รวม
หนังสือซีไรต์
เสนอ
อาจารย์ ปรภัสร์ มาสะอาด
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาเพื่อการสื่อสาร รหัสวิชา GEN101
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า
รวม
หนังสือซีไรต์
เสนอ
อาจารย์ ปรภัสร์ มาสะอาด
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาเพื่อการสื่อสาร รหัสวิชา GEN101
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า
คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GEN101
ภาษาไทยเพื่อการสื่อจัดทำขึ้นเพื่อให้ได้ศึกษาในเรื่องการ
ตีความและประเมินคุณค่า โดยได้ศึกษาผ่านหนังสือรางวัลซี
ไรต์ทั้งหมด ๑๑ เล่ม ๓ ประเภท ได้แก่ กวีนิพนธ์ เรื่องสั้น
และนวนิยาย
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อม
รับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ สิงโตนอกคอก
18 - 19 สรุปเนื้อเรื่อง
อมตะ 20 - 21 ตีความ
1 สรุปเนื้อเรื่อง
2 - 3 ตีความ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน
22 สรุปเนื้อเรื่อง
ลูกอีสาน 23 - 24 ตีความ
4 - 5 สรุปเนื้อเรื่อง
6 - 7 ตีความ เราหลงลืมบางอย่าง
25 สรุปเนื้อเรื่อง
ช่างสำราญ 26 - 28 ตีความ
8 - 9 สรุปเนื้อเรื่อง
10 - 11 ตีความ นครคนนอก
29 - 30 สรุปเนื้อเรื่อง
ปูนปิดทอง 31 - 32 ตีความ
12 สรุปเนื้อเรื่อง
13 - 14 ตีความ บ้านเก่า
33 - 41 สรุปเนื้อเรื่อง
ตลิ่งสูง ซุงหนัก 42 - 44 ตีความ
15 สรุปเนื้อเรื่อง
16 - 17 ตีความ นาฎกรรมบนลานกว้าง
45 - 47 สรุปเนื้อเรื่อง
48 - 50 ตีความ
ประเภท
น
ว
นิ
ย
า
ย
อมตะ
1
สรุปเนื้อหา เรื่องอมตะ
เรื่องอมตะเป็นนวนิยายสะท้อนสังคมที่ปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางด้าน
การแพทย์เทคโนโลยีและแสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่ต้องการจะ
เอาชนะธรรมชาติ และทำลายสัจธรรมของชีวิต คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดย
การนำเอาเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหาซึ่งก็คือการโคลนนิ่ง
มนุษย์และการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์
หรือคุณค่าของความเป็นมนุษย์กับคุณค่าทางวัตถุ ผ่านตัวละคร คือ พรหมมินทร์
อรชุน และชีวัน ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน พรหมมินทร์คือตัวแทนของ
วิทยาศาสตร์ อรชุนและชีวัน เป็นตัวแทนของศาสนา โดยพรหมมินทร์ได้นำวิธีการ
โคลนนิ่งมนุษย์มาโคลนนิ่งชีวันและอรชุนมาเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพื่อตนเองจะได้เป็น
อมตะแต่ชีวันและอรชุนต่างพยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในชีวิตของตนเองดัง
นั้นพรหมมินทร์คือตัวละครที่พยายามนำเอาวิทยาศาสตร์มาแสวงหาความเป็นอมตะ
ให้กับชีวิต โดยขาดจริยธรรมคุณธรรมที่ดีงาม ถ้าเชื่อว่าตัวตนนึกคิดของมนุษย์อยู่
ที่สมองตัวตนนั้นก็ตะเป็นพรหมมินทร์ ถ้าเชื่อว่าตัวความรู้สึกนึกคิดมาจากจิต ตัว
ตนนั้นก็จะคืออรชุน หรืออาจจะเป็นทั้งอรชุนพรหมมินทร์ รัตน์ติรัตน์ลูกสาวของ
เขาก็ได้ตั้งครรถ์กับตัวโคลนนิ่งของเขา ถ้านี่คือพรหมมินทร์เค้ามีชีวิตที่อมตะก็จริง
แต่ก็ต้องทนทรมาน ถ้านี่คืออรชุนแผนการของพ่อเค้าก็จะต้องสิ้นลงตังโคลนได้รับ
การปลดปล่อย แต่คนอ่านก็ต้องคอยระวังว่าถ้าเค้ามีอำนาจและเงินมากพอเค้าจะ
เป็นพรหมมินทร์คนที่สองรึเปล่า
2
ตีความ เรื่องอมตะ
นวนิยายสะท้อนสังคมที่ปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ เทคโนโลยี
และแสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่ต้องการจะเอาชนะธรรมชาติ และ
ทำลายสัจธรรมของชีวิต คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยการนำเอาเทคโนโลยีทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งก็คือการโคลนนิ่งมนุษย์และการเปลี่ยนถ่าย
อวัยวะ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ หรือคุณค่าของความ
เป็นมนุษย์กับคุณค่าทางวัตถุ ผ่านตัวละคร คือ พรหมมินทร์ อรชุน และชีวัน ที่มี
ความคิดเห็นแตกต่างกัน พรหมมินทร์ คือ ตัวแทนของวิทยาศาสตร์อรชุนและชีวัน
เป็นตัวแทนของศาสนา โดยพรหมมินทร์ได้นำวิธีการโคลนนิ่งมนุษย์มาโคลนนิ่งชีวัน
และอรชุนมาเปลี่ยน ถ่ายอวัยวะเพื่อตนเอง จะได้เป็นอมตะ แต่ชีวันและอรชุนต่าง
พยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในชีวิตของตนเอง ดังนั้นพรหมมินทร์คือตัวละครที่
พยายามนำเอาวิทยาศาสตร์มาแสวงหาความเป็นอมตะ ให้กับชีวิต โดยขาด
จริยธรรมคุณธรรมที่ดีงาม ถ้าเชื่อว่าตัวตนนึกคิดของมนุษย์อยู่ที่สมองตัวตนนั้นก็
ตะเป็นพรหมมินทร์ ถ้าเชื่อว่าตัวความรู้สึกนึกคิดมาจากจิต ตัวตนนั้นก็จะคืออรชุน
หรืออาจจะเป็นทั้งอรชุนพรหมมินทร์ รัตน์ติรัตน์ลูกสาวของเขาก็ได้ตั้งครรถ์กับตัว
โคลนนิ่งของเขา ถ้านี่คือพรหมมินทร์เค้ามีชีวิตที่อมตะก็จริงแต่ก็ต้องทนทรมาน ถ้านี่
คืออรชุนแผนการของพ่อเค้าก็จะต้องสิ้นลงตังโคลนได้รับการปลดปล่อย แต่คนอ่าน
ก็ต้องคอยระวังว่าถ้าเค้ามีอำนาจและเงินมากพอเค้าจะเป็นพรหมมินทร์คนที่สองรึ
เปล่า
ประวัติผู้แต่ง
วิมล ไทรนิ่มนวล (เกิด พ.ศ.2498)เป็นชาวอำเภอบางเลน จ.นครปฐม จบการศึกษา
ปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เคย
รับราชการเป็นครูอยู่ 10 ปี แล้วลาออก วิมล ไทรนิ่มนวลเริ่มมีผลงานการประพันธ์
เมื่อยังศึกษาอยู่ และผลงานเล่มแรกที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่ออายุ 27 ปี นับแต่นั้นมา
เขามีผลงานสร้างสรรค์ด้านวรรณกรรมทั้งประเภทนวนิยายและเรื่องสั้น ผลงาน
เรืองเด่นคือ งู คนทรงเจ้า (ได้สร้างเป็นภาพยนตร์) และ อมตะซึ่งเป็นนวนิยาย
รางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2543
3
วิเคราะห์ตัวบท
แก่นเรื่อง เน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่โคลนนิ่งคนอื่นมา
เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
โครงเรื่อง ผู้แต่งต้องการสื่อถึงวรรณกรรมที่แสวงหาสัจจะและปัญญาญาณเพื่อนำ
มนุษย์ไปสู่สันติสุขและเพื่อนำเสนอปรัชญาพุทธศาสนาให้ทุกคนหันมาสนใจ และนำไป
หาความรู้ต่อ
บทสนทนา ผู้แต่งเลือกใช้คำที่เรียบง่ายเข้าใจได้ง่าย ใช้ภาษาแบบชาวบ้านสลับกับใช้
ภาษาบรรยายสภาพสิ่งแวดล้อม
ฉาก เป็นฉากบ้านและบริษัท
บรรยากาศ เต็มไปด้วยความกดดัน ความเศร้า แล้วก็การถกเถียง
ตีความ
ตีความหา ผู้แต่งต้องการใช้เห็นถึงสัจธรรมของมนุษย์ความโหดร้ายและเห็นแก่ตัว
ตีความน้ำเสียง ผู้แต่งต้องการให้สะท้อนถึงศีลธรรมของตัวละคร คนมีเงินก็
ต้องการทำในสิ่งที่เค้าต้องการในส่วนของลูกก็ต้องรับกรรมในสิ่งที่พ่อแม่ทำไว้
ประเมินคุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ ผู้แต่งเลือกใช้ภาษาที่สะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้
อย่างลึกซึ้งไม่ว่าจะเป็นความกดดัน การถกเถียง ผู้แต่งสามารถใช้ภาษาสื่อความ
หมายตีปัญหาสังคมได้อย่างลึกซึ้ง
ด้านสังคม ผู้เเต่งต้องการสื่อให้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดของหลายหลาย
ฝ่าย ศีลธรรม สัจธรรม ธรรมมะ เป็นต้น
ด้านคุณธรรมและความดีงาม ผู้เขียนได้สื่อผ่านความรักความห่วงใยของผู้เป็นแม่ที่
เป็นห่วงเลยบอกความจริงกับลูกไปพร้อมอยากให้ลูกหนีไปไกลๆ กับความเห็นแก่ตัว
ของผู้เป็นพ่อ
ลูกอีสาน
สรุปเนื้อหา เรื่องลูกอีสาน 4
หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลซีไรต์ดีเด่นประเภทนิยายประจำปี พ.ศ. 2519 ของคณะ
กรรมการพัฒนาหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ผู้เขียนซึ่งเป็นชาวอีสานโดย
กำเนิดได้นำเอาประสบการณ์และเกร็ดชีวิตเมื่อสี่ สิบกว่าปีก่อนออกมาเขียน เล่า
ชีวิตช่วงเด็กในแผ่นดินที่ราบสูง สะท้อนออกมาเป็นเรื่องราว ชีวิตชนบทแสดงให้
เห็นถึงความเป็นอยู่สภาวะธรรมชาติ ความสุข ความทุกข์ และการต่อสู้อย่างทรหด
อดทน กับความแปรปรวนของธรรมชาตินับได้ ว่าเป็นงานเขียนที่มีค่า ต่อการศึกษา
สังคม ท้องถิ่นอีสานอย่างมาก
ลูกอีสาน เป็นการนำเอาเรื่องราวจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนพบเห็น ถ่ายทอดในรูป
ของนิยาย โดยได้เขียนเป็นตอนๆ ประมาณ 36 ตอน เพื่อพิมพ์ลงในนิตยสารฟ้า
เมืองไทย ช่วงปี พ.ศ. 2518 - 2519
ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องราวโดยผ่านเด็กชายคูน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นชนบท ของ
อีสานแถบที่จัดได้ว่าเป็นถิ่นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่งของไทยชีวิตความเป็นอยู่ของ
ครอบครัวเด็กชายคูน ประกอบด้วยพ่อแม่ และลูก 3 คน และเพื่อนบ้านในละแวก
นั้นไม่มีความแตกต่างกันนัก นั่นก็คือ ความจนข้นแค้นต้องหาอาหารตามธรรมชาติ
ทุกอย่างที่กินได้ เมื่อความแห้งแล้งอย่างรุนแรงมาเยือน ครอบครัวเพื่อนบ้านก็เริ่ม
อพยพออกไป แต่ครอบครัวของเด็กชายคูน และกลุ่มที่สนิทชิดเชื้อกันยังคงอยู่
เพราะเขามีพ่อและแม่ที่เอาใจใส่ ขยันขันแข็งไม่ย่อท้อภัยและอุปสรรคต่างๆ ตลอด
จนมองเห็นความสำคัญของการศึกษา แม้จะยากจนอย่างไร เด็กชายคูนก็ได้เข้า
เรียนในระดับการศึกษาประชาบาล เด็กชายคูนมีเพื่อนสนิทชื่อจันดี ผู้เป็นคู่หูในการ
ทำอะไรด้วยกันตาม ประสาเด็กผู้ชาย แล้วยังมีครอบครัวของทิดจุ่นและพี่คำกอง
สองสามีภรรยา เป็นต้น
ผู้เขียนได้เล่าถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ตลอดจนความเชื่อของชาวอีสาน โดย
ผ่านเด็กชายคูน รวมไปถึงการบรรยายถึงสภาพความเป็นไปตามธรรมชาติของผู้คน
และสภาพแวดล้อม เช่น การเกี้ยวพาราสีกันของทิดจุ่นและพี่คำกอง จนท้ายที่สุด
ก็ได้แต่งงานกัน การออกไปจับจิ้งหรีดของคูน การเดินทางไปหาปลาที่ลำน้ำชีเพื่อนำ
ปลามาทำอาหาร และเก็บถนอมเอาไว้กินนานๆ ด้วยการทำปลาร้า เป็นต้น เรื่องราว
ทั้งหมด นั้นเน้นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ แสดงวิธีการของการดำรงชีวิตตามธรรมชาติ
ในถิ่นอีสานเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนั้นยังแทรกความสนุกสนามเพลิดเพลินจากการ
ทำบุญตามประเพณีไว้หลายตอนด้วย ได้แก่การจ้างหมอลำหนู ซึ่งเป็นหมอลำ
ประจำหมู่บ้าน ลำคู่กับหมอลำ ฝ่ายหญิงที่ว่าจ้างมาจากหมู่บ้านอื่น ทั้งกลอนลำและ
การแสดงออกของหมอลำทั้งสองได้สร้างความสนุกสนานครึกครื้นแก่ผู้ชมที่มา
เที่ยวงานอย่างมาก
5
ลูกอีสานเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจากประสบการณ์ด้วยภาษาที่ตรงไปตรงมา
และแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวอีสานว่าต้องเผชิญกับความยาก
ลำบากอย่างไร การเรียนรู้ที่จะอดทนเพื่อเอาชนะกับความยากแค้นตามธรรมชาติ
ด้วยความมานะบากบั่น ความเอื้ออารีที่มีให้กันในหมู่คณะ ความเคารพในระบบ
อาวุโส สิ่งเหล่านี้ปรากฏอยู่ในแต่ละตอนของลูกอีสาน ดังที่พ่อของคูนบอกว่า
"...เรื่องน้ำใจ พ่อของคูนเคยสอนคูนเหมือนกันว่าคนมีชื่อนั้นคือ คน รู้จักสงสาร
คนและช่วยเหลือคนตกทุกข์ ถ้าไม่มีสิ่งของช่วย ก็เอาแรงกายช่วย และไม่เลือกว่า
คนๆ นั้นจะอยู่บ้านใด อำเภอใด"
6
ตีความ เรื่องลูกอีสาน
ตอนที่16 เตรียมตัวไปหาปลา
คืนหนึ่งที่อากาศร้อนอบอ้าวลุงเข้มก็เดินมาบอกครอบครัวของคูนว่า ชาวบ้านหลาย
ครอบครัวจะพากันไปจับปลากันจะไปด้วยกันหรือเปล่าพ่อก็บอกว่าไปและจะพาแม่ คูน
บุญหลาย ยี่สุ่น ไอ้มอมและไอ้แดงไปด้วย
ตั้งแต่วันนั้นพ่อกับแม่ก็พากันซ่อมแซมของที่จะไปจับปลา พ่อก็เอาแหมาดูว่ามันขาด
ตรงไหนหรือเปล่า ส่วนแม่ก็สานสวิงด้วยสำหรับช้อนปลาด้วยตัวเอง
และก็ยังมีเครื่องมือจับปลาอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า “มอง” ซึ่งมีลักษณะเหมือนอวนมาก
แต่เส้นเล็กกว่า
3.คำพูน บุญทวี (26 มิถุนายน พ.ศ. 2471 – 4 เมษายน พ.ศ. 2546) นัก
เขียนสารคดี เรื่องสั้น และนวนิยายเกี่ยวกับชีวิตของชาวไทอีสานและชีวิตคนในคุก ได้
รับรางวัลซีไรต์เป็นคนแรกของไทยเมื่อ พ.ศ. 2522 จากนวนิยายเรื่อง ลูกอีสาน และ
ได้รับยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปี พ.ศ. 2544
คำพูน บุญทวี เดิมชื่อ คูน เกิดเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2471 ที่บ้านทรายมูล ตำบล
ทรายมูล อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็นตำบลทรายมูล อำเภอ
ทรายมูล จังหวัดยโสธร) เป็นบุตรคนโตจากทั้งหมด 7 คนของนายสนิทและนางลุน
บุญทวี
คำพูนเรียนหนังสือที่บ้านเกิดจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนปรีชาบัณฑิต จาก
นั้นจึงเริ่มทำงานหลายอย่างในจังหวัดภาคอีสาน เป็นหัวหน้าคณะรำวง และขายยาเร่
ต่อมาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นกรรมกรรับจ้างรายวันที่ท่าเรือคลองเตย เป็นคนเลี้ยง
ม้าแข่ง เป็นสารถีสามล้อ จนกระทั่งสอบเป็นครูได้บรรจุที่ภาคใต้ ต่อมาแต่งงานกับ
นางประพิศ ณ พัทลุง เมื่อ พ.ศ. 2493 ซึ่ง นางสาว ประพิส ณ พัทลุง มีบุตรกับ
นางประพิส 8 คน แล้วมี ภรรยาอีกคนที่เป็นคน จังหวัดยโสธร
เขาเริ่มเขียนหนังสือครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2513 เมื่อครั้งยังเป็นผู้คุม ตอนนั้นมีปัญหา
เศรษฐกิจในครอบครัว เขาจึงมุมานะอ่านหนังสือ และเขียนเรื่องสั้น เรื่องสั้นเรื่องแรก
ที่เขาเขียน คือ "ความรักในเหวลึก" ส่งไปที่นิตยสาร ฟ้าเมืองไทย ของ อาจินต์ ปัญจ
พรรค์ อาจินต์ ปัญจพรรค์เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "นิทานลูกทุ่ง" พร้อมทั้งสนับสนุนให้เขา
เขียนหนังสือต่อไป เขาจึงเขียนนวนิยายเรื่องแรกคือ มนุษย์ 100 คุก
5.ลูกอีสาน แต่งโดย คำพูน บุญทวี ในรูปแบบนวนิยาย ผู้เขียนซึ่งเป็นชาว
อีสานโดยกำเนิดได้นำเอาประสบการณ์และ เกร็ดชีวิตเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนออกมาเขียน
เล่าชีวิตช่วงเด็กในแผ่นดินที่ราบสูงสะท้อนออกมาเป็นเรื่องราว ชีวิตชนบทแสดงให้เห็น
ถึงความเป็นอยู่สภาวะธรรมชาติ ความสุข ความทุกข์ และการต่อสู้อย่างทรหด อดทน
กับความแปรปรวนของธรรมชาตินับได้ว่าเป็นงานเขียนที่มีค่าต่อการศึกษาสังคมท้อง
ถิ่นอีสานอย่างมากโดยมีองค์ประกอบดังนี้
7
วิวิเคราะห์ตัวบท
แก่นเรื่อง : ได้ถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวอีสานในหมู่บ้านที่ห่างไกล
ความเจริญ
โครงเรื่อง : ลูกอีสานถ่ายทอดเรื่องราวจากประสบการณ์ด้วยภาษาที่ตรงไปตรง
มา และแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสานว่าต้องเผชิญกับความ
ยากลำบากอย่างไร การเรียนรู้ที่จะอดทนเพื่อเอาชนะกับความยากแค้นตาม
ธรรมชาติ
ตัวละคร : พ่อ แม่ เด็กชายคูน จันดี ทิดจุ่น พี่คำกอง
บทสนทนา : ผู้แต่งใช้ภาษาถิ่นในการสนทนา
ฉาก : ชุมชนในภาคอีสาน
บรรยากาศ : สภาพความเป็นไปตามธรรมชาติของผู้คนและสภาพแวดล้อม
ด้านวรรณศิลป์ เป็นเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่มี
นักเขียนชาวอีสานโดยกำเนิดฝีมือจรดปลายปากกายอดเยี่ยมถ่ายทอดงานเขียน
ออกสู่สายตาประชาชนจนเป็นความงดงามทางวรรณศิลป์แห่งภาษาไทย สามารถ
ให้ความสุขกับผู้อ่าน ผู้ที่สนใจ นวนิยายลูกอีสานให้ได้เสพธรรมชาติวิถีชีวิตบ้าน
นอกอยู่ในห้วงความทรงจำเสมอไป
ด้านสังคม ชีวิตชนบทแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่สภาวะธรรมชาติ ความ
สุข ความทุกข์ และการต่อสู้อย่างทรหด อดทนกับความแปรปรวนของธรรมชาติ
นับได้ว่าเป็นงานเขียนที่มีค่าต่อการศึกษาสังคมท้องถิ่นอีสานอย่างมาก
ด้านคุณธรรม โครงเรื่องและเนื้อเรื่องของลูกอีสานนั้น ได้สะท้อนให้เห็น
คุณค่าของความเป็นอีสาน ผู้แต่งได้สะท้อนภาพชีวิตที่สมจริงและยังมีการสอด
แทรกคุณธรรมให้ตระหนักถึงความเป็นลูกอีสานได้อย่าแท้สมบูรณ์แบบ ทั้งการ
บรรยายฉาก ที่มีความเป็นจริง บรรยายตัวละครแต่ละตัวได้อย่างเห็นภาพออกมา
ราวกับว่าผู้อ่านได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น บางตอนก็สามารถที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับรู้
ถึงอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้อย่างแจ่มแจ้ง บทสนทนาที่มีคำพูดที่
ชัดเจน แสดงถึงเจตนาที่ทราบได้ทันทีและแฝงด้วยคำสอน
ช่างสำราญ
8
สรุป เรื่องช่างสำราญ
ลักษณะของการนำเสนอเรื่องแบบนี้นี่เองคือสิ่งที่พบในงานเขียน “ช่างสำราญ”
แก่นของนวนิยายเรื่องนี้มีความเป็นโศกนาฏกรรม (tragedy) ที่มีกำพล ช่าง
สำราญเป็น tragic hero แต่เหตุการณ์และตัวละครอื่นๆที่อยู่รายล้อมกำพลคือ
องค์ประกอบที่ทำให้ “ช่างสำราญ” มีลักษณะของความเป็นสุขนาฏกรรม
(comedy) ขึ้นมา นวนิยายทั้งเรื่องประกอบกันขึ้นมาจาก 38 ตอนย่อย เรื่องราว
ใน 38 ตอนนั้นมักจะจบในตอน ไม่ได้มีเนื้อเรื่องเชื่อมโยงกันจะมีก็เพียงบางตอน
เท่านั้นที่มีเนื้อเรื่องต่อกัน เช่นในตอน “แม่มาแล้ว” ที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับตอน “พ่อ
แม่ กำพล และชายคนนั้น” หรือในตอน “เรือใหญ่กว่ารถบรรทุก” กับตอนสุดท้าย
ของเรื่องคือตอน “กำพลได้ขึ้น...สวรรค์”ในแต่ละตอนก็มีเรื่องราวที่แตกต่างกันเช่น
เดียวกับรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละตอนที่ให้ความรู้สึกที่หลากหลายกันไปแก่ผู้
อ่าน เช่น ผู้อ่านอาจเกิดความรู้สึกหดหู่และตีบตันในลำคอ เมื่ออ่านตอน “บ้านใหม่”
(หน้า 63) เมื่อความปรารถนาของกำพลและผู้อ่านกำลังจะสมหวังเมื่อพ่อของกำ
พลมารับเด็กชายไปอยู่ด้วยในที่สุด แต่แล้วทั้งกำพลและผู้อ่านก็รู้สึกผิดหวังไม่แพ้
กันเมื่อสุดท้ายกำพลไม่สามารถอยู่กับพ่อและน้องที่ “บ้านใหม่”ได้ตามใจหวังและ
เรื่องราวในตอนนั้นก็จบลงที่กำพลถูกพ่อนำมาส่งเอาไว้ที่ชุมชนห้องแถวคุณแม่ทอง
จันทร์ดังเดิม เช่นเดียวกับในตอน “แม่มาแล้ว” (หน้า 161) ที่แม่มารับกำพลไปอยู่
ด้วย แต่ชะตากรรมของกำพลก็ต้องซ้ำรอยเดิมอีกครั้งเมื่อแม่ของกำพลจากไปและ
ทิ้งกำพลไว้เบื้องหลังเป็นครั้งที่สองในตอน “พ่อ แม่ กำพล และชายคนนั้น” (หน้า
167) อย่างไรก็ดี ช่วงชีวิตของกำพลที่อยู่ภายใต้ความดูแลของสมาชิกแห่งชุมชน
ห้องแถวคุณแม่ทองจันทร์นั้นก็ปรากฏให้เห็นในแง่มุมของความสนุกสนานของชีวิต
ในวัยเด็ก และความเอื้อเฟื้อของเพื่อนร่วมโลกที่ยังคงเหลืออยู่แม้จะเป็นสิ่งที่บางคน
คิดว่ามันเหือดหายหมดไปจากสังคมแล้ว สิ่งเหล่านี้คือ ความ “สำราญ” ที่ปรากฏให้
เห็นในชีวิตของกำพล เช่นในตอน “จันทร์เจ้า” (หน้า 99) อันเป็นตอนหนึ่งที่แสดง
ให้เห็นถึงบางแง่มุมของการหาความสุขใส่ชีวิตของเด็กๆและสมาชิกในชุมชนห้อง
แถวคุณแม่ทองจันทร์ ในตอนนี้ปรากฏความต้องการส่วนลึกของกำพลในการ
ต้องการคนมาดูแลเลี้ยงดูแทนพ่อแม่ เมื่อนายชงถามว่ากำพลจะขออะไรจากดวง
จันทร์ และกำพลตอบว่า “ขอยายเกิด” อันเป็นคำจากบทเพลงจันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าที่
มีตอนหนึ่งร้องว่า “ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง” (หน้า 102) ท่ามกลางความเงียบ
งันของคำ
9
ตอบของกำพล พลันไอ้จั๊วโพล่งออกมาว่า “ยายเกิดไม่มีหรอก มีแต่สัปเหร่อเกิดจะ
เอามั้ย” ความเศร้าสร้อยของบรรยากาศได้ถูกกลบด้วยคำพูดของไอ้จั๊วที่ไม่ได้ดึงผู้
อ่านให้จมลงไปสู่ความเศร้าแต่ก็ทำให้ผู้อ่านยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกว้าเหว่ที่ขาด
พ่อและแม่ของกำพลที่ยังคงลอยอยู่ในบรรยากาศของเรื่อง เช่นเดียวกับในตอน
“จิ้งหรีด” (หน้า 129) ที่จิ้งหรีดที่กำพลเลี้ยงไว้และตั้งชื่อให้เป็นตัวแทนของ
ครอบครัวของเขา ถูกลุงดำเอาไปทอดกินด้วยความเข้าใจผิด ตอน “ผมไม่ใช่ผม”
(หน้า 191) ที่กำพลสร้างบุคลิกของ “ผู้ปกครองของกำพล” มาเป็นผู้ช่วยดูแลตัว
เอง เพราะกำพลไม่มีพ่อแม่ช่วยดูแลเหมือนคนอื่นๆ นี่เป็นตัวอย่างจากหลายๆตอน
ที่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับกำพลถูกนำเสนอออกมาด้วยวิธีการและภาษาที่
สามารถสร้างรอยยิ้มให้ผู้อ่านได้แต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของกำ
พล และยังคงตระหนักได้ถึงชะตากรรมที่กำพลยังคงต้องเผชิญอยู่ ลักษณะของ
เรื่องราวเบาสมองที่มีความอารมณ์ดี ไม่ถึงกับชวนหัวสร้างเสียงหัวเราะ แต่ก็ให้
รอยยิ้มบางๆไปพร้อมๆกับการตระหนักถึงปมปัญหาของตัวละครที่ยังไม่ได้รับการ
คลี่คลายคือ ลักษณะของความเป็น tragicomedy แห่งยุคสมัยใหม่ที่ปรากฏให้
เห็นในช่างสำราญ
ตีความ เรื่องช่างสำราญ 1
0
เรื่องเด่น “พ่อ แม่ กำพล และชายคนนั้น” (หน้า 167) อย่างไรก็ดี ช่วงชีวิตของ
กำพลที่อยู่ภายใต้ความดูแลของสมาชิกแห่งชุมชนห้องแถวคุณแม่ทองจันทร์นั้นก็
ปรากฏให้เห็นในแง่มุมของความสนุกสนานของชีวิตในวัยเด็ก และความเอื้อเฟื้อ
ของเพื่อนร่วมโลกที่ยังคงเหลืออยู่แม้จะเป็นสิ่งที่บางคนคิดว่ามันเหือดหายหมดไป
จากสังคมแล้ว สิ่งเหล่านี้คือ ความ “สำราญ” ที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตของกำพล
ประวัติผู้เขียน
เดือนวาด พิมวนา เป็นนามปากกาของ พิมใจ จูกลิ่น นักเขียนสตรีจากภาคตะวัน
ออก เกิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2512 ในครอบครัวชาวไร่ จบการศึกษาจาก
วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดชลบุรี ทำงานหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนลา
ออกมาเขียนหนังสืออย่างจริงจัง ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรก "สายลมที่พัดผ่านสวน
ร้าง" ตีพิมพ์ในนิตยสารแพรว เมื่อปี 2532 เรื่องสั้นของเธอสามเรื่องได้แก่ "รอย
ภาพ" (2535) ได้ประดับช่อการะเกด เรื่องสั้น "ผู้บรรลุ” (2536) ได้ประดับช่อ
การะเกด โดยควบรางวัลเรื่องสั้นช่อการะเกดยอดเยี่ยมและรางวัลช่อการะเกดยอด
นิยม นับเป็นนักเขียนหญิงคนแรกที่ได้รับการประดับช่อสองหน และได้รับรางวัล
ยอดเยี่ยมและยอดนิยมสองรางวัลในเรื่องสั้นเรื่องเดียวกัน ผลงานรวมเรื่องสั้น
เรื่องแรกคือ "หนังสือเล่มสอง" ตีพิมพ์เมื่อปี 2539 และเป็นหนึ่งในเจ็ดเล่มสุดท้าย
ในการประกวดรางวัลซีไรต์ ก่อนที่จะมาคว้ารางวัลซีไรต์ประจำปี 2546 ได้สำเร็จ
จากนวนิยาย “ช่างสำราญ” ปัจจุบันเธอปักหลักเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านเกิดและ
ผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง
ชีวิตในโลกที่ถูกละเลย อาจเป็นถ้อยสรุปรวบรัดชัดเจนที่อธิบายถึงภาพรวมความ
หมายเชิงกว้างของ “ช่างสำราญ”ผลงานนวนิยาย ‘เล่มแรก’ ของเดือนวาด พิมวนา
ได้เป็นอย่างดีทว่าผลงานที่กลายเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
ประจำปี2546หรือที่รู้จักกันในนาม ‘รางวัลซีไรต์’เล่มนี้ก็หาได้ให้น้ำหนัก
กับการตีแผ่แง่ร้ายแห่งชีวิตเป็นสำคัญตรงกันข้าม เรื่องราวใน ‘ช่างสำราญ’ พร้อม
จะประทับแน่นอยู่ในซอกหลืบแห่งความทรงจำของผู้อ่านไม่รู้สิ้น โดยเฉพาะในยาม
ถวิลหาแง่งามความดีที่มนุษย์เราพึ่งมีต่อกัน
1
ตัวิเคราะห์ตัวบท 1
ช่างสำราญเป็นประเภทนวนิยาย สะท้อนถึงปัญหาด้านสังคมที่เริ่มจากสิ่งเล็กๆนั้น
คือสถาบันครอบครัวที่มีผลต่อตัวเด็กเป็นอย่างมากพอเด็กคนนึงเกิดมาโดยที่แม่
และพ่อไม่เคยอบรมทำให้เด็กคนนึ่งต้องใช้ชีวิตโดยโดดเดียว
แก่นเรื่อง ผู้แต่งทำให้เห็นถึงความไร้เดียงสาของเด็กซึ่งเปรียบเสมือนผ้าขาวที่โดน
พ่อและแม่เติมสีใส่ลงไปแต่กำลเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่รังแกฉันที่กำพลต้อง
คอยเดินเองไม่มีใครมาค่อยแนะนำแนวทาง
โครงเรื่อง ผู้แต่งกำหนดให้เห็นถึงเด็กคนนึงที่ถูกทอดทิ้งของผู้เป็นพ่อและแม่
ตัวละคร ผู้แต่งได้กล่าถึงตัวละครเด่น ๆได้แก่ 1.กำพล2.นางน้ำฝน3.นาย
วสุ4.แม่ทองจันทร์
บทสนทนา ผู้แต่งได้ใช้ภาษาชาวบ้านในการสนทนา
ฉาก เป็นฉากในชุมชนและบ้านเรื่อนแถวนั้น
บรรยากาศ เป็นไปด้วยความความถูกทอดทิ้ง หม่นหมอง
การตีความ โศกนาฏกรรมของ Aristotle นั้นคือ บุคคลที่มีชื่อเสียงและความ
รุ่งเรือง มีสถานะทางสังคมอันสูงส่ง อาจเป็นกษัตริย์ นักรบ หรือขุนนางชั้นสูง เช่น
Oedipus Thyestes หรือ Macbeth ความหายนะที่เกิดขึ้นแก่เขานั้นไม่ได้เกิด
จากความชั่วร้ายและเลวทราม แต่เกิดจากใช้วิจารณญาณที่ผิดพลาดของตนเอง
ตีความน้ำเสียง สะท้อนให้เห็นความรับผิดชอบของสังคมในชีวิตของเด็กในความไร้
เดียงสาก็ยังมีความหวังยังเฝ้ารอคอยให้พ่อแม่ได้กลับมาพร้อมมีความน้อยเนื้อ
ต่ำใจจากการถูกทอดทิ้ง
การประเมิน
ด้านวรรณศิลป์ ผู้เขียนได้เลือกใช้ภาษาที่สะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของเด็กที่ถูก
ทอดทิ้งให้อยู่ในชุมชนที่โดดเดียวซึ่งจะกลายมาเป็นเป็นปัญหาสังคมที่เกิดจาก
สถาบันครอบครัว
ด้านสังคม สะท้อนปัญหาสังคมที่เริ่มจากจุดเล็กๆในสังคม เมื่อครอบครัวแตกแยก
พ่อแม่ทิ้งลูกให้กลายเป็นเด็กกำพร้าจนเด็กกลายเป็นความรับผิดชอบของสังคมใน
ชีวิตของเด็กมนคามไร้เดียวสาก็ยังมีความหวังยังคงเฝ้ารอคอยพ่อแม่ให้กลับมา
ด้านคุณธรรมและความดีงาม ตรงกันข้าม ผู้เขียนกลับเลือกเสนอให้เห็นระบบ
ความสัมพันธ์ อันสะท้อนถึงเยื่อใยไมตรีที่นับเป็นพลังเชิงบวกมากกว่า ราวจะสื่อ
ว่า.. แท้แล้วการดำรงอยู่ของผู้คน ถึงแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้น แต่มันก็จะสามารถ
ดำเนินไปได้เสมอ หากมนุษย์เราไม่อัตคัดน้ำจิตน้ำใจแก่เพื่อนร่วมสายพันธุ์ เรื่องราว
ใน "ช่างสำราญ" พร้อมจะประทับแน่นอยู่ในซอกหลืบแห่งความทรจำของผู้อ่านไม่รู้
สิ้น โดยเฉพาะในยามถวิลหา "แง่งามความดี" ที่มนุษย์เราพึงมีต่อกัน!
ปูนปิดทอง
สรุป เรื่องปูนปิดทอง 1
2
ตัวละครเอกคือ สองเมืองและบาลี ทั้งสองคนมีปัญหาครอบครัวที่เหมือนกัน ซึ่ง
ต่างก็มาจาก ครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน ทั้งสองคนมีความข่ม
เป็นนวนิยายที่เกี่ยวกับ ปัญหาของครอบครัวใน สังคมไทย ส่วนใหญ่ที่มี ขื่น
ใจใจมากเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ บาลีพยายาม ทําความเข้าใจในปัญหาดังกล่าว และ
ชักจูงให้สอง เมืองลืมความข่มขื่นใจในวัยเด็กให้โอกาสแก่พ่อแม่ และสมาชิก ใน
ครอบครัวกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยเหตุนี้สองเมืองจึงรักบาลี และมั่นใจว่าชีวิตคู่
ของเขาและเธอจะไม่ล้มเหลวเช่นเดียวกับชีวิตของ พ่อแม่ เขาตั้งใจว่าเขาจะเป็นพ่อ
แม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงรูปหล่อ ด้วยปูนที่ปิดทอง ซึ่งย่อมไร้ ค่าเพราะ
เป็นได้เพียงปูนปิดทองเท่านั้น ปัญหาที่ กฤษณา อโศกสิน หยิบยกมาในครั้งนี้คือ
ปัญหาสำคัญในสังคมไทยปัจจุบัน ที่แทบจะกล่าวได้ว่าไม่อาจเยียวยาได้ ด้วยว่าเป็น
เรื่องสลับซับซ้อนและเปราะบางทางความรู้สึกอย่างเหลือหลาย นั่นคือ ปัญหาใน
ชีวิตสมรสที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตครอบครัว สถิติการหย่าร้าง คดีฟ้อง
ร้องที่สืบเนื่องจากความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ล้มเหลว สถิติการทำผิดของเยาวชนที่เพิ่ม
ขึ้น ปัญหาเยาวชนกับยาเสพติด ปัญหาเด็กบ้านแตกที่ทำให้ครูต้องกุมขมับมาไม่รู้
เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ คือหลักฐานยืนยันผลของปัญหาดังกล่าว ดูเหมือนว่า กฤษณา
อโศกสิน นักเขียนมีฝีมือผู้ที่มีวัยเพิ่มขึ้น ไม่อาจทนได้ที่จะเห็นปัญหานี้ดำเนินต่อไปใน
สังคมไทย โดยที่เธอมิได้มีส่วนเข้าร่วมในการช่วยกอบกู้สถานการณ์อันย่ำแย่ครั้งนี้
เลย
ตีความ เรื่องปูนปิดทอง 1
3
ประวัติ
การศึกษา ชั้นประถมศึกษา ระหว่างอายุ 5 ขวบ ถึง 8 ขวบ ที่โรงเรียนราษฎร์
จังหวัดอ่างทองและโรงเรียนบุนนาควิทยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอายุ 9 ขวบ
ได้เข้ามาเป็นนักเรียนประจำโรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด จาก ม.1 จนจบเตรียม
อุดมศึกษา พ.ศ. 2492 เข้าเป็นนักศึกษาคณะพาณิชยศาตร์และการบัญชีเรียนอยู่
2 ปี จึงสอบเข้ารับราชการกรมประมง กระทรวงเกษตร รับราชการกำหนด 17 ปี
ลาออกจากราชการเพื่อเขียนหนังสือเป็นอาชีพ เมื่อกุมภาพันธ์ 2512 ตำแหน่ง
ราชการครั้งสุดท้ายคือบรรณารักษ์ตรีประจำห้องสมุดกรมประมง
แรงบบันดาลใจของการเขียน กฤษณา อโศกสิน ได้มองเห็นถึงปัญหาของ
สังคมในยุคนั้นทำให้เธอไม่สามารถที่จะนิ่งดูดายได้จึงต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ให้ผู้คน
ได้อ่านและได้เห็นปัญหาของสังคมได้ในตอนนั้น
วิเคราะห์ตัวบท
เรื่องปูนปิดทอง เป็นนวนิยายแสดงปัญหาของสังคมในช่วงเวลานั้นโดยวางแนว
ทางหผู้อ่านได้ทราบถึงปัญหาและมองย้อนตนเองเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ โดยมีองค์
ประกอบดังนี้
แก่นของเรื่อง เน้นให้เห็นปัญหาของสังคมและสถิติของเด็กที่ไม่ได้รับการดูแลอย่าง
เพียงพอ
โครงเรื่อง ผู้แต่งอยากให้สังคมได้เห็นถึงปัญหาการที่เด็กที่ไม่ถูกได้ความดูแลจาก
พ่อแม่อย่างดีและผลกระทบที่จะเกิดต่อไปในอนาคตของเด็ก
ตัวละคร ผู้แต่งกำหนดตัวละครไว้ทั้งหมด 7 ตัว ได้แก่ นายบุรี วนาเลข,
นายทวี มธุรา นายอัศวิน อธิบดีกรมหนึ่งในวงราชการ,นาง ฝรั่ง,นางสายทอง,นาย
สองเมือง,นางสาวบาลี
บทสนทนา ที่เขียนด้วยภาษา สำนวนมีโวหารเปรียบเปรยที่ดีมาก ก่อให้เกิดความ
สะเทือนอารมณ์ และสร้างความสมจริงเป็นธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นครอบครัวซึ่ง
เป็นสิ่งสำคัญมากของชีวิต
ฉาก เป็นฉากในชุมชนเล็กๆ มีบ้านสังกะสีเก่าๆ
บรรยากาศ เป็นไปด้วยความรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง
1
ตีความ 4
ตีความเนื้อเรื่อง จะเห็นได้ว่าผู้แต่งหยิบยกเรื่องสถาบันครอบครัวเรื่องของ
พ่อแม่แล้วให้คนรุ่นลูกวิพากษ์การกระทำของรุ่นพ่อรุ่นแม่ซึ่งทำไม่ดีกับดี และลูกก็มี
หลากหลาย ลูกที่รู้สึกเจ็บแค้นอยากจะโต้กลับพ่อแม่โดยการที่ทำตัวให้เลวร้าย ไป
เป็นขี้เมา ติดยาเสพติด อันนี้เราฟังกันมาเยอะว่าลูกไม่ได้รับการอบรมทำให้
ครอบครัวมีปัญหา
ตีความน้ำเสียง ผู้แต่งจะใช้น้ำเสียงสะท้อนให้เห็นความลำบากของเด็กความ
สิ้นหวังของเด็กความน่ากลัวของสังคมที่เด็กจะต้องเผชิญตั้งแต่อายุน้อยๆ
ประเมินคุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ ผู้แต่งได้เขียนด้วยภาษา สำนวนมีโวหารเปรียบเปรยในการ
เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อให้ได้รับรสของความรู้สึกในเนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง
ด้านสังคม ผู้แต่งได้เห็นถึงปัญหาของเด็กๆที่กำลังประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่
ควรจะเกิดกับเด็กคนๆนึงในตอนนั้น
ด้านคุณธรรมและความดีงาม ผู้แต่งอยากให้ผู้ใหญ่ทุกคนที่คิดจะมีลูกหรือ
พลาดทำให้เด็กเกิดขึ้นมาแล้วควรจะตั้งใจดูแลเด็กให้ดีชี้แนะไปในทางที่ดีไม่ให้เด็ก
ออกนอกทางเพื่ออนาคตของตัวเด็กเอง
ตลิ่งสูง ซุงหนัก
สรุป เรื่องปตลิ่งสูง ซุงหนัก 1
5
ตลิ่งสูง ซุงหนัก เป็นเรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างช้างกับคน
คำงายรักพลายสุดซึ่งเป็นช้างที่เติบโตมาด้วยกันมาก จนกระทั่งพ่อมีความจำเป็น
ต้องขายช้างให้พ่อเลี้ยงเพื่อเอาเงินมารักษาตัว เป็นเหตุให้คำงายไม่ได้เป็นควาญช้าง
อย่างที่ฝันไว้ และหันไปเป็นช่างแกะไม้และช่างสตัฟฟ์สัตว์แทน โดยที่ได้แต่เสียดาย
และเฝ้าคิดถึงช้างเสมอมาต่อมา เมื่อแต่งงานมีครอบครัวและบุตรชายแล้ว คำงาย
ซึ่งรักพลายสุดมากได้แกะสลักช้างไม้ที่สง่างามเหมือนพลายสุด เขาอุทิศทั้งกายและ
ใจทั้งหมดในการแกะช้างไม้นั้น และในขณะเดียวกันเขาก็คิดว่าเป็นวิธีเดียวที่เขาจะได้
ใกล้ชิดช้างที่เขารัก เมื่อเวลาผ่านไป และเกิดเหตุร้ายขึ้น คำงายจึงได้เป็นควาญของ
พลายสุดในที่สุด ชีวิตรับจ้างลากซุงให้พ่อเลี้ยงสะท้อนให้เขาเห็นความหมายที่แท้
จริงของชีวิต โดยเห็นว่า มิใช่พลายสุดเท่านั้นที่ลากซุง เขาเองและทุกชีวิตต่างก็
กำลังลากซุงด้วยกันทั้งนั้นเพราะความอดอยาก หิวโหยเป็นสิ่งบังคับให้ทำเช่นนั้น
และคนเรานั้นมัวแต่รักษาซากที่ไม่มีชีวิต หากแต่ไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย
พลายสุด...หรือชื่อเต็ม ๆ ว่าพลายสุดสง่า เกิดปีเดียวกับคำงาย
เขาคลุกคลีเล่นหัวอยู่กับมันมาแต่เล็ก ๆ
แต่วันหนึ่งเมื่อเขาไปเป็นทหารอยู่สองปีแล้วกลับมาบ้านเขาก็พบว่าพ่อของเขาได้ขาย
พลายสุดให้กับพ่อเลี้ยงไปเสียแล้ว...เพื่อนำเงินมารักษาตัวที่ป่วย แต่ถึงแม้จะได้เงิน
มาจากการขายพลายสุด พ่อของเขาก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
คำงายรู้สึกผูกพันและอาลัยในตัวพลายสุด แต่ก็ต้องยอมรับความจริง
พ่อเลี้ยงมีโรงแกะสลักและสตัฟฟ์สัตว์ต่าง ๆเมื่อคำงายไปทำงานด้วยเขาก็เรียนรู้วิธี
แกะสลัก และสตัฟฟ์สัตว์จนชำนาญ
คำงายตั้งใจจะแกะสลักช้างไม้ขนาดใหญ่ด้วยไม้ชิงชัน เพื่อขอแลกกับพลายสุดคน
มา...เขาทุ่มเททั้งหยาดเหงื่อ แรงงานและเวลาให้กับงานแกะสลักช้างไม้อยู่หลายปี
ตั้งแต่ลูกชายเขายังตัวเล็ก ๆ
เขาให้สัญญากับลูกว่าวันหนึ่งเขาจะพาลูกขี่ช้างไปเที่ยวเล่นด้วยกัน...
แต่วันหนึ่ง...เกิดอุบัติเหตุลูกชายเขาจมน้ำตายขณะที่ไปตกปลาในแม่น้ำที่พวกเขาใช้
ชีวิตอยู่กับมันมาจนเหมือนปลาตัวหนึ่ง...
หลังจากเสียลูกชายคำงายก็ไม่ได้กลับเข้าไปในเพิงที่เขาแกะสลักช้างไม้ค้างไว้อีก
เลย...และเขาก็ไม่สามารถสตัฟฟ์สัตว์ได้อีกแล้ว...เขาจึงขอไปเป็นควาญช้างชักลาก
ซุงแทนเวลาต่อมา...พลายสุดถูกขโมยตัดงาจนกุดทั้งสองข้าง จนใคร ๆ เปลี่ยนคำ
เรียกขานจากพลายสุดเป็นพลายกุด...คำงายเฝ้าดูแลเอาใจใส่ รักษาแผลให้มัน จน
มันหายดีและกลับมาทำงานได้เหมือนเคยเมื่อพ่อเลี้ยงได้เห็นช้างไม้ที่คำงายแกะสลัก
ค้างไว้ก็พอใจ ตกลงขอแลกกับพลายสุด... แต่...วันสุดท้ายที่คำงายกับพลายสุดไป
ชักลากซุงขึ้นตลิ่งด้วยกัน...ด้วยตลิ่งที่สูงและซุงที่หนักเกินกำลังทั้งคนและช้างจึง
พลั้งพลาด...คำงายเสีย "ชีวิต" ที่เขาเพิ่งจะค้นพบความหมายไปพร้อม ๆ กับพลาย
สุดนั่นเอง
ตีความ เรื่องตลิ่งสูง ซุงหนัก 1
6
ประวัติ
นิคม รายยาวา
นิคม รายยวา เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2487 ที่ตำบลหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จังหวัด
สุโขทัย ศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนเชลียง และระดับปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์
จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มต้นการทำงานกับ บริษัทธุรกิจเดี่ยวกับน้ำมัน
ปิโตรเลียมในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปทำงานอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทาง
ภาคใต้ ระยะหลังสนใจเกษตรแบบคนต่างเมือง ลงมือทำสวนโกโก้ โดยเซาะป่าเป็น
ร่อง ใช้แนวไม้เป็นร่มไพร โกโก้เสียหายหมดทั้ง 50,000 ต้น ปัจจุบันหันมาเรียนรู้
จากเกษตรกรในท้องถิ่นดั้งเดิม เพื่อทำสวนยางพารา
คุณ นิคม รายยวา เริ่มเขียนเรื่องสั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510เรื่องที่กำลังเขียนอยู่และ
ยังไม่จบได้แก่ "ทะเลขี้ผึ้ง" และ "โกโก้ 50,000 ต้น"
วิเคราะห์ตัวบท
เรื่องตลิ่งสูง ซุงหนัก เป็นนวนิยายผู้แสวงหาความหมายและคุณค่าของชีวิต และ
พบว่าทุกคนมีการเกิดและความตายอย่างละหนึ่งหนเท่ากัน แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างกลาง
นั้นเป็นชีวิต เราต้องหาเอาเอง
แก่นของเรื่อง เน้นให้รู้จักการรักษาในสิ่งที่เรามีอยู่จะได้ไม่มาเสียดายในตอนที่เสีย
มันไป
โครงเรื่อง เรามุ่งแต่รักษาซากที่ไม่มีชีวิต แต่ไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย สิ่ง
เดียวที่จะเก็บความมีชีวิตนั้นไว้ คือ เลี้ยงมัน รักมัน ถนอมมัน และทุกชีวิตมีความ
สัมพันธ์ที่โยงใยถึงกันและกัน
ตัวละคร คำงาย,พลายสุดสง่า,มะจัน,บุญฮาม
บทสนทนา พ่อเลี้ยงมาที่โรงงาน คำงายจึงได้เข้าไปคุยกับพ่อเลี้ยง เรื่องจะขายช้าง
ไม้ให้และแลกกับพลายสุด พ่อเลี้ยงตอบตกลง นับแต่นั้น เขาจึงได้ดูแลพลายสุด เขา
พาพลายสุดไปลากซุงท่อนใหญ่ริมตลิ่ง แต่ลากอย่างไร ซุงก็ไม่เคลื่อน จนขอบตลิ่ง
พัง โซ่ขาด ซุงกลิ้งทับตัวคำงาย และช้างทับซุงไปมา ทำให้คำงายและพลายสุดต้อง
ตายพร้อมกัน ผู้แต่งใช้ภาษาชาวบ้าน
ฉาก บ้าน,โรงแกะสลัก
บรรยากาศ หดหู่,โศกเศร้า
1
การตีความ 7
การตีความเนื้อหา ผู้แต่งได้สะท้อนให้เห็นถึงคำงายได้มีความผูกพันธ์กับช้างเลี้ยงที่
ชื่อพลายสุด ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อพลายสุดถูกขายให้กับพ่อเลี้ยง เขาคิดจะแกะช้าง
ไม้ เพื่อแลกกับพลายสุด เขาใช้เวลาคร่ำเคร่งจนไม่สนใจว่า สิ่งที่เป็นชีวิตมีจิตใจ ที่
วนเวียนอยู่รอบตัวเขาเป็นอย่างไร จนเมื่อเขาสูญเสียลูกชาย และเริ่มคิดว่า ชีวิตคน
เรานั้น เรามุ่งแต่รักษาซากที่ไม่มีชีวิต แต่ไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย
การตีความน้ำเสียง ผู้แต่งมีเจตนาจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักความผูกพันระหว่าง
ช้างกับคนคำงายรักพลายสุดซึ่งเป็นช้างที่เติบโตมาด้วยกันมาก จนกระทั่งพ่อมี
ความจำเป็นต้องขายช้างให้พ่อเลี้ยงเพื่อเอาเงินมารักษาตัว เป็นเหตุให้คำงายไม่ได้
เป็นควาญช้างอย่างที่ฝันไว้ และหันไปเป็นช่างแกะไม้และช่างสตัฟฟ์สัตว์แทน โดยที่
ได้แต่เสียดายและเฝ้าคิดถึงช้างเสมอมา
การประเมินคุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ ผู้แต่งได้เขียนด้วยภาษา สำนวนมีโวหารเปรียบเปรยในการเขียน
หนังสือเล่มนี้เพื่อให้ได้รับรสของความรู้สึกในเนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง
ด้านสังคม ผู้แต่งได้เห็นถึงปัญหาของการไม่เห็นคุณค่าของชีวิตของสัตว์และคน
ด้านคุณธรรมและความดีงาม เป็นเรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างช้างกับคน
คำงายรักพลายสุดซึ่งเป็นช้างที่เติบโตมาด้วยกันมาก
และ 'สัจธรรมชีวิตจากควาญช้าง'
ประเภท
เ
รื่
อ
ง
สั้
น
สิ่งโตนนอกคอก
สรุป เรื่องปตลิ่งสูง ซุงหนัก 1
8
สิงโตนอกคอก คือหนึ่งในเรื่องสั้นที่ถูกรวบรวมไว้ในผลงานรวมเรื่องสั้นในชื่อ
เดียวกันของ จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท ซึ่งได้รับรางวัลซีไรต์ไปเมื่อปี 2560 ที่
ผ่านมา ส่งให้จิดานันท์กลายเป็นนักเขียนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับ
รางวัลนี้
เรื่องสั้นที่ถูกรวบรวมไว้ในสิงโตนอกคอก ล้วนมีลักษณะแบบดิสโธเปียนกล่าว
คือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลากหลายโลกสมมติที่ผู้เขียนสร้างขึ้น โดยมี 9 เรื่อง
ดังนี้ 1.จะขอรับผิดทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว 2.ในโลกที่ทุกคนอยากเป็นคนดี 3.โอน
ถ่ายความเป็นมนุษย์ 4.รถไฟเที่ยงคืน 5.อดัมกับลิลิธ 6.ซินเดอร์เรลล่าแห่งเมือง
หุ่นยนต์ 7.กุหลาบย้อมสี 8.สมาชิกในหลุมหลบภัย 9.สิงโตนอกคอก จะถูก
ออกแบบให้มีลักษณะที่สะท้อนปัญหาบางประการในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น
เมืองที่มีฤดูหนาวอันโหดร้ายยาวนาน และมีทางรอดเพียงทางเดียวคือการยอมเผา
หนังสืออันล้ำค่า สังคมที่ผู้คนถูกตัดสินความชั่วและประหารชีวิตด้วยไพ่ประจำตัว
ความรักและการพลัดพรากที่เกิดขึ้นระหว่างคอมพิวเตอร์แสนอัจฉริยะด้วยกัน
เรื่องสั้นที่อาจกล่าวได้ว่าโดดเด่นที่สุดในผลงานของจิดานันท์เล่มนี้ ก็คือเรื่อง
สิงโตนอกคอก นั่นเอง เล่าถึงโลกที่ประกอบไปด้วยมนุษย์สองเผ่าพันธุ์ กลุ่มแรกมี
นัยน์ตาสีดำ และอีกกลุ่มมีนัยน์ตาเป็นสีขาว
มนุษย์ที่มีดวงตาตรงกลางเป็นสีขาวแทนสีดำ เกิดขึ้นครั้งแรกบนโลกเมื่อสามร้อย
ปีก่อนเนื่องจากการกลายพันธุ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์เผ่าตาขาวมีสถานะด้อย
กว่าเผ่าตาดำที่มีอยู่ก่อนมาตลอด พวกเขาอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ว่าคนตาขาวมัก
จะถูกกีดกันหรือไม่ก็รังแก นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิต่างๆ ในสังคมน้อยกว่าคนตา
ดำด้วย
จิดานันท์ใช้โลกสมมติดังกล่าวเล่าถึงปัญหาการกดขี่และทางเลือกจริยธรรมของ
มนุษย์ เธอใช้วิธีเล่าโดยมีเรื่องราวซ้อนทับกันอยู่ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง นิกสัน
มนุษย์ตาขาวที่กำลังหนีจากการไล่ล่าของกลุ่มมนุษย์ตาดำ เขาได้หลบเข้าไปอยู่ใน
บ้านร้างแห่งหนึ่ง และได้พบกับหนังสือเล่มเล็กที่บันทึกเรื่องราวของ แซนดี้ เด็ก
สาวที่เป็นมนุษย์ตาขาวเช่นเดียวกับเขา
ในช่วงเวลาก่อนที่ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์สองเผ่าพันธุ์จะลุกลามใหญ่โตไปเป็น
สงคราม แซนดี้ถูกรังแกที่โรงเรียนโดยกลุ่มเด็กตาดำ การรังแกจบลงเมื่อเธอได้รับ
ความช่วยเหลือจากคุณครู ผู้ซึ่งถือโอกาสนำเอานิทานเรื่องสิงโตกับลูกแกะมาเล่า
ให้เด็กๆ ฟัง
1
9
นิทานเล่าถึงสิงโตตัวหนึ่งที่รู้สึกแปลกใจ เมื่อได้มองเห็นลูกแกะที่คอยเฝ้ามองก้อน
เมฆอย่างมีความสุข ความประหลาดใจแปรเปลี่ยนไปเป็นความอยากรู้จัก สิงโต
เข้าไปพบลูกแกะเพื่อขอเป็นเพื่อน แต่ลูกแกะกลับวิ่งหนีไปด้วยความกลัว ต่อมา
สิงโตกลับมาพบลูกแกะตัวเดิมอีกครั้งโดยบังเอิญ เมื่อมันถูกเพื่อนในฝูงบังคับให้ล่า
เหยื่อ สิงโตขย้ำลูกแกะจนตายไปพร้อมๆ กับที่ลูกแกะกล่าวร้องว่า เพราะเช่นนี้นั่นล่ะ
เราถึงเป็นเพื่อนกันไม่ได้
แต่คุณครูก็เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ฉากจบที่สิงโตฆ่าลูกแกะนั้น อันที่จริงเป็นฉากที่
ถูกแก้มาในภายหลัง นิทานฉบับที่ผู้ประพันธ์แต่งไว้แต่ต้นเล่าว่า เมื่อสิงโตรู้ว่าลูกแกะ
นั้นเป็นตัวเดียวกับที่ตนเองเคยพบและขอเป็นเพื่อนด้วย ก็ตัดสินใจไม่ฆ่าลูกแกะ แม้
จะต้องยอมถูกเพื่อนสิงโตด้วยกันเองเกลียดชังก็ตาม คุณครูกล่าวสรุปบทเรียน
จากนิทานให้พวกเด็กตาดำฟังว่า เราไม่ต้องทำร้ายคนที่ตาขาวก็ได้นะ
นิทานเรื่องสิงโตกับลูกแกะสร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้กับความคิดของเด็กๆ ตา
ดำในห้อง ร้อนจนผู้ปกครองต้องรวมตัวกันบุกมาที่โรงเรียนเพื่อรุมประณามครูที่
สอนเรื่องเลวร้ายไร้ศีลธรรมให้กับเด็กๆ คุณครูถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก
มากมาย โดยเฉพาะข้อหาว่าต้องการทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และ
สุดท้ายครูก็ถูกฆ่าตาย
ตีความ เรื่องสิงโตนอกคอก 2
0
แรงบันดาลใจของผู้เขียน
สังคมของเราเต็มไปนอกคอก และมีคอกหลายอย่างครอบคลุมพวกเราทุกคนอยู่
พอพูดแบบนี้ทุกคนจะคิดถึงประเด็นการเมือง แต่ขอไม่ยกตัวอย่างการเมือง เพราะ
การเมืองเป็นตัวอย่างที่มองเห็นง่ายมาก และพอถูกมองเห็นง่ายก็จะมีการตั้ง
คำถาม และถกเถียงได้มาก ซึ่งสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม และถกเถียงมากมันสามารถไปสู่
ทางออกได้ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่มองเห็นยากกว่า และไม่ค่อยถูกตั้งคำถาม เมื่อ
ไม่ถูกตั้งคำถามก็จะไม่มีการแก้ไข ยกตัวอย่างง่ายที่สุดอาจจะเป็นเรื่องความเป็น
ชาย ความเป็นหญิง มันเป็นคอกที่อยู่ในวัฒนธรรม ในการกระทำของผู้ชายบางคน
หรือแม้แต่การกระทำของผู้หญิงบางคนที่มากดผู้หญิงด้วยกันเองให้ต้อยต่ำอยู่ใน
สื่อ ละคร หรือแม้แต่วรรณกรรมกระแสหลักก็ยังมีบางโมเมนต์ที่เหยียด หรือแม้แต่
บางทีตัวเราเองยังเผลอไผลไปพูดแซวผู้หญิง ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการเหยียด หรือ
คอกที่ล้อมกรอบอยู่ว่า ถ้าเธออยากจะเป็นเมียและแม่ที่ดีต้องเป็นแบบนี้ แล้วมัน
มองเห็นได้ยาก ทำให้แก้ไขยากขึ้น เลยนำมาเขียนในเชิงปรัชญา
เขียนหนังสือตั้งแต่อายุ 12 แล้วก็เขียนมาเรื่อย ๆ แต่ยังไม่เคยคิดจะเขียนหนังสือ
เพียงอย่างเดียว จากนั้นพอทำงานประจำมันกลายเป็นติดพันต้นฉบับอยู่หลายเล่ม
ไม่มีเวลาเขียน ทำให้ต้องลาออกมาเขียนหนังสือ และเหตุที่ปัจจุบันยังเขียนหนังสือ
อยู่คือ เรายังมีงานที่กำลังทำอยู่ และสามารถจะอยู่ไปได้เรื่อย ๆ เพราะเวลาทำงาน
วรรณกรรมอย่าง สิงโตนอกคอก กว่าจะสังเคราะห์ออกมามันหนักมาก และเครียด
มาก พอเขียนจบเล่มก็ไม่อยากเจอเรื่องเครียดอีก ทำให้หันไปเขียนนิยายรัก แต่
ความจริงนิยายรักก็ต้องใช้ความสามารถ ไม่ใช่เขียนเล่น ๆ แต่เวลาคิดนิยายรักมัน
เป็นจิตใจทางบวกกว่า ทำให้ได้บาลานซ์ตัวเองจากด้านมืดหม่น และพอคิดนิยายรัก
มากจะเริ่มเบื่อ ๆ อยากหม่น ๆ กับสิ่งที่เห็นในสังคม หรืออยากพูดประเด็นต่าง ๆ ก็
จะกลับมาเขียนวรรณกรรม
การตีความ
การตีความเนื้อหา : ความจริงสังคมมีปัญหาเยอะ แต่ไอเดียการเขียนแรกไม่ได้
ต้องการสะท้อนสังคม ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาปรัชญา แล้วตัวปัญหาปรัชญา
เป็นสิ่งที่คิดกันมาเนินนานก่อนคริสตกาล เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สังคมในทุกระดับ คือ
ผู้เขียนทำงานเชิงปรัชญา และปรัชญาเป็นสิ่งวิพากษ์วิจารณ์สังคมมันเป็นสองชั้น
และปรัชญาเป็นศาสตร์สากลทั่วโลก และคำถามเชิงปรัชญาที่พูดกันมานานมัน
สามารถสะท้อนได้ทุกสังคม ดังนั้นมันเลยสะท้อนสังคมใกล้ตัวด้วย และสังคมไกล
ตัวมันก็สะท้อนได้
2
1
การตีความตามน้ำเสียง : ผู้เขียนรู้สึกว่าบางครั้งมันมีแรงบันดาลใจมาก จากเรื่อง
ใกล้ตัว อย่างเพื่อนของผู้เขียนจะเป็นคนชอบเล่นบอร์ดเกม และจะมีโมเมนต์แบบ
เปิดไพ่มาแล้วล้มละลาย หรือไม่ก็ถูกลอตเตอรี คือเหมือนเปิดไพ่ใบเดียวชีวิตเปลี่ยน
และเราก็รู้สึกอยากลองเขียนเกี่ยวกับเมืองที่เป็นแบบนั้น
การประเมินคุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ : งานวรรณกรรมเริ่มต้นบนกระดาษขาว งานวรรณกรรมจึงเปิด
โอกาสให้เราพูดถึงสิ่งที่เราอยากพูด
ด้านสังคม : ผู้แต่งได้ใช้การเล่าเรื่องราวออกมาโดยสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อม
ในสังคมของ แต่ละเรื่องซึ่งผู้อ่าน อ่านและเมื่อมองเห็นแนวความคิดของสิ่งที่ผู้แต่ง
ต้องการจะแสดงให้เห็นอีกแง่หนึ่งของ สังคมในอุดมคติแบบดิสโทเปีย ในรวมเรื่อง
ส้ัน เรื่องสิงโตนอกคอก
ด้านคุณธรรม : หากโลกนี้ไร้คนเลว เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีแต่คนดีเท่านั้น
มันจึงกลายเป็นความย้อนแย้งที่แฝงไปด้วยปรัชญาน่าสืบค้นกับเหตุผล
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน
สรุปเนื้อหา เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 2
2
รวมเรื่องสั้นที่ผู้เขียนเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นคน ซึ่งมี
พฤติกรรมแตกต่างกันไปอันเป็นผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ตามสภาวะ
ธรรมชาติและสิ่งแวดลล้อม งานเขียนแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ บทความและเรื่อง
สั้น ที่นำความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอที่คงความ
เป็นศิลปะของความเป็นเรื่องสั้นที่สามารถ สื่อเรื่องราวและความคิดที่ซับซ้อนลึกซึ้ง
ด้วยอรรถรสที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกกระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงปัญหาและ
เข้าใจแง่มุมต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ เป็นแง่มุมการเรียนชีวิตเพื่อปรับปรุงชีวิต
เรื่องสั้นทั้ง 17 เรื่อง ได้แก่เรื่อง 1.ชู้ 2.คำให้การ 3.โลกสามใบของราษฏร์ เอกเทศ
4.ลั่นทมโรยกลีบ 5.กระถางชะเนียงริมหน้าต่าง 6.เรื่องของผมกับพ่อ 7.ยี่สิบปี
หลัง 8.กามสุขัลลิกานุโยค 9.ละครจริงในห้องขาวดำ 10.วรรณกรรม 48 ชั่วโมง
11.ตุ๊กตา 12.คำสารภาพของช้างเท้าหลัง 13.ผ้าเก่ากับปลาทูหนึ่งเข่ง 14.เช็งเม้ง
15.หมากลางถนน 16.เพชฌฆาต 17.เรื่องของพระ เด็ก เสือ ไก่ มอดแต่ละเรื่อง
ราวล้วนให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตได้อย่างดี นับเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่ายิ่ง
ตีความ เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 2
3
เรื่องสั้นเรื่อง “ชู้” เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการทางเพศของชายหญิมี
ความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าตัวละครฝ่ายหญิงจะแต่งงานแล้ว แต่สามีของเธอ
ก็ชราเกินกว่าจะตอบสนองความปรารถทางเพศรสของเธอได้ ช่วงแรกของเรื่องผู้
เขียนหลอกผู้อ่านให้เชื่อว่าตัวละครชายกับหญิงในเรื่องลักลอบเป็นชู้กัน แต่ในตอน
ท้ายเรื่องก็หักมุมเป็นว่าสามีของตัวละครหญิงเองที่เป็นคนจ้างให้ตัวละครชายคนนี้
มาให้บริการทางเพศแก่ภรรยาของตน เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะถือว่าการกระทำของตัว
ละคร “ผม” ในเรื่องนี้ทำผิดศีลธรรมหรือไม่ในเมื่อสามีของฝ่ายหญิงเองที่เป็นผู้
ยินยอมให้ภรรยาของตนมานอนกับชายอื่น ชายคนนี้หรือหญิงคนนี้ควรถูกสังคม
ประฌามหรือไม่ว่าเป็นชู้กัน แต่สุดท้ายเมื่อหน้าที่จบลงผู้เขียนก็ทำให้เราคาดเดาไป
ต่างๆนานาว่าความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่นี้จะจบลงหรือไม่ ถ้าดูจากวันสุดท้ายที่
เขียนว่า “เรื่องส่วนตัว” แล้วก็ชวนให้ผู้อ่านคิดว่าต่อไปทั้งสองอาจพัฒนาการความ
สัมพันธ์จนกลายเป็นชู้กันไปจริงๆ หากตัวละครทั้งสองไม่สามารถหักห้ามความรู้สึก
ความปรารถนาที่มีต่อกันได้
ที่มาของผู้เขียน
วินทร์ เลียววาริณ เกิดที่หาดใหญ่ สงขลา เมื่อปี พ.ศ2499เข้าเรียนชั้นประถมปีที่
1 เมื่ออายุเจ็ดขวบ ที่โรงเรียนวิริยเธียรวิทยา หาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเล็ก
ๆ ครั้นแปดขวบก็ยังเรียนซ้ำชั้น ป.1 ด้วยครูประจำชั้นเห็นว่าจะทำให้ภูมิแน่นขึ้น
เรียนต่อประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนแทงทองวิทยาหาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก
จึงมีโอกาสเรียนทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ไปต่อม.ศ.
4 ที่กรุงเทพฯ ณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รุ่นที่ 3 และเป็นรุ่นแรกที่
เรียน ณ ที่ตั้งของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ปัจจุบัน
วินทร์ สนใจงานศิลปะตั้งแต่เล็ก จึงเลือกเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ จบปริญญา
ตรี สถ.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทางไปทำงานที่ประเทศสิงโปร ทันที
ทำงานเป็นสถาปนิกที่สิงคโปร์ร่วมสี่ปีก็เดินทางไปทำงานและเรียนต่อที่นิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาเข้าเรียนในหลายมหาวิทยาลัยโดยไม่เอาปริญญา จบ
แล้วกลับเมืองไทยมาทำงานในวงการโฆษณา และต่อมาเรียนต่อจนจบปริญญาโท
ด้านการตลาด จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วินทร์ เริ่มชีวิตคนโฆษณาด้วย
ตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ และเปิดฉากการเขียนหนังสือควบคู่ไปด้วย เรื่องสั้นเรื่องแรก
ที่ได้รับการตีพิมพ์คือ ไฟ
2
วิเคราะห์ตัวบท 4
เรื่องชู้ เป็นเรื่องสั้นประเภท แสดงความคิดเห็น(Theme story) คือผู้เขียนมี
อุดมคติหรือต้องการชี้ให้ผู้อ่านเห็นความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งของชีวิต โดยมีองค์
ประกอบดังนี้
แก่นของเรื่อง เรื่องสั้นที่ผู้เขียนเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นคน
ซึ่งมีพฤติกรรมแตกต่างกันไปอันเป็นผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ตาม
สภาวะธรรมชาติและสิ่งแวดลล้อม
โครงเรื่อง เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการทางเพศของชายหญิงที่มีความ
ต้องการไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าตัวละครฝ่ายหญิงจะแต่งงานแล้ว แต่สามีของเธอก็ชรา
เกินกว่าจะตอบสนองความปรารถทางเพศรสของเธอได้
ตัวละคร ไม่มี
บทสนทนา ไม่มี
ฉาก ไม่มี
บรรยากาศ ไม่มี
การตีความ
ตีความตามเนื้อหา ผู้แต่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทางเพศของชาย
หญิงที่มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด
ตีความตามน้ำเสียง เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของคนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่หล่อหลอมสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น องค์
ประกอบของธาตุ มวลสสาร พันธุกรรมและดีเอ็นเอ และส่วนหนึ่งมาจากการ
ขัดเกลาทางสังคม อาทิ จารีตประเพณี ความเชื่อและศาสนา
การประเมินคุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ ผู้เขียนใช้อากับกิริยาของมนุษย์สะท้อนให้เห็นถึงการ รักโลภ
โกรธ หลง
ด้านสังคม ผู้เขียนสื่อให้เห็นถึงสังคมมนุษย์ที่ยังมีกิเลสตัณหาในการรักโลภโกรธ
หลงอยู่
ด้านคุณธรรมและความดีงาม ผู้เขียนสื่อให้เข้าใจความเป็นคนมากขึ้น
เราหลงลืมบางอย่าง
สรุปเนื้อ เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 2
5
รวมเรื่องสั้นที่ผู้เขียนเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นคน ซึ่งมี
พฤติกรรมแตกต่างกันไปอันเป็นผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ตามสภาวะ
ธรรมชาติและสิ่งแวดลล้อม งานเขียนแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ บทความและเรื่อง
สั้น ที่นำความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอที่คงความ
เป็นศิลปะของความเป็นเรื่องสั้นที่สามารถ สื่อเรื่องราวและความคิดที่ซับซ้อนลึกซึ้ง
ด้วยอรรถรสที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกกระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงปัญหาและ
เข้าใจแง่มุมต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ เป็นแง่มุมการเรียนชีวิตเพื่อปรับปรุงชีวิต
เรื่องสั้นทั้ง 17 เรื่อง ได้แก่เรื่อง 1.ชู้ 2.คำให้การ 3.โลกสามใบของราษฏร์ เอกเทศ
4.ลั่นทมโรยกลีบ 5.กระถางชะเนียงริมหน้าต่าง 6.เรื่องของผมกับพ่อ 7.ยี่สิบปี
หลัง 8.กามสุขัลลิกานุโยค 9.ละครจริงในห้องขาวดำ 10.วรรณกรรม 48 ชั่วโมง
11.ตุ๊กตา 12.คำสารภาพของช้างเท้าหลัง 13.ผ้าเก่ากับปลาทูหนึ่งเข่ง 14.เช็งเม้ง
15.หมากลางถนน 16.เพชฌฆาต 17.เรื่องของพระ เด็ก เสือ ไก่ มอดแต่ละเรื่อง
ราวล้วนให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตได้อย่างดี นับเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่ายิ่ จาก
ชื่อเรื่อง เราหลงลืมอะไรบางอย่าง เป็นการตั้งชื่อเรื่องที่ต้องการให้ผู้อ่านได้ฉุกคิด
ว่าปัจจุบันกับสังคมร่วมสมัยนี้เรากำลังโดนอะไรครอบงำอยู่ ตัวเราในอดีตยังคง
เป็นตัวเราในปัจจุบันหรือไม่ หรือมีอะไรที่มาทำให้เราต้องหลงลืมสิ่งสำคัญที่ทำให้
ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า และเป็นการตั้งคำถามกับผู้อ่านให้รู้สึกว่า
เราหลงลืมอะไรบางอย่างจริงๆหรือ
จากเรื่องสั้นทั้งหมดใน๑๒ เรื่องนี้ มีทฤษฎีการพัฒนาสังคมแบบ
กระแสหลักมาเกี่ยวข้องโดยการพัฒนาแบบกระแสหลักคือทฤษฎีภาวะทันสมัย
(Modernization Theory) ทฤษฎีนี้อาศัยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก
(Neo-Classic Theory) และทฤษฎีสังคมศาสตร์ของอเมริกันมาประยุกต์เป็นก
รอบการวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งจุดเน้นของแนวคิดทฤษฎีนี้ คือ การที่จะพัฒนาประเทศ
ให้ทันสมัยนั้นต้องมีการดำเนินไปในทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม การเมือง
ความรู้สึกนึกคิด และความรู้ของคนในสังคมจะขาดด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ เพราะแต่ละ
ด้านมีความสัมพันธ์กันตลอดจนส่งผลซึ่งกันและกัน ซึ่งทฤษฎีภาวะทันสมัย จะเน้น
ในเรื่องการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยอุตสาหกรรมเป็นตัวนำ
ในการพัฒนา เน้นบทบาทของรัฐในการวางแผนจากส่วนกลาง (Top – down
Planning) เน้นพัฒนาสังคมเมือง (Urbanization) โดยสร้างสังคมเมืองให้ทัน
สมัย เน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งนี้เพราะทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม
และเน้นการใช้ทุนเข้มข้นจากภายนอกประเทศง
ตีความเนื้อหา เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 2
6
ประวัติส่วนตัว
นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2551 วัชระ เพขรพรหมศร เป็นชาวอำเภอ
ควนเนียง จังหวัดสงขลา เขาเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ “ภาพฝัน” ตีพิมพ์ในสยาม
รัฐสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อ พ.ศ. 2538 สองปีต่อมาเรื่องสั้น “ทราย” ได้รับรางวัลสุ
ภาว์ เทวกุล ในปี พ.ศ. 2548 เรื่องสั้น “วาวแสงแห่งศรัทธา” ได้รับรางวัลชนะเลิศ
“พานแว่นฟ้า” ปี พ.ศ. 2549 เรื่องสั้น “เรื่องเล่าจากหนองเตย” เข้ารอบสุดท้าย
รางวัลนายอินทร์อวอร์ด ปี พ.ศ. 2550 เรื่องสั้น “แก้วสองใบ” เข้ารอบสุดท้าย
รางวัลนายอินทร์อะวอร์ด และปี 2551 เรื่องสั้น “ในวันที่วัวชนยังชนอยู่” ได้รับ
รางวัลชมเชยรางวัลกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ปัจจุบันเขาทำงานอยู่ที่ฝ่ายกฎหมาย
ศาลปกครอง และทำงานเขียนอย่างสม่ำเสมอ
การศึกษา :
เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านควนเนียง ชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมหา
วชิราวุธ จังหวัดสงขลา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์
รางวัลที่ได้รับ :
รางวัลซีไรต์ประจำปี 2551, รางวัลสุภาว์ เทวกุล, รางวัลพานแว่นฟ้า, รางวัล
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ (ชมเชย)
ผลงาน :
* เรื่องสั้นเรื่องแรก “ภาพฝัน” ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์เมื่อปี พ.ศ. 2538
* เรื่องสั้น “ทราย” ได้รับรางวัลสุภาว์ เทวกุล ประจำปี พ.ศ. 2540
* เรื่องสั้น “วาวแสงแห่งศรัทธา” ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี
พ.ศ. 2548
* เรื่องสั้น “เรื่องเล่าจากหนองเตย” เข้ารอบสุดท้ายรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด
ประจำปี พ.ศ. 2549
* เรื่องสั้น “แก้วสองใบ” เข้ารอบสุดท้ายรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี พ.ศ.
2550
* เรื่องสั้น “ในวันที่วัวชนยังชนอยู่” ได้รับรางวัลชมเชยรางวัลกนกพงศ์ สงสม
พันธุ์ ประจำปี พ.ศ. 2551
* รวมเรื่องสั้นเล่มแรก “เราหลงลืมอะไรบางอย่าง” ได้รับรางวัลวรรณกรรม
สร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. 2551
* รวมเรื่องสั้นเล่มที่สอง "การเคลื่อนย้ายของบางสิ่ง" พ.ศ. 2553
เคยทำงานพิสูจน์อักษรในสำนักพิมพ์นาคร และประจำกองบรรณาธิการนิตยสารไร
เตอร์แม็กกาซีน สมัยที่กนกพงศ์ สงสมพันธุ์เป็นบรรณาธิการ
ปัจจุบันรับราชการในตำแหน่งพนักงานคดีปกครอง สังกัดสำนักงานศาลปกครอง
วิเคราะห์ตัวบท 2
ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของการปฏิวัติผ่านตัวละครที่เป็นนักศึกษาหนุ่ม ตัวละคร 7
ได้รับมอบหมายให้ทำรายงาน ทว่าเขากลับเลินเล่อไม่ลงมือทำงานตั้งแต่เนิ่น มาตื่น
ตัวคิดทำเอาคราวหลัง
ตอนเหลือเวลาอาทิตย์สุดท้าย ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
“อาทิตย์ที่แล้ว เขาตกอยู่ในสภาพไม่ผิดอะไรกับหมาจนตรอก สับสน วุ่นวาย
และนำไปสู่การพลาดหวัง ทุกอย่างที่เขาประสบเขาไม่โทษใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น
อาจารย์ เพื่อนๆ หรือห้องสมุด เขายอมรับในความไม่เอาไหนของตัวเอง เขา
ปล่อยตัวเละเทะ เรื่อยเฉื่อย ไร้ระเบียบกับชีวิตและการเรียน อาจารย์สั่งงานไว้
ตั้งแต่ต้นเทอม
แต่เขากลับตื่นตัวมาคิดทำเอาเมื่อเวลาล่วงผ่านจนเหลืออาทิตย์สุดท้าย”
จากข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความหลงลืมของตัวละครที่ทำตัวเละเทะ ไม่
สนใจชีวิตและ
การเรียนของตน กว่าจะสำนึกได้ก็จวนตัวเสียแล้ว ซึ่งตัวละครไม่เรียงลำดับความ
สำคัญของแต่ละสิ่ง
จึงทำให้เขาต้องเร่งรีบในการทำงานในระยะเวลาที่เหลือน้อย
แก่นสารของเรื่อง
ผู้เขียนเน้นให้เห็นถึงความโง่เขลาของตัวละครที่ขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมือง
และการเพิกเฉยต่อสิ่งที่ตัวเองได้รับมอบหมาย
การตีความ
ชายผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงวัยเรียน เขาต้องทำรายงานส่งอาจารย์ที่สั่งตั้งแต่ต้นเทอม
แต่เขาปล่อยเวลา ผ่านไปอย่างไร้ค่าและพึ่งมาตัดสินใจทำเอาเมื่อเวลาล่วงผ่านจน
เหลืออาทิตย์สุดท้าย ตอนแรกเขาคิดจะทำเรื่องมายาภาพทางการเมือง แต่หนังสือ
เรื่องนี้มีคนยืมไปแล้ว เขาจึงต้องเปลี่ยนหัวข้อรายงาน มาเป็นเรื่องการปฏิวัติ แต่
รายงานของเขาต้องจบด้วยการออกรายงานหน้าชั้นเรียน เพราะเขาเป็นคนที่ไม่
กล้าแสดงออก เขาตั้งใจซ้อมในการรายงานหน้าชั้นเรียนเป็นอย่างมาก จนเขาคิดว่า
เขาเป็นนักปฏิวัติจริง เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาไปรายงานหน้าชั้น
เรียนเขาก็ปล่อยให้เรือข้ามฟากผ่านไป จนหมดเวลาที่จะรายงานหน้าชั้น
ผู้เขียนสื่อถึงมนุษย์ที่สนเรื่องภายนอกจนหลงลืมที่จะหันมามองสภาพความเป็นอยู่
ของตนก่อน หากเริ่มที่ตนก่อนแล้วสังคมคงเป็นไปในทางที่ดี
ตีความน้ำเสียง
ผู้เขียนมีเจตนาแสดงให้เห็นถึงความหลงลืมของตัวละครที่ทำตัวเละเทะ ไม่สนใจ
ชีวิตและ
การเรียนของตน กว่าจะสำนึกได้ก็จวนตัวเสียแล้ว
การประเมินคุณค่า 2
คุณค่าทางวรรณศิลป์ 8
ผู้แต่งมีวิธีการแต่งที่น่าสนใจ สื่ออารมณ์และข้อคิดที่แฝงจากเรื่องสั้นทั้ง 12 เรื่อง
ได้อย่างลึกซึ้ง
คุณค่าทางสังคม
ผู้แต่งเน้นให้เป็นการชี้ชวนให้ผู้อ่านฉุกคิดว่าขณะที่เรามองชีวิตไปข้างหน้า และพร้อม
จะก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือของโลกอย่างรวดเร็วนั้น เราหลงลืม
อะไรบางอย่างหรือเปล่า ซึ่งเป็นข้อคิดที่ช่วยทำให้การใช้ชีวิตของเรามีสติและไม่
ประมาท
ด้านคุณธรรม
ควรมีสัจจะที่มั่นคงกับตนเองและผู้อื่น เพื่อที่จะได้ถึงจุดประสงค์ตามที่หวัง
ประเภท
ก
วี
นิ
พ
น
ธ์
นครคนนอก
สรุปเนื้อ เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 2
9
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวม “คนนอก” ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเมืองและเป็นผู้ขับ
เคลื่อนสังคมให้ก้าวเดินไป พลัง เพียงพิรุณห์ ได้นำเสนอชีวิตที่ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ
ของผู้คนเหล่านี้ผ่านตัวตนอาชีพต่างๆ เช่น กระเป๋ารถเมล์ใน “หน้าเหลืองทางคด
รถเมล์” คนงานโรงงานใน “เนื้อปลาฝนมีด” พนังงานใน “เคลม” รวมถึงอาชีพที่ดู
ไม่ทันสมัยสังคมอย่าง ยายแตขายไข่ปิ้งใน“นักหาบแดด”
“ยายแตยกตั่งนั่งข้างหาบ
ตาพร่าเดี๋ยวเห็นภาพเดี๋ยวเลือนสลาย
โดดเดี่ยวคอนสาแหรกขอแทรกกาย
เพียงเฝ้าคอยความตายมาคลายปม
คนไม่กินไข่ปิ้งกันแล้วหรือ
ส่งเสียงเครืออออือน้ำลายขม
มันแห้งแข็งบนตะแกรงไม่นิยม
รสชาติคงไม่สมกับเมืองแมน”
ในบทกวีนี้ผู้เขียนใช้ถ้อยคำโอดครวญส่งเสียง “คนไม่กินไข่ปิ้งกันแล้ว
หรือ” เมื่ออ่านก็รับรู้ถึงความรู้สึกของหญิงชราซึ่งหมดหวังกับการขายไข่ปิ้ง และ
ยังมีการกล่าวว่า “เพียงเฝ้าคอยความตายมาคลายปม” นั่นคือ การไม่มีชีวิตอยู่ยังดี
เสียกว่าการอยู่แล้วต้องดิ้นรนและต้องพยายามเลี้ยงปากท้องของตนเอง
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า ยุคสมัยนี้ทุกคนต่างหมกมุ่นอยู่กับตนเอง
แม้กระทั่งความตาย ก็ไม่มีคนให้ความสนใจ อย่าง “เหตุผลของคนข้างบ้าน” ที่หญิง
สาวตั้งครรภ์ในบ้านจัดสรรมีภาระให้ทำมากมาย จนไม่ได้สนใจชายชราข้างบ้าน จน
กระทั่งฝันถึง จึงรู้ว่าเขาได้เสียชีวิตแล้ว และบางคนอาจมีภาระมากและมีคนรอคอย
อยู่ข้างหลังอีกหลายชีวิต แม้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ชีวิตก็ยังต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุด
เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้ หาเลี้ยงตนเองและครอบครัว หรืออาจอยู่เพื่อบรรลุ
เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต
3
นับแต่โลกของเรามีคาว่าเทคโนโลยีเกิดขึ้น การพัฒนาในทุกด้านๆก็มิเคยได้หยุด 0
หย่อน จนทำให้วิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนไป ให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสมัย
ใหม่กันมาก เมื่อตื่นนอนก็หยิบสมาร์ทโฟนเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ข่าวสาร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพื่อบรรลุเป้าหมายและดูเหมือนว่าทุก
คนต่างให้ความสนใจกับตนเองเป็นที่หนึ่ง จนลืมมองสิ่งรอบข้างที่ผ่านตัวเราใน
แต่ละวัน “นครคนนอก” ผลงานรวมบทกวี ดีกรีรางวัลซีไรต์ประจาปี 2559 ของ
พลัง เพียงพิรุณห์ ได้เลือกที่จะสะท้อนสังคมในยุคสมัยใหม่ สังคมที่มีคนถูกมอง
ข้าม ผู้คนไม่ได้ให้ความสนใจผู้อื่นนอกจากตนเอง เพียงเดินผ่านกันไปกันมาเท่านั้น
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวม “คนนอก” ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเมืองและเป็นผู้ขับ
เคลื่อนสังคมให้ก้าวเดินไป พลัง เพียงพิรุณห์ ได้นำเสนอชีวิตที่ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ
ของผู้คนเหล่านี้ผ่านตัวตนอาชีพต่างๆ เช่น กระเป๋ารถเมล์ใน “หน้าเหลืองทางคด
รถเมล์” คนงานโรงงานใน “เนื้อปลาฝนมีด” พนังงานใน “เคลม” รวมถึงอาชีพที่ดู
ไม่ทันสมัยสังคมอย่าง ยายแตขายไข่ปิ้งใน“นักหาบแดด” “ยายแตยกตั่งนั่งข้างหาบ
ตาพร่าเดี๋ยวเห็นภาพเดี๋ยวเลือนสลาย โดดเดี่ยวคอนสาแหรกขอแทรกกาย เพียง
เฝ้าคอยความตายมาคลายปม คนไม่กินไข่ปิ้งกันแล้วหรือ ส่งเสียงเครืออออือ
น้ำลายขม มันแห้งแข็งบนตะแกรงไม่นิยม รสชาติคงไม่สมกับเมืองแมน” ในบทกวีนี้
ผู้เขียนใช้ถ้อยคำโอดครวญส่งเสียง “คนไม่กินไข่ปิ้งกันแล้วหรือ” เมื่ออ่านก็รับรู้ถึง
ความรู้สึกของหญิงชราซึ่งหมดหวังกับการขายไข่ปิ้ง และยังมีการกล่าวว่า “เพียง
เฝ้าคอยความตายมาคลายปม” นั่นคือ การไม่มีชีวิตอยู่ยังดีเสียกว่าการอยู่แล้ว
ต้องดิ้นรนและต้องพยายามเลี้ยงปากท้องของตนเอง ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า ยุค
สมัยนี้ทุกคนต่างหมกมุ่นอยู่กับตนเอง แม้กระทั่งความตาย ก็ไม่มีคนให้ความสนใจ
อย่าง “เหตุผลของคนข้างบ้าน” ที่หญิงสาวตั้งครรภ์ในบ้านจัดสรรมีภาระให้ทำ
มากมาย จนไม่ได้สนใจชายชราข้างบ้าน จนกระทั่งฝันถึง จึงรู้ว่าเขาได้เสียชีวิตแล้ว
และบางคนอาจมีภาระมากและมีคนรอคอยอยู่ข้างหลังอีกหลายชีวิต แม้ในช่วง
สุดท้ายของชีวิต ชีวิตก็ยังต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุด เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้ หา
เลี้ยงตนเองและครอบครัว หรืออาจอยู่เพื่อบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต “ล้อ
เล่นกับเหล่ามัจจุราช เดิมพันด้วยภพชาติชราทั้งผอง มรณะคละคลั่กกลิ่นหมักดอง
วนเวียนอยู่ในท้องที่ร้องร้าย สัจจะเปล่งเสียงสวดขวดน้ำเกลือ ปรุรอยเข็มฝัง
เลือดเนื้อน่าใจหาย กลิ่นยาร้องครางอย่าวางวาย ยืนหยัดจนหยดสุดท้ายของชีวิต”
พลัง เพียงพิรุณห์ยังได้สะท้อนภาพเบื้องหลังของสังคมเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยห้าง
สรรพสินค้า ใน “นักนั่งร้าน” ภาพของการตั้งแคมป์ก่อสร้างของคนงาน ความ
วุ่นวายและดิ้นรนในสถานที่แห่งนั้น แน่นอนว่าเราคงไม่ได้เห็นกันมากนัก เพราะมันจะ
หายไปเมื่อห้างสรรพสินค้าได้สร้างเสร็จแล้ว รวมถึงชายชราชื่อแถมที่ประกอบ
อาชีพยามหลังจากได้รับอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงาน
ตีความ เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 3
1
ประวัติส่วนตัว
เกริกศิษฏ์ พละมาตร์ นามปากกา พลัง เพียงพิรุฬห์
วัยเด็กใช้ชีวิตแถววงศ์สว่าง วัดสร้อยทองสะพานพระรามหก เคยจมน้ำใต้
สะพานพระรามหกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เบื่อเมืองตั้งแต่เด็กจึงไปใช้ชีวิตลูกทุ่งริม
เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ วัยรุ่นกลับมาเรียนช่างกลในเมืองอีกครั้ง เรียนจบ
จึงไปภูเก็ตทำมาหากินอยู่บนเกาะยี่สิบปี เริ่มเขียนหนังสือครั้งแรกที่นั่น เข้าร่วมกับ
กลุ่มวรรณกรรมภูเก็ตผู้รักอ่านเขียนเหมือนกัน ปัจจุบันยังเขียนหนังสือ ทำงาน
ศิลปะ ทดลองชีวิตและเดินทาง
การศึกษา
การศึกษาสูงสุด ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
รางวัลที่ได้รับ
รางวัลกนกพงศ์ สงสมพันธุ์, พานแว่นฟ้า, นายอินทร์อะวอร์ด, นานมีบุ๊คอวอร์ด, สุ
ภาว์ เทวกุลฯ, เซเว่นบุ๊คอวอร์ด และซีไรต์ (กวีนิพนธ์ ประจำปี 2559)
ผลงาน
ประเภทงานเขียน บทกวี, เรื่องสั้น, นวนิยาย สารคดี, ความเรียงเชิงวรรณศิลป์
ผลงานเด่น นครคนนอก, ผู้กุมชะตา, เงือก, วิทยาศาสตร์กถา
ผลงานรวมเล่ม กวีนิพนธ์ : โลกใบเล็ก, นครคนนอก, อาศรมพระจันทร์, รวมเรื่อง
สั้น : เรากำลังกลายพันธุ์, นวนิยาย : เงาทมิฬ
วิเคราะห์ตัวบท
คนอยู่บ่ก่อสร้าง สักเสา
คนอื่นเพียรขัดเกลา เก็บกลั้น
คนสร้างบ่ได้เนา แนบสนิท
เพียงคราบหมากกากกั้น กรอบเนื้อป่นหาย
เรื่องคนงานก่อสร้าง เป็นกลอนที่แสดงให้เห็น ความเหนื่อยยาก ในความเป็นจริง
ตึกสูง แค่ยี่สิบหรือสามสิบชั้นต่างสําเร็จด้วยแรงงานของคนงานจากชนบททั้งสิ้น
แต่ก็มิได้มีสิทธิ์ได้เป็น ผู้อยู่อาศัย ส่วนผู้ที่อาศัยนั้นก็ไม่ได้เป็นผู้สร้าง ดังในบทกวี
“คนอยู่บ่ได้สร้างสักเสา คนสร้างบ่ได้ เนาแนบสนิท” โดยมีองค์ปะกอบดังนี้
แก่นของเรื่อง ทำให้เห็นมุมมองของแรงงานที่เป็นไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยยากจาก
การทำงาน
โครงเรื่อง ผู้แต่งพยามๆให้เห็นความทุกยากของคนชนบท
ฉาก เป็นสถานที่ก่อสร้าง
บรรยากาศ เป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหนื่อยและไม่ยุติธรรม
การตีความ 3
ตีความเนื้อเรื่อง 2
ผู้แต่งพยามให้เห็นถึกความรำบาคของคนชนบทหรือแรงงานหลายๆที่มีความ
เหนื่อยล้าและอดทนกับความเป็นจริงที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลมันได้เลย
ตีความน้ำเสียง
ผู้แต่งจะใช้น้ำเสียงทำนองสะท้อนให้เห็นถึงความทุกยากรำบาคความสิ้นหวังความ
เหนื่อยล้าและความไม่ยุติธรรมของสังคมที่ความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่าที่คุณคิด
การประเมินคุณค่า
ด้านวรรณศิลป์ ผู้เขียนใช้ทำนองในการแต่งเรื่องนี้เพื่อให้เพลิดเพลินกับเนื้อเรื่อง
และได้รับรสของความรู้สึกในเนื้อเรื่องในอย่างลึกซึ้งและลงตัว
ด้านสังคม ผู้เขียนในแรงบันดาลใจจากสถานะของแรงงานคนก่อสร้างที่ถึงแม้จะ
สามารถถึงที่สูงกี่ชั้นก็ได้แต่กับไม่ได้แตะหรือเป็นเจ้าของได้เลย
ด้านคุณธรรมและความดีงาม ผู้เขียนให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมของแรงงานและ
ความไม่เท่าเทียมที่ต่างชั้นกันมาก
สรุ
บ้านเก่า