้ ครูจะทำการสอนในรูปแบบกิจกรรมการสอนที่ประกอบด้วย การนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม 3) ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าที่ในการทำกิจกรรมกลุ่ม ตามที่ได้รับมอบหมาย และจะช่วยเหลือกัน ฝึกปฏิบัติ ทำให้เกิดการเสริมแรงและการสนับสนุนกัน 4) ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ เป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนได้ปฏิบัติหน้าที่ ครบถ้วนหรือไม่ ผลการปฏิบัติเป็นอย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลุ่ม และรายบุคคลต่อจากนั้น เป็นการทดสอบ 5) ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ครูและนักเรียนช่วยกัน สรุปบทเรียน ถ้ามีสิ่งที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ ครูควรอธิบายเพิ่มเติม และช่วยกันประเมินผลการทำงานกลุ่ม หาจุดเด่นและสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2544: 150) กล่าวว่า เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) เป็นวิธี ที่เหมาะสมกับการสอนวิชาที่มีโจทย์ปัญหาการคำนวณ หรือการฝึกฝนในห้องปฏิบัติการ โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1) ครูและนักเรียน อภิปราย สรุปเนื้อหาที่เรียนในคาบที่แล้ว 2) แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มคละความสามารถกัน กลุ่มละ 4 – 5 คน 3) ครูแจกใบงานกลุ่มละ 1 แผ่น 4) แบ่งหน้าที่ของผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่ม ดังนี้ คนที่ 1 อ่านคำสั่งหรือขั้นตอนในการดำเนินงาน คนที่ 2 ฟังขั้นตอนและจดบันทึก คนที่ 3 อ่านคำถามและหาคำตอบ คนที่ 4 ตรวจคำตอบ (ข้อมูล) 5) แต่ละกลุ่มส่งกระดาษเพียงแผ่นเดียวหรือส่งงาน 1 ชิ้น ผลงานที่เสร็จและส่งเป็น ผลงานที่ทุกคนในกลุ่มยอมรับ ซึ่งทุกคนในกลุ่มจะได้คะแนนเท่ากัน 6) ปิดแจ้งผลการเรียนและชมเชยกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด
20 ทิศนา แขมมณี (2545: 263) กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ ดังนี้ 1) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง - กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน 2) กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาท หน้าที่ ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้ ตัวอย่าง เช่น สมาชิกคนที่ 1 : อ่านคำสั่ง สมาชิกคนที่ 2 : อ่านคำตอบ สมาชิกคนที่ 3 : หาคำตอบ สมาชิกคนที่ 4 : ตรวจคำตอบ 3) กลุ่มสรุปคำตอบร่วมกัน และส่งคำตอบนั้นเป็นผลงานกลุ่ม 4) ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไหร่ สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนนั้นเท่ากัน ทุกคน วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2548: 187) กล่าวถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ LT ว่าเป็นวิธี ที่เหมาะสมกับการสอนวิชาที่มีโจทย์ปัญหาการคำนวณ หรือการฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1) ครูและนักเรียน อภิปราย สรุปเนื้อหาที่เรียนในคาบที่แล้ว 2) แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มคละความสามารถกัน กลุ่มละ 4 – 5 คน 3) ครูแจกใบงานกลุ่มละ 1 แผ่น 4) แบ่งหน้าที่ของผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่ม ดังนี้ คนที่ 1 อ่านคำสั่งหรือขั้นตอนการดำเนินงาน คนที่ 2 ฟังขั้นตอนและจดบันทึก คนที่ 3 อ่านคำถามและหาคำตอบ คนที่ 4 ตรวจคำตอบ (ข้อมูล) 5) แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคำตอบเพียงแผ่นเดียว หรือส่งงาน 1 ชิ้น ผลงานที่เสร็จ และส่งเป็นผลงานที่ทุกคนในกลุ่มยอมรับ ซึ่งทุกคนในกลุ่มจะได้คะแนนเท่ากัน 6) ปิดประกาศชมเชยกลุ่มที่ได้คะแนนสูง ลินณา พัฒนมาศ (2550: 51) กล่าวถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ ร่วมกันประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นเตรียม เตรียมความพร้อมของผู้เรียน โดยทบทวนความรู้เดิม ชี้แจงจุดประสงค์ การเรียนรู้ วิธีเรียน และการวัดผลประเมินผล ทบทวนความรู้เดิม และทบทวนวิธีเรียนรู้ร่วมกัน จัดกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 4 – 6 คน โดยแนะนำการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเรียนรู้ร่วมกัน บทบาทหน้าที่ ของสมาชิกในกลุ่ม การช่วยเหลือกัน การยอมรับและพึ่งพาอาศัยกันในกลุ่ม
21 2) ขั้นจัดการเรียนรู้ ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ มอบหมายใบงาน ใบกิจกรรม พร้อมสาธิตและยกตัวอย่าง ให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติ โดยครูคอยเป็นผู้ให้คำแนะนำ 3) ขั้นกิจกรรมกลุ่ม จัดกลุ่มผู้เรียนให้เรียนรู้ร่วมกัน ผู้เรียนปฏิบัติตามใบงาน ใบกิจกรรม ใบประเมินผลการปฏิบัติงานกลุ่ม ผู้เรียนร่วมกันเรียนตามใบความรู้ และฝึกปฏิบัติ ตามใบงาน 4) ขั้นสรุปและประเมินผลการเรียนรู้ ผู้จัดการเรียนรู้ ร่วมกันตรวจให้คะแนน บันทึกผลการทดสอบ คำนวณคะแนนพัฒนาการของบุคคลและกลุ่ม ประเมินผลงานกลุ่มให้รางวัล กลุ่มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด 2.4 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ มีความสำคัญหลายประการเพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้สอน สอนด้วย ความมั่นใจ ในการจัดการเรียนรู้นั้นจำเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ วางแผนและออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้มาใช้ในการจัดการชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย เกิดการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับวัย คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดการเรียนรู้ตามแผนการ จัดการเรียนรู้ช่วยให้ผู้สอนจัดกิจกรรมได้อย่างเป็นระบบ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน สร้างแนวทางการสอนที่เป็นขั้นตอนและตอบสนองวัตถุประสงค์ของหลักสูตร 2.4.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ คือ การนำวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องทำแผนการจัด การเรียนรู้ตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อ อุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล โดยจัดเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุ อุปกรณ์และตรงกับชีวิตจริงในห้องเรียน ชนาธิป พรกุล (2552) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นแนวทางการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่เขียนไว้ล่วงหน้า ทำให้ผู้สอนมีความพร้อม และมั่นใจว่าสามารถสอน ได้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้และดำเนินการสอนได้ราบรื่น เอกรินทร์ สี่มหาศาล (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วัสดุหลักสูตรที่ควรพัฒนามาจาก หน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้ ของหลักสูตร เป็นส่วนที่แสดงการจัดการเรียนการสอนตามบทเรียน และประสบการณ์การเรียนรู้ เป็นรายวันหรือรายสัปดาห์
22 ชวลิต ชูกำแพง (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารที่เป็น ลายลักษณ์อักษรของครูผู้สอน ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อ และอุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์ (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่อการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับเนื้อหาและ จุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแผนที่จัดทำ ขึ้นจากคู่มือครู หรือแนวทางการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการ ทำให้ผู้จัดการเรียนรู้ทราบว่า จะจัดการเรียนรู้เนื้อหาใด เพื่อจุดประสงค์ใด จัดการเรียนรู้อย่างไร ใช้สื่ออะไร และวัดผลประเมินผล โดยวิธีใด อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการสอนมีความหมายเช่นเดียวกัน กับแผนการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือ เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่อการเรียนรู้และ การวัดผลประเมินผลที่สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนด สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวการจัดการเรียนการสอนของครู ภายใต้ กรอบเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยกำหนดจุดประสงค์ วิธีการดำเนินการหรือ กิจกรรมให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และวิธีวัดผลประเมินผลที่สอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.4.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวนั้น จำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์และออกแบบหลายประการ จากการศึกษารวบรวมข้อมูล ทัศนะของนักวิชาการได้อธิบายความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558 : 347-348) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นครูมืออาชีพ มีการเตรียม ล่วงหน้าแผนการจัดการเรียนรู้จะสะท้อนให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และจิตวิทยา การเรียนรู้มาผสมผสานกันหรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนที่ตนเองสอนอยู่ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้สอนได้ศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับ หลักสูตรเทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และวิธีการวัดและประเมินผล 3) แผนการจัดการเรียนรู้ทำให้ครูผู้สอนและครูที่จะปฏิบัติการสอนแทน สามารถ ปฏิบัติการสอนแทนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
23 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัด และประเมินผลที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไป 5) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในวิชาชีพครู ซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทางวิชาการ เพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะหรือตำแหน่งได้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญ หลายประการ ดังนี้ 1) ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ เมื่อเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมจะสอน ด้วยความคล่องแคล่ว เป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด การสอนจะดำเนินไปสู่จุดหมาย ปลายทางอย่างสมบูรณ์ 2) ทำให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป เพราะผู้สอนอย่างมีแผน มีเป้าหมาย และมีทิศทางในการสอน มิใช่สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจตคติ เกิดทักษะเกิดประสบการณ์ใหม่ตามที่ผู้สอนวางแผนไว้ ทำให้เป็นการจัดการเรียนการสอน ที่มีคุณค่า 3) ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการวางแผนการจัดการ เรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรทั้งด้านจุดประสงค์ เนื้อหาสารที่จะสอน การจัดกิจกรรมการเรียน การสอน การใช้สื่อการสอน และการวัดผลและประเมินผล แล้วจัดทำออกมาเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้หลักสูตร 4) ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้สอนต้องวางแผน การจัดการเรียนรู้อย่างรอบคอบในทุกองค์ประกอบ รวมทั้งการจัดเวลา สถานที่ และสิ่งอำนวย ความสะดวกต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่รอบคอบ และปฏิบัติตามแผน การจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ ผลของการสอนย่อมสำเร็จได้ดีกว่าการไม่ได้วางแผนการจัดการเรียนรู้ 5) ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการสอน ต่อไป ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลและ ประเมินผลผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่เข้าสอนในกรณีจำเป็น เมื่อผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนเองได้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกัน 6) ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน ทั้งนี้เพราะผู้สอน สอนด้วยความพร้อม เป็นความพร้อมทั้งทางด้านจิตใจ คือ ความมั่นใจในการสอน และความพร้อม ทางด้านวัตถุ คือ การที่ผู้สอนได้เตรียมเอกสาร หรือสิ่งการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียง เมื่อผู้สอน มีความพร้อมในการสอนย่อมสอนด้วยความกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน ในบทเรียน อันจะส่งให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน
24 สงบ ลักษณะ (2533 ; อ้างอิงจากศศิธร เวียงวะลัย. 2556 : 51) ได้อธิบายไว้ว่า ผลดีของการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ มีดังนี้ 1) ทำให้เกิดการวางแผนวิธีการจัดการเรียนรู้ วิธีเรียนที่มีความหมายมากขึ้น เพราะเป็นการจัดทำอย่างมีหลักการที่ถูกต้อง 2) ช่วยให้ครูมีสื่อการจัดการเรียนรู้ที่ทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดความสะดวก ในการจัดการเรียนรู้ทำให้การจัดการเรียนรู้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ได้ทันเวลา 3) เป็นผลงานทางวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นตัวอย่างได้ 4) ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครูผู้จัดการเรียนรู้แทน ในกรณีที่ผู้จัดการเรียนรู้ ไม่สามารถจัดการเรียนรู้ได้เอง สรุปได้ว่า การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก คือ ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ ทำให้เป็นการสอน ที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไปทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทำให้การสอนบรรลุผล อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ และทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอน และต่อวิชาที่เรียน 2.4.3 ประเภทของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน สามารถสรุปได้เป็น 2 ประเภท (ชนาธิป พรกุล. 2552 : 85-86 ; นาตยา ปิลันธนานนท์. 2545 : 168) มีรายละเอียดดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ เป็นแผนที่ระบุเป้าหมายหลัก และระบุเฉพาะกิจกรรมหลัก ๆ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียนหรือแผนรายชั่วโมง เป็นแผนที่ระบุกิจกรรม หลักและกิจกรรมย่อยอย่างละเอียดชัดเจนเป็นรายชั่วโมงหรือรายครั้ง สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ ระดับบทเรียน มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และจะสอดคล้องสัมพันธ์กันด้วย เพราะแผนการจัดการ เรียนรู้ระดับบทเรียน จะให้รายละเอียดของเป้าหมายการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื้อหาสาระ สื่อการเรียนการสอน การวัดประเมินผล ในบทเรียนย่อย ๆ ที่ประกอบกัน เป็นหน่วยการเรียนรู้
25 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนด้วยรูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT นั้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่ามี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นเตรียม ประกอบด้วยครูเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำถึงบทบาทของนักเรียน การแบ่งกลุ่มผู้เรียน 4 – 6 คน แจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนในแต่ละบท แต่ละคาบและฝึกฝนทักษะ พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม 2) ขั้นการจัดการเรียนรู้ ครูจะทำการสอนในรูปแบบกิจกรรมการสอนที่ประกอบด้วย การนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม 3) ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าที่ในการทำกิจกรรมกลุ่ม ตามที่ได้รับมอบหมาย และจะช่วยเหลือกัน ฝึกปฏิบัติ ทำให้เกิดการเสริมแรงและการสนับสนุนกัน 4) ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ เป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนได้ปฏิบัติหน้าที่ ครบถ้วนหรือไม่ ผลการปฏิบัติเป็นอย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลุ่ม และรายบุคคลต่อจากนั้น เป็นการทดสอบ 5) ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ครูและนักเรียนช่วยกัน สรุปบทเรียน ถ้ามีสิ่งที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ ครูควรอธิบายเพิ่มเติม และช่วยกันประเมินผลการทำงานกลุ่ม หาจุดเด่นและสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข 2.5 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้วนำไปปรับปรุงเพื่อนำไปสอนจริง ให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ การวิจัยทางหลักสูตรและการสอน นักวิจัยจะใช้การจัดการเรียนรู้เป็นนวัตกรรมเป็นเครื่องมือ ในการวิจัย ซึ่งต้องหาคุณภาพของนวัตกรรมที่ใช้ นิยมหาค่าประสิทธิภาพ (ซึ่งไม่ใช่ค่าสถิติ) เป็นขั้นตอนทำการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้แล้ว สามารถหาประสิทธิภาพของสื่อ (E1/E2 ) ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ด้วยรายละเอียด ดังนี้(ชวลิต ชูกำแพง. 2553 : 131-132) 1) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าการจัดการเรียนรู้นั้น สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ภายในกิจกรรมที่กำหนดให้ โดยมีการเก็บ ข้อมูลของผลการเรียนรู้ซึ่งสามารสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู้เรียนได้ โดยทั่วไปมักจะคำนวณจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อยหรือคะแนนจากพฤติกรรมการ เรียนหรือคะแนนจากกิจกรรมการเข้ากลุ่ม (ไม่ใช่คะแนนจากการทำแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ) ซึ่งคำนวณได้จากสูตร
26 1 = ∑ 100 เมื่อ 1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วน แทน จำนวนผู้เรียน แทน คะแนนเต็มของทั้งหมด 2) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) ค่าที่บ่งบอกว่าการจัดการเรียนรู้นั้นส่งผลให้ผู้เรียน เกิดสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในการจัดการเรียนรู้มากน้อย เพียงใด ซึ่งคำนวณจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบสดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบ หลังเรียน) ของผู้เรียนทุกคน ซึ่งคำนวณได้จากสูตร 2 = ∑ 100 เมื่อ 2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ แทน ผลรวมของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แทน จำนวนผู้เรียน แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การหาค่าประสิทธิภาพจะต้องมีการกำหนดเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณา โดยเกณฑ์ดังกล่าว นิยมใช้หลักการเรียนแบบรอบรู้ คือ ตั้งเกณฑ์ไว้ที่ร้อยละ 80 และยอมรับความผิดพลาดได้ไม่เกินร้อย ละ 2.5 ดังนั้น ต้องมีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่า 80-2.5 = 77.5 ส่วนการกำหนดเกณฑ์ความผิดพลาด ที่ยอมรับได้ คือ ไม่ควรเกินร้อยละ 5 นอกจากนั้น ยังพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของสื่อ นวัตกรรม สติปัญญาของกลุ่มผู้เรียน และวุฒิภาวะของกลุ่มผู้เรียน เป็นต้น โดยทั่วไปนวัตกรรม การสอนที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ มักจะกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพต่ำกว่าการพัฒนาการเรียนรู้ ทั้งนี้ เนื่องจากการพัฒนาทักษะต้องใช้เวลามากกว่า ยกตัวอย่างเช่น นวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาความรู้
27 อาจกำหนดเท่ากับ 80/80 ส่วนนวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาทักษะต่าง ๆ อาจกำหนด E1/E2 ที่ 75/75 เป็นต้น สรุปในการวิจัยครั้งนี้ เกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ คือเกณฑ์80/80 80 ตัวแรก คือ (E1 ) ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคน ที่ได้จากคะแนนประเมินพฤติกรรม ผลงานระหว่างเรียน และแบบทดสอบย่อย ซึ่งต้องได้ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือเป็น ประสิทธิภาพของกระบวนการ 80 ตัวหลัง (E2 ) คือนักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือว่าเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.6.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียน ได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและ ประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจาก การเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบ ด้วยวิธีการต่าง ๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียน การสอนที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมา ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย
28 2.6.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กรอนลันด์ (Gronlund, N.E., 1993) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นกระบวนการเชิงระบบเพื่อวัดพฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกิจกรรม การเรียนรู้ โดยหน้าที่หลักสำหรับการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน รอสส์ และสแตนลีย์ (Ross, C.C and Stanley, J.C, 1967) กล่าวว่า แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถทางวิชาการ เช่น แบบทดสอบวิชาเลขคณิต เยาวดี วิบูลย์ศรี (2548) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ คือ แบบทดสอบ ที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ด้านเนื้อหาวิชาและทักษะต่าง ๆ ของแต่ละสาขาวิชาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาขาวิชาทั้งหลายที่ได้จัดสอนในระดับชั้นต่าง ๆ ของแต่ละโรงเรียน บุญชม ศรีสะอาดและคณะ (2551) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement test) หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้รับ การเรียนรู้มาแล้ว พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2552) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็นแบบทดสอบ ที่วัดความรู้ความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ ที่กำหนดไว้เพียงใด สมบัติ ท้ายเรือคำ (2553) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับความสามารถของผู้เรียนว่ามีความรู้ความสามารถและทักษะ ในเนื้อหาวิชาที่เรียนไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมนึก ภัททิยธนี (2553) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หมายถึง แบบทดสอบ ที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ที่ผ่านมาแล้วว่ามีอยู่เท่าใด 2.6.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมนึก ภัททิยธนี (2553) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ 6 ประเภท ดังนี้ 1) ข้อสอบแบบความเรียงหรืออัตนัย (Subjective or Essay) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คำถามแล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรีเขียนบรรยายตามความรู้และข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2) ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือกแต่ละตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น
29 3) ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือข้อสอบที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบเติมคำ หรือประโยคหรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 4) ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short answer test) ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบ แบบเติมคำแต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคคำถามที่สมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบ เขียนตอบคำตอบที่ต้องการ จะสั้นและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบ ความเรียงหรืออัตนัย 5) ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำหรือ ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำ หรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดให้ 6) ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) ลักษณะทั่วไปคำถามแบบ เลือกตอบโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตัวเลือก (Choice) ในตอนเลือกนี้ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถาม ที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวลวงอื่น ๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีน้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน การที่ครูผู้สอนจะเลือกออกข้อสอบประเภทใดนั้น ต้องพิจารณาข้อดีข้อจำกัดความเหมาะสมของแบบทดสอบกับเนื้อหาหรือจุดประสงค์ในการเรียนรู้ จากการศึกษาข้างต้นสรุปว่า ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ครู สร้างมีหลายแบบแต่ที่นิยมใช้มีอยู่ 6 ประเภท ได้แก่ ข้อสอบแบบความเรียงหรืออัตนัย ข้อสอบ แบบกาถูก-ผิด ข้อสอบแบบเติมคำ ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ ข้อสอบแบบจับคู่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ และสำหรับการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้ศึกษาเลือกใช้แบบทดสอบประเภทเลือกตอบ (Multiple choice test) ชนิด 4 ตัวเลือก 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เสรี ถุนนอก (2542: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเมือง การปกครองกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการสอน โดยการเรียนแบบร่วมมือกับเรียนรู้กับการสอนแบบปกติ พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยการเรียนแบบ ร่วมมือกันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05
30 ฐาปนีย์ วิชัยรัมย์ (2547: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการ แก้โจทย์ปัญหา เรื่องเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่องเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน มีประสิทธิภาพ 79.05/78.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.66 2) นักเรียนมีทักษะการแก้โจทย์ปัญหาหลังเรียนเพิ่มขึ้นก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งมีคำเฉลี่ยทักษะการแก้โจทย์ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 14.64 และ 31.33 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาอยู่ในระดับพึงพอใจมาก สุธามาศ ฤทธิ์ไธสง (2550: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ ร่วมกัน (LT) เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 79.01/80.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ มีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับ 0.5100 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็นร้อยละ 51.00 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิต ที่ระดับ .01 พิสมัย วีรยาพร (2550: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ 1 เรื่องสมการและการแปรผัน ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ที่เรียนแบบร่วมมือ (LT) กับที่เรียน แบบปกติผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนแบบร่วมมือ (LT) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ประยุกต์ 1 สูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ชนินทร พุมบัณฑิต (2563: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเทคนิค การสอนแบบรวมมือ (Learning Together: LT) สําหรับการเรียนการสอนวิชาการคิดสรางสรรค และนวัตกรรมทางธุรกิจ ในยุคไทยแลนด 4.0 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของกลุมประชากรที่ผูสอนใชเทคนิคการสอนแบบกลุมเรียนรูรวมกัน (Learning Together: LT) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แตกต่างกัน โดยมีคาเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกวาก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจในเทคนิคการสอนแบบกลุมเรียนรูรวมกัน (Learning Together: LT) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
31 นิลุบล ศิลปธนู และคณะ (2564: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการกลุ่มของกลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนมีทักษะกระบวนการกลุ่มหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อยู่ในระดับดี 3) นักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับ เทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อยู่ในระดับมาก นัฐพล พิมพ์ทอง และคณะ (2558: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค Learning Together วิชาสุขศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค Learning Together วิชาสุขศึกษา เรื่อง ชีวิตและครอบครัว โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน 10 คาบเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ มีพัฒนาการทางการเรียนรู้สูงขึ้น มีคะแนนคิดเป็นร้อยละ 70 - 88 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (t = 9.49, sig = 0.00 ) และมีความพึงพอใจในการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together วิชาสุขศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.43 ดวงพร ปราบคช (2560: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ใต้ โค้งปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชวินิตบางเขน โดยใช้รูปแบบการเรียน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ ใต้โค้งปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชวินิตบางเขนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together อยู่ในระดับมากที่สุด ภคมน วรรณธรรม (2559: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคแอลทีที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ ใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ผลการวิจัย พบว่า
32 1) ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับ การเรียนแบบร่วมมือเทคนิคแอลทีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคแอลทีหลังการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคแอลทีแตกต่างกันโดยสูงกว่าการจัดการเรียนรู้ตามคู่มือครู ของ สสวท. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วรเวทย์พิสิษ ยศศิริ และคณะ (2564: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนการสอน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Learning Together ผลวิจัยพบว่า ลักษณะรูปแบบการจัดการเรียนการสอน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ประกอบไปด้วยการพึ่งพาทรัพยากรหรือข้อมูล การพึ่งพาเชิงบทบาท ของสมาชิก การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม ความรับผิดชอบของสมาชิก แต่ละคน ทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม กระบวนการกลุ่ม และรางวัลกลุ่ม การมีส่วนร่วม ปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นกลุ่มของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT นั้น ผลการศึกษาการมีส่วนร่วม ปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นกลุ่ม ของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ในภาพรวม อยู่ในระดับ ปานกลาง และผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาต่อการพัฒนา ทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สมศักดิ์ เกรัมย์(2551: ก) ได้ทำวิจัย เรื่อง การศึกษาทักษะการทำงานร่วมกัน โดยใช้การเรียน แบบร่วมมือ เรื่อง ระบอบการปกครอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่เรียนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เรื่อง ระบอบการปกครอง มีทักษะ การทำงานร่วมกันอยู่ในระดับดีร้อยละ 83.33 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เรื่อง ระบอบ การปกครอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีเจตคติต่อการเรียนแบบร่วมมือ ในระดับมากขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 80
33 2.8 กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษาเกี่ยวกับหลักการของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) พบว่า ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนา ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ ผู้วิจัยจึงได้กำหนด กรอบแนวคิดในการวิจัย ดังภาพที่ 2.1 ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา สังคมศึกษา
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยนี้ผู้วิจัยมุ่งที่จะศึกษาผลการเรียนด้วยการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผ่านเกณฑ์ 70/70 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนและหลัง รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา โดยใช้เทคนิค LT (Learning Together) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งได้แบ่งวิธีการดำเนินการศึกษา ดังนี้ 1) ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 2) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3) การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 4) การเก็บรวบรวมข้อมูล 5) การวิเคราะห์ข้อมูล 6) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 16 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา จำนวน 6 แผน รวม 8 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 30 ข้อ ต้องใช้จริง 20 ข้อ
35 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 3.3.1.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และทำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) 3.3.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 และหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน 3.3.1.3 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ หน่วย การเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา 3.3.1.4 กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การประเมินผล โดยให้สอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ด้วยการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) 3.3.1.5 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 6 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง และทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน-หลัง 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 3.3.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนวิชาสังคมศึกษาและด้านแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ รวมถึงความครอบคลุมของคำถาม โดยพิจารณาจากค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ซึ่งได้ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 - 1.00 จำนวน 30 ข้อ โดยเลือกใช้ 20 ข้อ 3.3.1.7 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนำ และข้อเสนอแนะ ของผู้เชี่ยวชาญ 3.3.1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงและแก้ไขไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 เพื่อหาข้อบกพร่อง 3.3.1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์และนำไปใช้ กับกลุ่มเป้าหมาย
36 3.3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ที่ผู้วิจัย ได้สร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุมเนื้อหาและตัวชี้วัด ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 3.3.2.1 ศึกษาหลักสูตรและหนังสือเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง วิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3.2.2 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระ การเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา กำหนดกรอบเนื้อหา ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ โดยวิเคราะห์เนื้อหาให้ครอบคลุมแผนการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละแผน 3.3.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและ กฎหมายอาญามีลักษณะแบบปรนัย 4 ตัวเลือก โดยสร้างข้อสอบมากกว่าจำนวนข้อสอบที่ต้องการ เป็นจำนวน 30 ข้อ มีสัดส่วนจำนวนข้อแต่ละตัวชี้วัด ให้สอดคล้องตรงกับตัวชี้วัดตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการวัด 3.3.2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นไปเสนอครูพี่เลี้ยงเพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างข้อสอบ เนื้อหา และพฤติกรรมที่จะวัด ขอคำแนะนำและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข 3.3.2.5 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ รวมถึง ความครอบคลุมของคำถาม โดยพิจารณาจากค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ซึ่งได้ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 จำนวน 24 ข้อ โดยเลือกใช้ 20 ข้อ 3.3.2.6 จัดพิมพ์แบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้ว ไปทดสอบใช้กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง และเคยเรียน เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญามาแล้ว เพื่อหาคุณภาพของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์นำแบบทดสอบมาตรวจให้คะแนน แล้วนำผลการวัดมาเรียงค่าคะแนนจากสูงไปหาต่ำ เพื่อวิเคราะห์ทางสถิติรายข้อ ดังนี้ 1) หาค่าความยากง่าย (p) โดยพิจารณาความยากง่ายตามเกณฑ์ คือ อยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และครอบคลุมเนื้อหา 2) หาค่าอำนาจจำแนก (r) โดยพิจารณาจากเกณฑ์ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป
37 3) หาค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบวัด โดยใช้สูตรการหาค่า สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบวัด คำนวณจากสูตร KR–20 คูเดอร์–ริชาร์ดสัน 3.3.2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ 2) ดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 6 แผน รวมเวลาเรียน 6 ชั่วโมง 3) ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ 4) นำคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีทางสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผลการวิจัย 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ดังนี้ 1) หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 2) หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT (Learning Together) เรื่อง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.6.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพของเครื่องมือ 3.6.1.1 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2539 : 248-249) โดยใช้สูตร ดังนี้ = ∑ เมื่อ แทน ค่าดัชนีความสอดคล้อง แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
38 3.6.1.2 ค่าความยากง่าย (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 86) โดยใช้สูตร ดังนี้ = + + เมื่อ แทน ค่าความยากง่าย แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนสูง แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนต่ำ แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนสูง แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนต่ำ 3.6.1.3 ค่าอำนาจจำแนก (สมนึก ภัททิยธนี, 2541 : 221) โดยใช้สูตร ดังนี้ = − เมื่อ แทน ค่าอำนาจจำแนก แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนสูง แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนต่ำ แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนสูง แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนต่ำ 3.6.1.4 ค่าความเชื่อมั่น (สมนึก ภัททิยธนี, 2541 : 223) โดยใช้สูตร ดังนี้ −20 = ( − 1 ) (1 − ∑ 2 ) คำนวณค่าความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ ( 2 ) 2 = ∑ 2 − (∑ ) 2 2
39 3.6.2 สถิติพื้นฐาน 3.6.2.1 ค่าเฉลี่ย (Ferguson, 1981 : 49) โดยใช้สูตร ดังนี้ ̅= ∑ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนข้อมูล 3.6.2.2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) (Ferguson, 1981 : 49) โดยใช้สูตร ดังนี้ .. = √ ∑ 2 − (∑ ) 2 ( − 1) เมื่อ .. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง Σ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 3.6.2.3 ค่าร้อยละ (บุญชม ศรีสะอาด, 2554 : 122) โดยใช้สูตร ดังนี้ = × 100 เมื่อ แทน ค่าร้อยละ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนคะแนนทั้งหมด
40 3.6.3 การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ตามเกณฑ์ 70/70 สูตร 1) ประสิทธิภาพของกระบวนการ = ∑ เมื่อ แทน ค่าดัชนีความสอดคล้อง ∑ แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ .ใช้สูตร 1/2 หาได้จาก 1 = ∑ × 100 เมื่อ 1 แทน ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนทั้งหมดทำกิจกรรม ระหว่างเรียนในแต่ละแผนรวมกัน ∑ แทน คะแนนรวมของนักเรียนทุกคนจากการทำกิจกรรม ระหว่างเรียน แทน จำนวนนักเรียน แทน คะแนนเต็มระหว่างเรียน
41 2 = ∑ × 100 เมื่อ 2 แทน ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ∑ แทน คะแนนรวมของนักเรียนทุกคนจากการทำแบบทดสอบ วัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน แทน จำนวนนักเรียน แทน คะแนนเต็มแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.6.4 การทดสอบค่าที (t-test for dependent samples) การทดสอบความแตกต่างระหว่าง ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกันหรือค่าเฉลี่ย 2 ค่าที่ได้จากข้อมูล 2 ชุด ซึ่งสัมพันธ์กัน ใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, น. 112) = ∑ √ ∑ 2−(∑ ) 2 −1 = − 1 เมื่อ แทน ค่าสถิติจากการแจกแจงแบบที (t-Distribution) แทน ผลต่างของคะแนนแต่ละคู่ แทน กลุ่มที่ศึกษาหรือจำนวนคู่ ∑ แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนน ∑ 2 แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนนแต่ละคู่ยกกำลังสอง