The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือซีไรต์ 070 กลุ่มที่7

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sukontawa Chanha, 2022-08-21 12:51:29

หนังสือซีไรต์ 070 กลุ่มที่7

หนังสือซีไรต์ 070 กลุ่มที่7

สรุปเนื้อหา เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 3
3

"บ้านเก่า" เป็นผลงานของโชคชัย บัณฑิต ในเล่มประกอบด้วยบทกวี ๔๑ เรื่อง

สร้างสรรค์โดยใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่ โชคชัย บัณฑิต ต้องการจะสื่อ คือ ภาพของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตาม

กระแสบริโภคนิยมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งผลกระทบถึงวิถีชีวิต ค่านิยม ความ

เชื่อ วัฒนธรรม รวมถึงธรรมชาติ

โดยเขาได้ใช้วิธีการสังเกตและเก็บภาพที่พบเห็นได้ง่ายทั่วไปในสังคม ก่อนจะสื่อสาร

ออกมาอย่างคมคายและน่าสนใจ

บทกวีที่ ๑ "ดิน น้ำ ลม ไฟ : ความเป็นไปในชีวิต"

กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และปิดเรื่องด้วย

ไปเป็นความเป็นไปที่สรุปว่าการเปลี่ยนแปลงของธาตุเกิดมาจากความเจริญทาง

วัตถุ

บทกวีที่ ๒ "ครุ่นน้ำคำนึง"

มีฟ้าย่อมมีฝน น้ำอาจหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ ในท้องปลา ในน้ำตา ในใจ ใน

ภูเขาน้ำแข็ง หรือในมหาสมุทรที่ลึกเกินจะคาดเดา น้ำในแหล่งต่าง ๆ หมุนเวียน

เปลี่ยนรูปแบบ เมฆที่อุ้มน้ำก็ตกลงมาเป็นฝน น้ำที่ขังก็ไหลไปเป็นสาย น้ำที่แห้งแล้ง

อาจอยู่ในรูปแบบอื่น ไม่ได้หายไป อาจอยู่ในท้องปลา ในตา หรือนองอยู่บนหน้า ฟ้า

ไม่เคยขาดน้ำ ที่โลกแห้งแล้วอาจเพราะน้ำแปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

บทกวีที่ ๓ "ขึ้นภู"

จั๊กจั่นหวีดร้องระงม ละอองฝนตกทั่วผืนป่า หอมกลิ่นใบไม้แห้ง ได้เปิดหูเปิดตาเห็น

ต้นไม้ใบหญ้า แดดส่องลงมา ลมก็พัดเหมือนหยอกล้อเล่นกัน ดอกไม้ป่าหอมฟุ้ง มี

ความสดชื่นเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง อยู่ที่ไหนก็ได้แต่กลิ่นไม้เย็น ๆ ยอดของต้นไม้

ปกคลุมภูเขา นกร้องเพลง เถาวัลย์กาฝากไหวตามลม แมงมุงก็อยู่กันอย่างสงบนิ่ง

พวกนกก็กางปีกบินเหมือนซีกร่ม อยู่ในป่าก็ได้ยินเสียงไม้เสียดสีกับลม เหมือนเอา

ฟ้ามาห่มป่าป่าไม้อุดมไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ มีความร่มรื่น ต่างจากในเมือง

บทกวีที่ ๔ "ม่อนมธุกานท์"

ผึ้งทำงานเกินกำลัง ลมพัดหมอกเอื่อย ๆ ในบางเบาไหลไปตามสายน้ำ สอดผสาน

คล้ายผ้าห่มป่าไม้ เมื่อมาชมดอกไม้ก็เห็นละอองเกสรปลิวไปตามลมคล้ายม่าน

ปกคลุมท้องฟ้า ดอกไม้ทั้งเพศผู้เพศเมีย ถูกฝูงผึ้งบินมาเกาะและบินออกไป ปีกก็

พัดกลิ่นหอมของดอกไม้ให้ลอยขึ้น บนยอดเขาคล้ายมีชีวิต มองไปสุดลูกหูลูกตา มี

แสดงอาทิตย์คอยส่องสว่าง ตั้งแต่เช้าจรดเย็นอย่างรวดเร็ว ดอกไม้ต้นไม้ต่างลด

ละอองเรณู แต่ยังคงส่งกลิ่นหอมโชย รอให้ผึ้งมาช่วยผสมพันธุ์ ผึ้งทำงานหนัก

โดยไม่ได้พัก ลมพัดเอื่อย ๆ ปกคลุมด้วยหมอกตลอดทุ่งดอกไม้ มองออกไปก็ยัง

เห็นผึ้งบินธรรมชาติต่างพึ่งพาอาศัยกัน ดอกไม้ก็ต้องให้ผึ้งช่วยผสมพันธุ์

3

บทกวีที่ ๕ "ลมปีก แรงปัด ป่ายฟ้า" 4

นกร้องเจื้อยแจ้ว ร่างกายยังไร้ขนปกปิด อาศัยอยู่ในรัง ร่างสั่นไหวตามแรงลม

พ่อแม่จึงยกปีกมาบัง คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ คอยระวังภัย รักเหมือนสายน้ำที่คอย

หล่อเลี้ยงหัวใจ เหมือนรังที่สานจากฟางด้วยความรัก เมื่อกาลเวลาผ่านไป นกน้อย

เริ่มมีปีกและเริ่มหัดบินตามธรรมชาติ เหมือนปลาที่แหวกว่ายตามสายน้ำ โดยมีพ่อ

แม่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เมื่อนกน้อยหมดแรง พ่อแม่ก็ตามมาให้กำลังใจ เมื่อนกน้อย

พยายามที่บินขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันแมวที่เข้ามาตะครุบ พ่อแม่แสนเจ็บช้ำหัวใจ

นกเป็นสัตว์ก็ยังรักลูก เมื่อมีใครมาทำร้ายลูก พ่อแม่ก็รู้สึกเจ็บช้ำ

บทกวีที่ ๖ "เหมือนทรายหมายแซมประแต้มสี"

หมื่นแสนสายน้ำที่มาบรรจบกันที่ฝืนสาย ป่างดงามหลายประเภท ทรายหลายหมื่น

เม็ดที่อยู่รวมกัน ต่างถูกน้ำซัดไปคนละทิศคนละทาง ป่าไม้พบกับแสงอาทิตย์ ฝุ่น

ทรายสวยด้วยหมู่ดาว หมู่ผีเสื้อก็โบยบินดั่งเทพ สวนก็มีดอกไม้มากมาย เต็มไป

ด้วยฝูงผึ้ง ก่อเกิดเป็นสีสันต่าง ๆ ทรายก็มีน้ำซับ พระอาทิตย์ส่องแสง ลมก็พัด

โชย ทำให้พรรณไม้เติบใหญ่แซมบนผืนทราย เหมือนทรายถูกบดบังรัศมีของแสงลง

มาสาดส่อง ดูแล้วกองเป็นหย่อม ๆ แต่ดอกไม้กลับแย้มกลีบ เหมือนไม่รู้จะโรยหล่น

บนผืนทราย

องค์ประกอบหลากหลาย ต่างถิ่นต่างที่มารวมกันก็สามารถทำให้ทุกอย่างดูลงตัว

บทกวีที่ ๗ "ปลาตีน นกยาง และนางนวล"

ชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยของปลาตีน ปลาตีนเป็นอาหารของนกยางและนกนางนวล

เป็นห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิต

บทกวีที่ ๘ "ในสระน้ำใส"

ลูกปลาตัวเล็กว่ายน้ำสีสดใสตัวสีแดงว่ายน้ำกันเป็นกลุ่ม โดยมีแม่ปลาช่อนคอยว่าย

ต้อนฝูง วุ่นวายชุลมุนหาอาหารในน้ำ เป็ดกู่ร้อง ตีขาและกระพือปีก ลูกเป็ดก็

พยายามลอยตามแม่ไป พยายามตีครีบแหวกว่าย โดยมีกอบัวลอยผ่านหน้าแม่เป็ด

จึงต้องพาลูก ๆ หลบและหาอาหารกินต่อ แม่ปลาก็พยายามต้อนลูก ๆ ให้หนี แต่ก็

ถูกลูกเป็นจับกินไปหลายตัว ลูกปลาต่างชุลมุนหนีซ่อนตามกอบัว เมื่อตกเย็นแดด

เริ่มอ่อนตัวลง ในสระน้ำกลับมามีเสียงดังอีกครั้ง ฝูงเป็ดถูกไล่ออกไปและแทนที่

ด้วยเด็กที่กระโดดลงเล่นน้ำสัตว์เล็กย่อมแพ้ให้แก่สัตว์ใหญ่ เหมือนปลาที่แพ้เป็ด

เป็ดที่แพ้เด็ก

บทกวีที่ ๙ "ปีกไม้ลายแทง"

อ่านลายวงปีบนตอไม้ ใช้เวลานานกว่าจะมีขนาดใหญ่ แต่ละวงบ่งบอกอายุที่ผ่านไป

แต่ละปี เป็นระยะเวลานานจนเท่าอายุขัยของต้นไม้ ความถี่ห่างของอายุวงปีในแต่ละ

ปีนั้น ขึ้นกับสภาพน้ำและดิน บางปีถี่มากเพราะแห้งแล้ง บ้างเป็นปุ่มปมเพราะถูกด้วง

เจาะกินบางปีเปือกก็เลาะเพราะถูกไฟไหม้ เหมือนเป็นงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย

ธรรมชาติ ก่อเกิดเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นร่มเงาในป่า กว่าจะได้ร

ลวดลายบนตอไม้ที่บ่งบอกชีวิตของต้นไม้ ที่ถูกปิดด้วยเปลือกไม้ แต่ปัจจุบัน ต้นไม้

ตายกลายเป็นลวดลายบนโต๊ะแทนต้นไม้ ๑ ต้นกว่าจะโตขึ้น ต้องผ่ามรสุมมากมาย

แต่สุดท้ายก็เหลือเพียงแต่ลายไม้ที่ประดับโต๊ะ

3

บทกวีที่ ๑๐ "คชสาร" 5

หูใหญ่ หางยาว มีงาสีขาว มีงวงห้อยยาวใช้หยิบจับของคล้ายมือ ใช้พ่นน้ำเป็น

ละออง แต่มีแรงมหาศาลเหมือนเครื่องจักร ลากซุงเดินตามกัน ช้างตัวใหญ่เหมือน

ภูเขาท่าทางดุดัน แข็งแรง ขยัน และเชื่อฟัง ช่างเปรียบเสมือนแท่นหินที่เป็นผ้าย่น

ตึงสลับกัน มีรอยย่นแต่งไปทั่วตัว ช่วงท้องป่องตึง มีงวงห้อย งาโค้งงอนสวย

ประดับช้างมีหูกาง หางยาว งาสีขาว ใช้งวงได้เหมือนมืออย่างนุ่มนวลแต่มีพละ

กำลังมหาศาล

บทกวีที่ ๑๑ "เหลื่อม"

สร้างกระท่อมกลืนกับธรรมชาติ ตาเพิ่มเป็นพรานป่าที่อาศัยอยู่ในกระท่อม ตกดึกมี

น้ำค้างเย็นยะเยือก ทั้งแมลงในป่า รวมถึงภาพและเสียง มือที่ถือปืนชุ่มไปด้วยเหงื่อ

วางปืนลงและปัดไล่ยุง กลับมีความคิดว่า วันรุ่งขึ้นอาจจะโชคดีได้สินค้าป่า ทั้งหนัง

เขา เขี้ยว เล็บและอื่น ๆ สักพักจิตล่องลอยคิดถึงอดีต ร้านขายของเก่าของเฒ่าชิด

ที่ถูกทอดเข้าไปทำลับล่อแล้วขโมยกระดึงวัดใหญ่ไปคิดเรื่องต่าง ๆ ช่างใจมากมาย

นึกถึงหุ่นยนต์ที่คอยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสร้างห้างสรรพสินค้าขึ้นทดแทน

มนุษย์ที่ลุ่มหลงทรัพย์สินภายนอก ธนพลคนยุคใหม่ เป็นคนดูดีมีระดับนุ่มห่มแต่

ของมีรสนิยม กินอาหารเสริมแทนอาหารพื้นบ้าน ดูโดดเด่นเป็นสง่าเหมือนเพชร ทำ

ธุรกิจหากำไรจากลูกค้า ทั้งลดทั้งสมนาคุณ ปรับปรุงสินค้าให้แพงขึ้น แล้วเอามาลด

ทำให้เสน่ห์พื้นบ้านนั้นหายไป ปัจจุบัน มนุษย์ ถูกกิเลสครอบงำ ทำได้ทุกอย่างเพื่อ

ยกระดับฐานะและความสบายให้แก่ตนเอง โดยไม่มีจิตใต้สำนึกต่อสิ่งมีชีวิตอื่น

บทกวีที่ ๑๒ "นครเมฆา"

เขาพระสุเมรุสูงสง่าเป็นหลักของโลก ส่วนดิสนีย์แลนด์ก็จินตนาการเป็นช่องผาอยู่

กลางห้างสรรพสินค้า ลดชั้นลงมาจากฟ้า การค้ากลายเป็นพระอินทร์ ทรัพย์สิน

กลายเป็นที่พึ่งที่ระลึก เที่ยวเหาะได้อย่างสบายใจ มีบันไดเลื่อนมีลิฟต์ มีเสื้อผ้า

มากมายให้แต่งตัว น้ำเมาชวนให้ชิม ยังมีบัตรเครดิตให้ใช้ ยิ่งสมัยนี้ไม่ต้องออกไป

หาเอง แค่มีโทรศัพท์ก็มีคนนำมาส่งให้

เปรียบซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นนรกของ นก หนู กุ้ง ปู หมู เป็ด มีทั้งผักทั้งเนื้อรอไปทำ

อาหาร ทำให้กิจวัตรของคนเปลี่ยนไป กรุงเทพฯมีแต่ความแออัด เป็นการอยู่ร่วม

ยุคร่วมสมัยในทุกวัน แต่กลับแตกต่างกันสิ้นเชิง

ปัจจุบัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเหมือนสวรรค์ของมนุษย์ แต่ถ้ามองกลับ

กันจะเห็นถึงความแออัดเบียดเสียดเหมือนนรก

บทกวีที่ ๑๓ "มิตรภาพในตรอกซอย"

ร้านขายของชำที่อยู่ในซอย ไม่ว่าจะซอยเล็กหรือซอยใหญ่ ถูกร้านสะดวกซื้อแย่ง

ลูกค้า ยิ่งมีมินิมาร์ทเข้ามาอยู่ตามปากซอยต่าง ๆ ทั้งติดแอร์ให้ความเย็น ทั้งจัด

เทศกาลลดราคาสินค้า ทำให้ร้านขายของชำเก่า ๆ แย่ลง เนื่องจากไม่เก่งกลยุทธ์

ทางการค้า เหมือนมินิมาร์ท ห้างร้านเป็นไม้ต่อ ส่วนร้านชำก็เป็นเพียงแค่ไม้ชำ จะมีก็

แค่ความไว้เนื้อเชื่อใจ พูดคุยกันได้เท่านั้น ที่มีคุณค่ามากกว่าสมาชิกเพราะมี

มิตรไมตรี อาจได้ลูกค้าขาจรบ้าง บางครั้งขาจรก็กลายเป็นขาประจำ

ความสะดวกสบาย สินค้าลดราคา ก็เทียบไม่ได้กับมิตรไมตรีและความจริงใจที่มีให้

บทกวีที่ ๑๔ "สีสันแห่งร้านเธอ" 3
เขา : ทุกสัปดาห์ผู้ประพันธ์ต้องมาหาหมอ ระหว่างรอก็ไปดื่มกาแฟที่ร้านที่มีกระจก 6
ใส มองผ่านกระจกรถติดตรงสี่แยก เห็นสาวซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วจึงหันมาอ่าน
หนังสือพร้อมกินเฟรนซ์ฟรายด์
เธอ : เธอถึงร้านก่อน ๗ โมงเพื่อมารอบริการลูกค้า มีลูกค้ามากมายทั้งชายและ
หญิง หน้าเคาเตอร์คิดเงิน มีผู้คนต่อแถววุ่นวายกันไปหมด บ่อยครั้งที่ลูกค้าต่อ
แถวน้อยลงเธอก็จะมองดูลูกค้าที่ทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งสวยงามเหมือนสีสันที่มาตกแต่ง
ร้านเธอ
เธอ-เขา-คนใด : ทุกเย็นหลังเลิกงานเขาจะรีบมาที่ร้าน เพื่อรอหญิงงาม เขาเบื่อที่จะ
สั่งอาหารแล้ว แต่ก็ยังอยากอยู่เพื่อแอบดูเธอร้านกาแฟติดถนนที่เขามาประจำ มี
ความวุ่นวายมากมาย แต่ก็มีสาวงามให้เขาได้เชยชม
บทกวีที่ ๑๕ "เพลงจร"
ผู้ประพันธ์เดินผ่านไป เห็นคู่สามีภรรยาที่เป็นนักดนตรีพเนจรจากต่างแดนเล่นกีต้าร์
อยู่ริมถนน ในขณะที่โลกเห็นดนตรีเป็นอาชีพ แต่คู่สามีภรรยากลับเห็นคุณค่าในด้าน
ดนตรีมากกว่าเงิน
ทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมัน มากกว่าตีค่าเป็นเงินตรา
บทกวีที่ ๑๖ "รถเมล์สุดป้าย และชายสุดปลื้ม"
ชายหนึ่ง : เห็นผู้ชายคนหนึ่งคุยโทรศัพท์พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข ทีแรกคิดว่า
ปัญญาอ่อน แต่ฟังที่เขาคุยไปเรื่อย ๆ ก็สนุกดี และช่วยคลายเครียด
อีกชายหนึ่ง : ผู้เล่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งดูเข้าท่ากำลังคุยโทรศัพท์ไปเรื่อย ซึ่งล้ำหน้าเรา
ไปอีกยุค โทรศัพท์ไร้สายคนก็ไร้กาลเทศะไปด้วยหากเรามองโลกในแง่ดีเราก็จะมี
ความสุข ปัจจุบันโลกเราพัฒนามาไกลมาก โดยเฉพาะด้านเครื่องมือสื่อสาร
บทกวีที่ ๑๗ "ใจขุนโจร"
บนรถเมล์ที่หญิงสาวนั่งมา มีผู้ชาย ๒ คนขึ้นมาผมรุงรังใส่หมวกและแว่นสายตา
หน้ากลัวเหมือนโจร แต่ชายหนุ่มกลับเป็นคนดีลุกสละที่นั่งให้ ทำให้หญิงสาวลบภาพ
ที่คิดว่าพวกเขาเป็นโจรออกไปและรู้สึกว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจอย่ามองคนที่ภายนอก
บทกวีที่ ๑๘ "ในมหานคร"
ในยามดึกช้างพรายจะต้องกลับเข้าป่า หากินหลับนอนตามธรรมชาติ แต่กลับต้อง
ทำการคำนับ แลกกับกล้วยถุงละ ๒๐ บาทเพื่อประทังชีวิตเร่ร่อน คนเอาช้างมา
หากินในเมืองเป็นการฝืนธรรมชาติของสัตว์ป่า
มนุษย์มีแต่ความเห็นแก่ตัว นำสัตว์มาทรมาน ฝืนธรรมชาติของมัน เพื่อแลกกับเงิน
บทกวีที่ ๑๙ "มองมุมแมงมุม"
ผู้เล่าจินตนาการว่าตัวเองเป็นแมงมุม แล้วมองลงมาให้สำนักงานก็พบว่า ผู้คนและ
โต๊ะถูกแขวนไว้เหมือนที่คนมองแมงมุมและมนุษย์ที่ยุ่งอยู่กับการทำงานแข่งกับเวลา
จนเป็นนิสัย ไม่ได้ดีไปกว่าแมงมุม
มนุษย์เงินเดือนก็เปรียบเสมือนแมงมุมที่คอยตรึงตัวเองกับงาน แขวนตัวเองอยู่แต่
ในกรอบ

3

บทกวีที่ ๒๐ "เวทนา" 7
ไล่แมลงปอออกไปแล้วไม่ไปจึงตกเป็นเป้าหมายในตอนกลางคืน บินเพลิดเพลินใน
เมืองคอนกรีต สุดท้ายเหมือนหักหางฉีกปีก ถูกจิ้งจกกิน ไม่ต่างจากพวกแมงเม่า
อย่าหลงระเริงหรือวางใจในที่ที่ไม่ใช่ถิ่นตัวเอง
บทกวีที่ ๒๑ "ลงถังเถอะครับ"
ถึงแม้ธรรมชาติจะใช้แล้วย่อยสลายได้และมีมาก แต่การใช้โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าก็
ทำให้เกิดพิษแก่ธรรมชาติได้ แต่เดิมเคยใช้วัสดุธรรมชาติที่ไม่ทำลายธรรมชาติ แต่
พอมีพลาสติกก็ทำให้คนใช้ชีวิตสะดวกขึ้นและทำลายโลกด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก
สบายล้วนแล้วแต่ทำลายธรรมชาติ ดังนั้นเราควรช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม โดย
การทิ้งขยะให้ถูกที่
บทกวีที่ ๒๒ "จอแก้ว"
ดูธรรมชาติ เปิดเพลงฟังน่าตื่นเต้นบนเบาะนุ่ม ๆ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน คนส่วนใหญ่
เลือกที่จะดูโทรทัศน์อยู่บ้านมากกว่าออกไปเปิดหูเปิดตาปัจจุบันเรานั่งดูธรรมชาติ
จากโทรทัศน์มากกว่าสัมผัสธรรมชาติจริง ๆ
บทกวีที่ ๒๓ "ห้องน้ำแห่งหนึ่ง"
ประตูบาธติค : ประตูงดงามเรียบหรู ต่อท่อน้ำถูกน้ำกระเซน ประตูบาธติคทนร้อน
ทนชื้นได้และเอื้ออำนวยกว่าเนื้อไม้แท้ ๆ
ประตูเปิด : สมัยก่อนหลังคาที่ต้องถอดเปลี่ยนใหม่ตามฤดูกาล ทำให้รับรู้ถึงฤดูที่
เปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ตอนเช้าหรือตอนค่ำต่างกันชัดเจนและต้นไม้ที่เติบโตและ
ตายไป
ก้องสะท้อน : พอได้คิดอาจจะเป็นพระเจ้า ที่กำหนดให้โลกนี้สะดวกสบาย ดูขัดกับ
กฎไตรลักษณ์ มีประตูเหมาะกับยุคสมัย โดยไม่คำนึงถึงเหตุปัจจัย ไม่นึกถึงโลกที่
เคยเป็นมา
ปัจจุบันมีการพัฒนาสิ่งของต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน มากกว่าอดีตที่
ใช้งานตามธรรมชาติ
บทกวีที่ ๒๔ "วิถีสนเทศ"
นั่งอ่านหนังสือเหมือนได้รับรู้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้แต่งท่ามกลาง
ธรรมชาติ ผู้เล่านั่งอ่านหนังสือที่ม้านั่งเก่า ๆ ถึงแม้ผู้แต่งจะจากไปแล้วแต่ยังคงไว้
ซึ่งผลงาน สมองก็แตกกิ่งใบ ส่วนใจเกินหยั่งถึงเหมือนรากไม้ ใจเขาใจเรา เมื่อมอง
ฟ้าหวังให้หายเหนื่อยแต่เต็มไปด้วยสายไฟ มีแต่คนอยู่ในโลกของอิเล็กทรอนิกส์ที่
แจกจ่ายข้อมูลอย่างง่าย ๆ
เมื่อก่อนเราเคยค้นคว้าข้อมูลจะหนังสือจากสิ่งรอบตัว แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยี ช่วย
ให้ความสะดวกและรวดเร็วในด้านต่าง ๆ เหมือนอยู่ในคุกที่มีแต่ข้อมูล
บทกวีที่ ๒๕ "ว่าด้วยเรื่องวรรณกรรมมุขปาฐะ"
เรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา มีหน้าที่เหมือนกับเสียงพากย์ทีวี หรือสถานีวิทยุ มีค่าเกิน
กว่าจะเป็นของเก่า แต่ถึงอ่านไปถ่ายเทปไว้ก็ไม่มีคนสนใจเท่าละครหลังข่าวคำพูดคน
ปากต่อปากกระจายได้เร็วกว่าสื่อต่าง ๆ

บทกวีที่ ๒๖ "รออรุณ" 3
ร้านขายหนังสือเก่าที่ภายในร้านมีแต่ฝุ่นเกรอะกรัง ร้านจะปิดกิจการเพราะมีสื่อใหม่ 8
มาแทนที่ ร้านขายหนังสือเก่าที่รอคนมาบูรณะ ซึ่งร้านขายหนังสือร้านขายความรู้
เป็นร้านที่ไม่น่าจะปิดกิจการ
บทกวีที่ ๒๒ "จอแก้ว"
ดูธรรมชาติ เปิดเพลงฟังน่าตื่นเต้นบนเบาะนุ่ม ๆ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน คนส่วนใหญ่
เลือกที่จะดูโทรทัศน์อยู่บ้านมากกว่าออกไปเปิดหูเปิดตาปัจจุบันเรานั่งดูธรรมชาติ
จากโทรทัศน์มากกว่าสัมผัสธรรมชาติจริง ๆ
บทกวีที่ ๒๓ "ห้องน้ำแห่งหนึ่ง"
ประตูบาธติค : ประตูงดงามเรียบหรู ต่อท่อน้ำถูกน้ำกระเซน ประตูบาธติคทนร้อน
ทนชื้นได้และเอื้ออำนวยกว่าเนื้อไม้แท้ ๆ
ประตูเปิด : สมัยก่อนหลังคาที่ต้องถอดเปลี่ยนใหม่ตามฤดูกาล ทำให้รับรู้ถึงฤดูที่
เปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ตอนเช้าหรือตอนค่ำต่างกันชัดเจนและต้นไม้ที่เติบโตและ
ตายไป
ก้องสะท้อน : พอได้คิดอาจจะเป็นพระเจ้า ที่กำหนดให้โลกนี้สะดวกสบาย ดูขัดกับ
กฎไตรลักษณ์ มีประตูเหมาะกับยุคสมัย โดยไม่คำนึงถึงเหตุปัจจัย ไม่นึกถึงโลกที่
เคยเป็นมาปัจจุบันมีการพัฒนาสิ่งของต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน
มากกว่าอดีตที่ใช้งานตามธรรมชาติ
บทกวีที่ ๒๔ "วิถีสนเทศ"
นั่งอ่านหนังสือเหมือนได้รับรู้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้แต่งท่ามกลาง
ธรรมชาติ ผู้เล่านั่งอ่านหนังสือที่ม้านั่งเก่า ๆ ถึงแม้ผู้แต่งจะจากไปแล้วแต่ยังคงไว้
ซึ่งผลงาน สมองก็แตกกิ่งใบ ส่วนใจเกินหยั่งถึงเหมือนรากไม้ ใจเขาใจเรา เมื่อมอง
ฟ้าหวังให้หายเหนื่อยแต่เต็มไปด้วยสายไฟ มีแต่คนอยู่ในโลกของอิเล็กทรอนิกส์ที่
แจกจ่ายข้อมูลอย่างง่าย ๆเมื่อก่อนเราเคยค้นคว้าข้อมูลจะหนังสือจากสิ่งรอบตัว
แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยี ช่วยให้ความสะดวกและรวดเร็วในด้านต่าง ๆ เหมือนอยู่ใน
คุกที่มีแต่ข้อมูล
บทกวีที่ ๒๕ "ว่าด้วยเรื่องวรรณกรรมมุขปาฐะ"
เรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา มีหน้าที่เหมือนกับเสียงพากย์ทีวี หรือสถานีวิทยุ มีค่าเกิน
กว่าจะเป็นของเก่า แต่ถึงอ่านไปถ่ายเทปไว้ก็ไม่มีคนสนใจเท่าละครหลังข่าว
คำพูดคนปากต่อปากกระจายได้เร็วกว่าสื่อต่าง ๆ
บทกวีที่ ๒๖ "รออรุณ"
ร้านขายหนังสือเก่าที่ภายในร้านมีแต่ฝุ่นเกรอะกรัง ร้านจะปิดกิจการเพราะมีสื่อใหม่
มาแทนที่ ร้านขายหนังสือเก่าที่รอคนมาบูรณะ ซึ่งร้านขายหนังสือร้านขายความรู้
เป็นร้านที่ไม่น่าจะปิดกิจการปัจจุบันคนสนใจสื่อหนังมากกว่าอ่านหนังสือ

3

บทกวีที่ ๒๗ "ชุ่มใจ" 9

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเห็นเต่าเดินออกมาจากสระน้ำและคอยขวาวทางไม่ให้เต่าไปกลาง

ถนนเพราะกลัวถูกรถชน สุดท้ายเด็กผู้หญิงก็อุ้มเค้ากลับไปที่สระน้ำเหมือนเดิม

ทำให้กวีที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกอิ่มเอิบใจ

การเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องที่ดี

บทกวีที่ ๒๘ "วังแม่ลูกอ่อน"

แม่อุ้มลูกวิ่งข้ามถนน ทันใดนั้นรองเท้าลูกก็หลุดกลิ้นไปทางถนน ลูกซึ้งเป็นออทิสติ

กก็ร้องไห้จะเอารองเท้า ผู้เป็นแม่ก็จนปัญญา จะวิ่งไปเก็บลูกก็ดิ้น จะวางลูกก็กลัว

ลูกจะถูกรถชน โชคดีที่มีหญิงสาวโยนข้ามมาให้ แม่รับแล้วจึงอุ้มลูกข้ามถนนต่อไป

คนเป็นแม่ ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงก็ยังรักและห่วงใยเสมอ

บทกวีที่ ๒๙ "เจ้าดอกนุ่นแตกฝักลมยักย้าย"

ลานริมตึก : ในคืนที่ไม่มีดาวเป็นคืนที่ฝนตกหนักน้ำท่วม มีหมาขี้เรื้อนอุ้มท้องมาขุด

ดินหลบฝนลมพัดผ้าม่านปลิว ฟ้าร้องเสียงดัง ฝนตกหนักเหมือนพระพิรุณไปโกรธ

ใครมา

ยาวไกล ไม่ยาวนาน : ในแสงที่สอดส่องมาจากฟ้า ได้ยินเสียงลูกหมาครางหงิง ๆ

แย่งกันกินนมจากเต้าของแม่จนล้มหัวคะมำ บางตัวลายขาวดำ บางตัวสีดำล้วน

บางตัวสีขาวล้วน บริสุทธิ์เหมือนฟ้าหลังฝนที่โหมกระหน่ำ แม่หมาเฝ้าคอยเลียลูก

เพื่อทำความสะอาด ลูกหมานอนอิ่มพริ้มตัวแดงระเรื่อ แม่หมาขี้เรื้อนไม่เหมือนลูก

คนจึงทักว่าเหมือนดอกนุ่นที่แตกฝักแล้วย้ายเปลี่ยนที่

แม่ลูกไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน โตแล้วอาจเปลี่ยนแปลงแยกย้ายกันไป

บทกวีที่ ๓๐ "ต่าง"

แม่ลูกคู่หนึ่ง ที่แม่พยายามเล่าเรื่องวัยสาวของตัวเองให้ลูกฟัง แต่ลูกคงนึกภาพไม่

ออกเพราะลูกโตมาพร้อมความสะดวกสบาย ซึ่งต่างจากแม่ที่เคยลำบากมาก่อน โลก

ของรุ่นลูกพัฒนาขึ้นทุกวัน ถึงจะเป็นแม่ลูกกันแต่จิตใจต่างกันอยู่ดี

แม่เลี้ยงลูกได้แต่ตัว เลี้ยงจิตใจลูกไม่ได้ เนื่องจากแต่ละคนโตมาคนละยุคคนละสมัย

ไม่สามารถสอนให้เข้าใจได้ทุกเรื่องบทกวีที่

๓๑ "เคยมีลานดินหน้าบ้านเขา"

หญ้ากับต้นไม้โดนตัดกระจัดกระจายและถูกแทนที่ด้วยตึก จากลานดินกลายเป็น

คอนกรีตกับซีเมนต์ แสงแดดเข้าไม่ถึงไม่มีลมพัดผ่าน ต้นไม้ใหญ่โดนตัดทิ้งเหลือแต่

ต้นเล็ก ๆ ในกระถาง

ความเจริญทำให้ลานดินน้อยลง ต้นไม้ถูกตัดทิ้งเหลือเพียงลานซีเมนต์กับต้นไม้เล็ก

ๆ ที่ปลูกไว้ในกระถาง

บทกวีที่ ๓๒ "ในนามของความเชื่อ"

พระพุทธรูปและนางกวักที่ชำรุดแล้ว เมื่อไม่มีใครต้องการเป็นแค่สิ่งอัปมงคลที่

แปลกและไร้ค่าต้องเอาไปทิ้งที่วัด จากที่ทั้ง ๒ สิ่งเคยอยู่บนหิ้ง มีคนศรัทธา กลาย

เป็นหิน ดิน ทราย วัดเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาแก้เคล็ดมากกว่าศึกษาธรรม

ปัจจุบัน ผู้คนเห็นวัดเป็นที่พึ่งยามเดือดร้อน พอไม่มีทุกข์ก็มองไม่เห็นคุณค่า

4

บทกวีที่ ๓๓ "สองหู" 0

ภายในวันเดียวกัน ฝั่งหนึ่งของวัดจัดงานศพเต็มไปด้วยเสียงพระสวดและวงปี

พาทย์ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งกำลังแห่นาค มีเสียงดนตรีและแสงไฟรื่นเริงสนุกสนาน ทั้ง ๒

งานจัดในวันเดียวกัน นั่งอยู่ในงานศพก็ได้ยินเสียงเพลง เป็นความสงบในความ

อลเวงหูคนเรามี ๒ ข้าง เราสามารถรับฟังอะไรหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน

บทกวีที่ ๓๔ "พิธีกาล"

ประเพณีสงกรานต์ที่ทุกคนสนุกสนานรื่นเริง มีการสาดน้ำ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ใส่เสื้อ

ลายดอกสะดุดตา แต่คนไทยทำผิดกาลเทศะ ที่ทำช่วงนี้เพราะอยู่ในช่วงประเพณี

สงกรานต์ แต่พอหมดช่วงนี้ก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่แตกต่าง

เวลาเปลี่ยนประเพณีที่ถูกสืบทอดก็เริ่มเลือนหาย ถูกแทนที่ด้วยความสนุกสนานจน

ลืมที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรม

บทกวีที่ ๓๕ "นกปล่อย"

ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าการซื้อนกมาปล่อยเป็นการทำบุญได้บุญ แต่ความจริงแล้ว

เป็นการทำบาปมาก ๆ เป็นการทารุณกรรมสัตว์เพราะคนส่วนใหญ่ปล่อยนกแต่ขอ

อธิษฐานให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่ได้มีจิตเมตตาอยากปล่อยสัตว์จริง ๆ

ส่วนคนขายก็เอาแต่เงินคิดแต่กำไร การปล่อยนกที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้มันอยู่ตาม

ธรรมชาติ ไม่ซื้อก็ไม่มีการจับนกเกิดขึ้น

การทำบุญควรคิดดี ๆ ทำบุญต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะเมื่อแม่ค้าพ่อค้าขาย

ได้ก็จะไปจับมาขายอีก

บทกวีที่ ๓๖ "ตระหง่าน"

ปรางค์ : เหลี่ยมและมุมหลบเงาแสง ดูโดดแข่งกับแสงแดดจ้า ขับเป็นเงาสะดุดตา

พุ่งยอดไปยังฟ้าด้วยศรัทธา เป็นซุ้มเล็ก ๆ ไล่ระดับกัน เป็นพุ่มช่อโดยมีพื้นเป็นอิฐ

ดูสง่าสมกับศรัทธาแห่งธรรม

ซุ้ม : ลายปูนสะท้อนกับแดด ประกายเป็นแสงสีรุ้งไปทั่ว เป็นศูนย์รวมที่ยึดเหนี่ยว

จิตใจคน

ตะลึง : เทวดาสั่งการให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ซึมซับแสงเงา แล้วก็ได้แต่สงสัยศรัทธา

ในพระพุทธศาสนายังดำรงรักษาไว้ทั้งหมด เป็นมนต์สะกดจนถึงฟากฟ้า

พระพุทธศาสนาที่เป็นศูนย์รวมจิตใจผู้คน มีความสวยสดงดงาม ควรค่าแก่ศรัทธา

บทกวีที่ ๓๗ "ทาง"

รถสิบล้อขนอาหารมาจากต่างจังหวัดเข้ามาในเมื่อที่มีแต่ควันรถ ควันไฟ และควัน

พิษ จึงอยากกลับไปดมกลิ่นที่ต่างจังหวัดและใช้ชีวิตอย่างพออยู่พอกินและอยู่อย่าง

สุขใจ

เมืองใหญ่มีแต่มลพิษ อาหารก็ต้องขนมาจากแหล่งกันดาร รถโดยสารสาธารณะก็

ไม่มีคนขึ้น

บทกวีที่ ๓๘ "ภาพต่อ" 4
ชายคนหนึ่งจากบ้านเกิดมาเพื่อศึกษาหาความรู้และสุดท้ายก็กลับมาบ้านเกิดตัวเอง 1
และนำความรู้ที่ได้มาโดยไม่รู้สิ่งที่ทำอยู่นั้นเลือกเส้นทางผิดหรือถูก และเมื่อได้เห็น
กลุ่มหนุ่ม ๆ รุ่นต่อมา ก็เหมือนได้มองกระจกสะท้อนตัวเองบ้านเมืองในอดีตเป็น
ตึกแถวที่เป็นไม้ไม่เหมือนเช่นปัจจุบัน
บทกวีที่ ๓๙ "กังวานเวลา"
โบราณสถานหรือโบราณวัตถุสื่อถึงความหมายว่าควรทำนุบำรุงรักษาไว้ไม่ให้เสื่อม
หรือหมดไปเก็บความทรงจำความสวยงามแบบเดิมของโบราณสถานและโบราณ
วัตถุเอาไว้สืบต่อไป
โบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงวัฒนธรรมพื้นบ้าน ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้
บทกวีที่ ๔๐ "บ้านเก่า"
จากเด็กต่างจังหวัดบ้างก็เข้ามาเรียนมาทำงานในเมืองและลืมความเป็นอยู่ของบ้าน
เกิดตัวเอง ซื้อบ้านรถที่ดินจนเป็นหนี้สินตกงานเจ้าหนี้ตาม สุดท้ายก็ซมซาบกลับมา
ที่บ้านเก่าของตัวเอง
อย่าทำตัวเหมือนวัวลืมตีน
บทกวีที่ ๔๑ "ชานเรือน"
บ้านเก่า ๆ ผุพังไม่เป็นชิ้นเป็นอันมีหญ้าเขียว ๆ โอบล้อมท้องฟ้าให้ได้สูดลมหายใจ
เหมือนกับว่า ภายในสิ่งไม่ดีมีสิ่งดี ๆ เหลืออยู่เรือนไม้เก่าผุพังไปตามเวลา

ตีความเนื้อหา เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 4
2

บทกวีที่ ๒๐ "เวทนา"

•ก็ไล่เจ้าแล้วมิรู้หลีก
คงปองคล่องปีกเป็นอาหาร

เปี่ยมให้ไมตรีแก่วิกาล
ราตรีแก่กร้านพร้อมกลืนกิน
•โฉมปีกฉายปีกเลาะหลีกป่า

เหลิงเขตคูหาลืมผาหิน
หลงคามคอนกรีตจึงกวัดบิน

ปิดทางทั้งสิ้นทุกสายทาง
•ทิวามาวายเกินว่ายวัก
เหมือนหางมาหักถูกกักหาง
มีปีกเหมือนปีกถูกฉีกวาง
มีตาฝ้าฟางก็พรางตา
•แมลงปอก็เป็นเช่นแมงเม่า
แหลมคมเลือนเค้าเริ่มเฉาค่า
ปีกคู่เคยไวพร้อมไคลคลา
กลับเชือนแช่มช้าเมื่อคลาไคล
•ตาเคยคุ้นภาพซึ่งวาบวับ
เกินซับรับภาพซึ่งวาบไหว
จิ้งจกจากหลืบค่อยคืบไป
ก่อนฉกฉับให้เกินไหวกลัว
•ฉกปับแมลงปอก็ป้อนปาก
หลังฉากราตรีมิใช่ชั่ว
ต่างไวต่างเหมาะเฉพาะตัว
แผกกาลจึ่งกลั้ววิกลการณ์
ถอดบทประพันธ์
ไล่แมลงปอออกไปแล้วไม่ไปจึงตกเป็นเป้าหมายในตอนกลางคืน บินเพลิดเพลินใน
เมืองคอนกรีต สุดท้ายเหมือนหักหางฉีกปีก ถูกจิ้งจกกิน ไม่ต่างจากพวกแมงเม่า
อย่าหลงระเริงหรือวางใจในที่ที่ไม่ใช่ถิ่นตัวเอง

4

3

โชคชัย บัณฑิต' เป็นนามปากกาของ นายโชคชัย บัณฑิตศิละศักดิ์ เกิดวันที่ ๒๑
มีนาคม ปี พ.ศ.๒๕๐๙ เป็นอาจารย์และนักเขียนรางวัลซีไรต์ โชคชัยเกิดที่อำเภอ
ลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ เป็นบุตรคนโต
โชคชัยเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนปฐมสิทธิ์พิทยาคาร (ป.๑ – ๔) แล้วเรียน
ต่อโรงเรียนบูรพาศึกษา ในอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์จนจบ ป.๖ หลังจาก
นั้นเข้าเรียน ป.๗ ที่โรงเรียนลาซาล โชติรวี และเข้าเรียนมัธยมศึกษา (ม.ศ. ๑-๕) ใน
โรงเรียนนครสวรรค์ ในอำเภอเมืองนครสวรรค์ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา โชคชัย
ได้เข้าเรียนระดับปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต จากภาควิชารัฐศาสตร์ คณะ
สังคมศาสตร์ (ปัจจุบันคือคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์) มหาวิทยาลัย
เชียงใหม่ และศึกษาต่อระดับปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ไทยศึกษา) จาก
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
โชคชัย บัณฑิต' เริ่มมีผลงานเผยแพร่ตามหน้านิตยสารตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๘ ขณะเป็น
นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลงานชิ้นแรก ๆ คือบทกวี "สายสัมพันธ์" พิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ เมื่อปี พ.ศ.
๒๕๒๘ และ เรื่องสั้น "ยุคสมัย" พิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘
"บ้านเก่า" เป็นผลงานรวมเล่มกวีนิพนธ์ลำดับที่ ๔ ของโชคชัย บัณฑิต' ในเล่ม
ประกอบด้วยบทกวี ๔๑ เรื่อง สร้างสรรค์โดยใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนเป็นส่วน
ใหญ่
บทกวี "ในสระน้ำใส" และ "นครเมฆา" ได้รับการบรรจุเป็นบทเรียนในแบบเรียนวิชา
ภาษาไทยของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช (ชั้น ม.๒ และ ม.๔)
ในปีพ.ศ. ๒๕๓๕ บทกวี "เวทนา" ได้รับรางวัลชมเชย จากสมาคมภาษาและหนังสือ
แห่งประเทศไทย
แก่นสารและความคิดของโชคชัย บัณฑิต’ ที่ต้องการสื่อมายังผู้อ่าน คือ ภาพของ
สังคมเกษตรกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสบริโภคนิยมและเทคโนโลยีสมัย
ใหม่ อันส่งผลกระทบถึงวิถีชีวิต ค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม แม้กระทั่ง
ธรรมชาติ
โดยสรุป ในแง่ของเนื้อหา บทกวีทุกเรื่องในหนังสือกวีนิพนธ์ "บ้านเก่า" เปรียบเส
มือนจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ ที่ปะติดปะต่อภาพ "ความเปลี่ยนแปลง" ของสังคม
การตีความ
ตีความตามเนื้อหา : ผู้แต่งต้องการสื่อให้เห็นถึงการหลงระเริงหรือการไว้วางใจในที่
ที่ไม่คุ้นเคย โดยการเปรียบเทียบกับแมลงปอที่ไล่แล้วก็ไม่ไป มัวแต่บินเพลิดเพลินใน
เมือง สุดท้ายก็ตกเป็นเป้าหมายในตอนกลางคืน ถูกหักหางฉีกปีก ถูกจิ้งจกกิน ไม่
ต่างจากพวกแมงเม่า
ตีความตามน้ำเสียง : เจตนาของผู้เขียนคือต้องการจะสื่อถึงการไม่ระวังตัว หลง
ระเริง ไว้วางใจในที่ที่ไม่คุ้นเคยจนทำให้ตกเป็นเป้าหมายของคนไม่ดี โดยแสดงผ่าน
ตัวของแมลงปอที่หลงระเริงในเมือง

การประเมินคุณค่า 4
ด้านวรรณศิลป์ : ใช้ภาพพจน์อุปมา เปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง เปรียบ 4
แมลงปอเหมือนแมงเม่า
'แมลงปอก็เป็นเช่นแมงเม่า'
การเล่นเสียงพยัญชนะ : จิ้งจกจากหลืบค่อยคืบไป
ก่อนฉกฉับให้เกินไหวกลัว
ด้านสังคม : ผู้แต่งแสดงแนวคิดว่าการหลงระเริง การไม่ระวังตัวหรือการไว้ว่าใจใน
ที่ที่ไม่ใช่ถิ่นของตนหรือที่ที่ตนไม่ได้คุ้นเคยนั้นอาจทำให้เราตกกลายเป็นเป้าหมายของ
คนไม่ดีได้ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะระวังตัวไม่หลงระเริงหรือไว้วางใจในที่ที่เราไม่คุ้น
เคย

นาฏกรรมบนลานกว้าง

สรุปเนื้อหา เรื่องนาฎกรรมบนลานกว้าง 4
5

ต้านพายุ
- เมื่อเราเจาสิ่งที่มันแย่ๆเข้ามาในชีวิตจงปล่อยมันไปอย่าได้ไปกักเก็บมันไว้ให้ลำบาก
เราเลยมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราไปยืนต้านพายุที่แรงเกินที่จะยืนไหวไม่ว่ายังไงมัน
ก็ไม่สามารถที่จะยืนท่ามกลางสายฝนนั้นได้อยู่แล้ว
คืนวันแห่งพายุฝน
- ถ้าเอาแต่กลัวก็ไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่อยากทำได้ อยากทำอะไรก็ทำเลยอย่าได้แต่
กลัวถ้าเรากล้าที่จะฝ่าอุปสรรคไปได้เธอจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เธอ
ต้องการแน่นอน
แด่เธอผู้ไต่ขุนเขา
- ถึงเพื่อนที่กำลังเดินทางตามความฝันของตัวเธอเองอยู่ทางที่เอเดินอาจจะเป็น
ทางที่อยากลำบากไม่เห็นแม้แต่เส้นชัยแต่เธอจงก้าวต่อไปเถอะตราบใดทีฃีวิตเธอยัง
โลดแล่น
ขอทานบรรดาศักดิ์
- เห็นได้ว่ามักจะเห็นคนที่มีเงินมีทอง มากกว่าจะเห็นค่าคนที่ยากจนไม่มีกิน คน
ยากจนก็ราวกับเป็นคนขอทานถูกมองว่าไม่ต่างอะไรจากหมาไม่เห็นค่าในตัวพวกเขา
คำถาม-คำตอบรวมสมัย
- สะท้อนให้เห็นถึงพวพนักการเมืองที่ทำนาบนหลังประชาชนที่อดยาก
“กาลเวลาจะพิสูจน์คำพูดคน”
- เห็นไดชัดเลยว่าความยุติธรรมในไทยค่อนข้างแย่คนรวยๆก็ไม่ผิด และบางอย่าง
กฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ คนผิดก็ลอยนวน
“ตุลารำพึง”
- เดือนตุลาทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่มีแต่การรบลาฆ่าฟัน เพราะเดือนนี้นั้นเป็นเดือนที่
ประชาชาและกลุ่มนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตย
ธุลีดิน
- การที่เริ่มต้นทำอะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องแลกใหม่เสมอ ทุกอย่างก้าวที่เดือนจะไม่
ได้สวยหรูแต่อาจจะเต็มไปด้วยน้ำตาที่เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคในขณะที่เรากำลังทำใน
สิ่งที่เราเลือกอยู่ทุกๆวันที่เข้ามามันจะเป็นบททดสอบให้เราเข้มแช็งขึ้นถ้าวันนึงเราได้
ไปพบกับจุดที่เราตามหาแล้ว ตะได้พบกับสิ่งที่น่าตื่นเต้นแน่นอน
จากเพื่อนถึงเพื่อน
- ทุกสิ่งที่ได้ลงมือทำไปมันจะไม่เสียเปล่ามันเพราะมันจะเป็นบททดสอบให้เธอเก่งขึ้น
ท้อได้อแต่อย่าหยุดเด็ดขาด
คำประกาศของคนถือปากกา
- เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนไม่ต่างอะไรกับการอยู่ท่ามกลางกรงเล็บอันเฉียบแหลม
เพราะเราต่างไม่รูว่าใครเป็นใครเป็นยังไง

ไผเล่าไผ... 4
- ยามที่เราลำบากใครจะไปรับรู้ได้ว่าเราเป็นยังไงยามที่ไม่มีอะไรจะกินอดมื้อกินมื้อ 6
ภาพแห่งความหิวโหยไม่ต่างอะไรกับขอทานที่รอวันที่คนจะมาบริจาคเงิน เมื่อเป็น
เฃ่นนี้ก็จะถูกได้ง่าย
คำติง
- อย่าทำเป็นรู้เยอะ อย่าทำเป็นคนน้ำเต็มแก้วการที่คนรอบตัวเข้ามาบอกกล่าวคือ
เรื่องที่ดี อย่าไปทะนงตนว่าไม่สามารถพูดหรือตักเตือนได้เลย
แด่เพื่อนหนังสือพิมพ์
- ข่าวนั้นสามารถเขียนลงไปอย่างไรก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรที่จะมีจรรยาบรรใน
การนำเสนอข่าวด้วย ถ้าไม่สามารถที่จะซื่อสัตย์ในการเขียนแล้ว ก็อยู่ได้ไม่นาน
ถึงบัณฑิต
- กว่าจะเป็นบัณฑิตได้ต้องมีความอดทนความเพียรสูงเพราะจะต้องเจอกับกฎ
เกณฑ์ต่างๆที่สังคมตั้งขึ้น เบื้องหลังความสำเร็จนั้นจะต้องแลกมากับ หยาดเหงื่อ
และน้ำตา
นักเขียน:นักศิลปะ-
- นักเขียนกับนักศิลปะมักจะตีกันเพราะความเห็นต่าง เหตุเกิดมาเนื่องจากนักศิลปะ
เป็นผู้สร้างศิลปะ ผู้เขียนนั้นก็มาวิจารณ์งานขิงนักสิลปะ ดังนั้นก็เลยมีปัญหาว่างาน
ศิลปะ นักเขียนก็บอกว่านี่คืองานของฉัน แต่ถึงอย่างนั้นมุมมองทั้งสองก็แตกต่าง
กันอยู่ดีเพราะสิลปะสามารถมองยังไงก็ได้ ยังไงก็ตามนักเขียนก็ต้องมีความซื่อสัตย์
ต่อปากกาขอองตนเองด้วยเช่นกัน
คนขอฝน
- เมื่อไร้ฝนทุกอย่างพื้นที่ทำกินก็แห้งแล้งไปหมดรวมถึงคนด้วย หนจะมีทางเดียวที่
จะเยียวยาจิตใจพวกเราได้ก็คือพิธีแห่นางแมวขอฝน ได้โปรเถอะให้ฝนตกลงมาให้
ท้วมนาไปเลยเพราะถ้าน้ำฝนไม่ไหลจะเป็นน้ำตาจากเราที่ไหลแทน
มีแต่เร่งเข้าไปรื้อด้วยมือเรา
หลังลมอับ-พยับแด
- วันมหาวิปโยค จากวันที่เคยเงียบสงบก็ต้องได้ยินแจ่เสียงปืน เสียงผู้คนร้องชีวิต
ใครก็ได้มาช่วยให้วันร้ายๆนี่ผ่านพ้นไปทีมามอบความยุติธรรม มอบประชาธิปไตยให้
พวกเรา
ด้วยรัก
- รักของเราถ้ายังคงชื่อใจกันและจบมือเข้มแข็มมือที่สามก็ไม่อาจเช้ามาได้
ความในใจครั้งสุดท้าย
- ฉันคือนักเดินทางที่กระหายความพอดีในชีวิตแต่พบเวลาที่ลำบากปกคลุมไปด้วย
เมฆดำแต่ถึงอย่างนั้นโบราณท่านกล่าวไว้ว่าตาต่อตาฟันต่อฟัน ใครบ้างที่ไม่ลำบาก
จงพังกำแพงที่แข็งแกร่ง
บาดแผลและไฟ
- ถ้าใจซื่อสัตย์ก็อย่าได้กลัวเลยเผชิญกับโลกกว้างอย่างกล้าหาญเข้มแข็งเถอะ

4

เดินทัพทางไกล 7

- เมื่อหาทางยังเลี้ยวคด เจอแต่ฝูงอสรพิษเธอจะมีจิตใจที่มั่นคง นักต่อสูงที่แท้จริง

และการเดินทางที่เธอได้ฝ่าฝันมาจะเป็นตำนานเล่าขาน ไม่รู้จบ

บทรำพึงนอกพงพี

- ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ เมื่อพลาดแล้วก็ไม่สามารถกลับแก้ได้

ความหิวของเรา

- สถานการณ์บ้านเมืองเต็มไปด้วนมายาของผู้ปกครองทุกยุคสมัย ที่ว่ามีถนน

ประชาธิปไตย แต่เราไม่เคยเห็นหนทางของเสรีการ อย่าหวังถึงแสงสีขาวเลยตราบ

ใดที่สีเขียวยังสกปรกอยู่

ในเมื่อพวกมันยังนั่งกินภาษีของประชาชนอย่างสุขสะบาย

เหตุแห่งผล

- จงกางปีกชองเจ้าเสียเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางเรายังคงต้องลำบาก

แต่ประสบการณ์จะสอนเราเอง อย่าพึ่งหลงกับคำพูดของผู้คนหรืออะไรที่ทำให้เรา

ไขวเขว

ไม่งั้นเราอาจจะลืมเอาไว้

นาฏกรรมบนลานกว้าง

- ประชาชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจในสังคมโดยโยงความทุกข์ทรมานและความยากจน

ผู้ด้อยโอกาสกับเหตุการณ์จลาจล13 ตุลาคม 2513 และ 6 ตุลาคม 2519

รุ้งกินเมือง

- ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีความเป็นใหญ่

ตีความเนื้อหา เรื่องนาฎกรรมบนลานกว้าง 4
8

เรื่องนาฏกรรมบนลานกว้างแต่งเกี่ยวกับสะท้อนชนชั้นฐานะการงานการใช้ชีวิต
การฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาในชีวิต การต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเองความ
ทุกข์ทรมานและความข้นแค้นของคนยากจนผู้ด้อยโอกาสจากสถานการณ์
จราจล14ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม2519

มีคำพูดที่อวดอ้างความเสมอภาค
ของบรรดาเผด็จการ
คอยเติมแต่ความต่ำทราม
ให้ผู้ที่เรียกขานตัวเองว่าพลเมือง

ป่วยการวิงวอนขอ
ความยุติธรรมสูงส่ง
เพราะมันจมฝังใต้เกือก
มานานแสนนาน
อย่าเพ้อฝันถึงแสงสีขาว
อันสะอาดตาบนโลกกว้าง
ตราบใดที่คราบสีเขียวสกปรก
ยังกลาดเกลื่อน
ด้วยความคิดคับแคบ
ในโพรงสมองอันมืดตื้อ
ปล่อยให้ภูตผีและเหล่าร้าย
สำราญกับการสูบเลือดต่อไป
มันไม่เคยรู้รสถึงความบีบคั้น
ของหัวใจและกระเพาะอาหารขอเรา
ที่ร่ำร้องแต่ประชาธิปไตยและข้าว
ประวัติผู้เขียน
คมทวน คันธนู เป็นนามปากกาของ ประสาทพร ภูสุศิลป์ธร เกิดเมื่อวันที่ 18
มกราคม พ.ศ. 2493 ที่ธนบุรี นักประพันธ์ชาวไทยที่ได้รับรางวัลซีไรต์
คมทวนสำเร็จการศึกษา ชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนดรุณวัฒนา ชั้นมัธยมศึกษา
ตอนต้นจากโรงเรียนวัดชิโนรส ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย และปริญญาตรีจาก คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ
สำเร็จการศึกษาได้นำงานนิตยสาร และหนังสือพิมพ์หลายแห่ง อาทิ ปุถุชน
ประชาธิปไตย มติชน ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ

4

9

เริ่มแต่งคำประพันธ์ขณะเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ลงในหนังสือของชมรม
ภาษาไทย เมื่อศึกษาอยู่ในมหาลัยธรรมศาสตร์ เขียนกลอนเปล่า, บทความและบมละ
ครลงหนังสือวรรศิลป์ของมหาวิทยาลัย งานประพันธ์มีหลายประเภท เรื่องสั้น เช่น
กบฏ:วรรณกรรมซาดิสม์ (พ.ศ. 2518) ซึ่งใช้นามปากกา โกสุม พิสัย แสงดาวแห่ง
ศรัทธา (พ.ศ. 2521) ฯ บทกวี เช่น นาฎกรรมบนลานกว้าง (พ.ศ. 2524) กำศร
วลโกสินทร์ (พ.ศ. 2525) นวนิยาย เช่น นายขนมต้ม คนกล้านอกตำนาน (พ.ศ.
2529) พราน (พ.ศ. 2534) ฯ บทกวีชุด นาฎกรรมบนลานกว้าง ได้รับรางวัล
วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (รางวัลซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช
2526
วิเคราะห์ตัวบท

นาฏกรรมบนลานกว้าง เป็นวรรณกรรมประเภทร้อยกรอง โดดเด่นด้วยความ
หลากหลายของฉันทลักษณ์ และทำนองเสียง ที่แตกต่างจากบทกวีร่วมสมัย เขียน
เป็นกลอนแปด 11 บท และแทรกร่วมกับฉันทลักษณ์อื่น อีก 11 บท นอกจากนี้
ยังประกอบด้วยโคลงสาร สารโศลก 6 เพลงขอทาน เพลงช้าเจ้าหงส์ เพลงโคราช
กลอนลำอิสาน และพญา เป็นเรื่องร่วมสมัยที่ย้อนยุค ประวัติศาสตร์มาพรรณนา
เนื้อหาของบทกวีคือการประณามชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจในสังคม โดยโยงภาพ
ความทุกข์ทรมาน และความแค้นของคนยากจน ผู้ด้อยโอกาส กับเหตุการณ์จลาจล
13 ตุลาคม 2513 และ 6 ตุลาคม 2519 เข้ามาเปรียบเทียบเชิงอุปมา
แก่นของเรื่อง ; เน้นสะท้อนภาพสังคมในัจจด้วยแง่คิดที่ผดุงความยุติธรรมใน
สังคม ปลุกสำนึกความเป็นมนุษย์
โครงเรื่อง : ความทุกข์ทรมานและความแค้นของคนยากจน
ตีความ

ตีความเนื้อหา : ผู้ได้สะท้อนภาพสังคมปัจจุบันด้วยแง่คิดที่ผดุงความ
ยุติธรรมในสังคมปลุกสำนึกความเป็นมนุษย์ช่วยจรรโลงและให้กำลังใจผู้ต่อสู้เพื่อ
สังคมที่ดีกว่า

ตีความตามน้ำเสียง : เนื้อหาของบทกวีคือการประณามชนชั้นสูงหรือผู้มี
อำนาจในสังคม โดยโยงภาพความทุกข์ทรมาน และความแค้นของคนยากจน ผู้ด้อย
โอกาส กับเหตุการณ์จลาจล 13 ตุลาคม 2513 และ 6 ตุลาคม 2519 เข้ามา
เปรียบเทียบเชิงอุปมา

5

การประเมินคุณค่า 0

ด้านวรรณศิลป์ : กวีสามารถเลือกถ้อยคำที่มีพลัง มีความหมายกระทบใจ มี

ความลึกซึ้งในแง่ และแต่งคำประพันธ์หลายประเภทได้ดี

ด้านสังคม :เป็นวรรณกรรมที่ช่วยจรรโลงใจผู้อ่านได้อย่างดีเยี่ยม

ทั้งเรื่องการให้สู้ทำตามควาฝันตัวเองต่อไป กับ กล้าที่จะลองเสี่ยงทำในสิ่งที่ตัวเอง

เลือก

ด้านคุณธรรมและความดีงาม : เป็นวรรณกรรมที่ช่วยจรรโลงใจผู้อ่านได้อย่าง

ดีเยี่ยมทั้งเรื่องการให้สู้ทำตามควาฝันตัวเองต่อไป กับ กล้าที่จะลองเสี่ยงทำในสิ่งที่

ตัวเองเลือก

บรรณานุกรม

วิมล ไทรนิ่มนวล. (2543). อมตะ. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ไทยควอลิตี้บุ๊คส์.

คำพูน บุญทวี. (2522). ลูกอีสาน. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์บรรณกิจ.

เดือนวาด พิมวนา. (2546). ช่างสำราญ. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์สามัญชน.

กฤษณา อโศกสิน. (2528). ปูนปิดทอง. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์เพื่อนดี.

นิคม รายวา. (2531). ตลิ่งสูง ซุงหนัก. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ดวงกมล.

จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท. (2560). สิงโตนอกคอก. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์แพรว.

วินทร์ เลียววาริณ. (2542). สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์113.

วัชระ สัจจะสารสิน. (2551). เราหลงลืมบางอย่าง. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์นาคร.

พลัง เพียงพิรุฬห์. (2559). นครคนนอก. กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์เคล็ดไทย.

โชคชัย บัณฑิต. (2550). บ้านเก่า. ปัตตานี
สำนักพิมพ์นาคร

คมทวน คันธนู. (2557). นาฎกรรมบนลานกว้าง. กรุงเทพฯ
สำนักสิริมงคลดำ.

รายชื่อผู้จัดทำ
070 กลุ่มที่7



นาย กัญน์ชาญ โต๊ะสกุล เลขที่ 7
นาย ชวลิต พยัพพฤกษ์ เลขที่ 17

นาย วรุตม์ มีเย็น เลขที่ 18
นาย ลน ฐานวิเศษ เลขที่ 24
นางสาว เมย์ ทรัพย์สมบูรณ์ เลขที่ 25
นางสาว สุคนธวา จันทร์หา เลขที่ 26
นาย นิติภูมิ ทองกอบสม เลขที่ 52
นางสาว สิรยากร เจียมจิตต์ เลขที่ 55
นาย ภาคิน เคารพรัตน์ เลขที่ 59
นาย วีรวัฒน์ วุสันเทียะ เลขที่ 63
นาย ศิริศักดิ์ แผงเพชร เลขที่ 65




Click to View FlipBook Version