The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือเตรียมสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ระดับประถมศึกษา ประกอบด้วย แนวข้อสอบพร้อมพร้อมเฉลย โดยรายวิชาแบ่งเนื้อหาตามสาระการเรียนรู้ 5 สาระ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Keskaew_Srikaew, 2022-07-07 06:05:08

คู่มือเตรียมสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา-ม.ต้น

คู่มือเตรียมสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ระดับประถมศึกษา ประกอบด้วย แนวข้อสอบพร้อมพร้อมเฉลย โดยรายวิชาแบ่งเนื้อหาตามสาระการเรียนรู้ 5 สาระ

สำนักงำน กศน.จงั หวัดนครรำชสมี ำ 1

คำนำ

การวัดผลประเมินผลเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการจัดการเรียนการสอน ทาให้ทราบถึง
พัฒนาการด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน และความสามารถ และกระบวนการในการถ่ายทอดความรู้ของผู้สอน และ
เป็นองค์ประกอบสาคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทาให้ได้ข้อมูลสารสนเทศที่จาเป็นในการพิจารณาว่า
ผู้เรียนเกิดคุณภาพการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนางานวัดผล และการ
จัดระบบงานวัดผลประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา จึงมีความสาคัญอย่างย่ิงต่อการพัฒนากระบวนการเรียน
การสอน ดังน้ันการวัดประเมินผลการศึกษา เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายของ
หลักสูตรจึงจาเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการ
ศึกษาของผู้เรียน

สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดน ครราชสีมา
ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และกากับงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
จึงได้จัดทาคู่มือเตรียมสอบเพื่อยกระดับคุณภาพผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบ
ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ข้ึน เพื่อให้ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ใช้เป็น
เครื่องมือยกระดับคุณภาพผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พทุ ธศักราช 2551 ใหก้ บั ผูเ้ รยี น กศน.

สานักงาน กศน.จังหวัดนครราชสีมา
มถิ นุ ายน 2565

สำนักงำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 2

สำรบญั หน้ำ

คำนำ 1
สำระกำรเรียนรู้ : ทกั ษะกำรเรียนรู้ 2
 ทักษะการเรียนรู้ 9
 เฉลย 14
สำระกำรเรยี นรู้ : ควำมรู้พืน้ ฐำน 15
 ภาษาไทย 20
 เฉลย 22
 ภาษาอังกฤษ 27
 เฉลย 29
 คณติ ศาสตร์ 34
 เฉลย 38
 วิทยาศาสตร์ 42
 เฉลย 47
สำระกำรเรียนรู้ : กำรประกอบอำชีพ 48
 ช่องทางการพฒั นาอาชีพ 51
 เฉลย 52
 ทกั ษะการพัฒนาอาชีพ 57
 เฉลย 60
 พฒั นาอาชีพใหม้ ีความเข้มแข็ง 63
 เฉลย 65
สำระกำรเรยี นรู้ : ทักษะกำรดำเนินชวี ติ 66
 เศรษฐกิจพอเพียง 69
 เฉลย 71
 สขุ ศกึ ษา พลศึกษา 74
 เฉลย 76
 ศิลปศกึ ษา 79
 เฉลย

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสีมำ 3

สำรบญั (ตอ่ ) หน้ำ
81
สำระกำรเรยี นรู้ : กำรพฒั นำสงั คม 82
 สังคมศึกษา 85
 เฉลย 86
 ศาสนาและหน้าท่พี ลเมือง 89
 เฉลย 91
การพัฒนาตนเอง ชมุ ชน สงั คม 94
 เฉลย
เนอื้ หำและจำนวนข้อของกำรทดสอบทำงกำสรศึกษำระดับชำติ (N-NET) : Test bluprint 96
คณะผู้จัดทำ

สำนกั งำน กศน.จงั หวัดนครรำชสมี ำ 4

สำนักงำน กศน.จงั หวัดนครรำชสมี ำ 1

สำระกำรเรียนรู้ : ทักษะกำรเรียนรู้
วชิ ำทกั ษะกำรเรียนรู้ ทร21001

1. กำรเรยี นรดู้ ้วยตนเองมคี วำมสำคัญอยำ่ งไร
ก. เปน็ การเรียนทด่ี ีท่ีสดุ ของการเรียนทงั้ หมด
ข. เปน็ การเรียนรู้ที่จาเป็นตอ้ งเรียนในสถานศกึ ษาเท่านน้ั
ค. เปน็ การเรยี นรู้ทีท่ าให้ผู้เรยี นเปน็ ผูท้ ่ีมีความสามารถโดยไมต่ อ้ งพึ่งพาใคร
ง. เป็นการเรยี นรู้ทสี่ ามารถตอบเสนองความต้องการของแตล่ ะบคุ คลสู่การเรยี นรตู้ ลอดชีวติ

2. ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชนข์ องกำรแสวงหำควำมรู้ดว้ ยตนเอง
ก. ฝกึ ให้มีนิสยั รกั การอ่าน
ข. ฝึกใหเ้ ปน็ คนช่างสงั เกต
ค. ฝกึ ให้รจู้ กั การลอกเลียนแบบ
ง. ฝกึ ให้รจู้ กั การคน้ คว้า

3. บุคคลใดเป็นผเู้ รียนรู้ด้วยตนเอง
ก. เลก็ สอนนอ้ งให้ทาการบ้าน
ข. ไก่ ใหค้ รูอธบิ ายการบ้านใหฟ้ งั
ค. นิด ฝึกทาขา้ วผัดกะเพรากินเอง
ง. หนอ่ ย จดั ดอกไมส้ ดตามครูบอก

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 2

4. ในปัจจุบนั กำรเรยี นรู้ดว้ ยตนเองจำกแหลง่ กำรเรยี นร้ใู ดทส่ี ะดวกและรวดเร็วทสี่ ุด
ก. หอสมุดแห่งชาติ
ข. ภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน
ค. ห้องสมุดประชาชน
ง. คอมพิวเตอร์ อนิ เทอร์เน็ต

5. ข้อใด ไม่ใช่ เครือ่ งมอื ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล
ก. แบบสารวจ
ข. แบบสมั ภาษณ์
ค. แบบสอบถาม
ง. แบบรายงานตา่ ง ๆ

6. ข้อใด ไมช่ ่วย ใหก้ ำรเรยี นร้ดู ้วยตนเองประสบควำมสำเร็จ
ก. ความมวี ินัย
ข. ความพยายาม
ค. ความรับผิดชอบ
ง. ความประหยัดมธั ยสั ถ์

7. พน้ื ทีภ่ ำคเหนอื เหมำะสำหรับกำรประกอบอำชพี ใดมำกทสี่ ุด
ก. เล้ยี งสัตว์
ข. ปลกู ต้นยางพารา
ค. ปลูกพชื เมืองหนาว
ง. ทาไร่มันสาปะหลงั

8. แปง้ รำ่ เปน็ คนพูดเกง่ อัธยำศัยดี ยมิ แยม้ แจ่มใส อำชพี ใดไม่เหมำะกบั แป้งรำ่
ก. ประชาสมั พันธ์
ข. พนกั งานต้อนรบั
ค. นักจดั รายการวิทยุ
ง. นักออกแบบสวน

สำนักงำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 3

9. กำรเรียนรู้ดว้ ยตนเองใชเ้ ทคนิคขอ้ ใดมำกทีส่ ุด
ก. การฟงั
ข. การพูด
ค. การอ่าน
ง. การเขียน

10. ปจั จัยในขอ้ ใดทท่ี ำใหก้ ำรเรียนร้ดู ้วยตนเองประสบควำมสำเร็จ
ก. มีความคดิ ริเร่มิ และเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
ข. มีความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม
ค. มีความรบั ผดิ ชอบตอ่ เพ่ือน
ง. มองส่ิงแวดลอ้ มในแง่ดี

11. เมธนิ ี มีทกั ษะกำรพูดที่ดี บุคลิกดี มไี หวพริบ แก้ปญั หำเฉพำะหนำ้ ไดด้ ี ควรเลอื กประกอบอำชพี ใด
เหมำะสมทส่ี ดุ
ก. พิธกี ร
ข. ผ้พู ิพากษา
ค. ตารวจ ทหาร
ง. บรรณารักษห์ อ้ งสมุด

12. นุชอำศัยอยใู่ กลท้ ะเลตอ้ งกำรทำของที่ระลกึ จำกวัสดทุ ม่ี ีในทอ้ งถิน่ จำหน่ำยให้แกน่ กั ทอ่ งเทย่ี ว
ควรเลอื กทำในข้อใด
ก. พวงกุญแจ – จากเปลือกหอย
ข. สบสู่ มุนไพร – จากมะขามเปียก
ค. พวงกญุ แจเซรามกิ – จากดินเหนยี ว
ง. ดอกกหุ ลาบเกลด็ ปลา – จากเกล็ดปลาตะเพียน

13. สถำนที่จัดหำรวบรวมทรัพยำกรสำรสนเทศเพ่ือกำรอ่ำนกำรศึกษำค้นคว้ำทุกชนิดที่ตั้งอยู่
ในทกุ อำเภอคอื ข้อใด
ก. หอสมดุ แห่งชาติ
ข. หอ้ งสมดุ ประชาชน
ค. หอ้ งโสตทศั นศกึ ษา
ง. ห้องสมดุ เฉลิมพระเกยี รติ

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสีมำ 4

14. ข้อใดไม่ใชล่ ักษณะเดน่ ของห้องสมดุ ประชำชน “เฉลิมรำชกุมำรี”
ก. รวมสอ่ื ความรทู้ ่ีเป็นทรัพย์สนิ ทางปัญญาของชาติ
ข. สนองแนวพระราชดาริในการสง่ เสรมิ การศึกษาสาหรับประชาชน
ค. ไดร้ ับพระราชทานอนุญาตให้จัดต้ังห้องสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี”
ง. ได้รบั พระราชทานหนังสอื จากสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี

15. ข้อใดเป็นแหลง่ รวบรวมขอ้ มลู สำรสนเทศเก่ียวกบั ประวัตศิ ำสตร์มำกทสี่ ดุ
ก. อุทยานแหง่ ชาติ
ข. หอสมุดแหง่ ชาติ
ค. พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ
ง. องค์การพิพธิ ภัณฑว์ ิทยาศาสตร์แหง่ ชาติ

16. ถ้ำต้องกำรอ่ำนหนังสอื เรือ่ งพระอภัยมณตี อ้ งค้นหำหมวดใดในหอ้ งสมดุ ประชำชน
ก. 500
ข. 600
ค. 700
ง. 800

17. แหลง่ เรยี นรทู้ ถี่ ่ำยทอดองค์ควำมรู้ด้ำนกำรสบื สำนวฒั นธรรมโดยภมู ิปญั ญำคอื แหลง่ เรยี นรู้ประเภทใด
ก. ประเภทบคุ คล
ข. ประเภทเทคนคิ
ค. ประเภทกิจกรรม
ง. ประเภทศิลปะ

18. ขอ้ ใดคือ URL เว็ปไซต์ สำนักงำน กศน.
ก. www.nfe.co.th
ข. www.nfe.go.th
ค. www.onie.co.th
ง. www.onie.go.th

สำนักงำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 5

19. E–Commerce หมำยถงึ ขอ้ ใด
ก. การสง่ การด์ อวยพร
ข. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ค. การซือ้ ขายสินคา้ ผ่านอินเทอร์เน็ต
ง. การรบั ส่งขอ้ ความผ่านอินเทอร์เนต็

20. [email protected] ส่วนใดคอื โดเมนเนม (Domain Name)
ก. @
ข. Rakdee
ค. Chaiyo
ง. chaiyo.com

21. ขอ้ ใดอธิบำยควำมหมำยของสำรสนเทศไดถ้ กู ต้อง
ก. ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสารวจ
ข. ขอ้ มูลทีม่ ีการเกบ็ บันทึก
ค. ข้อมลู ท่ีประมวลผลไว้พร้อมนามาใช้งาน
ง. ขอ้ มลู ทีไ่ ดร้ บั การปรับปรุงให้เหมาะสมตามวตั ถปุ ระสงค์ของผูส้ ารวจ

22. ขอ้ ใด ไม่ได้ ใหบ้ รกิ ำรดำ้ นข้อมูลสำรสนเทศทำงกำรศกึ ษำ
ก. ศูนย์ กศน.ตาบล
ข. หอสมุดแหง่ ชาติ
ค. ห้องสมุดเฉลิมราชกมุ ารี
ง. พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ

23. ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนกำรจดั กำรควำมรู้
ก. การประมวลผลและกล่นั กรองความรู้
ข. การจัดการความรูใ้ ห้เปน็ ระบบ
ค. การสร้างและแสวงหาความรู้
ง. การบง่ ช้ีความรู้

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 6

24. กำรแลกเปลย่ี นเรียนรโู้ ดยใชว้ ิธเี สมอื น ควรจัดทำสำรสนเทศในรูแปบใด
ก. บนั ทึกเรื่องเล่า
ข. บันทกึ วซิ ดี ีเรื่องสนั้
ค. บนั ทกึ ผ่านเว็บบลอ็ ก
ง. บนั ทึกการถอดบทเรียน

25. ถำวร ไดร้ ับรำงวัลพอ่ ตวั อยำ่ ง วธิ ีกำรเลย้ี งลูกของถำวรเปน็ ควำมรู้ประเภทใด
ก. ความร้เู ฉพาะ
ข. ความรู้ทว่ั ไป
ค. ความรเู้ ดน่ ชดั
ง. ความรู้ซอ่ นเรน้

26. ประธำนกลมุ่ ปลำนลิ ทรำบจำกสมำชกิ ว่ำ ปลำนิลท่ีเล้ียงไว้มปี ญั หำเปน็ โรคจำนวนมำกสมำชิกกลุ่ม
ควรทำอย่ำงไร เพอื่ หำสำเหตุและวธิ ีแก้ปัญหำดังกลำ่ ว
ก. จัดทาดัชนีผู้รู้
ข. จัดศึกษาดูงาน
ค. จัดเวทีเล่าเรือ่ ง
ง. จัดประชุมปฏบิ ตั กิ าร

27. ขน้ั ตอนแรกในกระบวนกำรแกป้ ัญหำของคนคิดเปน็ คอื ข้อใด
ก. ตดั สินใจ
ข. สารวจปญั หา
ค. วิเคราะหป์ ญั หา
ง. หาสาเหตขุ องปญั หา

28. ขอ้ ใดคือข้อมลู สำคัญ 1 ใน 3 ด้ำน ทตี่ ้องนำมำพจิ ำรณำในกระบวนกำรคดิ เปน็ 7
ก. ขอ้ มลู ทางเศรษฐกิจ
ข. ขอ้ มูลเกีย่ วกับตนเอง
ค. ขอ้ มลู ทางวัฒนธรรม
ง. ขอ้ มลู เกยี่ วกบครอบครัว

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ

29. ขอ้ ใดเปน็ กำรรวบรวมขอ้ มลู จำกบุคคลโดยใช้กำรพดู คุย
ก. การสังเกต
ข. การทดสอบ
ค. การสัมภาษณ์
ง. การตอบแบบสอบถาม

30. กำรรวบรวม สรำ้ ง จดั ระเบยี บแลกเปลีย่ นและประยุกต์ควำมรู้ในองค์กร เป็นควำมหมำยของข้อใด
ก. ขอ้ มูล
ข. ภูมปิ ัญญา
ค. สารสนเทศ
ง. การจัดการความรู้

สำนักงำน กศน.จงั หวัดนครรำชสมี ำ 8

เฉลยสำระกำรเรยี นรู้ : ทักษะกำรเรยี นรู้
วชิ ำทักษะกำรเรียนรู้ ทร21001

1. ตอบ ง. เปน็ กำรเรียนรทู้ สี่ ำมำรถตอบเสนองควำมต้องกำรของแต่ละบคุ คลสูก่ ำรเรยี นรตู้ ลอดชีวิต
อธิบำย การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ท่ีสามารถตอบเสนองความต้องการของแต่ละบุคคล
สู่การเรยี นร้ตู ลอดชวี ิต

2. ตอบ ค. ฝึกให้รูจ้ กั กำรลอกเลียนแบบ
อธิบำย ประโยชนข์ องการแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง 1. ฝึกให้มีนสิ ัยรักการอา่ น 2. ฝกึ ใหเ้ ป็นคนช่างสงั เกต

3. ฝกึ ให้รจู้ ักการค้นควา้

3. ตอบ ค. นิด ฝกึ ทำขำ้ วผัดกระเพรำกินเอง
อธิบำย เพราะเปน็ การทาท่ีเรียนรดู้ ้วยตนเอง ลงมือปฏิบตั เิ อง ไม่มคี นแนะนา

4. ตอบ ง. คอมพวิ เตอร์ อินเตอร์เนต็
อธิบำย เพราะเนื่องจากในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูง เข้าถึงได้ง่าย ราคาถูกและสามารถเข้าถึงได้ทุกท่ี
ทุกเวลา

5. ตอบ ง. แบบรำยงำนต่ำง ๆ
อธบิ ำย เคร่ืองมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 1. แบบสอบถาม 2. การสมั ภาษณ์ 3. แบบทดสอบ
4. การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นร่วม

6. ตอบ ง. ควำมประหยดั มัธยัสถ์
อธิบำย ลกั ษณะทีท่ าใหก้ ารเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองประสบความสาเรจ็
1. ความมีวนิ ัย 2. ความพยายาม 3. ความรับผดิ ชอบ 4. ความใฝร่ ู้

7. ตอบ ค. ปลูกพชื เมอื งหนำว
อธิบำย ภูมิประเทศ ทางภาคเหนือเป็นพ้ืนที่มีมีอากาศหนาวเย็น มีภูเขาล้อมรอบ พืชที่นิยมปลูก เช่น
สตรอเบอร่ี พลบั บว๊ ย กวี ี สาล่ี เปน็ ต้น

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 9

8. ตอบ ง. นักออกแบบสวน
อธิบำย เพราะว่าทักษะของนักออกแบบสวนควรจะมี คือ เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความเช่ือมัน่
ในตนเอง เป็นผทู้ ่มี ที ักษะในการออกแบบ เปน็ ผู้ทรี่ ูจ้ กั สงั เกตและทาความเข้าใจกับสิ่งแวดลอ้ มรอบ ๆ ตัว

9. ตอบ ค. กำรอ่ำน
อธบิ ำย เพราะการอา่ นเปน็ สง่ิ ท่ีสามารถทาได้ง่ายและมสี อ่ื หลายประเภทท่ีเข้าถงึ ไดง้ า่ ย

10. ตอบ ก. มคี วำมคดิ รเิ ร่ิมและเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
อธบิ ำย ปจั จยั ทท่ี าใหก้ ารเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองประสบความสาเรจ็ มี 8 ประการ ดังนี้
1. การเปิดโอกาสตอ่ การเรยี นรู้
2. มีอตั มโนทศั น์ในดา้ นของการเปน็ ผู้เรียนท่ีมีประสิทธิภาพ
3. การมีความคดิ รเิ ริ่มและเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง
4. การมีความรับผดิ ชอบต่อการเรยี นร้ขู องตน
5. รักการเรียนรู้
6. ความคิดสรา้ งสรรค์
7. การมองอนาคตในแง่ดี
8. ความสามารถในการใช้ทกั ษะทางการศกึ ษาหาความรู้และทักษะการแก้ปัญหา

11. ตอบ ก. พิธกี ร
อธิบำย เนื่องจากว่าอาชีพพิธีกร เป็นอาชีพท่ีต้องอาศัยทักษะการพูดที่ดี บุคลิกดี มีไหวพริบ แก้ปัญหา
เฉพาะหนา้ ได้ดี

12. ตอบ ก. พวงกุญแจ – จำกเปลือกหอย
อธิบำย เน่ืองจากว่านุชอาศัยอยู่ใกล้ทะเล จึงทาให้สามารถจัดหาเปลือกหอยซ่ึงเป็นอุปกรณ์หลักในการทา
ได้ไมย่ าก

13. ตอบ ข. ห้องสมดุ ประชำชน
อธิบำย ห้องสมุดประชาชน คือ ห้องสมุดที่ให้บริการ แก่ผู้ที่อาศัย อยู่ในชุมชนใด ชุมชนหนึ่ง หรือเขตใด
เขตหนง่ึ และไดร้ บั ความสนับสนุน ทางการเงินบางสว่ น หรอื ทัง้ หมด จากรัฐบาลเพอื่ เป็นแหลง่ สนับสนุนการ
เผยแพร่ความรู้การศึกษาและวัฒนธรรม โดยจัดให้ประชาชนสามารถใช้หนังสือ และวัสดุอ่ืนๆโดยไม่เสีย
ค่าบรกิ ารใด ๆ

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 10

14. ตอบ ก. รวมสอ่ื ควำมรู้ท่เี ปน็ ทรพั ยส์ นิ ทำงปญั ญำของชำติ
อธบิ ำย ลกั ษณะเดน่ ของห้องสมดุ ประชาชน "เฉลมิ ราชกมุ าร"ี
1. สนองแนวพระราชดาริในการสง่ เสริมการศกึ ษาสาหรบั ประชาชน
2. ได้รบั พระราชทานอนุญาตใหจ้ ัดต้ังหอ้ งสมุดประชาชน “เฉลมิ ราชกุมารี”
3. ไดร้ บั พระราชทานหนังสือจากสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี

15. ตอบ ข. หอสมดุ แห่งชำติ
อธิบำย หอสมุดแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและรักษาไว้ซึ่งมรดกทางความรู้ ความคิด
และวัฒนธรรมของชาติเท่าทค่ี นในชาตไิ ด้ทาให้มีข้ึน ในหลายๆประเทศมีกฎหมายบังคับไว้ว่า ผู้พิมพห์ นังสือ
และส่ิงพิมพ์ต่างๆจะต้องส่งส่ิงตีพิมพ์ไปเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติเสมอ และนอกจากน้ีหอสมุดแห่งชาติ
ยังรวบรวมหนังสือและสื่อความคิดเห็นอื่นๆเท่าท่ีมีอยู่ในโลกให้มากที่สุด รวมท้ังเอกสารส่ิงพิมพ์ของชาติ
ทผี่ ลติ ในประเทศหรอื ทเี่ กี่ยวข้องกบั ชาติแตผ่ ลติ ภายนอกประเทศดว้ ย

16. ตอบ ง. 800
อธิบำย หมวด 500 คือ วิทยาศาสตร์ หมวด 600 คือ วิทยาศาสตร์ประยุกต์หรือเทคโนโลยีหมวด 700
คอื ศิลปกรรและการบนั เทงิ หมวด 800 คอื วรรณคดี

17. ตอบ ง. ประเภทศลิ ปะ
อธิบำย แหล่งเรียนรู้ประเภทศิลปะ วัฒนธรรมและจารีตประเพณี หมายถึง แหล่งการเรียนรู้ทางสังคม
ท่ีแสดงถึงความเป็นอยู่ ความเชื่อ วิถีชีวิตที่สืบต่อกันมาต้ังแต่ อดีต เช่นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน
ดนตรีพื้นเมือง การแสดงพ้ืนบ้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน กิจกรรมชุมชน พิธีทางศาสนา
ประเพณคี วามเชือ่ พิธกี รรมตา่ งๆ ศิลปกรรมแกะสลัก เคร่อื งปั้นดนิ เผา ภาพวาด ภาพเขยี น

18. ตอบ ข. www.nfe.go.th
อธิบำย เวบ็ ไซตข์ องสานักงาน กศน.

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 11

19. ตอบ ค. กำรซอื้ ขำยสินคำ้ ผำ่ นอินเทอร์เนต็
อธิบำย E–commerce ย่อมาจากคาว่า Electronic Commerce แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การพาณิชย์
อิเล็กทรอนิกส์ คือการทาธุรกิจโดยซ้ือขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมใช้งานมากที่สุด
ในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ และคลิปวิดีโอในการทาธุรกิจได้การทา
ธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและทาให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดาเนินการ
ได้เป็นอยา่ งดี

20. ตอบ ข. Rakdee
อธิบำย โดเมนเนม ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง ชื่อเว็บไซต์ ช่ือบล็อก ซึ่งเป็นช่ือท่ีตั้งข้ึนเพ่ือให้จดจา
และนาไปใช้งานได้ง่ายท้ังในการเข้าชมผานบราวเซอร์ของผู้ใช้ท่ัวไป ยังรวมไปถึงผู้ดูแลระบบโดเมนเนม
ซิสเทม ที่สามารถแก้ไขไอพีแอดเดรสของช่ือโดเมนเนมนั้นๆ ได้ทันทีโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่จาเป็นต้องรับรู้
หรือจดจาไอพีแอดเดรสที่มีการเปลี่ยนแปลง เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีทาหน้าท่ีเผยแพร่เว็บไซต์
จะมโี ดนเมนเนมเฉพาะไม่ซา้ กับใคร

21. ตอบ ค. ขอ้ มูลท่ปี ระมวลผลไว้พรอ้ มนำมำใช้งำน
อธิบำย สารสนเทศ คือ การนาข้อมูลมาผ่านระบบการประมวลผลคานวณ วิเคราะห์และแปลความหมาย
เป็นข้อความท่สี ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ

22. ตอบ ง. พิพธิ ภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ
อธิบำย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นสถานท่ีรวบรวมส่ิงของเครื่องใช้ต่างๆ นานาที่เก็บรวบรวมไวเ้ พื่อการ
ชื่นชมและศกึ ษาหาความรู้ เชน่ โบราณวตั ถุ ศิลปวัตถุ

23. ตอบ ง. กำรบง่ ชี้ควำมรู้
อธิบำย กระบวนการจัดการความรู้ซ่ึงประกอบไปด้วย 7 ข้ันตอนดังนี้ 1) การบ่งชี้ความรู้ 2)การสร้างและ
แสวงหาความรู้ 3) การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ 4) การประมวลผลและกล่ันกรองความรู้ 5) การเข้าถึง
ความรู้ 6) การแบ่งปัน แลกเปลีย่ นความรู้ 7) การเรียนรู้

24. ตอบ ค. บันทึกผำ่ นเวบ็ บล็อก
อธิบำย เวทเี สมอื นเป็นการรวมตัวกนั เชื่อมเป็นเครือข่ายเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต
การแลกเปล่ยี นเรียนรจู้ ะใชว้ ธิ กี ารบันทกึ ผ่านเว็บบลอ็ ก

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสีมำ 12

25. ตอบ ง. ควำมร้ซู อ่ นเรน้
อธิบำย ความรู้ซ่อนเร้น เป็นความรู้ที่แฝงอยูในตัวคน พัฒนาเป็นภูมิปัญญาฝังอยู่ในความคิด ความเช่ือ
ค่านิยมท่ีคนได้มาจากประสบการณ์สั่งสมมานาน ต้องเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกันเช่น การสังเกตการ
แลกเปลย่ี นเรยี นรูร้ ะหวา่ งการทางาน

26. ตอบ ค. จดั เวทีเลำ่ เรื่อง
อธบิ ำย เปน็ การรวมกลุม่ กันของคนปฏิบตั ิงานทีม่ ีลกั ษณะคลา้ ยกัน แลกเปลยี่ นเรียนรู้โดยการเล่าเร่อื งสู่กัน
ฟงั สามารถนาความรทู้ ไ่ี ดม้ าประยกุ ตใ์ ช้เพ่อื พัฒนางานของตนเองได้

27. ตอบ ข. สำรวจปัญหำ
อธิบาย ขั้นตอนกระบวนการแก้ปัญหาของคนคิดเป็น คือ 1) สารวจปัญหา 2) หาสาเหตุของปัญหา
3) วิเคราะหป์ ญั หา 4) ตดั สนิ ใจ

28. ตอบ ข. ขอ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง
อธิบำย กระบวนการคิดเป็นประกอบไปด้วยข้อมูลสาคัญดังน้ี ข้อมูลเก่ียวกับตนเองข้อมูลเก่ียวกับวิชาการ
และขอ้ มลู เกีย่ วกบั สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม

29. ตอบ ค. กำรสัมภำษณ์
อธิบาย การสัมภาษณ์ เป็นการรวบรวมข้อมูลในลักษณะเผชิญกันระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์
โดยผู้สัมภาษณเ์ ป็นผู้ซกั ถามและผ้ใู หส้ มั ภาษณ์เป็นผ้ใู ห้ข้อมูลหรือตอบคาถามของผสู้ มั ภาษณ์

30. ตอบ ง. กำรจัดกำรควำมรู้
อธิบาย การจัดการความรู้ (Knowledge Management, KM) คือ การรวบรวม สร้าง จดระเบียบ
แลกเปลี่ยนและประยุกต์ใชค้ วามรู้ในองค์กร โดยพัฒนา ระบบจาก ข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพ่ือให้เกิดความรู้
และปญั ญา รวมทงั้ เพ่อื ประโยชน์ในการนาไปใชแ้ ละเกดิ การเรียนรูภ้ ายในองคก์ ร

สำนกั งำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 13

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสีมำ 14

สำระกำรเรยี นรู้ : สำระควำมร้พู น้ื ฐำน
รำยวชิ ำภำษำไทย รหัสรำยวิชำ พท21001

1. กำรฟังทม่ี ีประสิทธิภำพ คือกำรฟงั ในขอ้ ใด
ก. จดบันทึกได้ทัน
ข. ปราศจากอคติ
ค. มีสมาธใิ นการฟงั
ง. จับสาระสาคัญได้

2. ขอ้ ใดคือลักษณะของกำรฟังท่ดี ี
ก. แสดงสหี น้าเมอื่ สงสยั และรอถามเมือ่ ผพู้ ดู พูดจบ
ข. ดวงตาจับจ้องอย่ทู ี่ผูพ้ ดู แสดงความเอาใจใสใ่ นคาพูดอย่างจรงิ จงั
ค. กวาดสายตาไปมาพร้อมกบั จ้องหน้าและทกั ท้วงขึ้นเม่ือไม่เห็นด้วย
ง. สบตากับผ้พู ูดเป็นระยะๆอยา่ งเหมาะสมและเสรมิ หรอื โต้แย้งตามความเหมาะสม

3. ข้อใดแสดงถงึ มำรยำทในกำรฟงั และดูทีด่ ี
ก. อมุ้ คยุ โทรศพั ทข์ ณะน่งั ประชุม
ข. ฟาง อ่านหนงั สอื พมิ พ์ขณะนั่งฟงั สมั มนา
ค. โต้ง เล่นโทรศัพทข์ ณะครูสอนในหอ้ งเรียน
ง. แดง ฟังและจดบนั ทกึ ขณะเขา้ ร่วมการอบรม

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสีมำ 15

4. ขัน้ ตอนแรกของกำรพูดในโอกำสตำ่ ง ๆ คอื ข้อใด
ก. แนะนาตนเอง
ข. แนะนาผูอ้ ่นื
ค. ขอบคุณ
ง. อวยพร

5. บคุ คลทมี่ มี ำรยำทในกำรพดู ท่ดี ี ควรหลีกเลย่ี งพฤตกิ รรมใด
ก. ใชภ้ าษาเข้าใจง่าย
ข. พดู ดถู กู ผ้ฟู ัง
ค. ออกเสียงพูดชัดเจน
ง. แสดงท่าทางเปน็ กนั เองกับผู้ฟัง

6. กำรพดู แสดงควำมคดิ เหน็ หมำยถงึ ข้อใด
ก. การพูดมีจดุ หมาย
ข. การพดู แบบเจาะจง
ค. การพดู แสดงความรู้สึกอย่างมีเหตุผล
ง. การพูดมวี ัตถุประสงค์

7. ขอ้ ใดเปน็ จดุ ม่งุ หมำยของกำรพูดหำเสยี งเลือกตงั้
ก. เพือ่ ใหข้ อ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ
ข. เพ่ือโน้มน้าว ชักจงู ให้เช่อื ถือ
ค. เพือ่ ใหข้ ้อคิด
ง. เพ่ือความเพลิดเพลนิ

8. น้องนดิ ฟงั รำยกำรวิทยุเร่ือง “ กำรลดควำมอ้วนอยำ่ งถกู วธิ ี ” ขอ้ ใดแสดงให้เห็นว่ำน้องนดิ
ใชป้ ระโยชนจ์ ำกกำรฟงั ได้อยำ่ งมีประสทิ ธภิ ำพ
ก. ลดนา้ หนกั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
ข. นาความรู้ทีไ่ ด้จากการฟังไปบอกต่อเพ่อื น
ค. ลดอาหารหวานมันและขยันออกกาลงั กาย
ง. จดั ทาตารางรับประทานอาหาร

สำนักงำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 16

9. ถำ้ ต้องกำรข้อมลู เกี่ยวกบั ประวัติศำสตร์ชำตไิ ทย ควรเลอื กอ่ำนหนงั สอื ประเภทใด
ก. นติ ยสาร
ข. สารคดี
ค. เรอ่ื งสนั้
ง. ข่าว

10. “ เรำไม่ควรใหป้ ลำแก่เขำ แต่เรำควรให้เบ็ดตกปลำแก่เขำ ” จำกขอ้ ควำมดังกลำ่ วไดข้ ้อคิดเรือ่ งใด
ก. การพ่ึงพาตนเอง
ข. การอดทนอดกล้นั
ค. ความเมตตาปราณี
ง. การประหยัดอดออม

11. ขอ้ ใดกล่ำวถึงมำรยำทในกำรอ่ำนได้ถูกตอ้ ง
ก. เลือกอ่านหนังสอื ท่ีมปี ระโยชน์ต่อผูอ้ น่ื
ข. แสดงความคดิ เหน็ ในการอ่านอยา่ งมีเหตผุ ล
ค. ออกเสยี งอ่านทกุ ท่ีเพอ่ื ให้ผู้อน่ื ทราบว่าเราอ่านถูกต้อง
ง. เม่อื พบคาผดิ ในหนังสอื ของหอ้ งสมุดต้องรบี แก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง

12. ข้อใดเลือกใชภ้ ำษำเขียนไดอ้ ย่ำงสรำ้ งสรรค์
ก. เขาไม่รจู้ ะกินอะไร มนั น่าอรอ่ ยไปหมดทกุ สิ่งทกุ อย่าง
ข. โสภณ ตายด้วยไขโ้ ปง้ จากนา้ มือคู่อริ
ค. บญุ มี นอนโรงพยาบาลหลายวนั แล้ว
ง. ชาวนา ตอ้ งการตกลงเร่ืองราคาข้าวกับโรงสี

13. ขอ้ ใดเปน็ ประโยคบอกเลำ่
ก. เธอกาลังจะไปไหน
ข. ฉนั ไม่ไดเ้ อาของเธอไป
ค. ฉันชอบอ่านหนงั สือสารคดมี าก
ง. หยุดเดย๋ี วนนี้ ะ ห้ามไปทางน้นั

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 17

14. ข้อใดกล่ำวถงึ วรรณคดีและวรรณกรรม ไมถ่ กู ตอ้ ง
ก. วรรณกรรมทุกเรื่องตอ้ งเป็นวรรณคดี
ข. ภาษาที่ใชใ้ นวรรณคดเี ปน็ ภาษาท่ีไพเราะ
ค. วรรณคดี คอื วรรณกรรมท่ไี ดร้ บั การยกย่องวา่ มีคุณค่าเชิงวรรณศลิ ป์
ง. วรรณกรรม หมายถงึ งานหนงั สอื งานประพันธ์ บทประพนั ธ์

15. มำรยำทท่ดี ีในกำรอำ่ นหนงั สอื คอื ขอ้ ใด
ก. แข่งกันอ่าน
ข. ไมส่ ง่ เสยี งดังรบกวนผอู้ ่ืน
ค. ชวนเพอื่ นคยุ
ง. เลน่ กนั เสียงดัง

16. คำวำ่ “ บทบำท ” มีพยัญชนะสะกดอยู่ในมำตรำเดียวกับคำใด
ก. รสชาติ
ข. เหตุผล
ค. กดขี่
ง. กฎเกณฑ์

17. ขอ้ ใดเป็นประโยคควำมเดียว
ก. สมศรีไปตา่ งจังหวัด
ข. สมใจทาสวนแตส่ มส่วนทานา
ค. เพราะสมพรไม่อ่านหนังสือจึงสอบตก
ง. ฝนตกหนกั ท้งั คืนนา้ จึงท่วมบ้านสมสวย

18. ข้อใดคือสำนวนมุ่งสอนผหู้ ญงิ
ก. กิง้ ก่าได้ทอง
ข. กนิ น้าใตศ้ อก
ค. น้าตาลใกลม้ ด
ง. สบิ เบี้ยใกล้มอื

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 18

19. “ สละชีพเพ่อื ชำติ ” เป็นคำขวัญสำหรับใคร
ก. ครู
ข. ตารวจ
ค. ทหาร
ง. นักการเมือง

20. อำชพี ใด ทีต่ ้องใชท้ ักษะกำรเขียนมำกทีส่ ุด
ก. ประชาสัมพนั ธ์
ข. นกั วาดการต์ ูน
ค. ผเู้ ขยี นข่าว
ง. พิธกี ร

สำนักงำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 19

เฉลยสำระกำรเรยี นรู้ : ควำมรู้พน้ื ฐำน
รำยวิชำภำษำไทย (พท21001)

1. ตอบ ง. จบั สำระสำคญั ได้
อธิบำย จับสาระสาคญั ได้ (จับใจความสาคัญและสรุปได)้

2. ตอบ ก. แสดงสหี น้ำเมือ่ สงสยั และรอถำมเม่ือผพู้ ูดพูดจบ
อธิบำย แสดงสีหน้าเมื่อสงสัยและรอถามเม่ือผู้พูดพูดจบ (ไม่ควรแทรกคาถามในขณะท่ีผู้บรรยาย
ยังบรรยายไม่จบ)

3. ตอบ ง. แดง ฟังและจดบันทกึ ขณะเข้ำร่วมกำรอบรม
อธิบำย แดง ฟังและจดบนั ทกึ ขณะเข้ารว่ มการอบรม (ตัง้ ใจฟังและจดบนั ทกึ )

4. ตอบ ก. แนะนำตนเอง
อธบิ ำย แนะนาตนเอง (เพือ่ ให้ผฟู้ งั บรรยายไดท้ ราบขอ้ มลู เบ้อื งตน้ )

5. ตอบ ข. พดู ดถู กู ผู้ฟัง
อธบิ ำย พดู ดูถูกผฟู้ งั (ไมค่ วรใชค้ าพูดในทางท่ีไม่ดแี ละไมส่ ภุ าพ)

6. ตอบ ค. กำรพูดแสดงควำมรู้สกึ อยำ่ งมเี หตุผล
อธิบำย การพดู แสดงความรู้สกึ อยา่ งมีเหตผุ ล (ไมค่ วรแสดงความรู้สึกดา้ นลบหรืออคติใดๆ)

7. ตอบ ข. เพ่อื โนม้ น้ำว ชกั จูงให้เช่ือถอื
อธิบำย เพ่อื โน้มนา้ ว ชกั จูงให้เชอื่ ถอื (เพอ่ื โนม้ นา้ วผู้ฟังใหเ้ ช่อื มัน่ และคล้อยตาม)

8. ตอบ ค. ลดอำหำรหวำนมันและขยนั ออกกำลงั กำย
อธิบำย ลดอาหารหวานมันและขยนั ออกกาลงั กาย (อาหารหวานมันมโี ทษตอ่ รา่ งกาย
ถ้าเรารับประทานมากเกินไป การออกกาลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมนั สะสมในร่างกายได้

9. ตอบ ข. สำรคดี
อธิบำย สารคดีการอ่านและค้นคว้าเร่ืองราวต่างๆจากสารคดีทาให้ทราบประวัติศาสตร์ความเป็นมา
ของบรรพบุรษุ ได้เช่นกัน

10. ตอบ ก. กำรพ่ึงพำตนเอง
อธบิ ำย การพง่ึ พาตนเอง สอนให้รู้จกั การช่วยเหลอื ตนเอง

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสีมำ 20

11. ตอบ ข. แสดงควำมคดิ เห็นในกำรอำ่ นอย่ำงมเี หตุผล
อธิบำย แสดงความคิดเห็นในการอา่ นอยา่ งมีเหตผุ ลใชเ้ หตแุ ละผลในการแสดงความคิด
12. ตอบ ง. ชำวนำ ตอ้ งกำรตกลงเรอื่ งรำคำข้ำวกับโรงสี

อธบิ ำย ชาวนา ตอ้ งการตกลงเร่อื งราคาข้าวกับโรงสี เนือ้ หากะทัดรัด ชัดเจน อา่ น)แล้วเขา้ ใจ(

13. ตอบ ค. ฉนั ชอบอ่ำนหนังสือสำรคดีมำก
อธบิ ำย ฉนั ชอบอ่านหนังสือสารคดีมาก (เป็นการบอกเลา่ ว่าชอบอ่านหนงั สอื ประเภทสารคดี)
14. ตอบ ก. วรรณกรรมทุกเรื่องตอ้ งเป็นวรรณคดี
อธิบำย วรรณกรรมทกุ เร่ืองต้องเปน็ วรรณคดี (วรรณกรรมบางเร่อื งไมถ่ กู จัดให้เป็นวรรณคดี)
15. ตอบ ข. ไม่สง่ เสียงดงั รบกวนผูอ้ ื่น
อธบิ ำย ไม่ส่งเสียงดงั รบกวนผู้อน่ื (เพราะผ้อู ่ืนใช้สมาธิในการอ่าน)
16. ตอบ ก. รสชำติ
อธบิ ำย รสชาติ (ใชม้ าตราตวั สะกดแมก่ ดเหมือนกนั )
17. ตอบ ก. สมศรไี ปต่ำงจงั หวดั
อธิบำย สมศรีไปต่างจังหวัด บอกเล่าประโยคเดียว มีประธาน กริยาและขยายกริยาเพ่ือให้รู้ว่าไปไหน
และมเี น้ือหาคลอ้ ยตามกัน
18. ตอบ ข. กินน้ำใตศ้ อก
อธิบำย กินน้าใตศ้ อ เปรียบเหมือนบอกสอนไมใ่ ห้ตกเป็นตวั สารอง
19. ตอบ ค. ทหำร
อธิบำย ทหาร (ทหารคอื ผู้ปกปอ้ งผนื แผน่ ดินเปรยี บได้กับรั้วของชาติ)
20. ตอบ ค. ผู้เขียนข่ำว
อธบิ ำย ผเู้ ขียนขา่ ว ผู้ทเี่ ป็นนักขา่ วต้องมที กั ษะในการเขยี นมากทีส่ ดุ )

สำนกั งำน กศน.จงั หวัดนครรำชสมี ำ 21

สำระกำรเรยี นรู้ : ควำมรู้พ้นื ฐำน
รำยวชิ ำ พต 21001 ภำษำอังกฤษ

1. When you want to introduce yourself to the other, what will you say?
a. Hello, Nice to meet you.
b. Good morning. Who are you?
c. I’m glad to meet you, too.
d. Hello, May I introduce myself. My name is Manee.

2. Jack : How do you do? I’m Jack.
Susan : ……………………………. My name is Susan.
a. Hi
b. Hello
c. How are you?
d. How do you do?

3. How do you do to greet an American friend?
a. Bow
b. Hug
c. Wai
d. Hand shaking

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 22

4. Suda : Hello, Can I speak to Wipa, please
Malee : ……………………..
Suda : I’m Suda.
Malee : Hold on, please.
a. speaking.
b. I’m Malee.
c. Wait a moment, please.
d. Hello, Who’s calling, please?

5. Nid : Could I speak to Noi, please?
Noi : …………………………. .
a. Hello.
b. I’m O.K.
c. I’m speaking.
d. Who’s calling, please?

6. Surachai : May I speak to Mali, please?
Sompong : …………………….. Would you like to leave her a message?
Surachai : No, thanks. I’ll call her later.
a. I’m Sompong.
b. What’s your name?
c. She will be back soon.
d. She is not here right now.

7. A : What do you think about the movie?
B : ……………………………………. . I’m very pleased with this movie
a . It’s boring.
b. It’s harmful.
c. It’s very bad.
d. It’s wonderful.

สำนักงำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 23

8. Max : Hi. How are you?
Jack : I’m O.K., but I’m worried about my father.
Max : What happened?
Jack : He has been sick for 3 weeks.
Max : ……………………………………. . He will be fine.
Jack : Well, I hope so. Thanks.
Max : You’re welcome.
a. It’s O.K.
b. Don’t worry.
c. That’ great.
d. Glad to hear that.

9. Toy : Hi, Noi. I’ll go shopping. Can you go whit me?
Noi : I’m afraid. I can’t. I have to visit my aunt at the hospital because she is sick.
Toy : ………………………………………………………. .
a. Thanks.
b. Congratulations.
c. Sorry to hear that.
d. I’m glad to hear that.

10. A : What do you think about football match?
B : I think it is very exciting match.
A : ……………………………………… .
a. I think so.
b. I like to watch it on the T.V.
c. I always go to see the match.
d. I used to play it when I was a child.

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 24

11. A : Excuse me,………………………….?
B : Sure, what is it?
A : Could you help me move these chairs?
B : No problem.
A : Thanks a lot.
a. can I help you?
b. do you need any help?
c. could you do me a favor?
d. would you mind taking me a picture?

12. A : ………………………………?
B : Yes, I’m looking for a jacket.
A : This way, please.
a. What will you do?
b. What’s the matter?
c. What are you doing?
d. What can I do for you, sir?

13. Which one is the affirmative sentence?
a. How beautiful she is!
b. She is a beautiful girl.
c. Do you know her?
d. Is she beautiful?

14. Which one is the interrogative sentence?
a. What does he do?
b. I don’t like dogs.
c. How beautiful you are!
d. He always goes to school by bus.

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 25

15. Which one is the negative sentence?
a. I will not go to school tomorrow.
b. Are you lonely?
c. We don’t go out for dinner tonight?
d. Suda goes to the beach every week.

16. Which one is the compound sentence?
a. He is a boy.
b. I sit on a chair.
c. Suda can speak English.
d. The house is old but strong.

17. …………..boys and girls learn English. What are the missing word?
a. Neither
b. Either
c. Both
d. If

18. Which sentence is used correlative conjunction to form a compound sentence?
a. I will either go for a work or read a book.
b. I will go to France next week.
c. Do you want a glass of milk?
d. Tokyo is a city.

19. Natty always………….to school late when she was young.
a. come
b. came
c. comes
d. is coming

20. I…………….when the phone rang.
a. sleep
b. slept
c. am sleeping
d. was sleeping

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 26

เฉลยสำระกำรเรยี นรู้ : ควำมรพู้ ื้นฐำน
รำยวชิ ำ พต 21001 ภำษำองั กฤษ

1. ตอบ d. Hello, May I introduce myself. My name is Manee.
อธิบำย เป็นการแนะนาตัวต่อผ้อู น่ื

2. ตอบ d. How do you do?
อธบิ ำย ถ้า คาถามถาม How do you do? คาตอบตอ้ ง How do you do? เท่านัน้

3. ตอบ d. Hand shaking
อธิบำย การทักทายของคนอเมรกิ ันจะทกั ทายกนั ดว้ ยการจบั มอื ทกั ทาย

4. ตอบ d. Hello, Who’s calling, please?
อธิบำย สุดาโทรมาขอสายวิภา ซ่ึงมาลีเป็นคนรับสายจึงถามว่า จึงถามว่าใครเป็นคนโทรมา
สดุ าจงึ ตอบวา่ ฉนั คือสุดา

5. ตอบ c. I’m speaking.
อธบิ ำย นดิ โทรศพั ท์มาเพื่อขอคุยกับหนอ่ ย ซึ่งหน่อยเป็นผู้รับสายจึงบอกว่าเขากาลังพูดสายอยู่

6. ตอบ d. She is not here right now.
อธิบำย สุรชัยโทรศัพท์มาเพ่ือขอสายมะลิ สมพงษ์เป็นคนรับสาย ซึ่งมะลิไม่อยู่ สมพงษ์จึงตอบสุรชยั ไปวา่
ตอนน้ีเธอไม่ได้อยู่ที่น่ี คุณต้องการท่ีจะฝากข้อความถึงเธอไหม สุรชัยจึงตอบว่า ไม่ขอบคุณครับ
แลว้ ฉันจะโทรหาเธอใหม่

7. ตอบ d. It’s wonderful.
อธิบำย A ถาม B วา่ คุณคิดยงั ไงกบั หนังเรอ่ื งน้ี B ตอบวา่ มันวิเศษมากฉนั พอใจกับหนังเร่ืองนี้ ซ่ึงขอ้
a b และ c ไม่สอดคลอ้ งกับประโยค

8. ตอบ b. Don’t worry.
อธบิ ำย เปน็ การแสดงความรสู้ กึ ปลอบใจไม่ต้องกังวล

9. ตอบ c. Sorry to hear that.
อธบิ ำย เปน็ การแสดงความรสู้ ึกเสยี ใจท่ไี ด้ยินแบบน้ี

10.ตอบ a. I think so.
อธบิ ำย ข้อ b,c,d ไมต่ รงตามคาถาม ข้อ A แปลวา่ ฉันเห็นดว้ ย

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 27

11.ตอบ c. could you do me a favor?
อธบิ ำย ข้อ a,b,d ไม่ตรงตามประเดน็ คาถาม ข้อ C แปลวา่ คุณชว่ ยฉนั หน่อยไดไ้ หม

12.ตอบ d. What can I do for you, sir?
อธิบำย ข้อ D เปน็ โยคคาถามทส่ี ุภาพที่สุดที่จะใชพ้ ูดกับลูกคา้

13.ตอบ b. She is a beautiful girl.
อธิบำย ข้อ a,c,d ไม่ใชป่ ระโยคบอกเล่า

14.ตอบ a. What does he do?
อธบิ ำย ขอ้ b,c,d ไม่ไชป่ ระโยคคาถาม

15. ตอบ a. I will not go to school tomorrow.
อธิบำย negative sentence ประโยคปฎเิ สธ b,c,d ไม่ตรงตามประเด็น

16. ตอบ d. The house is old but strong.
อธิบำย ประโยคความรวม มกั เช่ือมด้วย for, and , nor, but, or yet, so etc.

17. ตอบ c. Both
อธบิ ำย boys and girls แปลว่าทงั้ คู่ ต้องใช้ Both

18. ตอบ a. I will either go for a work or read a book.
อธิบำย correlative conjunction คือคาเชือ่ ม ซง่ึ ข้อ A เป็นประโยคท่มี คี าเชื่อมคอื or

19. ตอบ b. came
อธบิ ำย ประโยคเปน็ ในรูปของอดตี จงึ ต้องใชก้ รยิ าช่องท่ี 2 คอื Came

20. ตอบ d. was sleeping
อธบิ ำย ประโยคเปน็ ในรูปของอดีต ประธาน I จงึ ตอ้ งใช้ was

สำนักงำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 28

สำระกำรเรยี นรู้ : ควำมรพู้ ืน้ ฐำน
รำยวชิ ำ คณติ ศำสตร์ รหสั รำยวชิ ำ พค21001

1. ข้อใดเป็นเท็จ
ก. 1 เปน็ จานวนเตม็
ข. -2 ไมเ่ ปน็ จานวนเตม็ …..
ค. -3 เป็นจานวนทอ่ี ยหู่ ่างจาก 0 ทางซา้ ยมือ 3 หนว่ ย
ง. -5 มีค่าน้อยกวา่ 0

2. จำนวนจำก -10 ถึง 3 มีจำนวนเต็มท้ังหมดกีจ่ ำนวน
1. 11
2. 12
3. 13
4. 14

3. (-25) – 5 มีค่ำตรงกบั ขอ้ ใด
ก. 20
ข. -20
ค. 30
ง. -30

สำนกั งำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 29

4. 6 1 + 3 3 + 5 1 มีคำ่ ตรงกับข้อใด
2 4 3

ก. 13 7
12

ข. 14 7
12

ค. 15 7
12

ง. 16 7
12

5. อตั รำส่วนในขอ้ ใดมีค่ำเทำ่ กบั 8 : 56

ก. 1 : 7
ข. 1 : 8
ค. 2 : 7
ง. 2 : 8

6. จงเขยี น 2,160,000 ใหอ้ ยู่ในรูปสัญกรณว์ ิทยำศำสตร์

ก. 2 .16  104
ข. 2 .16  105
ค. 2 .16  106
ง. 2 .16  107

7. พลอยกเู้ งนิ จำกธนำคำร 25,000 บำท เปน็ เวลำ 3 ปี จ่ำยดอกเบี้ยให้ธนำคำรทุกปี ในอัตรำ 12% ต่อปี
พลอยจ่ำยดอกเบี้ยใหธ้ นำคำรท้ังหมดก่บี ำท

ก. 3,000
ข. 5,000
ค. 7,000
ง. 9,000

สำนักงำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 30

8. พกิ ลุ มที ี่ดนิ แปลงหนึง่ มีเนือ้ ที่ 2 ไร่ 150 ตำรำงวำ ปลกู บ้ำนในเนือ้ ท่รี ปู สเี่ หลี่ยมผืนผำ้ กว้ำง 20 เมตร
ยำว 50 เมตรจะเหลือเนอ้ื ทกี่ ีต่ ำรำงวำ

ก. 600
ข. 700
ค. 800
ง. 900

9. จำกรูปเป็นรูปเรขำคณิตสำมมติ ใิ ด

ก. กรวย
ข. ปริซมึ
ค. พรี ะมิด
ง. ทรงกระบอก

10. กลอ่ งรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกลอ่ งหนง่ึ มดี ำ้ นแตล่ ะด้ำนยำว 6 นิว้ จะมปี รมิ ำตรเทำ่ ใด

ก. 200 ลกู บาศกน์ ้ิว
ข. 206 ลกู บาศก์นวิ้
ค. 210 ลกู บาศกน์ ้วิ
ง. 216 ลูกบาศก์นวิ้

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 31

11. รปู ที่กำหนดใหเ้ ปน็ รปู คล่ขี องทรงสำมมติ ใิ ด

ก. รูปคลป่ี ริซมึ สามเหลย่ี มดา้ นเท่า
ข. รปู คลี่ปรซิ ึมสามเหล่ยี มมมุ ฉาก
ค. รปู คลป่ี รซิ มึ สี่เหล่ยี มผนื ผ้า
ง. รูปคล่ีปรซิ ึมสเี่ หลีย่ มจัตุรัส

12. คะแนนสอบวิชำคณิตศำสตร์ของนักศกึ ษำ กศน. เปน็ ดังน้ี
69, 71, 65, 88, 87, 79, 87, 80, 85

ค่ำมธั ยฐำนคะแนนสอบวิชำคณติ ศำสตรข์ องนกั ศึกษำ กศน. เท่ำกับเท่ำใด
ก. 65
ข. 80
ค. 87
ง. 88

13. พนกั งำนบริษทั แห่งหน่ึง จำนวน 4 คน ไดร้ ับเงินเดอื น 8,000 , 7,900 , 8,400 และ 9,000 บำท
ข้อใดคอื ฐำนนิยมของขอ้ มลู ชุดนี้

ก. 8,000
ข. 9,000
ค. ขอ้ มลู ชุดนไ้ี มม่ ีฐานนยิ ม
ง. ข้อมลู ชดุ น้เี ป็นฐานนิยมท้ังหมด

สำนกั งำน กศน.จงั หวัดนครรำชสมี ำ 32

14. ในขวดโหลทึบแสงใบหนึ่งบรรจลุ ูกแกว้ สที องไว้ 3 ลูก สีเงิน 4 ลกู และสดี ำ 5 ลูก ลกู แกว้ ทกุ ลกู
มขี นำดและน้ำหนักเทำ่ กนั จงคำดกำรณว์ ่ำ ถำ้ สมุ่ หยบิ ลูกแก้วขึ้นมำ 1 ลูก โอกำสท่จี ะหยบิ ได้
ลูกแกว้ สใี ดมำกทส่ี ดุ และสใี ดน้อยท่ีสุด
ก. ลูกแก้วสีดามีโอกาสหยิบได้มากทีส่ ุด และลกู แกว้ สเี งนิ มโี อกาสหยบิ ได้น้อยท่ีสดุ
ข. ลูกแก้วสีดามีโอกาสหยิบได้มากท่สี ดุ และลูกแกว้ สที องมีโอกาสหยบิ ไดน้ อ้ ยท่ีสุด
ค. ลกู แก้วสเี งนิ มีโอกาสหยิบได้มากท่ีสดุ และลูกแก้วสดี ามโี อกาสหยิบไดน้ ้อยท่สี ดุ
ง. ลูกแกว้ สที องมีโอกาสหยบิ ได้มากทีส่ ดุ และลูกแกว้ สีเงินมีโอกาสหยบิ ได้น้อยท่สี ุด

15. ขอ้ ใดต่อไปนีค้ ือขอ้ มลู เชงิ คุณภำพ
ก. เบอร์รองเท้าขนาดต่างๆ
ข. หมายเลขบัตรประจาตัวประชาชน
ค. อุณหภมู ทิ ีบ่ อกจดุ หลอมเหลวของสารตา่ งๆ
ง. จานวนนกั ศกึ ษา กศน. ท่ีเลือกเดินทางไปทัศนศกึ ษาท่ปี ระเทศจีน

สำนกั งำน กศน.จงั หวัดนครรำชสีมำ 33

เฉลยสำระกำรเรียนรู้ : ควำมรพู้ ืน้ ฐำน
รำยวิชำ คณิตศำสตร์ รหัสรำยวชิ ำ พค21001

1. ตอบ ....ข. -2 ไม่เป็นจำนวนเตม็
วิธีทา -2 เป็นจานวนเต็มลบ

2. ตอบ ....ง. 14
วิธที า จานวนจาก -10 ถึง 3 มีจานวนเตม็ ท้งั หมด 14 จานวน

-1I0 -9I -8I -7I -6I -5I -4I -3I -2I -1I 0I 1I 2I 3I

3. ตอบ ....ง. -30 (-25) – 5 = (-25) + (-5)
วิธีทา = -30

4. ตอบ ....ค. 15 7
12

วธิ ีทา 6 1 + 3 3 + 5 1 = 13 + 15 + 16
2 4 3 2 4 3

= 13 × 12 + 15 × 6 + 16 × 8
2 × 12 4×6 3×8

= 156 + 90 + 128
24 24 24

= 374
24

= 15 14
24

= 15 7
12

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสมี ำ 34

5. ตอบ ....ก. 1 : 7

วธิ ีทา 8÷8
8:5 = 56 ÷ 8

= 1
7

= 1:7

6. ตอบ ....ค. 2 .16 106
วธิ ีทา 2,160,000 = 216  10,000
= ( 2.16  100 )  104
= 2.16  102  104
= 2 .16  106

7. ตอบ ....ง. 9,000
วธิ ีทา เงนิ ตน้ 25,000 บาท ธนาคารคิดดอกเบ้ยี 12% ต่อปี
ดอกเบ้ยี = 12% ของ 25,000 บาท
= 0.12 x 25,000 บาท
= 3,000 บาท

จ่ายดอกเบย้ี ให้ธนาคารปีละ 3,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี
จ่ายดอกเบ้ียทงั้ หมด = 3 x 3,000 บาท

= 9,000 บาท

สำนกั งำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 35

8. ตอบ ....ข. 700 = 2 ไร่ 150 ตารางวา
วิธีทา มีที่ดนิ

= 950 ตารางวา

ปลูกบ้านไป = 20  50

= 1,000 ตารางเมตร

= 1000
4

= 250 ตารางวา

จะเหลือพนื้ ที่เท่ากับ 950 – 250 = 700 ตารางวา

9. ตอบ ....ค. พรี ะมิด
วิธีทา พีระมดิ

10. ตอบ ....ง. 216 ลกู บำศก์น้ิว = พนื้ ทฐ่ี าน x ความสงู
วิธีทา ปริมาตรของปริซึม = (6 x 6) x 6

= 36 x 6

= 216 ลกู บาศก์นิ้ว

ดังนัน้ กล่องมปี ริมาตรเทา่ กับ 216 ลกู บาศก์น้ิว

สำนักงำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 36

11. ตอบ ....ก. รูปคล่ีปริซึมสำมเหลีย่ มด้ำนเทำ่
วธิ ีทา

12. ตอบ ....ข. 80
วธิ ที า เรยี งข้อมลู ใหม่ ได้ดังน้ี 65, 69, 71, 79, 80, 85, 87, 87, 88
ขอ้ มูลท่อี ยตู่ รงกลางคอื 80
คา่ มธั ยฐาน เท่ากับ 80

13. ตอบ ....ค. ขอ้ มลู ชุดน้ไี ม่มีฐำนนยิ ม
วธิ ีทา ข้อมลู ทั้ง 4 จานวน ไมม่ ขี ้อไหนซา้ กันเลย ขอ้ มูลชุดน้ีจงไมม่ ีฐานนยิ ม

14. ตอบ ....ข. ลกู แก้วสดี ำมีโอกำสหยบิ ไดม้ ำกทส่ี ุด และลูกแกว้ สีทองมโี อกำสหยิบไดน้ ้อยทสี่ ุด
วธิ ีทา เน่อื งจากจานวนลูกแกว้ สีดาในขวดโหลมีมากท่ีสดุ ดงั น้นั จึงคาดการณ์ว่า
ลูกแกว้ สดี ามโี อกาสหยิบไดม้ ากทีส่ ุดและจานวนลูกแก้วสีทองในขวดโหล
มีนอ้ ยที่สดุ ดังน้นั จงึ คาดการณว์ ่า ลูกแกว้ สีทองมีโอกาสหยบิ ได้น้อยทส่ี ดุ

15. ตอบ ....ข.หมำยเลขบัตรประจำตวั ประชำชน
วธิ ที า ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณ ซึ่งวัดออกมาเป็น
จานวนท่ีสามารถนามาใช้เปรียบเทียบกันได้โดยตรง ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ
ข้อมูลท่ีไม่สามารถวัดออกมาเป็นจานวนได้โดยตรง แต่อธิบายหรือบอก
คุณสมบัตใิ นเชิงคณุ ภาพได้

สำนักงำน กศน.จังหวัดนครรำชสีมำ 37

สำระกำรเรยี นรู้ : ควำมรู้พื้นฐำน
วชิ ำวทิ ยำศำสตร์ (พว21001)

1. ใช้ข้อควำมด้ำนล่ำงตอบคำถำม
1. กำรกำหนดปญั หำ
2. กำรตั้งสมมติฐำน
3. กำรวิเครำะหข์ อ้ มูล
4. กำรทดลองและรวบรวมขอ้ มลู
5. กำรสรปุ ผล

ขอ้ ใดใชเ้ รยี งลำดับขนั้ ตอนกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตรไ์ ดอ้ ย่ำงถูกตอ้ ง
ก. 1,2,3,4,5
ข. 1,2,4,3,5
ค. 2,1,3,4,5
ง. 2,1,4,3,5

2. ข้อใดเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่ำงเหมำะสม
ก. สมถวิลขยายพันธุ์โค กระบือ ด้วยวิธีการตัดต่อพันธุกรรม
ข. สมชายซ้ือเลื่อยตัดไม้ไฟฟ้ามาตัดหญ้าในสนามหน้าบ้าน
ค. สมหญิงตั้งครรภ์อายุ 1 เดือน ใช้เครื่องอัลตราซาวต์ในการตรวจหาเพศเด็ก
ง. สมศักดิ์นากล้วยไม้พันธุ์หายากมาขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ

สำนกั งำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 38

3. ข้อใดเป็นกำรเขียนรำยงำนเก่ียวกบั โครงงำนท่ีถูกตอ้ ง
ก. การเขียนรายงานควรใช้ตารางและรูปภาพ
ข. การเขียนรายงานควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา
ค. การเขียนรายงานควรดึงดูดความสนใจ ใช้สีสันสดใส และครอบคลุมหัวข้อต่างๆ
ง. การเขียนรายงานควรใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่ายประกอบชัดเจน สั้นๆ และตรงไปตรงมา

4. ส่วนประกอบของเซลล์ในข้อใดพบเฉพำะในเซลล์พืชเท่ำนั้น
ก. ยีนส์,คลอโรพลาสต์
ข. แวคิวโอล,นิวเคลียส
ค. ผนังเซลล์,เยื่อหุ้มเซลล์
ง. คลอโรพลาสต์,ผนังเซลล์

5. ข้อใดไม่เป็นกำรถ่ำยทอดทำงพันธุกรรม
ก. วินัยมีนิสัยก้าวร้าวเหมือนปู่
ข. สุนันท์มีลักยิ้มเหมือนแม่
ค. อารีย์มีผมหยิกเหมือนย่า
ง. วีระมีติ่งหูเหมือนพ่อ

6. ข้อใดเป็นปัจจัยภำยในในกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช
ก. ไซโทพลาสซึมและนา้
ข. แสงอาทิตย์และการออกซิเจน
ค. โครงสร้างของใบและคลอโรฟิลล์
ง. ธาตุอาหารและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

7. ควำมสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตที่ได้รับประโยชน์ท้ัง 2 ชนิด อำจเป็นกำรอยู่ร่วมกันตลอดเวลำหรือ
อยู่ร่วมกันเพียงช่ัวขณะหนึ่งก็ได้และเมื่อส่ิงมีชีวิตท้ังสองชนิดแยกจำกกันก็จะเลี้ยงสำมำรถดำรงชีพ
ได้ตำมปกติตรงกับข้อใด
ก. เสือกินกวาง
ข. รากับสาหร่าย
ค. กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่
สำนกั งำน กศน.จงั หวดั นครรำชสีมำ 39

ง. ปลาการ์ตูนกับดอกไม้ทะเล

8. ลมบก ลมทะเล เกิดข้ึนได้อย่ำงไร
ก. แกนกลางของลมมีความเร็วน้อยกว่าบริเวณรอบๆ
ข. ความกดอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้าแตกต่างกัน
ค. ความกดอากาศเท่ากันทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืน
ง. อุณหภูมิของอากาศเหนือพ้ืนดินและพื้นน้าแตกต่างกัน

9. รงั สใี ดมีอำนำจทะลุทะลวงน้อยทส่ี ุด
ก. รังสีแกมมา
ข. รงั สแี อลฟา
ค. รังสบี ตี ้า
ง. รังสีเอก็ ซ์

10. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ประโยชน์ของกัมมันตะรงั สี
ก. ใชใ้ นการหาอายุคานวณหาอายุของวตั ถุโบราณ
ข. ใชใ้ นทางการแพทย์เช่น การรักษามะเร็ง
ค. ชะลอการสุกของผลไม้โดยใช้รงั สยี ับยั้งการทางานของเอ็นไซม์
ง. ทาลายเซลลท์ ่ีทาหน้าท่ีผลิตเม็ดเลือดแดงทาให้เกิดมะเรง็ เม็ดเลือดแดง

11. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ กำรละลำยของสำร
ก. อณุ หภมู ิ
ข. ชนดิ ของสาร
ค. ความเข้มขน้ ของสาร
ง. ชนิดของตัวทาละลาย

12. ข้อใดเปน็ “ปรมิ ำณเวกเตอร์”
ก. แดงเดินตดั ทุ่งนาไปทางทศิ เหนือตรงไปยงั บ้านขาว ระยะทาง 2 กิโลเมตร
ข. แดงเดินตามถนนจากบา้ น ถึงบา้ นขาวระยะทาง 3 กิโลเมตร
ค. แดงเดินตัดท่งุ นาไปแวะบ้านดาแลว้ เดินตามถนนไปยังบา้ นขาว ระยะทางรวม 3.5 กิโลเมตร

สำนกั งำน กศน.จงั หวดั นครรำชสมี ำ 40

ง. แดงเดนิ ตามถนนไปแวะบา้ นดาแลว้ เดินตอ่ ไปบ้านขาว ระยะทางรวม 4 กิโลเมตร

13. กำรเคลอ่ื นที่ของรถยนตเ์ ป็นพลงั งำนประเภทใด
ก. พลงั งานศกั ย์
ข. พลังงานจลน์
ค. พลังงานความรอ้ น
ง. พลงั งานอิเลก็ ทรอนกิ ส์

14. กลมุ่ ดำวคันช่ำงเปน็ กลมุ่ ดำวประจำรำศอี ะไร
ก. ราศีตุลย์
ข. ราศีเมษ
ค. ราศีสิงห์
ง. ราศพี ฤษภ

15. ขอ้ ใดอธิบำยประโยชนข์ องดำวฤกษ์ต่อกำรดำรงชวี ิตประจำวนั ไดถ้ กู ตอ้ งทส่ี ุด
ก. การดฤู ดูกาล
ข. การดนู ้าขนึ้ น้าลง
ค. การดขู า้ งข้นึ ข้างแรม
ง. การหาทศิ ทางและการบอกเวลา

สำนกั งำน กศน.จังหวดั นครรำชสีมำ 41

เฉลยสำระกำรเรียนรู้ : ควำมรู้พน้ื ฐำน
วชิ ำวิทยำศำสตร์ (พว21001)

1. ตอบ ข.1,2,4,3,5
อธบิ ำย เป็นวิธีการทีน่ ักวิทยาศาสตร์ใช้แสวงหาความรู้แก้ปญั หา โดยมีขน้ั ตอน ดงั นี้
1. สงั เกตและระบุปัญหา (ask a question) 2. ต้ังสมมตุ ิฐาน (Hypothesis)
3. ทาการทดลองหรือทดสอบสมมติฐาน (Experiment)
4. เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และวิเคราะหข์ ้อมูล (Analyze)
5. สรุปผลการทดลอง(Conclusions)

2. ตอบ ง. สมศักด์ินำกลว้ ยไม้พนั ธห์ุ ำยำกมำขยำยพนั ธโ์ุ ดยวิธเี พำะเล้ียงเนือ้ เย่อื
อธิบำย การเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือมีบทบาทสาคัญ ในการผลิตกล้วยไม้เพื่อการค้าเน่ืองจากสามารถผลิตได้
ในปริมาณท่ีมากในระยะเวลาอันสั้นเม่ือเทียบกับการ ขยายพันธุ์โดยวิธีตัดแยกและยังมีความจาเป็นสาหรับ
การเพาะเมล็ดกล้วยไม้เน่ืองจากเมล็ดกล้วยไม้ไม่มี อาหารสะสมภายในเมล็ด จึงไม่สามารถงอกได้เอง
ในสภาพธรรมชาติหรืองอกได้แต่มีปริมาณน้อยมาก เนื่องจากจะต้องอาศัยจุลินทรีย์ในวัสดุปลูกท่ีจาเพาะ
นอกจากนี้ การปลูกเล้ียงกล้วยไม้น้ันต้องใช้ต้นพันธ์ุท่ีมีความสม่าเสมอคราวละมากๆ จึงเป็นการยาก
ที่จะขยายพนั ธุ์โดยวิธตี ดั แยก

3. ตอบ ง. กำรเขียนรำยงำนควรใช้ภำษำทอ่ี ำ่ นเขำ้ ใจงำ่ ยประกอบชัดเจน สั้นๆ และตรงไปตรงมำครอบคลมุ
หัวขอ้ ตำ่ งๆ
อธิบำย การเขียนรายงานโครงงาน เป็นรูปแบบหน่ึงของการนาเสนอผลงานของโครงงานท่ีผู้เรียนได้ศึกษา
ค้นคว้าตั้งแต่ต้นจนจบ ในการเขียนรายงานควรใช้ภาษาที่อ่านง่ายชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมา
ให้ครอบคลมุ หวั ข้อตา่ งๆ

4. ตอบ ง. คลอโรพลำสต์,ผนังเซลล์
อธิบำย สว่ นประกอบตา่ งๆ ของเซลล์พชื ดงั น้ี ผนงั เซลล์ (Cell wall) อยู่ชัน้ นอกสุดของเซลล์พบในเซลลพ์ ชื เท่านนั้
เป็นโครงสร้างท่ีกาหนดขอบเขตและรูปร่างของส่ิงมีชีวิต ภายนผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลส (Cellulose) และ
เพกติน (Pectin) ทาหน้าท่ี : เพ่ิมความแข็งแรง ค้าจุนโครงสร้างของเซลล์ ทาให้เซลล์คงรูป และป้องกัน
การ สูญเสียน้าของเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) ประกอบด้วยฟอสโฟลิพิด (Phospholipidbilayer)

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 42

และ โปรตีน ทาหน้าที่ : ห่อหุ้มส่วนท่ีเป็นของเหลวและออร์แกเนลล์ภายในเป็นเย่ือเลือกผ่านเพ่ือควบคุม
การเข้า-ออกของสารตา่ งๆ จากภายนอกส่เู ซลล์ นวิ เคลียส (Nucleus) มีลกั ษณะกลมทาหนา้ ท่ี : ควบคมุ การทางาน

ของเซลล์และถ่ายทอดพันธุกรรม ไซโทพลาซึม(Cytoplasm) เป็นของเหลวท่ีอยู่ภายในเซลล์ ประกอบด้วย
ออร์แกเนลล์และ สารประกอบต่าง ๆ เช่น น้าตาล, โปรตีนและไขมัน ร่างแหเอนโดพลาซึม (Endoplasmic
Reticulum) แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1. แบบผิวเรียบจะไม่มีไรโบโซม 2. แบบผิวขรุขระ จะมีไรโบโซมเกาะอยู่ ซ่ึง
ไรโบโซม(Ribosome) ทาหน้าที่สร้าง และส่งโปรตีนออกไปนอกเซลล์ แวคิวโอล (Vacuole) เป็นถุงขนาดใหญ่
ท่ีพบในเซลล์พืช มีเย่ือหุ้มชั้นเดียว ทาหน้าท่ี: เก็บของเหลวน้า, สารอินทรีย์และอนินทรีย์ เช่น น้าตาล,
กรดอินทรีย์, แทนนิน คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) พบเฉพาะในเซลล์พืช มีสีเขียวเพราะมีพลาสติดที่สะสมรงค
วัตถุสีเขียว อยู่ภายใน น่ันคือคลอโรฟีล (Chloroohyll) ทาหน้าท่ี: ช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) มีขนาดใหญ่ มีรูปร่าง กลมรี ทาหน้าท่ี: ช่วยในกระบวกการหายใจระดับเซลล์
(กระบวนการที่น้าตาลกลูโคสถูกเปลี่ยนเป็น ATP ซ่ึงเป็นพลังงานท่ีเซลล์นาไปใช้ภายในเซลล์) เปรียบเหมือน
โรงไฟฟ้าทเี่ ปน็ เเหลง่ ผลติ พลงั งาน

5. ตอบ ก. วนิ ยั มนี สิ ยั ก้ำวรำ้ วเหมือนปู่
อธิบำย การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปยัง ลูกหลานได้
ต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลจากบรรพบุรุษหลายช่ัวอายุ เช่น สีผิว ความสูง ความฉลาด การห่อล้ิน
การมตี ง่ิ หู การมีลกั ยิม้

6. ตอบ ค. โครงสร้ำงของใบและคลอโรฟลิ ล์
อธิบำย ในการสร้างอาหารพืชต้องอาศัยปัจจัยสาคัญที่จาเป็นท้ังปัจจัยภายใน คือ คลอโรฟิลล์โครงสร้าง
ของใบ และปัจจัยภายนอก คือ แสง แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และน้า ซ่ึงปัจจัยแต่ละอย่างมีความสาคัญ
คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นสารที่ดูดกลืนแสงพบอยู่ในคลอโรพลาสต์ ดูดกลืนแสงสีน้าเงิน – แดง
มาใช้และสะท้อนแสงสีเขียวออกมา ทาให้เห็นพืชมีสีเขียว สามารถพบคลอโรฟิลล์ได้ที่ใบและส่วนอื่น ๆ
ท่ีมีสีเขียว เช่น ท่ีลาต้น ราก เป็นต้น คลอโรฟิลล์จะมมี ากในใบที่แก่จัด ส่วนในใบอ่อนหรือใบท่ีแก่จนเหลอื ง
จะมกี ารสร้างคลอโรฟลิ ล์ไดน้ อ้ ยหรอื คลอโรฟิลล์อาจสลายไป

7. ตอบ ง. ปลำกำรต์ นู กบั ดอกไมท้ ะเล
อธิบาย ภาวการณไ์ ด้ประโยชน์ร่วมกนั : +/+) หมายถึง ความสัมพนั ธข์ องสิง่ มชี ีวิต 2 ชนดิ ที่
อาศัยอย่รู ่วมกนั และไดร้ บั ผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ ท้งั 2 ฝ่าย โดยที่สิง่ มชี วี ิตท้งั 2 ชนดิ สามารถ
ดารงชวี ิตอยูต่ ามลาพงั ได้ หากเกิดการแยกตัวออกจากกัน เชน่ ผงึ้ และดอกไม้ : ผงึ้ กินน้าหวานจากดอกไม้

สำนักงำน กศน.จังหวัดนครรำชสีมำ 43

เป็นอาหาร ขณะท่ดี อกไมไ้ ด้ผ้ึงเหลา่ น้ี ช่วยผสมเกสรและ แพร่ขยายพนั ธุ์ ปลาการต์ ูนและดอกไมท้ ะเล :
ดอกไมท้ ะเลเกาะอยบู่ นเปลือกปเู สฉวน เพือ่ ชว่ ยพรางตัวและปอ้ งกนั ภยั อันตราย ขณะท่ีปูเสฉวนช่วย
นาพาดอกไมท้ ะเลเคลอื่ นท่ไี ปด้วย หาแหล่งอาหารใหม่ ๆ

8. ตอบ ข. ควำมกดอำกำศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำแตกต่ำงกัน
อธิบำย ลมทะเล ( Sea breeze ) ในเวลากลางวนั พ้นื ดินจะดูดความรอ้ นได้ดีกวา่ พ้ืนน้า ทาให้อุณหภูมิเหนือพืน้ ดิน
น้ันสูงกว่า อากาศขยายตัว และมีความกดอากาศต่ากว่า อากาศเหนือพ้ืนน้าท่ีอุณหภูมิต่ากว่า และมีความกด
อากาศสูงจึงเคล่ือนที่เข้ามาแทน เรียกชื่อตามแหล่งที่ลมมาว่า ลมทะเล คือลมที่พัดจากทะเลเข้าสู่ฝ่ังนั่นเอง
ลมทะเลให้ความรู้สึกท่ีเย็นสบายเม่ือเวลาเราไปเท่ียวทะเล และชาวประมงจะใช้ลมนี้ช่วยพัดเรือเข้าสู่ฝ่ังอีกด้วย
ลมบก ( Land breeze ) ส่วนในเวลากลางคืน พื้นดินจะคายความร้อนได้ดีกว่าพื้นน้า ทาให้อุณหภูมิเหนือพ้ืนน้า
น้ันสูงกว่า อากาศขยายตัว และมีความกดอากาศต่ากว่า อากาศเหนือพ้ืนดินท่ีอุณหภูมิต่ากว่า และมีความกด
อากาศสูงจึงเคลื่อนท่ีเข้ามาแทน ลมจึงพัดจากบกไปสู่ทะเลเรียกช่ือตามแหล่งที่ลมมาว่า ลมบก ชาวประมง
ใชป้ ระโยชน์จากลมบกในการพัดเรือออกจากฝ่งั เพ่อื ออกไปหาปลาในเวลากลางคนื

9. ตอบ ข รังสแี อลฟำ (alpha ray)
อธิบำย รังสแี อลฟำ เปน็ นวิ เคลียสของอะตอมของธาตฮุ เี ลยี ม รงั สแี อลฟาสามารถทาใหเ้ น้อื สารทร่ี งั สผี า่ นแตกตัว
เป็นไอออนได้ดี จึงทาให้รังสีแอลฟาเสียพลังงานอย่างรวดเร็ว ดังน้ันรังสีแอลฟาจึงมีอานาจทะลุทะลวงน้อยมาก
กล่าวคือ สามารถเคล่ือนที่ผ่านอากาศได้ระยะทางเพียง 3-5 เซนติเมตรเท่าน้ัน หรือเม่ือให้กระดาษบางๆ ก้ัน
รังสีแอลฟาก็อาจจะทะลุผ่านไม่ได้ การท่ีรังสีแอลฟาเป็นอนุภาคทาให้บางครั้งเราเรียกรังสีแอลฟาว่า
อนุภาคแอลฟา รังสีบีตำ (beta ray) เน่ืองจากรังสีบีตามีมวลน้อยเมื่อเคลื่อนไปชนอนุภาคตัวกลางใดๆ
จะทาให้ อนุภาคภาค ตักลางแตกตัวได้น้อย สญู เสียพลังงานไมม่ ากจึงทาให้อานาจในการทะลุทะลวงไปขา้ งหน้าสูง
กว่ารังสีแอลฟา นอกจากนี้รังสีบีตายงเบี่ยงเบนใน สนามแม่เหลกได้มากกว่ารังสีแอลฟา เพราะอัตราเร็ว
ของการเคล่ือนที่สูงกวาแอลฟา รังสีแกมมำ (gamma ray) เป็นรังสีที่มีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้าและมีสมบัติ
คล้ายรังสีเอกซ์ จากการศึกษาพบว่า รังสีน้ีคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีแกมมามีพลังงานต้ังแต่ 0.04-3.2 MeV
ดงั นัน้ จงึ สามารถทะลุผ่านแผ่นอะลูมเิ นียมท่ีหนาหลายเซนติเมตรได้ จงึ นับได้ว่าอานาจทะลุผ่านมากท่สี ดุ ในบรรดา
รังสที ้งั สามชนิด

10. ตอบ ง. ทำลำยเซลลท์ ่ีทำหนำ้ ทผี่ ลิตเม็ดเลอื ดแดงทำให้เกดิ มะเรง็ เม็ดเลือดแดง
อธิบำย ประโยชนข์ องธาตกุ ัมมนั ตรงั สี
1. ใชท้ าเตาปฏกิ รณ์ปรมาณทู าโรงงานไฟฟา้ พลงั งานปรมาณแู ละเรอื ดาน้าปรมาณู

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสีมำ 44

2. ใช้สร้างธาตใุ หม่หลงั ยูเรเนียนสรา้ งขนึ้ โดยยิงนิวเคลียสของธาตุหนักดว้ ยอนภุ าคแอลฟาหรือดว้ ยนิวเคลียร์
อน่ื ๆทค่ี อ่ นข้างหนกั ไม่ มพี ลังงานสงู
3. ใช้ศกึ ษากลไกของปฏิกิริยาเคมเี ชน่ การเกิดปฏกิ ิรยิ าของเอสเทอร์
4. ใช้ในการหาอายุของซากส่งิ มีชวี ติ
5. ใช้ในทางการแพทย์ เช่นรังสีแกมมารักษาโรคมะเร็ง การตรวจวงโคจรของโลหติ ในการวินิจฉยั โรคตรวจ
ความผดิ ปกติของไทรอยด์
6. ใชใ้ นการเกษตร ชะลอการสุกของผลไม้โดยใช้รงั สียับย้ังการทางานของเอนไซม์
7. ปรับปรงุ พนั ธโ์ุ ดยนาเมล็ดพืชฉายรังสีนิวตรอนในเวลาท่ีเหมาะสม
8. ใช้รังสีแกมมากค่าใชจ้ ุลินทรยี ใ์ นเมลด็ พืช

11. ตอบ ค. ควำมเข้มขน้ ของสำร
อธบิ ำย ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การละลายของสาร ได้แก่
1. ชนิดของตัวทาละลาย ตัวทาละลายต่างกันมีความสามารถในการละลายต่างกัน เช่นโซเดียมคลอไรด์
ละลายในนา้ แตไ่ มล่ ะลายในแอลกอฮอล์ กามะถนั ละลายในโทลูอีนแตไ่ ม่ละลายในน้า
2. ความเข้มข้นของตัวทาละลาย ถา้ ตัวทาละลายมคี วามเข้มข้นมาก การละลายจะเกดิ ได้ดี
3. อุณหภูมิของแข็งและของเหลวส่วนใหญ่ ความสามารถในการละลายได้จะเพิ่มข้ึนเม่ืออุณหภูมิ
ของสารละลายสูงขึ้น เม่ือเพ่ิมอุณหภูมิ จะทาให้สารเคล่ือนที่ชนกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม การละลายจึงเร็วข้ึน
แตถ่ า้ เปน็ แกส๊ ความสามารถในการละลายได้จะลดลงเมอื่ อณุ หภมู ขิ องสารละลายสงู ขึน้
4. ความดนั ความสามารถในการละลายได้ของแกส๊ จะสูงข้นึ มากเม่อื ความดันเพ่มิ ข้นึ แต่ความดัน
มีผลต่อการละลายของของแข็งและของเหลวเพียงเลก็ นอ้ ย
5. พื้นท่ีผิวของตัวละลาย ถ้าตัวละลายถูกเพ่ิมพ้นื ที่ผิวดว้ ยการทาให้เป็นช้นิ เล็กชิ้นนอ้ ยโดยการหั่นหรือบด
จะทาให้อตั ราการละลายของสารเพ่มิ มากข้นึ

12. ตอบ ก. แดงเดินตัดทุ่งนำไปทำงทิศเหนือตรงตรงไปยังบ้ำนขำว ระยะทำง 2 กิโลเมตร
อธิบำย (ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) คือ ปริมาณที่ต้องการบอกทั้งขนาดและทิศทางจึงจะได้
ความหมายทีส่ มบรู ณ์ เชน่ ความเร็ว ความเร่ง การกระจดั โมเมนตมั แรง ฯลฯ )

สำนกั งำน กศน.จังหวัดนครรำชสมี ำ 45

13.ตอบ ข.พลงั งำนจลน์
อธิบำย วัตถุใดๆ กต็ ามมีพลังงานอยูใ่ นตัว 2 รปู ด้วยกันคือ

1. พลงั งานอนั เกดิ จากการเคลอ่ื นท่ี เรยี กว่า พลงั งานจลน์ (kinetic energy)
2. พลงั งานทีม่ สี ะสมอยู่ในตวั เนื่องมาจากภาวะของวัตถุ เรยี กวา่ พลงั งานศกั ย์ (potenxtial energy)
ตวั อย่าง ของพลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศักย์น้ันเราพอจะเหน็ ได้ง่ายๆ จากส่ิงท่เี กดิ ขน้ึ รอบๆ ตัวเราอยทู่ กุ วัน เช่น
รถยนต์กาลังวิ่งด้วยความเร็วปกตบิ นถนนในที่ราบ ถ้าตอ้ งการให้หยดุ เราตอ้ งใช้หา้ มล้อ ซึง่ หมายถึง ออกแรงต้าน
การเคลอื่ นที่ รถยนตย์ ังไม่สามารถหยดุ ไดท้ ันทีแตจ่ ะเลอ่ื นต่อไปเปน็ ระยะทางหนึง่ เราต้องทางานดว้ ยแรงต้านทาน
เพอื่ ให้รถหยดุ เพราะรถมพี ลงั งานเนื่องจากกาลังเคลือ่ นท่อี ยู่ นนั่ คอื รถมพี ลังงานจลน์

14. ตอบ ก. รำศีตลุ
อธิบำย กลุ่มดาวคันชั่งเป็นที่มาของช่ือเดือนตุลาคม คาว่า ตุลาคม มาจากคาว่า “ตุล” แปลว่า คันช่ัง
และ “อาคม” แปลวา่ มาถึง ตลุ าคมจึงแปลวา่ มาถงึ คันช่งั หรอื หมายถึงดวงอาทิตย์มาถึงราศีตุล

15. ตอบ ง. กำรหำทิศทำงและกำรบอกเวลำ

อธิบำย มนุษยใ์ นสมยั โบราณใชป้ ระโยชน์จากดาวฤกษ์ และกลมุ่ ดาวในหลายดา้ น ดังนี้

กำรหำทิศ ดาวท่ีเรานิยมใช้ในการหาทิศ คือ ดาวเหนือ (polaris) ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ

มากทีส่ ุด อยใู่ นกลุ่มดาวหมี เลก็ (ursa minor) ดาวเหนอื จะอยคู่ งท่สี ่วนดาวอน่ื จะโครจรไปรอบ ๆ ตาม

การหมุนรอบตัวเองของโลก ดังนั้นเราจึงใช้ดาวเหนือในการหาทิศ กล่าว คือ ถ้าหันหน้าไปทางดาวเหนือคือทิศ

เหนือด้านขวามือจะเป็นทิศตะวันออก ด้าน ซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันตก และด้านหลังจะเป็นทิศใต้

ส่วนการหาทิศใต้ เราจะใช้กลุ่มดาวกางเขนใต้ในการหาทิศ คนไทย เรียกกลุ่มดาวกางเขนใต้ว่า

ดาวว่าวปักเป้า โดยในฤดูร้อนจะเห็นกลุ่มดาว กางเขนใต้ในตอนดึก แต่ในฤดูฝนจะเห็นในตอนหัวค่า

ดวงดาวลา้ งสดุ ของดาว กางเขนใต้จะชไ้ี ปทางทิศใต้

กำรบอกเวลำ กลุ่มดาวท่ีบอกเวลาท่ีนิยมกันเป็นส่วนใหญ่คือ ดาวหมีใหญ่ (ursa major) เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ใน

ซีกโลกเหนือ กลุ่มดาวดังกล่าวน้ีคนไทยจินตนาการเป็น รูปจระเข้ จึงเรียกว่า กลุ่มดาวจระเข้ ในตอนหัวค่า

เราจะเห็นด้านหัวของ ดาวจรเข้าข้ึนทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและเม่ือเวลา 24.00 น . ดาวกลุ่มน้ีจะอยู่

กลางท้องฟ้าโดยส่วนหัวจะช้ีไปทางทิศเหนือ และเมื่อ ใกล้สว่างส่วนหัวจะค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศ

ตะวนั ตก เราจึงนยิ มใชก้ ลุ่มดาวหมใี หญห่ รอื กล่มุ ดาวจระเข้ ในการบอกเวลา

สำนกั งำน กศน.จงั หวัดนครรำชสีมำ 46


Click to View FlipBook Version