สรุป 10 บท
จิตวิทยาสำหรับครู
เรื่อง สรุป 10 บทจิตวิทยาสำหรับครู
จัดทำโดย
นางสาวซูลยานี ลูดิง
รหัสนักศึกษา 6406510130
สาขาภาษาไทย ห้อง 5
เสนอ
อาจารย์ เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพชร
รายวิชา 600-106 จิตวิทยาสำหรับครู
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
บทที่1
ความหมาย วัตถุประสงค์ ขอบข่าย
ของจิตวิทยา และประโยชน์สำหรับครู
ความหมายของจิตวิทยา
จิตวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม หรือกิริยาอาการของมนุษย์
รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้างหรือตัวแปรใดบ้าง ในสถานการณ์
ใดที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำให้
สามารถคาดคะเน หรือพยากรณ์ได้โดยใช้แนวทางหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์
เป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์จิตวิทยา (อังกฤษ: psychology) คือ ศาสตร์
ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (กระบวนการของจิต) , กระบวนความคิด, และ
พฤติกรรม ของมนุษย์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยา
ศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ,
พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมาย
รวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้น
ในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว, ระบบการศึกษา, การ
จ้างงานเป็นต้น
จุดมุ่งหมายของจิตวิทยาการศึกษา
จุดมุ่งหมายของการเรียนจิตวิทยาการศึกษา คือ เพื่อให้
เข้าใจ (Understanding) เพื่อการทำนาย (Prediction) และเพื่อ
ควบคุม (Control) พฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์
ต่างๆ กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์(Goodwill & Cross Mier,1975) ได้
กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการเรียนจิตวิทยา ไว้ดังนี้
1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทั้งด้าน
ทฤษฎี หลักการและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้ง
เด็กและผู้ใหญ่
2.เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ และตัวผู้เรียนให้แก่ครู
และผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียน
การสอน
3.เพื่อให้ครูสอนสามารถนำเทคนิคและวิธีการการเรียนรู้ไป
ใช้ในการเรียนการสอน การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน ตลอดจน
สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ขอบข่ายของจิตวิทยาการศึกษา
1.จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วไป
ของมนุษย์การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ประสาทสัมผัส
เป็นต้น จิตวิทยาสาขาพื้นฐานของการเรียนจิตวิทยาสาขาอื่นต่อไป
2.จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับ
ลำดับขั้นตอนของพัฒนาการเจริญเติบโตในแต่ละวัยต่างๆ ของมนุษย์ ตั้งแต่
ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา
3.จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความ
สัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มสังคม ปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลที่อยู่
รวมกัน เจตคติและความคิดเห็นของกลุ่มชน
4.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) ศึกษาเกี่ยวกับ
ระบบประสาทและพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง
5.จิตวิทยาการแนะแนว(Guidance Psychology) นักจิตวิทยาแนะแนว
ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้แนวทาง และให้คำปรึกษาสถานศึกษากับนักเรียน
นักศึกษา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านการปรับตัว ปัญหาการเรียน และ
ปัญหาส่วนตัวอื่นๆ
6.จิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) นักจิตวิทยาคลินิกทำงานใน
โรงพยาบาลที่มีคนไข้โรคจิต สถาบันเลี้ยงเด็กปัญญาอ่อน หรืออาจเปิดเป็น
คลินิกส่วนตัวก็ได้
7.จิตวิทยาประยุกต์ (Applied Psychology) เป็นการนำหลักการทาง
จิตวิทยามาใช้ประโยชน์ในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม การ
แพทย์ การทหาร เป็นต้น
8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับ
ประสิทธิภาพในการทำงาน ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการทำงาน แรรง
จูงใจในการทำงาน การคัดเลือกคนงาน การประเมินผลงาน
9.จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับ
งานด้านการเรียนการสอน การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นวิชาที่สำคัญสำหรับครูและ
นักการศึกษา
10.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) มีการศึกษาโดย
การทดลองกับมนุษย์และสัตว์ทั้งในสภาพแวดล้อมทั่วไปและในห้องปฏิบัติการ
วิธีการศึกษาส่วนใหญ่ใช้การสังเกต
ประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษามีประโยชน์สำหรับบุคคลทุกวัยไม่เฉพาะครูผู้สอน
เช่น ผู้บริหารการศึกษา นักแนะแนว ศึกษานิเทศก์ หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ
รวมทั้งบิดา มารดา ผู้ปกครอง ในด้านต่างๆ ต่อไปนี้
1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถ
นำความรู้ที่ได้มาจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับ
ธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย
2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธี
การวัดและประเมินผลการศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้จัดการ
เรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนาน ด้วยบรรยากาศของ
ความเข้าใจ การให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน
4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก ทำให้ปกครอง
เด็กง่ายขึ้นและสามารถทำงานกับเด็กได้อย่างราบรื่น
5.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก
ได้อย่างเหมาะสม
6.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลักสูตร อุปกรณ์
การสอนและการบริหารงานได้เหมาะสม
7.ช่วยให้ผู้เรียนเข้ากับสังคมได้ดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี
บทที่2
พฤติกรรมของมนุษย์
พฤติกรรม
พฤติกรรม หมายถึง กิริยาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือที่มนุษย์ได้
แสดง หรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เมื่อได้เผชิญกับสิ่งเร้า พฤติกรรมต่าง ๆ ที่
กล่าวมาแล้ว อาจจะจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1. พฤติกรรมที่ไม่สามารถควบคุมได้ เรียกว่า เป็นปฏิกิริยาสะท้อน เช่น การสะดุ้ง
เมื่อถูกเข็มแทง การกระพริบตา เมื่อมีสิ่งมากระทบกับสายตา ฯลฯ
2. พฤติกรรมที่สามารถควบคุมและจัดระเบียบได้ เนื่องจากมนุษย์มีสติปัญญา และ
อารมณ์ (EMOTION) เมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบ สติปัญญาหรือารมณ์ จะเป็นตัวตัดสินว่า
ควรจะปล่อยกิริยาใดออกไป
ถ้าสติปัญญาควบคุมการปล่อยกิริยา เราเรียกว่าเป็นการกระทำตามความคิด
หรือ ทำด้วยสมอง แต่ถ้าอารมณ์ควบคุมเรียกว่า เป็นการทำตามอารมณ์ หรือปล่อย
ตามใจ นักจิตวิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่า อารมณ์มอิทธิพลหรือพลังมากกว่าสติปัญญา
ทั้งนี้เพราะมนุษย์ทุกคนยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้พฤติกรรมส่วน
ใหญ่เป็นไปตามความรู้สึกและอารมณ์เป็นพื้นฐาน
รูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์ แบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ
1. พฤติกรรมเปิดเผยหรือพฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior)
เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมา ทำให้ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้
สังเกตได้ เช่น การเดิน การหัวเราะ การพูด ฯลฯ
2. พฤติกรรมปกปิดหรือพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior)
เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงแล้ว แต่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สังเกต
ได้โดยตรงจนกว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้บอกหรือแสดงบางอย่างเพื่อให้คนอื่น
รับรู้ได้ เช่น ความคิด อารมณ์ การรับรู้
ประเภทของพฤติกรรมมนุษย์
นักจิตวิทยาแบ่งพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน
ได้แก่ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (REFLECT ACTION) เช่นการกระพริบตา
และสัญชาตญาณ (INSTINCT) เช่นความกลัว การเอาตัวรอดเป็นต้น
2. พฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมที่เกิดจาก
การ ที่บุคคลติดต่อสังสรรค์และมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม
แบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะคือ
1. การปรับเปลี่ยนทางด้านของสรีระร่างกาย เช่น การปรับปรุงบุคลิกภาพ
การแต่งกาย การพูด
2. การปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ให้มีความ
สัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น ปรับอารมณ์ความรู้สึก ให้สอดคล้องกับบุคคอื่น
รู้จักการยอมรับผิด
3. การปรับเปลี่ยนทางด้านสติปัญญา เช่น การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้มีความรู้
ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ การมีความคิดเห็นคล้อยตามความคิดเห็นของคนส่วน
ใหญ่
4. การปรับเปลี่ยนอุดมคติ หมายถึง การสามารถปรับเปลี่ยนหลักการ
แนวทางบางส่วนบางตอนเพื่อให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้ โดยพิจารณาจาก
ความจำเป็น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เป็นประโยชน์
แก่ตนเอง เพื่อสวัสดิภาพของตนเองและของกลุ่ม
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันภายในตัวมนุษย์
แรงผลักดันที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมาก็คือ ความต้องการ ซึ่ง
ความต้องการนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความต้องการทางร่างกาย
และความต้องการทางจิตใจ
1.1 ความต้องการทางด้านร่างกาย เป็นแรงผลักดันที่อยู่ในระดับพื้นฐานที่สุด
แต่มีพลังอำนาจสูงสุด เพราะเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอด มนุษย์จะ
ต่อสู้ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จะมาบำบัดความต้องการทางร่างกาย
ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นทั้งทางที่ดีที่ถูกต้องหรือทางที่
ไม่ถูกต้องก็ได้
การตอบสนองความต้องการทางร่างกาย อันทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมออกมา
นั้น สามารถกระทำได้ 2 ระดับ คือ
1.1.1 กิริยาสะท้อน เป็นการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นไปได้โดย
ธรรมชาติ เช่น เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ร่างกายก็จะขับเหงื่อออกมา
เป็นการลดอุณหภูมิให้อยู่ในระดับพอเหมาะ
1.1.2 พฤติกรรมเจตนา เป็นการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ต่อสิ่งเร้าโดยความ
ตั้งใจหรือความพอใจของตนเอง เช่น เมื่อรู้สึกตัวว่าร้อนก็จะไปอาบน้ำ หรือ
เปิดพัดลม เป็นต้น
1.2 ความต้องการทางจิตใจ เป็นแรงผลักดันที่อยู่ในระดับสูงขึ้นกว่าความ
ต้องการทางร่างกาย แต่มีพลังอำนาจน้อยกว่า เพราะความต้องการทางจิตใจนี้
ไม่ใช่ความต้องการที่เป็นความตายของชีวิต จะเป็นความต้องการที่มาช่วยสร้าง
เสริมให้ชีวิตมีความสุขความสบายยิ่งขึ้นเท่านั้น
มีนักจิตวิทยาหลายคนได้อธิบายถึงแรงผลักดัน
ภายในร่างกาย อันมีผลทำให้มนุษย์แสดง
พฤติกรรมต่างๆ ดังนี้
1. ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นัก
จิตวิทยาชาวออสเตรีย ได้วิเคราะห์จิตมนุษย์
ออกเป็นองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้
(Ego) และซุปเปอร์อีโก้ (Super Ego) ส่วน
ทั้งสามนี้ประกอบเป็นโครงสร้างทางจิต
(ศรีราชา เจริญพานิช, 2526 : 13)
2. อับราฮัม มาสโลว์ (Abrahum Maslow) เป็นนักจิตวิทยาในกลุ่มมนุษยนิยม
(Humanism) ซึ่งนักจิตวิทยากลุ่มนี้ มีความเชื่อว่า มนุษย์มิใช่ทาสของแรงผลัก
ดันต่างๆ เช่น ความหิวกระหายเท่านั้น แต่มนุษย์ยังเกิดมาพร้อมศักยภาพของ
ความเป็นมนุษย์ต่างๆ เช่น ความอยากรู้ ความสร้างสรรค์ และความต้องการที่จะ
พัฒนาตนเองจนเต็มขีดความสามารถ มาสโลว์ได้เน้นให้เห็นถึงความต้องการ
ให้แต่ละคน ในการพัฒนาศักยภาพของตนให้เป็นจริงขึ้นมามากเป็นพิเศษ
บทที่3
พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์ (Human Development) หมายถึง การ
เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ในทางที่พึงปรารถนาทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลง ทางด้านร่างกาย อารมณ์ ทางสังคม และทางสติปัญญา
ซึ่งจะเกิดติดต่อกันไปเรื่อย ๆ จากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง
จุดมุ่งหมายของการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์
1. เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ ในการที่จะเข้าใจลักษณะของพัฒนาการใน
ระยะเวลาต่างๆว่าเป็นอย่างไร และจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขและเข้าใจปัญหาที่
เกิดขึ้น ตามความเหมาะสมของแต่ละอายุ เช่น ประสบการณ์ในชีวิต การได้มี
โอกาสพบปะพูดคุยกับบุคคลต่างๆ
2. เพื่อให้สามารปรับตัว ให้เข้ากับความยากลำบากของการพัฒนาการใน
แต่ละช่วงอายุว่ามีความแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี คือ ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้
รับตจะเป็นตัวหล่อหลอมให้บุคคลนั้นมีบุคลิกภาพและความเป็นเอกลักษณ์เป็น
ของตนเองและจะไม่เหมือนบุคคลอื่น ซึ่งจัดว่าการที่บุคคลมีการยอมรับและเข้าใจ
ตนเอง (Self actualization) นั้นย่อมมีความแตกต่างกัน
ระยะพัฒนาการ
พัฒนาการของมนุษย์แบ่งตามช่วงอายุได้เป็น 8 ระยะ ดังนี้
(สุชา จันทน์เอม, 2536, น. 2-3)
1. ระยะก่อนเกิด (Prenatal stage) คือตั้งแต่
เริ่ม ปฏิสนธิจนถึงระยะคลอด
2. วัยทารก เริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ปี
3. วัยเด็ก เริ่มตั้งแต่อายุ 2 – 12 ปี
4. วัยย่างเข้าสู่วัยรุ่น ปกติหญิงเฉลี่ยมีอายุ 12 ปี
ชายเฉลี่ยมีอายุ 14 ปี
5. วัยรุ่น ตั้งแต่อายุ 14 – 21 ปี
6. วัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่อายุ 21 – 40 ปี
7. วัยกลางคน ตั้งแต่อายุ 40 – 60 ปี
8. วัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป
ระยะก่อนเกิด (Prenatal stage)
คือตั้งแต่เริ่มปฏิส
นธิจนถึงระยะคลอด
พัฒนาการในระหว่างการตั้งครรภ์แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
(ทิพย์ภา เชษฐ์เชาวลิต, 2541, น. 26-30 ; สุชา จันทน์เอม, 2540, น.
50-57)
1. ระยะไซโกตหรือระยะที่ไข่ผสมแล้ว (period of the
zygote or ovum) นับเริ่มตั้งแต่การปฏิสนธิจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ปกติการ
ฝังตัวจะเกิดขึ้นภายใน 10 วันนับตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ
2. ระยะตัวอ่อน (the embryo) เริ่มตั้งแต่ zygote เคลื่อนตัวมา
เกาะที่ผนังมดลูก ประมาณสัปดาห์ที่ 2 จนกระทั่งถึงสัปดาห์ที่ 8 ระยะนี้ถือ
เป็นระยะสำคัญที่สุดของทารกในครรภ์ ตัวอ่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็วและชัดเจน อวัยวะและระบบการทำงานในร่างกายจะพัฒนาขึ้น
เช่น ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และอวัยวะต่างๆ
สุขภาพของมารดาขณะตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในระยะนี้
3. ระยะชีวิตใหม่หรือระยะที่เป็นตัวเด็ก (fetus period) เริ่ม
ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 8 จนกระทั่งคลอด ระยะนี้เป็นระยะที่เปลี่ยนจากตัวอ่อน
(embryo) มาเป็นทารก (fetus) มารดาจะรู้สึกว่ามีทารกอยู่ในครรภ์
โดยจะเริ่มรู้สึกว่าทารกมีการเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ 16 เป็นระยะที่ใช้
เวลานานที่สุด สัดส่วนโครงสร้างของร่างกาย อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของ
ร่างกายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การเจริญเติบโตจะเป็นไปอย่างรวดเร็วประมาณ
20 เท่าของตอนเป็นตัวอ่อน
วัยทารก
เริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ปี
วัยทารกเป็นวัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางรากฐานของชีวิต วัย
นี้เริ่มตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดาจนถึงประมาณ 2 ปีแรกของชีวิต
หลังจากที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว ทารกจะต้องปรับตัวให้เข้า
กับสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อจะได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ นอกจากการ
ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งในวัยทารก
คือ บุคคลรอบข้างของเด็ก ได้แก่ มารดาหรือผู้เลี้ยงดู ซึ่งดูแลให้อาหาร
ให้ความรักความอบอุ่น สัมผัสอุ้มชูด้วยความรัก
พัฒนาการด้านร่างกาย วัยทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างของร่างกายและการ
รู้จักใช้อวัยวะต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทางการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส ทารกที่
อยู่ในช่วงนี้จึง ไม่ค่อยจะอยู่นิ่งชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม
พัฒนาการทางสติปัญญา สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสติปัญญาในวัยนี้ ได้แก่ โอกาสที่
เด็กจะได้เล่นเพราะการเล่นเป็นการส่งเสริมความเข้าใจสิ่งแวดล้อม ความสามารถที่จะเข้าใจ
ภาษาและใช้ภาษาที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจ พัฒนาการของกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส เพราะระยะนี้
เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ
พัฒนาการทางอารมณ์ อารมณ์ของเด็กในวัยนี้จะเปลี่ยนแปลงง่ายรวดเร็วขึ้นอยู่กับสิ่งเร้า
อารมณ์โกรธมีมากกว่าอารมณ์อื่นๆ เพราะเป็นระยะที่เด็กพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง
พัฒนาการทางสังคม หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ตั้งแต่
บิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดู ขยายออกไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว บุคคลอื่นๆ ในชุมชน ใน
โรงเรียนและในสังคม
พัฒนาการทางภาษา ทารกแรกเกิดใช้การร้องไห้การทำเสียงที่ยังไม่เป็นภาษาเป็นเครื่อง
สื่อความหมาย การฝึกในการพูดภาษาของเด็กอาศัยการเรียนรู้และการเลียนแบบ
วัยย่างเข้าสู่วัยรุ่น
ปกติหญิงเฉลี่ยมีอายุ 12
ปี ชายเฉลี่ยมีอายุ 14 ปี
พัฒนาการทางร่างกาย เจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์(Maturation) เพื่อ
ทำหน้าที่อย่างเต็มที่โครงสร้างกระดูกแข็งแรงขึ้น การผลิตเซลล์สืบพันธุ์ในเด็ก
ชาย การมีประจำเดือนของเด็กหญิงสุขภาพโดยทั่วไปของเด็กในวัยนี้ดีกว่าวัยที่
ผ่านมา
พัฒนาการทางสังคม เด็กให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมวัยมากกว่าในระยะ
เด็กตอนปลาย และผูกพันกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น กลุ่มของเด็กไม่มีเฉพาะเพื่อน
เพศเดียวกันเท่านั้นแต่เริ่มมีเพื่อนต่างเพศ ระยะนี้จึงเริ่มต้นชีวิตกลุ่มที่แท้จริง
(Gang Age) ส่วนสัมพันธภาพระหว่างเด็กชายเด็กหญิงเปลี่ยนไปจากวัยเด็กต้อน
ปลาย เด็กชายและเด็กหญิงเริ่มสนใจซึ่งกันและกันและมีความพอใจในการ
พบปะสังสรรค์กัน ร่วมเล่น เรียน ทำงาน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย สับสน อ่อนไหว
เด็กแต่ละคนเริ่มแสดงบุคลิกอารมณ์ประจำตัวออกมาให้ผู้อื่นทราบได้บ้างแล้ว
เช่น อามรณ์ร้อน อารมณ์ขี้วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหวง่าย เจ้าอารมณ์ ขี้อิจฉา
ฯลฯ เด็กสามารถรับรู้ลักษณะเด่นด้อยเกี่ยวกับตนเอง เป็นต้น
วัยรุ่น ตั้งแต่อายุ 14 – 21 ปี
ลักษณะอารมณ์ ลักษณะของอารมณ์สืบเนื่องมาจากอารมณ์ของเด็กวัย
แรกรุ่น จึงคล้ายคลึงกันมาก
พฤติกรรมสังคม สังคมวัยรุ่นเป็นกลุ่มของเพื่อนร่วมวัย ประกอบด้วย
เพื่อนทั้ง 2 เพศ เด็กรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ ในการทำกิจกรรมต่างๆ กับ
เพื่อนร่วมวัยมากกว่ากับเพื่อนต่างวัย สัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมวัยถึงความเข้ม
ข้นสูงสุดประมาณระยะตอนกลางของวัยรุ่น การคบเพื่อนร่วมวัยเป็นพฤติกรรม
สังคมที่มีความสำคัญต่อจิตใจของวัยรุ่น
การเลือกอาชีพ เด็กโตพอที่จะรู้ถึงความสำคัญของอาชีพ เช่น อาชีพนำ
มาซึ่งสถานทางเศรษฐกิจสังคม เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่
เด็กยังสับสนวุ่นวายใจเนื่องจากยังไม่รู้จักตัวเองดีพอในด้านบุคลิกภาพ ความ
ถนัด ความสนใจ
ความสนใจ ความสนใจมีขอบข่ายกว้างขวาง สนใจหลายอย่างแต่ไม่ลึก
ซึ้งมาก เพราะเด็กยังไม่เข้าใจเรื่องตัวเอง ยังเป็นระยะลองผิดลองถูก ความ
สนใจของเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ได้แก่
การนับถือวีรบุรุษ (Heroic Worship) ความต้องการเลียนแบบผู้ที่ตน
นิยมชมชอบมีมาก่อนแล้วตั้งแต่วัยเด็กก่อนวัยรุ่น แต่ความต้องการประเภทนี้
แรงขึ้นในระยะวัยรุ่นเพราะ ความต้องการรู้จักตนเอง การยกบุคคลมาเป็น
แบบให้นับถือและเลียนแบบช่วยลดความไม่รู้จักหรือความไม่เข้าใจตนเอง
วัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่
อายุ 21 – 40 ปี
วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะที่ความเจริญเติบโตทางการพัฒนาเต็มที่
สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปบุคคลมักมีกาย
แข็งแรง ในด้านอารมณ์นั้นผู้ที่จะเข้าถึงภาวะอารมณ์แบบผู้ใหญ่มีความคับ
ข้องใจน้อย ควบคุมอามรณ์ได้ดีขึ้นมีความแน่ใจและมีความมั่นคงทางจิตใจดี
กว่าในระยะวัยรุ่น
วัยกลางคน ตั้งแต่
อายุ 40 – 60 ปี
สมรรถภาพทางกายเป็นไปในทางเสื่อมถอยการเปลี่ยนแปลงทางกายเช่นนี้ มี
ผลสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจและสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ทั้งหญิงและชายวัยกลางคน
ต้องปรับตัวต่อสภาพเหล่านี้การปรับตัวที่สำคัญ เช่น การปรับตัวทางอาชีพ การปรับตัว
ในบทบาทของสามีภรรยา เป็นต้น
วัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป
วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิตลักษณะพัฒนาการในวัยชราตรงกันข้ามกับ
ระยะวัยเด็กคือเป็นความเสื่อมโทรม (Deterioration) และซ่อมแซมส่วนที่
สึกหรอมิใช่การเจริญงอกงาม วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของพัฒนาการของคน วัยชรา
มีความเสื่อมทางร่างกายอย่างเห็นได้ชัดความเสื่อมดังกล่าวส่งผลกระทบต่องานอาชีพ
ลักษณะอารมณ์ ลักษณะสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัวในสังคม
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการมนุษย์
1. ปัจจัยด้านชีวภาพ (Biological Forces) ปัจจัยทางชีวภาพที่มีอิทธิพลต่อ
พัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่ในระยะก่อนคลอดคือ พันธุกรรมและปัจจัยที่
สัมพันธ์กับสุขภาพ พันธุกรรม (Genetic) คือการถ่ายทอดลักษณะต่างๆ จาก
คนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งในครอบครัวเดียวกัน หรือในเชื้อสายเดียวกัน
เช่น สีของนัยน์ตา สีผม
2. ปัจจัยที่สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health - Related factors) โดยเฉพาะ
สภาวะแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพที่มีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์
มารดาเช่นพบความผิดปกติของสมองของทารกในครรภ์มารดาที่เรียกว่าคูรู
(Kuru) เป็นต้น
3. ปัจจัยด้านชีวภาพ ทำให้ทารกในครรภ์มารดาหรือในวัยก่อนคลอดมีความ
ผิดปกติได้เช่น การมีโรคทางพันธุกรรม หรือมีความผิดปกติของการเจริญ
เติบโตของทารกในครรภ์อันเนื่องมาจาก การใช้ยา หรือจากการติดเชื้อโรค
ต่างๆ
4. ปัจจัยด้านจิตใจ (Psychological Forces) ปัจจัยด้านจิตใจของบุคคลที่มี
ผลต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงอายุนั้นๆ มี 4 ปัจจัย ดังนี้
- ปัจจัยการรับรู้ภายในตนเอง (Internal perceptual factors) เช่น การ
รับรู้เรื่องเพศของตนเองในระยะ 5 – 6 ปี เด็กชายหรือเด็กหญิงเริ่มมีการรับ
รู้บทบาทของเพศที่แตกต่างกัน
- ปัจจัยด้านความคิด (Cognitive factors) มีผลมาจากการเลี้ยงดูตั้งแต่ใน
วัยทารก และวัยเด็ก การให้ความรักความอบอุ่น การใช้เหตุผลในการอบรม
เลี้ยงดู การเล่นของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านความคิดจะส่งผลต่อ
พัฒนาการทางด้านความคิดและสติปัญญาของเด็กต่อไปในอนาคต
- ปัจจัยด้านอารมณ์ (Emotional factors) การได้รับความมั่นคงทางอารมณ์
จากบิดามารดาตั้งแต่ ในวัยทารกจะมีผลให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์เป็น
ไปอย่างเหมาะสม
- ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ (Personality factors) การเป็นต้นแบบด้าน
บุคลิกภาพที่ดีของบิดามารดาจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิด
ของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บน
รากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การ
เรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตาม
วัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะ
เร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผล
เสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลัง
จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไร
ก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก
มากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของ
เด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏ
โดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม
บทที่4
ปรัชญาและ
แนวคิดด้านการศึกษา
ปรัชญาและแนวคิดด้านการศึกษา
ปรัชญาคือศาสตร์ที่ศึกษาความรู้ความจริงของมนุษย์ โลก ธรรมชาติ
และชีวิต อย่างลึกซึ้งเพื่ออธิบายเหตุการณ์และสิ่งต่างๆโดยใช้หลักการของ
เหตุผล ในวิชาตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงความจริงหรือความรู้ที่
แน่นอน
ปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา
คือการศึกษาที่เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศทั้งในด้าน
เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเครื่องมือในการเตรียมประชากรให้มี
คุณภาพ คือ การศึกษาการจัดการศึกษาของชาติจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย
ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แนวความคิดหรือความเชื่อในการจัดการ
ศึกษาก็ คือ ปรัชญากา ศึกษาซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาและยึด
แนวทางในการจัดการปรัชญาของการศึกษา ต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของ
สังคมและสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละยุคและแต่ละสมัย
แนวคิดและความสำคัญจิตวิทยา
แนวคิดทางจิตวิทยามี. มุ่งหมายของการเรียนจิตวิทยาการศึกษา คือ
เพื่อให้เข้าใจ เพื่อการทำนายและเพื่อควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ของ
มนุษย์และสถานการณ์ต่างๆ
กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์
(Coodwill & Cross
Mier,1975)
มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการเรียนจิตวิทยาไว้ดังนี้
1. เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทางด้านทฤษฎี
หลักการและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและ
ผู้ใหญ่
2.เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการ
เรียนการสอน
3. เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถนำเทคนิคและวิธีการกันเย็นนี้ไปใช้ใน
การเรียนการสอน การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน
ความสำคัญของจิตวิทยา
จิตวิทยามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตอย่างกว้างขวางผู้ศึกษา
จิตวิทยาสามารถได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้
1. ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
เช่นความต้องการ การแก้ปัญหา การปรับตัวอารมณ์และความรู้สึก
ในสถานการณ์ต่างๆ
2. ช่วยให้การแก้ปัญหาทางจิต รู้จักวิธีรักษาสุขภาพจิตใจดี
สามารถเอาชนะปมด้อยต่างๆ รู้วิธีแก้ปัญหาและปรับตัวอย่างเหมาะ
สม
3. สามารถเข้าใจ ตัดสินใจ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับบุคคล
ในสังคม
4.ช่วยในการวางแผนใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม
ทฤษฎีของนักจิตวิทยา
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์
ธอร์นไดค์ อธิบายทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงได้ว่าคือการเชื่อมโยง
ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองโดยหลักพื้นฐานว่า การเรียนรู้เกิดจากการ
เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่มักจะออกมาในรูปแบบต่างๆ
หลายรูปแบบโดยการทิพย์ลองถูกลองผิดทโดยมี3กฎของการเรียนรู้ดังนี้
กฎการเรียนรู้ของ
1. กฎแห่งความพร้อมการเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ถ้าผู้เรียนมีความ
พร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ
2. กฏแห่งการฝึกหัดการฝึกหัดหรือกระทำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะ
ทำให้เรียนรู้นั้นคงถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อยๆการเรียนรู้นั้นจะไม่ควง
ถาวร และในที่สุดอาจจะลืมได้
3. กฏแห่งความพอใจเมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจ ย่อมอยากจะ
เรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้น การ
ได้รับผลที่พึงพอใจจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้
การนำทฤษฎีและกฎการเรียนรู้
ของธอร์น ไดค์ ไปใช้ในการเรียนการสอน
1.ในการเรียนการสอนครูต้องให้ความสำคัญ และความเข้าใจในความ
แตกต่างของผู้เรียน ด้านความชอบความสนใจ
2. การวางเงื่อนไข ครูควรมีการวางเงื่อนไขในการเรียน เช่น หากผู้
เรียนสอบหรือทำผลงานได้สำเร็จจะให้ทำกิจกรรมสันทนาการเพื่อคลาย
ความเครียดเป็นต้น
3. ในการสอน ควรมีการใช้การเสริมแรงทางบวกแก่ผู้เรียน เช่น การ
ให้คะแนน การกล่าวชมเชย เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมที่พึง
ประสงค์
4. ครูผู้สอนไม่ควรใช้การลงโทษที่รุนแรงเกินไป นอกจากจะไม่เกิด
การเรียนรู้แล้วยังทำให้ผู้เรียนเกิดความอคติ
5. ก่อนดำเนินการสอนครูต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย
ด้านอุปกรณ์การเรียนเป็นต้น
บทที่5
พัฒนามนุษย์กับการเรียนรู้
พัฒนาการการเรียนรู้
พัฒนาการการเรียนรู้ คือ ระบวนการเปลี่ยนแปลง
พฤติการรมของมนุษย์ของกิจกรรมในการแสดงปฏิกิริยา
ตอบสนองต่อสถาณการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระบวนการ
ที่เนื่องมาจากประสบการณ์ตรงและประสบการณ์อ้อม
กระทำให้อินทรีย์เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมค่อน
ข้างถาวร
พัฒนาการของมนุษย์จำแนกเป็น 5 ด้าน
1.ด้านร่างกาย ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนไหว หรือ
การเปลี่ยนแปลงด้านขนาด รูปร่างทรวดทรง และด้านอื่น ๆของระบบ
ร่างกายและโครงสร้างของร่างกาย เช่น การเปลี่ยนเปลี่ยนของขนาด
รูปร่าง การขยายของทรวงอก หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าที่ต่างๆ
เป็นต้น ที่เกี่ยวกับร่างกาย เช่น การนั่ง ยืน เดิน
2.ด้านอารมณ์และด้านจิตใจ ความสามารถในการควบคุมและ
แสดงความรู้ลึก เช่น พอใจ ไม่พอใจ รีก ชอบ โกรธ กลัวความลามา
รถในการควบคุมการแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม เมื่อเผชิญกับ
สถานการณ์ต่าง ๆ
3. สติปัญญา โดยทั่วไปแล้ว พัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็ก
ก่อนวัยเรียนจะเป็นไปตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น
4.ด้านสังคม ความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีทักษะ
การปรับตัว สามารถทำตามบทบาทหน้าที่ของตน ร่วมมือกับผู้อื่น มี
ความรับผิดชอบ เป็นตัวของตัวเองและรู้จักกาลเทศะ
5.ด้านจิตวิญญาณ ความสามารถในการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง
สิ่งต่างๆ การรับรู้ การสังเกต จดจำ การวิเคราะห์ ความรู้คิดเหตุผล และ
ความสามารถในการแก้ปัญหา
องค์ประกอบที่ มีอิทธิพลต่อการพัฒนา
1.พันธุกรรม ดือ พันธุกรรมจะมีผลต่อชุฒนาการทางด้านร่างกาย
มากที่สุด อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อมนุษย์คือ เป็นตัวกำหนด เพศ
รูปร่าง ชนิดของโลหิต สีผม ผิวตาและระดับสติปัญญา เป็นต้น
2. วุฒิภาวะ (Ma turation) เป็นกระบวนการเจริญเติบโตและ
การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของบุคคล เช่น การยืน
การเดิน การวิ่ง การเปล่งเลียง ซึ่งเป็นพื้นฐานตามธรรมชาติของ
มนุษย์ที่เป็นไปตามปกติเมื่อถึงวัยที่สามารถจะกระทำได้
3. สิ่งแวดล้อม (Environment) คือ สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นๆ
สิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ ที่มนุษย์ได้สร้าง
ขึ้นเช่น ระบบครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น
4.การเรียนรู้เป็นพัฒนาการ ที่เกิดจากประสบการณ์และการ
ฝึกหัด (l earning)ความสามารถทางทักษ ะอย่างหนั่งอย่างใดโดย
เฉพาะ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกหัดเป็นพื้นฐานสำคัญ
1) ความพร้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความพร้อมุของบุคคล
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
2)ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น ความพร้อมนั้นสามารถเร่งให้
เกิดขึ้นได้ โดยการกระตุ้นการแนะนำ การจัดประสบการณ์
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์
(Thorndike’s connectionism)
ธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นผู้ค้นพบกฎการเรียนรู้จากการเชื่อมโยง
ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองโดยการกระท าอย่างมีเปูาหมาย จากผลงานการ
ทดลองจับแมวใส่กรงที่มีสลักประตูปิดไว้ให้แมวหาทางออกจากกรงเพื่อกินอาหาร
โดยแมวจะต้องหาทางถอดสลักประตูให้ได้จึงจะได้กินอาหาร ซึ่งจากการทดลอง
พบว่า ในระยะแรกแมวใช้วิธีลองถูกลองผิด (trial and error) และค้นพบวิธี
ถอดสลักประตูโดยบังเอิญท าให้ประตูเปิดและออกมากินอาหารได้ การทดลอง
ในครั้งต่อ ๆ มา แมวใช้เวลาน้อยลงในการหาทางออกมากินอาหารได้ การทด
ลองนี้ท าให้สามารถตั้งกฎการเรียนรู้ที่สำคัญดังนี้
1) กฎแห่งผล (law of effect) พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดที่ได้
รับผลที่ทำให้ผู้เรียนพึงพอใจ ผู้เรียนจะกระท าพฤติกรรมนั้น ซ้ำๆอีกหรือ
เรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าไม่ได้รับผลที่พึงพอใจผู้เรียนก็จะเลิกทำพฤติกรรมนั้น
2) กฎแห่งความพร้อม (law of readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้
เรียนอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือฝืนใจจะ
ทำให้หงุดหงิดไม่เกิดการเรียนรู้
3) กฎแห่งการฝึกหัด (law of exercise) การเรียนรู้จะคงทน หรือติดทน
นานถ้าได้รับการฝึกหัดหรือกระทำซ้ำบ่อย ๆทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์เน้น
ความเชื่อมโยงของสิ่งเร้าและการตอบสนอง หากผลที่ตามมาหลังปฎิบัติเป็นสิ่งที่
น่าพอใจความเชื่อมโยงของสิ่งเร้าและการตอบสนองก็จะแน่นแฟูนมากยิ่งขึ้น
การประยุกต์สู่การสอน
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ประยุกต์ไปใช้
ในการเรียนการสอนได้ดังนี้
1) การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นพฤติกรรมที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจงซึ่ง
ทำให้สามารถวัดผลประเมินผลได้ว่าเกิดการเรียนรู้หรือไม่ โดยสังเกตจาก
พฤติกรรมที่เกิดขึ้น และแจ้งให้ผู้เรียนทราบพฤติกรรมที่คาดหวัง
2) ก่อนเรียนควรสารวจว่าผู้เรียนมีความพร้อมด้านร่างกาย จิตใจและมีความรู้
พื้นฐานเดิมที่พร้อมในการเรียนรู้หรือไม่ เพื่อหาแนวทางในการเตรียมความพร้อม
ให้กับผู้เรียน
3) ควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ การเผชิญ
สถานการณ์ปัญหาซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองถูกลองผิด เพื่อหาทางแก้ปัญหา
ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจเมื่อค้นพบวิธีการแก้ปัญหาได้
เรียนรู้หรือแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก
4) ควรศึกษาว่าอะไรคือรางวัลหรือผลที่ผู้เรียนพึงพอใจ เพื่อใช้เป็นสิ่งเร้าให้ผู้
เรียนอยาก
5) ควรให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนสิ่งที่เรียนรู้ อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดทักษะในสิ่ง
บทที่6
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้
การรับรู้ (Perception)
สิ่งที่เป็นเหตุซึ่งเอื้อให้เกิดการเรียนรู้
เกิดขึ้นประกอบด้วย
-ปัจจัยด้านผู้เรียน
-ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม
ปัจจียด้านผู้เรียน
ได้แก่ เพศ ระดับชั้น แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ เจตคติ
ต่อการเรียนการใช้เวลาเพื่อการเรียน
ปัจจัยด้านสภาพสิ่งแวดล้อม
หมายถึง สภาพ สภาวะหรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวผู้
เรียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
แรงจูงใจในการเรียนรู้
คือ แรงขับเคลื่อนที่อยู่ภายในตัวบุคคลที่
จะกระตุ้นให้บุคคลนั้นเกิดการกระทำ
แรงจูงใจทางสังคมมีหลายรูปแบบ
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ผถ
แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์
แรงจูงใจใฝ่อำนาจ
แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว
แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา
ความแต่งต่างระหว่างบุคคล
อารี พันธ์มณี (2539)แบ่งประเภทของความแตก
ต่างระหว่างบุคคล
ออกเป็น 6 ประเภท
ทางด้านร่างกาย
ทางด้านอารมณ์
ทางด้านสังคม
ทางด้านเพศ
ทางด้านอายุ
ทางด้านสติปัญญา
ความจำ
ความจำเป็นที่ที่บุคคลใช้เก็บรักษาข้อมูลความรู้ต่างๆ ที่เขา
ได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกกายนอก ซึ่งส่งผลให้บุคคล
สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต เข้าใจสิ่งต่างๆ ใน
ปัจจุบัน และคาดการณ์ไปยังอนาคตได้
กระบวนการประมวลข้อมูล มีระยะ 3 ระยะ
1.การเข้ารหัส (encoding)เป็นการรับ การแปลผล และการ
รวบรวมข้อมูลที่ได้รับ
2.การเก็บ (storage)เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้เข้ารหัสแล้ว
อย่างถาวร
3.การค้นคืน (retrieval หรือ recollection)หรือ การระลึก
ถึง เป็นการระลึกถึงข้อมูลที่ได้บันทึกไว้แล้วโดย เป็นกระบวน
การตอบสนองต่อตัวช่วย(cue) เพื่อใช้ในพฤติกรรมหรือ
กิจกรรมอะไรบางอย่างการสูญเสียความจำเรียกว่าเป็นความ
หลงลืม หรือถ้าเป็นโรคทางการแพทย์ ก็จะเรียกว่า ภาวะเสีย
ความจำ
โฮเวิร์ดการ์ดเนอร์
8ด้านความสามารถทางสติปัญญา
บท7
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of learning) หมายถึงจิตวิทยาที่ใช้
ในการถ่ายทอดความรู้ โดยการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเกิดจากพฤติกรรม
ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรหรือเกิดจากการฝึกฝน ซึ่งกระบวนการเรียนรู้จะ
เกิดได้จากขั้นตอนหลัก 4 ขั้นตอนคือตั้งใจจะรู้ กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อให้รู้
ลงมือปฏิบัติและได้รับผลประจักษ์ สำหรับทฤษฎีการเรียนรู้นั้นจะพยายาม
ศึกษาว่ากระบวนการเรียนรู้นั้นมีลักษณะอย่างไร ในงานวิจัยส่วนใหญ่นั้นจะ
ทำการศึกษาแบบพฤติกรรมนิยมแบบพุทธินิยมและแบบ self-regulated
learning โดยมีจิตวิทยาทางสื่อเป็นแนวการศึกษาใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
เนื่องจากเทคโนโลยีมีบทบาทในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางด้านจิตวิทยามี 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม นักจิตวิทยาที่
อยู่ในกลุ่มนี้ คือ
1.1 อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov, 1849-1936) นักสรีรวิทยาชาว รัสเซีย
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning
Theory) หรือ แบบสิ่งเร้า
1.2 จอห์น บี วัตสัน (John B Watson คศ.1878 -1958) ทฤษฎีการเรียนรู้
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์
1.3 เบอร์รัส สกินเนอร์ (Burrhus Skinner) ทฤษฎีการเรียนรู้การวาง
เงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory)
1.4 เพียเจท์ (Jean Piaget) การจัดการเรียนรู้ที่ครูเป็นผู้ให้ข้อมูลและ
นักเรียนเป็นผู้รับข้อมูล ครูยิ่งให้ข้อมูลมากเท่าไร นักเรียนก็ยิ่งรับข้อมูลได้มาก
เท่านั้น
2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม นักจิตวิทยาที่อยู่
ในกลุ่มนี้ คือ
2.1 เดวิค พี ออซุเบล ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
2.2 Gestalt Psychologist ทฤษฎีการใช้ความเข้าใจ
(CognitiveTheory)
2.3 โคท์เลอร์ การเรียนรู้โดยการหยั่งรู้(Insight Learning)
2.4 Jero Brooner ทฤษฏีการเรียนรู้แบบค้นพบ
2.5 Piaget ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม นักจิตวิทยาที่
อยู่ในกลุ่มนี้คือ
3.1 ศาสตราจารย์บันดูรา แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
(Stanford) ประเทศสหรัฐอเมริกา การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการ
เลียนแบบ (Observational Learning หรือ Modeling)
3.2 Anthony Grasha กับ Sheryl Riechmann ทฤษฎีการสังเกต
จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูผู้สอน และสังเกตจากปฏิสัมพันธ์
ระหว่างนักเรียนกับเพื่อนร่วมห้อง
3.3 เลวิน (Lawin) ทฤษฎีสนาม
3.4 Robert Slavin และคณะทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมกันเรียนรู้
3.5 David Johnson และคณะทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้
3.6 Shlomo และ Yael Sharan ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน
เรียนรู้ในงานเฉพาะอย่าง
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้
1. ทฤษฎีการวางเงือนไขแบบ
คาสสิคของ พาฟลฟ
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
2.การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์
3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข
4.การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกต่าง
2.ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง ของธอร์นไดค์
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
2.สำรวจความพร้อมหรือการสร้างความพร้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียน
- การสอนให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ต้องให้ผู้เรียนมีความรู้และความ
เข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ และต้องให้ผู้เรียนฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
และสม่ำเสมอ
- การให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจ จะช่วยให้การเรียนการสอน
ประสบความสำเร็จ
3.ทฤษฎีเบนดูรา
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1. ในห้องเรียนครูจะเป็นตัวแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ครูควรคำนึงอยู่
เสมอว่า การเรียนรู้โดยการสังเกตและเลียนแบบจะเกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าครูจะไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ก็ตาม
2. การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็นการสอนโดยใช้หลักการและขั้น
ตอนของทฤษฎี ปัญญาสังคมทั้งสิ้น ครูต้องแสดงตัวอย่างพฤติกรรมที่ถูก
ต้องที่สุดเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิภาพในการแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ
ความผิดพลาดของครูแม้ไม่ตั้งใจ ไม่ว่าครูจะพร่ำบอกผู้เรียนว่าไม่ต้อง
สนใจจดจำ แต่ก็ผ่านการสังเกตและการรับรู้ของผู้เรียนไปแล้ว
บทที่8
จิตวิทยาการแนะแนว
และการให้คำปรึกษา
การแนะแนว
การแนะแนว การช่วยให้เขาสามารถช่วยเหลือ
ตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพ ผู้แนะแนวเพียง
แนะแนวทางเท่านั้น ผู้ที่รับบริการจะเป็นผู้ตัดสินใจ
แก้ปัญหาเองตามความสมัครใจ
การแนะนำ
การแนะนำ การที่เขาทำตามสิ่งที่คิดว่าดี
โดยที่จะรับคำปรึกษาแล้วทำตามแนวทาง อาจ
ไม่ได้คิดเอง โดยการชี้แจงให้ทำหรือปฏิบัติ
เช่น การแนะนำในการใช้ชีวิต
ปัญหาของนักเรียนที่ควร
ได้รับการแนะแนว
1.ปัญหาที่เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกายและสุขภาพ
2.ปัญหาเกียนกับการศึกษาเล่าเรียน
3.ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางครอบครัว
3.ปัญหาด้านการเงิน
4.ปัญหาเกี่ยวกับเพื่อนต่างเพศ
5.ปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกภาพและสังคม.
6.ปัญหาเกี่ยวกับการใช้เวลาว่าง
7.ปัญหาเกี่ยวกับอาชีพ