The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปรายงานเอกสารฝึกอบรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chetpetcharat, 2021-07-28 23:46:24

สรุปรายงานเอกสารฝึกอบรม

สรุปรายงานเอกสารฝึกอบรม

41

เร่ิมจำกบันไดข้ันที่ 1 - 4 ถอื วำ่ ใน 4 ขน้ั นี้เป็นเศรษฐกจิ พอเพียงขนั้ พืน้ ฐำน คือ
ขัน้ ท่ี 1 พอกิน

พน้ื ฐานทส่ี ุดของมนษุ ย์ คือ ความตอ้ งการปัจจยั 4 และประการสาคัญที่สุดของปัจจัย 4 คือ อาหาร ข้ันท่ี
1 ของแนวทางแกป้ ญั หาท่ียั่งยืนคือ ตอบคาถามให้ได้ว่า “ทาอย่างไรจึงจะพอกิน” โดยให้ความสาคัญกับ ข้าว
ปลาอาหาร ไม่ให้ความสาคัญกับเงิน ซ่ึงเป็นเพียงแค่ “ตัวกลาง” ในการแลกเปลี่ยนตามมาตรฐานสากล โดย
ยึดหลักว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง” เกษตรกรต้องเริ่มจากการอยู่ให้ได้โดยไม่ใช้เงิน มี
อาหารพอมี พอกนิ ด้วยการปลกู พืช ผกั ผลไม้ ให้พอกนิ ชาวนาต้องเก็บข้าวไว้ให้เพียงพอสาหรับการมีกินท้ังปี
ไม่ขายข้าวเปลือกเพอ่ื นาเงินไปซื้อข้าวสาร นอกจากนั้น หัวใจสาคัญของ “พอกิน” ยังมีความหมายรวมไป
ถึงความปลอดภัยในอาหาร กินอย่างไรให้มีสุขภาพดี ไม่สะสมเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยไว้ในร่างกาย น่ีคือ
ความหมายของบนั ไดขัน้ ที่ ๑ ที่เกษตรกรต้องก้าวขา้ มใหไ้ ด้
ขัน้ ท่ี 2-4 พอใช้ พออยู่ พอรม่ เยน็

เกิดขึ้นได้พร้อมกัน ด้วยคาตอบเดียวคือ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ซ่ึงป่า 3 อย่างจะให้ท้ัง
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สมุนไพรสาหรับรักษาโรค ทั้งโรคคน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สาหรับทาบ้านพักท่ีอยู่อาศัย
และให้ความร่มเย็นกับบ้าน กับชุมชน กับโลกใบนี้ ซ่ึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร
ไทยซ่ึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริง และยังสามารถย้อนกลับไปแก้ไขปัญหาหน้ีสินซึ่งสะสม
พอกพูนจากการทา เกษตรเชิงเด่ียว ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนนา ภัยแล้ง
ทัง้ หมดล้วนแก้ไขได้จากแนวคดิ ป่า 3 อยา่ งประโยชน์ 4 อย่างขององค์พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวฯ
และบันไดขัน้ ท่ี 5 – 9 คอื เศรษฐกิจพอเพยี งข้ันกำ้ วหนำ้ คือ
ขั้นท่ี 5 - 6 บญุ และทำน
เครือข่ายเศรษฐกจิ พอเพยี ง เช่ือมน่ั ว่าสังคมไทยเป็นสงั คมบญุ สงั คมทาน ไม่เน้นการแลกเปลี่ยนทางการค้า แต่
เน้นการทาบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทานและสะสม โดยมอบให้เป็นทรัพย์สิน
ส่วนรวมโดยวัด หรือศาสนสถานตามแต่ละศาสนาเป็นศูนย์กลาง เป็นการฝึกจิตใจ ให้ละซ่ึงความโลภ และ

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมู่บา้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพนื้ ที่ กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

42

กิเลสในการอยากได้ ใคร่มี ลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น ตามความหมายอันลึกซึ้งของคา “ย่ิงทาย่ิงได้ ยิ่ง
ให้ย่ิงมี” การให้ไปคือได้มา และเชื่อม่ันในฤทธ์ิของทาน ว่าทานมีฤทธ์ิจริง และจะส่งผลกลับมาเป็นเพื่อน เป็น
กัลยาณมิตร เป็นเครอื ข่ายทชี่ ว่ ยเหลอื กนั ในทุกสถานการณ์ แม้ในวันท่ีโลกนี้ประสบกับวิกฤตการณ์ การทาบุญ
ของคนโดยท่ัวไป มักเริ่มจากการทาบุญท่ียิ่งใหญ่ คือการทาบุญกับบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ และพระสงฆ์
ในส่วนของการทาทาน คือการแบ่งปันสิ่งที่มีให้แก่ผู้ยากจน ผู้ตกทุกข์ได้ยาก คนด้อยโอกาส ซ่ึงในขั้นนี้ทาเพื่อ
เปน็ การฝกึ จิตใจทีเ่ ปน็ เปน็ ความสขุ อย่างแทจ้ ริง
ขั้นที่ 7 เก็บรักษำ

ขน้ั ต่อไปหลังจากสามารถพง่ึ ตนเองได้ พอมี พอเหลอื ทาบุญ ทาทานแล้ว คอื การรู้จักเก็บรักษา ซ่ึงเป็น
การต้ังอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐานของการเอาตัวรอดในเวลาเกิด
วิกฤตการณ์ โดยยึดแนวทางตามวิถีชีวิตชาวนาสมัยก่อนซ่ึงเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉางเพื่อ ให้พอมีกินข้ามปี
คัดเลือกและเก็บรักษา “ข้าวพันธุ์” ไว้สาหรับเป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป ซึ่งผิดกับวิถีชาวนาในปัจจุบันท่ีใช้
วิธีการขายข้าวทั้งหมด แล้วนาเงินที่ขายได้ไปซ้ือพันธุ์ข้าวเพื่อปลูกในปีต่อไป ส่งผลให้เกิดการขาดความม่ันคง
และเปรียบเสมือนการใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางสาย ความประมาท เพราะหากเกิดภัยแล้ง น้าท่วม ผลผลิตไม่ได้
ตามทีต่ ง้ั ใจไว้ ยอ่ มหมายถงึ ปญั หาหน้สี นิ และการขาดแคลนพนั ธุข์ ้าวสาหรบั ปลกู ในปตี อ่ ไปอกี ดว้ ย
นอกจากเก็บพนั ธุ์ข้าวแลว้ ยงั เนน้ ให้รู้จักวิธีการถนอมอาหาร การสะสม อาหารไว้กินในยามหน้าแล้ง หรือยาม
ที่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ด้วยการแปรรูปอาหารหลากชนิด อาทิ กะปิ ปลาร้า ปลาเค็มปลาแห้ง
มะขามเปียก พริกแห้ง หอม กระเทียม กล้วยตาก สับปะรดกวน หน่อไม้ดอง หรือการแปรรูปผักผลไม้ต่างๆ
ตามทอ้ งถน่ิ เพอ่ื เก็บไว้กนิ ในอนาคต
ขั้นที่ 8 ขำย

เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้าขายสามารถทาได้
แต่ทาภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ และทาไปตามลาดับ โดยของที่ขาย คือ ของที่เหลือจากทุกข้ัน
แลว้ จึงนามาขาย เช่น ทานาอนิ ทรีย์ ปลกู ขา้ วปลอดสารเคมี ไม่ทาลายธรรมชาติ ไดผ้ ลผลิตเก็บไว้พอกิน เก็บไว้
ทาพันธ์ุ ทาบุญ ทาทาน แล้วจึงนามาขายด้วยความรู้สึกของการ “ให้” อยากที่จะให้ส่ิงดีๆ ที่เราปลูกเอง เผ่ือ
แผ่ใหก้ บั คนอื่นๆ ไดร้ ับส่ิงดๆี นน้ั ๆ ด้วย

การค้าขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นการค้าท่ีมองกลับด้าน “เพราะรักคุณจึงอยากให้คุณ
ได้รับในสิ่งดีๆ” พอเพียงเพื่ออุ้มชู เผ่ือแผ่ แบ่งปัน ไปด้วยกัน การขายน้ีจึงถือเป็นการสร้างรายได้ให้แก่
ครวั เรือนทีเ่ ปน็ ความสขุ ทไี่ ดม้ อบส่งิ ดีๆใหแ้ ก่ผู้อืน่ อีกทางหน่ึงดว้ ย
ขั้นที่ 9 เครือข่ำย กองกำลังเกษตรโยธิน

คือการสร้างกองกาลังเกษตรโยธิน หรือการสร้างเครือข่ายการทางาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้
แลกเปลี่ยนทรพั ยากร การช่วยเหลือกันและกัน โดยการสร้างเครือข่าย อาจเร่ิมจากครัวเรือนใกล้เคียง ขยาย
ไปสู่ครัวเรือนในชุมชน ครัวเรือนอกชุมชน ตาบล อาเภอ หรือเช่ือมโยงทั้งประเทศ เพื่อขยายผลความ สาเร็จ
ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการดาเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพื่อการ
แก้ปัญหาวิกฤต 4 ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน
สัตว์ พืช วิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพงวิกฤตความขัดแย้งทางสังคม ท่ีเราทุกคนอาจต้องประสบพบเจอ
โดยไม่คาดคดิ ดังเช่น การเกิดโรคระบาดจากเชื้อ Covid – 19 ท่ีกาลังสร้างความหวาดกลัวให้แก่มวลมนุษย์
ท่ัวโลก ถือเป็นโรคระบาดที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง มีการชีวิตของคนจานวนมากมาย เศรษฐกิจ

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง
กิจกรรมย่อยที่ 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพน้ื ที่ กิจกรรมยอ่ ยที่ 1.1 สร้างแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

43

เสียหายมหาศาล รวมท้ังการทาให้การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเพ่ือป้องกันตนเอง ครอบครัว
และคนทีร่ กั ใหป้ ลอดภัยจากโรคนีอ้ ยา่ งไมเ่ คยพบเห็นมากอ่ น

เม่ือให้ความรู้แล้ว วิทยากรได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้ซักถาม หลังจากน้ันให้เวลาแต่ละกลุ่มสี
ท่องจาข้อมูลของบันไดแต่ละขั้นคืออะไร ประมาณ 2-3 นาที และมอบหมายให้แต่ละกลุ่มสีคัดเลือกตัวแทน
กลมุ่ ทค่ี ิดว่ามคี วามสามารถจดจาได้ออกมานาเสนอขอ้ มลู ของบันไดแตล่ ะข้ันตามทเ่ี ขา้ ใจ 1 คน ซ่ึงมีกติกาคือ
ให้นาเสนอแบบปากเปล่า ไม่มีการเขียนลงกระดาษฟลิปชาร์ท ห้ามเปิดคู่มือเอกสาร เป็นการนาเสนอแบบ
ไม่เป็นทางการ โดยบอกบันไดแต่ละข้ันตามลาดับ 1 – 9 เม่ือจบแล้ววิทยากรจะสุ่มถามกลุ่มละ 2 ข้อ เช่น
บันไดขั้นท่ี 3 และ บันไดขนั้ ท่ี 5 คืออะไร.. ให้ตัวแทนที่ออกมานาเสนอตอบ หากสามารถตอบได้ถูกต้องทั้ง 2
ข้อก็ถือว่าผ่าน แต่หากตอบข้อใดข้อหน่ึงใน 2 ข้อไม่ได้ วิทยากรจะให้สมาชิกกลุ่มสีทุกคนออกมาและทาโทษ
ให้เต้นประกอบท่าทางเพลงสันทนาการต่างๆแบบสนุกสนาน หลังจากน้ันให้สมาชิกช่วยกันตอบให้ถูกหาก
สามารถตอบได้ถูกต้องท้ัง 2 ข้อก็ถือว่าผ่าน..และทาแบบน้ีสลับกันไปจนครบทุกกลุ่ม ..หลังจากนั้นให้ผู้เข้า
อบรมทุกคนพดู พรอ้ มกนั ตงั้ แตข่ ้นั ท่ี 1 – 9 อกี คร้ัง วทิ ยากรเติมเตม็ ข้อมูลอกี คร้ัง
สรปุ ผลกำรเรียนรู้ จากการสังเกตพบว่า ผู้เขา้ อบรมมีความกระตอื รอื ร้นในการเข้ารว่ มกิจกรรมเป็นอย่างดี ให้
ความร่วมมือในการทากิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง ตั้งใจเรียนรู้ข้อมูล มีการซักถาม และแลกเปลี่ยนข้อมูล
เกี่ยวกับการใช้วิธีการ หรือแนวทางเกี่ยวกับทฤษฎีบันได 9 ข้ัน ในข้ันตอนท้ัง 9 ข้ันตอน จากการสอบถาม
พบว่าผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถจดจาข้ันตอนของการใช้ทฤษฎีบันได 9 ขั้น และมี
ความมุ่งม่ันท่จี ะนาความรทู้ ีไ่ ด้ไปปรับใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั รวมท้งั การนาไปถา่ ยทอดให้แก่ครัวเรือนในชุมชน ใน
การปฏิบัติตามแนวทางวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้หลักทฤษฎีบันได 9 ข้ันเป็นแนวทางท่ีจะดาเนินชีวิต
แต่ละขั้นๆ ให้สาเร็จ จากขั้นแรกๆ ไปจนถึงขั้นสุดท้าย คือข้ันที่ 9 อันจะส่งผลให้เกิดความสุขแก่ครอบครัว
ตนเอง ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ ต่อไป

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมย่อยที่ 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพื้นท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

44

วชิ า หลกั กสิกรรมธรรมชาติ”

วิทยำกร นางขวัญตา พ่วงทอง ตาแหนง่ นักวิชาการพฒั นาชุมชนชานาญการ
วตั ถุประสงค์
ระยะเวลำ 1 ชวั่ โมง 09.00-10.00 น.
ประเดน็ เนอ้ื หำวิชำ

1) แนวคิดการคนื ชวี ติ ใหแ้ ผน่ ดนิ
2) แนวคดิ ความเป็นจรงิ แห่งปัญหาภัยทนุ นยิ ม
3) แนวทาง วธิ ีการใชก้ ระบวนการจดั การดนิ น้า ปา่ และครวั เรือนตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี งเพอ่ื ชมุ ชน คนอยู่กับป่า
4) หวั ใจหลกั กสิกรรมธรรมชาติ กับ ป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง
เทคนิค/วธิ ีกำร
1) เรยี นรู้ จากคลิป Video
2) สื่อ Power Point
3) การเตมิ เต็มใหข้ ้อคิด และข้อเสนอแนะ จากวทิ ยากร
สรปุ ผลกำรดำเนนิ กำรและผลกำรเรยี นรู้
วิทยากรแนะนาตัวพดู คุย สร้างบรรยากาศให้เกิดความเปน็ กนั เอง ดังน้ี
วทิ ยำรเกริ่นนำ จุดเริม่ ต้น “....กสิกรแขง็ ขันเปน็ กระดูกสันหลงั ของชาติ ไทยจะเรืองอานาจเพระไทย
เป็นชาติกสิกรรม...(เพลงชีวิตกสิกร/กสิกรไทย) กสิกรจึงไม่ใช่จะเรืองอานาจด้วยวิธีอย่างอุตสาหกรรมเหมือน
ปัจจุบันที่พยายามเพาะปลูกบนความเชื่อคาว่า “เกษตร” ซ่ึงรากศัพท์ของเกตรแปลว่ารวย เกษตร จึงหวัง
ขาย หวังรวย สังคมเกษตรกรรมในยุคใหม่จึงเป็นอุตสาหกรรม คือสังคมแข่งขัน ผลิตออกไปแข่งกันเพื่อให้
ตนเองรวยแต่ กสินกรรมนั้นเป็นอารยธรรม เกษตรกรรม หมายถึง การใช้ประโยชน์จากที่ดิน เช่น การ
เพาะปลกู พืชตา่ งๆ การป่าไม้ รวมทงั้ การเลยี้ งสัตว์ และการประมง (ใช้ตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า agriculture)
และกสิกรรม หมายถึง การเพาะปลูก หมายถึง การเพาะปลูกพืช เช่น การทานา การทาสวนผลไม้ การทาไร่
การปลูกพืชไม่ใช้ดิน เป็นต้น (ใช้ตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า farming) หรือกสิกรรม คือ Agri-Culture เป็น
วฒั นธรรมการผลิตทสี่ ร้างสรรค์ แบง่ ปนั อารยธรรมของเราคอื ไม่ ขาย ทาเพอ่ื ให้เหลอื กิน เหลือใช้แล้วแบ่งปัน
กัน สร้างสังคมช่วยเหลือกัน ไม่ใช่สร้างสังคมแข่งขัน แต่เดียวน้ีปลูกข้าวมาขายกัน ... มันไม่ใช่วัฒนธรรมของ
เรา
หลกั กสกิ รรมธรรมชำติ คอื
- การจดั การดิน น้า ป่าและทรัพยากรโดยไม่ขัดต่อธรรมชาติ
- กสิกรรม เป็นเร่อื งธรรมชาตแิ ละเปน็ เรือ่ งงา่ ย
- ทาการเพาะปลูกบนหลกั เคารพธรรมชาตเิ หมาะสมกบั ภมู ิสังคม
- สรา้ งระบบนิเวศทีส่ มดุลเริม่ จาก “ดนิ ” และสุดทา้ ยคือ “เลี้ยงดินใหด้ ิน เลยี้ งพชื ”

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพืน้ ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

45
...หัวใจของหลักกสิกรรมธรรมชำติคือ “เลยี้ งดิน ใหด้ ินเลีย้ งพืช” เราไม่เผา ไม่ทาลายดิน ไม่
ปอกเปลือกเปลือยดิน แตน่ าเศษไม้ ใบหญ้า เศษฟางมาห่มดินไว้และรดด้วยปยุ๋ น้าหมัก แห้งชาม น้าชาม
แลว้ ปล่อยให้จลุ ินทรยี ท์ าหน้าที่ของมัน นนั่ คือหลกั การคืนชีวติ ให้แผน่ ดนิ เพราะดินมนั ตายแล้ว ดนิ ตาย
หมายถึง ในดินไม่มีสิง่ มีชวี ิตหลงเหลือ ไม่มีจุลินทรยี ์ ไม่มีไส้เดอื น ไม่มแี มลงเลก็ ๆ เพราะการใช้สารเคมี ใช้ยา
ฆา่ แมลง ยาฆ่าหญา้ จนดินตายหมดสิน้ เราจงึ ต้อง “คืนชวี ิตใหแ้ ผน่ ดิน”...
ดินที่มชี ีวติ คอื อะไร
“ ดนิ กม็ สี งั คม สังคมของดนิ คือมสี งิ่ มีชีวติ ทีม่ าอาศัยอยู่ สิ่งมีชวี ิตอยู่ไดต้ ้องมอี ากาศ ดงั นน้ั ดนิ ท่ีอุดม
สมบรู ณ์ควรมอี ากาศแทรกอยู่อย่างน้อย25% เพื่อให้จุลนิ ทรยี ์อย่ไู ด้ไสเ้ ดอื นอยู่ได้ดินดีอากาศพอดจี ะมลี กั ษณะ
ร่วนซยุ นมุ่ ยดื หยุ่น”
องคป์ ระกอบดนิ ดี
- มีนา้ 25 %
- อินทรีย์วัตถุ 5 %
- แร่ธาตุ 55 %
- อากาศ 25%

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมย่อยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพน้ื ท่ี กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

46

สง่ิ มีชีวิตประเภทไหนที่ทำให้มีอำกำศในดิน?
“ไสเ้ ดอื น? แมลง? ไม่ใช.่ . คาตอบคือ “รากหญา้ ” โบราณจึงมคี าสอนว่า “ดินดีเพราะหญ้าปรก” นั่น

เพราะหญ้ามรี ากทสี่ ามารถแทงลงไปในดินไดล้ ึกและเยอะที่สุด แต่หญา้ จะมีอายุแค่เพียง 45 วัน จากน้ันจะ
ออกดอกและตายไป เมอื่ หญ้าตายจุลนิ ทรีย์จะตามมาย่อยรากหญ้า ไส้เดือนและแมลงอ่ืนๆก็จะตามมากินราก
ด้วย และเม่อื หญา้ ตาย ใบหญ้ากจ็ ะตกมาคลมุ ด้านบน ทาใหแ้ ดดสอ่ งไม่ถึงดิน หญา้ จึงทาหน้าทห่ี ่มดินไว้ พอดนิ
คายนา้ ก็ข้นึ ไปตดิ หญ้าทีห่ ม่ อยจู่ งึ มคี วามชน้ื และทาให้เกดิ ราขาว (ไรโซเบียม) ซึ่งเป็นราทีม่ คี ณุ ประโยชน์ ทาให้
เกิดส่ิงมชี ีวติ ต้นไม้กร็ ู้เรอื่ งน้ีเหมือนกนั ลองสงั เกตเวลาหน้าหนาวตน้ ไม้จะสลดั ใบเพ่ือเอาใบมาห่มรากตนเอง
ให้เกดิ ความชุ่มชืน้ เกดิ ราขาวเพราะตน้ ไม้ก็มชี วี ติ เมอ่ื น้าอดุ มสมบูรณ์ ดินอุดมสมบูรณ์ ซากพชื ย่อยแลว้ จะ
กลายเป็นปุย๋ (Humas) จุลนิ ทรยี ์กจ็ ะมาชว่ ยเพอ่ื ใหร้ ากขนดดู ซบั ขนึ้ ไปเล้ียงส่วนตา่ งๆ เลย้ี งใบ เลยี้ งตน้ ตน้ จะ
แตกใบออ่ นกอ่ น จากน้นั ใบอ่อนจะเป็นใบเพสลาด (ไม่อ่อนไม่แก่) คอยเล้ียงยอดตอ่ ไป ทาใหข้ ัว้ เหนยี วไมห่ ลุด
หากสังเกตป่าเปดิ ใหม่ หญ้าจะระบดั ขึน้ ก่อนเพ่อื ปกคลุมดิน เมล็ดตน้ ไม้ทปี่ ลิวมาลงหญ้าจะไม่ถกู แดดเผา และ
จะฝงั เมล็ด อยยู่ า่ งนั้นจนสามารถหยั่งรากได้ โดยสว่ นใหญไ่ ม้เบิกนาจะเป็นไม้อายุสนั้ ประมาณหน่ึงปี เช่น
สาบเสือ ไผ่ ตะขบ ปอหชู า้ ง จะเกิดขึ้นมก่อน จากน้นั ไม้ใหญ่ ไม้แก่นตา่ งๆจะขนึ้ มาแทนท่ี หญา้ จึงเปน็ พชื สร้าง
คณุ ประโยชน์ใหแ้ ก่ดิน
กำรปลูกปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง

ตามท่ีประชาชนสว่ นใหญ่ไดร้ ับทราบถึงศาสตร์พระราชาด้านการฟื้นฟูป่า โดยอาศัยนวัตกรรมหลาย
รูปแบบ เช่นการทาฝายชะลอน้า ป่าเปียก ป่าภูเขา และหลายแนวคิดเป็นการเพิ่มพ้ืนท่ีในผืนป่าใหญ่ ซึ่ง ไม่
สามารถดาเนินการโดยคนเดียวได้ และหลายแนวคิดเป็นการเพ่ิมพื้นท่ีในผืนป่าใหญ่ อาจารย์ยักษ์ (นาย
วิวัฒน์ ศัลยกาธร) ได้นาแนวคดิ การฟืน้ ฟูปฐพไี ทยดว้ ยศาสตร์พระราชา ซึง่ เป็นแนวพระราชดาริของ ในหลวง
รัชกาลท่ี 9 ท่ีพสกนิกรทุกคนสามารถทาเองได้ ด้วยแนวคิด ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โดยพระองค์มี
พระราชดาริเกี่ยวกับเร่ืองนี้ว่า “...กำรปลูกป่ำถ้ำจะให้รำษฎรมีประโยชน์ให้เขำอยู่ได้ ให้ใช้วิธีปลูกไม้ 3
อยำ่ ง แต่มปี ระโยชน์ 4 อยำ่ ง คอื ใชไ้ มส้ อย ไมก้ นิ ได้ ไม้
เศรษฐกิจ โดยปลูกรองรับกำรชลประทำน ปลูกรับซับน้ำและปลูกอุดช่วงไหล่ตำมร่องห้วย โดยรับน้ำฝน
อยำ่ งเดยี ว ประโยชนอ์ ยำ่ งที่ 4 คอื ได้ระบบอนรุ ักษด์ ินและน้ำ...”

แนวคิดนี้ เป็นการปลูกป่าท่ีเลียนแบบระบบนิเวศของป่าธรรมชาติ พร้อมกับการเอ้ือประโยชน์ให้
มนุษย์ได้อาศัยยังชีพในป่าที่ปลูกขึ้น ขณะเดียวกัน ป่าที่ปลูกก็สร้างความยั่งยืน อุดมสมบูรณ์ให้กับดินและน้า
เปน็ จักรทส่ี มดุลตอ่ ่ไป หากทุกตารางน้ิวที่เปน็ ดินวา่ งของประเทศนี้ เต็มไปด้วย ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ม่ังคั่งไปด้วยอาหาร ยารักษาโรค พร้อมสรรพไปด้วย
ทรัพยากรป่าไม้ ดิน น้า ธัญญาหาร ให้กับคนท้ังแผ่นดิน และมีเหลือเผ่ือแผ่ให้คนทั้งโลกในยามวิกฤติได้ ซ่ึง
เดิมทีประเทศของเรามีป่า 3 อย่างมาก่อน แต่จากความโลภของคน จึงมีการลักลอบตัดไม้ทาลายป่าทาให้
เกิดความเสียหาย จนเกิดเป็นวิกฤตธรรมชาติ หากเราทุกคนร่วมมือร่วมใจกันพลิกฟ้ืนแผ่นดิน โดยใช้ศาสตร์
พระราชา ดังท่ีกล่าวมา ประเทศของเราก็จะมีระบบป่านิเวศที่อุดมสมบรู ณ์ดงั เดิม

ป่ำ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อย่ำง เป็นความคิดอัจฉริยะที่ก่อให้เกิดความพอเพียง 4 ประการ คือ
พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น โดยเฉพาะท่ีโลกกาลังร้อนระอุ แนวคิด ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างไ ด้
สร้างประโยชน์ มากมายในการทาใหโ้ ลกเกดิ ความรม่ เย็นลง ประมาณกนั วา่ ในเน้ือท่ี 1 ไร่ เราสามารถปลูกป่า
ปลกู ตน้ ไม้นานาชนิดไดถ้ งึ 100 ชนดิ ทง้ั 5 ระดับ ประกอบด้วย ไม้สูง ไม้กลาง ไมเ้ ตี้ย ไม้เร่ียดิน และไม้ใต้ดิน
ปริมาณต้นไม้ในเน้ือที่ 1 ไร่ สามารถปลูกได้มากถึง 500 ต้น หากคานวณตามสูตรคณิตศาสตร์ง่ายๆ คือคน

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพื้นท่ี กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

47

60 ล้านคน ปลูกคนละ 1 ไร่ ไร่ละ 500 ต้น ทั้งประเทศเราจะมีต้นไม้เพิ่มขึ้น 30,000,000,000 ต้น
(สามหมนื่ ล้านต้น) ท่ีเป็นทั้งให้ที่อยู่ ที่กิน ท่ีใช้ จึงอาจเช่ือได้ว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ร่ารวยและมั่งคั่ง
ด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด

กำรปลกู ปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง นาพไปสู่ 4 พอ สรปุ ได้ว่า เป็นการปลูกไม้ให้พออยู่ พอกิน
พอใช้ และเปน็ ประโชนต์ อ่ ระบบนเิ วศน์ สร้างความสมบรู ณแ์ ละกอ่ ให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ

พอกนิ คอื การปลกู พชื ท่กี ินได้ รวมทงั้ ใชเ้ ป็นยาสมุนไพร เช่น แค มะรุม ทุเรียน สะตอ ผักหวาน ฝาง
กลว้ ย ฟักข้าว

พอใช้ คือ การปลูกต้นไม้ให้เป็นป่าไม้สาหรับไว้ใช้สอยในครัวเรือน เช่น ทาฟืน เผาถ่าน ทางาน
หัตถกรรม หรือทาน้ายาซักลา้ ง เช่นมะคาดีควาย หวาย ไผ่ เป็นตน้

พออยู่ คือ การปลูกต้นไม้ท่ีใช้เนื้อไม้และไม้เศรษฐกิจให้เป็นป่า ไม้กลุ่มน้ีเป็นไม้อายุยืน ซึ่งเน้น
ประโยชน์โดยใช้เน้ือไม้เพื่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัย ทาเครื่องนอน ถือได้ว่า เป็นการออมทรัพย์เพื่อสร้างความ
ม่ันคงในอนาคต เช่น ตะเคยี นทอง ยางนา แดง สกั พะยูง พะยอม

พอรม่ เย็น คือ ประโยชน์อยา่ งที่ 4 ที่เกิดจากการปลูกป่า 3 อย่าง คือทาให้เกิดความร่มเย็น การช่วย
ฟ้นื ฟูระบบนิเวศน์ดนิ และน้าใหอ้ ุดมสมบูรณ์ รม่ ร่นื ฉา่ เย็น
แนวคดิ หลกั กำรปลกู ปำ่ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ได้อธิบายหลักการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ว่าเป็นแนวคิดการ
ผสมผสานการอนุรักษ์ดิน น้า และการฟ้ืนฟูทรัพยากรป่าไม้ ควบคู่กับความต้องการด้านเศรษฐกิจ ด้วยการ
จาแนก...ดังน้ี
ปำ่ 3 อยำ่ ง คือ

1. ปา่ ไมใ้ ชส้ อย คอื ไมโ้ ตเรว็ สาหรบั ใช้ในครวั เรือน เช่น สะเดา ไม้ไผ่
2. ปา่ ไมก้ ินได้ คือ ไม้ผล เชน่ มะม่วง และผักกนิ ใบต่างๆ
3. ปา่ ไม้เศรษฐกจิ คอื ไม้ที่ปลูกไว้ขาย หรือไม้เศรษฐกิจ เชน่ ไม้สัก
ประโยชน์ 4 อยำ่ ง คอื
1. ปา่ ไมใ้ ชส้ อยนามาสรา้ งบ้าน ทาเลา้ เปด็ เล้าไก่ ด้ามจอบเสยี ม ทาหตั ถกรรม และทาเชื้อเพลิง(ฟนื )
2. ปา่ ไม้กินได้ นามาเปน็ อาหาร ทั้งพชื กินใบ กินผล กินหัว และเปน็ ยาสมนุ ไพร
3. ป่าไม้เศรษฐกิจ เป็นแหล่งรายได้ของครวั เรอื น เปน็ พืชที่สามารถนามาจาหนา่ ยได้
4. ประโยชน์ในการช่วยอนุรักษ์ดินและน้า การปลูกพืชที่หลากหลาย อย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้าง
สมดุลของระบบนิเวศในส่วนของการช่วยปกป้องผิวดินใช้ชุ่มช้ืน ดูดซับน้าฝน และปลดปล่อยความชื้น
สู่เกษตรกรรม
ข้อคำนึงในกำรปลูกป่ำ 3 อยำ่ ง ประโยชน์ 4 อย่ำง
1. ไม้เบิกนำ เชน่ ไมส้ ะเดา มะรุม แค ไม้ผล กล้วย อ้อย และพืชผักอายุส้ัน ควรหามาปลุกก่อน เพื่อ
สรา้ งแหลง่ อาหารของครอบครวั
2. ไมป้ ลกู เพอื่ อำศยั ควรปลกู หลงั จากปลูกไมใ้ นขอ้ 1 ประมาณ 1 – 2 ปี
3. ไมส้ มนุ ไพร จะเจรญิ เติบโตได้เมื่อมคี วามร่มรืน่ เพียงพอ
4. นำข้ำว กาหนดพืน้ ทใี่ หเ้ หมาะสมหากมีพนื้ ท่ีพอ เพอื่ เกบ็ ข้าวไว้กินระหวา่ งปโี ดยไม่ตอ้ งซื้อ
5. ร่องนำ้ ควรขดุ ร่องนา้ ขนาดเล็กเพือ่ ให้ความชมุ ชนชืน้ กับผนื ดนิ และต้นไม้ ซ่ึงจะทาให้สามารถเลี้ยง
ปลาธรรมชาตเิ พื่อใช้เปน็ ธรรมชาติ โดยขดุ ใหเ้ ชอื่ มตอ่ กันกับบ่อขนาดใหญ่

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพน้ื ที่ กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง

48
6. ปลูกต้นไม้ให้หลำกหลำย เพ่ือการใช้ประโยชน์หลากหลาย ช่วยลดค่าใช้จ่าย สร้างความม่ังค่ัง
มั่นคง ซ่ึงเปน็ การเสรมิ สรา้ งภมู คิ ุ้มกันในครอบครวั และชุมชน
กำรปลูกป่ำ 5 ระดับ แบบกสกิ รรมธรรมชำติ
ดร.ววิ ฒั น์ ศัลยกาธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ นาแนวคิดการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4
อย่าง มาปรับประยุกต์เป็นการ ปลูกป่า 5 ระดับ ซึ่งประกอบด้วยต้นไม้หลากหลายท้ังชนิดพันธุ์ ช่วงอายุ
ลกั ษณะนิสยั และความสูง ซ่งึ ไดม้ าจากการสงั เกตธรรมชาตขิ องปา่ คือ
1. ไม้ระดับสูง เป็นกลุ่มตน้ ไม้เรอื นยอดสูง และอายยุ ืน เช่น ตะเคยี น ยางนา มะคา่ โมง เตง็ รงั
2. ไม้ระดับกลำง เป็นกลุ่มต้นไม้ที่ไม่สูงนัก เป็นจาพวกไม้ผลที่เก็บกินได้ เช่น มะม่วง ขนุน มังคุด
ชมพู่ กระทอ้ น ไผ่ ทเุ รยี น ลองกอง สะตอ
3. ไม้พมุ่ เตี้ย เป็นกลุ่มพันธ์ุไม้พุ่มเต้ีย เชน่ พริก มะเขอื กะเพรา ผักหวานบ้าน มะนาว ต้วิ เหรียง
4. ไม้เรย่ี ดนิ เปน็ ตระกูลไมเ้ ลื้อย เชน่ พรกิ ไทย รางจดื
5. ไม้หวั ใต้ดิน เชน่ ข่า ตะไคร้ ไพล เผอื ก มัน บกุ กลอย ขิง ขา่ กระชาย กระทอื กวาวเครอื

มนษุ ย์เราจะใช้ดินเพ่ือสนองความต้องการของตนตลอดเวลา และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันน้ี
สภาพความสมดุลของดินในหลายพ้ืนที่ของโลกเปลี่ยนแปลงไป การใช้ท่ีดินผิดประเภท การทางายผิวดินใน
รูปแบบต่างๆ เช่น การทาไร่เล่ือนลอย การตัดไม้ทาลายป่า การใช้ปุ๋ยเคมี ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาวะ
แวดล้อมอ่ืนๆ ในระบบนิเวศ การทาเกษตรของเกษตรกรส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน มีการปอกเปลือก
เปลือยดิน การเผา การใช้สารเคมีท่ีเป็นอันตรายต่อส่ิงมีชีวิตที่ผิดธรรมชาติ และทาลายธรรมชาติซึ่งจะ
กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาในอนาคต การเกษตรท่ีไม่ทาลายธรรมชาติ ไมป่ อกเปลือกเปลอื ยดิน ไมเ่ ผา ไม่ใช้สารเคมีที่เป็น
อันตรายต่อส่ิงมีชีวิต เป็นพิษกับส่ิงแวดล้อม อันเป็นแนวทางของหลักกสิกรรมธรรมชาติ ที่ให้ความสาคัญกับ
การปรงุ ดินเป็นอนั ดับแรก และถือเป็นหัวใจสาคัญ เพราะถือว่าดินเป็นต้นกาเนิดของชีวิตสังคมไทยในอดีต ให้

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

49
ความสาคัญของดนิ ดว้ ยความเคารพ บูชาดนิ เสมอื น “แม”่ เรียก “พระแม่ธรณี” การให้ความรักและการเอาใจ
ใส่พระแม่ธรณี โดยการห่มดินหรือการคลุมดิน ไม่เปลือยดิน โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือเศษพืชผลทาง
การเกษตรทส่ี ามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และการปรงุ อาหารเล้ยี งดินโดยการใสป่ ยุ๋ อนิ ทรีย์ชีวภาพลง
ไปเพื่อเป็นอาหารของดิน แล้วดินจะปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนกาสรย่อยสลายของจุลินทรีย์
เรียกหลักการน้ีว่า “เลี้ยงดิน ให้ดินเล้ียงพืช ( Feed the Soil and Let the Soil Feed the Plant)”
การปฏิบัติเช่นน้ีจะทาให้ดินกลับมามีชีวิต พืชที่ปลูกจะเจริญเติบโตแข็งแรงได้ ให้ผลผลิตดี ต้นทุนการผลิต
ลดลง รวมถึงการที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีสุขภาพกาย สุขภาพจิตท่ีดี จึงมีการให้นิยามของการปฏิบัติเช่นนี้ว่า
“คนื ชวี ิตให้ผืนดิน” ซ่ึงเปน็ การแสดงออกถงึ ความกตัญญูกตเวที ของ “ลูก”(มนุษย์) ที่มตี ่อ “แม”่ (ธรณ)ี

คำถำเลยี้ งดนิ

10 ขัน้ ตอน กำรตรวจแปลงตำมหลกั กสิกรรมธรรมชำติ
1. การจดั กลมุ่ จัดคน สารวจพ้นื ท่ี แบง่ หน้าที่ แบง่ คน ใช้หลักความสามัคคี
2. การเตรยี มดิน ขดุ รอ่ งนา้ /ฝาย
3. การปลกู ปา่ 5 ระดบั
4. ปลูกแฝกอนุรักษด์ ินและน้า
5. ปลูกดอกไม้เพื่อบริหารแมลง
6.การห่มดิน ฟาง เศษใบไมแ้ ห้ง
7. การเลยี้ งดิน ใสป่ ยุ๋ อนิ ทรีย์ (แหง้ ชาม-นา้ ชาม)
8. การท่องคาถาเล้ียงดิน 5 ภาษา
9. ศิลปะ ความเรียบร้อย สวยงามของแปลง
10. การจดั เกบ็ อุปกรณ์ ลา้ งทาความสะอาด จัดวางใหเ้ ป็นระเบยี บ

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหมู่บา้ นเศรษฐกจิ พอเพียง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพื้นท่ี กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

50

สรปุ ผลกำรเรียนรู้
จากการสงั เกตพบว่า ผู้เข้าอบรมมีความสนใจเน้ือหาที่วิทยากรให้ความรู้อย่างมาก เนื่องจากเป็นเร่ือง

ใกล้ตัว และเป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริงในพ้ืนที่ การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ตามหลักกสิกรรม
ธรรมชาติ เป็นเร่ืองท่ีเป็นหลักการและแนวคิดที่มองเห็นได้ชัดเจน และสามารถร่วมกันใช้ความรู้ความเข้าใจที่
ได้รับไปปรับใชใ้ นการขับเคลอื่ นศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพ้ืนท่ีของตนเองได้
จริง ในการพัฒนาพื้นท่ีต้นแบบ การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา
โมเดล”

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมบู่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพนื้ ที่ กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

วิชำ “ฝกึ ปฏบิ ัตฐิ ำนกำรเรียนรู้” 51

1. วทิ ยำกร นางขวญั ตา พว่ งทอง ตาแหนง่ นักวิชาการพัฒนาชุมชนชานาญการ
รำยชือ่ วิทยำกรประจำฐำนกำรเรียนรู้
1) ฐานการเรยี นรู้ : ฐานคนรกั ษ์แม่ธรณี (ทาปุ๋ยหมัก)
วทิ ยากร นายวิเชษฐ์ เพชรรัตน์ ตาแหน่งพนักงานราชการท่ัวไป(นักทรัพยากรบุคคล)
นายจรัล ม่วงไหมทอง ตาแหนง่ พนกั งานขบั รถยนต์
นายสุวรรณ มณฑา ตาแหนง่ พนักงานสถานท่ี
2) ฐานการเรยี นรู้ : ฐานคนรักสขุ ภาพ (สมุนไพรฤทธ์ิเยน็ )
วิทยากร นางสาวจิรัฐชยา ไชยสทิ ธิ์ ตาแหน่งเจ้าพนักงานธรุ การชานาญงาน
นางสาวกนกวรรณ สุรโิ ย ตาแหนง่ เจ้าพนักงานการเงนิ และบัญชชี านาญงาน
นางสาวศิรพิ ร นิลเชษฐ์ ตาแหนง่ เจ้าพนักงานธุรการปฎิบตั ิการ
นางสาวสิริมา มิตรดี ตาแหน่งพนกั งานจา้ งรายเดือน
3) ฐานการเรยี นรู้ : ฐานคนรกั ษน์ า้ (ทา EM-Ball)
วิทยากร นางสาววิวรรณ์ โสมากุล ตาแหน่งนักทรพั ยากรบุคคลชานาญงาน
นางเรไร สะอาดเอี่ยม ตาแหนง่ ตาแหน่งพนักงานสถานท่ี
นางสมพร นลิ ประเสริฐ ตาแหน่งพนักงานจ้างรายเดือน
4) ฐานการเรียนรู้ : ฐานคนรกั ษพ์ ระแมโ่ พสพ (การปลูกขา้ วไลฟเ์ บอรรจ่ี ลุ ินทรยี ส์ ังเคราะหแ์ สง)
วทิ ยากร นางขวัญตา พ่วงทอง ตาแหน่งนกั วิชาการพฒั นาชมุ ชนชานาญการ
นางสาวศรไี พร ธนสารนนั ท์ ตาแหน่งพนักงานจ้างรายเดอื น
นางสาววนั เพ็ญ ลานไพร ตาแหนง่ พนักงานจ้างรายเดือน
5) ฐานการเรียนรู้ : ฐานคนรักษ์ป่า (การปลูกป่า 5 ระดับ)
วิทยากร นายประสงค์ ลลี า ตาแหน่งนักจดั การงานท่วั ไปชานาญการ
นายนนั ทวฒั น์ หมู่หัวนา ตาแหน่งลูกจ้างโควดิ
6) ฐานการเรียนรู้ : ฐานการทาเสวยี นไม้ไผ่
วทิ ยากร นายธรรมนญู ไขว้พันธ์ุ ตาแหนง่ ผู้อานวยการศูนยศ์ กึ ษาและพฒั นาชุมชนเพชรบุรี
นางขวญั ตา พว่ งทอง ตาแหนง่ นักวชิ าการพฒั นาชมุ ชนชานาญการ
นายโอภาส ชชู ื่น ตาแหนง่ พนกั งานจ้างรายเดือน
นายสว่ น คาศรี ตาแหนง่ พนักงานจา้ งรายเดือน
7) ฐานการเรียนรู้ : ฐานการทาน้าหมกั ชีวภาพ (น้าหมกั รสจดื )
วิทยากร นางสาวอัญชิษฐา สงิ หส์ ุทัศน์ ตาแหน่งนักทรัพยากรบุคคลชานาญการ
นายวเิ ชษฐ์ เพชรรตั น์ ตาแหน่งพนักงานราชการท่วั ไป(นักทรพั ยากรบุคคล)
8) ฐานการเรยี นรู้ : ฐานคนมีน้ายา (นา้ ยาเอนกประสงค์)
วทิ ยากร นางขวญั เรือน โสทน ตาแหนง่ นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ
นายอนสุ รณ์ กาญจนวณชิ ย์ ตาแหน่งนกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ
นางสาวชลธชิ า ท้าววงษา ตาแหนง่ ลูกจ้างโควดิ

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กจิ กรรมย่อยที่ 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนที่ กิจกรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง

52

9) ฐานการเรยี นรู้ : ฐานหัวคนั นาทองคา
วทิ ยากร นางสาววาสนา ยึดเหนี่ยว ตาแหนง่ นักทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ
นางสาวบญุ นา คาศรี ตาแหน่งลูกจา้ งโควิด

10) ฐานการเรียนรู้ : ฐานคนมีไฟ (โซล่าเซล)
วทิ ยากร จ.ส.อ.ภธั ภาม ทองมสี ิทธิ์ ตาแหน่งเจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษาชานาญงาน
นายเอกฤทธ์ิ โสทน ตาแหน่งพนักงานจา้ งรายเดอื น

2.วัตถุประสงค์
1) เพ่ือใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝกึ อบรมรแู้ ละเข้าใจถึงการน้อมนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมา

ปรับใช้ในชีวิตประจาวัน และสามารถนามาปฏบิ ตั จิ นเปน็ วิถชี ีวติ
2) เพื่อให้ผ้เู ข้ารับการฝกึ อบรมมีทกั ษะ ความรใู้ นแต่ละฐานการเรยี นรแู้ ละสามารถนาไปปฏบิ ัตไิ ด้
3) สามารถนาความรู้และเทคนคิ ในฐานตา่ งๆไปประยุกตใ์ ช้เป็นอาชพี เสรมิ ในครัวเรือน เพ่ือให้

เกิดรายได้และพงึ่ พาตนเองได้
3. ระยะเวลำ

จานวน 6 ช่วั โมง (10.00 น-12.00 น.) และ (13.00 น.-16.00 น.)
4. เทคนิค/วธิ กี ำร

1)วิทยากรประจาฐานบรรยายเพ่ือใหม้ คี วามรู้ เกีย่ วกบั ฐานการเรียนรู้ ฝกึ ปฏบิ ัติ ตอบขอ้ ซกั ถาม
2. ผู้เขา้ อบรมแบง่ กลุ่ม ฝกึ ปฏบิ ตั ติ ามฐานการเรยี นรู้ โดยแบง่ ผู้เข้ารับการอบรมเป็น 5 กลุ่มสๆี ละเท่าๆกนั
ลักษณะการเรยี นรใู้ ห้ทกุ กลมุ่ สีไดเ้ รียนรทู้ ุกฐานการเรยี นรู้ โดยให้เรยี นรแู้ ละฝึกปฏบิ ัตฐิ านละ 30 นาที โดย
แบง่ กลมุ่ และเวียนฐาน ดังนี้

2) เทคนคิ การเรียนรใู้ หท้ ุกกลุ่มสไี ด้เรยี นรู้ทุกฐานการเรยี นรู้ โดยให้เรียนรแู้ ละฝึกปฏบิ ัตฐิ านละ
30 นาที โดยแบ่งกลุ่ม และเวยี นฐาน เปน็ ช่วงเช้า 5 ฐานการเรยี นรู้ ดังน้ี

2.1) กลมุ่ สีแดง เร่ิมต้นที่ ฐาน 1,2,3,4และ 5
2.2) กลุ่มสเี หลอื ง เรม่ิ ต้นท่ี ฐาน 2,3,4,5และ 1
2.3) กล่มุ สเี ขยี ว เร่มิ ตน้ ท่ี ฐาน 3,4,5,1 และ 2
2.4) กลมุ่ สีชมพู เริ่มตน้ ที่ ฐาน 4,5,1,2 และ 3
2.5) กลุ่มสมี ว่ ง เริ่มตน้ ที่ ฐาน 5,1,2,3และ 4
3) หลังจากนั้นช่วงบา่ ย ใช้ลกั ษณะเวียนฐานเหมือนช่วงเชา้ เรยี นรแู้ ละฝกึ ปฏบิ ัติ ฐานละ 45
นาที ดงั นี้
3.1) กลมุ่ สีแดง เริ่มต้นท่ี ฐาน 1,2,3,4และ 5
3.2) กลุ่มสีเหลอื ง เริ่มตน้ ท่ี ฐาน 2,3,4,5และ 1
3.3) กลุ่มสีเขียว เร่ิมต้นท่ี ฐาน 3,4,5,1 และ 2
3.4) กลมุ่ สชี มพู เร่ิมต้นที่ ฐาน 4,5,1,2 และ 3
3.5) กลมุ่ สมี ว่ ง เรม่ิ ตน้ ที่ ฐาน 5,1,2,3และ 4
4) เมอื่ ผเู้ ข้ารับการฝกึ อบรม ทุกลมุ่ สไี ดเ้ วียนฐานจนครบหมดทุกฐานแลว้ ให้แต่ละกลุม่ สีถอด
บทเรียนจากฐานการเรียนรู้ท้ังชว่ งเชา้ และชว่ งบา่ ย กลุม่ สีละ 2 ฐาน ดังนี้
4.1) กลมุ่ สีแดง ถอดบทเรียน ฐานที่ 1 (เช้าบ่าย)
4.2) กล่มุ สีเหลือง ถอดบทเรยี น ฐานที่ 2 (เช้า/บา่ ย)

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมู่บา้ นเศรษฐกจิ พอเพียง
กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพืน้ ท่ี กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู า้ นเศรษฐกิจพอเพียง

53

4.3) กลุม่ สีเขยี ว ถอดบทเรียน ฐานที่ 3 (เช้า/บ่าย)

4.4) กล่มุ สีชมพู ถอดบทเรียน ฐานที่ 4 (เช้า/บ่าย)

4.5) กลุ่มสมี ่วง ถอดบทเรียน ฐานที่ 5(เชา้ /บ่าย)

6) แต่ละกลมุ่ สีสง่ ตัวแทนนาเสนอผลจากการถอดบทเรยี น กล่มุ สีละ 5 นาที

สรุปผลกำรเรยี นรู้
จากการสังเกตพบว่า ผู้เข้าอบรมมีความต้ังใจและให้ความสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้และฝึกปฎิบัติในฐานการ
เรียนรู้ทั้ง 10 ฐานเป็นอย่างดี และสามารถนาความรู้และเทคนิคต่างๆ ในฐานการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้เป็น
อาชีพเสริมในครัวเรือน เพื่อให้เกิดรายได้และพึ่งตนเองได้ รวมท้ังรู้และเข้าใจการน้อมนาหลักปรัชญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง มาปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั และสามารถนาไปปฏิบตั จิ นเป็นวิถชี วี ิตได้

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพน้ื ท่ี กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

54

วิชา ถอดบทเรยี นผา่ นสอ่ื "วิถีภมู ิปัญญาไทยกบั การพึ่งตนเองในภาวะวิกฤติ"

1. วทิ ยำกร นางสาวอญั ชฐิ า สิงหส์ ทุ ศั น์ ตาแหน่ง นกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ
2. วตั ถุประสงค์

1) เพอ่ื ใหผ้ ู้เขา้ รบั การฝึกอบรมได้ถอดบทเรียนส่งิ ท่ไี ดจ้ ากการดูคลิปของพ่อเลย่ี ม บตุ รจันทา
2) เพอ่ื ใหผ้ ู้เข้ารับการฝึกอบรมตระหนกั ถงึ ความสาคัญของการน้อมนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ
พอเพียงไปประยุกตใ์ ชใ้ นการดารงชีวิต โดยมีคณุ พ่อเลย่ี ม บุตรจันทา เปน็ ตน้ แบบ
3. ระยะเวลำ 1 ชั่วโมง 09.00-10.00 น.
4. ประเด็นเนอ้ื หำวิชำ
1) แนวคดิ การปรบั ตัว โอกาส และความท้าทาย
2) แนวคิด การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
3) แนวคิดการพฒั นาเกษตรกรอย่างยง่ั ยนื
4) หัวใจหลกั กสิกรรมธรรมชาติ กบั ป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง
เทคนิค/วิธีกำร
1) เรยี นรู้ จากคลปิ Video
2) การเติมเต็มใหข้ ้อคดิ และขอ้ เสนอแนะ จากวทิ ยากร
สรปุ ผลกำรดำเนนิ กำรและผลกำรเรยี นรู้
วทิ ยากรแนะนาตวั พูดคยุ สร้างบรรยากาศใหเ้ กิดความเปน็ กันเอง ดังน้ี
วทิ ยำกรเกริน่ นำ
เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า วิกฤติจากการระบาดของโควิดกาลังเปล่ียนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐ กิจ
สังคม และการเมืองของโลกและประเทศไทยอย่างถึงรากถึงโคน โลกจะไม่เหมือนเดิม ดังที่เรียกว่า “ปรกติ
ใหม่” (new normal) นักนโยบาย นักวิชาการ ต่างพากันคาดการณ์การเปล่ียนแปลงเชิงมหภาค หรือมอง
เป็นผลกระทบช่ัวคราวในภาคเมือง แม้จะเร่ิมสนใจคนจนในเมือง แต่ก็เป็นการเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
หากแต่ผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลสะเทือนไปถึงชนบท ซ่ึงยังไม่มีการทาความเข้าใจถ่องแท้ว่า ชุมชนท้องถิ่น
กาลังเผชิญอะไรในวิกฤติโควิด พวกเขาต้ังรับปรับตัวอย่างไร ภาวะปรกติใหม่ของชุมชนจะเป็นอย่างไร และ

พวกเขาจะมีสว่ นกาหนดอนาคตขา้ งหนา้ ได้เพียงไหน (กฤษฎา บญุ ชัย, 2563)

ผลกระทบ
จากการประเมินกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไปทางานเมืองเป็นด่านแรกท่ีได้รับผลกระทบทันทีอย่างรุนแรง

และกาลงั กลับไปพ่ึงชมุ ชนเหมือนวิกฤตเิ ศรษฐกิจปี 2540 แต่ชุมชนทอ้ งถนิ่ ส่วนมากกาลังอยู่ในความเส่ียงอย่าง
ท่ีเคยเจอมาก่อน เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวที่พึ่งพาตลาดส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะพืชผักผลไม้กาลังจะไม่มี
ตลาด เศรษฐกิจชุมชนจะล้มเหลวอย่างรุนแรงยิ่งกว่าที่เคย สิ่งท่ีตามมาสาหรับรอบการผลิตใหม่ก็คือ
ภาวะภยั แล้ง การขาดแคลนน้าอย่างรุนแรง ทาให้ทั้งเกษตรเชิงเดี่ยวและเกษตรกรรมยั่งยืนก็จะประสบปัญหา
ดงั นั้นถึงแม้วา่ สนิ คา้ เกษตรบางชนดิ เชน่ ขา้ ว มันสาปะหลัง จะมรี าคาสงู ข้ึน แต่พวกเขากผ็ ลติ ไมไ่ ด้

เม่ือตลาดขนาดใหญ่ซบเซาลง ตลาดสินค้าอาหารออนไลน์เติบโตข้ึน แต่น่ันก็ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้าน
สามารถเขา้ ถึงและสรา้ งโอกาสให้กบั ตนเองได้มากเท่ากับธุรกิจอาหารขนาดใหญ่ อีกท้ังในระบบตลาดออนไลน์

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหมูบ่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพืน้ ท่ี กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

55

ทเี่ รยี กร้องการผลิตจานวนมาก สม่าเสมอแนน่ อน และต้องมีเงินทุนสารองพอเพียง ชุมชนไม่ได้มีศักยภาพท่ีจะ
เขา้ ถงึ และตอ่ รองผ่านกลไกตลาดออนไลน์หลัก ยังไม่นับรวมถึงระบบการขนส่งอาหาร เช่น Grab, Lineman,
Panda Food ฯลฯ ท่ีเหมาะสาหรับสังคมเมือง แต่ไม่สามารถเชื่อมระหว่างสินค้าชุมชนสู่ผู้บริโภค นั่นเท่ากับ
ความเหล่อื มล้าในโครงสร้างเศรษฐกจิ อาหารจะขยายตวั มากย่งิ ข้นึ
การปรบั ตัว โอกาส และส่งิ ท้าทาย

แรงงานที่หลั่งไหลกลับบ้านเป็นได้ท้ังแรงกดดัน และปัจจัยหนุนเสริมชุมชน ในชุมชนส่วนใหญ่ที่
พึง่ เศรษฐกิจเชิงเดี่ยวกบั ตลาดภายนอกอยู่ในภาวะอ่อนแอ ผลผลิตที่ไม่มีตลาด และภาวะขาดแคลนน้าอาจทา
ให้ชุมชนไม่สามารถเป็นหลังอิงให้กับลูกหลานท่ีไปทางานในเมืองได้เหมือนก่อน แต่สาหรับชุมชนที่มี
ฐานเข้มแข็ง ดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้คงความสมบูรณ์ จัดการดิน น้า ป่าได้ดี และมีระบบเศรษฐกิ จ
การผลติ ท่ีหลากหลาย บางท่มี ีฐานการเงินชุมชนท่ีเข้มแข็ง การกลับมาของลูกหลานคือการมาช่วยเพิ่มแรงงาน
การผลิตเพื่อสร้างความม่ันคงอาหารและเศรษฐกิจได้มากย่ิงขึ้น เพราะในภาวะสังคมสูงวัยท่ีภาคเกษตรขาด
แรงงาน เม่ือชมุ ชนพรอ้ มย่อมจะเปน็ โอกาสดีทไ่ี ดแ้ รงงานเพิ่ม

ในชุมชนเองก็มีการปรับตัวพอสมควร หลายพ้ืนท่ีหันกลับมาฟื้นฐานทรัพยากร การผลิต การบริโภค
สร้างตลาดในชุมชน เกิดเป็นความม่ันคงอาหารและเศรษฐกิจท้องถ่ินเพื่อยืนหยัดในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะ
ชุมชนทม่ี รี ะบบการจดั การทรพั ยากรท่ีเขม้ แข็ง มเี ศรษฐกจิ และการผลิตท่ียั่งยืนและหลากหลาย มีฐานการเงิน
ชุมชนสนับสนุน มีระบบตลาดท้องถิ่นสนับสนุน และมีฐานเครือข่ายทางเศรษฐกิจและสังคมด้านอาหารที่
เช่ือมโยงกับผู้บริโภคอย่างต่อเน่ือง พวกเขาสามารถยืนหยัดพึ่งตนเองด้านอาหารได้มาก รองรับแรงงานกลับ
บา้ นไดด้ ี แมว้ ิกฤติเศรษฐกิจโควิดจะทาให้รายไดล้ ดลง แต่ก็ไมท่ าให้ความมนั่ คงอาหารชมุ ชนสญู เสียไป
เพียงแต่ตัวอย่างของชุมชนที่เข้มแข็งมีไม่มากนัก เป็นกระบวนการส่ังสมทางภูมิปัญญาและการจัดการของ
ชุมชนมาอย่างต่อเน่ืองยาวนาน เกิดเป็นต้นแบบที่เป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นฐานในการแสวงหาคาตอบ
ถึงทิศทางอนาคตท่ีพึงประสงค์ของชุมชนได้ แต่ต้นแบบเหล่าน้ีมักถูกรัฐและสังคมเพิกเฉยที่จะนามาขยายผล
สง่ เสรมิ อย่างจริงจงั

ท่ามกลางกระแสการปะทะกันระหว่างแนวคิดการพัฒนากระแสหลักที่มุ่งเน้นการพัฒนา ระบบ
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่นาเสนอโดยภาครัฐ อันมีเป้าหมายท่ีการแสวงหากาไร และผลประโยชน์ กับแนวคิด
การพัฒนากระแสทางเลือกท่ีมุ่งเน้นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือพออยู่พอกิน ท่ีนาเสนอโดยภาค
ประชาชน ท่ีเน้นอุดมการณ์การกลับคืนสู่รากเหง้าตามวิถีการผลิตจากวัฒนธรรมเดิม มีเป้าหมายท่ีการ
พงึ่ ตนเองเปน็ หลกั นับเป็นแนวคดิ สาคัญในการพัฒนาชมุ ชนท้องถิน่ ซง่ึ สะทอ้ นจดุ เปลี่ยนในวิธีคิด วิธีปฏิบัติอัน
เกิดจาก ปัญหา ประสบการณ์ และการเรียนรู้ของชุมชนท้องถ่ิน (ปาริชาติ วลัยเสถียร, 2549 , รัตนา โตสกุล
และคณะ. 2548) ประกอบด้วยแนวคดิ ในการพัฒนาด้านตา่ ง ๆ ดงั นคี้ ือ

1. แนวคดิ ในการพฒั นาเกษตรกรรมยงั่ ยืน
1.1 การผลิตท่ีผสมผสานเกื้อกลู กับธรรมชาติและมีความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงวิถีการทาเกษตรจาก

การผลิตเพ่ือยังชีพมาเป็นการผลิตเพ่ือขาย ทาให้ชาวบ้านประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตตกต่า มี
รายจา่ ยมาก รายได้น้อย ข้าวไมพอกิน ไม่มีเงินลงทุนทาเกษตร ประสบปัญหาหน้ีสิน การเอารัดเอาเปรียบจาก
นายทนุ สิ่งแวดล้อมเร่มิ เส่ือมโทรม มีสารพษิ ตกคา้ ง มปี ัญหาสขุ ภาพ มโี รคภยั ไข้เจ็บ

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพ้นื ที่ กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

56

1.2 การสืบทอดวิถีการเกษตรต่อจากบรรพบุรุษ ท่ีสืบทอดต่อกันมาจากการสังเกตการทดลอง และ
การปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นวิถีการผลิตแบบพอเพียง และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถพึ่งตนเองได้อยางยั่งยืนมี
ศักดิศ์ รแี ละมคี วาม “เป็นไท” ในตัวเอง หรอื เปน็ การสืบทอด “อัตลักษณ์ชาวนา” น่ันเอง

1.3 การเกษตรยั่งยืนเป็นฐานของการพัฒนาในด้านอ่ืน ๆ การทาเกษตรย่ังยืนเป็นจุดเร่ิมต้นในการ
พึ่งตนเองในระดับครัวเรือนและเป็นฐานให้เกิดการพัฒนารอบด้านขึ้นไม่ว่าจะเป็นการผลิตอาหารที่ปลอดภัย
การรักษาธรรมชาติ ดิน น้า ป่ า การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ท้องถิ่น ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน
การสร้างงาน การลดรายจ่าย การออม การแปรรูปผลผลิต การแลกเปล่ียนผลผลิตระหว่างชุมชน และการ
พัฒนาในดา้ นอืน่ ๆ

2. แนวคิดในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ
2.1 การตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุ

ท่ีฐานทรัพยากรที่รองรับความอยู่รอดของชุมชนท้องถ่ินเอาไว้กาลังถูกทาลายลงเร่ือย ๆ ดังน้ัน จึงต้องมีการ
ดแู ลรักษาระบบนิเวศนแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ มให้คงอยู่ในสภาพที่สมดลุ

2.2 การรักษาฐานชีวิตเพ่ือดารงคุณค่าของการอยู่ร่วมระหว่างคนกับธรรมชาติ เช่น คนกับป่าที่
ผูกพันอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ได้พ่ึงพิงเป็นแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ฯลฯ เป็น
เสมื่อนซปุ เปอรม์ าเก็ตขนาดใหญท่ ี่เล้ยี งดูผคู้ นมาอย่างยาวนาน ป่าจึงเปรียบเสมือน “ทุนชีวิตและวัฒนธรรม”
ของชุมชน

2.3 การสบื ทอดระบบคดิ จารีตประเพณี สังคมวัฒนธรรม ภู มิปัญญา และองค์ ความรู้ในการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างเป็นองค์รวม เช่น ภูมิปัญญาของชุมชนท้องถ่ินในการจัดการดิน น้า
ป่า ทยี่ ่ืนอยบู่ นความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเฉพาะของ แต่ละพื้นที่ มีการจัดการอย่างเป็นองค์รวมและ
สอดคลอ้ งกบั ปญั หาความตอ้ งการ เพราะทีเ่ กดิ ข้ึนจากวถิ ีชีวิตและการมสี ่วนรว่ มของคนในชมุ ชนน้ัน ๆ
3. แนวคิดในการพฒั นาพง่ึ พาตนเอง

3.1 แนวคิดภูมิปัญญาท้องถ่ิน ความรู้ที่มีอยู่ในตัวคนทุกคนเป็นความรู้ที่คุ้นเคยมา จากประสบการณ์
การปฏบิ ตั จิ ริงในวิถีชีวติ ประจาวันท่สี ัง่ สม สรปุ บทเรยี นซ้าแล้วซา้ เลา่ จน กลายเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ิน ท่ีมีความ
แตกต่างหลากหลายในแตล่ ะพ้ืนท่ี และส่งผลให้คนมีเกียรติ มศี ักดิ์ศรี และมคี ณุ คา่

3.2 แนวคิดวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชน คือ การประกอบการและการจัดการทางด้านผลผลิต
แปรรูปการตลาด และการบริหารเงิน คน ให้มีประสิทธิภาพ โดยองค์กรชุมชน ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ใน
หลากรูปแบบร่วมท้ังการลองถูกลองผิด และสรุปบทเรียนจน นาไปสู่การประกอบการที่ยั่งยืนได้ โดยการมี
ส่วนร่วมของสมาชิก

จากข้อความดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า แนวคิดการพัฒนาชุมชนท้องถ่ินในปัจจุบัน มีแนวคิด มาจาก
ปญั หาทชี่ ุมชนทอ้ งถ่นิ ประสบ ทาให้ชาวบ้านหยุดคิด รื้อฟ้ืน ทบทวน เกิดการตรึกตรอง ทาอย่างไรจึงจะพึ่งพา
ตนเองได้ โดยการกลับคืนสูร่ ากเหง้าตามวถิ กี ารผลิตจากวฒั นธรรมเดมิ กลบั ไปหาคุณคา่ ที่มีอยู่ในชุมชนท้องถ่ิน
เพ่ือใชเ้ ปน็ ทนุ ในการพึง่ พาตนเอง โดยอาศัยทุนทางปัญญา ทุนทางสังคมวัฒนธรรม และทุนทางทรัพยากร ท่ีมี
อยู่ในชุมชนท้องถิ่นและนามาใช้ในการ พัฒนา อันเป็นการพัฒนาที่ไม่หลุดลอยจากฐานรากของตนเอง ซึ่ง
นาไปสู่การพฒั นาที่ยังยืน

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงเป็นแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็น
ปรัชญาที่ช้ีถึงแนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ โดยให้ดาเนินไป ในทางสายกลาง

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมย่อยที่ 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพนื้ ที่ กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง

57
โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ซ่ึงคานิยามในส่วน ของความพอเพียงจะต้อง
ประกอบดว้ ย 3 คณุ ลกั ษณะพร้อมๆ กันคือ

1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ี่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่ เบียดเบียนตนเอง
และผู้อ่นื เช่น การผลติ และการบรโิ ภคท่ีอยูใ่ นระดับพอประมาณ

2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็น ไปอย่างมี
เหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนจาก การกระทานั้นๆ
อยา่ งรอบคอบ

3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการ เปลี่ยนแปลง
ด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิด ข้ึนในอนาคตท้ังใกล้
และไกล เง่ือนไขการตัดสินใจและการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงน้ัน ต้องอาศัย ท้ังความรู้
และคุณธรรมเป็นพน้ื ฐาน กล่าวคอื

1. เงื่อนไขความรู้ประกอบด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ
รอบคอบทจ่ี ะนาความร้เู หล่านนั้ มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผนและ ความระมัดระวังใน
ข้ันปฏบิ ตั ิ

2. เง่ือนไขคุณธรรมที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความ ชื่อสัตย์
สุจริตและมีความอดทน มคี วามพากเพียร ใช้สติปัญญาในการดาเนินชีวิตแนวทางปฏิบัติ/ผลท่ี คาดว่าจะได้รับ
จากการนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้คือการพัฒนาท่ีสมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการ
เปล่ยี นแปลงในทุกด้านท้ังดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม สิ่งแวดลอ้ ม ความรู้และเทคโนโลยี

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพน้ื ที่ กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง

58

ทฤษฎบี นั ได 9 ขั้นสูค่ วามพอเพยี ง ศาสตรพ์ ระราชา ความสุขอย่างยั่งยนื

ทฤษฏีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง เป็นแนวทางท่ีใช้ลาดับข้ันเพื่อเดินตามไปทีละข้ัน ค่อยๆ ก้าวไป
แบบยงั้ ยนื และม่ันคง ซึ่งหากใครทาตามได้ รบั รองวา่ ไมม่ ีจนแน่นอน โดยแต่ละขัน้ จะมดี งั นี้
บันไดขั้นที่ 1-4 คอื เศรษฐกจิ พอเพียงขั้นพ้ืนฐาน

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพน้ื ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

59

ขัน้ ที่ 1 พอกิน
พ้ืนฐานที่สุดของมนุษย์ คือ ความต้องการปัจจัย 4 และประการสาคัญท่ีสุดของปัจจัย 4 คือ อาหาร

ข้ันท่ี 1 ของแนวทางแกป้ ัญหาที่ยง่ั ยืนคือ ตอบคาถามให้ได้ว่า “ทาอย่างไรจึงจะพอกิน” โดยให้ความสาคัญกับ
ข้าวปลาอาหาร ไม่ให้ความสาคัญกับเงิน ซึ่งเป็นเพียงแค่ “ตัวกลาง” ในการแลกเปล่ียนตามมาตรฐานสากล
โดยยึดหลกั ว่า “เงนิ ทองเปน็ ของมายา ข้าวปลาสขิ องจริง”

เกษตรกรต้องเรม่ิ จากการอยใู่ ห้ไดโ้ ดยไม่ใช้เงิน มีอาหารพอมี พอกิน ดว้ ยการปลกู พืช ผัก ผลไม้ ให้พอ
กิน ชาวนาต้องเกบ็ ขา้ วไว้ใหเ้ พียงพอสาหรับการมกี นิ ทงั้ ปี ไม่ขายข้าวเปลอื กเพ่อื นาเงินไปซื้อข้าวสาร

นอกจากน้นั หัวใจสาคัญของ “พอกนิ ” ยงั มคี วามหมายรวมไปถงึ ความปลอดภยั ในอาหาร กินอย่างไร
ให้มีสุขภาพดี ไม่สะสมเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยไว้ในร่างกาย น่ีคือความหมายของบันไดข้ันท่ี ๑ ท่ีเกษตรกรต้อง
ก้าวข้ามใหไ้ ด้
ขัน้ ท่ี 2-4 พอใช้ พออยู่ พอรม่ เยน็

เกดิ ขน้ึ ได้พรอ้ มกัน ด้วยคาตอบเดียวคือ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ซึ่งป่า 3 อย่างจะให้
ทั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สมุนไพรสาหรับรักษาโรค ทั้งโรคคน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สาหรับทาบ้านพักที่อยู่
อาศัย และให้ความร่มเย็นกับบ้าน กับชุมชน กับโลกใบน้ี ซ่ึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนของ
เกษตรกรไทย

ซ่ึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริง และยังสามารถย้อนกลับไปแก้ไขปัญหาหน้ีสินซึ่ง
สะสมพอกพนู จากการทา เกษตรเชิงเดีย่ ว ปัญหาความเสือ่ มโทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนนา ภัย
แล้ง ท้ังหมดล้วนแกไ้ ขไดจ้ ากแนวคิดปา่ 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างขององคพ์ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวฯ
บนั ไดขน้ั ที่ 5-9 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขน้ั ก้าวหนา้
ขั้นท่ี 5-6 บญุ และทาน

เครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อม่ันว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้นการแลกเปลี่ยนทาง
การค้า แต่เน้นการทาบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทานและสะสมโดยมอบให้เป็น
ทรัพยส์ ินส่วนรวมโดยวัด หรือศาสนสถานตามแตล่ ะศาสนาเปน็ ศูนยก์ ลาง

เป็นการฝึกจิตใจ ให้ละซึ่งความโลภ และกิเลสในการอยากได้ ใคร่มี ลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น
ตามความหมายอันลึกซ้ึงของคา “ยิ่งทายิ่งได้ ย่ิงให้ย่ิงมี” การให้ไปคือได้มา และเช่ือมั่นในฤทธิ์ของทาน ว่า
ทานมีฤทธิจ์ ริง และจะส่งผลกลับมาเป็นเพ่ือน เป็นกัลยาณมิตร เป็นเครือข่ายที่ช่วยเหลือกันในทุกสถานการณ์
แม้ในวนั ที่โลกน้ีประสบกับวิกฤตการณ์
ขั้นท่ี 7 เก็บรักษา

ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพงึ่ ตนเองได้ พอมี พอเหลือทาบุญ ทาทานแล้ว คอื การรู้จักเก็บรักษา ซึ่งเป็น
การต้ังอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐานของการเอาตัวรอดในเวลาเกิด
วิกฤตการณ์ โดยยึดแนวทางตามวิถีชีวิตชาวนาสมัยก่อนซึ่งเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉางเพื่อ ให้พอมีกินข้ามปี
คดั เลอื กและเกบ็ รักษา “ขา้ วพันธุ์” ไว้สาหรบั เปน็ พนั ธ์ขุ า้ วในปตี อ่ ไป

ซึ่งผดิ กบั วถิ ีชาวนาในปัจจุบนั ทใี่ ชว้ ิธกี ารขายข้าวทง้ั หมด แลว้ นาเงนิ ทข่ี ายได้ไปซื้อพันธุ์ข้าวเพ่ือปลูกใน
ปตี อ่ ไป ส่งผลให้เกดิ การขาดความมั่นคงและเปรยี บเสมือนการใช้ชีวิตอยบู่ นเส้นทางสาย ความประมาท เพราะ
หากเกิดภัยแล้ง น้าท่วม ผลผลิตไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ย่อมหมายถึงปัญหาหน้ีสินและการขาดแคลนพันธุ์ข้าว
สาหรับปลูกในปตี ่อไป

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพ้นื ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง

60

นอกจากเก็บพันธ์ุข้าวแล้ว ยังเน้นให้รู้จักวิธีการถนอมอาหาร การสะสม อาหารไว้กินในยามหน้าแล้ง
ด้วยการแปรรูปอาหารหลากชนดิ อาทิ ปลารา้ ปลาแห้ง มะขามเปียก พริกแห้ง หอม กระเทียม เพ่ือเก็บไว้กิน
ในอนาคต
ขั้นที่ 8 ขาย

เน่ืองจากเศรษฐกจิ พอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้าขายสามารถทา
ได้ แต่ทาภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ และทาไปตามลาดับ โดยของท่ีขาย คือ ของท่ีเหลือจากทุก
ขั้นแล้วจึงนามาขาย เช่น ทานาอินทรีย์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทาลายธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน
เก็บไวท้ าพันธ์ุ ทาบุญ ทาทาน แล้วจงึ นามาขายด้วยความรู้สึกของการ “ให้” อยากท่ีจะให้สิ่งดีๆ ที่เราปลูกเอง
เผื่อแผ่ใหก้ บั คนอื่นๆ ได้รับส่งิ ดีๆ นัน้ ๆ ด้วย
การค้าขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นการค้าที่มองกลับด้าน “เพราะรักคุณจึงอยากให้คุณได้รับใน
สิง่ ดๆี ” พอเพยี งเพอ่ื อุ้มชู เผอ่ื แผ่ แบง่ ปัน ไปดว้ ยกนั
ขน้ั ท่ี 9 เครือขา่ ย

คือการสร้างเครือข่ายเช่ือมโยงท้ังประเทศ เพ่ือขยายผลความ สาเร็จตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการดาเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพื่อการแก้ปัญหาวิกฤต 4 ประการ
อันได้แก่ วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดท้ังในคน สัตว์ พืช วิกฤตเศรษฐกิจ
ข้าวยากหมากแพงวิกฤตความขัดแยง้ ทางสังคม

จากกรณศี ึกษาดผู ่านสื่อ “พอ่ เลีย่ ม บุตรจนั ทา” ปราชญช์ าวบา้ นแหง่ บา้ นสวนฮอนซอน

ชายร่างท้วม ผิวเข้มจากกลาแดด พูดจาเนิบ
ชัดถ่อยชัดคา มีผ้าขาวม้าพาดบ่า และรอยยิ้ม คือ
บุคลิกที่ชัดเจนของ ลุงเลี่ยม บุตรจันทา แห่งบ้านนา
อีสาน ตาบลท่ากระดาน อาเภอสนามชัยเขต จังหวัด
ฉะเชิงเทรา ลุงเล่ียมถือเป็นปราชญ์เดินดินท่ีคนทั่ว
ประเทศ รู้จักมากท่ีสุดคนหน่ึง และบ้านนาอีสาน ได้
กลาย เป็นพื้นที่ศึกษาดูงานของหลายหน่วยงาน
รวมถึง โครงการรักษ์ป่า สร้างคน ๘๔ ตาบล วิถี
พอเพียง มีพี่น้องหลายตาบลได้ไปแวะเยี่ยมเยือนลุง
เลย่ี ม ได้พูดคุยกบั ยายตยุ๋ (ภรรยา) ได้อุดหนนุ ผลติ ภัณฑ์ ของครอบครัวลุงเลี่ยมได้พันธ์ุไม้ติดไม้ติดมือกลับบ้าน
หรือบ้างก็ไดส้ ตู รยาสมนุ ไพรลดความอ้วนมาเสริม

รายได้ครัวเรือน แม้ในอดีตของลุงเลี่ยมจะเคยล้มลุกคลุกคลาน อย่าง “คนจน” แต่ปัจจุบันเขาคือ
“ผยู้ ่ิงใหญ”่ ในใจของใครหลายคน

ประวัติพ่อบุญเล่ียม บุตรจันทา “ผมเป็นคนบุรีรัมย์เรียนจบศึกษาผู้ใหญ่ระดับ ๔ จบมาก็ปลูกมัน
สาปะหลังอยู่อย่างเดียว ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีปลูกมันไม่ได้หัวมัน ได้แต่หนี้ สุขภาพก็แย่ ครอบครัวทะเลาะ
เบาะแวง้ เพราะเป็นหนี้แต่ก็ไม่เคยสรุปว่าเป็นหนี้เพราะอะไร “ปี๒๕๒๙ จึงขายที่ดินใช้หนี้ เหลือเงิน หน่ึงแสน
บาท เอามาซ้ือท่ี ๕๐ ไร่ และปลูกเรือนที่ บ้านนาอีสาน จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วก็โค่นป่าเพื่อ ปลูกข้าวกิน
พอผ่านไปสักปีก็มีกุมารน้อยคนที่สอง ยายตุ๋ย (ภรรยา) ก็พาลูกไปหาหมอแถวเขาฉกรรจ์ ไปเห็นเขาขาย
ข้าวโพดกัน ก็มาชวนให้ปลูก ปลูกได้ ๒-๓ ปีก็เร่ิมมีปัญหาเก่า ครอบครัวทะเลาะกัน สุดท้ายก็เป็นหน้ี ธกส.

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมย่อยท่ี 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพ้นื ท่ี กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

61

๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นหนี้ร้านขาย เมล็ดพันธุ์ปุ๋ย ๕๐,๐๐๐ บาท และเป็นหนี้ร้านค้าอีก รวมแล้ว ๒๐๐,๐๐๐
กว่าบาท ผมกลายเป็นคนเมา ประจาหมู่บ้านเพราะผมชอบร้องเพลงในวงเหล้าแต่ เมียกลับมายืนช้ีหน้าด่าผม
ย่งิ ตอ้ งเมาปลี ะ ๓๖๕ วัน และเมาอยู่ ๒ วนั คือ วันฝนตก และวันท่ีฝนไม่ตก

แตโ่ ชคดีมีบุญเก่า ปี ๒๕๓๙ ครทู ีโ่ รงเรียน ตชด. ชวนไปสัมมนาที่อาเภอสนามชัยเขตก็คิดแต่ว่า จะได้
ไปกินเหลา้ นอกบ้าน พอไปแล้วเหลา้ ขาวไมไ่ ด้ ตกถงึ ท้องเลย จนวนั สุดทา้ ย ผู้ใหญ่วิบูลย์เข็มเฉลิม มาคุยและด่า
ใหฟ้ ังว่า เกษตรกรโง่ ไม่รู้จักตัวเอง ผมเถียงอยู่ในใจว่า ผมรู้จักตัวเอง ผมคือนายเล่ียม ๓ วันเมา ๔ วันเมา ให้
เมียด่า และแกบอกว่าถ้าอยากจะรู้จักตัวเองให้ลองทาบันทึกข้อมูลรายจ่าย นี่แหละ คือ “จุดเร่ิมต้นของผม
เลย่ี ม บุตรจันทา คนจน...ผูย้ ง่ิ ใหญ่”

กลับมาก็ลงมือทา ต้องใช้ความอดทนสูงมาก เพราะเมียจะด่าก่อน หาว่าจับผิด พออารมณ์ดีค่อยถาม
ต่อ ทาอย่างนี้ทุกวันจนส้ินปี และเดือนมกราคม ปี ๒๕๔๐ ผมเอาบัญชีมานั่งโสเหล่กับยายตุ๋ยถือเป็นวัน
ที่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะผมมีค่าบุหร่ีหม่ืนกว่าบาท ค่าเหล้าสองหมื่นกว่าบาท ค่าหวย มวยตู้ เล่น
ไพ่ รวมแล้ว ๖๐,๐๐๐ กว่าบาท สว่ นของยายตุ๋ย ก็เป็นค่าหมูไก่ พริก ที่ใช้ทากับข้าว ๒๙,๐๐๐ บาท และ
ของลูกสองคน ๕,๐๐๐ บาท ทาให้ยายตุ๋ยก็รู้สึกว่าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว และให้เลือก ๒ ทาง คือ ไปอยู่กับ
เพอ่ื นกนิ เหล้า หรือถา้ จะเลิกเหล้า เลกิ การพนัน ผมถามลกู ว่า ถ้าพ่อแมเ่ ลิกกัน ลูกจะอยู่กับใครมันตอบแบบไม่
คดิ เลยว่าจะอยู่กับแม่ ผมนอ้ ยใจและหดหู่ จงึ ตัดสนิ ใจอยกู่ บั ครอบครวั

แล้วครอบครัวเราจะทาอะไรกันต่อ ผมใช้ ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจ คือ ข้อมูลทาไร่ข้าวโพด ปี ๒๕๓๙
ผมมีกาไร ๖๕๐ บาท/ไร่/ปีรวม ๓๐ ไร่ ได้หม่ืนกว่าบาทยังไม่พอซื้อกินลองคิดค่ากินแบบถูก ๆ ๑๕ บาท/คน/
มื้อ ถ้า ๔ คนก็ ๖๐ บาท/มื้อ ในหน่ึงปีต้องกิน ๑,๐๙๕ มื้อ รวมเป็น ๖๐,๐๐๐ กว่าบาท หมายถึงต้องทาไร่
ข้าวโพดให้กาไรปีละ ๖๐,๐๐๐ กว่าบาท ผมตัดสินใจเลิกเลย เลิกที่จะทาอะไรไปขายแล้วเอาเงินมาซื้อกิน เอา
รายจ่าย ที่ยายตุย๋ ซ้ือมาดู อันไหนปลกู ไดท้ าได้ วางแผนปฏริ ูปครอบครัวใหม่เร่ิมปลูกทุกอย่างท่ีกิน กินทุกอย่าง
ที่ปลูก หาบน้ารดผักกับยายตุ๋ยสองคน เม่ือยก็มานั่งคนละฝากแปลงผัก คุยกันกะหนุงกะหนิง เหมือนจีบกัน
ใหม่ ๆ มนั ออนซอนชีวิตจริงๆ ไมข่ ัดใจกนั เลยชวนยายตุ๋ยต้งั ชื่อสวนวา่ “สวนออนซอน”

ตั้งแต่ ปี ๒๕๔๐ “ผมไปบอก ธกส. ว่า ตอ่ ไปนี้ไม่มเี งนิ ชาระหนี้ นะ ไม่มไี ม่หนไี ม่จ่าย ปฏิเสธงานสังคม
งานบวช งานแต่ง มีซองมาก็ใส่ซองไป ตื่นเช้ามาก็เดิน ๖๐๐ ก้าวไปสวน ทาไปทามากินไม่หมด เพื่อนบ้านมา
ขอซื้อ ทาให้ผมเห็นทางรอดแล้ว และหลังจากน้ันอีก ๖ ปี ก็ใช้หนี้หมด “สวนออนซอนตอนนี้กลายเป็นป่า
ผมมบี านาญ ใหช้ ีวติ ผม และยายต๋ยุ อย่างนอ้ ยคนละ ๓๐๐ ตน้ ในพื้นท่ี ๑๓ ไร ่ แบง่ เป็นป่า ๔ ไร่ นา ๕ ไร่
ท่เี หลอื กเ็ ป็นบ่อเปน็ คลอง ผมร้สู ึกเสียดายว่า ทาไม เราไมท่ าอยา่ งน้ตี ั้งนานแล้ว และต้ังใจว่าจะทาอย่าง นี้
เผยแพรใ่ หท้ กุ คนได้รู้พรอ้ มปลกู ต้นไม้วันละ ๓ ต้น เหมือนกินข้าววันละ ๓ มื้อ จนตัวเองเดินไม่ไหว แล้วดู
สิ...วันนี้ผมมอี ะไรถา้ คุณอยากเหมือนผมตอนน้ี ก็เลกิ เหล้าเสีย”

สรุปผลจากการเรียนรู้ จากการถอดบทเรยี นท้ัง 4 รนุ่ ได้ ดงั น้ี
สิ่งท่ีได้จากการดสู ือ่ (clip พ่อเลี่ยม บตุ รจันทา) ท่านไดข้ อ้ คดิ

1. ไดป้ ระโยชนจ์ ากป่าในการดาเนนิ ชวี ติ อย่างเรียบง่าย และเร่ืองการเปลยี่ นความคิด
2. เป็นแนวในการสร้างรายได้ให้กับตนเอง
3. ปลกู ต้นไมเ้ พื่อการออมเงินบานาญ และเปน็ มรดกให้ลูกหลาน
4. เปน็ ตน้ แบบในการเรยี นรใู้ หก้ ับผอู้ ่ืน
5. เห็นประโยชนข์ องการทาบัญชีครวั เรอื น

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนที่ กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกิจพอเพียง

62

6. นอ้ มนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ชีวติ ในครอบครัว
7. พ่งึ พา ตนเองไดใ้ นยามเกิดวกิ ฤตและภยั พิบัตทางธรรมชาติ
8. ปลูกพืชที่กินไดเ้ ปน็ ได้ท้งั อาหาร และยา สรา้ งส่ิงทอี่ ยู่อาศยั ให้กับตนเอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในครวั เรอื น
9. ฝากเงินในรูปแบบการปลูกตน้ ไม้ (ธนาคารต้นไม้)
10. เดนิ บนั ได 9 ขั้นสู่ความพอเพยี ง
11. การทาเกษตรเชงิ เดียวไมยั่งยนื
12. การใชช้ ีวิตทีป่ ระมาท ไมม่ ีการวางแผนชวี ิต เม่ือเกิดปัญหาถึงค้นพบตัวเองที่เป็นคนสร้างความไม่พอดี

กับตัวเอง และครอบครัว
สามารถจะนาไปปรับใช้กับตวั เองอยา่ งไร?

1. การจัดทาบัญชคี รัวเรือน
2. จดั การทรัพยากรในพน้ื ทีต่ วั เองวา่ จะนามาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มรายได้ ลดรายจา่ ยอยา่ งไร
3. ปลกู ป่า 5 ระดับ วนั ละ 2 ตน้
4. นาไปปรับใช้กบั ตวั เองด้านการลด ละ เลิก อบายมุขต่างๆ
5. ปลูกสิ่งท่ีกนิ และกนิ ทกุ อย่างที่ปลกู เพ่อื ลดลายจา่ ย

ปดิ ท้าย
วิกฤตโิ ควิด นามาสูก่ ารเปล่ียนแปลงใหมๆ่ เกิดพ้นื ทใ่ี หม่ทั้งท่เี ป็นโอกาสและส่งิ ทา้ ทาย ชุมชนท้องถิน่

ต่างๆ นกั พัฒนาสงั คม นักวชิ าการ ภาคเอกชน ภาครัฐ ควรอาศัยสถานการณ์นี้การทบทวนความล้มเหลวครั้ง
แลว้ ครง้ั เลา่ ของวิกฤติเศรษฐกิจและสงั คม รวมถงึ ทบทวนความลม้ เหลวของการแกป้ ัญหาเพอื่ กลับไปแบบเดิม
ซ่ึงไดร้ ับการพสิ ูจนห์ ลายครงั้ ว่าล้มเหลว ชุมชนทอ้ งถิ่นมีแต่จะยิ่งอ่อนแอลงไปเร่ือยๆ

หากทุกภาคส่วนของสังคมเอาจริงเอาจังต่อการปฏิรูปการพัฒนาใหม่อย่างถอนรากถอนโดน ภาวะ
“ปรกติใหม”่ ที่จะมาถึงย่อมจะหมายถงึ การก่อรูปความเขม้ แขง็ ของสงั คมไทยจากฐานรากของชุมชน แทนที่จะ
ปลอ่ ยให้อนาคตวนกลับไปทเ่ี ดิม ถูกเปล่ียนเป็นอนาคตที่มีแต่ความรุนแรงจากความเหลื่อมล้า ไม่เป็นธรรม ไม่
ยัง่ ยนื ซ่งึ น่นั หมายถึงสังคมไทยจะไมม่ อี นาคตอีกต่อไป

อ้างองิ
กฤษฎา บญุ ชยั สถาบันชุมชนท้องถนิ่ พัฒนา, “วกิ ฤตโิ ควิดกับจดุ เปลีย่ นของชุมชนทอ้ งถ่ิน”
ThaiPublice คอลมั น์, 27 เมษายน 2563

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง
กิจกรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพ้ืนท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

63

วิชำ “สุขภำพพงึ่ ตน พฒั นำ 3 ขุมพลงั ” พลงั กำย พลงั ใจ พลังปญั ญำ”

1.วิทยำกร นางสาววาสนา ยึดเหน่ยี ว ตาแหน่ง นกั วชิ าการพฒั นาชุมชนชานาญการ
2. วตั ถปุ ระสงค์

1) เพื่อใหผ้ ูเ้ ข้ารบั การฝกึ อบรมได้ยืดเสน้ ยดื สาย ออกกาลังกาย ก่อนการฝกึ อบรม
2) เพ่อื พัฒนาพลังกาย พลังใจ และพลงั ปัญญา
3) เพ่ือศึกษาแนวคิดและทฤษฎวี า่ ดว้ ยการสร้างคุณคา่ ในการดาเนินชวี ติ
3. ระยะเวลำ 3 ชวั่ โมง (05.00 น. – 08.00 น.)
4. ประเด็นเน้ือหำวิชำ
1) การพฒั นาพลงั กาย พลังใจ และพลงั ปญั ญา
2) การปรบั เลย่ี นวถิ ีชีวิตตามสถานการณ์
5. เทคนิค/วธิ ีกำร

1. ใชค้ ลิปเสียง /คลิป VDO / ไฟลเ์ พลง
2. น่งั สมาธิสอดแทรกเนื้อหาธรรมะ สุภาษิต/คาสอนต่างๆในการนาไปปรบั ใชใ้ นการใช้ชวี ิต
3. ชมคลิป VDO พระราชกรณียกจิ ในหลวงรัชกาลท่9ี /นาเสนอตามประเด็นท่ีกาหนด
4. การเติมเต็มให้ข้อคิด และขอ้ เสนอแนะ จากวทิ ยากร
6. สรปุ ผลกำรดำเนินกำรและผลกำรเรยี นรู้
วิทยากรแนะนาตัวพูดคุยสร้างบรรยากาศให้เกิดความเป็นกันเอง หลังจากน้ันให้ผู้เข้าอบรมทุกคน
วางสัมภาระของตนเอง นัง่ นงิ่ ตัวตรง ทาใจให้สงบ เพื่อนาเข้าสู่การสวดมนต์ และเจริญสมาธิ โดยใช้คลิปเสียง
แนะนาการน่ังสมาธิ มีการเปิดคลิเสียงเพลงประกอบการน่ังสมาธิคลอไปเบาๆ เมื่อผู้เข้าอบรมได้น่ังสมาธิแล้ว
ในช่วงเวลาท่ีผ่านไประยะท่ีพอสมควร เร่ิมอ่านคาสอนคติเตือนใจ ข้อคิดธรรมะต่างๆที่เป็นเครื่องเตือนสติ
สาหรับการใช้ชีวิต อย่างช้าๆ นุ่มนวล เมื่อครบเวลาท่ีกาหนด ให้ผู้เข้าอบรมค่อยออกจากสมาธิและลืมตา
พรอ้ มกบั แผ่เมตตาและบญุ กุศลจากการเจริญสมาธิ พร้อมกับให้ความรู้เก่ยี วกบั การทาสมาธิ
คณุ Watchara Sirinaovakul ไดเ้ ขียนบทความนี้ไว้ และตัววิทยากรคิดว่าจะสามารถนามาปรับใช้
ประโยชน์สาหรับทุกท่านๆได้ ดังน้ี “....ยุคน้ีเป็นยุคที่มีความเครียดสูง อาจจะเนื่องมาจากสภาวะ
เศรษฐกจิ ไม่ดี หรืออาจจะเพราะเราใช้อุปกรณ์สื่อสารมากเกินไปจนรบกวนการพักผ่อน ความเครียดเหล่านี้ถ้า
ควบคุมหรือจัดการไม่ดีจะทาให้เกิดผลเสียหลายประการ ทั้งโรคทางร่างกายและโรคทางจิตใจ บางคนอาจจะ
คิดส้ันทาร้ายตนเองเน่ืองด้วยความเครียดท่ีเกินกว่าจะรับไหว และก่อให้เกิดผลเสียทั้งแก่ตนเอง และคนที่รัก
เรา
ทางหนึ่งท่ีได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถควบคุมและบรรเทาความเครียดได้ ก็คือการทาสมาธิ แต่พอพูด
ถงึ เรอ่ื งการทาสมาธิ หลายคนอาจจะคิดที่ว่า การทาสมาธิเป็นเร่ืองของคนแก่หรือคนคลั่งศาสนา ซ่ึงเราไม่ควร
ทา บางครั้งหลายคนก็จะคิดว่า การทาสมาธินั่นทายากเกินไป ต้องไปข้ึนเขา เข้าป่าถึงจะสามารถทาได้ หรือ
การทาสมาธเิ ปน็ เรอ่ื งของผู้วเิ ศษ เป็นของพระ คนธรรมดาทาไมไ่ ด้ จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างน้ัน การทาสมาธิน้ันทา
ง่ายมาก และสามารถทาที่ไหนก็ได้ บทความนี้จะมาบอกเล่าวิธีการทาสมาธิสาหรับผู้เร่ิมต้นใหม่ ท่ีไม่มีความรู้
ด้านการทาสมาธิมาก่อนให้สามารถเริ่มทาสมาธไิ ดง้ ่าย

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนที่ กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง

64

การทาสมาธิคืออะไร เปน็ คาถามทค่ี นมกั จะสงสยั ถ้าจะตอบแบบเข้าใจง่ายๆ เป็นภาษาท่ีคนฟังรู้เรื่อง
ก็คือ “การทาจิตใจให้สงบ ปราศจากส่ิงรบกวนจิตใจ” หลายๆคนอาจจะเข้าใจว่าการทาสมาธิคือการนั่ง
หลบั ตาป๊ี ไม่พูดไม่คุยกับใคร จริงๆแล้วการทาสมาธิทาได้ทุกอิริยาบท ไม่ว่าเราจะทาอะไรอยู่ เราก็สามารถทา
จิตใจให้สงบ เปน็ สมาธไิ ด้

ทั้งนี้ทั้งน้ัน การน่ังหลับตา ก็เป็นท่าทางท่ีเหมาะสมกับการทาสมาธิ เพราะว่าการหลับตานั้นเป็นการ
ตดั สงิ่ ทส่ี ามารถรบกวนทางสายตา และการนงั่ กเ็ ปน็ ท่าทางท่ีไม่สบายเกินไป และไม่ลาบากเกินไป เพราะถ้าเรา
สบายเกนิ ไปกจ็ ะหลบั แต่ถ้าลาบากเกินไป กจ็ ะมัวแตร่ าคาญ พะว้าพะวงว่าเม่อื ไหรจ่ ะนั่งเสร็จ ทรมาน อีกเรื่อง
หน่ึงสาหรับมือใหม่ก็คือ ควรหาที่นั่งที่เงียบสงัดปราศจากเสียรบกวน และไม่ควรเปิดเสียงเพลงหรือเสียงใดๆ
ก็ตามท่สี ามารถรบกวนการน่ังสมาธิ

ทีนี้มาพูดถึงการควบคุมรักษาจิตใจให้สงบกันบ้าง ปกติแล้วจิตใจของคนเรานั้นจะคิดนู้น คิดน้ี
ตลอดเวลา เราต้องหาท่ยี ึดเหนีย่ ว หรอื ท่ีเกาะใหก้ บั ใจ ไม่ให้ใจของเราน้ันแกวง่ ไปคดิ ถึงเรอื่ งน้ัน เรื่องนี้ เราต้อง
หาสงิ่ ให้ใจเราเกาะซงึ่ ก็คอื ลมหายใจน้ันเอง แต่สาหรับหลายๆคนนนั้ ลมหายใจอาจจะน้อยเกินไป เกาะไม่อยู่ ก็
สามารถใช้สิ่งที่เรียกว่า คาบริกรรม เช่นการนึกคาว่า พุทโธ ในใจดังๆ เพื่อกลบความคิดที่มีอยู่ ควบคู่กับลม
หายใจ แตบ่ ทความน้จี ะขอแนะนาคาบรกิ รรมอกี แบบหน่งึ ที่ดูเหมือนจะไดผ้ ลดีกวา่ สาหรับผู้เร่ิมต้นใหม่ คือการ
นับลมหายใจ

วิธีการนับลมหายใจระหว่างทาสมาธิก็คือ เวลาท่ีเราหายใจเข้า เราก็มีความรู้สึกว่าลมหายใจของเรา
กาลังไหลเข้าไปในร่างกาย โดยท่ีไม่ต้องบังคับลมหายใจ ไม่ต้องพยายามหายใจลึกๆ ระหว่างท่ีลมหายใจกาลัง
เข้าร่างกายอยู่น้ัน ก็นึกตามว่า หน่ึง ดังๆในใจ และพอหายใจออกก็ทาแบบเดียวกัน และนึกว่า หนึ่งดังๆในใจ
เช่นกนั ทาแบบนี้ซ้าไปเร่ือยๆ พอหายใจครั้งที่สอง ก็นึกคาว่า สอง ดังๆในใจ ไปจนถึง สิบ คู่ลมหายใจ ถ้าเกิด
ว่าจิตใจเราไปนกึ ถึงเรื่องอืน่ ใหก้ ลบั มาเรมิ่ ต้นนับหน่ึงใหม่ เป็นการทาโทษ และพยายามนับให้ถึงสิบใหมอ่ ีกครงั้

มีเคลด็ ลบั นดิ นงึ เวลารู้ลมหายใจเข้าและออก ให้รู้ลมหายใจตลอดทั้งสาย กล่าวคือเวลาหายใจเข้าไม่
วา่ จะนานเท่าไหร่ ใหร้ ู้เสมอว่าหายใจเขา้ พอรา่ งกายหยุดหายใจกใ็ ห้รเู้ สมอว่าหยดุ หายใจ พอหายใจออก ก็ให้รู้
เสมอว่าหายใจออก พรอ้ มกับนบั ตวั เลขเสยี งดงั ๆยาวๆในใจคกู่ นั ไป

เม่อื สามารถนบั ลมหายใจถงึ สิบได้โดยที่ไม่คิดเรื่องอื่นเลย แปลว่าใจเร่ิมเป็นสมาธิแล้ว ถ้าพอใจในการ
นัง่ สมาธเิ พียงเท่าน้กี ็สามารถหยดุ ไดเ้ ลย แต่ถ้าใครตดิ ลมกส็ ามารถมาเริ่มนับหนง่ึ ถึงสบิ ใหม่ ทาไปเรอ่ื ยๆไดเ้ ลย

อยากให้ทุกคนลองพยายามนับให้ถึง สิบ ให้ได้โดยไม่นึกถึงเรื่องอ่ืนเลย เมื่อทาได้แล้วจะรู้สึกว่าจิตใจ
โล่ง เบา สบาย เหมือนไดน้ อนหลบั พักผ่อนอยา่ งสนทิ และมคี วามสขุ สงบมาก

มำสรุปวิธกี ำรน่ังสมำธิอีกคร้ังหนงึ่
1. นง่ั ในทา่ ทางท่ีสบาย จะยดื ขา ห้อยขา หรือขดั สมาธิก็ได้
2. หลับตา มอื วางในทา่ ทส่ี บาย
3. นาความรู้สึกทงั้ หมดร้ถู ึงลมหายใจเข้าออก ไม่ตอ้ งบังคบั ลมหายใจ
4. นบั ลมหายใจไปพร้อมกับ ลมเขา้ ลมออก หนึง่ ถงึ สิบ พยายามอยา่ คิดเรื่องอนื่ ให้อย่แู ต่กับลม
หายใจและคาบริกรรม ถ้าคดิ เรื่องอน่ื ให้เริม่ นับหนึ่งในใจใหม่
5. ถ้าไดถ้ งึ สบิ จะเลิกหรือเรมิ่ ทาใหม่ก็ได้และเลิกเมือ่ พอใจ

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหม่บู ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมย่อยที่ 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนท่ี กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง

65

เมอ่ื จบแล้ว ได้สอบถามความรู้สึกของผู้เข้าอบรมในการทากิจกรรมนี้..โดยใช้วิธีการยกตัวอย่างและสอดแทรก
อารมณ์ขัน เพื่อให้ผู้เข้าอบรมรู้สึกผ่อนคลาย ปรับอารมณ์ให้รู้สึกปลดปล่อยจากความสงบ และเข้าสู่กิจกรรม
ต่อไป คอื การเสรมิ พลังกาย.

เร่ิมจากให้ผู้เข้าอบรมทุกคน ยืนข้ึนและกางแขนขยายพื้นที่ของตนเองในการเริ่มกิจกรรมออกกาลัง
กาย เพอื่ สรา้ งพลังกายท่ีแขง็ แรงใหแ้ กต่ นเองตามจังหวะเพลง ใช้คลิปเสียงเพลงสาหรับการออกกาลังกาย โดย
วิทยากรเป็นผู้นากิจกรรม วิทยากรทาการอบอุ่นร่างกายก่อน หลังจากนั้นเพ่ิมจังหวะเพลงให้เร็วขึ้น ไปเร่ือย
จนถึงจังหวะท่ีมีความเร็วสูงสุดที่กาหนดในระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงเริ่มลดจังหวะเพลงให้ช้าลงเรื่อยๆ จนถึง
ระดับการคลายกลา้ มเน้อื รา่ งกายตามกระบวนการในการออกกาลังกายท่ีเหมาะสม ทั้งนี้ได้ให้ข้อแนะนาตลอด
การออกกาลงั กายเพื่อไม่ให้เกดิ การบาดเจบ็ ของกล้ามเนื้อส่วนท่ีเป็นท่าทางที่ต้องทาช้าๆ หรือยกสูงได้ระดับใด
หรือการไม่หยุดน่ิงร่างกายทันทีหลังออกกาลังกายเป็นต้น เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนาไปปรับใช้ใน
ชวี ติ ประจาวนั ของตนเองในการสรา้ งพลังกายท่แี ข็งแรง ….

และเม่อื ผู้เขา้ อบรมไดผ้ อ่ นคลายแลว้ วทิ ยากรไดน้ าเข้าสู่การชมคลปิ VDO พระราชกรณียกจิ
พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ รฯ ในหลวงรชั กาลท่ี 9
และหลักกำรทรงงำนของในหลวง (ศำสตร์พระรำชำ) 23 ประกำร คือ

ขอ้ ท่ี 1 จะทำอะไรตอ้ งศึกษำขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ระบบ อดีตทาอะไรมาบ้าง ท้ังเอกสาร สอบถามเจ้าหน้าที่
และชาวบา้ น เพอ่ื นาข้อมูลไปใช้ประโยชนไ์ ดจ้ ริงๆ

ข้อท่ี 2 ระเบดิ จำกภำยใน สร้างความเข้มแข็งจากภายในใหเ้ กิดความเข้าใจ และอยากทา
ข้อที่ 3 แก้ปัญหำจำกจุดเล็ก มองภาพรวมก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ไม่เร่ิม
ทเี ดยี วใหญๆ่
ขอ้ ท่ี 4 ทำตำมลำดบั ขัน้ เรม่ิ ทาจากความจาเป็นก่อน สิง่ ทขี่ าดคือสง่ิ ทจี่ าเป็น
ข้อท่ี 5 ภูมิสังคม ภูมิศำสตร์ สังคมศำสตร์ การทางานทุกอย่าง ต้องคานึงถึงภูมิศาสตร์ว่า อยู่แถบ
ไหน อากาศเป็น อย่างไร ติดชายแดน ติดทะเล และ สังคมของเราเป็นอย่างไร นับถือศาสนาอะไร คนนิสัย
ใจคอเปน็ อย่างไร รวมไปถงึ พวกเรากนั เองด้วย
ข้อท่ี 6 ทำงำนแบบองค์รวม โดยคิดความเช่ือมโยง ทรงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีแนวโน้ม
ทางแก้ไขอย่าง เชือ่ มโยง องคร์ วม ครบวงจร เชอ่ื มโยง “เด็ดดอกไมส้ ะเทือนถึงดวงดาว”
ขอ้ ท่ี 7 ไมต่ ิดตำรำ ความรู้ท่วมหวั เอาตวั ไม่รอด บางครงั้ เรายดึ ทฤษฎีจนเกนิ ไปทาอะไรไมไ่ ดเ้ ลย
ข้อท่ี 8 ประหยัด เรียบง่าย ใช้เงินน้อย แต่ได้ประโยชน์สูงสุด ทาได้เอง หาได้เองในท้องถ่ิน
ใชเ้ ทคโนโลยีงา่ ยๆ
ขอ้ ที่ 9 ทำใหง้ ่ำย ทาอะไรใหง้ ่ายๆ ทาให้ชีวิตงา่ ย โปรดทาส่ิงยากๆ ให้กลายเป็นส่งิ ทงี่ ่ายๆ
ขอ้ ที่ 10 กำรมสี ่วนรว่ ม เปิดโอกาสใหม้ กี ารแสดงความคิดเหน็
ข้อท่ี 11 ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม จากพระราชดารัส ใครต่อใครชอบบอกให้นึกถึงประโยชน์
สว่ นรวม ใหส้ ่วนรวมคอื การช่วยตัวเองด้วย เพราะเมือ่ สว่ นรวมไดป้ ระโยชน์ เราเองก็ได้ประโยชน์
ขอ้ ท่ี 12 บริกำรท่ีจดุ เดยี ว วันนี้เราพดู วันสตอ๊ ปเซอร์วสิ แตใ่ นหลวงตรสั ไว้เกิน 20 ปมี าแล้ว
ข้อท่ี 13 ใช้ธรรมชำติช่วยธรรมชำติ มองธรรมชาติให้ออก กักน้าตามลาธารช่วยให้ป่าสมบูรณ์ช่วย
ใหช้ าวเขามอี าชีพ
ข้อที่ 14 ใชอ้ ธรรมปรำบอธรรม เชน่ เอาผกั ตบชวาท่ีเป็นปัญหาของเราในประเทศ มากๆ จัดน้าเสีย
ข้อท่ี 15 ปลกู ป่ำในใจคน ตอ้ งปลกู ป่าท่ีจติ สานึกก่อน ต้องให้เห็นคณุ ค่า ก่อนที่จะลงมือทา

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหม่บู ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพืน้ ท่ี กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

66

ขอ้ ที่ 16 ขำดทุนคือกำไร อย่ามองที่กาไรขาดทุนที่เป็นตัวเงินมากจนเกินไป บางครั้งเราได้กาไรจาก
การขาดทุน - ลงทุนมหาศาล ได้ธรรมชาติกลับคืนมา - ลงทุนมหาศาล ได้ลูกคืนมา - ลงทุนมหาศาล ได้คนดีๆ
กลบั มา - ลงทนุ มหาศาล ได้ความรไู้ ว้คอยชว่ ยเหลอื

ข้อที่ 17 กำรพึ่งตนเอง ในหลวงทรงสอนให้พวกเราพึ่งตนเอง เพราสังคมบริโภค จะเป็นทาสของ
ผู้ผลิต การพึง่ ตนเองได้ทาใหไ้ ม่ตอ้ ง เป็นทาสใคร เมอ่ื แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ แล้วพยายามพึ่งตนเองให้ได้

ข้อที่ 18 พออยู่พอกิน พออยู่พอกินก่อน แล้วค่อยพัฒนา เราขอให้บาบัดให้ได้ก่อนประคับประคอง
เป็นทป่ี รึกษา เปน็ ผชู้ ว่ ยเหลอื ผูอ้ ืน่ ต่อไป

ข้อที่ 19 เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการต่อสู้รับมือความเปล่ียนแปลงของโลก การขจัดความ
หวิ โหย ทต่ี ้องคานงึ ถงึ เรอ่ื งความพอดโี ดย อาศัยหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง

ข้อท่ี 20 ควำมซ่ือสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน คนท่ีมีความรู้มาก แต่โกง สู้คนท่ีไม่เก่ง แต่ดีไม่ได้วีรบุรุษ
วีรสตรีคือคณุ ธรรม ทีท่ าประโยชน์เพ่อื ผู้อ่นื พวกเราทท่ี างานยาเสพติด คอื วรี บรุ ษุ วีรสตรีผหู้ นงึ่

ข้อที่ 21 ทำงำนอย่ำงมีควำมสุข “ทางานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉันมีแต่ความสุข ท่ีร่วมกันใน
การทาประโยชน์ใหก้ ับผอู้ น่ื เทา่ นั้น” ทาอะไรต้อง มคี วามสขุ ดว้ ย

ข้อที่ 22 ควำมเพียร กว่า 60 ปีที่ทรงงาน ในหลวงไม่เคยทรงท้อถอย ไม่มีการลาพักร้อน หยุดงาน
สักเวลาเดยี ว

ข้อท่ี 23 รู้ รัก สำมคั คี คิดเพ่ืองาน รู้ = ต้องรู้ปัจจัย รู้ปัญหา รู้ทางออก ของปัญหา รัก = เม่ือรู้แล้ว
ตอ้ งเกดิ ความอยาก สำมคั คี= ร่วมมือ ลงมือปฏบิ ตั เิ พื่อเกดิ พลัง

หลังจากน้ันการเปิดคลิป VDO พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรฯ ในหลวงรัชกาลท่ี 9 เมื่อจบแล้วมอบหมายให้ระดมสมองแสดงความ
คิดเหน็ ตามประเดน็ ทกี่ าหนดคอื

ท่ำนจะนำหลกั กำรทรงงำนของในหลวงรชั กำลท่ี 9 ไปปรบั ใชใ้ นชีวิตประจำวนั ของท่ำนอยำ่ งไร
วทิ ยากรมอบหมายแต่ละกลมุ่ สนี าเสนอตามประเดน็ กลุ่มสีละไมเ่ กิน 7 นาที
เนื่องจากเป็นประเด็นเนือ้ หาเดยี วกัน จึงขอสรุปประเด็นการนาเสนอของแตล่ ะกลุ่มสีในภาพรวม ดงั น้ี
ผู้เข้าอบรมในฐานะประชาชนที่เป็นพสกนิกรของท่าน ซาบซ้ึงในพระราชกรณียกิจของท่านที่ได้ทรง
งานอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านทาเพื่อประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหน่ือย ประชาชนคนไทยทุก
คนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของท่านตลอดมา ถึงแม้ท่านจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของ
ประชาชนชาวไทยคือท่านยังคงสถิตย์อยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน
ในส่วนของการนาไปปรับใช้ในชวี ิตประจาวัน ประชาชนคนไทยทุกคนจะนาหลักคาสอน และหลักการ
ทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปรับใช้ในชีวิตประจาวันในส่วนท่ีสามารถปฏิบัติได้จริง โดยเร่ิมจากตนเอง
คนในครอบครัวก่อน เช่น เร่ืองเศรษฐกิจพอเพียง การประหยัด การพ่ึงตนเอง ความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร
การทางานอย่างมีความสุขตามหน้าท่ีของตนเอง และในส่วนของการทาเพ่ือชุมชนสังคมก็จะนาแนวทางการ
ยึดประโยชน์ส่วนรวม การมีส่วนร่วม รู้รักสามัคคี เป็นต้น ซ่ึงที่ผ่านมาเช่ือว่าทุกคนคงได้มีการปฏิบัติตน และ
นาหลกั การทรงงานในหลายๆขอ้ ไปปรบั ใช้ในชวี ติ ประจาวนั อยู่เปน็ วถิ ีชีวิตอยแู่ ลว้
เมื่อนาเสนอทุกกลุ่มแล้ว วิทยากรได้เติมเต็ม ให้ข้อคิด แนวคิดการปฏิบัติอื่นๆเพิ่มเติม พร้อมเปิด
โอกาสให้ผู้เข้าอบรมสอบถามเพิ่มเติม และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการนาศาสตร์พระราชามาปรับใช้ใน
ชีวิตประจาวันของตนเอง

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพ้นื ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง

67
สรุปผลกำรเรียนรู้ จากการสังเกตพบว่า ผู้เข้าอบรมให้ความสนใจและให้ความร่วมมือในการทากิจกรรมเป็น
อย่างดี ร่วมกันทาสมาธิอย่างพร้อมเพรียงและตั้งใจ มีการร่วมกันกล่าวตามท่ีวิทยากรานสวดมนต์และการแผ่
เมตตาด้วยความตั้งใจ แสดงออกถึงความรักและศรัทธาในพุทธศาสนาที่ดีเย่ียม ได้มีการสอบถามถึงการทา
สมาธิของผู้เข้าอบรม ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มีโอกาสนั่งสมาธิ แต่ยึดการทาบุญใส่บาตร การทาทานมากกว่า
เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ทาแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อได้ร่วมกันทากิจกรรมคร้ังน้ีรู้สึกถึงความสุข
ความสงบ ถงึ แมจ้ ะเป็นแคช่ ว่ งเวลาสน้ั ๆ และคิดวา่ จะนาไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจาวันเพ่ือให้เกิดสติในการใช้ชีวิต
ให้มากขึ้น ในส่วนของการออกกาลังกายประกอบเพลงผู้เข้าอบรมรู้สึกสนุกสนานไม่เบ่ือ เนื่องจากมีการใช้
เพลงท่ที ุกคนรจู้ ักและช่ืนชอบ จงึ ทาให้ร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง ร่างกายเกิดความกระฉับกระเฉง พร้อม
สูก่ ารเรยี นรใู้ นเนอื้ หาความรเู้ ก่ยี วกับหลักการทรงงาน และ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชน
กาธิเบศร มหาภมู ิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยความตั้งใจ ซ่ึงแสดงให้เห็น
วา่ ผู้เข้าอบรมยังมีความรักความศรัทธาความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์อย่างเปี่ยมล้น ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้
ความเขา้ ใจ และแสดงออกว่าจะสามารถจะนาความรทู้ ่ีได้ไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวันได้เปน็ อย่างดยี ่ิง

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมย่อยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพน้ื ที่ กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

68

จิตอำสำพฒั นำ เอำมื้อสำมัคคี พฒั นำพน้ื ทต่ี ำมหลีกทฤษฎีใหม่

1. วิทยำกรหลัก นายอนสุ รณ์ กาญจนวณิชย์ ตาแหนง่ นกั ทรัพยากรบคุ คลชานาญการ นว.ผช.ผอ.ศพช.

เพชรบรุ ี

วิทยำกรรว่ ม นางขวัญตา พ่วงทอง นกั วิชาการพฒั นาชุมชนชานาญการ นว.ผช.ผอ.ศพช.เพชรบรุ ี

นางวาสนา ยึดเหนีย่ ว นกั วชิ าการพัฒนาชุมชนชานายการ

น.ส.อัญชษิ ฐา สงิ สทุ ศั น์ นกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ

นางววิ รรณ์ โสมากลุ นกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ

นายวิเชษฐ์ เพชรรัตน์ นกั ทรพั ยากรบคุ คล (พนักงานราชการ)

นางรตกิ ร รัตนบงกช นักทรพั ยากรบคุ คล (พบักงานราชการ)

ทีมเครือขา่ ย ค.คนยั่งยนื ทมี ครูพาทา

2. วตั ถุประสงค์
เพื่อให้เกิดการแลกเปลย่ี นแรงงาน ความสามัคคี การวางแผน การนาองคค์ วามรู้ทีไ่ ดจ้ ากการฝกึ อบรม

ด้านทฤษฎขี องเกษตรทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล มาปรับใช้ในสถานการณจ์ รงิ โดยผา่ น
กิจกรรม เอาม้ือสามัคคี ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มักรู้จักในชื่อ กิจกรรมการ “ลงแขก”หรือ “เอาแรง” ซง่ึ เป็น
วฒั นธรรมชมุ ชนทีอ่ ยู่คู่กบั สงั คมไทยมาอยา่ งยาวนาน

3. ระยะเวลำ 9 ชว่ั โมง (09.00-17.00 น.) และ (19.00น.- 21.00 น.)
4. ประเดน็ เนือ้ หำวชิ ำ

การทากจิ กรรมรว่ มแรง รว่ มใจ ร่วมพลงั ในการประยกุ ต์ใช้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การ
พฒั นาพน้ื ท่ตื ามหลกั ทฤษฎีใหม่ ศึกษาข้อมลู พ้นื ท่ี ร่วมกันวิเคราะห์ วางแผน ออกแบบ และลงมือปฏบิ ตั ิ
พรอ้ มทงั้ สรปุ ผลการเรียนรู้

5. เทคนิค/วิธีกำร
1) การทบทวนบทเรยี นท่ผี า่ นมาในวนั ท่ี 1 และวนั ท่ี 2
2) การสารวจพนื้ ที่
3 )วางแผนการดาเนินงาน
4) ลงมือปฏิบัติโดยมีกจิ กรรมทีด่ าเนินตามบริบทของพน้ื ที่ เช่น การทาแปลงนา การปรับปรุงคลอง

ใส้ไก่ การทาฝาย การปลูกปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง ไม้ 5 ระดับ หวั คนั นาทองคา การหม่ ดิน และการ
ทาแซนวิชอาหารปลา
6. สรุปผลกำรดำเนนิ กำรและผลกำรเรยี นรู้

วิทยากรแนะนาตัวและทีมงานครูพาทา(จากเครือข่ายผู้นาต้นแบบ โคก หนอง นา โมเดล ของ ศูนย์
ศึกษาและพัฒนาชุมชนเพชรบุรี และพูดคุยสร้างบรรยากาศให้เกิดความเป็นกันเอง หลังจากนั้นได้นาเข้าสู่
บทเรียนด้วยการทบทวนความรู้จากบทเรียนท่ีผ่านมาในวันที่ 1 เรื่องของการเรียนรู้ตาราบนพ้ืนดิน จาก
กิจกรรมเดินชมพื้นทื่ของ ศพช.เพชรบุรี ทุกคนได้เห็นอะไร คิดเห็นอย่างไรบ้าง และได้นาส่ิงของมานาเสนอ

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพนื้ ท่ี กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง

69

กลุ่มละ 1 ชิ้น ได้เรียนรู้ความสาคัญและเหตุผลของการนาสิ่งของเหล่านั้นมานาเสนอให้เวทีได้รับรู้รับทราบ
ร่วมกันทุกคนได้เรียนรู้ วิชา เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาที่ย่ังยืน หลักเศรษฐกิจ
พอเพียง หลักการทรงงาน รู้จักบันได 9 ข้ันสู่ความพอเพียง รวมท้ังตัวอย่างความสาเร็จของโดก หนอง นา
โมเดล ท่านได้ชมคลิป ตอน แผ่นดินวิกฤต และได้ถอดบทเรียนรวบรวมองค์ความรู้จากคลิปนาเสนอ
แลกเปลี่ยนกัน สาหรบั วนั ที่ 2 ทุกท่านได้เรียนรู้หลกั กสกิ รรมธรรมชาติ จากแนวพระราชดารัสของในหลวง ร.
9 เร่ืองของเกษตรทฤษฎีใหม่ และให้ชมคลิปสวนเกษตรตามรอยพ่อ ได้เรียนรู้หลักของกสิกรรมธรรมชาติ ใน
เร่ืองของการเล้ียงดิน ให้ดินเล้ียงพืช สามารถทองคาถาเล้ียงดิน 5 ภาษาได้ รู้จักการห่มดิน แห้งชาม น้าชาม
รู้จักคลองใส้ไก่ หลุมขนมครก ตะพัก และอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกสิกรรมธรรมชาติ และทุกคนได้มีการ
เรียนรู้การเวียนฐานเรียนรู้ที่เก่ียวข้องกับการกสิกรรมธรรมชาติจานวน 10 ฐานเรียนรู้พร้อมถอดบทเรียน
แลกเปลี่ยนเตมิ เตม็ องคค์ วามรู้ร่วมกนั ไปแล้วนัน้

สาหรับวนั นี้ เป็นวันท่ี 3 ของการฝกึ อบรม จะเปน็ การรวบรวมองคค์ วามรู้ทั้งหมดท่ีสะสมไว้แล้วนั้นมา
ปฏิบตั อิ ย่างเปน็ รปู ธรรม ดว้ ยการลงมือปฏบิ ัตจิ ริงในพื้นท่ีต้นแบบ ของ ศพช.เพชรบุรี ในรูปแบบของ จิตอาสา
พัฒนา เอามื้อสามัคคีพัฒนาพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎีใหม่ โดยมี ใบงานที่ 1 แบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่มตามกลุ่มสี
งานภารกิจหลกั ทกุ กลุ่มไดร้ ับโจทยแ์ ล้ว ตอ้ งมีการสารวจพน้ื ทท่ี ี่ได้รับมอบหมาย ร่วมกันวางแผน แบ่งงานร่วม
แรงรว่ มใจในการปฏบิ ตั งิ านตามภารกจิ ซง่ึ ในการปฏิบตั ิจรงิ คร้งั น้ีเมือ่ งานเสร็จหรือครบตามกาหนดระยะเวลา
ท่ีมอบหมายแลว้ จะมคี ณะกรรมการออกตรวจแปลงตามหลกั กสิกรรมธรรมชาติ 10 ข้อ ดงั นี้

๑.การจดั กลุ่ม จดั คน สารวจพืน้ ท่ี วางแผนงาน แบ่งหน้าท่ี (ใชห้ ลกั สามคั ค)ี
๒. การเตรยี มดิน การจดั การนา้ ขุดคลองไสไ้ ก่ ทาหลมุ ขนมครก
๓.ปลูกปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง (ไม้ 5 ระดับ)
๔.ปลกู ดอกไมบ้ ริหารแมลง ลอ่ แมลง ไล่แมลง
๕.ปลกู แฝก สร้างฝาย อนรุ กั ษ์ดิน น้า
๖. ห่มดิน: ห่มดนิ ดว้ ยฟาง เศษไม้แห้ง
๗. การเลี้ยงดิน ใสป่ ุย๋ อนิ ทรีย์ (แห้งชาม น้าชาม)
๘. ท่องคาถาเล้ียงดนิ 5 ภาษา
๙.ศลิ ปะ ความเรยี บร้อย ความสวยงามของแปลง
10. เกบ็ อปุ กรณ์ ตรวจเช็ค ทาความสะอาดให้เรียบร้อย
ซง่ึ แต่ละกลุ่มจะต้องมีการนาเสนอการปฏบิ ัติงานจริงตามหลักเกณฑท์ ่ีกาหนด โดยให้เวลาในการปฏบิ ัติ
ตามภารกิจทม่ี อบหมายในแตล่ ะกลุ่มสี
ใบงำนท่ี 1
เปน็ งานเหมารวมเวลารบั ประทานอาหารวา่ งและอาหารกลางวนั เรยี บรอ้ ย ตัง้ แต่เวลา 10.30 น. ถึง
เวลา 15.00 น.และจะเริ่มออกตรวจแปลง เวลา 15.00 น.-17.00 น. ให้แตล่ ะกล่มุ สง่ ตวั แทนเป็น
คณะกรรมการตรวจแปลงจานวน 1 คน โดยมภี ารกจิ ตามใบงาน ดังน้ี

รุน่ ท่ี 1
กลุ่มสีมว่ ง เอาม้ือสามัคคีพ้นื ที่ บรเิ วณโคก พ้นื ท่ีปลกู มะนาวใมนวงบ่อ

-ภารกิจ การตกแต่งทาความสะอาดพื้นท่ี การหม่ ดนิ

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพ้นื ที่ กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง

70

กลมุ่ สีชมพู เอาม้ือสามคั คพี ื้นท่ี นาแปลงกลาง บรเิ วณนาข้าวกระทงที่หนึง่ ทางทิศเหนือ
-ภารกจิ การทาเทือก หมักเทือกก ปลูกตน้ ไม้บนหัวคนั นาทองคา หม่ ดิน ทาตะพกั

กลุ่มสเี หลือง เอามื้อสามคั คพี ื้นท่ี นาแปลงติดฝายน้าล้น
-ภารกจิ การทาเทือก หมักเทือกก ปลูกต้นไม้บนหวั คันนาทองคา ห่มดนิ ทาตะพัก

กล่มุ สีแดง เอาม้ือสามคั คีพ้ืนท่ี บริเวณบา้ นพอเพยี ง
-ภารกจิ การขุดปรับพ้ืนดิน ยกรอ่ งปลูกไม้ดอกไมป้ ระดีบ ทาแปลงผัก ห่มฟาง และสะพานไม้

กลุ่มสเี ขียว เอามอ้ื สามคั คีพื้นท่ี คลองไสไ้ ก่ หวั คันนาทองคา ตลอดแนงร้วั กาแพง
-ภารกจิ ขดุ ลอกคลอง หม่ ดิน ทาตะพัก ปลกู ต้นไม้เพ่ิม

รุ่นท่ี 2
กลมุ่ สีมว่ ง เอามือ้ สามคั คีพ้นื ท่ี บรเิ วณโคก พนื้ ทป่ี ลูกมะนาวใมนวงบ่อ

-ภารกจิ การตกแต่งทาความสะอาดพ้นื ที่ การหม่ ดนิ
กลุ่มสีชมพู เอาม้ือสามคั คีพ้ืนที่ นาแปลงกลาง บรเิ วณนาขา้ วกระทงทหี่ นง่ึ ทางทิศเหนือ

-ภารกิจ การทาเทือก หมักเทือกก ปลูกต้นไมบ้ นหัวคันนาทองคา ห่มดิน ทาตะพัก
กลมุ่ สีเหลือง เอามื้อสามคั คพี ้นื ท่ี นาแปลงติดฝายน้าลน้

-ภารกจิ การทาเทือก หมกั เทือกก ปลูกตน้ ไมบ้ นหวั คันนาทองคา หม่ ดิน ทาตะพัก
กลุ่มสแี ดง เอามือ้ สามัคคีพื้นท่ี บรเิ วณบ้านพอเพียง

-ภารกจิ การขดุ ปรบั พน้ื ดนิ ยกร่องปลูกไม้ดอกไม้ประดีบ ทาแปลงผกั หม่ ฟาง และสะพานไม้
กลมุ่ สเี ขียว เอาม้อื สามัคคีพ้ืนท่ี คลองไส้ไก่ หัวคนั นาทองคา ตลอดแนวร้ัวกาแพง

-ภารกจิ ขุดลอกคลอง ห่มดิน ทาตะพัก ปลกู ต้นไม้เพม่ิ

รนุ่ ที่ 3
กลมุ่ สีชมพู เอามื้อสามคั คพี ื้นที่ แปลงนาติดกาแพงรั้ว ศพช.เพชรบรุ ี

-ภารกจิ การทาเทือก หมักเทือกก ปลูกตน้ ไมบ้ นหัวคันนาทองคา ห่มดนิ ทาตะพัก
กลุม่ สีเขียว เอามอื้ สามัคคีพ้ืนที่ แปลงนาติดกาแพงรัว้ ศพช.เพชรบุรี

-ภารกิจ การทาเทือก หมักเทือกก ปลูกต้นไม้บนหัวคนั นาทองคา หม่ ดิน ทาตะพัก
กลมุ่ สแี ดง เอาม้อื สามคั คีพ้ืนที่ รอบอาคารทองอไุ ร สวนตามรอยพ่อ

-ภารกิจ ปรับภมู ิทัศน์ ห่มดนิ ปลูกต้นไม้
กลมุ่ สีเหลือง เอาม้ือสามคั คพี น้ื ท่ี บริเวณริมรั้วหนา้ ปอ้ มถึงบ้าน ผูอ้ านวยการ

-ภารกิจ การปรับสถานที่ ห่มฟาง ปลกู ต้นไม้ ทาเสวยี น
กลุ่มสีมว่ ง เอามื้อสามัคคีพื้นที่ หน้าหอพักพรบิ พรีบ/สวนไม้ผล

-ภารกิจ ขุดลอกคลอง เสวยี น ลอกคลองส่งนา้ ปลูกต้นไม้ ห่มดนิ

รนุ่ ท่ี 4
กลุ่มสชี มพู เอามื้อสามคั คีพ้ืนที่ บริเวณโคก นาแปลงใหญ่ ติดกาแพง

-ภารกิจ การตกแต่งทาความสะอาดพน้ื ที่ ปลูกขา้ ว คนั นาทองคา
กลมุ่ สเี หลือง เอามื้อสามคั คีพ้ืนท่ี บรเิ วณสวนมะนาว และรอบหนองฝัง่ ทิศเหนือจรด บริเวณศาลเจา้ พ่อเสอื ดา

-ภารกิจ ห่มดิน ทาความสะอาดรอบหนอง ปรบั ภมู ิทศน์

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง
กจิ กรรมย่อยที่ 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง

71

กลมุ่ สเี ขียว เอามอื้ สามัคคีพน้ื ที่ หนองสระน้า
-ภารกิจ ปรบั แตง่ ขอบสระ ความสะอาดหนอง ปลกู ต้นไม้ ห่มดนิ ทาแพไมไ้ ผ่

กลุ่มสีม่วง เอามื้อสามัคคีพ้ืนที่ บรเิ วณหนองสระน้า
-ภารกจิ ปรบั แตง่ ขอบสระ ความสะอาดหนอง ปลูกต้นไม้ หม่ ดิน ทาแพไม้ไผ่

กลุ่มสแี ดง เอาม้ือสามัคคพี นื้ ท่ี คลองสง่ นา้ และพ้ืนท่โี คกหนา้ หอพรบิ พรี
-ภารกิจ ขดุ ลอกคลอง ห่มดิน ทาตะพัก ปลกู ตน้ ไม้เพ่ิม

ใบงำนที่ 2
ให้แต่ละกลุ่มสี ร่วมกนั สรุปผลกำรดำเนินกจิ กรรมตำมประเด็น 3 ประเด็น (เวลำ 19.00 น.-

21.00 น.) ส่งตวั แทนนาเสนอกลุ่มละ 10 นาที พร้อมแลกเปลี่ยนการเรยี นรใู้ นเวทีใหญร่ ่วมกัน
1. ท่านไดอ้ ะไรจากกจิ กรรมน้ี (กจิ กรรมเอามื้อสามัคคี)
2. ในระหวา่ งปฏิบัตภิ ารกจิ ทา่ นพบปญั หา อปุ สรรค ใดบ้าง และแนวทางแก้ไขที่ทา่ นปฏบิ ัติ
3. ขอ้ เสนอแนะและข้อคดิ เห็น

สรปุ กำรเรียนรู้ทไ่ี ดจ้ ำกกิจกรรมกำรเอำมอ้ื สำมคั คี ตำมประเด็นดงั น้ี
รุ่นที่ 1
ประเดน็ ที่ 1 ทำ่ นได้อะไรจำกกิจกรรมน้ี

1. สรา้ งความสามคั คใี นหมู่คณะ
2. ได้เรยี นรู้และลงมอื ทาจริง
3. ได้นาความรู้ทไ่ี ด้จาก 10 ฐาน มาปรับใช้
4. ได้รจู้ ักการทาฝายชะลอและฝายดกั ตะกอน
5. ได้รู้ความถนดั ของเพือ่ นแต่ละคนทาใหง้ ่ายตอ่ การแบ่งคน แบง่ งานจงึ เสร็จเรว็
6. ได้รู้วธิ กี ารทาแซนวิชปลาเพ่ือเป็นอาหารสัตวน์ า้
7. ฝึกให้ทุกคนมีสว่ นร่วมและกลา้ แสดงออกในทุกกิจกรรม
8. ได้รู้จักการใชป้ ระโยชน์บนพ้ืนทีค่ นั นาใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ
9. รู้จักการทานาขา้ ว
10.การนาความรแู้ ละทฤษฎีมาใช้จรงิ
11.ไดร้ ับความอดทนและความต้ังใจในการทา
12.เชอื่ มสมั พันธ์กับเครือข่าย
13.มีความเสยี สละ
14.ไดเ้ รยี นรกู้ ารบรหิ ารจัดการนา้
15.ไดเ้ รียนรกู้ ารทาฝายดกั ตะกอน สวะ
16.ได้ฝึกการทางานเปน็ ทีม
17.มีความรบั ผดิ ชอบ
18.มีความภาคภูมิใจในความสาเร็จรว่ มกัน
19.ร้จู ักการวางแผนและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้นื ท่ี กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง

72

ร่นุ ที่ 2
ประเดน็ ที่ 1 ท่ำนได้อะไรจำกกจิ กรรมนี้

1. สร้างความสามคั คใี นหมู่คณะ และความเสียสละ
2. ได้นาความรู้ทไี่ ด้จาก 10 ฐาน มาปรับใช้.ในชวี ิตประจาวัน
3. ไดค้ ้นพบศักยภาพของสมาชกิ ในทมี
4. เรียนรกู้ ารบริหารงาน แบง่ คน แบ่งงาน
5. ได้ฝึกปฏบิ ัตแิ ซนวชิ ปลาเพื่อเป็นอาหารสัตวน์ ้า และคลองไสไ้ ก่รอบผนื นา
6. การมีสว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เห็นและการปฏบิ ตั ิ
7. ได้รู้จักการใช้ประโยชนบ์ นพน้ื ท่คี นั นาใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุด
8. เรียนรกู้ ารปลูกข้าวโดยการหวา่ น
9. ไดร้ ับความอดทนและการทางานรว่ มกบั ผู้อนื่
10.ได้เรยี นรูก้ ารบริหารจดั การน้า
11.ได้ฝกึ การทางานเป็นทีม
12.ฝึกความรับผิดชอบ
13.ร้จู กั การวางแผนและแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้
รนุ่ ท่ี 3
ประเด็นท่ี 1 ทำ่ นไดอ้ ะไรจำกกิจกรรมน้ี
1. ความสามัคคี ความเสียสละ ความอดทน
2. การวางแผนการท้างาน
3. การแบง่ งานตามความสามารถของคนในทีม
4. ความมสี ว่ นรว่ ม
5. การพฒั นาคนั นาทองคา
6. การฝึกปฏบิ ัติ โคก หนอง นา ในสถานท่จี ริง
7. การเรียนรูก้ ารเอาม้ือสามคั คี (สร้างสมั พันธใ์ นหมู่คณะ)
8. ไดฝ้ กึ การทางานเปน็ ทีม
9. ไดเ้ ครือขา่ ยการทางานเพ่ิม
10.ได้รับความรูใ้ นการทานา
11.ได้เรยี นรู้การบริหารจัดการน้าดนิ
12.เรยี นรู้การรบั ผิดชอบต่อหน้าที่
13.เกดิ ความภาคภมู ิใจในความสาเร็จร่วมกัน
14.รจู้ กั การวางแผนและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ร่นุ ท่ี 4
ประเด็นที่ 1 ท่ำนไดอ้ ะไรจำกกจิ กรรมนี้
1. สร้างความสามคั คีในหมู่คณะ และความเสยี สละ
2. ได้นาความรู้ที่ได้จาก 10 ฐาน มาปรบั ใช้
3. ได้รคู้ วามถนัดของเพ่ือนแตล่ ะคนทาใหง้ ่ายต่อการแบง่ คน แบง่ งานจึงเสร็จเรว็
4. ได้รู้วธิ ีการทาแซนวชิ ปลาเพ่ือเป็นอาหารสตั ว์น้า

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กจิ กรรมย่อยที่ 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพ้ืนที่ กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

73

5. ฝึกใหท้ กุ คนมีสว่ นร่วมและกล้าแสดงออกในทุกกจิ กรรม
6. ไดร้ ูจ้ ักการใชป้ ระโยชนบ์ นพื้นทีค่ ันนาให้เกิดประโยชนส์ งู สุด
7. รู้จักการทานาข้าว
8. การนาความรู้และทฤษฎมี าใช้จริง
9. ไดร้ ับความอดทนและความตั้งใจในการทา
10.ได้เรียนรู้การบรหิ ารจดั การนา้
11.ได้ฝกึ การทางานเปน็ ทมี
12.มีความรบั ผดิ ชอบ
13.มคี วามภาคภูมใิ จในความสาเร็จรว่ มกนั
14.รูจ้ ักการวางแผนและแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้

ประเด็นที่ 2 ในระหวำ่ งปฏิบัติภำรกิจ ทำ่ นพบปัญหำ อุปสรรคใดบำ้ ง และแนวทำงแก้ไขของท่ำนท่ี
ปฏบิ ัติ โดยภำพรวมของทั้ง 4 รุ่น สำมำรถสรุปไดด้ งั นี้

ปัญหำอุปสรรค แนวทำงแกไ้ ข
- อปุ กรณ์ชารดุ บ่อย - ควรปรับปรงุ อปุ กรณใ์ หเ้ หมาะสมก่อนใช้
- ปัญหาเร่ืองดินแขง็ น่มิ ไมเ่ ท่ากัน - ควรปล่อยน้าเข้าพนื้ ที่ก่อน 1 คนื
- ชดุ ปฏบิ ตั ิตงิ านของผฝู้ ึกอบรมไม่พร้อม - ควรแจง้ รายละเอียดเร่อื งการแตง่ กายให้

- การจัดการนา้ ชัดเจน
- อากาศรอ้ น - มกี ารวางแผนเปน็ ขนั้ เป็นตอน
- ขา้ วมีอายุการเกบ็ เกยี่ วนานเกิน - อดทนและสามคั คี
- อปุ กรณ์ไมเ่ พยี งพอ - ทกุ อย่างมเี วลาท่ีเหมาะสม
- มีเศษแกว้ และวตั ถุมีคมอยใู่ นคลองไส้ไก่ - จัดอุปกรณใ์ หเ้ พียงพอทุกกลุ่ม
- นา้ มีกล่ิน - ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่ก่อน
- สภาพพื้นทใี่ นแปลงมนี ้าทว่ มขงั มวี ัชพชื - ปรับสภาพน้า
- สารวจพ้ืนทแี่ ปลงก่อนลงมือทา
และมีขยะปะปนภายในพื้นที่
- พื้นดนิ ไม่สม่าเสมอ - ปรับหน้าดนิ ให้สม่าเสมอ
- ตน้ ไม้ไมเ่ พยี งพอ - เพม่ิ จานวนของตน้ ไมใ้ ห้เพียงพอ

ประเด็นที่ 3 ข้อเสนอแนะและข้อคดิ เหน็ สำมำรถสรุปภำพรวมท้ัง 4 รุน่ ได้ดังน้ี

1. มีพเ่ี ลยี้ งที่ใหค้ าปรึกษาที่ดี
2. การร่วมมือรว่ มใจกนั แก้ปัญหาและอปุ สรรคให้ดที ี่สดุ
3. ควรเพิ่มต้นไม้ใหห้ ลากหลาย
4. ควรจดั เตรียมอปุ กรณ์ใหเ้ พียงพอ

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนท่ี กิจกรรมย่อยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

74
สรปุ ผลกำรเรียนรู้

จากกิจกรรมเอามือ้ สามัคคี เปน็ กิจกรรมทจ่ี ัดข้นึ เพ่อื ให้ผู้เขา้ รบั การอบรมได้เห็นรปู แบบ
กระบวนการการทางานของเครือขา่ ยกสิกรรมธรรมชาติ ทเ่ี น้นการทางานในรปู แบบเครอื ข่ายการแลกเปล่ียน
แรงงาน เพ่ือใหเ้ กิดองค์ความร้ใู นระดับพนื้ ท่ี และยังเปน็ การนาภมู ิปัญญาท้องถ่ินผสมกับหลักกสกิ รรม
ธรรมชาติ การประยุกต์ใชห้ ลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาใชใ้ ห้เหมาะสมกับบรบิ ทของพืน้ ที่ เพ่ือสรา้ ง
ความม่นั คงทางอาหาร เพิ่มพ้ืนทส่ี ีเขยี ว และสร้างแหล่งนา้ ให้พอใช้เพ่ือการอุปโภค/บริโภครวมถึงนา้ เพื่อ
การเกษตรให้เกิดความเพยี งพออยา่ งยนื ต่อไป

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหม่บู า้ นเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมยอ่ ยที่ 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพนื้ ท่ี กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

75

วิชำ “กำรออกแบบ เชิงภมู ิสังคมไทยตำมหลกั กำรพฒั นำภมู ิสงั คมอย่ำงยั่งยืน
เพือ่ กำรพึง่ ตนเองและรองรบั ภัยพบิ ัติ”และกำรฝกึ ปฏิบตั สิ ร้ำงหุน่ จำลอง

1.วทิ ยำกร อาจารย์ตอ่ วงศ์ ป้ยุ พันธวงศ์ ประธานเครอื ข่าย ชตพ.เพชรบุรี

2.วตั ถปุ ระสงค์
1) เพ่ือใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝกึ อบรม มีความรู้ ความเข้าใจในการออกแบบพนื้ ท่เี ชิงภูมิสังคมไทย ตาม

หลกั การพัฒนาภมู ิสังคมอยา่ งย่งั ยืนเพื่อการพึ่งตนเองและรองรบั ภยั พิบตั ิ “โคก หนอง นา โมเดล”
2) เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ได้ฝึกการออกแบบพ้ืนท่ีเชิงภูมิสังคม โคก หนอง นา โมเดล
3) ผู้เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถนาไปปรับใช้ในการออกแบบกับพ้ืนท่ี โคก หนอง นา โมเดล

ของตนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

3. ระยะเวลำ 8 ชว่ั โมง
4. ประเดน็ เนือ้ หำวิชำ

1) สถานการณแ์ ละภาวะวิกฤติของโลก ประเทศ ชุมชน (น้า อาหาร พลังงาน)
1.1 ทรพั ยากรนา้
1.1.1 การใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรน้า
1.1.2 สถานการณ์ทางนา้
1.2 วิกฤตการณด์ ้านอาหาร
สถานการณ์การขาดแคลนดา้ นอาหาร
1.3 วกิ ฤตการณด์ า้ นพลังงาน
การขาดแคลนพลังงาน

2) แนวทางการแกไ้ ขและรอบรับภัยพิบัตดิ ้วยการบรหิ ารจัดการพืน้ ท่ี “โคก หนอง นา”
3) กรณีศึกษาความสาเร็จ “โคก หนอง นา โมเดล”

5. เทคนคิ /วิธีกำร
1) วทิ ยากรแนะนาตวั แกผ่ เู้ ข้าอบรม
2) วิทยากรต้ังคาถามทาไมต้องออกแบบพืน้ ท่ี จาเป็นไหม
3) วิทยากรเล่าถงึ สถานการณ์และวกิ ฤตขิ องประเทศไทยพร้อมยกตัวอย่างเพื่อนาเข้าสู่เนือ้ หาการ

ออกแบบพ้นื ทเี่ ชงิ ภมู ิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสงั คมอยา่ งยัง่ ยืน เพื่อการพง่ึ ตนเองและรองรบั ภยั พิบัติ
“โคก หนอง นา โมเดล”

4) วิทยากรบรรยายถึงการออกแบบเชงิ ภูมสิ งั คมไทยตามหลักการพฒั นาภมู สิ งั คมอย่างยั่งยืน(การ
ออกแบบพน้ื ท่ชี วี ิต)

5) วทิ ยากรยกตวั อย่างแบบจาลองการจดั การพื้นที่กสิกรรมประกอบเพื่อให้เห็นชัดเจนยิ่งข้นึ พร้อม
สรุปเติมเตม็ และใหค้ าแนะนากับผเู้ ข้ารว่ มอบรม

6) วิทยากรบรรยายให้ความรู้ในหวั ขอ้ ดงั นี้
6.1) สถานการณแ์ ละภาวะวิกฤติของโลก ประเทศ ชุมชน (น้า อาหาร พลงั งาน)
6.2) แนวทางการแก้ไขรองรับภยั พบิ ัติด้วยการบริหารจดั การพื้นที่ “โคก หนอง นา”
6.3) กรณศี กึ ษาความสาเรจ็ “โคก หนอง นา”

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนท่ี กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพียง

76

7) บรรยายประกอบสอ่ื วีดีทัศน์
8) ชมส่อื วดี ีทศั น์
9) นาเสนอ/แลกเปลย่ี นเรยี นรู้

สรุปผลกำรดำเนินกำรและผลกำรเรียนรู้
วิทยากรแนะนาตัวแก่ผู้เข้าอบรม และพูดคุยสร้างบรรยากาศให้เกิดความเป็นกันเอง หลังจากน้ันได้

นาเข้าสู่บทเรียนด้วยการตั้งคาถามทาไมต้องออกแบบพื้นท่ี จาเป็นไหม เล่าถึงสถานการณ์และวิกฤติของ
ประเทศไทยพร้อมยกตัวอย่างเพ่ือนาเข้าสู่เน้ือหาการออกแบบพ้ืนท่ีเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิ
สงั คมอย่างยัง่ ยนื เพือ่ การพึง่ ตนเองและรองรบั ภยั พบิ ตั ิ “โคก หนอง นา โมเดล” เพื่อเขา้ สู่บทเรยี น

วิทยากรเปิดคลิปและบรรยายจากคลิป สถานการณ์และวิกฤติของประเทศไทย สภาพดินท่ีแห้งแล้ง
ภูเขาหัวโล้น สภาพน้าเน่าเสีย ขยะสารพิษในลาคลอง สภาพการจ้างแรงงานต่างชาติ สถานการณ์การแพร่
ระบาดของ เชื้อโควิต-19 ส่งถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนอาหาร การแย่งชิง ฯลฯ ซึ่งทางออกหรือ
แนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ แก้ได้ด้วยศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยการขับเคลื่อนการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ิตตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตามหลกั ทฤษฎีใหม่ ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล

วิทยากรได้เสนอภาพตัวอย่างของการดาเนินการ โคก หนอง นา โมเดล เป็นภาพเริ่มจากพ้ืนท่ีแห้ง
แลง้ ว่างเปลา่ เม่ือเริ่มดาเนินโครงการมีการพัฒนาพ้ืนท่ี มีการบริหารจัดการ ดิน น้า ป่า สิ่งแวดล้อม ตามหลัก
กสิกรรมธรรมชาติ จะเห็นว่ามีการพัฒนา มีความอุดมสมบูรณ์ มีความเขียวขจรี และมีส่ิงแวดล้อมท่ีสวยงาม
เพิ่มข้ึนตามลาดับ ต้ังแต่ เริ่มดาเนินการ ผ่านไป 7 เดือน ผ่านไป 14 เดือน ผ่านไป 2 ปี จะเห็นชัดเจนถึง
ความอดุ มสมบรู ณข์ องตน้ ไม้ พืชผักผลไม้ นาข้าว การเลยี้ งสตั ว์ ตอบโจทย์ของการ พอกิน พอใช้ พออยู่ และ
รวมไปถึง พอร่มเย็น เป็นพนื้ ฐาน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือทางรอดของประเทศ กล่าวคือ การพัฒนา
ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะนามาซ่ึงความพออยู่ พอกิน และการพ่ึงตนเอง การพัฒนาหรือการ
แปลงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นข้ันเป็นตอนนั้นและสิ่งที่จะต้องทราบและทาความ
เข้าใจใหถ้ ่องแท้มี 5 ข้อ ดังน้ี

1) ความหมายและความสาคญั ของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
2) ทฤษฎใี หม่จานวนกว่า ๔๐ ทฤษฎี ทั้งทางด้านการจดั การท่ดี นิ น้า ปา่ ไม้ และคน
3) มีวิธีการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน ซ่ึงจะต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชน

ส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ท่ีประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาและเม่ือได้
พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทาง
เศรษฐกิจขั้นท่สี ูงข้นึ ในลาดับตอ่ ไป หรือกา้ วสูเ่ ศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า คือ พอเพียง แบ่งปันและ
แข่งขันได้ นัน่ เอง
4) เทคนิคหรือวัตกรรม ท่ีสามารถถอดบทเรียนได้มากกว่า ๔๗,๐๐๐ บทเรียน จากโครงการใน
พระราชดาริ ๔,๗๔๑ โครงการ
5) มีการบริหารแบบคนจน ดังพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลย
เดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลท่ี ๙ เน่ืองในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันท่ี ๕
ธันวาคม ๒๕๓๗ ณ ศาลาดสุ ดิ าลยั

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพียง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพนื้ ท่ี กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง

77

สถำนกำรณใ์ นวกิ ฤตโลก (น้ำ อำหำร พลังงำน)
- น้า จากสภาพความแปรปรวนของภมู อิ ากาศ การเตบิ โตของประชากรโลก การ

เปล่ียนแปลงวิถีการดาเนินชีวิตและความต้องการอาหารเพ่ิมขึ้นในขณะที่ทรัพยากรน้าจากธรรมชาติ ซึ่งมี
บทบาทสาคญั ตอ่ การดารงชีวติ มนุษย์มปี รมิ าณลดลง อาจนาไปสูค้ วามขัดแย้งเรื่องน้าอยา่ งรุนแรงในอนาคต จึง
เป็นที่มาของคาว่า Water Footprint หรือร่องรอยการใช้น้า มีตัวเลขจากองค์การสหประชาชาติยืนยันว่าแม้
โบกจะมีน้าเป็นองค์ประกอบถึง ๓ ใน ๔ ส่วน แต่ประชากร ๑ ใน ๕ ของโลกกลับขลาดแคลนน้าสะอาด
สาหรับบริโภคส่งผลให้มีคนเสียชีวิตจากโรคภัยท่ีเกิดจากการขาดแคลนน้าสะอาดสาหรับการบริโภคถึงปีละ
๒๗ ล้านคน สาเหตุสาคัญที่ทาให้ปัญหาเร่ืองน้ากลายเป็นวิกฤตโลก มิใช่เพียงอัตราการเติบโตของประชากร
โลกเท่านั่นหากยงั เกิดจากการอพยพเข้ามาสสู่ ังคมเมืองมากขน้ึ ภาคอตุ สาหกรรมเตบิ โต

- อาหาร สถานการณ์อาหารของโลกไดเ้ ขา้ สูข้ ้นั วกิ ฤต โดยเฉพาะราคาธัญพืช ขา้ วเจา้ และ
ข้าวสาลีได้เพ่ิมข้ึนมากที่สุด ราคาข้าวเจ้าเพิ่มข้ึนเป็นเท่าตัวต้ังแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยภาพรวมแล้วใน
รอบ ๓ ปี ราคาอาหารได้เพ่มิ ขนึ้ เรอ่ื ย ๆ ถงึ เกือบเท่าตัว และจากราคาอาหารที่เพ่ิมขึ้น ทาให้ประเทศยากจนที่
ต้องนาเขา้ อาหารประสบวิกฤตอยา่ งหนัก ราคาอาหารในประเทศที่เพ่ิมมากข้ึน ทาให้คนจนในประเทศไม่มีเงิน
พอที่จะซ้ืออาหาร จึงนาไปสู่การเดินขบวนประท้วงและความวุ่นวายในหลายประเทศ ท่ีหนักที่สุดเห็นจะเป็น
ทวีปแอฟริกา นอกจากนน้ั ประเทศในเอเชียใต้ก็ประสบปญั หาอยา่ งหนัก เช่น อินเดียและบังคลาเทศ รวมไปถึง
ประเทศแถบอเมรกิ ากลาง อยา่ งเชน่ ไฮติ กเ็ กิดจลาจลวนุ่ วายขึ้น

- แหล่งพลังงานธรรมชาตปิ ระเภทสรา้ งทดแทนใหมไ่ มไ่ ด้ เชน่ น้ามนั ถา่ นหิน
ก๊าซธรรมชาติกาลังขาดแคลน จวนเจียนจะหมดโลก ทาให้พลังงานย่ิงมีราคาแพงมากข้ึน ความหวาดวิตกว่า
พลังงานจะหมดโลก มีราคาแพง ทาให้มนุษย์รู้สึกว่าเกิดวิกฤตพลังงานที่ต้องเร่งแก้ไขจัดการป้องกัน การผลิต
และการใช้พลังงานของมนุษย์ ทาให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศหรือส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างรุนแรง
อย่างชนิดไม่เคยเกิดข้ึนมาก่อน เช่น การใช้พ้ืนท่ีป่าเพ่ือสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้าได้ทาลายระบบนิเวศสาร
กัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์และกากนิวเคลียร์ การเกิดควันพิษ หมอกพิษในเมืองต่าง ๆ
ท่วั โลก ฯลฯ ผลจากการใช้พลังงานมาก ทาให้โลกเกอดอาการร้อนผิดปกติท่ีเรียกว่าปฏิกิริยาเรือนกระจกและ
เกิดช่องโหวใ่ นบรรยากาศช้นั โอโซน ทีก่ ่อผลกระทบต่อสุขภาพมนษุ ย์

แนวทำงแกไ้ ขและรองรับภยั พิบตั ิดว้ ยกำรบรหิ ำรจัดกำรพน้ื ที่ “โคก หนอง นำ”
ท่ า ม ก ล า ง ปั ญ ห า ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ส ภ า พ ภู มิ อ า ก า ศ ที่ มี ส า เ ห ตุ ห ลั ก ม า จ า ก ก า ร ใ ช้

ทรพั ยากรธรรมชาติอย่างไร ขอบเขตมนุษย์ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อสมดุลระบบนิเวศและส่ิงแวดล้อมการ
เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเป็นภัยคุกคามต่อแหล่งอาหาร เช่น ความแห้งแล้ง น้าท่วม โรคระบาด โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงภาวะวกฤตท่ีส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรอย่างมาก คือ การเกิดภัยแล้งท่ีนับวันจะมีความรุนแรง
เพิ่มข้ึนทกุ ปี ทผ่ี ่านมาประเทศไทยรบั มือกบั ปัญหาภัยแล้งในหลากหลายรูปแบบ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้า การ
สร้างเข่อื นหรือการจัดทาระบบชลประทาน ซึ่งรปู แบบเหลา่ นส้ี ามารถใช้แกไ้ ขปญั หาได้ในบางพ้ืนท่ีของประเทศ
ไทยเท่าน้ันสาหรับพ้ืนที่ที่ห่างไกลนอกเขตชลประทานที่มีพ้ืนที่ถึง ๒๑๒,๒๐๐,๐๐๐ ไร่ ยังคงต้องประสบกับ
ปัญหาการขาดแคลนน้าเพื่อใช้ในการเกษตร

โคกหนองนาโมเดลจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการแก้ไขปัญหาของเร่ืองการจัดการน้าท่ีสถาบันเศรษฐกิจ
พอเพยี งและมลู นธิ กิ สิกรรมธรรมชาติได้น้อมนาพระราชดารัสในรัชกาลที่ ๙ ด้านการทาเกษตรทฤษฎีใหม่ตาม

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมู่บา้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพนื้ ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกิจพอเพียง

78

แนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชบ้ รหิ ารจัดการนา้ และพื้นท่ีการเกษตร โดยมีการการผสมผสานกับภูมิปัญญา
พืน้ บ้านให้สอดคลอ้ งกัน

หลกั กำรออกแบบพ้นื ท่ตี ำมหลักภูมสิ งั คม (Geosocial) มีตัวแปรสำคญั ๕ ประกำร ได้แก่
๑) ไฟ (ทิศทางของแสง) สารวจ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และทิศทางการขึ้นของดวง

อาทิตย์
๒) ลม การออกแบบบา้ นให้มีทิศทางของช่องลมสอดรับกับลมที่พัดมาในแตล่ ะฤดกู าลจะชว่ ยลดการ
ใชพ้ ลงั งานในบ้านและเพอื่ ให้บ้านเย็นอยสู่ บาย โดยตามหลักปกติ ลมฝนจะพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และ
ลมหนาวหรอื ลมข้าวเบาจะพัดมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ทง้ั นค้ี วรวางตาแหน่งอาคาร บ้านเรือน ลานตาก
ข้าว และลานนวดขา้ ว ไม่ให้ขวางทิศทางลมหนาว
๓) ดนิ วางแผนการขุดหนองนา้ และการปรบั ปรงุ สภาพดนิ ให้เหมาะสม โดยนาที่ขดุ หนองมาทาโคก
ทาให้โคกอยู่ทางทิศตะวันตกและปลูกไม้ใหญ่ไว้บนโคก พร้อมปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง เม่ือต้นไม้
สงู ใหญจ่ ะช่วยบงั แดดและให้รม่ เงา
๔) น้า ขุดหนองน้า โดยดูทางไหลของน้าเข้าและออกจากพื้นที่ วางตาแหน่งหนองน้าในทิศที่ให้ลม

พดั
รอ้ นพดั ผ่าน จะทาให้บ้านร่มเยน็ ขดุ หนองให้มีขอบคดโค้งเพือ่ เพ่มิ พืน้ ที่เพาะปลูก และทาตะพักให้ลดหล่ันตาม
ระดับความสูง โดยช้ันแรกควรมีความสูงเท่ากับระดับของแสงแดด ที่ส่องลงไปถึงปลูกไม้น้าหรือพืชน้าเพื่อให้
ปลาสามารถวางไข่ อนุบาลสัตว์น้าและเป็นท่ีอยู่อาศัย การคานวณปริมาตรน้าให้มีการเก็บไว้ใช้ได้พอเพียง
ดังน้ี

ขนาดพื้นท(ี่ ไร่)X 1,600Xปริมาณน้าฝนเฉลีย่ ตอ่ ปี(ลบ.ม.) = ปรมิ าณนา้ ฝนที่ตกในพนื้ ที่
ตวั อยา่ งเชน่ พื้นท่ี 10 ไร่ (10X1,600X1.50=22,400 ลบ.ม.) อตั ราการระเหยเฉลยี่ 1 ซม.ต่อวัน
๕) คน ออกแบบใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการ ฐานะ และกาลังของเจา้ ของที่ดิน

กรณีศึกษาความสาเร็จ “โคก หนอง นา”โครงการพลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อขอแผ่นดิน ปี ๕
พ.ศ. ๒๕๖๐ จ.เชียงใหม่ โครงการฯ ในปีท่ี ๕ ได้ดาเนินงานเดินหน้าขยายผลจัดการ ดิน น้า ป่า อย่างยั่งยืน
ตามศาสตร์พระราชา ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทุกภาคส่วน ภายใต้แนวคิด “แตกตัวทั่วไทยเอามื้อ
สามัคคี” เพ่ือน้อมราลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช บรมนาถบพิตร ส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวความสาเร็จของผู้นาศาสตร์พระราชา
มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามสภาพภูมิสังคม เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ สู่การลงมือปฏิบัติพร้อมขยายผล
ความสาเร็จของโครงการฯ จากลุ่มน้าป่าสักสู่ลุ่มน้าอ่ืน ๆ อันจะนาไปสู่การแก้ปัญหา น้าท่วม น้าแล้ง อย่าง
ยั่งยืน การ “เอามื้อสามัคคี” หรือ “การลงแขก” ตามประเพณีดั้งเดิมของคนไทย ถูกนามาเป็นกลวิธีในการ
ขับเคลือ่ นเพื่อประสบความสามคั คีเชอื่ มโยงเครือข่ายต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน และขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือใน
การขยายเครือขา่ ยทีม่ ีประสทิ ธภิ าพอีกด้วย

การสรา้ งหุ่นจาลองการจัดการพ้นื ท่ตี ามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกตส์ ู่ “โคก หนอง นาโมเดล”
โคก-หนอง-นา โมเดล คือ การจัดการพืน้ ท่ีซงึ่ เหมาะกับพน้ื ท่ีการเกษตร ซ่ึงผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับ
ภูมิปัญญาพ้ืนบ้านท่ีอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพ้ืนท่ีนั้น ๆ โคก หนอง นา โมเดล เป็นการให้ธรรมชาติ
จดั การตวั มนั เองโดยมมี นษุ ยเ์ ป็นส่วนส่งเสรมิ ใหม้ นั สาเรจ็ เร็วข้ึนอยา่ งเป็นระบบ

โคก-หนอง-นำ โมเดล มอี งค์ประกอบดงั นี้

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง
กจิ กรรมย่อยที่ 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพน้ื ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

79

1. โคก : พนื้ ท่ีสูง
ดินท่ขี ดุ ทาหนองน้าน้ันให้นามาทาโคก บนโคกปลกู “ป่า ๓ อยา่ ง ประโยชน์ ๔ อยา่ ง”

ตามแนวทางพระราชดาริ ปลูกพืช ผักสวนครัว เล้ียงหมู เล้ียงไก่ เล้ียงปลา ทาให้พออยู่ พอกิน พอใช้ พอ
ร่มเย็น เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน ก่อนเข้าสู้ขั้นก้าวหน้า คือ ทาบุญ ทาทาน เก็บรักษา ค้าขาย และ
เชื่อมโยงเป็นเครอื ขา่ ย ปลกู ทีอ่ ยู่อาศัยใหส้ อดคล้องกบั สภาพภูมปิ ระเทศ และภมู ิอากาศ

2.หนอง : หนองน้าหรือแหลง่ นา้
ขุดหนองเพื่อกกั เก็บน้าไวใ้ ช้ยามหน้าแล้งหรือยามจาเป็น และเป็นท่รี บั นา้ ยามนา้ ทว่ ม

(หลมุ ขนมครก) ขดุ “คลองไส้ไก่” หรอื คลองระบายนา้ รอบพ้ืนทต่ี ามภูมิปญั ญาชาวบ้าน โดยขุดให้คด
เค้ียวไปตามพื้นท่ีเพ่ือให้น้ากระจายเต็มพื้นที่เพิ่มความชุ่มชื้น ลดพลังงานในการลดน้าต้นไม้ ทาฝายทดน้า
เพ่ือเก็บน้าเข้าไว้ในพ้ืนท่ีให้มากท่ีสุด โดยเฉพาะพื้นท่ีโดยรอบไม่มีการกักเก็บน้า น้าจะหลากลงมายังหนองน้า
และคลองไสไ้ ก่ ใหท้ าฝายทดน้าเกบ็ ไวใ้ ช้ยามหนา้ แลง้ พัฒนาแหล่งน้าในพื้นที่ ท้ังการขุดลอก หนอง คู คลอง
เพ่ือกกั เกบ็ นา้ ไวใ้ ชย้ ามหน้าแลง้
และเพมิ่ การระบายน้ายามนา้ หลาก

3. นา
พื้นทีน่ านน้ั ให้ปลกู ข้าวอนิ ทรีย์พ้ืนบา้ น โดยเร่ิมจากการฟน้ื ฟูดิน ด้วยการทาเกษตร

อินทรีย์ยั่งยืนคืนชีวิตเล็ก ๆ หรือจุลินทรีย์กลับคืนแผ่นดินใช้การควบคุมปริมาณน้าในนาเพ่ือคุมหญ้า ทาให้
ปลอดสารเคมีได้ปลอดภัยทั้งคนปลูก คนกิน ยกคันนาให้มีความสูงและกว้าง เพื่อใช้เป็นที่รับน้ายามน้าท่วม
ปลกู พืชอาหารตามคนั นา

หลังจากที่ได้รับความรู้ความเข้าใจในการออกแบบพ้ืนที่เชิงภูมิสังคมไทย ไปแล้ววิทยากรได้นาเข้าสู่
การฝึกปฏิบัติการสร้างหุ่นจาลองจัดการพ้ืนท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล โดยให้
แบ่งกลุ่มตามกลุ่มสี ให้แต่ละกลุ่มทราบข้อมูลพื้นที่ และโจทย์ของพ้ืนท่ีที่ต้องออกแบบ และร่วมการวาง
แผนการ
ออกแบบให้ตรงตามหลักการออกแบบที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว โดยร่างลงในกระดาษ A4 ก่อนแล้วจึงขยายเติม
รายละเอยี ดลงในแบบกระดาษฟลปิ ชารท์ อีกคร้งั เม่อื เสรจ็ แล้ว ใหท้ ุกกลมุ่ นาแบบที่ออกแบบไว้ในกระดาษ มา
สร้างเป็นหุ่นจาลอง โดยใช้ดินโคลนและวัสดุธรรมชาติมาประกอบเป็นสิ่งของ ในส่วนต่าง ๆ ประกอบขึ้นเป็น
โมเดล วิทยากรให้เวลาในการฝึกปฏิบัติตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 14.00 น. เป็นเวลาที่รวมอาหารว่างและ
อาหารกลางวันไว้เรยี บรอ้ ยแลว้ จากนนั้ ให้แตล่ ะกลมุ่ สง่ ตวั แทน นาเสนอผลงานหุ่นจาลอง เพื่อเสนอแนวคิดใน
การออกแบบ กลุ่มละประมาณ 10 นาที พรอ้ มกับการเติมเต็มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวิทยากรและผู้เข้ารับ
การอบรม เสรจ็ กิจกรรมเวลา 15.00 น.

การฝกึ ปฏบิ ตั ิการสร้างหนุ่ จาลองฯ ซ่ึงวทิ ยากรไดใ้ หโ้ จทย์พ้ืนที่ดงั นี้
1.พ้ืนทีอ่ อกแบบจานวน 5 ไร่
2.พ้นื ทีม่ คี วามลาดเอยี ง ไม่เสมอกนั ตา่ ๆ สูงๆ
3.ทางด้านทศิ เหนือพน้ื ทีอ่ ยตู่ ิดกบั ไร่อ้อยทใ่ี ช้สารเคมี
4.พ้นื ท่ีมปี รมิ าณน้าฝน เฉลี่ย 1,500 ลบม./ปี

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพนื้ ท่ี กิจกรรมย่อยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง

80
ภำพกำรฝึกปฏิบตั กิ ำรสรำ้ งห่นุ จำลอง กำรจดั กำรพนื้ ทีต่ ำมหลักทฤษฎีใหมป่ ระยกุ ต์สู่โคก หนอง นำ โมเดล
1. กำรออกแบบแปลง รุ่นที่ 1

2.กำรสร้ำงหุ่นจำลอง ร่นุ ที่ 1

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพฒั นาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพน้ื ที่ กิจกรรมย่อยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง

81

3. กำรออกแบบแปลงรุ่นท่ี 2
4.กำรสร้ำงหุ่นจำลอง รนุ่ ที่ 2

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพืน้ ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

82

5. กำรออกแบบแปลงรุ่นท่ี 3
6.กำรสร้ำงหุ่นจำลอง รนุ่ ที่ 3

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพืน้ ท่ี กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

83

7. กำรออกแบบแปลงรุน่ ที่ 4

8.กำรสรำ้ งห่นุ จำลอง รุ่นที่ 4

ผลจำกกำรเรียนรู้ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ ความเข้าใจ . หลักคิดพื้นฐานการออกแบบ
ภูมิสังคมไทย ดิน น้า ป่า คนสามารถนาความรู้ไปออกแบบพื้นท่ีของตนเองตามภูมิสังคมได้ รวมท้ังสามารถ
คานวณการจัดเก็บน้าในระดับไร่นา จานวนสัดส่วนพื้นท่ี ในการทาโคก หนอง นา ได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้ง
สามารถออกแบบจาลองในการทา โคก หนอง นา โมเดล ได้อยากถูกต้องละเอียด สวยงาม สมบูรณ์แบบ
สังเกตได้จากชิ้นงานการออกแบบ จาลองโคก หนอง นา โมเดล บนโต๊ะทราย ทุกคน ให้ความร่วมมือ มุ่งมั่น

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยที่ 1 สร้างและพัฒนากลไกในระดับพ้ืนท่ี กจิ กรรมย่อยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บา้ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง

84
ตัง้ ใจ ในการออกแบบโมเดล ของจังหวัดตนเอง ทาให้เห็นถึงการทางานเป็นทีม ความรับผิดชอบ การวางแผน
ในการทางาน รวมถึงความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ของทีมงานสามารถนาไปเป็นแบบอย่างในการออกแบบ โค
หนอง นา โมเดลของตนเองได้

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหม่บู า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง
กิจกรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ กิจกรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง

85

กจิ กรรม Team Building
ฝึกปฏบิ ัตกิ ำรบริหำรจัดกำร ในภำวะวิกฤต หำอยหู่ ำกนิ

1. วทิ ยำกร นายอนสุ รณ์ กาญจนวณิชย์ นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ
จ.ส.อ.ภธั ภาม ทองมสี ทิ ธ์ิ เจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษาชานาญงาน
นายวิเชษฐ์ เพชรรตั น์ พนกั งานราชการท่ัวไป(นักทรัพยากรบคุ คล)

2. วตั ถปุ ระสงค์
1) เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเข้าใจการพ่ึงตนเองและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดให้เกิด

ประโยชนส์ งู สดุ ในการดารงชีวติ
2) เพอ่ื ให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมรู้จกั การดารงชีวิตในภาววิกฤติ/การประสบภัยพิบัติ
3) เพ่อื ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการฝึกอบรมรจู้ กั การวางแผนการทางานเป็นทีม ได้ฝกึ วินยั และคุณธรรม
4) การพ่งึ พาตนเอง และการใช้ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ีมอี ย่อู ย่างจากัดใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด
5) เพอ่ื เสรมิ สรา้ งปฏสิ ัมพนั ธ์ การทางานเปน็

3. ระยะเวลำ 2 ชั่วโมง

4. ประเดน็ เนอ้ื หำวชิ ำ
1) จาลองสถานการณ์ เกิดภาวะวิกฤต และต้องพึ่งตนเองและการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดให้

เกิดประโยชนส์ ูงสุดในการดารงชีวติ
2) สรา้ งปฏสิ ัมพันธ์ ในการทางานเปน็ ท่ี มอบหมายภาระกิจใหส้ มาชิกกลมุ่
3) ดาเนินกจิ กรรมในหน้าทข่ี องตนเอง จนสามารถทาอาหารควาหวาน และบริหารจัดการสมาชิกของ

ตนเองได้

5. เทคนคิ /วิธกี ำร
1) การสรา้ งบรรยายชแ้ี จงรายละเอยี ดจาลองสถานการณ์ เกิดภาวะวิกฤต และต้องพ่ึงตนเองและการ

ใชท้ รพั ยากรทมี่ อี ยอู่ ยา่ งจากัดให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ในการดารงชวี ิต
2) มอบภาชนะหุงหาอาหาร ภายในบริเวณท่ีกาหนด
3) ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มดาเนนิ การ
4) เครืองปรุงรส ทไ่ี ม่สามารถหาได้ ให้แสดงความสามารถของตนเอง เพ่ือการแลกเปลี่ยน เครืองปรุง

รส โดยแตล่ ะกลมุ่ สีอาจมีเทคนิคทีแ่ ตกตา่ งกนั อาจจะรอ้ งเพลง เต้นรา เป็นทมี อย่างสนุกสนาน
5) เม่ือแต่ละกลุ่มได้ทาอาหารแล้ว มีการประกวด อาหาร โดยมี คณะกรรมการทีมวิทยากร และ

สมาชิกกลุ่มของแต่ละกลุ่ม 1 ท่าน เป็นกรรมการตัวแทน โดยมีเกณฑ์ ตัดสิน เมนูอาหาร อร่อย สร้างสรรค์
รสชาตอิ ร่อย ใชท้ รัพยากรใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ และความสามคั คี ทางานเปน็ ทมี

6. สรุปผลกำรดำเนินกำรได้ ดงั น้ี
ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมรับอปุ กรณ์จากทมี วิทยากร กล่มุ ละ 1 ชุด และรวมกลุ่มตามสถานที่ของแต่ะกลุ่ม

ผู้ใหญบ่ ้านของแต่ละกลมุ่ ไดม้ อบหมายใหส้ มาชิกใหท้ าหนา้ ทขี่ องตนตามทีไ่ ด้มอบหมาย คือ

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง
กิจกรรมย่อยท่ี 1 สร้างและพฒั นากลไกในระดับพนื้ ท่ี กิจกรรมยอ่ ยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

86

1) ทีมหาผกั มาประกอบอาหาร 3-4 คน

2) ทีมหุงข้าว ปลงุ อาหาร

3) ทมี นากิจกรรมแลกอาหาร

เม่ือได้ วตั ถุดิบทีต่ อ้ งการในแตล่ ะกลุ่ม ได้รว่ มทีมทาอาหารเมนูต่างๆ พร้อมนาเสนอกบคณะกรรมการ

และร่วมรับประทานอาหารที่ผู้เข้าอบรมได้ทาเอง และวิทยากร ประกาศผู้ได้คะแนนอันดับ 1 และรองอันดับ

1หลังจากนั้นให้ผู้เข้าอบรมสรุปส่ิงที่ได้จากการทากิจกรรม Team Building ฝึกปฏิบัติการบริหารจัดการ ใน

ภาวะวิกฤต หาอยูห่ ากิน ดงั น้ี

1.ได้ความรกั ความสามัคคี เสียสละ 2.ไดด้ ารงชีวติ เพอ่ื การอยรู่ อด

3. ได้แสดงความคดิ เหน็ ร่วมกนั 4. ได้ความคดิ สร้างสรรค์

5. ไดค้ วามสนกุ สนาน มีนา้ หนงึ่ ใจเดยี วกนั 6. ได้ประยุกตใ์ ช้วสั ดุ ทรัพยากรที่ใกล้ตัวทม่ี อี ยู่

7. ได้กนิ อิ่มรว่ มกัน ได้ช่วยกนั สร้างสรรคเ์ มนูใหม่ๆ 8. ไดค้ วามร้คู วามเข้าใจวา่ เงินทองเป็นของมายา

ข้าวปลาซขิ องจริง

9. ไดเ้ รียนรูก้ ารอยู่รอดในยามภยั พิบตั ิ 10. การเออ้ื เฟื่อแบ่งปนั แลกเปลยี่ น

12. รู้รักสามคั คี 13. การแบ่งหนา้ ที่

14. ร้จู กั เพมิ่ ว่าผักทที่ านได้ ท่ที านไม่ได้

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพฒั นาหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง
กจิ กรรมยอ่ ยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนที่ กจิ กรรมย่อยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง

87

วชิ ำ กำรขับเคลื่อนสบื สำนศำสตร์พระรำชำ กลไก
357

1. วทิ ยำกร รุ่นท่ี 1 นายธรรมนูญ ไขวพ้ นั ธ์ุ ตาแหน่ง ผอู้ านวยการศูนย์ศกึ ษาและพฒั นาชุมชนเพชรบรุ ี
รุ่นที่ 2 – 4 นายธรรมนญู ไขวพ้ ันธ์ุ ตาแหนง่ พัฒนาการจงั หวัดเพชรบรุ ี

2.วตั ถปุ ระสงค์
1) เพอื่ ใหผ้ ู้เข้ารับการประชุมได้รบั ทราบ ตระหนักรู้และเข้าใจความหมายท่ีแท้จริงของการขับเคล่ือน

ศาสตรพ์ ระราชา ด้วยหลกั กลไก 357
2) เพ่ือใหผ้ ู้เขา้ รบั การประชมุ ได้มองเห็นถงึ การเช่อื มโยงการขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาด้วยหลักกลไก

357 กบั การขับเคล่อื นงานกรมการพัฒนาชมุ ชน

3.ระยะเวลำ 1 ชั่วโมง

4.ประเดน็ เนอ้ื หำวชิ ำ
1) กลไกการขบั เคลอื่ นสืบสานศาสตร์พระราชากลไก 357
2) ทฤษฎใี หมก่ วา่ 40 ทฤษฎีตามศาสตรพ์ ระราชา
3) แนวทางในการปฏบิ ตั ใิ นการใชช้ วี ิต ในการทางานตามศาสตรพ์ ระราชา
4) การบรหิ ารแบบคนจน การทางานแบบคนจน

5.เทคนคิ /วธิ กี ำร
1) การบรรยาย
2) การตง้ั คาถาม เพอ่ื การแลกเปลยี่ นประสบการณ์
3) เตมิ เต็มให้ขอ้ คดิ และขอ้ เสนอแนะ

6. สรุปผลกำรดำเนนิ กำรได้ ดังนี้

จากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรม

นาถบพิตร (รัชกาลที่ 9 ) ในการสืบสานต่อยอดศาสตร์พระราชา เพ่ือสร้างความอยู่ดีมีสุขแก่ประชาชน

พระองค์ทรงเร่ิมต้น ปลุกจิตอาสาท่ีมีอยู่ในใจของคนไทยทุกคน มาเป็นแรงขับเคลื่อน ซ่ึงการที่ทุกคนจะ

รว่ มกันขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา เพ่ือให้บบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน จะต้องมีวิธีคิดแบบองค์รวมทา

อย่างเปน็ ระบบ ขับเคล่อื น การดาเนินงานไปพรอ้ ม ๆ กนั อยา่ งเป็นแบบแผนไม่แตกแยกไปคนละ

ทิศละทาง

กำรขบั เคล่อื นสืบสำนศำสตรพ์ ระรำชำ เพ่อื กำรปฏริ ปู ประเทศ 357
3 ระดับ 5 กลไก 7 ภำคี กุญแจสาคัญของการขับเคล่ือนสืบสานศาสตร์พระราชา หลักการ
ขับเคล่ือน สืบสานศาสตร์พระราชาให้ยั่งยืน ซ่ึงเป็นการพัฒนาท่ีมีประชาชนเป็นแกนกลาง และภาคีอ่ืน ๆ
ร่วมบรู ณาการเพอ่ื เสริมกลไกเดิมของภาครัฐที่มีอยู่ เป็นการขับเคลื่อนในพื้นท่ี 3 ระดับ เป็นอย่างน้อย ระดับ
ชมุ ชนหรอื ลมุ่ นา้ ระดบั จงั หวัดหรือภูมภิ าค และระดบั ชาติ ภายใตก้ ารมรสว่ นร่วมของ 5 กลไก ท่ีจะช่วยหนุน
เสริมงานขับเคล่ือน สืบสานศาสตร์พระราชา ประกอบด้วย กลไกการประสานงานภาคีเครือข่าย กลไก
แผนงานและยทุ ธศาสตร์เชงิ บรู ณาการ กลไกการตดิ ตามและประเมินผล กลไกการจัดการความรู้ อันเป็นองค์

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกจิ พอเพียง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพ้ืนท่ี กิจกรรมย่อยที่ 1.1 สร้างแกนนาหมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง

88
ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติที่ต้องนามาจัดทาเป็นตาราหรือคู่มือเฉพาะในแต่ละพ้ืนท่ี และกลไกการสืบสาร
สังคมให้รับรู้ ร่วมด้วย การบูรณาการของ 7 ภาคี คือ ภาครัฐ ท่ีให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ กฎหมาย
รวมถึงเครื่องมือต่าง ๆ ภาควิชาการและสถาบันการศึกษา ภาคสาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาค
ประชาสังคม และภาคส่ือมวลชน

ระบบ 3-5-7 นี้ จะช่วยหนุนเสริมในการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาบรรลุเป้าหมายความ
ยั่งยืนของโลกได้ทั้ง 17 ข้อ ซ่ึงในความเป็นจริงแล้ว แม้ส่ิงที่ในหลวงรัชกาลท่ี ๙ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีย
กจิ มาตลอดระยะเวลา 70 ปี ของการครองราชย์ แตพ่ ระองค์ทรงเน้นที่ ข้อ 2 เป็นหลัก ในเรื่องการขจัดความ
อดยากและสรา้ งความม่ันคงทางอาหาร

เอกสารรายงานผลการฝกึ อบรมโครงการพัฒนาหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สรา้ งแกนนาหมบู่ ้านเศรษฐกิจพอเพียง

89

ทฤษฎีตำมศำสตรพ์ ระรำชำ อาทิ
1. แกล้งดิน เป็นการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด โดยมีการขังน้าไว้ในพ้ืนที่ จนกระท้ัง

เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมที าให้ดินเปรย้ี วจนถึงที่สุด แลว้ จงึ ระบายนา้ ออกและปรับสถาพฟ้นื ฟดู นิ ด้วยปูนขาว จนกระท่ัง
ดินมีสภาพดพี อทีจ่ ะใช้ในการเพราะปลกู ได้

2. หญ้ำแฝก เป็นต้นหญา้ ทีช่ ว่ ยแกป้ ัญหาเรอ่ื งหน้าดนิ ถูกชะล้าง และมปี ระโยชน์มากมายในการ
บารงุ ดินและนา้

3. กำรห่มดินหรือคลุมดิน โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ท่ีสามารถย่อยสลาบได้เองตาม
ธรรมชาติ และใส่อาหารให้แก่ดิน โดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพ่ือให้อาหารแก่ดิน แล้วดินจะ
ปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์เรียกหลักการน้ีว่า “เล้ียงดิน ให้ดิน
เลี้ยงพชื ”

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมยอ่ ยที่ 1 สรา้ งและพัฒนากลไกในระดับพ้ืนท่ี กิจกรรมยอ่ ยท่ี 1.1 สร้างแกนนาหมบู่ า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง

90

4. ดินเส่ือมโทรม (ดินดำน) ผลมาจากการชะล้างดินโดยน้าหรือลม ดินเค็ม ดินชุมน้าการที่พืชดูด
เอาธาตุอาหารจากดินไปใช้ในการเจริญเติบโตแล้วตัด หรือเก็บเกี่ยวออกไป การสูญเสียโครงสร้างท่ีดีของดิน
พื้นที่ทิ้งร่าง ที่ปล่อยว่างืเปล่าไว้ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดมลภาวะแก่สิ่งแวดล้อมเป็นจานวนมาก และ
ยังสง่ ผลตอ่ อุตสาหกรรมและพาณชิ ย์กถ็ ูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน อาทิ การเกิดน้าท่วม เป็น
ต้น

ดินคุณภาพต่า (สารเคมี) การใช้สารเคมีฆ่าศัตรูพืช และน้าทิ้งจากชุมชน ทาให้ดินเป็นแหล่ง
สะสมสารเคมี ท่ีมีผลตกค้างนาน เช่นสารประเภทคลอรีนอินทรีย์ เป็นต้น สารกาจัดศัตรูพืชประเภทอนินทรีย์
มักจะใช้ธาตพุ ษิ เป็นองคป์ ระกอบหลกั เช่นสารหนู ทองแดง ปรอท ฯลฯ ซ่ึงเป็นธาตุที่อยู่ในรูปของสารพิษในดินได้
นาน

การใช้ป๋ยุ เคมี และการไถพรวนท่ไี ม่เหมาะสม เป็นการแพรก่ ระจ่ายธาตปุ ุ๋ยและอนุภาคแขวนลอย
สู่แหล่งน้า ซ่ึงจะชะล้างพังทะลายของดินจากการใช้ดินที่ไม่เหมาะสม เช่น การทาเหมืองเปิด การปลูกพืช
ท่ขี าดสิ่งปกคลุมผวิ หนา้ ดนิ ฯลฯ

5. บำรุงดิน เป็นการปรับปรุงบารุงดินให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะในการปลูกพืชให้
เจริญเตบิ โต และใหผ้ ลผลติ ดีอย่างย่ังยนื

1. การปรบั ปรุงบารงุ ดนิ ดว้ ยแร่ธาตุ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
- กลุ่มท่ี 1 ปุ๋ยแร่ธาตุที่ได้จากหินและแร่ธรรมชาติ คือ หินฟอสเฟต และแร่ซิลไวท์

เชน่ ปุ๋ยโพแทศเซียม ฯลฯ
- กลุ่มท่ี 2 ปุ๋ยแรธ่ าตุท่ีได้จากการผลติ โดยวิธีการเคมี เช่น ปยุ๋ แอมโมเนียมซัลเฟต ปุ๋ยท

รปิ เป้ลิ ซเู ปอร์ฟอสเฟต ฯลฯ
2.การปรบั ปรุงบารุงดนิ ด้วยปุย๋ อนิ ทรยี ์ ไดแ้ ก่ ปุ๋ยหมกั ปยุ๋ คอก และปยุ๋ พชื สด
2.1 ปุย๋ หมัก ใช้เพื่อเพิ่มหรือยกระดับปริมาณอินทรยี วัตถุในดิน
2.2 ป๋ยุ คอก ใช้เพ่ือปรบั ปรุงโครงสร้างของดินให้เหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื
2.3 ป๋ยุ พชื สด ไดจ้ ากการไถกลบพืชปุ๋ยสดในขณะที่ยังเขียวสดอยู่ลงเดินนิยมไถกลบ

ในช่วงออกดอกเพ่ือให้ได้ปริมาณน้าหนักสดและธาตุอาหารสูง ปล่อยท้ิงไว้ให้ย่อยสลายระยะเวลา 7 - 14 วันจะให้ธาตุ
อาหารและอนิ ทรียว์ ัตถแุ กด่ ิน จงึ ทาการปลูกพืชหลักท่ีต้องการ พืชสดที่นิยมปลูก ได้แก่ พืชตระกลูถ่ัวชนิดต่าง
ๆ เช่น ปอเทอื ง ถัว่ พร้า ถัว่ พุ่ม ถั่วมะแฮะ ฯลฯ

เอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาหม่บู ้านเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กจิ กรรมย่อยท่ี 1 สรา้ งและพฒั นากลไกในระดับพืน้ ท่ี กิจกรรมย่อยที่ 1.1 สรา้ งแกนนาหม่บู า้ นเศรษฐกิจพอเพยี ง


Click to View FlipBook Version